ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] หวานใจ >///<

    ลำดับตอนที่ #11 : หวานใจ ตอน 11 ::: คุณนายแม่

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.68K
      11
      13 ต.ค. 56

    [Fic] หวานใจ >///<

    ตอน 11: คุณนายแม่

    Fiction by 2nd Admin

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เช้าวันนี้ คริสถูกปลุกให้ตื่นจากนิทราด้วยเสียงดนตรีแว่วหวาน ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมรอยยิ้มบาง พอเยี่ยมหน้าเข้าไปมองในห้องรับแขก คนตัวเล็กที่นั่งอยู่หลังเปียโนสีขาวก็เงยหน้าขึ้นมองแล้วส่งยิ้มให้

     

    “อรุณสวัสดิ์ครับ”

    “อรุณสวัสดิ์คนเก่ง” ร่างสูงเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงเคียงข้างคนรักบนม้านั่งยาว ดุนปลายจมูกโด่งกับข้างขมับขาวเบาๆ “ขี้เห่อจังนะเรา ตื่นมาเล่นแต่เช้าเลย”

    “เสียงดังรบกวนพี่คริสหรือเปล่าครับ?”

    “ไม่เลย พี่ชอบฟังออก บอกแล้วไง อยากให้อี้ชิงเล่นให้ฟังทุกวัน”

    อี้ชิงยิ้มรับคำหวานของคนรัก เรียวนิ้วสวยยังคงบรรเลงท่วงทำนองหวานหูอย่างต่อเนื่องกระทั่งจังหวะดนตรีเริ่มช้าลง เมื่อผ่อนแรงนิ้วจากคีย์สุดท้าย เสียงเพลงก็จบลง รางวัลของคนเก่งคือจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มหอม ก่อนที่ไหล่บางจะถูกโอบรั้งให้เอนลง อิงศีรษะกับแผ่นอกแข็งแรงไว้ ให้พี่คริสซุกปลายจมูกลงคลุกเคล้าความนุ่มหอมอย่างตามใจ

     

    ผ่านเรื่องราวมามากมาย สิ่งที่อี้ชิงมั่นใจได้อย่างที่สุดก็คือความรักที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจของพี่คริส หัวใจที่ยอมให้เขาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ความอบอุ่นและอ่อนโยนที่มอบให้ในทุกๆ การกระทำ ทำให้ความหวาดกลัวกับการสูญเสียที่เคยปิดกั้นหัวใจดวงน้อยๆ นั้นก็กลายเป็นเพียงหมอกบาง รักที่มากมายของพี่คริสทำให้รักของอี้ชิงในยามนี้ไร้ซึ่งความระแวงสงสัยใดๆ ช่างน่าตีนักที่ก่อนหน้านี้ อี้ชิงแอบมีความคิดว่าพี่คริสจะเปลี่ยนใจจากเขาได้ลง ทั้งที่ร่างสูงทำเพื่อเขาตั้งมากมายขนาดนี้

     

    อี้ชิงขยับนิ้วน้อยๆ ให้สอดประสานเมื่อมือใหญ่เข้ากอบกุมไว้ทั้งมือ

    “...สีขาวหรือสีดำ”

    “หืม?” เรียวคิ้วได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเสียงนุ่มเปรยขึ้น คริสยังไม่ยอมถอนจมูกจากก้อนไหมนุ่มสีน้ำตาลเข้ม

    “ตอนนั้นแบคฮยอนมาถามผม ว่าถ้าให้เลือกระหว่างสีขาวกับสีดำ จะเลือกสีไหน ผมยังไม่ได้นึกถึงเปียโนเลย”

    คริสหัวเราะเบาๆ

    “เจ้าตัวเล็กบอกว่าอี้ชิงชอบสีดำ แต่พี่ว่าสีขาวเหมาะกับเรามากกว่า หรืออี้ชิงอยากได้สีดำ?”

    หัวกลมเกลือกไปมาอยู่กับอก อี้ชิงแนบแก้มกับอกเขาแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ส่งเพียงรูปตาที่วาดเป็นขีดโค้งขึ้นมา

    “พี่คริสตั้งใจซื้อให้ จะเป็นสีไหนหรือของอะไร ผมก็ชอบทั้งนั้น”

    คนหล่อคลี่ยิ้มเสียกว้าง กดจูบเหนือหน้าผากเนียนแล้วรัดแขนกอดร่างขาวบางให้ยิ่งแน่น

    “ชื่นใจพี่จริง ไม่เสียแรงที่โทรไปเร่งแบคฮยอนทุกวัน ตอนแรกทางร้านรับปากแค่ว่าได้ของภายในอาทิตย์นี้ เมื่อวานที่แบคฮยอนโทรมาบอกว่าได้ของแล้ว พี่ดีใจแทบแย่ รีบให้เขาเอามาส่งที่บ้าน คิดว่าเสร็จแล้วก็จะไปรับอี้ชิงทันทีเลย แต่พี่เรื่องมากเอง ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี ย้ายไปย้ายมาอยู่หลายรอบสุดท้ายก็มาลงตัวที่ห้องรับแขกนี่”

    “ผมยังรู้สึกผิดอยู่เลย ที่มองพี่คริสกับแบคฮยอนแบบนั้น” เด็กคิดมากว่าเสียงเบา คริสจึงดันร่างน้องออกเล็กน้อย ช้อนนิ้วใต้คางเล็กให้ใบหน้าหวานเงยขึ้นจนมองได้เต็มตา

    “ถ้ารู้สึกผิดก็ต้องรักพี่ให้มากๆ เป็นการไถ่โทษนะ”

    อี้ชิงส่ายหน้าไปมา ก่อนที่แก้มขาวเนียนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูน่ารัก

    “มากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะครับ เท่านี้ก็มากที่สุดแล้ว” ที่สุดในชีวิต ที่สุดของหัวใจ พี่คริสจะเข้าใจมั้ย ในหัวใจดวงน้อยๆ มันมีแต่คำว่ารักอัดแน่นจนพองโตไปหมดแล้ว

     

    เอ่ยคำหวานอย่างน่ารักทั้งที่ดวงตาซื่อใส น่าเอ็นดูเสียจนคนเป็นแฟนต้องระบายยิ้มกว้าง แตะริมฝีปากพรมจูบเสียจนทั่วใบหน้าหวานด้วยความรัก ก่อนจะแนบหน้าผากกับหน้าผากเนียนไว้ สบสายตาหวานซึ้งขณะเอ่ยคำรักที่หวานยิ่งกว่า

    “พี่ก็รักอี้ชิงมากที่สุดนะครับ”  

     

    สองมือที่เกี่ยวกันไว้ยิ่งประสานกันแนบแน่น อี้ชิงหลับตาเมื่อริมฝีปากอุ่นเคลื่อนเข้าหา รับรู้เพียงความหวานที่แตะแต้มไปจนทั่วกลีบปาก ก่อนที่ความอ่อนนุ่มจะดูดดึงริมฝีปากล่างอย่างร้องขอให้เปิดทาง ให้ลิ้นอุ่นเข้าป้อนความหวานที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า อี้ชิงก็โอนอ่อนตามอย่างว่าง่าย

     

    มีคนบอกว่า คู่รักที่ทะเลาะกัน เมื่อปรับความเข้าใจและคืนดีกันได้ ก็จะทำให้รักกันมากขึ้น แต่คริสกับอี้ชิงไม่ใช่แบบนั้น ความไม่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายต่างก็รักกันมากเกินไป ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย คริสตระหนักแก่ใจแล้วว่าเขารักและต้องการจางอี้ชิงคนนี้เพียงคนเดียว เสียงหัวใจที่กระหน่ำใต้แผ่นอกนี้ไม่เคยโกหก คริสรู้และมั่นใจอย่างที่สุดว่าอี้ชิงควรจะรับรู้ได้ จูบหวานที่มอบให้จึงยิ่งร้อนแรงเมื่อลิ้นเล็กพัวพันโต้ตอบ เสียงครางเครือแผ่วเบาอย่างไร้เดียงสากลับเหมือนเร่งเร้าให้คริสเป็นฝ่ายตักตวงความหอมหวานกลับไปบ้าง มือใหญ่จึงเลื่อนขึ้นประคองต้นคอเล็กไว้ กวาดลิ้นร้อนตักต้อนทุกความหวานในโพรงปากนุ่มอย่างที่ไม่เคยกล้าทำมาก่อน ร่างสูงรู้สึกได้ถึงคมเล็บที่จิกลงบนหลังมือ มือเล็กอีกข้างไต่ขึ้นขยำอกเสื้อเขาเสียแน่น จูบหวานยิ่งเนิ่นนาน ร่างเล็กบางก็ยิ่งหอบหนัก ตัวอ่อนจนต้องอิงซบลงกับอกคนรัก คริสรู้ว่าควรผ่อนแรงให้น้องได้เรียกคืนลมหายใจได้ตอนไหน แต่อี้ชิงก็ไร้เดียงสาเกินจะรู้ว่าการโอนอ่อนอย่างตามใจนั้นทำให้คริสยิ่งมักมาก ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่เจ่อช้ำนั้นทำให้ร่างสูงถอนจูบได้ยากแค่ไหน อี้ชิงไม่รู้ และยิ่งไม่ควรรู้ว่าในหัวใจของคริสมันเรียกร้องไปไกลมากกว่าจูบที่แสนหวานนี้

     

    คริสจับมือเล็กทั้งสองข้างให้วางลงบนบ่า ตัดใจถอนจูบแล้วดึงใบหน้าตนออก ให้ห่างแค่ไหนก็ได้เพียงลมหายใจกั้น สองมือกอบประคองสองแก้มเนียนใสที่แดงปลั่งไว้ มองสบแววตาหวานเชื่อมของคนรักแล้วเกลี่ยจมูกกับปลายจมูกเล็กอย่างรักใคร่ คลุกเคล้าคลอเคลียปรางแก้มนุ่มหอมที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ชื่นใจไม่เคยพอ อี้ชิงไม่ขืนร่างหรือหมดแรงจะขืน คริสก็ไม่สนใจและไม่อยากหาข้ออ้างให้ตัวเองต้องลังเลแล้ว หากน้องรับรู้ถึงความร้อนที่รุมเร้าในร่างกายนี้ได้ น้องคงรู้ว่าความรักที่มากมายนั้นกำลังเรียกร้องเกินกว่าที่คริสจะควบคุมได้แล้ว

     

    “เข้าห้องเถอะ... นะ”

     

    เสียงกระซิบเหนือริมฝีปากทำให้ประกายสวยในดวงตาคู่งามวูบไหว แทนความหมายว่าอี้ชิงเข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวใจคริสดี หากน้องปฏิเสธเสียแต่ตอนนี้คริสยังพอยั้งตัวเองได้ แต่แทนที่จะขืนร่างเหมือนเช่นเคย อี้ชิงกลับซุกตัวลงกับอกกว้างให้คนตัวโตกอดเอาไว้แน่น ร่างสูงยิ้มเงียบๆ ด้วยความดีใจ กดริมฝีปากเหนือหน้าผากเนียนแล้วอุ้มร่างหอมกรุ่นขึ้นแนบอก พาคนรักเข้าห้องนอนด้วยหัวใจที่เต้นระรัว

     

     

    วางร่างขาวบางลงบนเตียงกว้างของตัวเองแล้วคริสก็โน้มกายลงเคียงข้าง มองดวงหน้าหวานที่แดงซ่านอย่างน่ารักด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า อี้ชิงไม่ยอมสบตาเขา สองมือเล็กกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น แผ่นอกบางภายใต้เสื้อยืดตัวหนาที่สะท้อนขึ้นลงบอกให้รู้ว่าจังหวะหัวใจของน้องเองก็ไม่ต่างจากคริสเลย ผิวกายเนียนนุ่มร้อนผ่าวยามที่คริสไล้หลังมือไปตามท่อนแขนขาว ก่อนจะค่อยคลายมือเล็กออกจากเนื้อผ้าที่ยับย่น ดึงขึ้นมารับจูบที่อ่อนโยนจากริมฝีปากอุ่น เกี่ยวนิ้วประสานแล้ววางมือไว้บนหมอน

     

    “กลัวพี่หรือ?” คริสถามเสียงเบา และอี้ชิงก็ส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากอิ่มถูกกลืนเข้าไปซ่อนไว้ คริสจึงแต้มจูบเบาๆ ให้เด็กขี้อายคืนกลีบปากนุ่มลื่นเหมือนเยลลี่ออกมาให้เขาเล็มไล้ พอถอนริมฝีปากออกใบหน้าหล่อคมก็ยังไม่ละไปไหน แววตาร้อนแรงที่จ้องมองในระยะเพียงปลายจมูกบังคับให้อี้ชิงต้องเลื่อนสายตาขึ้นมองสบ แก้มแดงยิ่งแดงปลั่ง ลมหายใจติดขัดทั้งที่คริสยังไม่ทันได้ทำอะไร เด็กน้อยช่างไร้เดียงสาแต่กลับทำให้ความร้อนในร่างคริสยิ่งรุกโหมหนัก หากร่างสูงยังอดใจไว้ เขาอยากทะนุถนอมร่างขาวบางนี้ให้มากที่สุด อย่างน้อยก็ให้แน่ใจว่าอี้ชิงจะไม่ฝืนใจเมื่อถูกเขารัก

     

     คริสแตะจูบบนเนินหน้าผาก ก่อนจะค่อยลากไล้ริมฝีปากผ่านสันจมูกสวย แตะเบาๆ อีกครั้งบนปลายจมูกกลมมน แล้วเลื่อนลงคลอเคลียปรางแก้มหอมนุ่ม

    “อี้ชิง...” กระซิบเสียงเรียกอยู่กับผิวเนื้อเนียน แต่คนตัวเล็กทำได้แค่ครางรับเท่านั้น “รักพี่หรือเปล่า...?”

    “รัก... ครับ...”

    “พี่ก็รักอี้ชิงนะ รักมาก ...อย่ากลัวพี่เลย ...นะ”

    มีเพียงเสียงครางรับที่ไม่รู้ความหมาย จะให้อี้ชิงตอบอย่างไรได้ แค่หายใจให้ปกติก็ยังยากนัก ยิ่งหลับตายิ่งรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดทั่วทั้งใบหน้า กลิ่นกายของพี่คริส ความอบอุ่นที่ทาบทับอยู่เหนือร่าง แค่นี้หัวใจดวงน้อยๆ ก็เต้นถี่เสียจนหายใจไม่ทันแล้ว

     

    จากปรางแก้มนิ่มเรื่อยลงมาจนถึงลำคอ จมูกโด่งดุนดันปลายคางเล็กให้ใบหน้าหวานเงยขึ้น ก่อนจะสูดกลิ่นหอมจากซอกคอขาวอย่างได้ใจ ทั้งปากทั้งจมูกแย่งกันไล้เล็มความอ่อนนุ่มและหอมหวานของผิวเนื้อขาวจนทั่วลำคอเล็ก ...ชื่นใจเท่าไหร่ก็ไม่พอ รักมากก็โลภมาก ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งต้องการ เมื่อฝ่ามือร้อนสอดเข้าชายเสื้อยืดตัวหนาเพื่อสัมผัสผิวเนื้อนุ่ม ทั้งร่างเล็กก็เกร็งสั่น คริสชะงักเมื่อผิวหลังมือถูกคมเล็บจิกแน่น เสียงครางเครือเรียกให้ร่างสูงเลื่อนใบหน้าขึ้นป้อนจูบเพื่อปลอบขวัญ กระซิบเสียงเรียกซ้ำๆ จนร่างขาวอ่อนลงใต้ร่าง สัมผัสจากมือใหญ่ทิ้งความอบอุ่นไว้จนทั่วหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะไต่ขึ้นหาแผ่นอกบาง เมื่อร่างขาวพลิกเข้าหาคริสก็เบียดร่างให้ยิ่งแนบชิด อกอุ่นเปิดทางให้ดวงหน้าหวานซุกซบอย่างไม่หวงห้าม จมูกโด่งยังเฝ้าคลอเคลียอยู่กับต้นคอขาวและกลุ่มผมนุ่ม คริสใช้ทุกความช่ำชองปลุกปลอบคนไร้เดียงสาไม่ให้หวาดกลัว อดทนอย่างที่สุดแม้ว่าเสียงในอกจะร่ำร้อง ยิ่งอี้ชิงน่ารักมากเท่าไหร่ คริสก็แทบจะคลั่งตาย อยากให้ถึงวินาทีที่ได้กกกอดเรือนร่างหอมหวานจนสุดทางรักเสียที...

