ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #26 : เขียวหวานน่ารัก ~ 26 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.12K
      76
      3 มี.ค. 61


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 26

    Fiction by 2nd Admin 

    .

    .

    .  

     

                “จริงด้วยสิ เทศกาลโคมไฟนี่นา ฉันลืมไปเลย”

                อี้ชิงหันมาบอกกับคนที่พามาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะวิ่งขึ้นไปกลางสะพานหินแล้วยกกล้องขึ้นถ่ายบรรยากาศสองข้างคลองชองกเยชอนซึ่งคึกคักไปด้วยผู้คนที่พากันมาชื่นชมความงามของโคมไฟตกแต่งมากมายตลอดความยาวหกกิโลเมตรของคลองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในโซล

                งานเทศกาลโคมไฟประดับนั้นจัดให้มีขึ้นปีละสองครั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งก็คือเดือนนี้ และเดือนพฤศจิกายนซึ่งจะเป็นงานที่ใหญ่กว่า เพราะมีการประดับโคมไฟกันทั้งเมือง และรูปแบบของโคมก็จะดูหลากหลายมากกว่า แต่ที่อี้ชิงเห็นในตอนนี้ก็สวยงามมากแล้ว เพราะเป็นเดือนที่สำคัญในทางศาสนาพุทธ โคมไฟก็จะถูกตกแต่งเป็นรูปดอกบัวและสัญลักษณ์สำคัญทางศาสนาเสียส่วนมาก ทั้งสวยงาม สว่างไสว และอบอุ่นในคราวเดียวกัน

                หลังจากเก็บภาพมุมสูงและบรรยากาศรอบๆ แล้วคริสก็ชวนอี้ชิงให้ลงไปเดินเล่นริมคลอง ซึ่งแม้ผู้คนจะเยอะแต่ก็ไม่เบียดเสียด เพราะส่วนใหญ่จะนั่งเล่นหรือหยุดยืนเพื่อเก็บภาพโคมไฟสวยๆ กันมากกว่า อี้ชิงเองก็เช่นกัน เดินได้ทีละก้าวสองก้าวก็คอยจะหยุด เห็นโคมไฟรูปทรงแปลกตาเข้าหน่อยก็กดชัตเตอร์เก็บภาพไม่ยั้ง แต่คนที่เดินเป็นเพื่อนก็หาได้บ่น คอยพยักหน้าเห็นด้วยตอนที่ตากล้องอวดรูปที่คิดว่าตัวเองถ่ายได้ดีให้ดู แล้วก็ชื่นชมประสิทธิภาพของกล้องที่ได้อัพเกรดใหม่เสียยกใหญ่ เห็นคนตัวเล็กกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศสวยๆ คริสเองก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพสวยๆ เอาไว้ดูบ้างเช่นกัน

                “อ๊ะ หยุดอยู่ตรงนั้นก่อนนะ” คริสหันไปมองคนที่บอกแล้วเลิกคิ้วถามทั้งใบหน้านิ่ง ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ลั่นแล้วอี้ชิงก็ยิ้มแฉ่ง วิ่งเข้ามาหาเพื่ออวดรูปที่ตัวเองเพิ่งถ่ายไปให้ดู “มุมนี้สวยอ่ะ มีคลองเป็นแบ็คกราวด์ แล้วฉันก็ปรับโหมดให้หน้าชัดหลังเบลอ ดูสิๆ”

                “อืม ดูดีนะ ฉันอ่ะ”

                “โห ชมตากล้องบ้างก็ได้มั้ง”

                “นายก็เก่งอยู่แล้วไง นายแบบก็หล่อ รวมกันแล้วก็เลยเพอร์เฟ็ค”

                “ไม่ค่อยอวยตัวเองเลยอ่ะ แต่โอเค เห็นด้วยก็ได้” คนตัวเล็กหัวเราะสดใสก่อนจะวิ่งนำหน้าไปเก็บภาพโคมไฟไปเรื่อยๆ กระทั่งเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนั่นแหละ ถึงได้หย่อนขานั่งลงที่ริมคลอง คริสเห็นอย่างนั้นก็เปิดฝากระป๋องน้ำอัดลมที่ซื้อติดมือตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้วส่งให้อี้ชิงกระป๋องนึง ก่อนจะนั่งลงข้างกัน

                “เหนื่อยแล้ว?”

