ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #5 : MKML ตอน 05 ::: Forgetful

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.07K
      7
      4 ม.ค. 57


    [Fic] My Kris, My Lay
    Fiction by 2nd Admin

     

     

     

    ตอนที่ 5

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “อู๋ฟานดูนี่สิ กระต่ายในกรงน่ารักจัง”

    “.....!

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ชอบมันเหรอ?”

    “...ไม่อ่ะ ไม่ชอบ”

    “ทำไมล่ะ มันน่ารักออก ดูสิ ขนสีขาวปุกปุย น่าอุ้มจะตาย”

    “ห้ามอุ้มนะ! ถ้านายอุ้มมัน ฉันไม่เดินด้วยแน่”

    “ใจร้ายอ่ะ”

    “.....”

    “หรือว่า... นายเป็นภูมิแพ้เหรอ? แพ้ขนมันใช่มั้ย?”

    “.....”

    “....?”

    “...ใช่ ฉันแพ้”

     

    ฉันแพ้มัน ...แพ้เจ้าตัวน่ารักนั่น

     

     

    ...เหมือนที่ฉันแพ้นาย

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “จริงดิ? เล่นกันขนาดนั้นเลยเหรอเสี่ยวลู่?”

    “ก็ต้องขนาดนั้นแหละ ตุ้ยจางของพวกนายปากแข็งจะตาย ถ้าไม่ใช้ตัวช่วยก็คงไม่ยอมปริปากหรอก”

    เฉินได้แต่มองใบหน้าน่ารักของรุ่นพี่ทั้งสองสลับกัน ระหว่างที่ฟังพี่ลู่หานเล่าวีรกรรมที่ทำไว้เมื่อวันก่อน ตอนที่ได้เจอกับอีกหกสมาชิกฝั่งเค พี่ซิ่วหมินที่ตอนแรกดูอึ้งๆ ตอนนี้ก็ได้แต่พยักหน้า ถึงจะดูไม่ค่อยสนุกด้วยเท่าไหร่แต่ก็ไม่เห็นพูดอะไร ก็แหงอยู่แล้วว่าคนรองของวงน่ะจอมวางแผน วันก่อนที่คุยกันบนโต๊ะอาหารเหมือนเช้าวันนี้เนี่ยแหละ พี่ลู่หานยังอมยิ้มเหมือนมีเรื่องสนุกในใจ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปดึงไคมาแกล้งยั่วให้ตุ้ยจางงุ่นง่านแบบนี้ เฉินหนุ่มน้อยผู้มีจิตใจอ่อนโยนถึงได้นึกสงสารทั้งคู่ รองมักเน่ฝั่งโน้นน่ะไม่เท่าไหร่ หมอนั่นพริ้ว อาจจะมองเป็นเรื่องสนุกเหมือนกันก็ได้ แต่กับคนที่กลายเป็นเหยื่อแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เนี่ยสิ

    “แล้วพี่คิดว่าไงฮะ?

    “ฉันว่าชัวร์!

    “แบบนี้ก็น่าสงสารแย่ ถ้าตุ้ยจางคิดอะไรกับพี่อี้ชิงจริง แต่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย บอกไปก็ช้ำใจเปล่า”

    “นั่นสิเสี่ยวลู่ แล้วถ้าอี้ชิงไม่ได้คิดเหมือนที่ตุ้ยจางคิดล่ะ?”

    “ก็ช่างปะไร!

    “อ้าววว...”

    “คิดจะชอบใครก็ต้องแสดงความจริงใจให้เห็น ชอบก็บอกว่าชอบ ส่วนอีกฝ่ายเขาจะว่ายังไงนั่นก็อีกเรื่อง ตุ้ยจางกั๊กไปกั๊กมาแบบนี้มันไม่แมน”

    “แต่เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีไว้วัดความแมนนะ” ซิ่วหมินส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “มันเป็นเรื่องของจิตใจ ถ้านายเกิดชอบใครขึ้นมาบ้างแล้วจะกล้าบอกตรงๆ เขารึเปล่า?”

    “แหงอยู่แล้ว! คนอย่างฉันแมนพอ พวกนายคอยดูก็แล้วกัน!

    คนแมนๆ ยืดตัวขึ้นกอดอก แต่ซิ่วหมินกลับมองว่าท่าทางจริงจังขัดกับใบหน้าตุ๊กตานั้นเป็นเรื่องน่าขัน เขาหัวเราะเสียลั่นในขณะที่เฉินแค่ยิ้มๆ ด้วยเกรงใจรุ่นพี่ เสี่ยวลู่เป็นคนเก่งนะ น่ารักจริงใจ รักก็บอกว่ารัก เกลียดก็บอกว่าเกลียด (แม้ว่าที่ผ่านมาจะยังไม่เคยเห็นว่าเกลียดใคร) แต่เพราะเป็นคนสนุกสนานแบบนี้ กลัวแต่ว่าพอถึงเวลานั้นจริงๆ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้น่ะสิ ว่ามีใจให้ใครเขาไปแล้ว

     

     

    “คุยอะไรกัน เสียงดังไปถึงในห้อง” เสียงทุ้มที่ตำหนิมาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง คริสที่ตรงไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะหยิบกล่องนมออกมา ปรายสายตาไปทางโต๊ะอาหารที่ทั้งสามสมาชิกนั่งอยู่เพียงแว่บเดียวเพราะไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก แล้วก็เดินไปหยิบแก้วทรงสูงที่คว่ำอยู่บนเคาท์เตอร์

    “อรุณสวัสดิ์ตุ้ยจาง วันนี้ตื่นสายจัง”

    “ตื่นนานแล้ว แต่ขี้เกียจออกมา”

    “แหมๆๆ พอคนที่อยากเห็นหน้าไม่อยู่ ก็เลยไม่อยากเห็นหน้าใครเลยรึไง?”

