ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] หวานใจ >///<

    ลำดับตอนที่ #17 : หวานใจ ตอน 15 ::: บายเนียร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.14K
      18
      22 มิ.ย. 57


    [Fic] หวานใจ >///<

     

    ตอน 15: บายเนียร์

     

    Fiction by 2nd Admin

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “ครับคุณแม่   ....ครับ ผมเข้าใจแล้ว   ...ขอโทษด้วยนะครับ คราวหน้าจะไม่ผิดนัดอีก   ...ครับ ทราบครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เท่านี้ก่อนนะครับคุณแม่ สวัสดีครับ”  แตะนิ้วบนหน้าจอเพื่อตัดสายโทรศัพท์แล้วร่างสูงก็ผ่อนลมหายใจยาว คริสไสสมาร์ทโฟนไปบนโต๊ะหัวเตียงโดยไม่นึกห่วงราคามัน ก่อนจะทิ้งแผ่นหลังลงนอนราบกับพื้นเตียง เจ้าของสะโพกนิ่มสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเขาวางศีรษะหนุนต่างหมอน อี้ชิงที่นอนคว่ำหน้าเอี้ยวตัวมามองเขาแล้วก็ถามเสียงอ่อน

    “คุณป้าโกรธหรือเปล่าครับ?”

    แต่คริสส่ายหน้า

    “บ่นนิดหน่อย เรื่องที่เบี้ยวนัดไม่ยอมไปหาคุณปู่กับคุณย่าไม่เท่าไหร่ แต่ท่านเป็นห่วงเรื่องที่จะไปพบคุณพ่อกับคุณแม่อี้ชิงมากกว่า”

    “ทำไมล่ะครับ?” อี้ชิงขยับตัว คริสที่กลัวน้องจะเจ็บหลังก็เลยต้องลุกขึ้นนั่ง คนตัวเล็กพอลุกขึ้นได้ก็กระเถิบด้วยเข่าเข้ามาหา นั่งทับส้นแล้วเอียงคอมองเขา “หรือว่า... ท่านไม่อยากให้พี่คริสไป?”

    คนเป็นพี่ยิ้มบาง ดึงขาเข้ามาขัดสมาธิแล้วหันทั้งตัวไปมองหน้าคนถามเช่นกัน

    “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คุณแม่ท่านกลัวพี่จะไปทำรุ่มร่าม เสียมารยาทต่อหน้าพวกท่านมากกว่า”

    “ฮื่อ อาป๊ากับหม่าม้าไม่ใช่คนเรื่องมากหรอกครับ”

    “พี่รู้ พวกท่านต้องใจดีมากแน่ๆ ถึงได้เลี้ยงลูกชายออกมาได้น่ารักขนาดนี้” มือใหญ่ลูบแก้มนิ่มเบาๆ อย่างแสนรัก เห็นคนตัวเล็กกลั้นยิ้มเอียงอายแล้วก็ยิ่งนึกเอ็นดู ถึงตอนแรกจะอิดออดไม่ยอมให้พี่ไป แต่ใจจริงก็คงอยากให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้อยู่เหมือนกัน ถึงได้ดูเป็นกังวลแบบนี้ “แต่ถึงยังไงพี่ก็ต้องเตรียมตัว ครั้งแรกนี่สำคัญ เกิดพวกท่านไม่ประทับใจแล้วไม่ยกลูกชายให้ขึ้นมา พี่ก็แย่สิ”

    คนเป็นน้องร้องฮื่อ โผตัวเข้าซุกอกอุ่นๆ ให้คนตัวโตกอดไว้ ดวงหน้าร้อนผ่าวที่แนบอยู่กับอกนี่บอกให้รู้ว่าแก้มขาวๆ ป่านนี้คงแดงไปถึงไหน คริสหัวเราะเบาๆ ลูบมือกับกลุ่มผมนุ่มแล้วกดจูบนิ่งนานที่ข้างขมับ

     

    พลันดวงตาคู่คมเหลือบไปเห็นสมุดแล็คเชอร์ที่คนตัวเล็กนอนตีขาเขียนอะไรยุกยิกอยู่เมื่อครู่ เมื่อเย็นเห็นบอกว่ามีการบ้านเยอะ  ทั้งที่อยากอ้อนให้น้องมานั่งดูดีวีดีซีรี่ส์ชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาด้วยกัน แต่คริสไม่อยากกวนใจเด็กรักเรียน ก็เลยเอาตัวเองเข้ามานั่งเกะกะอยู่ในห้องนอนของคนตัวเล็กแทน อี้ชิงนอนทำการบ้านไป เขาก็นั่งพิงหัวเตียงเล่นเกมในมือถือไปเงียบๆ เพิ่งจะเมื่อครู่ที่นึกขึ้นได้ว่าควรต้องบอกคุณแม่ว่าเดือนหน้าคงไม่ได้เข้าไปพบคุณปู่คุณย่า เพราะต้องเตรียมตัวสอบกันทั้งคู่ สอบเสร็จแล้วก็จะบินไปบ้านเกิดของอี้ชิงทันที หันหลังไปคุยโทรศัพท์แค่แป๊บเดียว ทำไมสมุดแล็คเชอร์ถึงไม่ได้มีแค่ตัวหนังสือแล้วล่ะ

    “นั่นอะไร?” คนในอกเงยหน้าขึ้น เห็นคนเป็นพี่เขม้นตามองก็เลยถอยออกมา เอื้อมมือไปหยิบสมุดแล็คเชอร์มาให้คนรักดูใกล้ๆ “นี่รูปพี่เหรอ?”

    “อื้อ” คนเป็นน้องพยักหน้ารัวเร็ว ยิ้มอวดร่องบุ๋มที่ข้างแก้ม แต่คริสกลับย่นคิ้วใส่ บนสมุดแล็คเชอร์มีภาพวาดลายเส้นเป็นรูปการ์ตูนหน้าคน หางตาและหางคิ้วชี้ขึ้น เส้นจมูกชัดเจน แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือมุมปากที่ตกคว่ำกลายเป็นหน้าบึ้งตึง

    “ทำไมหน้าเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่หล่อเลย”

    “ก็เมื่อครู่ตอนคุยกับคุณป้า พี่คริสทำหน้าแบบนี้”

    “จริงอ่ะ?”

    “อื้อ” อี้ชิงพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง พอเห็นคนตัวโตทำปากยื่นก็เลยเข้ามาเกาะแขนโอ๋เอาใจ “เวลาคุยกับคุณแม่ อย่าทำหน้างอแบบนี้สิครับ ไม่หล่อเลย”

    คริสถอนหายใจเบาๆ เหล่ตามองคนน่ารักแล้วก็ฟัดแก้มนุ่มไปฟอดใหญ่ แฟนใครนะ น่ามันเขี้ยวนัก

    “งั้นทีหลังก็คอยอยู่ใกล้ๆ พี่นี่ เห็นเราอยู่ในสายตาตลอดเวลา พี่จะได้อารมณ์ดีไง”

    “ฮื่อ ไม่เกี่ยวซักหน่อย” แย้งเสียงเบาแล้วก็ต้องก้มหลบจมูกซุกซนที่พุ่งมาหมายจะเอาเปรียบ คนตัวโตมันเขี้ยวหนักเข้าก็เลยจับไหล่บางแล้วดันตัวน้องออก ฝังทั้งจมูกทั้งปากลงไปบนสองแก้มนุ่มเสียให้เต็มรัก

     

    แก้มขาวแทบช้ำกว่าคนตัวโตที่ฟัดจนหนำใจแล้วจะยอมปล่อย อี้ชิงบ่นงุ้งงิ้งอยู่ครู่หนึ่งก็ยืดตัวขึ้น ทำตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างที่ต้องให้กับมือคนรัก

    “จริงสิ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ มีคนฝากของมาให้พี่คริสด้วย” คลานต้วมเตี้ยมลงจากเตียงแล้ววิ่งตื๋อไปหากระเป๋าเป้ที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ รื้อๆ ค้นๆ อยู่ซักพักก็วิ่งกลับมาพร้อมซองจดหมายในมือ ยื่นมันให้คนตัวโตที่นั่งมองอยู่

    “ใครฝากมา?”

    “รุ่นน้องที่คณะน่ะครับ เพิ่งเข้ามากลางเทอม ถามว่าผมรู้จักพี่คริสใช่มั้ย แล้วก็ฝากซองนี่มา”

    คริสรับซองจดหมายสีชมพูหวานจากมือเล็กมาเปิดออกอ่าน แต่ไล่สายตาไปได้แค่สองสามบรรทัดก็พับมันลง เก็บใส่ซองไว้ตามเดิม หันมาดึงข้อมือบางให้คนตัวเล็กนั่งลงข้างกัน

    “บอกเค้าไปหรือเปล่าว่าเราเป็นอะไรกัน?” เป็นอย่างที่คิดเมื่อคนเป็นน้องส่ายหน้า ตาคู่สวยกระพริบปริบ กระต่ายแสนซื่อไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้เขาขุ่นใจ อี้ชิงขี้เกรงใจ ช่างเห็นอกเห็นใจคนอื่นเสียจนไม่คิดว่าใครจะมาคิดร้าย เป็นเสียแบบนี้คริสก็ได้แต่ถอนหายใจ

    “คราวหน้าถ้ามีใครฝากอะไรมาอีก ให้เค้าเอามาให้พี่เองนะ เราไม่ใช่แมสเซนเจอร์ที่จะต้องคอยวิ่งรับส่งของให้ใคร แล้วถ้าใครถามว่าเรารู้จักกันมั้ย ให้ตอบเค้าไปเลยว่าเราเป็นแฟนกัน”

    “แต่ว่า...”

    “หรือไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีแฟน? ทำไม กลัวพวกรุ่นน้องรู้ว่าจางอี้ชิงปีสองเป็นแฟนกับพี่คริสปีสามแล้วเรทติ้งจะตก?”