                “นิดหน่อย นั่งพักก่อน เดี๋ยวค่อยเดินต่อ”

                “ถ้าหิวก็บอกนะ แถวนี้มีข้าวยำปลาหมึกร้านอร่อย จะพาไปกิน” อี้ชิงพยักหน้า กระดกน้ำอัดลมรสพีชลงคอไปสองอึกแล้วก็วางกระป๋องลง หยิบกล้องขึ้นมาเปิดโหมดพรีวิวเพื่อเช็ครูปที่ถ่ายมา

                “เดินไม่ถึงครึ่งทาง ถ่ายไปแล้วเกือบร้อยรูปแน่ะ”

                “ถ่ายเยอะจัง เมมโมรี่เคยเต็มบ้างไหม?”

                “เคยสิ ก็ให้เสี่ยวลู่เอาลงคอมฯแล้วเซฟแยกเป็นอัลบั้ม แล้วค่อยย้ายไปเก็บในแฟลชไดร์ฟอีกที”

                “เก็บไว้ทั้งหมดเลย?”

                “อื้อ ยิ่งถ้าเป็นรูปวิวที่ได้ไปเที่ยวมานะ ฉันไม่เคยลบทิ้งเลย เก็บเอาไว้เยอะๆ แล้วซักวันฉันก็จะสร้างบล็อคของตัวเอง เอาไว้เล่าเรื่องที่ฉันได้ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วก็ลงรูปที่เก็บเอาไว้ทั้งหมด”

                “อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นรูปที่ฉันถ่าย” ประโยคสุดท้ายนั้นทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน อี้ชิงหันขวับ มองหน้าคริสด้วยความแปลกใจ

                “รู้ได้ไงอ่ะ?”

                “จำได้ต่างหาก คราวก่อนนายก็พูดแบบนี้”

                “คราวก่อน?” เขาเคยพูดเมื่อไหร่กัน นึกอยู่นานก็จำได้คลับคล้ายคลับคลา คริสเคยถามว่าทำไมเขาถึงชอบถ่ายรูป แต่อี้ชิงไม่ได้บอก แต่นั่นมันก็ตั้งแต่ตอนที่ไปเดินเล่นด้วยกันที่ริมแม่น้ำฮันแล้วนะ

                “นายยังจำได้อีกเหรอเนี่ย”

                “ฉันจำเก่ง ใครทำอะไรให้ติดใจก็จำได้หมด ไม่เหมือนใครบางคนหรอก” ใครที่ว่านั่นคงอยู่ไม่ไกล ตัวเองจำได้แล้วก็ทำมาแขวะกัน อี้ชิงเลยย่นจมูกใส่

                “เจ้าคิดเจ้าแค้นล่ะไม่ว่า” แต่คริสหาได้ยี่หระ ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นซดหน้าตาเฉย

                “เพราะอย่างนี้ถึงเลือกเข้าชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์ นายจะได้ฝึกฝีมือแล้วก็มีข้ออ้างสะพายกล้องไปมหาลัยได้ทุกวัน แล้วทำไมไม่เรียนนิเทศเหมือนเพื่อนเสียเลยล่ะ จะได้ทำงานในสายที่ชอบ”

                “เพราะฉันยังไม่รู้เลยน่ะสิ ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ก็ต้องเลือกเรียนคณะที่หางานทำได้ง่ายๆ ไปก่อน เรียนนิเทศจบไปก็ใช่ว่าจะหาเงินได้เยอะ บางทีเรื่องทำบล็อคอะไรนั่นอาจจะเป็นแค่ความฝันที่อยู่ได้แต่ในฝัน บ้านฉันน่ะไม่ได้รวยเหมือนเสี่ยวลู่ ทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้หรอก” อี้ชิงมองกล้องบนตักตัวเองแล้วยิ้มบาง ลูบมือกับพื้นผิวสีดำของมันเบาๆ “ตอนเด็กๆ ฉันเคยบอกปะป๊าว่าถ้าโตขึ้นแล้วจะไปเที่ยวรอบโลก แล้วจะถ่ายรูปสวยๆ มาอวด ปะป๊าถึงได้ทำงานหนักอยู่หลายปีเพื่อเก็บเงินซื้อกล้องตัวนี้มาให้เป็นของขวัญตอนฉันเข้ามัธยมปลาย แต่จนถึงตอนนี้ ฉันก็มาไกลที่สุดได้แค่เกาหลีเอง แล้วก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่อื่นอีกหรือเปล่า”

                “เพราะอย่างนี้นายถึงรักกล้องตัวนี้มากสินะ”