    มือที่กำลังเทนมใส่แก้วชะงักค้าง คนหล่อหันมากดยิ้มร้ายใส่สมาชิกคนรองที่ฉีกยิ้มแป้นแล้น กะจะเล่นด้วยเสียหน่อยแต่เฉินก็แทรกขึ้นเสียก่อน

    “หมายถึงจื่อเทาเหรอฮะ?”

    “โถจงแด... นายคงนอนห้องเดียวกับตุ้ยจางนานเกินไปสินะ” หน้าซื่อๆ บอกว่าเฉินไม่ได้ตั้งใจจะกวน แต่คนที่ยิ้มแล้วหันไปลูบหัวน้องนั่นแหละ กวนชัดๆ!

    “งั้นแลกห้องเสียเลยมั้ยล่ะ ให้จงแดไปนอนกับนาย เผื่อจะติดนิสัยเป็นลิงเป็นข้างมาบ้าง”

    “แลกน่ะได้ กลัวแต่ใครจะขาดใจตายเสียก่อน อี้ชิงน่ะเวลาร้อนๆ ก็ไม่ใส่อะไรนอนเลยนะจะบอกให้”

     

    ใครบางคนสำลักนมที่เพิ่งดื่มจนหน้าแดง เขากระแอมเสียงในคอก่อนจะบอกเสียงห้วน

    “กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ไปเตรียมตัว สิบโมงต้องออกจากหอ ตรงเวลาด้วย”

    ลู่หานที่ยังสนุกไม่หายจำต้องลุกขึ้นเมื่อซิ่วหมินสะกิด แต่ตอนที่จะเดินกลับเข้าห้อง ข้อแขนของเขาก็ถูกดึงไว้

     

    “ทำไมอี้ชิงไม่ออกมาทานอาหารเช้า”

    ใบหน้าตุ๊กตากระตุกยิ้มอย่างรู้ทัน มองมือใหญ่ที่จับแขนเขาแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของ

    “อยากรู้ก็เข้าไปดูในห้องเองสิ”

    คริสจ้องกลับแววตาที่ท้าทายของคนชอบแหย่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจใส่แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่ได้โต้ตอบ เจอกวนอารมณ์ขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมพูดอะไร เห็นแล้วขัดใจลู่หานชะมัด

    “อย่ามัวแต่กั๊กน่าตุ้ยจาง นายน่ะมีทั้งศักดิ์และสิทธิ์ ถ้าจะดูแลหรือเป็นห่วงสมาชิกคนไหนเป็นพิเศษหน่อยก็ไม่มีใครเขาว่าหรอก”

    “...พูดอะไร”

    “เอ๊อๆๆ ถือว่าเค้าเตือนแล้วนะ บอกไว้ก่อนเลย เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วด้วย”

    “.....?”

    “ก็อีกไม่กี่วันก็ต้องเจอพวกเคอีกแล้วไม่ใช่รึไง ทำเป็นเฉยแบบเนี้ย ระวังไว้เถอะ”

    คริสปรายเพียงหางมองคนรองของวง ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยตอนที่ยกแก้วนมขึ้นจิบ

    “ถ้านายไม่ขยันชงจงอินให้มาจับคู่ เรื่องมันก็ไม่วุ่นวายนักหรอก”

    “อ้อ! นี่ตกลงยอมรับแล้วใช่มั้ย ว่าคิดไม่ซื่อกับน้องชายเค้าน่ะ”

    “...พูดไปเรื่อยน่า ลู่หาน”

    อันที่จริงก็แค่จะแซวเล่น แต่เห็นความปากแข็งกับท่าทางขี้เก๊กของอีกฝ่ายแล้วคนหวงน้องก็อดจะหมั่นไส้ไม่ได้

    “เฮอะ! เค้าเตือนก็หาว่าเค้าพูดมาก มัวแต่เก๊กอยู่ ซักวันเหอะจะเสียใจ! อี้ชิงน่ะไม่ใช่ว่าขี้เหร่นะ ไม่ใช่แค่จงอิน คนอื่นก็จ้องกันอยู่ เห็นว่านายคอยกันท่าหรอก คนอื่นถึงไม่กล้าน่ะ”

    “ฉันหรือนายกันแน่ที่กันท่า?”

    “เออๆๆ! เค้าเนี่ยแหละกันท่า! ก็จะทำไม? อี้ชิงเป็นน้องชายเค้า เค้ารักของเค้าก็ต้องหวงไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ ตัวเองไม่คิดอะไรก็ช่าง! มาเสียดายทีหลังจะสมน้ำหน้าให้! เฮอะ!”