     

    .

    .

    .

     

    Ding~ Dong~

     

     

    “.......”

     

     

    Ding~ Dong~ Ding~ Dong~

     

     

    “...พี่คริส ..ครับ”

    “หืม...?”

    “เสียง...”

    “อืม... ช่างเถอะ”

     

     

    DingDong~! DingDong~! DingDong~!

     

    “บ้าชิบ!” เสียงทุ้มสบถห้วนจนร่างเล็กสะดุ้ง คริสเห็นน้องหน้าเสียก็รีบพรูลมหายใจทิ้งเพื่อปรับอารมณ์ ก่อนจะจูบปลอบที่ข้างแก้มใส เอ่ยคำขอโทษแผ่วเบา

    “ไป.. เปิดประตูเถอะครับ” เสียงนุ่มบอกปนเสียงหอบ ริมฝีปากอิ่มที่เผยอออกน้อยๆ นั้นจัดสีแวววาว มองประกายหวานระยับในดวงตาคู่สวยแล้วคริสก็ใจแทบขาด ครางเสียงอย่างสุดแสนเสียดาย โฉบใบหน้าลงฉวยจูบกลีบปากนุ่มอีกครั้งหนักๆ ก่อนจะตัดใจลุกขึ้น

     

    “เดี๋ยวพี่มานะ”

     

     

    ร่างสูงเดินออกมาจากห้องด้วยความหัวเสีย มองไปทางประตูหน้าแล้วกระแทกลมหายใจ ใครมันบังอาจมาขัดจังหวะในช่วงเวลาแบบนี้ได้ กว่าคริสจะตะล่อมจนน้องตัวอ่อนใจอ่อนได้ขนาดนี้ แต่เสียงกริ่งหน้าประตูกลับทำลายบรรยากาศหวานละมุนที่คริสอุตส่าห์สร้างขึ้นมาเสียหมด!

     

    อยากจะรู้นักว่าใคร ใครที่กล้ามากดกริ่งรบกวนในเวลาเช้าตรู่แบบนี้!

     

    โดยไม่คิดจะส่องช่องตาแมวดูก่อน คริสปลดล็อคแล้วกระชากบานประตูให้เปิดออก ใบหน้าหล่อคมฉายความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง เตรียมจะเหวี่ยงใส่คนที่ยืนอยู่หลังประตูเต็มที่

     

    แต่ทุกความคิดและการกระทำกลับหยุดชะงัก มองสองร่างที่อยู่หลังประตูแล้วคริสก็ถึงกับอึ้งและหาเสียงตัวเองไม่เจอไปครู่ใหญ่ กว่าจะหลุดหนึ่งคำที่เหมือนอุทานมากกว่าคำเรียก

     

    “คุณแม่!

     

     “ยังจำได้รึ? แม่นึกว่าเราลืมยายแก่คนนี้ไปแล้วเสียอีก”

    แม้จะเรียกแทนตัวเองอย่างนั้น แต่ร่างระหงที่เดินตรงผ่านประตูเข้ามาโดยที่คริสต้องรีบหลีกทางให้ รูปร่างสูงโปร่งของเธอยังดูสมส่วน ใบหน้าสวยคมไม่มีริ้วรอยฟ้องวัยที่เลยเลขสี่แม้แต่น้อย การแต่งกายในชุดภูมิฐานทว่าทันสมัยในโทนสีเข้มช่วยขับให้ผิวขาวยิ่งขาวผ่อง ดูสวยสง่าและคล่องแคล่วสมกับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจในเครือตระกูลอู๋

     

    คริสค้อมศีรษะรับการทักทายของชายอีกคนที่เดินตามเข้ามา รอยยิ้มแสนสุภาพนั้นเขาคุ้นเคยมาตั้งแต่จำความได้ และนับถือผู้ติดตามของมารดาผู้นี้ราวกับญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวคนหนึ่ง ก่อนจะปิดประตูพร้อมพรูลมหายใจ อารมณ์ค้างคาจากบรรยากาศหวานละมุนในห้องนอนเมื่อครู่ถูกลืมไปชั่วขณะ ไม่มีอะไรจะเซอร์ไพรซ์ไปกว่าการที่นายผู้หญิงแห่งตระกูลอู๋มาเยือนถึงหน้าประตูบ้านในเช้าตรู่วันหยุดเช่นนี้ แม้คริสจะพอเดาออกว่าเรื่องอะไร แต่เขาก็ยังสังหรณ์ในใจว่านั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ร่างสูงก้าวเนือยๆ ตามหลังร่างแบบบางที่หยุดยืนอยู่เพียงทางเดินหน้าห้องรับแขก

     

    “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ คุณแม่ทั้งคนผมจะลืมได้ยังไง”

    อู๋เจียหลิงหมุนทั้งตัวกลับมามองหน้าบุตรชาย ยกแขนเรียวขึ้นไพล่กันไว้บนอก

    “ไม่ลืม แต่ก็ไม่ยอมกลับบ้าน กี่เดือนแล้วนะเลขาคิม?”

    “สองเดือนครับมาดาม” คนถูกถามตอบพร้อมรอยยิ้มราบเรียบ

    “สองเดือน ไม่นับรวมงานเลี้ยงเปิดตัวธุรกิจใหม่ของบริษัทที่เรารีบมาแล้วก็รีบกลับ แม่ยังไม่ทันจะแนะนำลูกชายคนเดียวให้บริษัทคู่ค้ารู้จักด้วยซ้ำ จำได้ว่าตอนจะย้ายมาอยู่คอนโด ลูกรับปากแม่ว่าจะกลับบ้านอย่างน้อยเดือนละสองครั้ง นี่หายไปสองเดือน คุณปู่คุณย่าถามถึงแม่ยังไม่รู้จะตอบยังไงเลยนะอี้ฟาน

                   

    นั่นยังไงล่ะ เป็นเรื่องนี้จริงๆ

     

    แต่จะเรียกกว่ากลับบ้านก็ไม่ถูก เรียกว่าไปรายงานตัวจะดีกว่า ตระกูลใหญ่มีธุรกิจมากมายที่ต้องดูแลและคริสเองก็เป็นลูกชายคนเดียวของลูกชายคนโตของท่านเจ้าบ้านใหญ่(เรียกง่ายๆ ว่าคุณปู่) เป็นทายาทอันดับต้นๆ ในการสืบทอดธุรกิจเลยก็ว่าได้ ดังนั้นบุพการีจึงคอยสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าให้อยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ไว้ และคริสก็อยู่ในโอวาทมาตลอด เพิ่งจะเหลวไหลไปบ้างก็ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยนี่เอง

     

    “ขอโทษครับ ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องเรียนอยู่”

    “ก็คงจะอย่างนั้นล่ะนะ แม่ถึงต้องบุกมาถึงคอนโดด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เจอหน้าเรา”

    คริสชินเสียแล้วกับสีหน้าและท่าทีเย็นชาของมารดา นายหญิงแห่งตระกูลอู๋มักจะวางท่าอยู่เหนือคนทั่วไปเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งบุตรชายคนเดียว แม้เธอจะดูไม่ติดใจสงสัยในเหตุผลแกนๆ ที่คริสบอก แต่คริสก็รู้ว่าคุณนายอู๋รู้อะไรมามากกว่านั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มองไปยังเปียโนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ตรงมุมด้านหน้าของห้องรับแขกทันทีที่เดินเข้ามา ร่างแบบบางค่อยหย่อนกายลงนั่งบนโซฟา แล้วจึงละสายตาจากเปียโนสีขาวมามองหน้าบุตรชาย

     

    “เห็นว่าลูกเบิกเงินจากบัญชีไปก้อนหนึ่ง น่าแปลกนะ ตั้งแต่เลิกเรียนเปียโน แม่ก็ไม่เห็นว่าเราจะแตะต้องมันอีก”

     

    เงินในบัญชีที่เธอว่า คือบัญชีซึ่งแยกต่างหากจากบัญชีค่าใช้จ่ายที่คริสจะได้รับเป็นปกติทุกเดือน เป็นบัญชีที่เปิดไว้สำหรับโอนเงินปันผลที่ได้รับจากการถือหุ้นของบริษัทในเครือทั้งหมด คุณปู่คุณย่ายกให้โดยที่ไม่ต้องทำรายงานให้เห็นว่าเอาเงินไปใช้ทำอะไรบ้างเหมือนบัญชีกงสีอื่นๆ แต่คริสไม่เคยเบิกมาใช้เลยซักครั้ง เพราะจำนวนเงินเท่าที่โอนเข้าบัญชีปกติก็มากพอสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของนักศึกษาคนหนึ่ง(ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ) แต่การสั่งซื้อของชิ้นใหญ่แบบเร่งด่วนก็ต้องใช้เงินมากหน่อย ก่อนหน้านี้คริสแจ้งให้คุณปู่คุณย่าทราบแล้ว คริสรู้ว่าพวกท่านจะไม่ต่อความยาวโดยการนำเรื่องมาเล่าให้มารดาตนฟัง แต่คุณนายอู๋ก็มีวิธีการของเธอที่จะรู้ได้ในทันทีที่เงินในบัญชีของคริสหายไป

     

    “ผมไม่ได้ซื้อให้ตัวเองหรอกครับ” พอคริสตอบแบบนั้น เรียวคิ้วสวยที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดีก็เลิกขึ้น คริสรู้ว่ามารดาไม่ได้แปลกใจ คริสจะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่แบบนี้ให้ใคร ไม่น่าจะใช่ข่าวใหม่สำหรับเธอ แต่คงจะเป็นเรื่องที่เขาเป็นฝ่ายยอมรับออกมาเองมากกว่า

     

    เพราะคริสตั้งใจเอาไว้แล้ว หากมารดาบุกมาถึงคอนโดฯเพราะระแคะระคายเรื่องนี้จริง เขาก็พร้อมจะอธิบายทุกอย่าง แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร ปลายหางตาก็เห็นใบหน้าหวานเยี่ยมพ้นขอบกำแพงออกมา อี้ชิงคงได้ยินเสียงคนคุยกันก็เลยออกมาดู ผมสีเข้มยังยุ่งเหยิงอยู่เลย คนน่ารักไม่รู้จักจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้อง คริสนึกอยากจะดึงน้องเข้ามากอดแล้วหอมให้หนัก ถ้าไม่ติดว่ามีคุณนายแม่นั่งมองอยู่ด้วย

     

    “เข้ามาก่อนสิอี้ชิง”

     

    คุณนายอู๋มองตามสายตาและรอยยิ้มอ่อนโยนของบุตรชายไปยังทางเข้าห้องรับแขก ร่างขาวบางของเด็กหนุ่มอีกคนค่อยๆ ก้าวออกมาจากข้างกำแพง ก่อนที่คริสจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาก่อน วางมือเหนือกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของเด็กหนุ่มร่างเล็กแล้วลูบเบาๆ อย่างทะนุถนอม เด็กตัวขาวเอียงคอมองหน้าบุตรชายเธอแล้วกระพริบตาปริบ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ตัวเลยว่าสภาพของตัวเองนั้นยุ่งเหยิงแค่ไหน และเมื่อดวงตาคู่ใสนั้นกลิ้งมาทางเธอ เด็กหนุ่มก็รีบยกมือขึ้นจัดปอยผมข้างแก้มตัวเองให้ทัดหูไว้อย่างลวกๆ

     

    คริสจัดผมให้คนรักจนน่าเอ็นดูดีแล้วก็จูงข้อมือบางพาคนตัวเล็กเข้ามาในห้องรับแขก พอหยุดอยู่หน้าโซฟา ผู้เป็นมารดาก็ละสายตาจากแฟนของเขาแล้วกลับมามองหน้าเขาแทน คริสยิ้มบางให้เธอ

    “คุณแม่ครับ นี่จางอี้ชิง อี้ชิง นี่คุณแม่พี่เอง”

    ตาคู่สวยเบิกกว้าง คนตัวเล็กรีบค้อมกายลงอย่างนอบน้อม เอ่ยคำทักทายอย่างตะกุกตะกักทว่าน่ารักเหลือเกินในสายตาคนตัวโต

    “สวัสดีครับคุณ... แม่พี่คริส”

    “เรียกคุณป้าสิ”

    “คุณป้า...”

     

    คริสยังยิ้มจนกระทั่งร่างเพรียวบางลุกขึ้นจากโซฟา เรียวแขนขาวบรรจงวาดขึ้นไพล่กันไว้บนอก ดวงตาสวยคมเปล่งประกายแห่งอำนาจจรดมองร่างขาวบาง ไล่ตั้งแต่ดวงหน้าหวานลงไปลาดไหล่เล็กและแผ่นอกบาง เส้นคิ้วสวยขมวดเล็กน้อยเมื่อมองสำรวจไปจนถึงกางเกงวอร์มขายาวสีซีด คุณนายอู๋คงขัดใจกับชุดนอนย้วยๆ ของคนตัวเล็กไม่น้อย แต่คุณแม่ไม่เคยนอนกอดอี้ชิง คุณแม่ไม่รู้หรอกว่าร่างขาวบางในชุดนอนน่ะ กอดแล้วนุ่มแค่ไหน

     

    พอถูกมองมากๆ เข้า อี้ชิงคงรู้สึกไปเองว่าแต่งตัวไม่สุภาพซักเท่าไหร่ คนตัวเล็กก็เลยค่อยๆ ขยับถอยจนมาหลบอยู่ข้างหลังคริสเสียครึ่งตัว มือเล็กข้างหนึ่งคว้าจับชายเสื้อด้านหลังของคริสไว้เหมือนจะหาที่พึ่ง

    “นี่รึเปล่า? เหตุผลแท้จริงที่เราไม่กลับบ้านมาสองเดือน”

    “ไม่เกี่ยวกับอี้ชิงหรอกครับ คือว่าผม...”

    “อย่าเพิ่งพูดอะไร” คำพูดของนายหญิงตระกูลอู๋ถือเป็นเด็ดขาด เพียงมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบและยกมือขึ้นห้าม คริสก็ชะงักคำตัวเองไว้ มองหน้าคนตัวเล็กที่ดูตื่นๆ แล้วมือใหญ่ก็อ้อมไปด้านหลัง ดึงมือบางที่จับชายเสื้อเขามากุมไว้เงียบๆ

     

    “ชื่ออะไรนะเรา?”

    เมื่อถูกถาม เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าคนรัก ก่อนจะขยับออกมาจากแผ่นหลังของคนตัวโต แต่มือเล็กยังถูกกุมและซ่อนไว้ที่ด้านหลัง

    “...จางอี้ชิงครับ”

    “บ้านอยู่ที่ไหน ลูกเต้าเหล่าใคร แล้วทำไมถึงมาอยู่ในคอนโดลูกชายฉันได้?”

    “คุณแม่...!

    “แม่ถามเพื่อนของลูกอยู่นะ” เป็นอีกครั้งที่คริสจำต้องเก็บคำพูดตัวเองไว้ ความกดดันทำให้เผลอบีบมือที่จับกันไว้เสียจนแน่น “ที่ฉันถามน่ะ ตอบมา”

    อี้ชิงเองก็รู้สึกได้ถึงความเครียดที่ส่งผ่าน คุณแม่ของพี่คริสน่ากลัวมากจริงๆ หน้าตานิ่งๆ แต่อี้ชิงก็ไม่กล้าสบตาตรงๆ ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขายังมัวแต่กลัวอยู่แบบนี้ พี่คริสเองก็คงยิ่งลำบากใจ มือเล็กจึงบีบตอบเบาๆ ให้เจ้าของมือใหญ่คลายกังวล ก่อนจะยืดแผ่นหลังขึ้นตรง มองหน้ามารดาของคนรักแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ

    “ผม... เกิดที่ฉางซาครับ”

    “คนจีนรึ?”

    “ครับ”

    “แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่เกาหลีได้?”