                “มันเป็นเหมือนตัวแทนคำสัญญาที่ฉันเคยให้ไว้กับปะป๊าน่ะ ฉันแค่อยากจะรักษามันไว้ให้ดี” คริสพยักหน้าช้าๆ ทอดสายตามองกล้องบนตักเล็กที่เจ้าของเฝ้าทะนุถนอมมันแล้วยิ่งรู้สึกผิดนัก

                “ขอโทษที่ทำให้มันมีตำหนิ” แต่อี้ชิงสั่นหน้า มองหน้าคริสแล้วยิ้มจนตาหยี

                “ไม่เป็นไรหรอก ต้องขอบใจนายมากกว่าที่อุตส่าห์ซ่อมให้ ดูสิ ตอนนี้นอกจากมันจะหายดีแล้วยังหล่อขึ้นกว่าเดิมตั้งหลายเท่า แถมอัพเกรดซะเท่เลย”

                อี้ชิงยังยิ้มให้เขาอย่างร่าเริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ร้องห่มร้องไห้ ซ้ำโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนไม่อยากมองหน้ากัน อาจจะจริงอย่างที่ลู่หานบอก อี้ชิงเป็นคนซื่อๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน โกรธได้ก็หายง่าย ไม่เคยคิดแค้นหรือคิดร้ายใครก่อน อี้ชิงที่เขาเห็นในตอนนี้อาจจะดูร่าเริงเหมือนกับภาพสุดท้ายที่จำได้ก็จริง แต่นั่นยิ่งทำให้คริสอยากปกป้องนัก ทั้งจิตใจที่อ่อนโยนและรอยยิ้มอันสดใส คริสแค่อยากจะทำเท่าที่ทำได้ เพื่อรักษาความสวยงามนี้ไว้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

                “ให้ฉันช่วยไหม?”

                “หือ?”

                “ความฝันของนายน่ะ ให้ฉันช่วยได้ไหม? ฉันจะพานายไปเอง ไม่ว่าที่ไหนที่นายอยากไป”

                สีหน้าคริสนั้นจริงจัง และเพียงเท่านั้นก็ทำให้ใจดวงเล็กเต้นแรงได้ อี้ชิงรู้ว่าฐานะอย่างคริสทำได้จริง แต่ที่ไม่รู้คือเหตุผลว่าทำไมคริสต้องทำแบบนั้น แค่คนแปลกหน้าที่ต้องมาใกล้ชิดเพียงระยะเวลาสั้นๆ แม้จะยอมรับว่าสนิทกันมากขึ้นแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่คริสจะต้องลงทุนเอาใจเขามากมาย อี้ชิงไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลอะไร นอกจากเรื่องล้อกันเล่น อีกเดี๋ยวคริสคงหัวเราะแล้วเฉลยออกมาแน่ อี้ชิงจึงชิงยิ้มก่อนอย่างรู้ทัน

                “แน่ะ จะให้ฉันติดหนี้นายใช่ไหม? แบบนั้นฉันก็ต้องทำงานใช้หนี้หัวโตน่ะสิ ไม่เอาด้วยหรอก เก็บเงินไปเที่ยวเองดีกว่า”

                อี้ชิงลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นออกจากขากางเกงตัวเองแล้วออกเดินต่อ ขณะที่คริสทำเพียงแค่มองตาม ชายหนุ่มทอดถอนใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดยืนห่างออกไปไม่ไกล ยกกล้องขึ้นเล็งถ่ายโคมไฟดวงใหญ่ที่กลางคลองนั่น กิริยาที่คนตัวเล็กดูจะมีความสุขกับวิวใกล้ตัวทำให้คริสอดจะส่ายหน้าแล้วยิ้มขำไม่ได้

                “ซื่อบื้อเอ้ย”

                ไม่รู้จักคิดเข้าข้างตัวเองเสียบ้าง หากเป็นคนอื่นคงรีบคว้าโอกาส แต่ไม่ใช่กับจางอี้ชิงคนนี้

               

                ในเมื่อคิดเองไม่ได้ ก็ดูท่าว่าคงต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาอย่างเดียวเสียแล้วกระมัง

     

    .

    .

    . 

