ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #2 : MKML ตอน 02 ::: Zhang Yixing the Sweetest

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.17K
      15
      4 ม.ค. 57

    [Fic] My Kris, My Lay
    Fiction by 2nd Admin

     
     

    ตอนที่ 2: Zhang Yixing the Sweetest

     


     

     

    จางอี้ชิงก็แค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าตาใสซื่อไม่มีพิษภัย

    มีเพียงแก้วตาใสเป็นประกาย กับรอยบุ๋มของลักยิ้มที่แก้มเป็นอาวุธ

    รูปร่างโปร่งบางกับเรียวแขนขาที่สมส่วนทำให้ดูน่าทะนุถนอมจนเกือบลืมคิดไปว่าเจ้าตัวเป็นเมนเต้นคนสำคัญ

     

    ...คนๆ เดียวที่ไม่บ่อยนักจะหลุดปากเรียกเขาว่า พี่

     

    และเป็นคนเดียวที่เขาอยากให้เรียกชื่อจริงมากกว่าแทนด้วย ตุ้ยจาง

     

     

    จางอี้ชิงที่ขี้หลงขี้ลืมคนนี้...

     

    เลย์คนนี้...

     

    .

     

    .

     

    .

     

     เสียงหัวเราะครื้นเครงบนโต๊ะอาหารเช้าของสี่สมาชิกเงียบลง เมื่อร่างสูงโปร่งของน้องเล็กมาหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ของรุ่นพี่หน้าเด็กผู้เป็นรูมเมท

    “ทำไมเมื่อคืนพี่ไม่กลับมานอนห้อง”

    หวงจื่อเทาถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจน้อยๆ นั้นทำให้ซิ่วหมินต้องเจื่อนยิ้มก่อนอ้อมแอ้มตอบ

    “ก็.. โทษที ฉันคุยเพลินจนเผลอหลับอยู่ในห้องตุ้ยจางน่ะ”

    “พี่ก็น่าจะบอกก่อน ผมเปิดไฟรอทั้งคืน”

    “ก็เผลอไงจื่อเทา แบบว่าเผลอหลับไม่รู้ตัวล่วงหน้า ก็เลยไม่ได้โทรไปบอกนาย โอเคนะ?”

    สายตานิ่งๆ ตวัดไปมองคนรองของวงที่แก้ต่างให้คู่หูด้วยรอยยิ้มสดใสพร้อมทำมือไม้ประกอบเพียงแว่บเดียว ก่อนจะกลับมาจ้องหน้ารูมเมทตัวเอง

    “คราวหน้าถ้าจะออกจากห้องตอนกลางคืนพี่ต้องบอกผมก่อน อย่างน้อยผมจะได้เผื่อใจว่าพี่จะไม่กลับ แล้วจะได้ไม่ต้องเปิดไฟรอให้มันแยงตาทั้งคืน”

     

    สี่คนบนโต๊ะปล่อยให้บรรยากาศหลังจากนั้นเงียบกริบ จนกระทั่งจื่อเทาคว้าแซนวิชไปหนึ่งชิ้นแล้วเดินกลับเข้าห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าน่ารักถึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแสยะแยกเขี้ยว ลู่หานส่งเสียงรอดไรฟันเบาๆ

    “เด็กนี่น่ากลัวชะมัด ชอบทำหน้านิ่งๆ แล้วพูดจาเหมือนตัวเองเป็นพี่ใหญ่อยู่เรื่อย”

    “เขาอาจจะแค่เป็นห่วงพี่มินซอกก็ได้นะฮะ”

    “ไม่ใช่หรอกเฉิน หมอนี่อยู่ใกล้ตุ้ยจางมากไป เห็นตุ้ยจางเป็นไอด้อลก็เลยติดนิสัยขี้บ่นมามากว่า”

    “นายก็พูดเกินไป น้องมันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ยังไม่ชินอีกเหรอ”