    “พี่สาวผมเรียนจบดีไซน์เนอร์แล้วก็ย้ายมาทำงานที่นี่ ที่บ้านก็เลยให้ผมย้ายมาเรียนด้วย”

    “ทำไมไม่อยู่บ้านกับพี่สาวเธอล่ะ?”

    “พี่สาวผมแต่งงานไปแล้วครับ ผมก็เลยขอย้ายออกมาอยู่หอตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง แล้ว... หลังจากนั้น...”

    “ผมชวนอี้ชิงมาอยู่ด้วยเองครับ คอนโดก็ออกจะกว้าง แล้วเราสองคนก็...”

    “อี้ฟาน แม่ยังไม่ได้ถามเราเลยนะ” น้ำเสียงที่ตำหนินั้นไม่ได้จริงจังนัก ดวงตาสวยคมมองค้อนบุตรชายคนเดียวแล้วตวัดไปมองเสียทางอื่น ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งไขว่ห้างบนโซฟา คริสเห็นท่าทีของมารดาแล้วก็ตามมาคุกเข่าลงตรงหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

    “คุณแม่... อย่าดุนักสิครับ อี้ชิงกลัวจนตัวสั่นหมดแล้วนะ”

    “ที่สั่นน่ะเด็กคนนี้หรือตัวลูกเองกันแน่ เป็นห่วงเป็นใยกันจังนะ”

    “ก็อี้ชิงเป็นแฟนผม”

    อู๋เจียหลิงทำเสียงฮึในคอก่อนจะสะบัดใบหน้า ทำเมินเสียให้รู้ว่าคำตอบนั้นไม่ถูกใจ

    “คุณแม่...”

    “แม่หิวแล้ว”

    อี้ชิงกับคริสมองหน้ากัน คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เตรียมน้ำชามาต้อนรับแขกคนสำคัญด้วยซ้ำ แล้วนี่ก็ได้เวลาอาหารเช้าแล้วจริงๆ

    “ผมไปเตรียมอาหารเช้าให้นะครับ”

    “พี่ไปช่วย” คริสออกตัวจะเดินตามเมื่อคนตัวเล็กรีบร้อนขอตัว แต่ก็ถูกมารดาเรียกไว้เสียก่อน

    “อี้ฟาน อยู่คุยกับแม่ก่อน”

     

     

     

     

    ที่คริสสังหรณ์ใจแต่แรกนั้นไม่ผิด มารดาไม่ได้มีทีท่าว่าแปลกใจเลยตอนที่คริสบอกว่าอี้ชิงเป็นแฟน นั่นแสดงว่านางรู้มาก่อน อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องใดจะรอดพ้นสายตานายผู้หญิงแห่งตระกูลอู๋ได้อยู่แล้ว คริสรู้ว่ามารดารู้ทุกเรื่องของตน เพียงแต่ไม่เคยซักไซ้อย่างจริงจัง แต่มาคราวนี้ คงเพราะคริสไม่ได้กลับบ้านมาสองเดือน และข่าวว่าเขาพาแฟนมาอยู่ที่คอนโดฯคงไปเข้าหูคุณแม่เข้า บวกกับเงินในบัญชีที่หายไป ผู้บริหารสาวผู้มีไหวพริบเป็นเลิศคงเดาเรื่องผูกราวได้เองไม่ยาก คริสเกรงแต่ว่าเรื่องที่คุณแม่กำลังคิดนั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่ออี้ชิง และเขาก็หาโอกาสที่จะอธิบายให้ท่านฟังอยู่ แต่ดูการตั้งแง่ของมารดาแล้วคริสก็เริ่มจะถอดใจ เพราะหลังจากเรียกให้คริสอยู่คุยที่ห้องรับแขก แทนที่จะได้คุยกันจริงๆ มาดามอู๋กลับสั่งให้เลขาคนสนิทเปิดแลปท็อปและขนเอาแฟ้มเอกสารต่างๆ มาวางบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา เธอเช็คอีเมลล์ไปขณะที่ฟังเลขาอ่านรายงานทีละฉบับ ก่อนจะจรดปากกาเซ็นลงในเอกสารอนุมัติ ทำงานโดยไม่สนใจลูกชายที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กข้างๆ คริสได้แต่ถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งมารดารับโทรศัพท์สายหนึ่งที่เลขาคิมส่งให้ ท่าทางว่าปลายสายจะเป็นลูกค้าคนสำคัญ เธอถึงได้พูดจาอารมณ์ดีอย่างเอาใจ จึงได้โอกาสที่คริสจะลุกจากโซฟาแล้วหันไปส่งสัญญาณบอกชายสูงวัยกว่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามว่าเขาจะแว่บไปซักครู่

     

     

    ตอนที่คริสเข้ามาในส่วนครัว คนตัวเล็กก็วางมือจากมีดหั่นผักบนเคาท์เตอร์พอดี อี้ชิงเอื้อมมือไปเบาความร้อนของเตาไฟฟ้าที่ตั้งหม้อน้ำรอไว้ แล้วก็หันไปปิดก๊อกน้ำก่อนจะกอบผักที่อยู่บนเขียงใส่ลงไปในชามแก้วใบใหญ่ที่รองน้ำไว้ในอ่าง ใช้สันมือบางปาดเหงื่อที่ซึมข้างขมับอย่างลวกๆ ก่อนจะลงมือล้างผัก เมื่อคริสสอดแขนเข้ากอดเอวบางไว้จากด้านหลัง ทั้งร่างเล็กก็สะดุ้ง พอหันมามองก็ถูกคนตัวโตขโมยหอมแก้มขาวไปอีกฟอดใหญ่

    “ฮื่อ เหม็นเหงื่อนะครับ”

    “เหม็นที่ไหนกัน หอมออก” คริสยืนยันด้วยการฟัดแก้มนุ่มทั้งสองข้างเสียจมจมูก เพราะมือไม่ว่างจะปัดป้องคนตัวเล็กก็เลยได้แต่ร้องห้าม แต่เพราะปนมากับเสียงหัวเราะถึงได้ไม่ดูจริงจังนัก

     

    คริสใช้หลังมือซับเหงื่อที่ซึมตามไรผมให้น้องอย่างอ่อนโยน

    “เหนื่อยหรือเปล่า? ให้พี่ช่วยมั้ย?”

    แต่อี้ชิงส่ายหน้า

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมทำได้”

    “ทำอะไรบ้างน่ะ?”

    “ผมไม่รู้ว่าคุณป้าชอบทานอะไร ก็เลยทำแต่อาหารง่ายๆ ไม่รู้ท่านจะทานได้หรือเปล่า”

    “เห็นอย่างนั้นแต่ท่านไม่ใช่คนเรื่องมากนะ อี้ชิงทำอาหารอร่อย ทำอะไรให้ทานท่านก็ต้องชอบแน่ๆ”

    อี้ชิงยิ้มรับคำปลอบของคนรัก แต่เพียงครู่เดียวก็พรูลมหายใจ ดวงตาคู่สวยหม่นลงด้วยความไม่สบายใจ

    “...ท่านต้องไม่ชอบผมแน่ๆ”

    “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ?”

    “เด็กที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็เข้ามาอยู่ในคอนโดลูกชายท่าน แถมยัง... แต่งตัวไม่เรียบร้อยอีก หน้าตาผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง” พูดแล้วก็ถอนหายใจเสียอีกรอบ แถมเสียงครางออกไปด้วย จางอี้ชิงหนอจางอี้ชิง เจอหน้ามารดาคนรักครั้งแรกก็ในสภาพเพิ่งตื่นนอน แถมยัง... เพิ่งออกจากห้องนอนพี่คริสมาด้วย เด็กกะโปโลแท้ๆ ผู้ใหญ่ที่ไหนเค้าจะเอ็นดู ฮือๆๆ~ อยากจะร้องไห้นัก!

    “อย่าคิดมากสิ” คริสยิ้มปลอบคนรัก ดึงมือเล็กขึ้นจากอ่างล้างผักแล้วจับร่างโปร่งบางให้หันมาหา ก่อนจะประคองกอบสองแก้มนุ่มไว้ในอุ้งมือ “ตอนนี้ท่านยังเคืองพี่อยู่ อาจจะมึนตึงไปบ้าง รอให้ท่านอารมณ์ดีกว่านี้ก่อน อี้ชิงของพี่น่ะน่ารัก ท่านต้องเอ็นดูอี้ชิงมากแน่ๆ”

    “จริงหรือครับ?”

    “จริงสิ”

    อี้ชิงยิ้มอย่างคลายใจ ตาคู่สวยเป็นประกายสดใสอีกครั้ง คริสเห็นแล้วก็ชื่นใจนัก ซักพักคนตัวเล็กก็หัวเราะน้อยๆ ยกมือขึ้นจับสองแก้มเขาบ้าง

    “ผมว่าพี่คริสน่าจะไปอาบน้ำแต่งตัวให้หล่อกว่านี้นะครับ”

    อี้ชิงไม่ได้ลืมแน่ๆ ว่ามือตัวเองเปียกน้ำอยู่ คริสหัวเราะอยู่ในคอ

    “อยากให้พี่ไปอาบน้ำ บอกกันดีๆ ก็ได้นะ”

    อี้ชิงหัวเราะคิก คนที่รู้ตัวว่าถูกแกล้งก็หรี่ตาใส่ เมื่อคริสเคลื่อนใบหน้าเข้าหาด้วยประกายตาไม่น่าไว้ใจ ใบหน้าหวานก็หลบวูบ สองมือเล็กช่วยกันดันหน้าหล่อๆ ให้ห่างจากต้นคอตัวเองไว้ ผลัดกันรั้งผลัดกันหลบ หยอกเอินตามประสาคู่รัก ส่งเสียงหัวเราะคิกคักกันน่าเอ็นดู

     

    คนที่ยืนอยู่หน้าห้องครัวก็คิดเช่นนั้น เขาเองก็ไม่อยากขัดจังหวะในช่วงเวลาแบบนี้เลย แต่ในเมื่อนายผู้หญิงสั่งมา...

     

    ทั้งคู่หยุดหยอกล้อกันแล้วหันมาทางหน้าครัวเมื่อได้ยินเสียงกระแอมดังๆ คิมมูยอลค้อมลงศีรษะเล็กน้อย เอ่ยพร้อมรอยยิ้มราบเรียบ

     

    “ขออภัยครับคุณชาย มาดามให้มาเชิญ”

     

     

     

     

    คริสหายไปอยู่ในครัวพักใหญ่ๆ กลับออกมาอีกที ห้องรับแขกก็เปลี่ยนไปแล้ว โต๊ะทำงานชั่วคราวของคุณแม่หายไป แลปท็อปและแฟ้มงานถูกย้ายไปไว้ที่โต๊ะตรงมุมห้อง และมีอย่างอื่นเข้ามาแทนที่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา คริสมองชายแปลกหน้าที่สวมเครื่องแบบสีขาวสะอาดพร้อมหมวกทรงสูงค่อยๆ เปิดฝาครอบอลูมิเนียมเผยโฉมอาหารชุดสุดหรูทีละจาน หมดหน้าที่แล้วก็ค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ

    “นี่มัน... อะไรกันครับ?”

    “ทานข้าวกับแม่สิอี้ฟาน”

    “อะ.. อะไรนะครับ?!

    “แม่ให้เลขาคิมโทรสั่งให้ห้องอาหารของโรงแรมเค้าเอามาส่ง”

    “แต่อี้ชิงเตรียมอาหารไว้เยอะแยะเลยนะครับ”

    “แล้วยังไง?”

    “ก็คุณแม่บ่นว่าหิว อี้ชิงเค้าก็...”

    “แม่แค่บอกว่าหิว แต่ไม่ได้บอกให้เด็กนั่นไปทำอาหารให้เสียหน่อย เลขาคิม ทานด้วยกันสิ” ชายคนสนิทน้อมรับคำสั่งในขณะที่คริสยังยืนอึ้ง นึกถึงคนตัวเล็กที่ตั้งอกตั้งใจทำอาหารอยู่ในครัวในขณะที่คุณแม่เขาไม่คิดจะชิมมันด้วยซ้ำ สงสารอี้ชิงจับใจ เขาจะทิ้งคนรักมานั่งทานอาหารกับคุณแม่ลงคอได้ยังไงกัน

    “ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ทานเถอะครับ ผมจะไปทานกับอี้ชิง”

    “อู๋อี้ฟาน” เสียงเรียกก่อนที่ร่างสูงจะหันหลังนั้นเฉียบขาด แต่คำสั่งที่ตามมานั้นยิ่งกว่า “มาทานอาหารเช้ากับแม่”

    “แต่อี้ชิง...!

    “จะปล่อยให้แม่ทานอาหารเช้าคนเดียวรึยังไง?”

    “แต่ว่า...!

    มีเสียงที่สามแทรกขึ้นก่อนที่คริสจะเผลอตัวทำเสียงดังใส่มารดาตน เลขาคิมค้อมศีรษะเหมือนขออภัยสำหรับการขัดจังหวะ

    “ไหนๆ คุณหนูอี้ชิงก็ทำอาหารไว้แล้ว ผมไปทานในครัวกับคุณหนูก็ได้ครับ” เป็นการลดความขัดแย้งของสองแม่ลูก คริสเองยังดูไม่สบายใจนัก เขาเป็นห่วงความรู้สึกคนรัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจมารดา ดังนั้นก็ควรยอมรับทางเลือกที่เลขาคิมเสนอให้ และมาดามอู๋เองก็อยากตัดความรำคาญเช่นกัน

    “งั้นก็ตามใจ” คิมมูยอลค้อมศีรษะรับก่อนจะเดินอ้อมหลังโซฟายาวมาหาร่างสูงที่ยืนอยู่ ยิ้มแล้วบอกกับบุตรชายคนเดียวของผู้เป็นนายที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย

    “อยู่ทานกับคุณแม่เถอะครับ ผมดูแลคุณหนูให้”

     

     

     

    อี้ชิงรู้เรื่องจากเลขาคิมแล้ว คนตัวเล็กวางจานเห็ดเข็มทองผัดเบคอนลงบนโต๊ะที่อยู่หน้าครัวเป็นจานสุดท้ายก่อนจะพรูลมหายใจ พอกวาดตามองบนโต๊ะก็พบว่าชายสูงวัยกว่าชวยจัดให้เรียบร้อยแล้ว

    “มีอะไรที่ต้องยกออกมาอีกมั้ยครับ?”

    “หมดแล้วล่ะครับ ขอบคุณคุณเลขาคิมมาก” อี้ชิงค้อมศีรษะอย่างสุภาพ ก่อนจะนั่งลงเมื่อชายสูงวัยกว่าผายมือเชื้อเชิญ กวาดตามองอาหารง่ายๆ ฝีมือตัวเองที่เรียงรายกันอยู่บนโต๊ะแล้วก็ทอดถอนใจ โง่จริงๆ เลยจางอี้ชิง คุณแม่ของพี่คริสเป็นถึงผู้บริหารของกลุ่มบริษัทใหญ่โต จะมาทานอาหารธรรมดาๆ ฝีมือเด็กกะโปโลอย่างเขาได้ยังไงกัน

     

    “คิดมากหรือเปล่าครับ?”