     

                “รอสักครู่นะจ๊ะ” คุณป้าที่ใส่ผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้น่ารักพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินหายเข้าไปทางหลังครัว ขณะที่คริสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์ฆ่าเวลาเล่น อี้ชิงก็หันซ้ายหันขวามองสำรวจไปทั่วร้านด้วยความใคร่รู้

                ร้านข้าวยำปลาหมึกที่คริสพามาวันนี้ไม่ใช่ร้านที่เคยไปก่อนหน้า ร้านนี้เล็กกว่า แล้วก็ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ต้องเดินเข้าซอยมาหน่อย แต่กระนั้นก็น่าจะเป็นร้านดังใช่เล่น เห็นได้จากรูปถ่ายที่ระลึกจากศิลปินดาราซึ่งติดอยู่เกือบเต็มพื้นที่ของฝาผนัง ไม่บอกก็รู้ว่าต้องขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยแน่ๆ จะว่าไป ร้านอาหารที่คริสเลือกมากินมีแต่ของอร่อยๆ ทั้งนั้น คิดแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ อยู่กับคริสแค่สองอาทิตย์ ได้กินอาหารอร่อยเยอะกว่าที่อยู่เกาหลีมาทั้งปีเสียอีก

                “นายนี่เก่งนะ รู้จักร้านอร่อยๆ เยอะเชียว” ว่าจะชวนคุยดีๆ แต่อาการที่คริสชำเลืองตามองเขาแว่บเดียวแล้วยักไหล่นั่นมันน่าหมั่นไส้ใช่เล่น

                “ฉันแค่ใช้กูเกิ้ลเป็น” แค่นี้ก็ต้องแขวะกัน ใช่สิ ก็ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ไม่มีเน็ตให้เล่นนี่นา อี้ชิงเบะปาก เมินหน้ามองเมนูบนฝาผนังร้านยังจะดีกว่า คนอะไรไม่มีมารยาทเอาซะเลย นั่งอยู่ด้วยกันแท้ๆ เอาแต่ก้มหน้ามองจอโทรศัพท์อยู่ได้

                “ฮัดชิ้ว” อยู่ๆ คนตรงข้ามก็จามซะตกใจ คงไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีคนนินทาในใจหรอกนะ

                “ตากลมมากไปจนไข้กลับรึเปล่า?” แต่คริสส่ายหน้า

                “ไม่หรอก แค่คันจมูกเพราะกลิ่นเครื่องเทศ” ก็น่าจะจริง ร้านเล็กๆ แบบนี้ ส่วนครัวก็มีแค่ผ้าม่านกั้น เครื่องระบายกลิ่นควันอะไรก็คงไม่มี กลิ่นจากการทำอาหารย่อมต้องเข้ามารบกวนในตัวร้านอยู่แล้ว อี้ชิงที่ต้องเดินผ่านตลาดตอนไปเรียนทุกวัน ได้กลิ่นอาหารจนเคยชิน แต่คุณชายอย่างคริสน่ะคงไม่เคย ฉุนนิดฉุนหน่อยก็เลยจาม ผิวบางสมเป็นลูกคนรวยจริงๆ ขนาดโดนฝนแค่เดี๋ยวเดียวยังเป็นหวัดเลย นี่ถ้าทำตัวดีๆ กวนประสาทเขาให้น้อยกว่านี้หน่อยก็คงจะน่ารักขึ้นอีกเยอะ

                “ลืมไป นายหายดีแล้วนี่ ไม่งั้นเมื่อวานคงไม่หักโหมซ้อมบาสทั้งวันหรอก”

                “รู้ด้วย?”

                “รู้สิ แฟนคลับนายรุมบ่นฉันซะยับ ตัวเองหนีไปซ้อมคนเดียว แถมยังเจ้ากี้เจ้าการส่งฉันกลับไปนอนที่หอแท้ๆ ทำไมฉันต้องเป็นคนผิดด้วยก็ไม่รู้” อี้ชิงบู้ปากอย่างเคืองๆ หารู้ไม่ว่าอาการแสนงอนนั้นจุดรอยยิ้มเหนือมุมปากได้รูป คริสเอียงคอน้อยๆ ยามประสานมือรองไว้ใต้คาง ว่าเสียงอ่อน

                “ยังโกรธอยู่หรือ? ฉันคิดว่านายคงไม่อยากเห็นหน้า แต่ถ้าจะให้อยู่คนเดียวก็กลัวจะเหงา เลยให้ไปค้างกับเพื่อน ไม่ดีหรือ?”