    “คงมีแต่รูมเมทอย่างนายเท่านั้นแหละที่ชิน เด็กนี่เวลาจะอ้อนเอาอะไรก็น่ารัก แต่พอเวลาไม่พอใจก็จะสร้างออร่าสีเทาๆ ขึ้นมาคลุมรอบตัวเองไว้จนดูวังเวง ไม่เห็นน่าสนุกเลย”

    ซิ่วหมิวหัวเราะจนตาเล็กยิ่งยิบหยี ลู่หานก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย มองบรรยากาศรอบตัวแล้วคิดอยู่แค่สองอย่าง สนุกกับ ไม่สนุก

    “ฉันจะฟ้องตุ้ยจาง นายว่าเขาขี้บ่นแล้วยังเม้าท์น้องชายเขาอีก”

    “ก็มันน่ามั้ยล่ะ ชอบตามใจน้อง เวลาจื่อเทาเป็นแบบนี้แทนที่จะปรามกันบ้างกลับทำเฉย ให้ท้ายกันแบบนี้เทาถึงได้มีนิสัยแปลกๆ สรุปแล้วตุ้ยจางนั่นแหละผิด”

    ใครอีกคนที่นั่งเงียบอยู่นานวางขนมปังที่อยู่ในมือลง ริมฝีปากอิ่มขบเม้มกันเองก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยขึ้นเงียบๆ

    “แต่เมื่อคืน... ฉันก็โดนตุ้ยจางดุนะ”

    “หา?!” สามเสียงอุทานขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ลู่หานจะเลิกสนใจไข่ดาวในจานที่ตัวเองเอาส้อมจิ้มจนแตกเมื่อครู่แล้วหันมาซักไซ้น้องชายคนโปรด “ตุ้ยจางเนี่ยนะดุนาย?!

    “อื้อ ก็เมื่อคืนกลับมาดึก ตุ้ยจางบอกว่า ทีหลังจะไปไหน จะกลับหรือไม่กลับก็ให้บอก”

    “ก็อี้ชิงบอกเค้าแล้วไง~” คนขี้อ้อนกระเง้ากระงอด คริสกล้าดียังไงมาดุเลย์ของเขา “จะกลับไม่กลับก็บอกแค่พี่ผู้จัดการกับรูมเมทก็พอ ทำไมต้องบอกหมอนั่นด้วย?”

     

    “ฮัดชิ้ว!” ร่างสูงใหญ่ที่ถูกเอ่ยถึงโผล่ออกมาจากห้องนอนที่ไม่ใช่ของตัวเองพร้อมกับเสียงจามหนักๆ เหมือนรู้จังหวะ เขานิ่วหน้าแล้วเอานิ้วถูกจมูกแรงๆ อย่างนึกรำคาญ ก่อนจะพบว่าสี่สมาชิกกำลังมองมาทางเขาเป็นตาเดียว “นินทาฉันอยู่รึไง?”

    “เปล่านี่” ลู่หานเป็นคนเดียวที่ส่งเสียงตอบ ในขณะที่คนอื่นพร้อมเพรียงกันส่ายหน้า

     

    ท่าทางไม่น่าไว้ใจแต่คริสก็ไม่ได้ใส่ใจมาก สิ่งเดียวที่เขาสนก็คือคนที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะ ข้างๆ ลู่หานโน่น เจ้าของหมอนหอมๆ ที่เขานอนหนุนอยู่ทั้งคืนหันมามองแล้วส่งยิ้มให้ ไม่รู้ทำไม คริสรู้สึกว่าเลย์ยิ้มหวานขึ้นทุกวัน ดูอย่างเช้านี้สิ รอยบุ๋มที่แก้มนั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกแล้ว

     

    คริสไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังยิ้ม

     

    และคนที่รู้ก็กำลังหรี่ตามองด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะยื่นหน้าน่ารักของตัวเองออกมาบดบังหน้าหวานๆ ของรุ่นน้องจากสายตาหล่อๆ ของคนเป็นหัวหน้าเสียจนมิด

    “นี่ตุ้ยจาง เค้าว่าพรุ่งนี้จะกลับไปนอนบ้าน ต้องขออนุญาตนายก่อนรึเปล่า?”