    “ฮื่อ ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย” เรทติ้งอะไรกัน อี้ชิงไม่เคยคิด เรื่องแค่นี้ทำไมถึงโยงไปหากันได้ พี่คริสทำหน้าบึ้งทำไม ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

    “ไม่รู้แหละ พี่งอน แบบนี้ต้องถูกทำโทษด้วย”

    “อะ.. อะไรกันครับ?” บ่นเสียยาวแล้วยังทำหน้ามุ่ยใส่อีก อี้ชิงมองตามร่างสูงที่ลุกขึ้นเดินไปหย่อนซองจดหมายทิ้งลงในถังขยะที่ปลายเตียง ก่อนจะเดินกลับมาแล้วดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นตาม

     

    “ไปอาบน้ำกับพี่เดี๋ยวนี้”

     

    “ห.. ห๊ะ?” ขืนตัวสุดแรงเมื่อถูกดึงแขนให้เดินตาม หน้าตาพี่คริสจริงจังดูแล้วคงไม่ใช่แค่พูดเล่น แต่จู่ๆ จะมาชวนให้อาบน้ำด้วยกัน แล้วอาบน้ำนี่คือต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดใช่มั้ย? ไม่ได้นะไม่ได้! อี้ชิงหน้าตาตื่น หันซ้ายหันขวาหาตัวช่วยก่อนจะชี้ไปที่สมุดแล็คเชอร์ที่ถูกวางทิ้งไว้กลางเตียง “ต.. แต่ผมยังทำการบ้านไม่เสร็จเลยนะ”

    “วาดรูปเล่นได้ก็แสดงว่าเสร็จแล้ว ไปอาบน้ำกับพี่เลย”

    “ฮื่อ~! ต.. แต่ว่าผม...!

    “อายอะไร พี่เห็นเราจนหมดทั้งตัวแล้วนะ” ค่ำคืนแสนหวานที่เพิ่งผ่านพ้น เพียงแค่นึกถึงก็ทำให้กระต่ายน้อยร้อนผ่าวไปทั้งร่าง เม้มริมฝีปากทั้งที่แก้มแดงปลั่ง ขณะที่คริสกระตุกยิ้ม โน้มใบหน้าเข้าหาแล้วกระซิบเสียงเบาที่ข้างใบหูนิ่ม “ไม่อยากเห็นพี่บ้างหรือไง?”

     

    งื้อออออออ  >///<

     

    คนตัวเล็กสั่นหน้ารัวเร็ว จะดิ้นหนีก็หมดทางเมื่อพี่คริสย่อตัวลงแล้วอุ้มเขาขึ้นพาดบ่า

    “อ๊ะ! ม.. ไม่ เดี๋ยวก่อนครับ พี่คริส พี่คริส!

    มีเพียงเสียงหัวเราะสลับกับเสียงโวยวายง้องแง้งไปตลอดทางจากห้องนอนเล็กไปถึงห้องอาบน้ำเท่านั้น ดูท่าว่าคืนนี้กระต่ายน้อยคงไม่รอดแน่แล้วล่ะ

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    [คนใจดี: อาจารย์ปล่อยช้า... ไม่เห็นใจคนคิดถึงแฟนบ้างเลย ><  รอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวจะพาไปกินซูชิของโปรด]

     

    “เฮ้ออ อิจฉาคนมีแฟนจังน้า~ ดูเอาเถอะ แค่นั่งมองหน้าจอมือถือก็ยังยิ้มได้”

    คนถูกแซวกัดปากอิ่มกลั้นยิ้มเขินแล้วก็ปิดหน้าจอมือถือ วางมันลงบนโต๊ะแล้วพลิกหน้าหนังสือเปิดอ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำเป็นไม่สนใจเสียงแซวจนเพื่อนสนิทย่นจมูกใส่

    “หมั่นไส้ๆๆ!

    “จะไปอิจฉาเค้าทำไมมินฮยอก ไหนวันก่อนบอกไม่อยากมีแฟนแล้ว?”

    “ตอนนี้ก็ยังไม่อยากมี แค่หมั่นไส้ สองวันก่อนยังจะเป็นจะตาย มาวันนี้นั่งยิ้มกับโทรศัพท์ ชิ! หมั่นส้ายยยย~

    “ฮื่อ ล้อกันอยู่ได้ ไม่ไปกินข้าวกันหรือไง?”

    “เอ๊า! ก็ตัวเองบอกว่าขอคุยเรื่องรายงานที่ต้องทำอาทิตย์หน้าก่อน  นี่ก็นั่งรออยู่เนี่ย”

    “อ้าวเหรอ?”

    “ก็ใช่น่ะสิ อะไรเนี่ยจางอี้ชิง ปกติก็ขี้ลืมอยู่แล้ว  ตั้งแต่มีแฟนนี่อาการหนักกว่าเดิมอีกนะ” คราวนี้เป็นจองชินที่ยกเอานิสัยน่าเอ็นดูของเพื่อนขึ้นมาแซวเสียเอง เล่นเอาคนตัวเล็กหน้าแดงไปถึงไหน

    “ไม่เกี่ยวซักหน่อย”

    “เปลี่ยนจากกระต่ายมาเป็นปลาทองดีมั้ย ความจำสั้นขนาดนี้น่ะ”

    “ฮื่อ เลิกล้อกันซักที” แล้วก็เลิกเอานิ้วมาจิ้มหน้าผากเค้าด้วย อี้ชิงปัดนิ้วสั้นๆ ของมินฮยอกออกไปได้ ก็เจอนิ้วยาวๆ ของจองชินจิ้มเข้าให้ที่แก้ม งอแงง้องแง้งแต่เพื่อนกลับยิ่งหัวเราะชอบใจ

     

    ซุ้มโต๊ะหน้าตึกคณะอักษรฯในยามพักเที่ยงไม่ค่อยมีนักศึกษานัก เสียงหัวเราะของสามเพื่อนซี้ดังมากก็จริงแต่ก็ไม่ได้รบกวนใคร แต่จองชินกลับต้องสะกิดให้อีกสองคนเบาเสียงลงเมื่อมีรุ่นน้องคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา

    “สวัสดีค่ะรุ่นพี่” เด็กสาวหน้าตาน่ารักหยุดยืนที่หัวโต๊ะ ส่งยิ้มทักทายให้อี้ชิงก่อน พอคนตัวขาวยิ้มตอบแล้วถึงได้หันไปยิ้มให้รุ่นพี่อีกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

     “สวัสดีจ้ะรุ่นน้องคนสวย มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยจ๊ะ?” มินฮยอกหนุ่มอัธยาศัยดีเอ่ยทักก่อน และเธอก็หันมายิ้มให้ หวานหยดชวนให้ใจละลาย

    “ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอคุยเป็นการส่วนตัวได้มั้ยคะ?”

    “อู้ยยย” แต่ก็ต้องหงายเงิบเพราะเธอหมายถึงกับจางอี้ชิง มินฮยอกยิ้มค้าง หันไปหาจองชินซึ่งกำลังกลั้นขำแล้วก็แยกเขี้ยวขู่เสียงครื่อๆ ใส่ ฝ่ายนั้นก็เลยต้องรีบเก็บของแล้วลุกขึ้น

    “อ่า... งั้นเดี๋ยวรายงานค่อยคุยช่วงบ่ายแล้วกัน” ไม่ลืมที่จะดึงแขนเพื่อนซี้ให้ลุกตามไปด้วย กลัวจะอารมณ์ขึ้นเพราะเสียหน้าแล้วกระโดดงับคอรุ่นน้องคนสวยเสียก่อน เจ้าผมยุ่งเก็บของแล้วก็ลุกตาม ยังไม่วายหันไปแขวะคนสวยแบบไม่ห่วงภาพลักษณ์หนุ่มป๊อป

    “เชิญเลยครับ เชิญเลย ส่วนตัวกันตามสบายเลย ส่วนเกินจะไปหาอะไรกิน หิว!

     

     

    สองหนุ่มป๊อปเดินไปแล้ว เด็กสาวไม่รอให้รุ่นพี่เชื้อเชิญก็รีบนั่งลงแทนที่ในฝั่งตรงกันข้าม เอียงคอแล้วยิ้มให้อย่างน่ารัก อี้ชิงต้องยอมรับว่าเวลาที่เด็กสาวยิ้มนั้นดูดีมากๆ รุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามากลางเทอมคนนี้เป็นที่สนใจเพราะรูปร่างหน้าตาที่สะสวยโดดเด่น เรือนร่างเพรียวบางสมส่วน ผิวขาวอมชมพู เส้นผมสีดำสนิทยาวตรงถึงกลางหลัง ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย แก้มใสเปล่งปลั่งเรื่อสีชมพูจางๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูสวยงามน่ารัก และใครต่อใครก็คงต้องอิจฉาถ้าได้เห็นเขานั่งคุยกับเธอตามลำพังแบบนี้ แต่อี้ชิงไม่ได้รู้สึกภูมิใจเลย เขากำลังกังวลใจ... มากๆ เลยล่ะ

    “รุ่นพี่ได้รับจดหมายแล้วใช่มั้ยคะ?” เธอถามอย่างกะตือรือร้น ขณะที่อี้ชิงพยักหน้าแล้วยิ้มเจื่อน “เค้าว่ายังไงบ้างคะ ถามถึงหนูบ้างรึเปล่า?”

    “คือ...” ยกนิ้วขึ้นเกาข้างขมับเก้อๆ จะตอบยังไงดี พี่คริสเปิดจดหมายอ่านก็จริง แต่ไม่เห็นพูดอะไรเลย

    “ตอนเค้าอ่านจดหมายแล้วทำหน้ายังไงคะ? เค้ายิ้มมั้ย? ดีใจรึเปล่า?”

    “อ่า...” หน้าบึ้งเชียวล่ะ งอนเลยด้วย

    “เค้าต้องแปลกใจแน่ๆ เลย ต้องอยากรู้ว่าหนูเป็นใคร ใช่มั้ยคะ?”

    “คือ...”

    “ถ้าอย่างนั้นรบกวนรุ่นพี่อีกที ช่วยเอาของนี่ให้รุ่นพี่คริสหน่อยนะคะ”

    “ห.. ห๊า? ม.. ไม่...!” อี้ชิงรีบส่ายหน้ารัวเร็วเมื่อซองสีชมพูยื่นมาตรงหน้า แต่มือที่ยกขึ้นโบกเพื่อจะปฏิเสธนั้นกลับถูกมือของเด็กสาวดึงไปกุมไว้

    “นะคะ~ ถือว่าช่วยหนูอีกซักครั้ง จะเอาไปให้เองหนูก็ไม่กล้า พี่เค้าป๊อบขนาดนั้นหนูคงเข้าไม่ถึง รุ่นพี่รู้จักกัน ถือว่าช่วยรุ่นน้องคนนี้เถอะนะคะ~” ออดอ้อนด้วยน้ำเสียงและแววตา ทั้งน่าเอ็นดูและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน แล้วมีหรือคนใจดีจะไม่ใจอ่อน

    สิ่งที่คนรักย้ำนักหนานั้น อี้ชิงจำได้ แต่คริสควรจะรู้ว่าคนตัวขาวไม่ใช่แค่ใจดี แต่ยังมีจิตใจที่บริสุทธิ์เสียจนไม่เคยคิดระแวงใคร ของในซองจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ในซองเมื่อวานก็เหมือนกัน แต่รุ่นน้องมาขอให้ช่วย หน้าที่ของรุ่นพี่ที่ดีก็คือต้องช่วยเหลือ อี้ชิงกับพี่คริสได้เจอกันทุกวันอยู่แล้ว แค่รับฝากของไปให้แค่นี้ไม่ได้หนักหนาอะไร อาจจะโดนคนตัวโตงอนนิดหน่อยฐานที่ขัดใจ ก็น้องเค้าน่าสงสารออกนี่นา...