                “ดีสิ ค้างกับเพื่อนที่หอพักตัวเองก็ต้องดีกว่าห้องคนอื่นอยู่แล้ว”

                “แต่ฉันว่าไม่ดี”

                “เอ๊า”

                “ก็ฉันเหงา คราวหน้าถ้านายงอนอีก จะไม่ปล่อยให้ห่างตาเกินชั่วโมงแน่” ดวงตาแพรวพราวทำเอาอี้ชิงร้อนวูบไปทั้งหน้า จ้องตอบได้ไม่นานก็ขยับตัวเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้เสียให้ห่าง เสสายตาไปมองทางอื่นตอนที่พึมพัมเสียงเบา

                “เอาแต่ใจตัวเองชะมัด” ทว่าคนตรงข้ามย่อมได้ยิน คริสถอนหายใจเบาๆ พลันใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่ก็กลายเป็นเรียบตึง

                “ฉันเอาแต่ใจได้มากกว่านี้อีก อย่าให้รู้ว่าแอบไปหากัปตันบ่อยๆ ก็แล้วกัน”

                “ไม่เคยแอบซักหน่อย ต่อให้ฉันไปหากัปตันบ่อยๆ แล้วจะทำไม? คนรู้จักกันก็ต้องไปมาหาสู่กันบ้าง”

                “จะไปหาก็ได้ แต่ต้องมีฉันอยู่ด้วย ห้ามอยู่ด้วยกันสองต่อสองเด็ดขาด”

                “ทำไมต้องห้ามด้วยล่ะ?”

                “ก็...” คริสกัดริมฝีปากเพื่อห้ามบางคำที่อาจหลุดไปด้วยอารมณ์ได้ เสสายตาไปยังกล้องตัวโปรดที่เจ้าตัววางไว้ใกล้ๆ ตัวบนโต๊ะนั่น “นายรักกล้องนั่นมากใช่ไหม?”

                ในทันทีอี้ชิงก็คว้าลูกรักมากอดด้วยความระแวง

                “ก็ใช่น่ะสิ”

                “หวงมาก ไม่อยากให้ใครแตะต้องเพราะกลัวมันพัง?”

                “ใช่” มือเล็กๆ ยิ่งช่วยกันปกป้องประคองกอดเจ้ากล้องนั่นเหมือนกลัวว่าคริสจะฉวยแย่งเอาไปได้ แต่ร่างสูงใหญ่เพียงแค่ถอนหายใจบางเบา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตอนที่บอก

                “สำหรับฉัน นายก็เหมือนกับกล้องนั่น”

                ถ้อยคำที่ทำให้ร่างเล็กต้องหรี่ตาด้วยความสงสัย เขากับกล้องจะไปเหมือนกันได้ยังไง ทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่หัวใจดวงเล็กก็เต้นแรงจนอี้ชิงรู้สึกหงุดหงิด ยิ่งดวงตาคู่คมที่เอาแต่จ้องนิ่ง ไม่มีเค้าความยียวนเช่นทุกครั้ง อี้ชิงก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก มองกล้องในมือสลับกับใบหน้าจริงจังของคนตรงข้ามแล้วก็สรุปได้ว่าตัวเองไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น

                “เหมือนตรงไหน? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” และนั่นก็ทำให้คริสถอนหายใจยาวเหยียดจนศีรษะตกพับ ทุบกำปั้นลงกับพื้นโต๊ะเบาๆ เพื่อระบายอารมณ์ ก่อนจะพึมพัมเสียงรอดไรฟัน

                “ซื่อบื้อจริง”

                “ซื่อบื้อ? ไม่นะ กล้องนี่ฉลาดออก”

                “ฉันก็ไม่ได้ว่ามันนี่”

                “ก็นายบอกว่าเหมือนกัน ว่าฉันก็เหมือนว่ามันนั่นแหละ”

                “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

                “ก็แล้วเรื่องอะไรล่ะ?”

                “เฮ้อ... ช่างมันเถอะ”

                “อะไรของนายเนี่ย...?”

                “ก็บอกว่าช่างมันไงเล่า”

     

    .

    .

    . 

     

                หลังจากอาหารมื้อเย็นคริสก็พาอี้ชิงเดินเล่นต่ออีกหน่อย ก่อนจะบึ่งรถกลับห้องชุด ได้พักผ่อนหย่อนใจซ้ำยังได้กินของอร่อยจนอิ่มท้อง อี้ชิงจึงได้อารมณ์ดีนัก หมายใจว่ากลับเข้าห้องแล้วจะนอนเลือกรูปสวยๆ ส่งไปอวดลู่หานเสียหน่อย รายนั้นก็ไม่เคยได้มาเห็นโคมไฟสวยๆ ตอนช่วงเทศกาลเหมือนกัน แต่พอเปิดประตูเข้าห้องยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าด้วยซ้ำ เสียงเตือนสั้นๆ ก็ดังขึ้น อี้ชิงล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่ามีข้อความทางไลน์ส่งมาจากคนที่กำลังนึกถึง

                [ไปเดทกันมาหราาาาา?]