    “ไปขอพี่เมเนเจอร์สิ”

    “เห็นมั้ยอี้ชิง เค้าบอกแล้วว่าไม่ต้อง ตุ้ยจางเขาไม่อยากรู้หรอกว่าเราจะไปไหนน่ะ”

    “ว่าไงนะ?!

    พอตัวแสบหันมายักคิ้วแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ คริสถึงรู้ตัวว่าพลาด

    ตอนนี้อี้ชิงกำลังบุ้ยปากเอานิ้วเกาขมับตัวเองด้วยท่าทางสับสน ขืนเป็นแบบนี้...

     

    คนเป็นหัวหน้ารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วบอกด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

    “ฉันหมายถึง.. จะไปไหนก็ต้องขออนุญาตพี่เมเนเจอร์ก่อน แต่ก็ต้องบอกฉันที่เป็นตุ้ยจางด้วย ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบพวกนายทั้งหมด ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันต้องรู้เป็นคนแรก จำได้รึเปล่า?”

    “นั่นสินะ...” ลู่หานเม้มปากแสร้งทำหน้าเข้าใจ เขาหันไปพยักหน้ากับซิ่วหมินและน้องๆ ในเชิงว่าเห็นด้วย แต่หันกลับมาแลบลิ้นใส่ตุ้ยจางแบบไม่ให้คนอื่นเห็น

     

    ชิ! เค้ารู้หรอกน่าว่าอยากรู้แค่เรื่องของน้องชายคนโปรดของเค้าคนเดียวน่ะ!

     

    “ตัวแสบ!” คริสแอบกัดฟันแล้วขยับปากบ่นเบาๆ ตอนนั้นเองที่คนรองช่างสังเกตเห็นรอยเล็กๆ ที่มุมปากเขา

    “แล้วนั่นปากไปโดนอะไรมา ดูช้ำๆ”

    “อุบัติเหตุนิดหน่อย”

    “ไม่ระวังเลยตุ้ยจาง วันนี้มีอัดรายการด้วยนะ หมดหล่อพอดี”

    คนเป็นหัวหน้าใช้ข้อนิ้วแตะเบาๆ ที่มุมปากแบบไม่ใส่ใจนัก ถ้าเป็นแผลอื่นมาอยู่บนหน้าหล่อๆ เขาคงโวยวายแล้วอารมณ์เสียไปสามวันไม่จบ ...แต่แผลนี้เขาทนได้

    “แผลนิดเดียว เอาแป้งโปะก็มองไม่เห็นแล้ว”

     

    คริสเผลอมองไปที่ปลายโต๊ะโดยไม่ได้ตั้งใจ เลย์ไม่ได้ยิ้มเหมือนเมื่อครู่ หน้าขาวๆ ดูหมองลง แก้วตาสวยฉายแววไม่สบายใจนักขณะที่มองมา เลย์คงกำลังนึกโทษตัวเองเรื่องแผลนี่อยู่ ...น่าเอ็นดูนัก คริสนึกอยากจะเข้าไปลูบหัวปลอบแต่ก็ต้องอดใจไว้

     

    “เสร็จแล้วก็ไปเตรียมตัวกันนะ รถมารับแปดโมงเช้า”

    บอกกับทุกคนแล้วคนเป็นหัวหน้าก็หันหลังจะเดินเข้าห้องตัวเอง แต่คนที่เขามองอยู่เมื่อครู่ก็เรียกไว้

    “ตุ้ยจางไม่ทานอะไรหน่อยเหรอ?”

    คริสขยับปากเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่แล้วก็กลับเงียบ มองดวงหน้าที่ยังติดเป็นกังวลของเลย์แล้วความคิดบางอย่างก็แว่บขึ้นมา เขากระแอมไอเบาๆ ตอนที่ตอบกลับไป

    “ไม่ดีกว่า รู้สึกมึนๆ หัวนิดหน่อย”

     

     

     

     

    ทั้งที่บอกให้คนอื่นเตรียมตัว แต่พอกลับเข้าห้อง คริสก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแบบไม่หนุนหมอน มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากเหมือนคนไม่ค่อยสบายจริงๆ อย่างที่พูด แต่พอได้ยินเสียงลูกบิดประตูเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฏรอยยิ้มที่เจ้าตัวพยายามซ่อนไว้

     

    “ตุ้ยจาง...”

    “อือ...” เขาครางเสียงแผ่วในลำคอเหมือนคนหมดแรง ทั้งที่หัวใจเต้นกระหน่ำตามจังหวะฝีเท้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้

    “ไม่สบายเหรอ?”

    “ไม่รู้สิ แต่ปวดหัว”

    เสียงฝีเท้าหยุดลงที่ข้างเตียง แล้วก็ได้ยินเสียงกุกกักเบาๆ ก่อนที่คริสจะต้องลืมตาเมื่อมือข้างที่อยู่บนหน้าผากถูกดึงออกแล้วแทนที่ด้วยมือที่เล็กและนิ่มกว่า

    “...ตัวอุ่นๆ” เลย์บอกเสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเอง แต่จริงๆ เขากำลังมองหน้าคนที่นอนอยู่ “เมื่อคืนนายนอนทั้งที่หัวเปียก มันก็ต้องไม่สบายอยู่แล้ว”

    “.......”

    “ทานอะไรหน่อยนะ จะได้ทานยา”

    เขามองตามมือขาวๆ ที่ละจากหน้าผาก ไปหยิบแซนวิชที่โต๊ะข้างเตียงแล้วยื่นมาให้

    “นี่ฝีมือจงแด”

    นั่นไม่ใช่ประเด็น สำหรับคริสแล้ว เจ้าของมือที่ยื่นมันมาให้ต่างหาก ที่ทำให้แซนวิชน่ากินกว่ามาก

     

    ...แต่เขาต้องฝืนใจส่ายหน้า

    “กินไม่ไหวจริงๆ เจ็บปากด้วยเนี่ย”

    เรียวคิ้วบนใบหน้าขาวขมวดน้อยๆ แล้วเลย์ก็ก้มหน้า คริสยังเห็นริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างชัดเจนจากมุมนี้ ก่อนที่เลย์จะบรรจงบิขนมปังออกเป็นชิ้นเล็ก แล้วยื่นให้ถึงปาก

    “ทานหน่อยเถอะ เดี๋ยวไปทำงานไม่ไหวนะ”

    คนตัวโตทำท่าอิดออดโดยไม่สนใจเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นระรัวอยู่ในอก ก่อนจะอ้าปากรับขนมปังชิ้นนั้นโดยไม่คิดจะระวังไม่ให้ริมฝีปากแตะโดนปลายนิ้วของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

     

    ให้ตายเหอะ! แซนวิชชิ้นนี้มันอร่อยที่สุดในโลกจริงๆ!

     

     

     

    อาหารเช้าง่ายๆ ฝีมือจงแดหมดลงหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที หลังจากนั้นก็ตามด้วยยาอีกสองสามเม็ดที่เลย์ยื่นมาให้

    “ยาอะไรบ้างเนี่ย?”