    “ค.. ครับ?” กำลังคิดมากอยู่จริงๆ พอถูกถามแบบนั้นเด็กหนุ่มก็เลยสะดุ้ง

    “ผมถามว่าคิดมากหรือเปล่า ที่ต้องทานอาหารเช้ากับชายแก่อย่างผม”

    “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ คุณคิม... เอ่อ คุณเลขาคิมยังไม่แก่เสียหน่อย ผมแค่กำลังคิดว่า อาหารตั้งเยอะแยะ เราสองคนจะทานหมดได้ยังไง” เยอะแยะจริงๆ เพราะอี้ชิงเตรียมอาหารไว้สำหรับสี่คน นี่ขนาดยกเลิกไปบางอย่างแล้วนะ แต่ยังไงก็ยังเยอะเกินไปสำหรับสองคนอยู่ดี

    “ผมทานเก่งนะครับ เห็นอย่างนี้ก็เถอะ คุณหนูเองก็ทานเยอะๆ นะครับ ตัวเล็กนิดเดียวเอง”

    เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ เกานิ้วกับข้างแก้มเบาๆ

    “อย่าเรียกคุณหนูเลยนะครับ รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้” ก็เข้าใจหรอกนะ ว่าคุณเลขาคงหมายถึงเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ แต่ฟังๆ แล้วเหมือนคำเรียกสาวน้อยยังไงก็ไม่รู้

    “ไม่ได้หรอกครับ คุณหนูเป็นคนสำคัญของคุณชาย อีกหน่อยก็เป็นคนในตระกูลอู๋เหมือนกัน”

    “ผมไม่คิดถึงขั้นนั้นหรอกครับ” หนุ่มน้อยว่าเสียงอ่อน ใบหน้าหวานม่อยลง ยังจำความรู้สึกตอนที่ถูกสายตาแบบนั้นไล่มองไปทั้งตัวเมื่อตอนเช้าได้อยู่เลย แล้วไหนจะยังอาหารที่ทำไว้เก้อพวกนี้อีก คุณแม่พี่คริสต้องไม่ชอบเขาแน่ๆ

    “คุณหนูเกรงมาดามท่านหรือครับ?” อี้ชิงใสซื่อเกินกว่าจะโกหก เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ เห็นแบบนั้นชายสูงวัยกว่าก็ยิ้มปลอบ “มาดามท่านเป็นคนมีเหตุผล อาจจะดูเข้มงวดไปบ้าง เป็นเพราะท่านต้องดูแลธุรกิจมากมาย แต่จริงๆ แล้วมาดามไม่ใช่คนใจร้ายอะไรเลยนะครับ”

    อี้ชิงได้แต่พยักหน้า เขาเชื่อว่าผู้ใหญ่อย่างคุณนายอู๋คงไม่ถือสาเด็กอย่างเขา หรือหาเรื่องแกล้งให้เสียใจ แต่เพราะฝ่ายนั้นเป็นคุณแม่ของพี่คริส ไม่ว่าท่านจะมองยังไง อี้ชิงก็อดคิดมากไม่ได้อยู่ดี

     

     

                    “เอาอย่างนี้นะครับ เราทานอาหารกันไป แล้วผมจะเล่าเรื่องของคุณชายตอนเป็นเด็กให้ฟัง” คิมมูยอลว่าพลางใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อใส่จานให้หนุ่มน้อย อี้ชิงเงยหน้าแล้วยืดตัวขึ้น อวดตาคู่สวยที่เป็นประกายอย่างกะตือรือร้น

                    “ได้หรือครับ?”

                    “ได้สิครับ” ชายสูงวัยกว่ายิ้ม แสร้งทำเป็นหันมองซ้ายขวาแล้วยื่นหน้ามาเล็กน้อย กระซิบบอกเด็กหนุ่ม “สำหรับคนสำคัญ คุณชายไม่ว่าอะไรหรอก”

    คนสำคัญของคุณชายคลี่ยิ้มกว้าง แก้มใสแดงปลั่งแต้มรอยบุ๋มน่ารัก ช่างเป็นเด็กที่ใสซื่อจริงๆ คิดอะไรรู้สึกยังไงก็แสดงออกอย่างไม่เสแสร้ง เลขาหนุ่มใหญ่เสียดายเหลือเกินที่นายผู้หญิงของตนไม่ได้ร่วมโต๊ะกับหนุ่มน้อยคนนี้ ไม่อย่างนั้นคงเอ็นดูคนรักของคุณชายไม่น้อยเลย

     

     

     

     

                    หลังอาหารเช้า คุณนายอู๋มีประชุมทางโทรศัพท์กับคู่ค้ารายสำคัญ คริสจึงได้โอกาสขอตัวไปจัดการธุระส่วนตัว ก่อนจะต้องรีบกลับมาเรียนรู้งานจากเลขาคิมตามที่คุณนายแม่มอบหมาย ร่างสูงใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดอย่างมีค่า แวะไปหาคนรักที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น กอดรัดฟัดหอมคนตัวขาวตุนความชื่นใจไว้ เพราะดูท่าแล้ววันนี้คงหาโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพังยากนัก

                    คริสใช้เวลาอยู่ในห้องรับแขกกับมารดาและเลขาคิม อ่านและทำความเข้าใจรายงานประจำปีกับบทวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทโดยมีเลขาคิมคอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ จนเลยเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว คนสนิทของมาดามอู๋ถึงได้ขอตัวออกมาเตรียมมื้อกลางวันให้นายทั้งสอง เพราะนายผู้หญิงไม่ได้กำชับอะไร มื้อนี้หนุ่มใหญ่จึงเข้าครัวด้วยตัวเอง เพียงครึ่งชั่วโมงอาหารทุกอย่างก็ค่อยทยอยมาวางลงบนโต๊ะกระจก คุณนายอู๋ทำเป็นมองไม่เห็นเด็กหนุ่มตัวขาวที่ช่วยคนสนิทของตนยกสำรับเข้ามา ก่อนจะถูกลูกชายรั้งไว้ให้อยู่ทานข้าวด้วยกัน เธอไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ห้ามหรือแสดงทีท่าไม่พอใจ แต่เด็กจางอี้ชิงก็ขอตัวไม่ร่วมโต๊ะด้วย อ้างว่ายังไม่หิว

                    ปกติคุณนายอู๋จะทานมื้อกลางวันแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่วันนี้ถือว่าเจริญอาหาร เพราะข้าวในจานพร่องไปเกินครึ่ง ขนาดเลขาคนสนิทยังสังเกตุได้

                    “มาดามทานได้เยอะนะครับวันนี้”

                    “ฝีมือทำอาหารคุณดีขึ้นนี่ ปกติผัดผักจะเลี่ยนมาก แต่วันนี้ผัดบร็อกโคลี่อร่อย ไข่ยัดไส้กับซุปหัวหอมนี่ก็ด้วย นานๆ เข้าครัวเองก็อร่อยดีเหมือนกันนะ”

                    “ฝีมือคุณหนูอี้ชิงน่ะครับ” มือที่ถือช้อนเหนือจานบล็อกโคลี่ผัดน้ำมันหอยชะงัก อู๋เจียหลิงช้อนตามองคนสนิทที่ยังยิ้มบางประกอบคำเฉลย “เธอถามว่ามาดามชอบทานอะไร ที่เหลือผมก็แค่เป็นลูกมือ”

                    “ว่าแล้วเชียว ผมจำรสมือเค้าได้ อี้ชิงทำอาหารอร่อยมาก ใช่มั้ยครับเลขาคิม? ใช่มั้ยครับคุณแม่?”

                    หนุ่มใหญ่ยิ้มแล้วพยักหน้าให้คุณชายรูปหล่อที่เพิ่งจะได้เห็นยิ้มที่กว้างที่สุดของวัน ในขณะที่คุณนายอู๋ดึงมือกลับพร้อมถอนลมหายใจทิ้ง เธอรวบช้อนส้อมทั้งที่เพิ่งจะตักบล็อกโคลี่ใส่จานตัวเอง

                    “คุณแม่อิ่มแล้วหรือครับ?” ยกผ้าขึ้นเช็ดมุมปากแล้วพยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ ก่อนจะถามคนสนิทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                    “มีของหวานมั้ย?” คิมมูยอลรวบช้อนตามผู้เป็นนายแล้วลุกขึ้นเดินหายออกไปจากห้องรับแขก ซักพักก็ประคองถาดใบหนึ่งกลับเข้ามา ช้อนจานเล็กจากถาดขึ้นหนึ่งใบแล้ววางลงตรงหน้านายผู้หญิง เค้กส่วนใหญ่จะหน้าตาคล้ายๆ กันก็จริง แต่ก็จะมีเอกลักษณ์บางอย่างที่แต่ละร้านตกแต่งให้ออกมาไม่เหมือนกัน และบานอฟฟี่พายชิ้นที่อยู่ในจานตรงหน้ามารดานั้นก็ดูคุ้นตาเสียจนคริสนึกเอะใจ

                    “อื้ม พอใช้ได้ ไม่หวานมาก” คุณนายอู๋บรรจงตักเค้กคำที่สองเข้าปากแล้วพยักหน้าน้อยๆ บอกให้รู้ว่าค่อนข้างพอใจในรสชาติ แบบนั้นคริสก็ยิ่งมั่นใจ หันไปถามคนที่เพิ่งยกมันมา

                    “อี้ชิงออกไปข้างนอกมาหรือครับ?” เค้กจากร้านโปรดหลังมหาวิทยาลัยแน่ๆ นี่น้องออกไปซื้อด้วยตัวเองเชียวหรือ

                    “ครับ ออกไปเมื่อตอนก่อนเที่ยง เห็นว่าออกไปซื้อของสำหรับทำอาหารแล้วก็แวะซื้อเค้กที่เบเกอรี่ร้านประจำมาด้วย คุณหนูเธอน่ารักนะครับ ทั้งที่อาจจะต้องทำอาหารไว้เก้อแต่ก็ยังอุตส่าห์ไปซื้อของเตรียมไว้ เธอกลัวคุณชายกับมาดามจะหิวน่ะครับ แล้วก็ซอฟเค้กช็อคโกแลตนี่ เธอบอกว่าเป็นของโปรดของคุณชาย”

                    ตอนที่เลขาคิมวางจานซอฟเค้กลงตรงหน้า ถ้าไม่ติดว่ามันคือเค้ก คริสก็อยากจะประคองมันขึ้นมากอดไว้แน่นๆ แค่เห็นชิ้นเค้กก็นึงถึงใบหน้าหวานของคนรัก โถ... คนดีอุตส่าห์ออกไปซื้อมาให้ ทั้งที่ควรจะดีใจแต่คริสกลับรู้สึกเจ็บแปลบในอก ทุกครั้งเวลาซื้อของต้องออกไปด้วยกัน นึกถึงตอนที่คนตัวเล็กต้องหิ้วถุงใส่ของพะรุงพะรังอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครช่วยแล้วคริสก็สงสารน้องจับใจ ลำบากแย่เลยที่รักของพี่...

     

                    “ฉันอิ่มแล้ว” จู่ๆ คุณนายอู๋ก็วางช้อนเล็กคืนจานเค้กแล้วผลักมันออกห่าง ตวัดหางตามองคนสนิทของตนเองที่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แปรพักตร์ไปอยู่ข้างคนอื่นแบบเต็มตัวแล้วก็สะบัดหน้า “เก็บโต๊ะซักที ฉันจะได้ทำงานต่อ”

                    “แต่คุณแม่ยังทานเค้กไม่หมดเลยนะครับ”

                    “แม่ไม่ชอบ มันหวานไป” คริสมองหน้ากันกับคนสนิทของมารดา ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างก็แอบยิ้ม เข้าใจตรงกันว่าเจ้าบานอฟฟี่พายนี่คงมีสองรส ชิมสองสามคำแรกว่าไม่หวาน พอทานไปเรื่อยๆ กลับหวานเกินไปเสียอย่างนั้น

     

                    คิมมูยอลเริ่มเก็บโต๊ะโดยรวบรวมจานชามใส่ถาดไว้ด้วยกัน เหลือไว้แค่จานซอฟเค้กที่คริสยังอยากเก็บไว้ค่อยๆ ละเลียดทานจนกว่าจะหมด แต่กระนั้นเมื่อเลขาหนุ่มใหญ่ยกถาดขึ้นกำลังจะเดินออกจากห้อง ร่างสูงก็ลุกขึ้นบ้าง

                    “ให้ผมไปช่วยนะครับ”

                    “ไม่เป็นไรครับคุณชาย” คิมมูยอลชิงตอบก่อนที่มาดามอู๋จะทันได้ขยับริมฝีปากด้วยซ้ำ เขารู้ว่าคุณชายรูปหล่อจะหาโอกาสแว่บไปหาคนรัก ถูกกักตัวไว้ตลอดช่วงเช้า เด็กหนุ่มคงคิดถึงกันแย่ น่าเห็นใจที่ต้องมานั่งเรียนงานทั้งที่เป็นวันหยุด แทนที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังตามประสาคนเป็นแฟน เลขาหนุ่มใหญ่กรอกตามองนายผู้หญิงอย่างจงใจให้คุณชายเห็นเพียงคนเดียว บอกกับร่างสูงเป็นนัยๆ “อยู่กับคุณแม่เถอะครับ เผื่อท่านมีอะไรจะคุยด้วย”

     

       อู๋เจียหลิงมองบุตรชายที่ทำตาละห้อยใส่ชิ้นเค้กตรงหน้าแล้วก็พ่นลมเหนือจมูกสวย เห็นแล้วอดจะหมั่นไส้ไม่ได้ก็เลยลุกจากโซฟา แสร้งเดินดูของตกแต่งในห้องรับแขกไปเรื่อยเปื่อย มองตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในตู้โชว์แล้วริมฝีปากสีจัดมันวาวก็คลี่ยิ้มน้อยๆ เธอจำไม่ได้หรอกว่าพวกมันมาจากซีกไหนของโลกกันบ้าง จำได้แต่ว่าเธอเป็นคนพามันกลับมาก่อนจะส่งมอบให้ลูกชาย ไม่คิดว่าจะถูกจับมานั่งเรียงตัวกันอยู่ในตู้แบบนี้ อู๋อี้ฟานเป็นคนทะนุถนอมของมาตั้งแต่เด็กก็จริง แต่เธอไม่คิดว่าของทุกชิ้นที่เธอให้จะถูกดูแลรักษาดีขนาดนี้ มือเรียวสวยยกขึ้นแตะเบาๆ บนกระจกตู้ด้วยความรู้สึกยินดี แต่เมื่อปลายหางตามองเห็นว่าเจ้าของแท้จริงกำลังมองอยู่ รอยยิ้มนั้นก็ถูกกลบเกลื่อนด้วยเสียงกระแอมไอ อู๋เจียหลิงปรับสีหน้าให้ราบเรียบ แสร้งปาดปลายนิ้วลงบนกระจก

     

    “แม่บ้านของคอนโดนี่ทำงานดีนะ ห้องสะอาดเรียบร้อยดี ไม่มีฝุ่นเลย”

    อู๋อี้ฟานรีบยืดตัวขึ้นแล้วยิ้มตอบมารดา

    “ฝีมืออี้ชิงน่ะครับ” สะใภ้ใหญ่ตระกูลอู๋เลิกคิ้วแล้วมองหน้าลูกชายคนเดียว ร่างสูงยิ้มกว้างจนตาเป็นประกาย ว่าต่ออย่างกะตือรือร้น “เค้าชอบดูแลบ้าน เสาร์อาทิตย์ก็จะทำความสะอาดบ้านเอง เปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนเองด้วย เค้าทำอาหารอร่อยมากด้วยนะครับ คุณแม่คงทราบแล้ว”

    ยิ้มแบบนี้เรียกว่ายิ้มอวด อู๋เจียหลิงอยากจะทำเป็นเมินไม่มองเสียแต่ก็อดไม่ได้

    “ดูท่าลูกจะเห่อแฟนคนนี้มากนะ ที่ผ่านมาแม่ไม่เห็นว่าลูกจะปลื้มแล้วก็พูดถึงใครตลอดเวลาแบบนี้ ยิ่งพามาอยู่ที่คอนโดด้วยยิ่งเป็นเรื่องที่แม่คาดไม่ถึง เด็กคนนี้มีดีอะไร?”