    “ก.. ก็ได้ แต่ว่าครั้งนี้...” ...ขอเป็นครั้งสุดท้ายนะ

    “เย้! รุ่นพี่ใจดีที่สุด ขอบคุณมากนะคะ” แต่จะบอกก็ไม่ทันละ รุ่นน้องไม่ฟังพี่เลย ยัดซองจดหมายใส่มือแล้วก็ดึงไปกุมเอาไว้ อี้ชิงก็เลยได้แต่ยิ้มเจื่อน คงต้องคิดหาวิธีง้อคนตัวโตเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ

     

     

    “นายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ยจองชิน”

    “เห็น แต่ฟังไม่ถนัดว่าคุยอะไรกัน”

    “เหมือนรุ่นน้องคนนั้นจะส่งอะไรให้อี้ชิงนะ ดูสิ จับมือกันด้วย”

    “เหมือนจะฝากไปให้คนอื่นมากกว่า”

    “เข้าไปถามให้รู้เรื่องเลยดีกว่า”

    “เฮ้ย เสียมารยาท” จองชินรีบคว้าข้อแขนเพื่อนซึ่งก้าวออกมาพ้นพุ่มไม้ที่แอบซุ่มกันอยู่เป็นนาน ตั้งท่าจะเดินดุ่มๆ กลับเข้าไปในซุ้มคณะ รุ่นน้องคนนั้นออกไปแล้วเหลือแต่อี้ชิงก็จริง แต่คนตัวขาวจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าเขาสองคนแอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ตลอด นี่ถ้าไม่ถูกมินฮยอกดึงตัวไว้เพราะอ้างว่าเป็นห่วงเพื่อน เขาก็ไม่อยากทำเรื่องเสียมารยาทแบบนี้เหมือนกัน “แค่แอบดูคนอื่นคุยกันนี่ก็น่าเกลียดแล้ว”

    “คนอื่นที่ไหน นั่นเพื่อนเรา เกิดยัยรุ่นน้องหน้าสวยนั่นคิดจะทำอะไรไม่ดีขึ้นมาล่ะ”

    “นี่นายอคติเพราะน้องเค้าไม่ยอมคุยดีๆ ด้วยป่ะ? นั่นแค่เด็กปีหนึ่งแล้วก็เป็นผู้หญิง จะไปทำอะไรได้”

    “โฮ้ยย! นายนี่น่าเบื่อชะมัดเลย!” ที่กระทืบเท้าตุ้บตั้บนี่ไม่ใช่เพราะแทงใจดำเลยนะ แต่นี่คือเป็นห่วงเพื่อนไง มีคนแปลกหน้าเข้ามาเกาะแกะก็ต้องดูแลกัน เกิดยัยนั่นคิดจะตีท้ายครัวรุ่นพี่คนดังเข้ามาจีบอี้ชิงจะทำยังไง จองชินก็ดีแต่เล่นกีตาร์ทำเท่ห์ไปวันๆ ไม่รู้จักคิดระแวงอะไรไว้ก่อนบ้าง น่าโมโหนัก! ผลักไหล่กว้างแรงๆ ให้ร่างโย่งๆ เซถอยไปจนพ้นทางแล้วก็จ้ำอ้าวๆ ล่วงหน้าไปทางแคนทีนพร้อมเสียงโวยวาย “ฉันไปแอบถามเอาทีหลังก็ได้! แล้วไม่ต้องมาอยากรู้เลยนะ!

    “เอ๊า รอกันด้วยสิมินฮยอก”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “จากคนเดิม?”

    “......” อี้ชิงกลืนริมฝีปาก พยักหน้าหงึกๆ

    “บอกเค้าไปหรือยัง ว่าเราเป็นแฟนกัน”

    “......” คราวนี้กระพริบตาสองทีก่อนจะสั่นหน้า คริสสลับสายตามองซองจดหมายสีชมพูในมือเล็กแล้วก็มองดวงหน้าหวานของคนรักก่อนจะถอนใจ ทิ้งแผ่นหลังลงพิงพนักโซฟา และในทันทีคนตัวเล็กก็กระเถิบเข้ามาใกล้

    “งื้อ~ พี่คริส อย่าเพิ่งโมโหสิครับ ผมบอกน้องเค้าไปแล้วนะว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”

    มองดวงตาใสซื่อที่กระพริบอ้อนอยู่ตรงแนวไหล่แล้วคริสก็แสนจะอ่อนใจ เขาไม่ได้โมโห แต่อี้ชิงใจดีเกินไป คนตัวเล็กมีนิสัยอ่อนโยนมาแต่ไหน คริสเองก็รู้ ขนาดย้ำนักย้ำหนา วันนี้ก็มาสารภาพเสียงอ่อนพร้อมกับซองจดหมายที่รับฝากมาอีกจนได้ บางเรื่องเขาก็ไม่ได้อยากทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนคนรักไม่สบายใจหรอกนะ แต่ดูท่าว่า ถ้าไม่บอกความจริงไปบ้าง อี้ชิงก็คงไม่ยอมเข้าใจซักที

    “เค้าบอกอี้ชิงหรือเปล่า ว่าทำไมถึงไม่เอามาให้พี่เอง?”

    “น้องเค้าบอกว่าเพราะพี่คริสป๊อบมาก เค้าเข้าไม่ถึง”

    “แล้วอี้ชิงรู้มั้ย ว่าของที่ฝากมาคืออะไร?”

    “......” มองซองสีชมพูในมือตัวเองแล้วอี้ชิงก็ส่ายหน้า ของนี่ฝากมาให้พี่คริส เขาไม่กล้าเปิดดูก่อนหรอก คริสถอนหายใจอีกครั้งแล้วค่อยดึงซองนั้นมาถือไว้เอง

    “ดูนี่นะ” เปิดซองออกแล้วหยิบจดหมายที่อยู่ในนั้นขึ้นมา มองใบหน้าที่แสนไร้เดียงสาของคนรักแล้วก็อ่านข้อความในจดหมายนั้นให้ฟังอย่างช้าๆ ชัดๆ  “ถึงรุ่นพี่ ขอบคุณที่รับจดหมายสารภาพความในใจของหนูนะคะ รุ่นพี่อาจจะสงสัยว่าหนูเป็นใคร หนูเองก็อยากให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ถ้ารุ่นพี่ไม่รังเกียจ พรุ่งนี้ตอนเย็นหนูจะรออยู่ที่หน้าโรงหนังนะคะ”

    ยังมีของบางอย่างอยู่ในซองด้วย คริสหยิบมันออกมาแล้วก็ยกขึ้นให้คนรักดู “ตั๋วหนังสองใบ”

    อี้ชิงทั้งอึ้งทั้งเหวอในทีแรก ก่อนจะค่อยทวนบางคำเท่าที่ประมวลผลได้

    “จดหมาย... สารภาพความในใจ...?”

    “จดหมายที่อี้ชิงเอามาให้พี่เมื่อวานนี้ไง” คริสใส่ตั๋วหนังคืนกลับเข้าไปในซอง แล้วก็พับจดหมายใส่กลับเข้าไปด้วย ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ “ทีนี้รู้หรือยัง ว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากให้เราไปรับฝากของจากคนอื่นแบบนั้น”

    เรียวคิ้วบางขมวดน้อยๆ เมื่อมองดูซองสีชมพูบนโต๊ะ จดหมายเมื่อวานที่พี่คริสเปิดอ่านแค่แป๊บเดียวแล้วก็ทิ้งลงตะกร้า เป็นจดหมายรักหรอกหรือนี่? ส่วนจดหมายฉบับนี้... ก็คือจดหมายชวนออกเดท? ...น้องคนนั้นชอบพี่คริส ทำไมเขาถึงไม่เอะใจเลย อี้ชิงส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนรัก

    “ผม... แต่น้องเค้าไม่ได้บอก...”

    “ถ้าเค้าเพิ่งรู้จักอี้ชิง เค้าคงไม่บอกหรอกว่าคิดอะไร แล้วยิ่งไม่มีทางบอกว่าอะไรอยู่ในซอง” ประกายสวยในดวงตาคู่งามดูหมองลง อี้ชิงกลืนริมฝีปากแล้วก้มหน้าน้อยๆ คริสจึงวาดแขนโอบไหล่บางแล้วดึงร่างเล็กให้พิงลงกับอก “คิดอะไรอยู่ หืม?”

    “ผมน่าจะเอะใจ น่าจะบอกน้องเค้า ...ว่าเราเป็นแฟนกัน ไม่น่าไปให้ความหวังเค้าแบบนี้” คริสยิ้มบาง นึกอยู่แล้วว่าต้องคิดมาก จิตใจของอี้ชิงอ่อนโยนเกินกว่าจะละเลยความรู้สึกของคนอื่น เกิดเรื่องแบบนี้แทนที่จะหึงหวงแฟน กลับกลัวว่าคนอื่นจะเสียใจ แต่ความใจดีแบบนี้จะทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ที่แสนเปราะบางเจ็บปวดง่าย บางทีคริสก็นึกอยากให้น้องแคร์ความรู้สึกตัวเองมากกว่าคนอื่นบ้าง จูบปลอบเหนือกลุ่มผมนุ่มแล้วคริสก็ลูบไหล่เล็กไปมาเบาๆ

    “ไม่เอาน่า... ไม่ใช่ความผิดของอี้ชิงซักหน่อย เอาไว้มีโอกาสค่อยบอกก็ได้นี่ จริงมั้ย?”