    “ลดไข แล้วก็แก้อักเสบ ไปขอมาจากพี่เมเนเจอร์เมื่อกี้ ทานซักสองสามมื้อก็หาย”

    “ถ้านายป้อนให้ ฉันว่ามื้อเดียวก็หาย”

    “ฮะๆๆๆ พลังรักษาฉันมันไม่ได้มีจริงๆ ซักหน่อยนายก็รู้”

     

    ก็รู้หรอก แต่คริสไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น

     

    ไหนๆ ก็ป้อนแซนวิชแล้ว ถ้าป้อนยาให้อีกเขาคงมีแรงลุกขึ้นวิ่งได้ปร๋อ

     

    แต่ดูท่าเลย์จะคิดว่ามันเป็นแค่มุกตลก สุดท้ายคริสก็เลยต้องรับยามาแล้วส่งเข้าปากตัวเอง

     

    “ขอบใจนะ”

    เลย์ส่ายหน้าขณะที่รับแก้วน้ำกลับมาวางไว้ที่โต๊ะ

    “ไม่ต้องหรอก ตุ้ยจางเจ็บปากเพราะฉัน”

    “แต่อาการไข้นี่ไม่ใช่เพราะนาย”

    “อาจจะใช่ก็ได้ ...เมื่อคืนตุ้ยจางคงรออยู่จนดึก แล้วก็เลยเผลอหลับไปทั้งที่ผมยังไม่แห้ง” เลย์ยิ้มน้อยๆ เอื้อมมือมาแตะที่แขนของเขา “ขอโทษนะ คราวหน้าไปไหนจะบอกก่อน”

     

    คริสหลุบตาลงมองมือขาวที่วางอยู่บนแขน เลย์มักจะชอบสัมผัสแบบนี้เวลาที่อยากเอาใจเขา เหมือนเป็นมนต์สะกดที่ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรหรือทำอะไร ก็จะต้องหันมาให้ความสนใจเจ้าของรอยยิ้มหวานคนนี้แต่เพียงผู้เดียว เขารู้ว่าเลย์ไม่ทำแบบนี้กับใครบ่อยๆ และนั่นก็ทำให้คริสคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ ...ว่าเพราะเขาคือคนพิเศษ

     

    ...ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองคนเดียวก็ตาม

     

    มือที่ใหญ่กว่าจับข้อมืออีกฝ่ายไว้ก่อนที่เลย์จะผละออก

    “อี้ชิง...”

    “.....?”

    “รู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นห่วง”

    เลย์ยิ้มจนนัยน์ตาสวยพราวระยับ เขย่าข้อมือที่ถูกยึดจับแล้วพยักหน้าช้าๆ ราวกับอยู่ในภาพฝันของอีกฝ่าย

    “อื้ม ฉันรู้”

     

     

    ก็แค่รู้...

     

    แต่ไม่เข้าใจหรอก

     

    ...นายไม่มีวันเข้าใจฉันแน่ๆ

     

    .

     

    .

     

    .

     

    รายการที่ทั้งหกสมาชิกต้องเข้าร่วมการอัดเทปวันนี้เป็นรายการประเภทเกมส์โชว์แบบที่ต้องใช้ทักษะทางด้านกีฬาและพละกำลังของแต่ละคน เกมส์ที่ต้องเล่นมีหลายด่าน ดังนั้นจึงต้องเริ่มถ่ายทำกันตั้งแต่เช้า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยโดยไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าคริสจะมีไข้เล็กน้อย แต่ดูเหมือนยาวิเศษที่กินไปตอนเช้าจะทำให้เขามีแรงและกระตือรือร้นมากกว่าปกติด้วยซ้ำ

     

    กระทั่งถึงช่วงเย็น เกมส์สุดท้ายที่ต้องเล่นกันในน้ำ กองถ่ายจึงย้ายมาถ่ายทำกันในสระว่ายน้ำในร่ม ระหว่างที่รอทีมงานเซ็ตอุปกรณ์หกหนุ่มก็เล่นหัวกันสนุกสนาน ตอนที่พิธีกรคนหนึ่งเดินเข้ามาแซวพวกเขาว่าเกมส์นี้ต้องใช้วิชาตัวเบา คริสยังคุยกลับว่าในบรรดาสมาชิก เลย์เป็นคนที่ตัวเบาที่สุดแล้วก็หันไปยกร่างโปร่งบางขึ้นพาดบ่าโชว์ให้ดูเพื่อยืนยัน สมาชิกคนอื่นๆ ยังหัวเราะกันสนุกสนาน แต่กว่าที่คนตัวเบาจะรู้ตัวว่าโดนแกล้งแล้วขยับดิ้นยุกยิกพลางเอามือตีหลังตุ้ยจางแปะๆ เพื่อให้วางเขาลง ใครบางคนก็ได้กำไรไปเยอะแล้ว