                “อี้ชิงเค้าน่ารักมากครับ อ่อนโยน อ่อนหวาน แล้วก็ไร้เดียงสามากๆ มีเค้าอยู่ด้วยแล้วผมมีความสุข อยากดูแล อยากปกป้อง เห็นเค้ายิ้มผมก็ยิ้ม แต่ถ้าเค้าร้องไห้ หัวใจผมก็เหมือนจะแตกสลาย มีเค้าคนเดียวที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ขนาดนี้” รอยยิ้มบางระบายทั่วใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคู่คมเป็นประกายหวานแบบที่อู๋เจียหลิงมั่นใจว่าเธอไม่เคยเห็นบุตรชายเป็นแบบนี้มาก่อน อี้ฟานดูมีความสุขเพียงแค่ได้เอ่ยชื่อเด็กคนนั้น น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลราวกับอยู่ในห้วงฝัน อวลความหวานคล้ายจะฟุ้งกระจายไปรอบๆ ห้อง แม้กระทั่งตรงที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ผู้เป็นมารดารู้ดีว่าอาการแบบนี้ของบุตรชายเรียกว่าอะไร

     

    คุณนายอู๋ถอนหายใจในที่สุด เธอกลับมานั่งที่โซฟาแล้วเปิดหน้าจอแลปท็อปขึ้นมาใหม่

    “คืนนี้แม่จะค้างที่นี่นะ” บอกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองบุตรชาย แน่นอนว่าการตัดสินใจของเธอไม่จำเป็นต้องถามความสมัครใจของเจ้าของห้อง ตอนนั้นเองที่เลขาคิมเดินกลับเข้ามาพร้อมชุดน้ำชา “แม่จะนอนห้องลูก จัดการเรื่องห้องพักให้เลขาคิมด้วย”

    “อย่าลำบากคุณชายเลยครับ ผมพักโรงแรมใกล้ๆ นี้ก็ได้”

    “พักที่นี่ เผื่อฉันจะเรียกใช้อะไร นอนห้องรับรองก็ได้”

    “แต่ห้องนั้นผมยกให้อี้ชิงแล้วนะครับ” คริสรีบแย้ง อันที่จริงห้องชุดในคอนโดฯ นี้มีอยู่สามห้องนอน แต่ตอนที่คริสย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ก็ขนของที่ไม่ค่อยได้ใช้เข้าไปเก็บไว้ในห้องเล็กแล้ว ก็เลยกลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย เหลือก็แค่ห้องนอนของเขากับที่ยกให้อี้ชิงสองห้องเท่านั้น

    “แล้วยังไง? จะให้เลขาคิมนอนที่ไหน?”

    คริสกัดริมฝีปาก เหลือบมองคนสนิทของมารดาแว่บหนึ่งพลางครุ่นคิด อันที่จริงโซฟาในห้องนั่งเล่นก็เป็นแบบกึ่งเตียงนอน กว้างขวางพอจะรับรองแขกได้ แต่เลขาคิมเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว คริสไม่อยากเสียมารยาทให้ชายสูงวัยกว่าต้องนอนในที่ที่อาจจะไม่สะดวกสบายแบบนั้น

    “ถ้าอย่างนั้นให้เลขาคิมนอนห้องอี้ชิงก่อนก็ได้ ผมกับน้องจะไปนอนในห้องนั่งเล่น”

    “โซฟาเล็กแค่นั้น จะนอนเบียดกันเข้าไปได้ยังไงตั้งสองคน ตัวเราก็ไม่ใช่เล็กๆ เรานั่นแหละมานอนกับแม่ เด็กนั่นก็ให้นอนโซฟาไป”

    “แต่ผมปล่อยให้น้องนอนนอกห้องคนเดียวไม่ได้”

    “แม่มาค้างที่นี่ก็ไม่ใช่จะให้เราปล่อยแม่นอนคนเดียวแล้วเราไปนอนกับคนอื่นนะ”

    “แต่ผมเป็นคนชวนอี้ชิงมาอยู่ด้วยกัน ผมสัญญาเอาไว้ว่าจะดูแลเค้าให้ดี ผมทำใจให้น้องนอนนอกห้องคนเดียวไม่ได้หรอกครับ”

    “ไม่ทันไรก็จะเห็นคนอื่นดีกว่าแม่แล้วรึ?”

    “ผมไม่เคยคิดแบบนั้น”

    “แต่ลูกขึ้นเสียงกับแม่เพราะเด็กคนนั้น จะให้แม่คิดยังไง!

    “คุณแม่ครับ...”

    “คุณชายครับ มาดาม” เป็นอีกครั้งที่คิมมูยอลจำต้องเสียมารยาทขัดบทสนทนาของผู้เป็นนายทั้งสอง ดูเหมือนว่านายน้อยที่เคยเชื่อฟังมารดามาตลอดกำลังถูกบีบคั้นจนเผลอเสียงดังออกมา และนั่นก็ทำให้นายผู้หญิงที่เคยควบคุมทุกอย่างได้ด้วยความเย็นชา เริ่มจะเย็นอยู่ไม่ไหวเช่นกัน  “ให้ผมนอนในห้องนั่งเล่นเถอะครับ โซฟาก็กว้างขวางดี ผมไม่ได้ลำบากอะไร”

    คริสสู้สายตากราดเกรี้ยวของผู้เป็นมารดาอยู่นาน จนกระทั่งเธอสะบัดหน้าหันไปทางอื่นเสียเอง ร่างสูงจึงหันไปเอ่ยคำขอโทษแก่ชายสูงวัยกว่า เลขาคิมส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ยิ้มเรียบๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง

     

    มองร่างบางระหงของมารดาที่หอบโยนด้วยแรงโทสะ คริสก็สำนึกได้ว่าได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป เขาก้าวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยคำขอโทษ แต่เมื่อมือใหญ่แตะลงที่ท่อนแขนเล็ก มาดามอู๋ก็ยกแขนขึ้นไพล่กันบนอกเสีย

    “ลูกไม่เคยเถียงแม่เลยนะอี้ฟาน” น้ำเสียงของเธอยังขุ่นเคือง แต่แววตาที่คริสเห็นนั้นแฝงความรู้สึกผิดหวังและน้อยใจไว้ ร่างสูงเองก็รู้สึกปวดแปลบในหัวใจไม่น้อย เขาอยากอธิบาย หากมารดากลับไม่ยอมให้โอกาส สุดท้ายจึงได้แต่ถอยกลับ ค้อมศีรษะลงต่ำ

    “...ผมขอโทษครับ”

     

     

     

              อี้ชิงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเลย เขารู้แค่ว่าคุณนายแม่ของพี่คริสกับเลขาคิมจะอยู่ค้างด้วยกันในคืนนี้ เด็กหนุ่มหอบเอาหมอนและผ้าห่มมาให้ชายสูงวัยกว่าในห้องนั่งเล่น อยู่ดูแลถามไถ่ด้วยความที่อยากให้แขกคนสำคัญได้พักผ่อนอย่างสะดวกสบายที่สุด กระทั่งคิมมูยอลต้องเอ่ยราตรีสวัสดิ์เพื่อบอกให้เด็กหนุ่มพาตัวเองไปพักผ่อนบ้าง อี้ชิงถึงได้เกาแก้มแก้เขินแล้วเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น

     

              พอกลับเข้ามาในห้องตัวเองก็ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเตียงพร้อมพรูลมหายใจยาว ตั้งแต่ช่วงบ่ายก็ไม่ได้เจอพี่คริสอีกเลย อาจจะยุ่งๆ อยู่ เห็นเลขาคิมบอกว่าพี่คริสต้องเรียนงานกับคุณป้า เพราะพี่คริสไม่เคยบอก อี้ชิงก็เลยไม่รู้ว่าธุรกิจของครอบครัวพี่คริสนั้นใหญ่โตแค่ไหน ขนาดชื่อจริงของคนรักก็เพิ่งได้ยินวันนี้นี่เอง ถึงจะเป็นแฟน แต่อี้ชิงก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย ยิ่งเป็นเรื่องทางบ้านด้วยแล้ว บางทีพี่คริสก็คงไม่อยากให้คนนอกรู้นัก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนใกล้ตัวอย่างอี้ชิงจะเก็บมานั่งน้อยใจ ออกจะเห็นใจคนรักด้วยซ้ำที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบของครอบครัวเอาไว้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบแบบนี้

     

              พอไม่มีร่างสูงคอยอยู่ใกล้ๆ รอบตัวมันเงียบเกินไปจริงๆ หันมองเตียงนอนโล่งๆ ที่คนเจ้าเล่ห์ชอบเนียนมานอนเล่นแล้วแกล้งหลับไม่ยอมกลับห้อง ใบหน้าหวานก็ระบายยิ้มบางเบา คืนนี้คงไม่มีโอกาสได้บอกราตรีสวัสดิ์ด้วยซ้ำ พอนึกขึ้นได้อี้ชิงก็ยืดตัวขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาถือไว้แล้วกลิ้งตัวลงนอน ตวัดผ้าห่มคลุมตัวไว้ลวกๆ กดปุ่มเปิดหน้าจอมือถือแล้วนิ้วเล็กก็ค่อยพิมพ์ข้อความสั้นๆ ลงไปในโปรแกรมแชท อมยิ้มอย่างรอคอยอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับ เหมือนผู้รับจะยังไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำ ยิ้มหวานก็เลยจางลง คนตัวขาวพลิกกายตะแคงข้างแล้ววางมือถือลงบนพื้นเตียง มองดูมันจนไฟหน้าจอดับไป ใบหน้าหวานหมองลงพร้อมเสียงถอนหายใจบางเบา เอ่ยพึมพัมข้อความเดียวกันกับที่เพิ่งพิมพ์ส่งไปเมื่อครู่

     

              “...ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่คริส”

     

              .

     

              .

     

              .

     

              “อี้ชิง...”

              เสียงกระซิบแผ่วเบาพร้อมความรู้สึกอุ่นชื้นที่แตะลงบนเนินหน้าผาก ทำให้คนที่ยังไม่หลับสนิทรู้สึกตัว เปลือกตาบางค่อยปรือเปิดขึ้นช้าๆ ก่อนจะยิ่งเบิกกว้างเมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นตาอยู่ในแสงสลัวของไฟจากโคมหัวเตียง

              “พี่คริส!” ร่างโปร่งบางลุกพรวดขึ้นนั่ง และในทันทีก็ถูกรวบเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว คริสไม่พูดอะไรเลยหลังจากนั้น อี้ชิงรู้สึกได้เพียงลมหายใจติดขัดที่เป่าเหนือซอกคอ เหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียงก็พบว่าเลยเที่ยงคืนมาเกือบชั่วโมงแล้ว “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

              “พี่คิดถึง...” เสียงทุ้มทว่านุ่มนวลกระซิบบอกที่ริมใบหู ก่อนที่จมูกโด่งจะกดแนบลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าคล้ายจะซึมซับกลิ่นไอหอมหวานให้มากที่สุด อี้ชิงรู้สึกได้ถึงความเครียดและกดดันที่เจืออยู่ในทุกสัมผัส จึงปล่อยให้คนรักทำตามใจอย่างไม่หวงห้าม มือเล็กลูบปลอบแผ่นหลังกว้างอย่างอ่อนโยน หวังให้คนที่ต้องเหนื่อยมาทั้งวันได้ผ่อนคลายบ้าง

     

              “แล้วคุณป้าล่ะครับ?”

              “ท่านหลับไปแล้ว อี้ชิง พี่คิดถึง วันนี้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยมากเลยนะ”

              “แต่เราก็อยู่ด้วยกันทุกวันอยู่แล้วนี่ครับ นานๆ จะได้เจอคุณป้าซักที พี่คริสควรจะเอาใจท่านให้มากๆ นะ”

              คริสคลายอ้อมแขนปล่อยร่างเล็กเป็นอิสระ มองสบตาคู่สวยที่แม้ความมืดก็ไม่อาจบดบังประกายหวานได้

              “โกรธพี่หรือเปล่า?”

              เปลือกตาบางกระพริบปริบ ดวงหน้าหวานเอียงมองอย่างสงสัย

              “โกรธ? เรื่องอะไรครับ?”

              “ที่พี่ปกป้องเราไม่ได้ ปล่อยให้คุณแม่ทำเย็นชาใส่เราแบบนั้น อี้ชิงโกรธพี่หรือเปล่า?”

              “ผมจะไปโกรธพี่คริสได้ยังไงกันครับ” มือเล็กยกขึ้นทาบบนแผงอกอุ่น สัมผัสจังหวะที่อ่อนแรงเหลือเกินใต้แผ่นอกนั้นอย่างปลอบประโลม “พี่คริสเกรงใจคุณป้า ให้เกียรติท่าน ไม่เห็นคนอื่นดีกว่า นั่นก็ถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว ถ้าพี่คริสออกรับแทนผมก็เหมือนเป็นการหักหน้าท่าน ท่านอาจจะไม่ชอบผมไปมากกว่านี้ก็ได้”

              “รู้สึกแย่หรือเปล่า?” คำตอบของอี้ชิงคือการส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง เพียงเท่านั้นคริสก็ชื่นไปทั้งใจ กล้ามเนื้อน้อยๆ ที่เคยอ่อนแรงก็กลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาใหม่ ช่วงแขนยาวโอบรั้งเอาร่างขาวบางเข้ามากอดไว้แนบแน่น “คนดีของพี่ พี่ต้องทำยังไงให้คุณแม่ทราบนะ ว่าแฟนพี่น่ารักขนาดนี้”

     

              อี้ชิงซุกใบหน้าลงกับแผงอกอุ่น ซ่อนยิ้มหวานที่จางลงเพราะไม่อยากให้คนตัวสูงได้เห็น ใช่ว่าเขาจะไม่คิดมาก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้กำเนิด พี่คริสก็คงต้องลำบากใจมากอยู่แล้ว อี้ชิงไม่อยากทำให้คนรักต้องเป็นกังวลเพราะตนอีก คนตัวเล็กปล่อยให้ร่างสูงกอดหอมอย่างตามใจ ยอมรับอยู่ในหัวใจว่าเขาเองก็คิดถึงสัมผัสที่อบอุ่นของคนรักไม่น้อย ยิ่งเมื่อนึกถึงความอ่อนหวานที่ได้รับเมื่อยามเช้า เมื่อเรือนกายใหญ่โตทว่าอบอุ่นทาบทับอยู่เหนือร่าง ทั้งสัมผัสที่อ่อนโยนและรอยยิ้มละมุนที่คอยปลุกปลอบ หัวใจดวงน้อยๆ ก็ยิ่งเต้นกระหน่ำ ร่างเล็กร้อนผ่าวไปทั้งร่าง...

     

              “ให้พี่ค้างด้วยนะ?” เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ชิดใบหูทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งทั้งตัว ดันอกคนตัวโตกว่าออกเสียจนห่าง

              “ม.. ไม่ได้นะครับ” ละล่ำละลักปฏิเสธหน้าตาตื่นในขณะที่คนพูดทำหน้าเหวอ พี่คริสไม่รู้ว่าอี้ชิงคิดไปถึงไหนก็จะรู้ตอนที่หน้าหวานแดงจัดเนี่ยแหละ อี้ชิงต้องรีบเฉไฉจากเรื่องที่ชวนให้ใจเต้นแรงเป็นพัลวัน “คือ.. ถ้าคุณป้าตื่นขึ้นมาแล้วหาพี่คริสไม่เจอ จะพาลโกรธกันไปใหญ่”

              ร่างสูงพรูลมหายใจอย่างสุดแสนเสียดาย ใจน่ะอยากนอนกอดคนตัวนิ่มจะแย่ แต่ก็ไม่อยากให้คุณแม่ต้องหงุดหงิดอีก ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็คงต้องตัดใจไปก่อน

     

              คริสจรดริมฝีปากลงข้างขมับขาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะประคองร่างขาวบางให้นอนราบลง ดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมให้จนถึงใต้คางด้วยเกรงว่าอากาศหนาวเย็นจะทำให้คนรักป่วยไข้ แล้วประทับจูบอีกครั้งเหนือเนินหน้าผาก ลูบมือกับกลุ่มผมนุ่มเบาๆ อย่างแสนรัก

              “ถ้างั้น... ฝันดีนะครับ ฝันถึงพี่ด้วยนะ”

              คนน้องยิ้มรับ ผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อแตะริมฝีปากและปลายจมูกที่ข้างแก้มสาก
     

               “ฝันดีครับ”

     

     

     

     


     

              ทุกวันจันทร์คริสมีเรียนแค่ช่วงบ่าย แต่เพราะอี้ชิงมีชั่วโมงเรียนเช้า ร่างสูงจึงมักตื่นแต่เช้าเพื่อออกจากบ้านพร้อมกัน แต่วันนี้เขาตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะหลังจากนอนคิดมาทั้งคืน คริสตัดสินใจแล้วว่า วันนี้เขาต้องคุยกับมารดาให้เข้าใจเสียที
     

              คุณนายอู๋เป็นคนเข้มงวดและเด็ดขาดมากก็จริง แต่ท่านไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรือดูถูกผู้ที่ด้อยกว่า คริสเองก็อยู่ในโอวาทของมารดามาตลอดตั้งแต่เด็กๆ เขาถูกสั่งสอนให้มีความรับผิดชอบในฐานะทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล ดังนั้นจึงไม่เคยทำเรื่องที่ถือว่าขัดใจมารดาเลยซักครั้ง คริสเข้าใจว่าอาการมึนตึงของคุณแม่มาจากการที่เขาไม่ยอมกลับบ้าน แล้วก็เลยพาลไปถึงเรื่องอื่นๆ อี้ชิงเองก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย เขาอาจจะเหลวไหลไปบ้างตั้งแต่มีน้องมาอยู่ด้วยกัน แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของคนตัวเล็กเลย คริสเองที่อยากใช้เวลาอยู่กับคนรักให้มากที่สุด การเบิกเงินก้อนใหญ่จากบัญชีมาใช้ซื้อเปียโนให้อี้ชิง อาจทำให้คุณแม่มองน้องในแง่ไม่ดี แล้วเมื่อวานเขาก็ยังขัดใจทำให้ท่านเคืองหนักเข้าไปอีก ความผิดคริสเองทั้งนั้น เขาต้องอธิบายให้คุณแม่เข้าใจ จะได้เลิกเย็นชาแล้วหันมาเอ็นดูอี้ชิงให้สมกับความน่ารักของคนตัวเล็กเสียที

               แต่ตอนที่คริสตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นมารดาอยู่ในห้องแล้ว คริสรู้ว่าคุณนายแม่ตื่นเช้าเป็นปกติ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเช้ามากขนาดนี้ ร่างสูงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบออกมาจากห้อง พอดีกันกับที่อี้ชิงซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยแล้วเปิดประตูห้องออกมาเช่นกัน

     

              อี้ชิงยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากทักทายอรุณสวัสดิ์คนรัก ข้อมือเล็กก็ถูกคว้าจับแล้วจูงให้เดินตามไปทันที

              “เดี๋ยวก่อนครับพี่คริส จะไปไหน?”