    นิ่งไปครู่หนึ่งคนตัวเล็กจึงพยักหน้าให้คริสคลายใจ ร่างสูงกอดคนรักไว้แนบอกแล้วฝังจูบเหนือกลุ่มผมนุ่มแรงๆ อีกหลายครั้ง พรูลมหายใจพลางทอดสายตามองซองสีชมพูบนโต๊ะ ความจริงแล้ว เขาเองต่างหากที่ควรต้องรู้สึกผิด เขาเป็นคนดังที่คนทั่วทั้งมหาวิทยาลัยจับตามอง และเพราะเป็นเขา ตั้งแต่ที่เริ่มคบกับอี้ชิงก็มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาอยู่เนืองๆ แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยทำให้ความรักของเขากับคนตัวเล็กสั่นคลอนก็จริง แต่คริสก็ไม่ต้องการให้น้องต้องเจ็บปวด ...ซักนิดเดียวก็ไม่

    หวังว่าคนที่ส่งจดหมายพวกนี้มาจะไม่ได้มีแผนการณ์อะไร ถ้ารู้ความจริงแล้วล่าถอยไปเองเลยก็คงดี เขาไม่อยากให้อี้ชิงต้องเป็นกังวลเพราะเรื่องพวกนี้อีกแล้ว

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เช้าวันนี้ รถสปอร์ตสีแดงเลี้ยวเข้าจอดเทียบทางเท้าหน้าตึกคณะอักษรฯ ตรงเวลาเช่นทุกวัน หลังจากร่ำลาร่างสูงที่นั่งในตำแหน่งคนขับแล้ว คนตัวขาวก็ก้าวลงมาจากรถ ยิ้มทักทายให้สองเพื่อนซี้ที่ยืนรออยู่ก่อนพร้อมเสียงแซะแซวไปตามเรื่อง เมื่อวานนี้ช่วยกันทำรายงานอยู่จนมืดค่ำแต่ก็ยังไม่เสร็จ วันนี้ก็เลยนัดกันมาแต่เช้า พร้อมหน้าพร้อมตากันดีแล้วก็ชักชวนกันไปที่ซุ้มโต๊ะหน้าคณะ กะว่าจะทำต่ออีกนิดหน่อยให้เรียบร้อย จะได้ส่งให้อาจารย์รีวิวในชั่วโมงเรียนเสียเลย

    น่าแปลกที่เช้าวันนี้มีคนอยู่ในซุ้มเยอะกว่าทุกวัน ดูเหมือนกำลังมุงดูอะไรกันอยู่ด้วย สามหนุ่มที่หยุดยืนอยู่แค่วงนอกมองหน้ากันก่อนที่จองชินซึ่งตัวสูงที่สุดจะชะเง้อคอมองเข้าไปกลางกลุ่มคนที่มุงอยู่นั้น

    “ใครก็ไม่รู้”

    “แล้วใครอ่ะ? แล้วเค้าทำอะไร?”

    “ไม่รู้สิ เด็กผู้หญิง นั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ”

    “ฮึ่ย ไม่ได้เรื่องเลยนายเนี่ย” ตัวสูงซะเปล่า ทำอะไรชักช้าไม่ได้ดั่งใจ(คนอยากรู้อยากเห็น)เลย มินฮยอกก็เลยสะบัดมือไล่เพื่อนตัวโย่งออกไปให้พ้นทางแล้วดึงข้อมือบางพาเพื่อนตัวเล็กแทรกตัวผ่านกลุ่มนักศึกษาที่มุงกันอยู่ประมาณสิบกว่าคนเข้ามาจนถึงกลางวงจนได้

    “เฮ้ย! รุ่นน้องคนนั้นนี่”

                คนนั้นก็คือคนที่เข้ามาทักอี้ชิงเมื่อวันก่อน มินฮยอกจำได้ทั้งที่ยังไม่ต้องเห็นหน้า มิน่าล่ะ คนที่เข้ามามุงถึงมีแต่นักศึกษาชาย ก็รุ่นน้องคนสวยเล่นนั่งฟุบหน้าส่งเสียงสะอื้นเรียกร้องความสนใจอยู่บนโต๊ะกลางซุ้มคณะแบบนี้ (สาบานได้ว่าที่คิดแบบนี้ไม่ได้อคติ) อี้ชิงเองก็จำได้เช่นกัน ในฐานะรุ่นพี่ที่เคยพูดคุยกันมาก่อน เห็นรุ่นน้องร้องไห้ก็เลยนึกเป็นห่วงขึ้นมา มือบางแตะเบาๆ บนไหล่เล็กที่สั่นตามแรงสะอื้นแล้วก็ถามเสียงอ่อน

                “น้อง ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เด็กสาวเงยใบหน้าที่เปียกปอนน้ำตาขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ตัวขาวผู้อารีย์ เธอก็ยิ่งเปล่งเสียงร้องไห้หนัก

                “ฮึก! รุ่นพี่... ฮือออ!” แค่คนสวยครวญคราง คนรอบข้างก็เริ่มระส่ำระสายจนมินฮยอกเบะปาก เขาไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำที่หมั่นไส้เด็กผู้หญิงขี้แยหรอกนะ แต่กับรุ่นน้องคนนี้ สงสารไม่ลงจริงๆ ผิดกับอี้ชิงที่หน้าซีดใจเสีย เอ่ยปลอบมือไม้สั่น

                “ใจเย็นๆ ก่อนนะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

                “รุ่นพี่... ฮึก ของในซองนั่น... พี่เอาให้รุ่นพี่คริสแล้วใช่มั้ยคะ?”

                “เอ่อ... ก็... ให้แล้วนะ”

                “ถ้าอย่างนั้น... ฮึก ก็หมายความว่า... ฮืออออ” เธอยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วยิ่งร้องไห้หนัก อี้ชิงก็ทำอะไรไม่ถูก หันมามองเพื่อนหมายจะขอความช่วยเหลือแต่หนุ่มนักฟุตบอลก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จองชินที่เพิ่งตามเข้ามาก็ได้แต่เลิกคิ้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่มุงอยู่เริ่มตีวงแคบเข้ามาคงเพราะเป็นห่วงรุ่นน้องคนสวย อี้ชิงก็เลยคิดจะถอยออกมาก่อน แต่เพียงแค่ขยับเท้า ข้อมือของเขาก็ถูกมือบางคว้าจับ ดวงตาฉ่ำน้ำกับใบหน้าที่เปียกปอนนั้นช่างน่าสงสาร เด็กสาวเล่าให้เขาฟังปนเสียงสะอึกสะอื้น “เมื่อวานหนูไปรอพี่เค้าที่หน้าโรงหนังตั้งแต่เย็น ฮึก... จนถึงหัวค่ำก็ไม่เห็นพี่เค้ามา พี่เค้าไม่อยากเจอหนูใช่มั้ยคะ ฮึก... เค้าไม่รับรักหนูใช่มั้ยคะ ฮืออออ”

    ใครบางคนทำเสียงเฮอะในคอ

    “โถๆๆ น้องสาวคนสวย รุ่นพี่คริสเค้าจะรับรักหนูได้ยังไงคะ ก็เค้ามีแฟนอยู่แล้ว”

    “ฮึก มีแฟน... แล้วหรือคะ?”

    “ใช่สิคะ มีแฟนแล้ว แล้วแฟนเค้าก็ยืนอยู่นี่” มินฮยอกชี้นิ้วโป้งไปหาอี้ชิงที่ยืนหน้าเสียอยู่ข้างๆ เด็กสาวมองรุ่นพี่ตาค้าง ถามอย่างตะกุกตะกัก

    “นี่รุ่นพี่... เป็นแฟนกับ... พี่คริสหรือคะ?”

    คนตัวขาวตอบเสียงเบาอย่างจนใจ

    “...ครับ”

    “ฮึก... โฮฮฮฮ แล้วทำไมไม่บอกหนู ทำไมพี่ไม่บอกว่าเป็นแฟนกัน หลอกให้หนูมีความหวังทำไม รุ่นพี่ใจร้ายที่สุดเลย! ฮือออออ!” เธอตีโพยตีพายแล้วก็ลุกขึ้น วิ่งออกไปจากซุ้มคณะโดยมีรุ่นพี่นับสิบที่มุงดูด้วยความเป็นห่วงอยู่เมื่อครู่วิ่งตามไปด้วย สุดท้ายก็เลยเหลือแค่สามเพื่อนซี้ที่ยังยืนอึ้งอยู่ในซุ้มคณะ

    “เอ๊า! อะไรวะเฮ้ย นายกลายเป็นคนผิดไปได้ยังไงเนี่ย” มินฮยอกโวยวายขณะที่คู่กรณียืนนิ่ง จองชินก็เอาแต่สะกิดไหล่เขาแล้วเอานิ้วเดียวกันนั่นแหละชี้หน้าตัวเอง ตอนนี้หนุ่มโย่งกลายเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร แต่มินฮยอกกลับหันไปทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่ ตอนบอกให้ถามไม่ยอมถาม เมื่อวานเขาเลยแอบถามอี้ชิงเองจนรู้เรื่องหมดแล้ว ไม่เล่าให้ฟังหรอก แล้วตอนนี้กำลังหัวเสียแทนเพื่อนอยู่ด้วย “นี่ถามจริง ตอนที่น้องสาวคนสวยเค้าจะฝากของไปให้รุ่นพี่คริส เค้าได้ถามก่อนมั้ยว่านายสองคนเป็นอะไรกัน?”

    เสียงอี้ชิงถอนหายใจเบาๆ

    “...ไม่ได้ถาม เค้าถามแค่ว่ารู้จักกันใช่มั้ย แล้วก็ฝากของมา”

    “เอ๊า! แล้วนายก็ไปรับมาง่ายๆ?”

    “ก็ฉันไม่รู้ว่าของในซองคืออะไร คิดว่าเค้าคงมีธุระอะไรกัน”

    “โฮ้ยยย! จางอี้ชิงนะจางอี้ชิง” มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วจริงๆ

    “ฉันรู้สึกผิดจัง น้องเค้าน่าสงสาร” ใจดีเกินไปอีกด้วย!

    “พูดแบบนี้อยากให้พี่คริสไปดูหนังกับน้องเค้าว่างั้น?” อี้ชิงส่ายหน้าช้าๆ

    “ฉันน่าจะบอกน้องเค้าไปแต่แรก ...ว่าเราเป็นแฟนกัน”

    “ถูก!” มินฮยอกกอดอกฉับทำหน้าตาเด็ดขาด แต่พอเห็นดวงหน้าหวานม่อยลงถึงได้ถอนใจ ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมเพื่อนแต่บางทีอี้ชิงก็ใจอ่อนจนน่าหงุดหงิด ดูซิ มีคนมายุ่งกับแฟนตัวเองแท้ๆ ยังไม่รู้จักระแวงหรือหึงหวง กินอะไรมาถึงได้ใจกว้างขนาดนี้นะ

     

     

    อี้ชิงไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้ เมื่อวานพี่คริสมานั่งรอพวกเขาทำรายงานอยู่ในห้องสมุดเสียจนมืดค่ำ อี้ชิงลืมไปเสียสนิทถึงข้อความในจดหมายนั้น ถ้าเขาได้บอกกับเด็กสาวไปก่อนหน้า น้องเค้าคงไม่ต้องไปรอเก้อแบบนี้ เช้านี้ก็ยังต้องมาเสียความรู้สึกเพราะได้รู้ความจริงว่าคนที่ตัวเองชอบมีแฟนอยู่แล้ว และเป็นคนเดียวกับที่รับฝากจดหมายคนนี้นี่แหละ รุ่นน้องคงรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ทุกอย่างประเดประดังกันเข้ามาในคราวเดียว เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าคนเยอะขนาดนั้น จะรู้สึกเสียหน้าและอับอายมากแค่ไหน ยิ่งคิดจางอี้ชิงก็ยิ่งรู้สึกผิด ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเองแท้ๆ

    ไม่มีแก่ใจจะทำรายงานแล้ว อี้ชิงถอนหายใจแล้วเดินหงอยๆ ออกไปจากซุ้มคณะโดยมีมินฮยอกที่พ่นลมขึ้นจมูกแล้วมองตามอย่างขัดใจ ก่อนที่สีข้างจะถูกศอกแหลมของหนุ่มร่างโย่งกระทุ้งเข้าให้เบาๆ

    “ตกลงว่าเด็กคนนั้นชอบรุ่นพี่คริส?”