     

    พอคนน่ารักสะบัดตัวเดินเข้าห้องแล้วกระแทกประตูปิด คริสก็ถอนหายใจออกมา ยกแก้วนมในมือขึ้นแล้วก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนจะวางมันกลับลงบนโต๊ะตามเดิม ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเรียบเฉยกลับเครียดขึงเมื่อนึกถึงขีดจำกัดของตัวเอง คริสจำต้องซุกซ่อนมันลงกับฝ่ามือ ...ด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เวทีวันนี้เป็นรายการใหญ่ มีศิลปินมากมายที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมและกำลังรอคิวขึ้นแสดงกันอยู่ในห้องพักหลังเวที รวมทั้งหกหนุ่มสมาชิก EXO-M ก็ด้วย เพราะมีคิวเป็นอันดับท้ายๆ เลยต้องรอนานหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยกำลังซนจะให้อยู่เฉยๆ แต่ในห้องคงไม่ได้ ต้องหาอะไรเล่นฆ่าเวลา จื่อเทาโชคดีหน่อยที่พกไอแพดมาด้วย ส่วนลู่หาน ซิ่วหมินและเฉินก็กำลังเล่นเปายิ้งฉุบทายคำถามกัน

     

    มีเพียงเลย์ที่แยกมานั่งอยู่บนโซฟาอีกตัว กำลังค้นๆ ในกระเป๋าเป้แล้วขมวดคิ้วเหมือนหาอะไรซักอย่างไม่เจอ ตอนนั้นเองแซนวิชชิ้นหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า

    “ทานเสียหน่อยสิ เมื่อเช้าไม่ได้ทานอะไรเลยไม่ใช่หรือ”

    เลย์เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยืนอยู่เหนือโซฟา ชุดธีมสีขาวทำให้ลีดเดอร์ของเขายิ่งดูหล่อ รับแซนวิชมาแล้วเลย์ก็ส่งยิ้มให้

    “ตื่นสายน่ะ ขอบใจนะ”

    “ทีหลังก็อย่านอนดึกมาก ลู่หานน่ะติดเล่น ไม่ต้องไปนั่งรอเขาทุกคืนก็ได้”

    คริสถือโอกาสนั่งลงเคียงข้าง ในมือของเขามีกระดาษอยู่สองสามแผ่น ระหว่างที่เลย์กำลังละเลียดกับแซนวิชในมือ เขาก็นั่งไล่สายตาบนกระดาษพวกนั้น

    “อ่านอะไรน่ะ?”

    “สคริปต์รายการวันนี้”

    คนอยากรู้พยักหน้าแล้วขยับเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้าเล็กน้อยเพื่อแอบมองตัวหนังสือบนกระดาษ เผลอไปหน่อยมายองเนสในแซนวิชมันก็เลอะนิ้ว นิดๆ หน่อยๆ เลย์ก็เลยแตะปลายลิ้นเลียๆ เอา  

     

    ตอนนี้สายตาของคริสไม่ได้อยู่บนหน้ากระดาษแล้ว ร่างสูงนึกอยากจะโทษสมาชิกคนสำคัญที่ทำให้เขาเสียสมาธิขนาดนี้ ขยับเข้ามานั่งใกล้เสียจนเกือบจะเกยตัก มุมที่เขามองอยู่ตอนนี้แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง แก้มขาวที่มีรอยบุ๋มกดลึกนั่นก็แทบจะสะกดความรู้สึกเขาให้จมดิ่งอยู่แล้ว ยังจะมา... วุ่นวายกับนิ้วสวยๆ ของตัวเองให้ใจเขาแกว่งเล่นอีก พอเห็นว่าเงียบไปนานเลย์ก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นสีหน้าอึ้งๆ ของคริสแล้วก็ยังส่งยิ้มหวานมาสำทับกะจะเอาให้ตายกันไปข้าง เรียวคิ้วสวยเลิกขึ้นเหมือนจะถามถึงข้อกังขาในใจ แต่คริสทำได้เพียงกระพริบตาปริบ เลย์ไม่เคยรู้เลยว่าระยะใกล้ชิดขนาดนี้จะทำให้คนตัวโตอย่างเขาเกิดอาการอัมพาตได้ บางทีเพราะความไม่ตั้งใจเนี่ยแหละที่ทำเอาคริสไปไม่เป็นมาหลายครั้งแล้ว

     

    คริสกลืนน้ำลาย ไล่สายตามองดวงหน้าหวานทำร้ายหัวใจตัวเองก่อนจะหยุดอยู่แค่ดวงตาคู่สวย 

    “อี้ชิง... คือว่า...”

     

    “โว๊ะ! อะไรเนี่ย?” แต่เสียงตกใจของจื่อเทากลับดึงความสนใจของเลย์ไป และทำให้คริสต้องหันไปมองด้วย น้องคนเล็กกำลังเบิ่งตาใส่หน้าจอไอแพด ซักพักก็ยิ้มออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนรองของวงที่อยู่บนโซฟาอีกตัว “เสร็จแน่พี่ลู่หาน”

    “ห๊ะ? อะไรนะ?” เจ้าของชื่อลุกพรวดแล้วโดดไปแย่งของจากมือรุ่นน้องทันที พอเห็นรูปในเวบเพจแฟนคลับที่จื่อเทาเปิดค้างไว้ ตากลมโตก็ยิ่งเบิกกว้าง “เฮ้ย! อะไรกัน?!

    เสียงที่ตกใจยิ่งกว่าทำให้ทั้งซิ่วหมินและเฉินสนใจ รีบลุกขึ้นมาขอดูบ้าง

    “มีอะไร? มีอะไร?!

    “ไม่ได้! ห้ามดูนะ!” แต่คนที่ถือไอแพดกลับรีบซ่อนมันไว้ข้างหลัง

    “เอามาดูบ้างสิเสี่ยวลู่”

    “มีอะไร? ทำไมดูไม่ได้ล่ะฮะ?”

    “บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้แล้วกัน!

    “อย่าขี้งกนักเลย”

    “ไม่ได้งก! แต่พวกนายห้ามดู!

    “เสี่ยวลู่อ่ะ!