                อะไร? ลู่หานแซวเหมือนเห็น เป็นไปไม่ได้หรอก ยังไม่ได้บอกซักหน่อยว่าออกไปกับคริสมา จะรู้ได้ยังไง พอส่งเครื่องหมายคำถามกลับไป เพื่อนรักก็ส่งรูปที่แคปจากหน้าจอตัวเอง เป็นหน้าไอจีของรุ่นพี่คนดังซึ่งโพสต์ภาพหนึ่งไปไม่ถึงชั่วโมงก่อน ภาพวิวทิวทัศน์บริเวณคลองชองกเยชอนซึ่งประดับด้วยโคมไฟแสนสวยถูกเบลอไว้เป็นฉากหลัง ตรงกลางของภาพนั้นคือด้านข้างของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังยกกล้องขึ้นเล็ง แม้เห็นหน้าไม่ชัดแต่อี้ชิงก็จำตัวเองได้ ไหนจะแคปชั่นภาษาอังกฤษที่ชวนให้แก้มร้อนนั่นอีก

     

                ‘My only focus’

     

                “อะไรเนี่ย?” คริสมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วแทนคำถาม อี้ชิงจึงหันหน้าจอโทรศัพท์ให้เห็น “แอบถ่ายฉันตอนไหน?”

                เจ้าของไอจีร้องอ้อแล้วพยักหน้า

                “ก็นายเอาแต่ถ่ายรูปวิว ถ้าชอบขนาดนั้นทำไมไม่ถ่ายรูปตัวเองกับวิวพวกนั้นเก็บไว้บ้างล่ะ”

                “ใครเค้าจะอยากดูฉันกัน เค้าก็อยากเห็นวิวสวยๆ กันทั้งนั้น”

                “ฉันไง ฉันชอบดูนายออก” คนดังบอกแล้วเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มตอนที่จิ้มนิ้วลงบนหน้าผากคนตัวเล็กกว่า “ไม่ว่าจะยิ้ม โกรธ งอแง หรือเวลาทำหน้างงๆ แบบนี้”

                อี้ชิงย่นคอหนีเมื่อคริสโน้มใบหน้าลงมาหาจนใกล้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ความใกล้ชิดก็ทำให้ใจดวงเล็กเต้นแรงได้เสมอ ทั้งที่คริสชอบพูดในสิ่งที่อี้ชิงไม่เข้าใจ แต่กระนั้นในใจก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี ยิ่งทุกครั้งที่สองสายตาสบประสาน ไม่เคยซักครั้งที่อี้ชิงจะเลี่ยงหลบได้ คนหล่อมักมีสเน่ห์และทำให้คนรอบข้างหวั่นไหวได้เสมอ อี้ชิงรู้แต่ไม่เคยเจอกับตัว กระทั่งมาเป็นคริสเนี่ยแหละ มันไม่ควรเลยจริงไหม เขาสองคนไม่ใช่แฟนกันจริงๆ ซ้ำคริสยังไม่ได้เป็นอย่างที่อี้ชิงกุข่าวเอาไว้เสียอีก คริสไม่ได้ชอบ...

                เสียงสัญญาณสั้นๆ ดังขึ้นอีกครั้ง จึงเป็นโอกาสให้อี้ชิงปัดนิ้วยาวออกจากหน้าผากแล้วถอยออกมาตั้งหลัก หันหลังเพื่อสูดหายใจเข้าให้ลึกแล้วพรูออก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู  

                [ถามหรือยัง?]

                เป็นลู่หานคนเดิม เพิ่มเติมคือความอยากรู้ถึงกับต้องส่งข้อความมาย้ำให้นึกถึงเรื่องที่เคยคุยกันก่อนหน้า อี้ชิงกัดปากอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจหันหลังกลับ

                “มีอะไร?” คริสเลิกคิ้วถาม และอี้ชิงก็หันหน้าจอโทรศัพท์มือถือเข้าตัวเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

                “มีคำถาม... ของวันนี้”

                “จงแดเหรอ? ว่าไงล่ะ?” อี้ชิงกัดปาก ในใจเต้นโครมครามขัดกับริมฝีปากซึ่งปิดเงียบอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจเอ่ยคำถามซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีเพียงลู่หานเท่านั้นที่อยากรู้

     

                “นายชอบผู้หญิง หรือผู้ชายกันแน่?”

     

                ตาคู่คมหรี่ลงเหมือนเป็นนัยว่าอี้ชิงไม่แนบเนียนพอ คนตัวเล็กได้แต่งับปากแล้วหลบตา หารู้ไม่ว่ากิริยาแบบนั้นยิ่งดูว่าเป็นพิรุธนัก

                “ใครถาม?”