    “จีบเลยล่ะ ออกตัวแรงเชียว กล้าไม่ใช่เล่น”

    “พออกหักแล้วก็มานั่งฟูมฟายต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้เนี่ยนะ?”

    “เออสิ นายว่าแปลกมั้ยล่ะ?”

    “ยังไง?”

    “ก็คิดดูสิ รุ่นพี่คริสเค้าป๊อปจะตาย ต่อให้เป็นแค่เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาก็เถอะ ถ้าคิดจะจีบพี่เค้าจริงๆ จะไม่สืบประวัติหน่อยเหรอ จะไม่รู้เชียวเหรอว่าพี่เค้ามีแฟนแล้ว” จองชินยกมือขึ้นลูบคางแล้วคิดตาม ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

    “นายคิดว่าน้องเค้าไม่ธรรมดาสินะ”

    “เรื่องนี้ต้องมีภาคสองแน่ๆ อ่ะ”

    “อี้ชิงใสซื่อออกขนาดนั้นจะไปตามใครทัน”

    “ถึงต้องเป็นหน้าที่เราไง”

    “เรา? นายคิดจะทำอะไร?” มินฮยอกบุ้ยปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะคลี่ยิ้มร้าย หันไปยักคิ้วให้เพื่อนซี้ร่างโย่ง

    “งานบายเนียร์อาทิตย์หน้าเนี้ย สนุกแน่!

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “เห? งานบายเนียร์เหรอ?” อี้ชิงพยักหน้าหงึกๆ วางจานขนมเค้กที่เพิ่งป้อนคำสุดท้ายให้คนรักลงบนโต๊ะแล้วเอนตัวลงพิงอกกว้างตามแรงโอบ “ทำไมจัดเร็วนักล่ะ คณะพี่ตั้งเดือนหน้า”

    “เป็นงานของภาคน่ะครับ จัดก่อนงานคณะ รุ่นพี่ปีสามเป็นเจ้าภาพ มีปีสองบางส่วนไปช่วยงาน แขกในงานนอกจากพวกรุ่นพี่ปีสี่แล้วก็เลยมีแค่น้องปีหนึ่งกับปีสอง คนไม่เยอะเท่าไหร่ เค้าก็เลย... ให้ควงแฟนไปด้วยได้”

    “อาฮะ อืม... แล้วจางอี้ชิงปีสองคิดจะควงใครไปงานนี้ครับ?”

    “ฮื่ออ~ พี่คริสอ่ะ” คนน้องเอาหน้าผากโหม่งอก คนเป็นพี่ก็หัวเราะ

    “อ้าว พี่ก็ต้องถามก่อน เกิดเราไม่อยากให้พี่ไป ไม่อยากเปิดตัวแฟนให้เรทติ้งตก” ริมฝีปากอิ่มยื่นออกก่อนจะถูกกลืนหาย คนน่ารักแนบแก้มกับอกกว้างแล้วถามเสียงอ่อน

    “ยังไม่หายงอนอีกหรือครับ?” กระต่ายน้อยช้อนสายตาละห้อยมองขึ้นมาจากอก น่าเอ็นดูมากนะ แต่คริสยังแสร้งบุ้ยปากทำหน้างอนๆ

    “พี่จะไปกล้างอนเราเรื่องอะไรกัน”

    “งื้ออ~ พี่คริส...~” หนุ่มหล่อทำเป็นหันหน้าหนีไปอีกทาง คนตัวเล็กนิ่งไปครู่หนึ่งก็ดันตัวออกจากอก คริสเหล่ตามองเห็นน้องกำลังเม้มปากแล้วจ้องหน้าเขาก็แสร้งเสมองไปเสียทางอื่น อยากโอ๋จะแย่ เกือบจะใจอ่อนและหลุดยิ้มให้เห็นอยู่แล้วตอนที่ได้ยินเสียงครางงุ้งงิ้งอยู่ในคอ แต่แล้วจู่ๆ มือเล็กก็วางแปะลงบนสองข้างแก้ม จับให้เขาหันหน้ามาตรงๆ คริสเบิกตากว้างตอนที่จมูกเล็กกับริมฝีปากนิ่มพุ่งชนทั้งสองข้างแก้มเสียงดังฟอดๆ

     

    “คิสคิสแล้วน้า...~” คนพี่อึ้งก็นึกว่ายังนิ่ง คนน้องก็เลยจัดให้อีกคิสปิดท้าย

     

    Muahhhh~

    “พี่คริส...~” ครางออดแล้วยังทำหน้าอ้อนๆ ปากอิ่มแดงที่จูบง้อเขาเมื่อครู่ยื่นออกน้อยๆ มองแล้วอยากจะงับคืนนัก คริสมองตอบสายตาละห้อยแล้วก็ว่ายิ้มๆ

    “พี่เคยบอกเมื่อไหร่ว่างอน?”

    “ฮื่อ~

    “ยังไม่ได้พูดซักคำเลย”

    “พี่คริสอ่ะ แกล้งผม!

    “แกล้งที่ไหน พี่อยู่เฉยๆ เรานั่นแหละมารุกพี่ก่อน มานี่เลยมา ให้พี่ฟัดให้หายมันเขี้ยวก่อน” คริสหัวเราะแล้วดึงตัวกระต่ายน้อยที่กำลังจะหนีให้เข้ามาใกล้ กอดรัดเนื้อตัวนุ่มนิ่มแล้วตะโบมจูบจนทั่วทั้งดวงหน้าน่ารัก อี้ชิงได้แต่ดิ้นขลุกขลักแล้วครางฮื่อๆ คริสก็ยิ่งหัวเราะ แกล้งซุกจมูกสูดกลิ่นหอมของซอกคอขาวจนคนบ้าจี้ยิ่งดิ้นหนัก ใครใช้ให้ทำตัวน่ารักกัน ทุกทีคริสต้องแกล้งเล่นตัวเสียจนเหนื่อย แต่คราวนี้น้องกลับมาคิสง้อกันง่ายๆ  แล้วแก้มนุ่มหอมนี่ก็น่าฟัดให้ชื่นใจน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ มีหรือคนตัวโตจะปล่อยให้ของหวานๆ หลุดมือไปง่ายๆ เมื่อฝ่ายหนึ่งดึงดันแต่อีกฝ่ายจะดิ้นหนี ฟัดกันไปฟัดกันมาเลยกลายเป็นว่าล้มลงนอนไปบนโซฟาด้วยกันทั้งคู่ในสภาพที่คนเป็นน้องนอนทับไปบนร่างที่ใหญ่โตกว่า คริสยังหัวเราะในขณะที่อี้ชิงตกใจและลนลานจะลุกขึ้น แต่ท่อนแขนแข็งแรงกลับรัดรอบเอวบางแล้วดึงร่างเล็กให้นอนลงบนอก เมื่อปลายจมูกของทั้งคู่สัมผัสกัน อี้ชิงก็หยุดดิ้นขืน มองสบตาคู่คมที่ทอดมองหวานเชื่อมราวกับจะส่งผ่านความรักมากมายออกมาจากอกได้ไม่นานก็เสหลบ แต่คนฉวยโอกาสก็ยังจ้องอยู่อย่างนั้น ดวงหน้าหวานยิ่งร้อนผ่าวและอี้ชิงก็รู้ว่าป่านนี้แก้มคงแดงไปถึงไหน เม้มปากกลั้นยิ้มเขินแล้วก็ทำใจกล้า ถามเสียงอ้อมแอ้มอยู่บนอกกว้าง

    “ตกลงว่า... พี่คริสไปงานบายเนียร์กับผมนะครับ?”

    คริสยิ้มกว้างก่อนจะผงกศีรษะขึ้นแตะริมฝีปากกับกลีบปากนิ่มเบาๆ

    “หนุ่มน้อยน่ารักขนาดนี้ชวนออกเดท ใครไม่ไปก็โง่ล่ะ” จุ๊บเบาๆ อีกครั้งแล้วคริสก็ดันไหล่เล็กให้น้องลุกขึ้นก่อน ตัวเองค่อยลุกขึ้นตาม ผมน้องยุ่งก็สางนิ้วจัดให้อย่างใส่ใจก่อนจะประคองดวงหน้าน่ารักที่กำลังส่งยิ้มหวานให้ไว้ด้วยอุ้งมือ แต้มจูบเหนือหน้าผากเนียนอย่างแสนรัก

     

    “ไปซื้อเสื้อผ้าหล่อๆ เตรียมไปงานบายเนียร์กันนะ”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    หนุ่มสุดป๊อปชะเง้อคอมองไปตามทางเดินหน้าตึกคณะกระทั่งเห็นร่างเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมา มินฮยอกก็ยกมือขึ้นกอดอกแล้วส่งเสียงฟึดฟัดจนจองชินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นมอง พอดีกันกับที่จางอี้ชิงมาถึงซุ้มโต๊ะของคณะและทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงกันข้าม

    “หายไปไหนมานะจางอี้ชิง รอตั้งนาน”

    “ขอโทษที ฉันแวะไปหยิบหนังสือที่ห้องสมุดมาน่ะ” บอกแล้วก็วางหนังสือสองสามเล่มที่คิดว่าต้องใช้อ่านประกอบการทำรายงานลงบนโต๊ะตรงหน้าเพื่อนทั้งสอง จองชินหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดพลิกๆ ดูแล้วก็เลิกคิ้ว

    “แล้วตกลงใครจะเป็นคนพรีเซ้นต์ล่ะ?”