    “บอกว่าไม่..! โอ๊ะ!” ตอนที่ยืดแขนขึ้นสูงๆ เพื่อไม่ได้ซิ่วหมินแย่งไอแพดไปได้ คนตัวสูงกว่าที่แอบเข้ามาทางด้านหลังก็แย่งมันไปจากมือเขาโดยไม่ต้องเปลืองแรงเอื้อมด้วยซ้ำ “เอาคืนมานะตุ้ยจาง!

    “ของนายที่ไหนกัน” คริสยักคิ้วเป็นต่อแล้วหันหน้าจอไอแพดมาดู ก่อนจะหัวเราะออกมา ทำเอาลู่หานยิ่งโวยลั่น

    “ห้ามหัวเราะนะ!

    “อายอะไร? ไม่ดีใจรึไง ดังใหญ่แล้วนะ ไคลู่เนี่ย”

    “ไคลู่?!!

    คนเป็นหัวหน้ายักคิ้วให้สมาชิกชาวเกาหลีทั้งสองก่อนจะส่งของข้ามหัวคนรองไปให้ โดยไม่สนใจเสียงโวยวายของคนที่ไม่อยากให้ดูเลยซักนิด

     

    “เหยยยย!!! นี่มัน...! อะไรเนี่ยเสี่ยวลู่?! ทำไมรูปสวีทพวกนายมันเยอะอย่างเนี้ย?”

    คนรองเดินสะบัดกลับไปนั่งกอดอกที่โซฟาด้วยท่าทางหงุดหงิด ภาพพวกนั้นมาจากรายการที่ไปอัดเทปกับพวกเคเมื่อวันก่อน กล้องแฟนคลับถ่ายรูปเขากับไคที่ยืนคู่กันไว้ตั้งเยอะแยะ แทบจะทุกช็อตกระพริบตาเลยด้วยซ้ำ มันก็ต้องมีจังหวะที่หันไปยิ้มหรือหัวเราะให้กันบ้าง แต่มันก็ไม่ได้หวานน่าจิ้นขนาดนั้นหรอก ...เสี่ยวลู่คิดว่างั้นนะ

    “ก็แค่ภาพแต่ง”

    “ไม่น้า... ผมว่านี่ไม่ได้แต่ง พี่ลู่หานยิ้มหวานมากอ่ะ”

    “จงอินก็ร้ายใช่เล่น ดูตาสิ แพรวพราวมาก”

    “เลิกวิจารณ์ซักทีเหอะน่า!” ลู่หานลุกขึ้นอีกครั้งแล้วไปแย่งไอแพดกลับมา คราวนี้ซิ่วหมินยอมยกให้แต่โดยดี “ฉันจะสมัครเข้าเวบนี้ แล้วบอกแอดมินให้เลิกโพสต์รูปซักที ไคลู่มันไม่เรียล!

    “แล้วอะไรถึงจะเรียล? ลู่ไครึไง?” คนรองหันขวับ มองคนแซวแล้วยิ้มแยกเขี้ยว ตุ้ยจางนี่วอนซะแล้ว!

    “ไม่มีอะไรเรียลเท่า คริสเลย์แล้วล่ะตุ้ยจาง ต้องให้บอกมั้ยว่าทำไม?”

    คนที่ยิ้มเป็นต่ออยู่ตอนแรกถึงกับหน้าตึง กลายเป็นลู่หานที่ยักคิ้วใส่เขา คริสรู้ว่าอีกคนที่ถูกพูดถึงกำลังหัวเราะคิกคักเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่ถ้าลู่หานคิดจะแฉต่อล่ะก็ไม่แน่ ร่างสูงเลยหันหลังทำท่าว่าจะเลิกต่อคำด้วย แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ คริสหันกลับมายิ้ม โน้มหน้าลงใกล้แล้วชี้นิ้วไปที่ไอแพด กระซิบเสียงไม่เบานักอยู่ที่ปลายจมูกคนรองตัวแสบ

    “ไม่ลองเลื่อนดูไปเรื่อยๆ ล่ะ เผื่อจะมีภาพตอนที่นายควงน้องชายคนสนิทฝั่งเคลงไปซื้อขนมกันสองต่อสองตอนกลางคืนหลุดมานะ คราวนี้ได้รู้แน่ ว่าอะไรที่เรียกว่า เรียล

     

    เสียงหัวเราะกับคำถามคาดคั้นเซ็งแซ่ห้องแต่งตัวจนลู่หานหูอื้อไปหมด หน้าตุ๊กตาของเขาร้อนผ่าวจนแทบจะระเบิด งานนี้คริสไม่ได้ผิดคนเดียว ถึงจะอยากตะโกนใส่หน้าลีดเดอร์ตัวดีมากแค่ไหน แต่ก็อยากตั๊นหน้าตัวต้นเหตุมากกว่า!

     

    เพราะคิมจงอินคนเดียวแท้ๆ เลย!

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    หลังจบการแสดงในเย็นวันนั้น ลงมาจากเวทีแล้วคริสก็หายไปจากห้องแต่งตัวพักใหญ่ๆ ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมพี่ผู้จัดการ หน้าตาดูอารมณ์ดีมากๆ เขาบอกกับสมาชิกทุกคนพร้อมรอยยิ้ม

    “เย็นนี้ไปหาอะไรกินข้างนอกกัน ฉันขออนุญาตพี่ผู้จัดการแล้ว”

    “เย้! ตุ้ยจางเลี้ยงนะ?”