              “ไปห้องรับแขก คุณแม่พี่อยู่ในห้องรับแขกใช่มั้ย?”

              “ใช่ครับ แต่ว่า...!” คุณป้าคุยงานกับคุณเลขาคิมอยู่ พี่คริสจะพาเขาเข้าไปด้วยทำไม อี้ชิงยังไม่ทันจะได้ถามก็พบว่าตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าโซฟายาวเสียแล้ว คริสค้อมศีรษะขอโทษผู้ใหญ่ทั้งสองที่เสียมารยาทเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว อี้ชิงที่ถูกพามาด้วยก็ค้อมศีรษะตาม

             

              อู๋เจียหลิงถอนหายใจเบาๆ เธอวางหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าลง มองเด็กหนุ่มทั้งสองแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

              “จะไปเรียนกันแล้วรึ?”

              “ยังหรอกครับ เรายังพอมีเวลา คุณแม่ครับ ผมมีเรื่องที่จะ...”

              “อย่าเพิ่งพูดอะไรอี้ฟาน” มือบางยกขึ้นเล็กน้อยในเชิงห้าม มาดามอู๋หันไปพนักหน้าน้อยๆ ให้เลขาคนสนิท หนุ่มใหญ่ก็ผุดลุกขึ้น เก็บถ้วยกาแฟทั้งของตัวเองและผู้เป็นนายใส่ถาด เตรียมจะยกออกจากห้อง

              “แต่คุณแม่ครับ เรื่องของผมกับอี้ชิง...!

              “แม่บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร หรือว่าเดี๋ยวนี้ลูกไม่ฟังที่แม่พูดแล้ว?” น้ำเสียงของเธอนิ่งมาก นิ่งเสียจนคริสเองก็เดาอารมณ์มารดาไม่ถูก ถ้าวู่วามโต้แย้งไปก็อาจจะไม่เป็นผลดี หากทำให้คุณแม่ท่านอารมณ์เสียขึ้นมาอีก คริสคงหมดโอกาสแก้ตัวอย่างที่ตั้งใจ ร่างสูงจึงต้องกัดปากยั้งคำตัวเองไว้ ขณะที่มองเธอถอดแว่นสายตาออกวางลงบนหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่เมื่อครู่อย่างใจเย็น ก่อนจะหันไปทางอี้ชิง “ฉันขอคุยกับเธอตามลำพัง”

              “ค.. ครับ?” เด็กหนุ่มตัวขาวชี้นิ้วใส่หน้าตัวเองแล้วหันมองคนข้างๆ เหมือนจะไม่แน่ใจว่าตัวเองอาจจะฟังผิด มาดามอู๋เห็นดังนั้นก็จิ๊ปาก

              “จะต้องให้ฉันพูดซ้ำมั้ย?”

              “คุณแม่ครับ คืออี้ชิงเค้า...”

              “คุณชายออกไปรอด้านนอกกับผมเถอะครับ” เลขาคิมที่ประคองถาดไว้ด้วยสองมือเอ่ยชวน รอยยิ้มเรียบง่ายที่มีให้เด็กหนุ่มร่างเล็กเหมือนจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัว แล้วยังเผื่อแผ่ไปให้นายน้อยของตนหมายจะปลอบไม่ให้วิตกจนเกินไปนัก “ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณชาย คุณท่านแค่อยากจะคุยกับคุณหนูเท่านั้น”

              “แต่ว่า...”

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ” อี้ชิงเองเสียอีกที่เป็นฝ่ายหันมายิ้มให้ พลิกข้อมือขึ้นมาเป็นฝ่ายจับมือใหญ่ไว้เสียเองแล้วบีบเบาๆ “ไหนพี่คริสบอกว่าคุณป้าท่านไม่น่ากลัวไงครับ”

              คริสกลั้นลมหายใจตอนที่มองสบตาคู่หวาน สุดท้ายรอยยิ้มไร้เดียงสาก็ทำให้เขาต้องพรูลมหายใจแล้วยิ้มตอบ บีบมือตอบมือเล็กกว่าก่อนจะปล่อยให้น้องเป็นฝ่ายแกะมือเขาออกเอง อ้อยอิ่งอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะยอมออกจากห้องรับแขก ปล่อยให้คนสำคัญทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง

     

              พออยู่ด้วยกันสองต่อสอง ห้องรับแขกก็เงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ติดขัดของทั้งสองฝ่าย อี้ชิงมองหน้ามารดาคนรักแล้วกระพริบตาปริบ มือเล็กที่ประสานกันไว้หลวมๆ นั้นขยับน้อยๆ รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรซักอย่างขึ้นมาก่อน

              “นั่งก่อนสิ” แต่พอได้ยินน้ำเสียง ร่างเล็กก็กลับสะดุ้ง รีบนั่งลงบนโซฟาเล็กตัวข้างๆ บีบไหล่บีบขาเสียจนตัวลีบเล็ก แล้ววางมือประสานกันไว้บนตักอย่างเอี้ยมเฟี้ยมที่สุด ที่ทำเป็นใจกล้าก็เพราะไม่อยากให้พี่คริสต้องเป็นกังวลเท่านั้น จริงๆ แล้วตอนนี้ใจเต้นเป็นรัวกลองเลยทีเดียว

     

              เห็นท่าทางระมัดระวังตัวแบบนั้นของเด็กหนุ่ม อู๋เจียหลิงก็หลุดเสียงหัวเราะหึทั้งที่สีหน้ายังคงราบเรียบ ก่อนที่เธอจะเริ่มบทสนทนา

              “เธอรู้หรือเปล่า ว่าตระกูลอู๋ของเราน่ะกว้างขวางแค่ไหน?” เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ “อี้ฟานไม่เคยเล่าให้ฟังเลยรึ?”

              “ผม... ไม่เคยถามครับ” ริมฝีปากอิ่มแดงถูกเม้มเข้าหากัน ดวงตาคู่สวยกระพริบปริบไร้การเสแสร้ง อู๋เจียหลิงมองคนมามาก แต่เธอไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนไหนมีดวงตาที่สวยและน่ามองขนาดนี้มาก่อน เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะปล่อยออก

              “ตระกูลของเราทำธุรกิจในแผ่นดินใหญ่มาตั้งแต่สมัยคุณทวดของอี้ฟาน ก่อนที่คุณปู่จะย้ายสำนักงานใหญ่มาที่เกาหลีแล้วขยายสาขาออกไปในหลายประเทศ ผู้บริหารล้วนแล้วแต่เป็นคนในตระกูล สืบทอดทายาทกันมารุ่นต่อรุ่น ฉันเองพอแต่งเข้ามาแล้วก็กลายเป็นคนของตระกูลอู๋เต็มตัว ทำงานให้บริษัทมาตั้งแต่อี้ฟานยังไม่เกิดจนเค้าโตป่านนี้ ฉันเลี้ยงดูเค้าเป็นอย่างดี อบรมสั่งสอนเพื่อให้เค้าโตขึ้นเป็นสุภาพบุรุษที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แล้วยังวางแผนอนาคตเอาไว้ให้ ว่าพออี้ฟานเรียนจบ ฉันจะหาหญิงสาวจากตระกูลคู่ค้ารายใหญ่ซักรายให้แต่งงานกัน จะได้มาช่วยดูแลกิจการของตระกูลต่อ ถึงเวลานั้นอี้ฟานเองก็คงไม่ปฏิเสธ เค้าไม่เคยขัดใจฉันซักครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าฉันจะสั่งอะไร เขาก็มักทำตามโดยไม่มีข้อแม้เสมอ เขาเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทมาตลอด ...จนกระทั่งมาเจอเธอ”

     

              สายตาที่วาดมาทำให้เด็กหนุ่มต้องก้มหลบ มือที่วางบนตักนั้นบีบกันแน่น รู้สึกเหมือนเรื่องราวรอบตัวพี่คริสที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนนั้นช่างยิ่งใหญ่เสียจนตัวเองหดเล็กลง ที่กั้นอยู่ตรงหน้าระหว่างเขากับคนรักคือกำแพงที่ทั้งสูงและหนาจนอี้ชิงไม่กล้าข้ามไป เป็นคุณป้ายืนอยู่บนนั้น ทุกเรื่องราวที่อี้ชิงรับรู้จากท่านราวกับหินก้อนใหญ่มากมายที่กำลังโยนใส่ร่างเล็กจ้อยของเขา อี้ชิงอยากหลับตาแล้วเสกให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะทำไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงต้องก้มหน้าฟังมารดาของคนรักว่าต่อด้วยความรู้สึกสั่นไหวในอก

     

              “อี้ฟานถูกส่งไปเรียนที่แคนาดาตั้งแต่ยังไม่จบชั้นประถม แล้วก็อยู่ที่นั่นหลายปีจนกระทั่งไฮสคูลปีสุดท้าย ฉันถึงให้เค้าย้ายไปเรียนที่กวางโจวเพื่อจะได้คอยดูแลคุณปู่คุณย่าที่กลับไปพักผ่อนที่บ้านเกิด ทั้งที่อีกปีเดียวก็จะเรียนจบแล้วแท้ๆ แต่ตอนนั้นอี้ฟานก็ไม่ได้คัดค้านอะไรซักคำ ฉันมารู้เอาทีหลังว่าเค้าเป็นถึงกัปตันทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียน ซ้ำยังเกือบจะได้เข้าคัดตัวกับทีมบาสฯชื่อดัง ฉันรู้ว่าเค้าชอบเล่นกีฬา แต่ไม่เคยรู้เลยว่าจะเก่งมากขนาดนั้น อี้ฟานไม่เคยบอกฉัน นั่นอาจจะเป็นความฝันของเค้าด้วยซ้ำ แต่เค้าก็ยอมละทิ้งมันเพียงเพื่อจะตามใจฉัน หลังจากนั้นเค้าก็ไม่เคยปริปากเรื่องนี้อีกเลย แม้กระทั่งตอนที่เค้าเรียนจบไฮสคูลและสอบเข้าเรียนคณะสถาปัตย์ที่มหาวิทยาลัยในปักกิ่งได้ ตอนนั้นคุณปู่กับคุณย่าย้ายกลับมาเกาหลี และฉันก็อยากให้เค้าค่อยๆ เรียนรู้งานธุรกิจ ก็เลยให้เค้าย้ายกลับมาเรียนที่เกาหลี เค้าก็ย้ายทันทีโดยไม่มีปากเสียง บอกให้เค้าลงเรียนคณะเศรษฐศาสตร์เพราะเห็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์ในอนาคตมากกว่า เค้าก็ทำตามอย่างไม่ขัดใจ อี้ฟานเค้าเป็นแบบนี้มาตลอด ไม่เคยปฏิเสธหรือตั้งคำถามในคำสั่งของฉันเลย เพราะเค้ารู้ว่าเค้ามีภาระหน้าที่ในฐานะผู้สืบทอดของตระกูล และฉันเองก็ภูมิใจที่เค้าเติบโตขึ้นมาอย่างเพียบพร้อม สง่างาม และอยู่ในกรอบที่ฉันวางไว้เสมอ เป็นลูกชายที่น่าภูมิใจจริงๆ เธอว่ามั้ย?”

     

    อี้ชิงไม่ได้ตอบ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงสีหน้าอย่างไรออกไป มาดามอู๋จึงได้จ้องหน้าเขานิ่ง รู้แต่ว่ามือที่บีบกันนั้นยิ่งแน่นจนเริ่มจะเจ็บ ริมฝีปากที่ถูกกัดเริ่มระบม อี้ชิงรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เรื่องราวที่ได้ฟังทำให้เค้าอึดอัดไปหมด ยิ่งนึกถึงรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของคนรักแล้วอี้ชิงก็ยิ่งเจ็บในอก เรื่องราวเหล่านี้พี่คริสไม่เคยปริปาก เบื้องหลังอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น... ร่างสูงต้องแบกรับภาระและความรู้สึกไว้มากมายแค่ไหน พี่คริสที่ใจดีของเขา... พี่คริสที่น่าสงสาร...”

     

    “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเค้ามานาน หรือเพราะสังคมในต่างประเทศทำให้เค้าโตขึ้นมาก ตั้งแต่กลับมาเกาหลี อี้ฟานถึงได้กลายเป็นคนเงียบขรึม ฉันยอมให้เค้าย้ายมาอยู่คอนโดฯตามที่ขอ เพราะคิดว่าเค้าคงอยากใช้ชีวิตตามลำพังแบบวัยรุ่นทั่วไปบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ยังให้คนคอยตามดูเค้าอยู่ตลอด ฉันรู้ความเคลื่อนไหวของลูกชายฉันทุกอย่าง มีเพื่อนสนิทกี่คน ชื่ออะไรบ้าง พื้นเพทางบ้านเป็นยังไง แม้กระทั่งคู่ควงแต่ละคนของอี้ฟาน ฉันก็ต้องให้คนสืบดูให้แน่ใจว่าพวกเธอเหล่านั้นจะไม่สร้างปัญหาให้อี้ฟานในภายหลัง เธอเป็นคนแรกที่อี้ฟานจริงจังถึงขนาดเรียกว่าเป็นแฟน ซ้ำยังให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ฉันถึงได้อยากเห็นหน้าเธอนัก”

     

    อู๋เจียหลิงหยิบกระเป๋าถือข้างตัวของเธอขึ้นมาแล้วดึงซองสีน้ำตาลซองหนึ่งออกมา ก่อนจะเปิดซองแล้วเทของที่อยู่ในนั้นลงบนโต๊ะ อี้ชิงเห็นว่ามันคือรูปถ่ายหลายใบ แล้วคนในรูปนั้นก็ดูคลับคล้ายคลับคลา อยากจะมองให้ชัดๆ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าคุณนายอู๋อย่างขออนุญาต เมื่อเธอพยักหน้า อี้ชิงก็หยิบหนึ่งในรูปพวกนั้นขึ้นมาดู พอเห็นคนในรูปชัดๆ ตาคู่สวยก็เบิกกว้าง รีบหยิบรูปอื่นๆ ขึ้นมาดูในแน่ใจ

     

              “นี่มัน... รูปพวกนี้...”