    “นายไง นายทำรายงานน้อยที่สุด เพราะงั้นนายออกไปพรีเซ้นต์” มินฮยอกลอยหน้าลอยตาตอบ

    “เรื่องอะไรเป็นฉันล่ะ? ทำก็ทำเท่ากัน ถ้าฉันทำน้อย นายก็น้อยเหมือนกัน งั้นก็ต้องออกไปพรีเซ้นต์ด้วยกันเนี่ยแหละ”

    “เรื่องเหอะ! นายนั่นแหละ”

    “ไม่มีทาง”

    “ฉันก็ไม่ออกไปพรีเซ้นต์คนเดียวเด็ดขาด!

    “งั้นก็ออกไปด้วยกันทั้งกลุ่ม นายว่าไงอี้ชิง?” ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ถูกถาม ระหว่างที่สองเพื่อนเถียงกัน คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จองชินกับมินฮยอกมองดวงหน้าหวานที่กำลังเหม่อลอยแล้วก็หันมาเลิกคิ้วใส่กัน ก่อนที่หนุ่มนักดนตรีจะโบกหนังสือไปมาตรงหน้าเพื่อนตัวเล็ก

    “อี้ชิง? เฮ้ อี้ชิง?”

    “ห.. ห๊ะ?” คนตัวขาวสะดุ้งน้อยๆ มองหน้าเพื่อนทั้งสองเหรอหรา “อะไร? พวกนายว่าอะไรนะ?”

    “นายเป็นอะไร ทำไมดูเหม่อๆ”

    “คือ... ฉันกำลังนึกถึงงานบายเนียร์น่ะ พวกนายไม่ต้องไปช่วยงานเหรอ?”

    “ฉันมีหน้าที่ติดต่อประสานงานนิดหน่อยเอง ส่วนใหญ่ก็หน้าที่พวกปีสามเค้า” มินฮยอกว่า

    “ส่วนวงฉันต้องไปเล่นดนตรีให้ แต่ก็ซ้อมกันทุกวันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่มีอะไรพิเศษ ว่าแต่นายเถอะ ชวนรุ่นพี่เค้าหรือยัง แล้วอย่าลืมหาชุดหล่อๆ ใส่ไปงานด้วย งานนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเลยนะ”

    “เปิดตัวอะไรกัน นี่งานเลี้ยงส่งพวกรุ่นพี่นะ”

    จองชินหัวเราะหึ  หันไปยักคิ้วกันกับมินฮยอกก่อนบอก

    “เลี้ยงส่งรุ่นพี่น่ะก็ใช่ แต่ก็ถือเป็นการเปิดตัวแฟนหนุ่มของจางอี้ชิงปีสองด้วยเลยไง ทีนี้ใครที่ไม่รู้ หรือพวกที่จดๆ จ้องๆ รอจะเสียบ จะได้รู้กันไปเลยว่ารุ่นพี่คริสปีสามเดือนคณะเศรษฐศาสตร์น่ะ มีเจ้าของแล้ว”

    “พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย” งานของคณะแต่ให้พาแฟนไปด้วยก็รู้สึกว่าแปลกๆ แล้ว ถ้าต้องไปเป็นเป้าสายตาให้คนอื่นๆ มองคงรู้สึกอึดอัดแย่ พี่คริสของเขาก็ออกจะหล่อมากขนาดนั้น อี้ชิงไม่ได้อยากให้คนอื่นมองมาด้วยสายตากังขา ว่าคนที่แสนจะเพอร์เฟคแบบพี่คริส ทำไมถึงมีแฟนที่แสนจะธรรมดาอย่างเขาได้หรอกนะ

    “เอาน่า จางอี้ชิง พวกเราน่ะรู้ว่านายเป็นคนจิตใจดีแล้วก็รักสงบ ถึงได้ไม่เคยอวดอ้างกับใครต่อใครว่ามีแฟนหล่อระดับเดือนมหาลัยแบบนั้น ฉันกับมินฮยอกอยู่ข้างนายก็จริง แต่เวลาเห็นคนอื่นมองนายไม่ดีหรือคิดไม่ดีกับนาย มันก็อดโมโหแทนไม่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ หลังจากงานบายเนียร์แล้ว จะไม่มีใครมากวนใจนายอีกแน่”

    จองชินพูดอะไรยิ่งไม่เข้าใจ แต่อี้ชิงก็ไม่คิดจะถามต่อ เขาถอนหายใจเบาๆ เพราะในใจกำลังคิดเรื่องอื่น เป็นกังวลกับเรื่องอื่นมากกว่า

     

    งานบายเนียร์อาทิตย์หน้านี้... จะเป็นยังไงกันนะ

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    สูทสีเทาเข้มเล่นระบายลูกไม้ตรงชายกับปลายแขนเสื้อตามแบบสมัยนิยม ถูกสวมทับลงบนเสื้อเชิ๊ตคอปกแขนยาวสีดำแบบพอดีตัวบนร่างสูงใหญ่ ก่อนที่มือคู่บางจะช่วยติดกระดุมและจัดสาบเสื้อให้เข้าที่อีกนิด เพียงเท่านี้เจ้าของช่วงไหล่กว้างก็ยิ่งดูหล่อและภูมิฐาน เหมาะจะออกงานที่เป็นทางการได้แล้ว ...คนหล่อใส่อะไรก็หล่อ คนตัวเล็กกว่าอมยิ้มกับความคิดตัวเองโดยไม่สบตาคนตรงหน้า คนเป็นพี่ก็เลยต้องโน้มใบหน้าลงมาหาตอนที่ถาม

    “พี่หล่อหรือยัง?” อี้ชิงพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะถูกจับให้หันหลังไปมองกระจกด้วยกัน มีคนตัวสูงกว่าเข้ามากอดซ้อนหลังไว้หลวมๆ “หล่อแล้วยังมีแฟนน่ารักอีก เฟอร์เฟ็คสุดๆ”

    “เดี๋ยวชุดยับนะครับ” แนบจูบข้างขมับขาวหนักๆ แล้วคริสถึงได้ยอมถอยออก ช่วยจัดปกเสื้อและช่วงไหล่ของสูทสีเดียวกันแต่ตัวเล็กกว่าให้เข้าที่บ้าง ...สูทที่สั่งตัดแบบพอดีตัว เพราะเป็นครั้งแรกที่ออกงานด้วยกัน คริสก็เลยอยากได้ชุดที่ใส่คู่กันกับน้อง แต่เพราะอี้ชิงตัวเล็กและเขาก็ตัวโตเกินไป สูทสำเร็จรูปตามร้านทั่วไปไม่มีไซส์ให้เลือกมากนัก ถึงต้องยอมจ่ายแพงหน่อยเพื่อเลือกแบบและสั่งตัดแบบเร่งด่วนให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ แต่พอมองในกระจกแล้วก็รู้สึกว่าคุ้ม วันนี้อี้ชิงน่ารักมากจริงๆ

    “ผมสีนี้น่ารักดีนะ เหมือนหนุ่มน้อยเลย” คริสเกลี่ยข้อนิ้วปัดผมหน้าม้าที่ยาวลงมาปรกคิ้วน้องออก แต่คนตัวเล็กร้องฮื่อ รีบยกมือขึ้นลูบๆ ให้เข้าที่จนคนแหย่หัวเราะ เขาคิดมาหลายวันแล้วว่าอยากทำสีผมให้เข้มขึ้น สองวันก่อนก็เลยพาน้องไปทำด้วยกัน ช่างในร้านทั้งสาวแท้สาวเทียมพอเห็นจางอี้ชิงก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ ที่มีแต่คนอยากจะจับแต่งตัวทำผมให้ แต่คริสยอมแค่ให้ทำสีผมเท่านั้น อี้ชิงเคยบอกว่าก่อนหน้านี้ผมสีดำ คริสอยากเห็นก็เลยให้ช่างตัดและทำสีให้ใหม่ ผลก็คือกลายเห็นหนุ่มน้อยหัวเห็ดอย่างที่เห็น น่ารักน่าเอ็นดูแต่ก็น่าแกล้ง เขาแกล้งปัดหน้าม้าออกหลายทีแล้วน้องก็ต้องรีบจัดให้กลับมาปิดหน้าผากไว้เหมือนเดิม “ทำทรงนี้ตลอดไปเลยดีมั้ย?”

    “ก็... ถ้าพี่คริสไม่เบื่อซะก่อน”

    “แฟนน่ารักขนาดนี้ใครจะเบื่อลง”

    “ฮื่อ หัวเหม็นนะครับ” พอคริสโน้มใบหน้าลงหมายจะหอมผมนุ่มอย่างที่ชอบทำ น้องก็รีบเอียงคอหนี “เมื่อเช้าสระผมยังได้กลิ่นอยู่เลย” คงเป็นกลิ่นน้ำยาเคมี อี้ชิงเป็นเด็กที่ไม่ชอบของแปลกปลอมพวกนี้ก็เลยอุปทานไปเอง คริสยิ้มแล้วยิ่งรั้งร่างเล็กให้เข้ามาใกล้ กดจมูกสูดกลิ่นหอมทั้งผมนุ่มทั้งขมับขาวและแก้มนิ่มแรงๆ

    “ไม่เหม็นแล้ว หื้ม หอมออก” จนชื่นใจตัวเองแล้วถึงได้คลายอ้อมแขน หมุนร่างเล็กให้หันมาสบตากันตรงๆ “พร้อมจะควงพี่ไปงานบายเนียร์หรือยังครับ?”