    “ตลอดอ่ะ”

    “ก็คนหล่อมักใจดีนี่นา”

    ถึงจะรู้ว่าหลอกชมแต่คริสก็ยังยิ้มเพราะเห็นสมาชิกอารมณ์ดีกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ลู่หานที่เพิ่งฉะกับเขาไปเมื่อชั่วโมงก่อน ความจริงตลอดช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ สมาชิกแต่ละคนต้องทำงานและเดินทางกันแทบทุกวัน พอจะได้ออกนอกลู่นอกทางไปชาร์จแบตบ้างก็เลยลิงโลดกันใหญ่

     

    “จื่อเทาอยากกินอะไร?”

    คริสให้น้องคนสุดท้องเลือกมื้อเย็นสำหรับพวกเขา เทาเองก็หันไปฟังเสียงพี่คนโตซึ่งเป็นรูมเมทที่เอาศอกกระทุ้งสีข้างเขารัวๆ อีกที

    “หม้อไฟมั้ยพี่ ไม่ได้กินนานละ”

    อีกสามคนส่งเสียงเฮก่อนจะยกมือขึ้น

    “เห็นด้วย!

    “ฉันก็ด้วย!

    “ผมด้วยฮะ!

    “แต่มันเผ็ดนะ”

    “แล้ว?”

    “อี้ชิงจะทานได้หรือ?”

    “โหยยย! ตุ้ยจางลำเอียงอ่ะ นี่สี่เสียงเชียวนะ!

    คริสหัวเราะกับเสียงโห่แซวนั้นอย่างอารมณ์ดี ความจริงเขาก็แกล้งพูดไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าไม่มีใครคิดอะไรมาก เลย์เองก็เหมือนกัน รายนั้นทานเผ็ดไม่เก่งก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทานไม่ได้เลย

    “ฮะๆๆ ฉันกินอะไรก็ได้ หม้อไฟมันก็ไม่ได้เผ็ดมากนี่”

    “นั่นสิตุ้ยจาง ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้อี้ชิงจะไม่เคยทานเผ็ดเสียหน่อย”

    “โอเค! งั้นฉันเลี้ยงเอง ทุกคนเลย”

     

     

     

    หลังออกจากสตูดิโอแล้ว รถตู้ก็พาสมาชิกทั้งหกมาส่งที่ถนนสายหนึ่ง ตอนนั้นมีแฟนคลับตามมาไม่มากแล้ว พี่ผู้จัดการกำชับนักหนากว่าจะยอมปล่อยให้พวกเขาออกมาเดินในที่ชุมนุมชนในเวลาหัวค่ำแบบนี้ โชคดีว่าแฟนคลับกลุ่มที่มักจะตามพวกเขาไปไหนมาไหนค่อนข้างมีมารยาท ปกติจะตามไปส่งแค่เวลาทำงานแล้วก็ที่หอพัก แต่ถ้าออกนอกเส้นทางเมื่อไหร่ พวกเขาจะรู้ว่าเป็นเวลาส่วนตัว ไม่ตามติดจนน่ารำคาญ อย่างมากก็แค่เดินตามอยู่ห่างๆ อีกฝากหนึ่งของถนนโดยไม่เข้ามาวุ่นวายใกล้ๆ กระทั่งคนแถวนั้นเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ขาย และวัยทำงานที่เพิ่งเลิกงานมา ก็ไม่ค่อยสะดุดตาพวกเขาเท่าไหร่ ดังนั้นวันนี้หกหนุ่มจึงเดินเล่นบนถนนเส้นนั้นได้อย่างค่อนข้างเป็นอิสระ

     

    จริงๆ แล้วเป้าหมายคือร้านหม้อไฟเจ้าอร่อยที่อยู่ท้ายถนน แต่ตลอดทางที่ผ่านก็ยังมีห้างร้านให้น่าแวะช้อปปิ้ง เด็กหนุ่มทั้งหกเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยแบบไม่รีบร้อน ชี้ชวนกันดูข้าวของข้างทางอย่างผ่อนคลายแต่ก็ยังเกาะกลุ่มกันอยู่ กระทั่งคริสหยุดฝีเท้าที่หน้าร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์โปรด

     

    เสื้อสเว็ตเตอร์แขนยาวสีน้ำเงินเข้มที่หุ่นโชว์สวมใส่ทำให้ร่างสูงใหญ่นึกยิ้ม

    “อี้ชิงดูนี่สิ เสื้อตัวนี้สวยดี”

    คนที่เลยไปแล้วหันกลับมามองก่อนจะเดินเข้ามาหา มองผ่านกระจกหน้าร้านตามที่อีกฝ่ายชี้แล้วก็พยักหน้า

    “สวย แต่แพงนะ” ร่างสูงเลิกคิ้ว เขามักจะมองที่ความชอบก่อนราคาเสมอ แต่เลย์ไม่ใช่ พอคริสขยับปากจะพูดอะไร คนอายุน้อยกว่าก็เบนสายตาไปที่หุ่นโชว์ตัวข้างๆ “โค้ทตัวนี้เท่จัง”

     

    คริสควรจะสนใจโค้ทแขนยาวสีดำสนิทที่ทำจากผ้ากำมะหยี่สีดำที่อยู่ตรงหน้า แต่สายตากลับไม่อาจละจากดวงแก้มขาวที่แต้มตำหนิของคนข้างกายได้ แขนข้างหนึ่งของเขาถูกมือขาวสวยดึงไปเกาะไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ และเพราะแรงดึงนั้นทำให้ระยะห่างของพวกเขาแทบไม่เหลือตอนที่คริสหันหน้าเข้าหา ลมเบาๆ ที่พัดมาพาให้ไรผมอ่อนปัดป่ายจนรู้สึกจั้กจี้ที่ปลายจมูก พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คริสเดาไม่ออกว่าแชมพูหรือสบู่ยี่ห้อไหนที่ทำให้คนตัวบางหอมได้ถึงเพียงนี้ ร่างสูงหลับตาแล้วจำต้องถอยออกมาเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะเสียหลัก เซเข้าหาร่างที่เล็กกว่าแล้วฝังปลายจมูกลงบนแก้มขาวเนียนตรงหน้าได้  