     

     

    หลังจากเซ็ตฉากและอุปกรณ์เรียบร้อย การถ่ายทำก็เริ่มขึ้น

     

    การแข่งขันแบบจับคู่ดวลตัวต่อตัวของเกมส์วิ่งบนน้ำระหว่างทีมพิธีกรกับแขกรับเชิญผ่านไปทีละคู่ ผลแพ้ชนะออกมาแบบเท่ากันสองต่อสองคะแนน ก่อนที่ทีมของหกหนุ่มไอด้อลจะชนะไปด้วยการวิ่งแบบม้วนเดียวถึงฝั่งของลู่หานคนเก่ง ดังนั้นทีมเจ้าบ้านที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้จึงต้องนั่งเก้าอี้ดีดตัวเพื่อรอรับโทษถูกโยนลงน้ำ

     

    ความเป็นเด็กดีทำให้หกสมาชิกเห็นพ้องต้องกันว่าจะยอมรับโทษนั่งเก้าอี้ดีดตัวแทนรุ่นพี่ ทั้งพิธีกรและทีมงานต่างก็เอ็นดูในความมีน้ำใจของบรรดาเด็กหนุ่ม การลงโทษจึงกลายเป็นความสนุกสนานเมื่อสมาชิกถูกดีดลงน้ำไปทีละคน ภาพที่ทั้งหกเล่นน้ำกันอยู่ในสระเป็นช็อตสุดท้ายก่อนที่ผู้กำกับจะสั่งคัทและปิดกองในวันนั้น

     

    คริสเป็นคนแรกที่ปีนขึ้นมาขอบสระเพื่อจะกล่าวขอบคุณทีมงาน ก่อนที่สมาชิกคนอื่นๆ จะตามขึ้นมา พวกเขายังพูดคุยเล่นหัวกันอีกซักพัก กว่าที่ลู่หานจะทันสังเกตว่าใครบางคนหายไป

    “อี้ชิงล่ะ?”

    สมาชิกทุกคนมองหน้ากันเองแล้วก็หันไปมองรอบๆ ตอนนั้นเองที่เสียงตะโกนของทีมงานคนหนึ่งดังขึ้น

     

    “มีคนอยู่ในน้ำ!

     

    ทุกสายตาหันไปมองและเห็นในสิ่งเดียวกัน!

     

    ร่างโปร่งบางที่กลางสระกำลังตะเกียกตะกายดีดตัวให้พ้นผิวน้ำอย่างยากลำบาก เขาเงยใบหน้าขึ้น ริมฝีปากเผยอแต่ไม่ได้เปล่งเสียงร้องอะไรออกมา ดูเหมือนกำลังสำลักน้ำอย่างหนักและกำลังจะหมดแรงในไม่ช้า

     

    “เฮ้ย! อี้ชิง!

    ลู่หานรีบวิ่งกลับไปที่สระเป็นคนแรก แต่ยังไม่ทันได้กระโดดลงน้ำ ร่างที่สูงใหญ่กว่าก็พุ่งตัวลงไปก่อนแล้ว

     

    ตูม!!

     

    คริสวาดแขนส่งตัวเองเพียงสองครั้งก็ถึงตัวคนกำลังจะจมน้ำ ท่อนแขนใหญ่โอบรอบช่วงไหล่ของคนที่แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พอถูกเขาล็อคจากทางด้านหลังร่างโปร่งบางก็หยุดดิ้น แล้วปล่อยให้เขาดึงตัวเข้าหาฝั่งในสภาพอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง

     

    “อี้ชิง! เป็นอะไรมั้ย!