    “รูปของเธอ จริงๆ ต้องบอกว่าเป็นรูปพวกเธอ คนที่ฉันให้ไปสืบเรื่องของเธอบอกว่าเธอสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เลี่ยงไม่ได้ที่จะถ่ายติดกันมา”

    อี้ชิงมองรูปแต่ละใบแล้วก็อึ้ง ไม่คิดว่าจะมีรูปแอบถ่ายตัวเองเยอะขนาดนี้ ทั้งตอนที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย หน้าคอนโดฯ หรือแม้แต่ตอนที่ออกไปข้างนอกด้วยกัน ถึงจะไม่มีรูปที่จับมือถือแขน หรือถึงเนื้อถึงตัวอย่างชัดเจน (เพราะอี้ชิงก็ระวังตัวมากอยู่) แต่ก็ยังน่าอายอยู่ดี แค่นึกถึงว่ามีใครคนหนึ่งคอยจ้องมองตัวเองอยู่ตลอดเวลา อี้ชิงก็ไม่รู้จะเอาหน้าเอาตัวไปซ่อนไว้ที่ไหนดีแล้ว

     

    “จะว่าไป... รูปพวกนี้ก็ทำให้ฉันเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น” คุณนายอู๋กรีดนิ้วเลือกรูปบนโต๊ะขึ้นมารูปหนึ่งแล้วส่งให้เด็กหนุ่ม “เธอเห็นอะไรมั้ย?”

    รูปที่อี้ชิงเห็นคือตอนที่เขากับพี่คริสออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน พี่คริสท้าวสองแขนไว้กับที่จับรถเข็น ส่วนเขากำลังเลือกซื้อของสำหรับมื้อเย็น พอเห็นผักที่ร่างสูงชอบก็เลยหันมาถาม อันที่จริงเวลาอี้ชิงถามอะไร พี่คริสก็มักจะพยักหน้าตามใจอยู่แล้ว ที่อี้ชิงไม่เคยสังเกตก็คือแววตาที่พี่คริสมองมา แววตาเชื่อมหวานแบบนั้น ขนาดแค่ในรูปถ่าย อี้ชิงก็ยังอดที่จะเขินไม่ได้

     

    “รอยยิ้มของเค้า”

    “อ.. เอ๋?” เพราะมัวแต่คิดถึงคนในรูป พอคุณนายอู๋พูดขึ้น อี้ชิงก็เลยสะดุ้งเล็กน้อย

    “ยิ้มของเค้า เป็นยิ้มที่กว้างและมีความสุขที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น ทุกรูปที่เค้าอยู่กับเธอ เค้าจะยิ้มแบบนี้ ฉันเข้าใจได้ในทันทีว่าเด็กคนนี้คือคริส เด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ ทั่วไป ยิ้มเป็น หัวเราะเป็น เค้าไม่ใช่คุณชายอู๋อี้ฟานที่ต้องวางตัวให้อยู่ในกรอบระเบียบ น่าแปลกนะ ทั้งที่ฉันคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันจัดวางให้นั้นเหมาะสมกับลูกชายที่สุด แต่มันกลับไม่เคยทำให้เค้ามีความสุขได้เหมือนตอนที่อยู่กับเธอ”

              “คุณป้า...”

              “ฉันไม่เคยนึกถึงนึกถึงความรู้สึกของลูกชาย แต่พอเค้าเห็นคนอื่นดีกว่าก็อดจะหมั่นไส้ไม่ได้ ต้องหาทางกลั่นแกล้ง ดูเหมือนแม่มดขี้อิจฉาจริงๆ เลย เธอว่ามั้ย?” คุณนายอู๋หัวเราะหึ เธอแค่นยิ้มแต่ทำไมอี้ชิงถึงรู้สึกว่าเป็นยิ้มที่เศร้านักก็ไม่รู้

     

    “ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับคุณป้าเลยนะครับ ผมเข้าใจว่าคนเป็นแม่ทุกคนก็อยากจะให้ลูกได้พบเจอสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าใครที่เข้ามาใกล้ชิดลูกชาย ถึงคุณป้าจะทราบมาก่อนว่าเค้าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่จะให้ทำใจให้ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า คงเป็นไปไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังเกินตัวขนาดนั้น แต่เพราะพี่คริสใจดีกับผมมากๆ อะไรที่ผมทำให้พี่เค้าได้ ผมก็อยากจะทำ ผมแค่อยากเห็นพี่เค้ามีความสุขมากๆ เท่านั้น”

     

    คุณนายอู๋มองสบแววตาแสนซื่อของเด็กหนุ่ม ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้มีความชื่นชมในรูปร่างหน้าตาที่แสนธรรมดา จางอี้ชิงก็แค่เด็กตัวขาวๆ หน้าตาค่อนจะหวานกว่าเด็กหนุ่มทั่วไป แต่รอยยิ้มในครั้งแรกที่ได้เจอนั้นสะกิดใจเธอนัก ทั้งที่ดูหวาดกลัวแต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มแล้วมองสบตาเธอตรงๆ ขณะที่ตอบคำถาม กิริยามารยาทก็สุภาพเรียบร้อย ไม่ใช่คนหยิบโหย่งทำอะไรไม่เป็นเหมือนคู่ควงคนอื่นๆ ของลูกชาย ถึงจะยังไม่อยากยอมรับ แต่ความใสซื่อไร้พิษภัยของเด็กหนุ่มคนนี้ก็ทำให้เกราะน้ำแข็งในใจเธอละลายลงไปได้มาก

     

    ร่างเพรียวระหงลุกจากโซฟายาวแล้วเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม ปลายนิ้วเรียวบางแตะลงที่ข้างแก้มใสก่อนจะเลื่อนลงใต้ปลายคางมน เชยใบหน้าหวานที่เริ่มจะก้มต่ำให้เงยขึ้นสบตากับเธอตรงๆ

     

    “เธอผิดจากที่ฉันคิดไว้มาก ดูอ่อนโยนแล้วก็ใสซื่อ ไม่ผิดเลยที่อี้ฟานจะปกป้องเธอ เด็กคนนั้น... เพราะไม่อยากขัดใจฉันถึงได้ยอมละทิ้งความชอบของตัวเอง ทั้งเรื่องกีฬาและเรื่องเรียน แต่เค้ากล้าเถียงฉันเพื่อจะปกป้องเธอ คงเพราะเธอคือความสุขเดียวที่เค้ามี และเป็นสิ่งเดียวที่ฉันให้เค้าไม่ได้” แก้มใสของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อ จางอี้ชิงยิ้มรับเมื่อกลีบปากสีสดคลี่ยิ้มบาง ก่อนที่มาดามอู๋ผู้เย็นชาจะปรับสีหน้าให้ราบเรียบดังเดิม แล้วหมุนตัวกลับไปที่โซฟาเพื่อหยิบกระเป๋าของเธอ

     

    “จะยังไงก็ตาม เธอสองคนยังเด็กนัก ในโลกนี้ยังมีอะไรอีกมากที่พวกเธอต้องเรียนรู้ อย่าเพิ่งปักใจว่าความรู้สึกที่มีในวันนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ฉันไม่ได้บอกให้เธอระแวงหรือกลัวอะไรล่วงหน้าหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากให้เธอหลงลืมว่ายังมีสังคมอีกมากมายที่พวกเธอต้องเผชิญ ถ้าคิดจะเดินเคียงข้างกันให้นานที่สุด เธอจะต้องเตรียมใจให้พร้อมรับเรื่องที่จะเกิด อ้อ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเป็นยัยแม่มดใจร้ายที่คอยกีดกันชีวิตรักของพวกเธอหรอกนะ ถึงจะคอยกะเกณฑ์และสร้างกรอบชีวิตให้ลูกชาย แต่ฉันก็ให้อิสระเค้ามากพอในเรื่องความรัก ...นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะทำให้เขาได้ในฐานะคนเป็นแม่”

     

    อี้ชิงลุกขึ้นยืนแล้วค้อมกายลงต่ำ

    “ขอบคุณมากนะครับที่สั่งสอน ผมจะจดจำความห่วงใยของคุณป้าไว้” เขายิ้มอย่างจริงใจ และนั่นคือสิ่งที่มาดามอู๋รับรู้ได้ เธอพยักหน้าน้อยๆ ให้เด็กหนุ่มก่อนหันหลังเพื่อจะเดินออกจากห้อง แต่อี้ชิงเรียกยังไว้

     

    “คุณป้าครับ คือ... พี่คริสเค้าระลึกถึงคุณป้าเสมอนะครับ ถึงเค้าจะไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟัง แต่ของทุกชิ้นที่คุณป้าให้มา พี่คริสเก็บไว้อย่างดี ผมรู้ว่าพวกมันมีค่ากับพี่เค้ามาก ไม่ใช่เพราะราคา แต่เพราะเป็นของที่คุณป้าตั้งใจให้” สายตาของคนฟังวาดมองไปยังตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยที่เรียงรายอยู่ในตู้ เธอยิ้มให้พวกมันแล้วก็ปรายยิ้มนั้นมาทางเด็กหนุ่มด้วย

     

    “อี้ฟานเค้าชอบของน่ารัก ฉันไม่แปลกใจที่เค้าจะชอบเธอมาก ดูแลกันและกันให้ดีๆ ถึงจะให้อิสระแต่ฉันก็ไม่ได้อยากให้อี้ฟานเค้าเปลี่ยนแฟนบ่อยๆ หรอกนะ อยู่กับเธออย่างน้อยก็พอจะทำให้เค้าอยู่กับที่ได้บ้าง ฉันไม่ได้ต้องให้คนคอยตามสืบทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดลูกชาย”

     

     

     

     

     

     

    คริสกระวนกระวายใจจนนั่งไม่ติด ได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนั่งเล่น ทุกห้านาทีก็จะคอยชะโงกหน้าออกไปมองเผื่อว่าคนรักจะเดินออกมาจากห้องรับแขก ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ คริสก็ยิ่งเป็นห่วงคนตัวเล็กจนร้อนใจ เขาไม่ได้คิดว่ามารดาจะทำอะไรรุนแรงกับอี้ชิงหรอก ท่านไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนขนาดนั้น แต่ที่กังวลก็เพราะอี้ชิงเป็นเด็กคิดมาก คำพูดนิดเดียวก็อาจกระทบกระเทือนความรู้สึกน้องได้ ที่แย่กว่านั้นคืออี้ชิงนึกถึงแต่ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องนึกโทษตัวเองแน่ๆ คริสผิดเองที่ไม่ได้อธิบายให้คุณแม่ฟังก่อนหน้านี้ ก่อนที่ท่านจะมาเจออี้ชิงด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่เข้าใจน้องผิดๆ จนไม่เอ็นดูกันแบบนี้

     

     

    “เป็นห่วงคุณหนูมากหรือครับ?” คิมมูยอลเห็นว่านายน้อยเดินไปเดินมาก็พอจะเข้าใจ เขาเองก็เห็นคุณชายมาแต่เล็ก เด็กหนุ่มถูกฝึกให้เป็นวางตัวเป็นคนที่นิ่งเงียบและสงวนท่าทีให้ดูสง่างามอยู่เสมอ ไม่บ่อยเลยที่จะได้เห็นอาการกระวนกระวายใจแบบนี้ เด็กหนุ่มตัวขาวคนนั้นคงมีความหมายกับนายน้อยของเขามาก

    “อยู่ดีๆ คุณแม่ก็เรียกอี้ชิงไปคุยแบบนั้น เลขาคิมพอจะทราบมั้ยครับว่าเรื่องอะไร?”

    “ท่านก็คงอยากรู้จักเพื่อนคุณชายให้มากขึ้นน่ะครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะให้ผมอยู่ด้วย เงียบกันไปตั้งนาน อี้ชิงจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

    ชายสูงวัยกว่ายิ้มปลอบอย่างสุภาพ

    “อย่ากังวลไปเลยครับ มาดามท่านไม่ทำอะไรรุนแรงกับคุณหนูแน่ๆ”

    “ผมทราบครับ แต่อี้ชิงเป็นเด็กหัวอ่อน ผมกลัวว่าถ้าคุณแม่ไม่พอใจแล้ว... พูดอะไรออกมาตรงๆ ผมกลัวว่า...”

    “กลัวจะเสียคุณหนูไปหรือครับ?”

    คริสพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง

    “ผมรักอี้ชิงนะครับ รักแบบที่ไม่เคยรักใครมาก่อน ผมยอมเสียทุกอย่างในโลกนี้ แต่จะไม่ยอมเสียเค้าไป ผมไม่ได้หวังให้คุณแม่เข้าใจและยอมรับได้ในทันที แค่อยากให้ท่านเปิดใจให้อี้ชิงบ้าง เค้าน่ารักมาก คุณแม่ต้องชอบเค้ามากแน่ๆ”

    “มาดามท่านเป็นคุณแม่ของคุณชาย นิสัยใจคอท่านก็คงไม่ต่างจากคุณชายนักหรอกครับ คุณชายรักใครชอบใคร ท่านก็ต้องเอ็นดูคนนั้นด้วยเหมือนกัน คุณหนูเองเธอก็เป็นเด็กดี คงเอาชนะใจคุณท่านได้ไม่ยาก”

     

    น้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้นเรียบง่ายทว่าอ่อนโยน ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งเยาว์วัยที่คริสแสนจะเหนื่อยและเบื่อหน่ายกับบทเรียนในการเข้าร่วมสังคมชั้นสูง เลขาคิมมักจะเป็นคนที่เข้ามาปลอบและบอกให้เขาทำเพื่อคุณแม่เสมอ หากเขาทำให้คนรอบข้างชื่นชมได้ นอกจากตัวเขาเองจะรู้สึกดีแล้ว คุณแม่ก็จะยินดียิ่งกว่า เด็กดีต้องไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่เสียใจ คริสยังจำคำสอนนั้นได้จนถึงทุกวันนี้

    ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้าช้าๆ

    “ผมก็หวังอย่างนั้น...”

     

     

    “เตรียมตัวกลับกันได้แล้ว เลขาคิม” น้ำเสียงนั้นดังมาก่อนที่ร่างบางระหงจะปรากฏตัวเสียอีก คริสเห็นมารดาหยุดยืนอยู่เพียงหน้าห้องนั่งเล่นก็รีบเข้าไปหา

    “คุณแม่จะกลับเลยหรือครับ?” ร่างสูงไม่ได้แสดงอาการร้อนใจมากจนเกินเหตุ ทั้งที่ใจน่ะอยากจะถามถึงเรื่องที่คุยกันแต่ก็ยังเกรงว่าจะเสียมารยาท มองสีหน้าคนรักที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของมารดาแล้วไม่เห็นแววเศร้าหมองหรือไม่สบายใจใดๆ คริสก็ค่อยโล่งอก

    มาดามอู๋เห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของบุตรชายที่ส่งไปให้คนข้างหลังแล้วก็ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างหมั่นไส้

    “ไม่ต้องอ้อนให้อยู่ต่อหรอกนะ แม่มีธุระต้องเข้าบริษัท” เธอทำเมินใส่ยิ้มอ่อนของบุตรชายแล้วหันไปพยักหน้าให้เลขาคนสนิท ฝ่ายนั้นก็ค้อมศีรษะรับแล้วเดินนำไปก่อน

     

     

              คริสหมายใจว่าจะเดินออกไปส่งมารดาที่ประตูหน้าแต่ก็ต้องหยุดเมื่ออี้ชิงเรียกไว้

    “คุณป้าครับ คือ... คุณป้าพอจะมีเวลาแวะไปส่งพวกเราที่มหาลัยมั้ยครับ?”

    “อ.. อะไรนะ?” อยู่ดีๆ ทำไมถึงไปชวนคุณแม่แบบนั้น คริสได้แต่มองสีหน้ามารดาสลับกับใบหน้าคนรัก เกือบจะชิงตอบเสียเองแล้ว เขาเองก็มีรถ ทำไมจะต้อง...