    “เหมาะกับนายว่ามั้ย?” โชคดีที่เลย์หันมาหลังจากนั้น คริสลอบถอนหายใจเบาๆ

    “...อืม เหมาะ”

    “ซื้อสิ” เข้าใจว่าแค่จะกระเซ้า แต่แรงเขย่าอ้อนๆ ที่แขนกับยิ้มหวานปนขี้เล่นนั่นก็ทำเอาคริสเกือบจะควักบัตรเครดิตขึ้นมารูดเสียจริงๆ

    “สองคนนั้นน่ะ รั้งท้ายแล้วนะ” ดีที่ได้เสียงห้าวๆ ของลู่หานปรามไว้ คริสเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจก่อนตะโกนตอบ

    “ถึงยังไงฉันก็เป็นคนจ่ายอยู่ดีนั่นล่ะ”

    เสียงจิ๊ปากของลู่หานดังไม่เบาและมันก็ทำให้คนข้างกายเขาหัวเราะได้ มือเรียวสวยกำลังจะปล่อยท่อนแขนเขาให้เป็นอิสระ แต่คริสก็คว้าจับความนุ่มมากอบกุมไว้เพื่อดึงโอกาสของตัวเองให้นานขึ้นอีกนิด

     

    “ไปกันเถอะ”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    หลังจากอิ่มหมีพีมันกันถ้วนหน้าแล้ว พอกลับถึงห้องพัก สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน ลู่หานเองพออาบน้ำเสร็จก็โดดขึ้นมานอนตีพุงเล่นอยู่บนเตียง เห็นน้องชายรูมเมทกำลังจดบันทึกเขาก็พลิกตัวนอนคว่ำ เอามือท้าวข้างแก้มไว้

    “นี่อี้ชิง”

    “หือ?”

    “ถามอะไรหน่อยสิ”

    “....?”

    “นายว่า... ตุ้ยจางเป็นยังไง?”

    เลย์เอียงคอถามกลับแบบไม่ค่อยเข้าใจนัก

    “เป็นยังไงคืออะไร?”

    “ก็หมายถึง... รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ... เอางี้ เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดถึง หมอนั่นกินขาด แต่นิสัยใจคอล่ะ นายว่าหมอนั่นมีข้อเสียตรงไหนบ้าง? มีนิสัยแย่ๆ อะไรที่นายรับไม่ได้บ้างมั้ย?”

    “อืม...” เลย์ปิดสมุดแล้วหันทั้งตัวมาทางอีกเตียง ทำหน้าคิดเอาจริงเอาจังกับคำถามของรูมเมทคนพี่ พอยกมือขึ้นจะท้าวคางถึงได้รู้สึกผิดปกติ “เอ๊ะ!

    “มีอะไร?”

    “กำไลข้อมือฉัน!” เลย์ยืดตัวขึ้นแล้วหันมองรอบๆ ตัว ยกหมอนรื้อผ้าห่มจนวุ่นวายแล้วก็นิ่วหน้า ก่อนจะนิ่งไปซักพักแล้วก็ร้องเสียงดังอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “แย่ละ! ฉันถอดออกตอนล้างมือ ลืมไว้ที่ร้านอาหารแน่เลย!

    “หาดีๆ ก่อนซิ”

    “ไม่มีหรอก อยู่ที่ร้านแน่ๆ!

    “เดี๋ยวอี้ชิง! จะไปไหน!” ลู่หานรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเลย์ที่ตอนนี้เปิดประตูห้องออกไปแล้ว ร่างโปร่งบางของน้องชายมาชะงักเอาตรงประตูหน้าเมื่อเสียงทุ้มเรียกไว้

    “จะไปไหนอี้ชิง?”

    “ฉันลืมกำไลไว้ที่ร้าน จะกลับไปเอา”

    “แต่นี่มันดึกแล้วนะ”

    “แต่กำไลนั่นสำคัญมาก ฉันปล่อยให้หายไม่ได้หรอก” เลย์รีบร้อนถอดรองเท้าแตะแล้วเปลี่ยนมาสวมผ้าใบ เขาในตอนนี้สวมเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นซึ่งเป็นชุดนอน ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ทันคิดว่าต้องออกไปข้างนอกในสภาพไหน นั่นเป็นเพราะกำไลที่ว่านั่นคือของขวัญวันเกิด กำไลสีดำเจ็ดเส้นที่แม่เขาซื้อให้ เลย์ใส่ติดตัวตลอดแม้กระทั่งเวลานอน จะมีก็แค่ตอนอาบน้ำที่จะถอดเก็บไว้ พี่น้องทุกคนเคยเห็นมาตั้งแต่ก่อนเดบิวต์และรู้ดีว่ามันมีความสำคัญต่อเลย์มากแค่ไหน ลู่หานเองก็รู้ แต่จะให้ปล่อยออกไปค่ำๆ มืดๆ ในสภาพแบบนี้ไม่ได้หรอก

    “ใจเย็นก่อนสิ! ทางร้านอาจจะเก็บไว้ให้ พรุ่งนี้เราค่อยไปดูก็ได้”