                “ก็... กระทู้ในเวบเพจ”

                “ขอดูหน่อย”

                “นายก็เข้าไปดูในเพจเอาเองสิ” กล้าพูดแบบนั้นเพราะรู้ว่าคริสจะไม่สนใจ และใช่ คริสไม่ทำ แต่ที่ทำคือยื่นมือมาตรงหน้า

                “งั้นขอดูโทรศัพท์ เดี๋ยวฉันพิมพ์ตอบจงแดเอง” อี้ชิงเบิกตากว้างแล้วถอยหลังอย่างลืมตัว รีบดึงโทรศัพท์ไปซ่อนไว้ข้างหลังแล้วส่ายหน้ารัวเร็ว

                “ม..ไม่ได้หรอก”

                “ทำไมไม่ได้?”

                “ก็... นายก็ตอบมาเลย เดี๋ยวฉันพิมพ์เองก็ได้”

                “ไม่ เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน” อี้ชิงสั่นหน้าแล้วก้าวถอย แต่คริสก็ยังตามติดไม่ลดละ โดนไล่ต้อนแบบนี้มีหวังถูกจับได้แน่ ชำเลืองตามองประตูห้องตัวเองซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วก็คิดหาทางหนีทีไล่

                “ไม่ นายไม่ตอบก็ช่าง ฉันจะเข้าห้องแล้ว”

                “เดี๋ยวก่อน” แต่คริสไวพอจะคว้าต้นแขนเล็กไว้ได้ทัน ออกแรงดึงเพียงนิด ร่างเล็กก็ปลิวติดมาจนแผ่นหลังชิดอก พออี้ชิงดิ้นขืนแขนยาวก็สอดเข้าล็อคเอวบางไม่ให้หนีได้ กลายเป็นว่าอี้ชิงถูกคริสกอดซ้อนหลังจนหมดทางรอด

                “ฮื่อ ปล่อย”

                “ทำไมถึงให้ดูโทรศัพท์ไม่ได้?”

                “ก็ไม่ทำไมนี่”

                “แล้วทำไมต้องเดินหนี?”

                “ไม่ได้หนี ฉันแค่ง่วง จะไปนอน”

                “เอาโทรศัพท์มาก่อน แล้วจะให้ไปนอน”

                “ไม่”

                “เอามา”

                “บอกว่าไม่ก็ไม่ไง”

     

                ฟอด!

     

                “อื้อ!” คนตัวเล็กเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นตะปบแก้มที่ร้อนผ่าวเพราะโดนขโมยหอมไปฟอดใหญ่ เอี้ยวใบหน้ามองคนที่ล็อคตัวเองไว้จากด้านหลังด้วยทั้งตื่นตกใจทั้งระแวง

                “จะให้หรือไม่ให้?”

                “ไม่”

                ฟอด!

                “อื้อ!”

                “ถ้าไม่ให้ก็จะหอมอยู่อย่างนี้แหละ” กล้าพูด! นี่แก้มคนนะไม่ใช่ตุ๊กตานึกจะฟัดจะหอมยังไงก็ได้น่ะ!

                “จะบ้ารึไง!”

                “ด่าเหรอ? นี่แน่ะ”

                ฟอด!

                “ฮื่อ! พอได้แล้ว!” อี้ชิงหลับหูหลับตาดิ้นขืนและคริสก็ยอมคลายแรงเพียงเพื่อจะพลิกร่างเล็กให้หันมาหากัน ก่อนจะดันจนแผ่นหลังบางชิดไปกับประตูห้อง ปิดทางหนีของอี้ชิงไปเสียสิ้น

                “บอกมาว่ามีความลับอะไร ทำไมถึงให้ดูไม่ได้”

                “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ปล่อยฉันนะ” แต่อี้ชิงยังไม่ยอมแพ้ มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์ไว้แน่นในขณะที่มืออีกข้างก็ดันอกคริสให้ถอยห่าง ทั้งดื้อทั้งปากแข็งจนคริสนึกมันเขี้ยวนัก