    “อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยมีเวลานักหรอกนะ ต้องรีบไปประชุม แต่เอาเถอะ ยังไงก็ทางผ่าน”

    แต่การที่คุณแม่ไม่ปฏิเสธนี่ทำเอาคริสเหวอ จนกระทั่งมือเล็กจับที่แขนของเขาอย่างอ้อนๆ คริสหันไปมองก็เห็นยิ้มหวานกับดวงตาคู่ใสที่กระพริบปริบ

              “พี่คริสขับรถให้คุณป้านะครับ”

              “แล้วอี้ชิงล่ะ?”

              “ผมอยากคุยกับคุณเลขาคิมต่อ เมื่อวานเรายังคุยไม่จบเลย จริงมั้ยครับ?”

              อีกฝ่ายก็ยิ้มรับอย่างรู้กัน นี่ถ้าคริสไม่แน่ในว่าเลขาคิมอยู่ในห้องนั่งเล่นกับเขาตลอดเวลา คงนึกว่าเตี๊ยมกันมาก่อนแน่ๆ

              “ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาติขับรถคุณชาย พาคุณหนูไปส่งแล้วกันนะครับ”

     

     

     

     

     

     

    ทุกสายตาต่างหันมาจับจ้องเมื่อรถยุโรปสีดำคันงามแล่นผ่านเข้ามาในคณะเศรษฐศาสตร์ ก่อนจะเลี้ยวเข้าซองจอดรถหน้าตึกคณะอย่างนุ่มนวล ตามมาด้วยรถสปอร์ตสัญชาตินอกสีแดงสดอีกคันที่ตามมาจอดในเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกชีวิตในบริเวณนั้นเหมือนถูกสตาฟให้ต้องหยุดทุกกิจกรรมที่ทำแล้วหันมาจ้องมองอย่างสนอกสนใจ

     

    ประตูรถคันแรกเปิดออกเฉพาะด้านคนขับ เมื่อหนุ่มหล่อประจำคณะก้าวลงมา ทุกอย่างก็กลับเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง ทั้งเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ และเสียงซุบซิบชื่นชมถึงความหล่อเหลาเหมือนเช่นทุกครั้งที่ร่างสูงปรากฏตัวย่อมเข้าหูหญิงผู้นั่งอยู่ด้านข้างคนขับเมื่อบานกระจกถูกลดลง เสียงซุบซิบยิ่งดังกว่าเดิมเมื่อหนุ่มน้อยอีกคนที่เพิ่งลงจากรถคันหลังเดินมายืนเคียงข้าง ก่อนที่ทั้งคู่จะค้อมศีรษะลงพร้อมกัน 

     

              “ขอตัวก่อนนะครับคุณชาย” คิมมูยอลส่งกุญแจรถคืนให้คริสก่อนจะค้อมศีรษะรับเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองเอ่ยคำลา ขึ้นนั่งแทนที่ในตำแหน่งคนขับแล้วก็เคลื่อนรถประจำตำแหน่งมาดามตระกูลอู๋ออกไปโดยที่ทั้งคริสและอี้ชิงยังคงยืนรอส่งอยู่ตรงนั้น

     

    ส่งมารดาจนท้ายรถลับตาไปแล้ว คริสก็แตะศอกเล็กเบาๆ ให้คนตัวขาวออกเดิน เขาเลือกจอดรถที่คณะตัวเองเพราะหมายใจว่าจะได้เดินไปส่งน้องที่คณะ จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันก่อนเข้าเรียน ตั้งแต่อี้ชิงเข้าไปคุยกับคุณแม่ออกมาก็ยังไม่ได้คุยกันเลย ไม่รู้คุณแม่ว่ายังไงบ้าง แต่คริสก็ยังเบาใจที่คนรักไม่ได้มีท่าทีไม่สบายใจหรือคิดมากอย่างที่เขากังวล แต่การที่คนตัวเล็กยังยิ้มกว้างไม่ยอมหยุดนี่ต่างหากที่ทำให้คริสสงสัย คิดยังไงถึงขอให้คุณแม่มาส่งถึงมหาวิทยาลัย แล้วคุณแม่ก็ยอมเสียด้วย

     

    “วางแผนอะไรกันแน่ครับคนเก่ง?”

    “ผมเปล่าซะหน่อย” อี้ชิงส่ายหน้าแล้วกระพริบตาใสใส่สีหน้าไม่ไว้ใจของคนรัก พอเห็นว่าคริสยิ่งหรี่ตากดดันก็รู้ว่าไม่สำเร็จ เกานิ้วกับข้างแก้มใสพร้อมสารภาพอย่างจนมุม “ผมก็แค่อยากให้คุณป้าได้อยู่กับพี่คริสตามลำพังบ้าง คุยกันตามประสาแม่ลูก ไม่ใช่คุณนายแม่กับคุณชายอู๋อี้ฟาน”

    “เด็กเจ้าเล่ห์ เข้าไปคุยกันแป๊บเดียว กลายเป็นพวกเดียวกับคุณนายอู๋ไปแล้วสินะ”

    “ฮื่อ ผมอยู่ข้างพี่คริสเสมอนะครับ แต่ก็แค่อยากให้คุณป้าได้คุยกับพี่บ้าง ท่านอุตส่าห์มาหาคงเพราะคิดถึงพี่คริสมาก ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าพี่คริสต้องกลับบ้านทุกเดือน แต่ตอนนี้รู้แล้ว ต่อไปนี้จะคอยเตือนให้กลับทุกอาทิตย์เลยคอยดู”

    “กล้าไล่พี่กลับบ้านใหญ่หรือ หืม?” คนตัวขาวครางอื้อเมื่อจมูกเล็กถูกบีบอย่างหมั่นเขี้ยว ที่จริงแล้วคริสก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมาก แต่เพราะผิวขาวบอบบางเป็นทุนเดิม พอคริสปล่อยมือ ปลายจมูกใสก็แดงเรื่อ น่าจูบเป่าเพี้ยงๆ ให้หายนัก แต่นี่มันในเขตมหาวิทยาลัย น้องต้องไม่ยอมแน่ๆ ลากเข้าซอกตึกเสียเลยดีมั้ย “กลับก็ได้ แต่ต้องไปด้วยกันนะ”

    ตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้น เด็กหัวอ่อนรีบส่ายหน้าอย่างลนลาน

    “ไม่ได้หรอกครับ คุณป้าต้องไม่ชอบใจแน่ๆ”

    “ทำไมจะไม่ชอบ ก็ท่านออกปากกับพี่เอง ท่านบอกว่าถ้าติดแฟนขนาดไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง วันหลังก็พากลับไปด้วยกันซะเลย คุณปู่กับคุณย่าท่านจะได้ทราบ ว่าเด็กที่ไหนที่ทำให้หลานชายเพลย์บอยของท่านสิ้นฤทธิ์ได้” คริสเลียนแบบน้ำเสียงกึ่งประชดประชันของมารดามาด้วย พูดเสร็จก็หันมายิ้มให้ แต่คนฟังนั้นหน้าเหวอไปแล้ว ขนาดคุณป้ายังรับมือยากขนาดนี้ ขืนไปเจอคุณปู่กับคุณย่าพี่คริสจริงๆ อี้ชิงต้องเป็นลมให้ได้อายต่อหน้าพวกท่านแน่ๆ

     

     

    ตอนที่อยู่ด้วยกันในรถ คริสมีโอกาสได้คุยกับมารดาในหลายๆ เรื่องอย่างที่อี้ชิงตั้งใจไว้จริงๆ ทีแรกเขาเองก็ยังแปลกใจที่คุณแม่ถามถึงเรื่องของอี้ชิง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยชวนให้พาไปที่บ้านใหญ่ ดูเหมือนท่านจะเอ็นดูอี้ชิงขึ้นมากในเพียงชั่วข้ามวัน แต่มาคิดๆ ดูก็ไม่น่าใช่ คุณแม่แทบไม่เปิดโอกาสให้อี้ชิงเข้าใกล้เลย แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาทำความรู้จักกัน เรื่องนี้คิดได้อย่างเดียวว่าท่านกำลังลงโทษลูกชายคนเดียวฐานที่ไม่ยอมกลับบ้านแน่ๆ คุณแม่คงสืบประวัติอี้ชิงมาแล้วเป็นอย่างดี รู้อยู่แล้วว่าน้องเป็นเด็กดีแค่ไหน แต่ที่ทำเป็นมึนตึงไม่สนใจมาตลอดเนี่ย เพราะอยากแกล้งให้เขากระวนกระวายใจแน่ๆ ช่างมีวิธีเอาคืนได้สมกับที่เป็นมาดามตระกูลอู๋เสียจริง คริสคิดมากจนนอนไม่กลับเกือบทั้งคืน คุณแม่นะคุณแม่!

     

     

    คนน่ารักทำอะไรก็น่ามอง โดยเฉพาะจางอี้ชิงที่ใสซื่อเป็นปกติอยู่แล้ว อาการที่ตาคู่สวยเบิกกว้างกับริมฝีปากอิ่มแดงเผยอออกน้อยๆ อย่างเหวอๆ นั้นช่างน่าหมั่นเขี้ยวในสายตาแฟนหนุ่มเสียจริง

    “อย่าทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวพี่จับฟัดนะ” คริสกัดปากอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เสียจนจมูกแทบจะชนแก้มใส ถ้าอี้ชิงไม่รีบดันอกเขาออกนี่ท่าทางจะทำจริงอย่างที่ขู่แน่ ตรงนี้เลยด้วยนะ ไม่ต้องมองหาซอกตึกแล้ว

    “ฮื่อ พี่คริส ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ”

    “พี่ก็ไม่ได้ล้อเล่นนี่” คริสจับมือเล็กที่อยู่บนอกขึ้นมากุมไว้ เกลี่ยข้อนิ้วกับปอยผมนุ่มที่ปรกหน้าผากคนรักแล้วยิ้มปลอบดวงหน้าหวานที่ยังขมวดมุ่นด้วยความกังวล “ถึงคุณแม่ไม่พูด พี่ก็ตั้งใจจะพาอี้ชิงไปที่บ้านใหญ่อยู่ดี อยากให้คนในครอบครัวรู้จักคนที่พี่รัก อยากให้อี้ชิงรู้จักพี่มากขึ้นด้วย”

     

    สีหน้าไร้เดียงสาเวลาที่แสดงความประหลาดใจนั้นช่างน่ารัก ตาคู่สวยเป็นประกายระยับ แก้มใสแดงระเรื่อก่อนที่ดวงหน้าหวานจะระบายยิ้มเสียอีก คริสรู้ว่าน้องดีใจ แม้ในความดีใจนั้นยังแฝงความไม่แน่ใจเอาไว้ด้วย แต่เมื่อคริสบีบมือเล็กเบาๆ เป็นสัญญาว่าเขาจะคอยอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไร รอยยิ้มหวานก็กว้างขึ้น

     

    มารดาตำหนิเขาได้ถูกต้องแล้ว คริสผิดเองที่เอาแต่ดึงให้น้องอยู่ในโลกที่มีแค่เราสองคน เพราะคิดว่าแค่เรารักกัน อยู่ด้วยกัน เท่านั้นก็เพียงพอ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย อี้ชิงเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ถูกความรักของเขากักขังเอาไว้ให้อยู่แต่ในกรงแก้ว แม้จะดูแลทะนุถนอมเท่าไหร่ แต่โลกภายนอกก็ยังมีด้านที่แหลมคมคอยแต่จะทิ่มแทง หากเรื่องราวรอบๆ ตัวเขานั้นกดดันให้กรงแก้วต้องแตกสลายในซักวัน อี้ชิงเองก็อาจจะเจ็บปวดไปด้วย คริสคงทนเห็นน้องเสียใจไม่ได้แน่ๆ ในเมื่อเขาปักใจกับคนตัวเล็กคนนี้เพียงคนเดียว คริสก็ควรต้องให้โอกาสต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้เรื่องราวของกันและกันให้มากขึ้น อนาคตข้างหน้าอาจจะไม่สวยงามและหอมหวานเหมือนตอนนี้พี่พวกเขายังอยู่ด้วยกัน แต่คริสเชื่อมั่นว่า หากสองคนยังเดินเคียงข้างกัน สองมือยังกอบกุมกันไว้แนบแน่น ไม่ว่าเรื่องอะไร พวกเขาก็จะผ่านมันไปได้ ถึงน้องจะไม่พูดอะไร แต่แววตาที่เชื่อมั่นใจตัวเขาและรอยยิ้มหวานที่มอบให้นั้นบอกชัดว่าอี้ชิงเองก็คิดเหมือนกัน

     

     

    คริสยังจับมือเล็กไว้ขณะที่ออกเดินไปด้วยกันอีกครั้ง อี้ชิงพยายามจะดึงมือกลับอยู่หลายครั้งเมื่อเห็นว่ามีคนมอง แต่คริสก็รั้งไว้ อย่างมากก็แค่ซ่อนไว้ข้างหลังเมื่อเห็นว่าน้องเขินจนต้องเดินก้มหน้า นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คริสคงต้องสอนให้น้องชินไว้ การแสดงความรักต่อหน้าคนทั่วไปไม่ใช่เรื่องที่ต้องอายเสียหน่อย

     

    “แล้ว... ผมยังเรียกพี่คริสว่าพี่คริสได้มั้ย? หรือต้องเรียกชื่อจริง?”

    นิ่งคิดไปครู่เดียว คริสก็ใช้นิ้วชี้จากมือที่จับกันนั้นจิ้มแก้มนุ่มจนบุ๋มลง

    “เรียกเหมือนเดิมเถอะ พี่ชอบเวลาเราอ้อนๆ แล้วเรียกชื่อนี้” ก่อนจะเผยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบจนชิดใบหูนิ่ม “...ได้อารมณ์กว่ากันเยอะ”

    “พี่คริส!” อี้ชิงทำตาโตใส่คนที่พูดจาชวนให้คิด พลันหน้าหวานก็เริ่มจะเรื่อแดง คริสแค่อยากแกล้งคนขี้อายให้เขินเล่น อารมณ์ที่ว่าน่ะอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คืออี้ชิงต้องคิดไปไกลมาก สองแก้มใสที่แดงจัดนั้นมันฟ้องให้คนเจ้าเล่ห์ต้องอวดยิ้มอย่างรู้ทัน คนน้องก็ได้แต่เม้มปากแล้วครางงอแงเพราะโดนแกล้ง ยิ่งโดนจ้องมากๆ ก็ยิ่งร้อนตัว อมลมจนแก้มป่องแล้วรีบจ้ำหนี

     

    คริสส่งเสียงหัวเราะลั่นแล้วรีบเดินตามคนตัวเล็กไป

    “เดี๋ยวสิอี้ชิง จะรีบไปไหน?”

    “ไปเรียนครับ”

    “ยังไม่ถึงเวลาเลยนะ”

    “ใกล้แล้วครับ ผมจะรีบไปอ่านหนังสือเตรียมไว้ก่อน”

    “อยู่คุยกับพี่ก่อนเถอะ”

    “ไม่ครับ”

    “น่า... นะ”

    “ไม่ครับ”

    “อี้ชิงอ่า...”

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     



    จบตอน ^^

     

     

     

     

     

     

    คนรอง: จบแล้วววววว ^^

    ใช้เวลานานเช่นเดิม ตอนแรกคิดว่าจะจบภายในสองอาทิตย์ เขียนไปเขียนมาก็เลยกำหนดจนได้ = =’

    เรื่องที่เกิดขึ้น (ที่ทุกคนทราบกันดี) ขอโทษที่ทำให้แตกตื่นนะคะ จริงๆ แล้วเป็นความผิดพลาดของเราเองที่ไม่ได้ชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกันตั้งแต่แรก เราคุยกับเพื่อนๆ แค่บางส่วนแล้วก็เหมาเอาว่าคนอื่นๆ ที่เค้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยจะเข้าใจ ก็เลยเกิดความเข้าใจผิดกันไปขนาดนี้

     

    แต่ยังไงตอนนี้ก็ทราบเหตุผลกันหมดแล้วเนอะ หลังจากนี้จะยังไงต่อไปก็เดี๋ยวดูกันอีกที

     

    ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ^^

     

     






    คุณนายแม่ อู๋เจียหลิง





    เลขาคิมมูยอล




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×