     

     

     

     

    หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยถูกกลายสภาพเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้เลี้ยงส่งนักศึกษาชั้นปีที่สี่ของคณะอักษรศาสตร์ ถึงจะเป็นแค่งานเลี้ยงของภาควิชาสารสนเทศ แต่ธีมงานก็ดูหรูหราและตกแต่งอย่างอลังการไม่แพ้ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมใหญ่ๆ ชุดออกงานกลางคืนสวยๆ หลากหลายสีสันของบรรดาผู้ร่วมงานยิ่งทำให้ปาร์ตี้นี้ดูฟู่ฟ่ามากขึ้นไปอีก ขณะที่ทีมงานต้อนรับและพิธีกรถูกนัดแนะให้สวมชุดสีขาวเพื่อเป็นธีมเดียวกัน ตอนที่คริสกับอี้ชิงมาถึง คนก็เข้าไปอยู่ในงานกว่าครึ่งแล้ว ลานจอดรถของหอประชุมแทบไม่มีที่ว่างเหลือ คริสเลยต้องพารถสปอร์ตสีแดงไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของคณะข้างเคียงซึ่งไกลออกไปหน่อยแต่ก็เดินถึงกันได้

    ดับเครื่องรถแล้วอี้ชิงก็ปลดสายเข็มขัดนิรภัย แต่พอเอื้อมมือไปจะเปิดประตู คนเป็นพี่ก็แตะแขนเบาๆ  

    “รอพี่ก่อน” อี้ชิงกระพริบตาปริบ มองคนรักก้าวลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่เขานั่งอยู่ ร่างสูงค้อมกายลงเล็กน้อยขณะที่ยื่นมือมาตรงหน้า

    “เชิญครับเจ้าชายน้อย” เด็กหนุ่มหัวเราะจนตาคู่สวยเป็นประกาย

    “ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้งครับ”

    “ไม่ได้หรอก ไม่ควงให้ดีเดี๋ยวใครมาแย่งไป มาเร้ว” พยักหน้าเร่งอีกครั้ง คนเป็นน้องก็เลยต้องกลั้นยิ้มแล้วยื่นมือออกไปจับไว้ก่อนจะก้าวลงจากรถ คนเป็นพี่บ่นอุบ อุตส่าห์จะให้โรแมนติก แต่อี้ชิงเอาแต่หัวเราะไม่หยุด มุกหวานก็เลยแป้กไป

    ยอมให้พาลงจากรถแล้วก็ต้องยอมควงแขนเดินเข้างานไปด้วย ดวงหน้าหวานยิ่งดูน่ารักเมื่อระบายด้วยรอยยิ้มเขินอาย แก้มใสแดงปลั่ง แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันทุกวัน แต่วันนี้พี่คริสหล่อมากเป็นพิเศษจนหัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำเพียงแค่ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนรัก พี่คริสเหมือนเจ้าชายที่แสนเพอร์เฟค พี่คริสที่ทั้งหล่อและใจดีของเขา คุณคนใจดีจะโกรธมั้ยถ้าหากรู้ว่า...

    พลันรอยยิ้มหวานค่อยจางลง ยิ่งใกล้ถึงหอประชุมมากขึ้นเท่าไหร่ มือเล็กที่เกาะเกี่ยวแขนคนรักไว้เพียงหลวมๆ ในทีแรกก็ยิ่งจิกแน่นโดยไม่รู้ตัว กระทั่งคนเป็นพี่รู้สึกผิดปกติและหันมาหา อี้ชิงก็ไม่อาจซ่อนแววกังวลในดวงตาคู่สวยไว้ได้ทัน

                “เป็นอะไรหรือเปล่า?” คนตัวเล็กไม่ยอมตอบ กลับหลบตาแล้วเม้มริมฝีปากแน่น นั่นทำให้คริสนึกเป็นห่วงขึ้นมา “เป็นอะไร หืม? บอกพี่สิครับคนเก่ง”

                “ผม...คือ...” ดวงหน้าหวานถูกประคองให้เงยขึ้นสบตา แต่อี้ชิงกลับมองข้ามไหล่คนรักไปยังหอประชุมเบื้องหน้า โต๊ะลงทะเบียนเข้างานอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ...ถึงเวลาแล้วสินะ “คือ... ผมลืมมือถือไว้ที่รถ ขอกลับไปเอาได้มั้ย”

                คริสถอนหายใจเบาๆ แล้วยิ้มบาง

                “เรื่องแค่นี้เอง ลืมไว้ที่ไหน พี่ไปหยิบให้ก็ได้”

                “ไม่เป็นไรครับ ผมก็จำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหน ให้ผมไปหาเองดีกว่า”

                “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปด้วย”

                “ไม่ต้องหรอกครับ พี่คริสรออยู่ตรงนี้นะ ผมไปแป๊บเดียวเอง” คริสขมวดคิ้วอย่างชั่งใจ ถึงปกติอี้ชิงจะชอบดื้อขอทำอะไรเอง แต่มืดค่ำแบบนี้ เขาไม่อยากให้น้องเดินไปเดินมาคนเดียวเลยจริงๆ

                “แต่พี่ว่า...”

                “นะครับ~” แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ลูกอ้อน คริสมองย้อนกลับไปทางที่เดินมา จากตรงนี้กลับไปลานจอดรถต้องเดินอ้อมตึกก็จริง แต่ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ทางเดินก็ไม่มืดมาก เขายืนรออยู่ตรงนี้แล้วค่อยโทรหาน้องเอาก็ได้ คริสถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า วางมันลงบนฝ่ามือขาวแล้วกำรวบทั้งกุญแจทั้งมือนิ่มไว้ในอุ้งมือ กำชับอย่างหนักแน่น

                “รีบไปรีบมานะ เจอโทรศัพท์แล้วโทรหาพี่ทันที ตกลงนะ?”

     

     

     

     

                ร่างสูงยืนหันหลังให้หอประชุม คอยมองไปตามทางที่ร่างเล็กวิ่งหายไปโดยไม่ละสายตาไปไหน ในมือกำโทรศัพท์มือถือและคอยยกขึ้นมองหน้าจอทุกๆ นาทีอย่างกระวนกระวาย มองนาฬิกาข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อจะนับแต่ละนาทีที่น้องหายไป กะเวลาดูตอนนี้อี้ชิงน่าจะถึงรถแล้ว เขาน่าจะลองโทรไปเผื่อว่าน้องจะหามือถือได้ง่ายขึ้น สไลด์หน้าจอมือถือเตรียมจะกดโทรออกเบอร์ที่เลือกค้างไว้ แต่เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เขาต้องหันไปมอง

                “อ๊ะ!” เด็กสาวผมยาวคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเสียการทรงตัว ตอนที่คริสหันไปเห็น เธอกำลังย่อตัวลงไปจับข้อเท้าตัวเองเหมือนจะมีอะไรผิดปกติที่ตรงนั้น

                “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

                คริสถามแล้วเดินตรงเข้าไปหา เธอเงยหน้าขึ้นมองเพียงแว่บเดียวก็ก้มหลบ

                “หนูซุ่มซ่ามน่ะค่ะ รองเท้ามันสูง เดินไม่ระวังก็เลย...” ท่าทางจะเจ็บที่ข้อเท้า เห็นเอามือกุมไว้แบบนั้น

                “ยืนไหวมั้ย?”

                “คิดว่าไหวนะคะ” เด็กสาวพยักหน้าแต่ก็ยิ้มเจื่อนเหมือนไม่ค่อยมั่นใจนัก คริสเลยหยุดยืนดูอยู่ห่างๆ รอให้เธอยืนขึ้นเอง แต่เพียงแค่ทิ้งน้ำหนักลงข้อเท้า ร่างบอบบางก็เซซวนเหมือนจะล้มเสียให้ได้ คริสรีบก้าวยาวๆ เข้าไปหาแล้วคว้าแขนเรียวเล็กไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลง

                “อ๊ะ!” กลายเป็นว่าเรือนร่างอ้อนแอ้นนั้นเอนมาอิงซบอยู่กับอก ในลักษณะที่คริสจับไหล่บางไว้เหมือนโอบประคองอย่างใกล้ชิด เด็กสาวรุ่นน้องช้อนสายตาเอียงอายขึ้นมองสบแล้วเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณนะคะ”

                รอยยิ้มบางแทนคำบอกว่าไม่เป็นไร คริสพอจะเดาได้จากเดรสลูกไม้สั้นฟูฟ่องของเธอว่าเด็กสาวคนนี้น่าจะมาร่วมงานบายเนียร์เช่นกัน คงเป็นรุ่นน้องของอี้ชิง พลันในใจก็นึกเป็นห่วงคนที่ยังไม่โทรมาซักที ป่านนี้จะเจอมือถือหรือยังก็ไม่รู้ ทั้งที่ร่างกายใกล้ชิดอยู่กับใครอีกคน แม้สายตามอง ทว่าจิตใจกลับเหม่อ คริสไม่มีแก่ใจจะเพ่งพิศว่าดวงหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์นั้นสะสวยเพียงใด กลิ่นหอมฉุนจมูกจากน้ำหอมยี่ห้อหรูก็ไม่อาจดึงความสนใจจากเขาได้ กระทั่งเด็กสาวเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างเขินอาย

                “คือ... ท่าทางจะเดินไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ”

                คริสจึงขยับแขนเล็กน้อยเพื่อลดความใกล้ชิดจนเกินสมควร แต่ยังคงประคองร่างบอบบางไว้

                “มาคนเดียวหรือครับ?”

                “ค่ะ เพื่อนๆ อยู่ข้างในกันหมดแล้ว หนูมาสายก็เลยรีบเดิน”

                ร่างสูงมองไปรอบๆ แต่แถวนั้นไม่มีใครอยู่เลย จะปล่อยให้เธอรออยู่ตรงนี้เผื่อว่ามีใครผ่านมาแล้วช่วยพยุงเข้าไปในงาน ก็ดูจะใจร้ายเกินไป เขาหันกลับไปมองตามทางที่จะไปลานจอดรถ แล้วก็มองหน้าจอมือถือที่ยังโชว์เบอร์คนสำคัญค้างไว้อย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจเก็บมันลงกระเป๋า

                “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปส่ง” ทางเข้างานอยู่ใกล้แค่นี้เอง พาเธอไปหาเพื่อนๆ ก่อน ป่านนั้นอี้ชิงอาจจะหาโทรศัพท์เจอแล้วก็ได้

                “ไม่รบกวนหรือคะ?” แต่สีหน้าของคริสคงดูเป็นกังวลเสียจนเด็กสาวไม่อาจจะละเลยได้ เขาจึงยิ้มเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น

                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยโทรบอกเค้าก็ได้”

     

     

     

                มองแผ่นหลังกว้างที่ห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจบางเบา จากตรงนี้ที่เขายืน พี่คริสไม่มีทางมองเห็น แต่อี้ชิงเฝ้ามองคนรักอยู่ตลอดด้วยความเป็นกังวล หายไปนานๆ พี่คริสคงจะเป็นห่วงแย่ เขาเป็นเด็กไม่ดีเลยที่ทำให้คนรักไม่สบายใจ แต่ภาพที่เห็นนั้นก็ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ ร่างสูงใหญ่โอบประคองใครอีกคนที่ไม่ใช่ตน อี้ชิงก็กระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็น ...ใจแคบไปหรือเปล่านะ หวงแม้กระทั่งความอ่อนโยนและรอยยิ้มแบบนั้น เขารู้ว่าพี่คริสใจดี และทั้งที่อยากให้เด็กสาวรู้สึกดีขึ้น แต่ตัวเองกลับไม่สบายใจเลย เขาไม่อยากเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้นะ...

     

                “จางอี้ชิง!

     

                “ครับ? ...อ๊ะ!

     

              ซู่!

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “เพื่อนอยู่ไหนครับ?”