    ลู่หานและสมาชิกคนอื่นๆ รีบเข้ามาช่วยดึงตัวทั้งสองคนขึ้นจากน้ำแล้วเอาผ้าขนหนูมาคลุมให้ ก่อนที่ทีมงานจะเข้ามาขอพื้นที่เพื่อเข้าปฐมพยาบาลคนเจ็บ คนอื่นๆ เลยต้องถอยออกไป

     

    ยกเว้นคริสที่แม้ตัวเองจะหอบหนักแต่ก็ยังไม่ยอมห่างจากร่างสมาชิกคนสำคัญ

     

    เลย์ยังมีสติ แม้ว่าผิวกายจะขาวซีดจนน่ากลัว ใบหน้าซีดเผือดเพราะสำลักน้ำและขาดอากาศ มีเพียงริมฝีปากสั่นระริกที่เป็นสีคล้ำ ฟันคมของเจ้าตัวกัดมันจนแน่น ก่อนจะเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาอย่างยากลำบาก

     

    “ขาผม... ตะคริว...”

     

    คริสเข้ามาช่วยพยุงร่างโปร่งบางให้ลุกขึ้นนั่งตอนที่ทีมปฐมพยาบาลช่วยบีบนวดขาทั้งสองข้าง ให้เลย์พิงแผ่นหลังไว้กับอกของเขา เสียงหอบหายใจผสมปนไปกับเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดจนคริสทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กอดร่างที่สั่นเทาของรุ่นน้องไว้กับอก มือใหญ่ลูบไปตามสองแขนที่หนาวสั่นหมายจะมอบความอบอุ่นให้อีกซักนิดก็ยังดี

     

    “...ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่นี่แล้ว ...อี้ชิง พี่อยู่นี่แล้ว...”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “คำถามคือ ตุ้ยจางอยู่ที่นี่แล้วยังไง?”

    ลู่หานชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมาเอาหัวชนกับอีกสองสมาชิกสัญชาติเกาหลีที่ต่างก็อยากรู้อยากเห็น โต๊ะประชุมของพวกเขาคือโต๊ะอาหารในห้องครัว ตอนนี้จื่อเทากำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ในห้อง ส่วนตุ้ยจางก็นั่งเฝ้าคนที่เพิ่งจมน้ำมาเมื่อเย็นอยู่อีกห้องหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงปลีกตัวออกมาสุมหัวกันได้

    “ก็ประมาณว่า... ไม่ต้องกลัวนะ ตุ้ยจางเข้มแข็ง เราก็ต้องเข้มแข็งเหมือนตุ้ยจางไงฮะ”

    “ผิด!” ลู่หานทำสองมือเป็นท่ากากบาทตรงหน้าน้อง “ตอนที่นายหกล้มบนเวทีซ้อม ตุ้ยจางเคยวิ่งเข้ามากอดแล้วพูดแบบนี้รึเปล่า?”

    “...ไม่ฮะ”

    “นั่นไงล่ะ!

    “หรือตุ้ยจางจะหมายถึง.. ฉันจะดูแลปกป้องพวกนายเอง!

    “เกือบถูก!” คราวนี้ลู่หานยกนิ้วชี้ให้เปาจื่อคู่หู “แต่คนที่ตุ้ยจางอยากจะดูแลปกป้องมีแค่คนเดียว!

    “พี่ลู่หานหมายถึงพี่อี้ชิงเหรอฮะ?”

    นิ้วเดียวกันหันไปชี้หน้าน้องชายเมนร้องเป็นรางวัลที่ตอบถูก ก่อนจะกระดิกนิ้วให้ทั้งสองยิ่งชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

    “พวกนายจำคลิปวิดีโอที่ฉันเอาให้ดูเมื่อคืนนี้ได้มั้ย?”