    “แต่ใครอาจจะหยิบไปก่อนก็ได้นี่ ไม่ได้หรอก ฉันร้อนใจ ให้ฉันไปเถอะนะ”

    “ไม่ได้หรอก ดึกแล้วมันอันตรายนะ ขืนออกไปตอนนี้พี่ผู้จัดการดุตายเลย”

    “ฉันไปเอง” คริสบอกขึ้นในที่สุด หยุดการเถียงกันของสมาชิกทั้งสอง “ฉันจะไปขออนุญาตพี่ผู้จัดการ รีบไปรีบกลับคงไม่เป็นไร”

    “ให้ฉันไปด้วยนะ ฉันร้อนใจ ทนรออยู่ที่นี่ไม่ไหวหรอก”

    “งั้นเค้าไปด้วย”

    “นายอยู่ที่นี่ดีกว่า” เขาบอกกับลู่หาน จริงๆ แล้วอยากจะห้ามเลย์ด้วยแต่รู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ยอม “ไปกันหลายคนจะวุ่นวาย เผลอๆ จะโดนดุกันหมด”

     

     

     

    หลังจากโดนลู่หานบังคับให้กลับไปเปลี่ยนกางเกงแล้วยัดเยียดเสื้อกันหนาวแบบมีฮู้ดมาให้สวมทับแล้ว เลย์ก็ตามคริสออกไปที่ถนนหน้าหอพัก ตั้งใจว่าจะโบกแท็กซี่ไป แต่รออยู่พักใหญ่ๆ ก็ยังไม่มีรถผ่านมา ความร้อนใจทำให้เลย์ออกเดินไปเรื่อยๆ ปกติก็เป็นคนเดินช้าเพราะต้องคอยระวัง ไม่ค่อยชินกับการเดินเร็ว เพราะอย่างนั้นพอลืมตัวหน่อยขาแข้งมันก็เลยสะดุดกันเอง เลย์เกือบจะล้มอยู่หลายครั้งแต่โชคยังดีที่คริสคว้าไว้ทัน

    “ไม่ต้องรีบมากก็ได้ ระวังหน่อยเถอะ หกล้มขึ้นมาจะลำบาก”

    เลย์พยักหน้าแล้วเอ่ยปากขอโทษ จากตอนนั้นก็เลยต้องระวังมากขึ้น คริสเองก็คอยจับต้นแขนเขาไว้ตลอดทาง เดินไปจนเกือบสองป้ายรถเมล์แล้วก็ยังไม่มีรถแท็กซี่ให้เรียก เสียงฟ้าร้องครืนเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตก นั่นทำให้เลย์ยิ่งลุกลี้ลุกลน  

    “แท็กซี่ไปไหนกันหมด นี่ยังไม่ดึกมากเสียหน่อย ...จากนี่ไปอีกไกลมั้ยตุ้ยจาง เราเดินไปได้มั้ย?”

    “ไม่ไหวหรอก ไกลเกินไป”

    เลย์เม้มปากแล้วก้มหน้าอย่างอับจนหนทาง นิ่งไปนานจนคริสต้องยื่นมือมาบีบไหล่

    “อี้ชิง...”

    “...ทำไมถึงขี้ลืมแบบนี้นะ”

    “ไม่เอาน่า...” คริสย้ำแรงมือให้เลย์เงยหน้า ตาคู่สวยตอนนี้ดูหม่นหมองจนน่าใจหาย ร่างสูงขยับเข้าใกล้ขณะที่ดึงร่างโปร่งบางให้เข้ามาในอ้อมแขน พอวางมือลงบนแผ่นหลังบางหมายจะลูบปลอบ เลย์ก็สะดุ้งแล้วเป็นฝ่ายถอยออก   

     

    “ว่าไงเสี่ยวลู่?” เพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดขึ้นมา พอรู้ว่าเป็นใครเลย์ก็รีบกดรับ “ ...ห๊ะ? จริงเหรอ?!     ...อื้อ ขอบใจนะ

    คริสค่อนข้างมั่นใจว่าเขาเห็นรอยยิ้มกับแววตาโล่งอก ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาหา มองหน้าเขาแล้วก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

    “ขอโทษ...!

    “....?”

    “เสี่ยวลู่โทรมาบอกว่าเจอกำไลแล้ว”

    “ที่ไหน!?”

    “ในกระเป๋าเป้ฉันเอง”

    “ห๊ะ?!

    “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ตอนนั้นจะล้างมือก็เลยถอดแล้วเก็บใส่กระเป๋าหน้าไว้ก่อน”

    คริสอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ”

    ทั้งที่เขาเปรยเพราะรู้สึกโล่งอกแต่เหมือนเลย์จะยิ่งรู้สึกผิด คนขี้ลืมกัดปากแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ ยกมือขึ้นประสานกันไว้ใต้คาง ซอยเท้าน้อยๆ ตอนที่เอ่ยคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา

    “ขอโทษนะตุ้ยจาง ขอโทษๆๆ ฉันไม่ดูให้ดีเอง นายเลยต้องลำบากไปด้วย ขอโทษจริงๆ”

    “หาเจอก็ดีแล้วล่ะ” คริสยื่นมือไปลูบหัวน้อง ไม่ได้รู้สึกเสียเที่ยวหรือหงุดหงิดอะไรเลยซักนิด กับที่ต้องเสี่ยงโดนพี่ผู้จัดการตำหนิที่พากันออกจากห้องพักมาดึกๆ ดื่นๆ แล้วยังเดินเท้ามาอีกตั้งไกล นี่ยังไม่รวมขากลับ โอเคล่ะว่าเวลาป่านนี้เขาควรจะได้พักผ่อน แต่เวลาที่จะได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ คริสรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสด้วยซ้ำ