                “ถ้าไม่อยู่นิ่งๆ จะทำยิ่งกว่าหอมนะ” คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างตื่นๆ แก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงจัด ยอมหยุดดิ้นรนในที่สุด แต่คริสยังไม่หยุดแกล้งแค่นั้น จะให้แย่งโทรศัพท์มาจากมือเล็กก็คงทำได้ แต่คริสไม่ทำ ดูจากอาการร้อนตัวแล้ว เดาได้ไม่ยากว่าคงไม่มีอะไรในนั้น และหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็กำลังถูกลองใจซึ่งๆ หน้า ซึ่งแม้คริสจะแอบดีใจเล็กๆ แต่อย่างไรก็ควรต้องลงโทษเด็กเลี้ยงแกะให้หลาบจำบ้าง

                ตาคู่คมมองจ้องไม่ยอมให้อีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่าหน้างอนๆ กับแก้มป่องๆ นี่น่ามันเขี้ยวนัก ให้หอมอีกสองครั้งสามครั้งก็ยังไม่พอใจ ไหนจะกลีบปากอิ่มแดงที่ขบเม้มกันนี่อีก ได้ลิ้มลองเพียงครั้งแม้จะด้วยโทสะ แต่คริสจำได้ว่ามันหอมหวานเพียงใด แล้วอยู่ใกล้เพียงแค่นี้ มีหรือจะไม่อยากลองรสอีกสักครั้ง แต่เพียงแค่หลุบตามอง อี้ชิงก็ถอยใบหน้าออกห่างด้วยความระแวง ระยะห่างเพียงแค่ช่วงแขนกางกั้นมีหรือจะรอดตัวได้ คริสนึกยิ้มในใจ ยิ่งโน้มใบหน้าลงหากระทั่งลมหายใจรินรดแก้มเนียน และอี้ชิงก็หลับตาแน่น ปลายจมูกของทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วเบาก่อนที่คริสจะหลับตาลงช้าๆ พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากเผยอออก

                เขาไม่คิดว่าอี้ชิงจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงคราวจวนตัว เด็กดื้อยังไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ คริสจึงไม่ทันระวังเมื่อคมฟันงับลงบนสันจมูกจนต้องร้องลั่น

                “โอ๊ยย!” เผลอปล่อยมือ และเป็นโอกาสให้ร่างเล็กพลิกตัวหันหลัง จับลูกบิดประตูได้ก็เปิดออกแล้ววิ่งเข้าไปหลบในห้องอย่างว่องไว้ “ฉันเจ็บนะเขียวหวาน”

                “นายแกล้งฉันก่อน!”

                “ก็นายดื้อก่อนนี่” เสียงฮึ่ยฮ่ายอย่างขัดใจดังอยู่ในห้องพร้อมๆ กับเสียงตุ้บตั้บ ป่านนี้คงปีนขึ้นไปนั่งกอดหมอนอยู่บนเตียงแล้วแน่ๆ

                “ไม่อยากรู้คำตอบแล้วหรือไง?”

                “ไม่อยากรู้!”

                “แต่ฉันอยากบอกนะ”

                “ไม่ฟัง! ไม่อยากรู้! ฉันอยากนอน! จะนอนแล้วด้วย!”

                นิ้วยาวยังลูบสันจมูกตัวเองเบาๆ ตอนที่หัวเราะออกมา คริสส่ายหน้าแล้วยิ้มขำ ไม่ได้คิดจะรังแกจริงๆ หรอก ให้มันเขี้ยวแค่ไหนก็ไม่ทำ แต่ให้ตายเถอะ ช่างเอาตัวรอดได้น่าเอ็นดูนัก เขายังนึกดีใจที่เด็กซื่อบื้อรู้จักนึกสงสัยอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ที่ไม่ยอมถามกันตรงๆ คงจะมีแค่เหตุผลเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจับเจ้าตัวนิ่มมาฟัดให้หายมึนนัก ร่างสูงพิงตัวเองไว้กับประตูห้อง เงี่ยหูฟังได้ยินเสียงคนกำลังใส่อารมณ์กับหมอนกับเตียงก็เคาะเรียกเบาๆ

                “นี่”

                “.....”

                “ฝากบอกจงแดด้วยนะ คราวหลังถ้าสงสัยอะไร ให้มาถามตรงๆ ฉันจะบอก”

                “.....”

                “ได้ยินหรือเปล่า?”

                “หลับแล้ว!

                “นี่ เขียวหวาน”

                “เลิกเรียกฉันแบบนี้ซักที!

                “แล้วจะให้เรียกอะไร? ที่รักดีไหม?”

                “ฮื่อ! ฉันไม่คุยกับนายแล้ว!”

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

    คนรอง: ติดอยู่ตรงย่อหน้าสุดท้าย แก้อยู่นั่นกว่าจะลงได้ ฮื่อ! ><

    เจอกันใหม่ตอนหน้านะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×