    สองคนซิ่วหมิวกับเฉินมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารัวๆ

    “สายตาตุ้ยจางน่ะ...”

    “ใช่ฮะ ขนาดผมยังไม่เคยสังเกตเลย”

    “แต่ฉันเคยเห็นนะ หลายทีละ แต่หมอนั่นก็ทำเป็นเก็กแล้วก็ตอบเลี่ยงๆ คราวนี้ได้หลักฐานมาเต็มๆ ถ้าขนาดแฟนๆ ยังรู้เนี่ย ฉันว่าเรื่องที่พวกเราคิดมันก็ไม่ใช่แค่มโนแล้วล่ะ”

    ซิ่วหมินขมวดคิ้วแล้วเม้มปากเข้าหากันจนแก้มป่องขณะที่ใช้ความคิด

    “อืม... แต่เราอาจจะเข้าใจผิดกันไปเองก็ได้ ตราบใดที่เจ้าตัวไม่พูด มันก็แค่มโนอยู่ดีนั่นแหละ”

    “งั้นเราก็ต้องทำให้ตุ้ยจางยอมรับ!

    “ยังไงฮะ?”

    ลู่หานมองอีกสองคนแล้วอมยิ้ม น่ารักคนรองผู้ที่ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องสนุกๆ กำลังวางแผนให้คนปากแข็งยอมปริปาก ส่วนน้องชายคนโปรดของเขาจะเออออด้วยรึเปล่า... นั่นก็อีกเรื่อง

     

    “อาทิตย์หน้าพวกเคจะมา ได้สนุกกันแน่ล่ะ”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เสียงลมหายใจผะแผ่วกับแผ่นอกบอบบางที่สะท้อนขึ้นลงบอกให้รู้ว่าร่างบนเตียงกำลังหลับสนิท กระนั้นคริสก็ยังไม่ขยับไปไหน ร่างสูงใหญ่ปักหลักยึดอีกเตียงที่อยู่ข้างกันนั่งเฝ้าร่างโปร่งบางที่ถูกบังคับให้กินยาลดไข้แล้วหลับไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนอย่างแทบไม่ละสายตา แค่เลย์ขยับตัวหรือครางเสียงออกมาเบาๆ เขาก็จะขยับมาใกล้แล้ววางอุ้งมือบนหน้าผากรุ่นน้อง ไม่ใช่แค่จะวัดไข้ แต่เขาอยากให้คนที่หลับสนิทด้วยความอ่อนเพลียจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นนี้ได้รับรู้... ว่ายังมีใครอีกคนที่อยู่ข้างๆ

     

    ตอนที่เลย์เกือบจะจมน้ำนั้น... มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครรู้ซักคนว่าระหว่างที่คนอื่นขึ้นมาจากสระ เลย์ซึ่งมักจะรั้งท้ายเสมอกลับถูกตะคริวเล่นงานจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ...ไม่แปลกหรอก ก็วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ร่างกายมันก็คงจะอ่อนล้าจนเกิดอาการผิดปกติ ...ไม่มีใครโทษเขาซึ่งเป็นตุ้ยจาง

     

    ...แต่คริสโทษตัวเอง

     

    ถ้าเขาจะดูแลน้องให้มากกว่านี้...

     

    ถ้าเขาใส่ใจ... ตอนที่เลย์หายไป เขาคงรู้เป็นคนแรก

     

    เขาสู้ลู่หานไม่ได้ด้วยซ้ำ!

     

    “อี้ชิง...” มือใหญ่ลูบผมคนเป็นน้องเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาทั้งหม่นหมองและปวดร้าวในคราวเดียวกัน “พี่ขอโทษ...”

     

     

    ...ขอโทษที่ทำได้แค่นี้ ...ขอโทษจริงๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC.




    แอบมาแปะแล้วชิ่ง ฟินบ้างไม่ฟินบ้างตามอัธยาศัย :p


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×