     

     

    เสียงฟ้าร้องดังอย่างต่อเนื่องมาพักใหญ่ๆ แล้ว ในที่สุดมันก็ปล่อยน้ำที่อุ้มไว้ให้ตกลงมาเป็นฝน ละอองเม็ดแรกตกลงบนหลังมือใหญ่พอดี

    “แย่ล่ะ” คริสหันซ้ายขวาก่อนจะดึงข้อมือบางให้วิ่งตามไปหลบอยู่ใต้ชายคาป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก โชคดีที่ฝนยังไม่หนักมาก ตัวเขาไม่ได้เปียกอะไร สะบัดผมไล่ละอองน้ำสองสามทีก็โอเค แต่เมนเต้นของเขาเป็นเด็กป่วยง่าย ถึงจะสวมเสื้อแขนยาวทับไว้ก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

    “จะโดนพี่ผู้จัดการดุก็ตอนที่ตัวเปียกกลับไปนี่แหละ” เขาบอกพลางปัดมือไล่ละอองน้ำที่เกาะตามเส้นผมและช่วงไหล่ให้ แต่เลย์กลับขยับถอยไปครึ่งก้าว

    “ขอโทษนะตุ้ยจาง เพราะฉันแท้ๆ”

    แต่คริสก็ดึงแขนให้น้องกลับเข้ามาอยู่ใกล้ ถอยออกไปกว่านี้จะเปียกละอองฝนได้

    “พอได้แล้วน่า ยิ่งนายขอโทษ ฝนมันก็ยิ่งตกหนักนะ” ปลอบเหมือนหลอกเด็ก แต่พอเลย์เม้มปากแล้วนิ่งเงียบไปซักพัก ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่ก็ค่อยเบาลง คริสลองยื่นมือออกไปรองก็พบว่ามันซามากแล้ว เขาหันกลับมาแล้วดึงฮู้ดที่ติดมากับเสื้อขึ้นคลุมศีรษะคนเป็นน้องไว้

    “ใส่นี่ไว้นะ”

    “จะวิ่งฝ่าไปเหรอ?”

    “ไม่รู้จะตกลงมาอีกเมื่อไหร่ รีบกลับกันดีกว่า” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าห่วงกว่า ถนนลื่นๆ แบบนี้อันตราย ถ้าคนข้างๆ เกิดลื่นล้มแล้วได้แผลขึ้นมาจะยิ่งแย่ มือใหญ่เลยฉวยเอามือที่เล็กและนิ่มกว่ามากุมไว้ ก่อนจะกำชับ “ห้ามปล่อยมือนะ ถ้าไม่ไหวก็บอก”

    “อื้อ”

     

    กระแสอุ่นวาบจากปลายนิ้วแผ่ซ่านจนถึงอกซ้ายเมื่อมือนิ่มกระชับตอบ หัวใจของคริสเต้นรัวจนขยับตัวแทบไม่ได้ อาการผิดปรกติแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยแต่เขาไม่เคยชินซักครั้ง เลย์ที่มีแค่ดวงตาสวยใสกับรอยยิ้มหวานมักทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัวเสมอ แค่สัมผัสเล็กน้อยก็ทำให้โลกทั้งใบของคริสหยุดหมุน ร่างกายสูงใหญ่กับใบหน้าหล่อเหลาที่ใครๆ มักอิจฉาแทบไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อหัวใจทั้งดวงถูกกุมไว้ในมือเล็กๆ นั้น   

     

    ลู่หานอาจพูดถูก เขามีทั้ง ศักดิ์ที่เป็นพี่ และ สิทธิ์ในความเป็นตุ้ยจาง เขาอยากดูแลเอาใจใส่เลย์มากแค่ไหนก็ได้ ตราบใดที่ดวงตาคู่สวยยังมองมายังเขาด้วยความไว้ใจ ที่ครั้งที่สบตา ...ทุกครั้งที่คริสมีอาการแปลกๆ เลย์ไม่เคยนึกสงสัยหรือหวาดระแวงในความรู้สึกซักครั้ง มันคือด้านกลับกันกับที่ลู่หานคิด ...เลย์เองก็คงเห็นเขาเป็นแค่ พี่และหัวหน้าหากเลย์รู้ว่าหัวใจของเขาคิดไม่เหมือนกัน ดวงตาคู่นั้นคงไม่อาจมองเขาเหมือนเดิมได้อีก ถ้าเป็นอย่างนั้น คริสยอมเลือกที่จะเก็บความรู้สึกตัวเองเอาไว้ดีกว่า... ไม่ใช่หรือ

     

    ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะทนอยู่ในสภาพนี้ได้นานแค่ไหน...

     

    “...พร้อมนะ?”

     

    แต่อย่างน้อยในตอนนี้... เขาก็ยังจับมือเล็กๆ นี้ไว้ได้โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด

     

    “อื้อ”

     

    เพราะอย่างนั้น... ก็จะไม่มีวันปล่อยมือง่ายๆ เด็ดขาด

     

    “ไปกัน!

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC.

     

     

     

     

     

    Talk: ช่วงนี้เติร์ดไม่ว่างค่ะ อ่านฟิคเอื่อยเฉื่อยของคนรองคั่นเวลาระหว่างรอน้องมาต่อฟิคเนอะ ^^
    ปอลอ แปะรูปนั่งอ่านสคริปต์ด้วยกันเพิ่มความฟิน ><




     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×