    “ทางนั้นน่ะค่ะ โต๊ะนั้น”

    เด็กสาวชี้ไปยังโต๊ะใหญ่กลางหอประชุมที่มีเด็กสาวกลุ่มใหญ่สังสรรค์กันอยู่ บางทีถ้าสาวๆ เหล่านั้นหันมาแล้วเห็นว่าเพื่อนเจ็บขาอาจจะรีบเข้ามาช่วยพยุง และคริสก็จะได้กลับออกไปรอคนรักที่นอกงาน แต่ดูแล้วคงจะคาดหวังอะไรไม่ได้ พวกเธอกำลังพูดคุยกันสนุกสนานจนไม่มีใครสนใจจะหันมาทางนี้เลย คริสคงต้องทำหน้าที่นี้ให้ถึงที่สุด ในใจก็นึกกังวลว่าหากคนตัวเล็กเดินกลับมาแล้วไม่เจอเขาอยู่ที่เดิมคงจะตกใจแย่ คริสจึงไม่ได้ใส่ใจกล้องนับสิบตัวที่กำลังตามจับภาพเขาและเด็กสาวรุ่นน้องมาตั้งแต่เข้างาน แม้แต่เสียงฮือฮาและกรี๊ดกร๊าดเบาๆ ด้วยความแปลกใจก็ไม่อาจทำให้ไขว้เขว หนุ่มหล่อพยุงเด็กสาวเข้ามาในงานท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นมากมาย ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเพลย์บอยสุดหล่อจากต่างคณะจะมาร่วมปาร์ตี้นี้ด้วย แต่อีกเรื่องหนึ่งที่คริสยังไม่รู้ ไม่มีใครซักคนในงานนี้ที่ควงคนอื่นเข้ามา 

     

     

    “เฮ้ยยยย! เฮ้ยๆๆๆ จองชิน นั่นอะไร! นั่นอาร๊ายยย!

    “อะไรของนายเนี่ย?” จองชินที่กำลังเซ็ตเครื่องเสียงเข้ากับลำโพงอยู่บนเวทีต้องหันมาปัดมือที่สะกิดไหล่รัวๆ ด้วยความรำคาญ เจ้ามินฮยอกนี่ยังไง บอกให้นั่งรอที่โต๊ะก็ไม่ไป ให้ไปรออยู่หน้างานตามแผนก็ไม่เอา มายืนเกะกะรบกวนคนจะทำงานอยู่ได้ “อะไร? ตื่นเต้นอะไรนักหนา?”

    “นั่นน่ะ นั่นไง!” จองชินมองไปตามทางที่เพื่อนชี้อย่างหัวเสีย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น เช่นเดียวกับสายตาของคนในงานเกือบทุกคู่ที่หันไปจับจ้องรุ่นน้องปีหนึ่งหน้าตาสะสวยซึ่งเดินเข้ามาในงานกับรุ่นพี่หนุ่มหล่อต่างคณะ

    “เฮ้ย! รุ่นพี่คริสกับน้องคนนั้นนี่หว่า”

    “มาด้วยกันได้ไงวะเนี่ย! แล้วจางอี้ชิงหายไปไหน!” จองชินมองหน้ากันกับมินฮยอกแล้วก็ฮึ้ยฮ้ายใส่กันด้วยความหงุดหงิด อุตส่าห์วางแผนกันไว้ดิบดี หลอกจางอี้ชิงให้ควงแฟนมาร่วมงานด้วยทั้งที่จริงแล้วปาร์ตี้นี้จัดขึ้นเป็นการภายใน  แน่นอนว่าถ้ามีคนดังจากต่างคณะมาร่วมงานเพิ่มอีกซักคน คงไม่มีใครมีปัญหา แต่สองหนุ่มตั้งใจจะป่าวประกาศทางอ้อมให้ทั้งภาครู้กันไปเลยว่าทั้งจางอี้ชิงและพี่คริสต่างก็เป็นเจ้าของหัวใจซึ่งกันและกันแล้ว ทีนี้เผื่อว่าใครยังทำเป็นตีมึนจะมาเสียบ ก็จะได้ตอกกลับได้จังๆ หน่อย นี่กะจะเอาให้เป็นข่าวตั้งแต่เดินควงกันเข้ามาในงานเลยนะ นัดแนะกับพวกปีสามที่จัดงานไว้แล้ว ทั้งช่างภาพของงาน ทีมช่างภาพวารสารของมหาวิทยาลัย หรือตากล้องมือสมัครเล่นทั้งหลายที่พร้อมจะกระจายข่าวให้ทางเวบเพจต่างๆ จางอี้ชิงต้องเดินควงรุ่นพี่คริสเข้ามาในงานสิ ไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้! ดูท่าว่าเขาทั้งสองคนจะดูถูกฝ่ายตรงข้ามมากเกินไปจริงๆ

    “โดนเด็กนั่นซ้อนแผนแหงๆ”

    “ฮึ่ย! ให้ตายเถอะ! แผนเปิดตัวคู่รักฉันพังหมด!” มินฮยอกตีโพยตีพายจิกทึ้งหัวยุ่งๆ ของตัวเองในขณะที่จองชินนึกเป็นกังวลถึงคนที่ควรจะอยู่ตรงนั้น พี่คริสเอาแฟนไปทิ้งไว้ที่ไหน มีใครทำอะไรเพื่อนตัวเล็กของเขาหรือเปล่า!

    “ชักเป็นห่วงอี้ชิงซะแล้วสิ”

     

     

     

     

    “ต๊ายยยตาย~ ซนนาอึน ควงหนุ่มหล่อเข้างานมาด้วยเหรอเนี่ย แรงนะจ๊ะ”

    เสียงวี้ดว้ายของสาวๆ ทั้งโต๊ะดังขึ้นเมื่อคริสพยุงเด็กสาวมาถึง ทั้งที่เธอเดินขากระเผลกออกขนาดนี้แต่กลับไม่มีเพื่อนคนไหนถามถึงอาการของเธอซักคน ทุกคนกลับมุ่งความสนใจไปที่รุ่นพี่สุดหล่อที่เดินมาด้วยกัน โอบประคองกันอย่างใกล้ชิด คริสถูกพวกเธอรุมซักถามทั้งชื่อทั้งคณะ แต่ที่เขาทำก็เพียงยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น ช่วยเลื่อนเก้าอี้แล้วพยุงเด็กสาวให้นั่งลงอย่างสุภาพ

    “ขอบคุณที่พามาส่งนะคะ” หนุ่มหล่อยิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ หมดหน้าที่แล้วเขาก็หันหลังจะเดินกลับ แต่ก็ต้องชะงักเพราะแรงรั้งที่ข้อมือ “รุ่นพี่มานั่งด้วยกันก่อนมั้ยคะ?”

    “ไม่ดีกว่า พอดีว่า...” เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือดึงความสนใจคริสไปจากทุกสิ่งรอบตัว ใจคิดไปแล้วว่าอาจจะเป็นอี้ชิง แต่เมื่อได้อ่านข้อความที่เข้ามา เรียวคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากัน

     

    เด็กสาวปล่อยมือจากแขนเสื้อของรุ่นพี่สุดหล่อแล้วหันมาประสานสายตากับเพื่อนๆ เธอยิ้มอย่างที่สาวๆ ในโต๊ะทุกคนเข้าใจในความหมาย ข้อความที่เข้ามาในมือถือนั้นอาจจะทำให้หนุ่มหล่อเปลี่ยนใจ นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในงานกับพวกเธอ เผลอๆ อาจจะสลัดแฟนเก่าที่แสนน่าเบื่อทิ้งแล้วหันมาควงรุ่นน้องปีหนึ่งที่สวยระดับว่าที่ดาวคณะเลยก็ได้ เพลย์บอยยังไงก็ต้องเป็นเพลย์บอย มีสาวสวยรออยู่ตรงนี้ทั้งคน จะต้องไปสนใจผู้ชายจืดชืดไร้สีสันแบบนั้นทำไมกัน ซุ่มซ่ามแบบนั้นสมควรโดนทิ้งแล้วล่ะ! ซนนาอึนคลี่ยิ้มร้ายอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็น เมื่อพอจะเดาได้ว่าข้อความนั้นถูกส่งมาว่าอย่างไร

     

    ขอโทษด้วยนะครับ ชุดผมเปียกน้ำหมดเลย คงเข้าไปในงานไม่ได้แล้ว...

     

    ช่วยไม่ได้นะจางอี้ชิง นายมันโง่เอง!  

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    โทรศัพท์เปียกน้ำหมดเลย...

     

    หน้าจอดับวูบตั้งแต่ตอนนั้น พยายามเปิดดูหลายครั้งแล้วก็ไม่ติด สุดท้ายอี้ชิงก็เลยต้องยอมถอดใจ ลดมือข้างที่ถือโทรศัพท์ลงแล้วทรุดตัวเปียกๆ ลงนั่งกับพื้นลานจอดรถ อาศัยประตูรถสปอร์ตสีแดงเป็นที่พิงหลัง คนอื่นๆ คงเข้าไปในงานกันหมดแล้ว แสงไฟในลานจอดรถก็ไม่ได้สว่างเท่าไหร่ อี้ชิงได้แต่คิดว่าถ้าเขานั่งอยู่ตรงนี้คงไม่สะดุดตาใครเข้า เนื้อตัวเปียกปอนแบบนี้จะเข้าไปในงานได้ยังไงกัน ออกไปให้พี่คริสเห็นยิ่งไม่ได้ใหญ่ เขาจะบอกว่ายังไง ใครก็ไม่รู้เรียกชื่อ พอหันไปก็ถูกน้ำทั้งถังสาดใส่แบบไม่ทันตั้งตัว ลืมตาได้อีกทีก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว จางอี้ชิงถอนหายใจอีกครั้ง ก้มลงมองสภาพดูไม่ได้ของตัวเองแล้วก็ถอดรองเท้าออกวางไว้ข้างตัว ตัดใจถอดเสื้อตัวนอกออก บรรจงพับอย่างเรียบร้อยแล้ววางลงบนตัก ลูบมือไปตามเนื้อผ้าราคาแพงเบาๆ อย่างสุดแสนเสียดาย พี่คริสอุตส่าห์สั่งตัดให้ เพิ่งใส่ได้แค่แป๊บเดียวก็ทำเลอะซะแล้ว ความผิดอี้ชิงเองแท้ๆ ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้กับคนอื่นแล้วยังโกหกคนที่รักอีก บอกว่าลืมมือถือเอาไว้ในรถทั้งที่จริงแล้วอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ...กรรมสนองจนได้

     

    ที่จริงแล้วอี้ชิงก็ไม่สบายใจมาตลอด ตั้งแต่วันที่ได้บังเอิญเจอรุ่นน้องคนนั้นอีกครั้งในห้องสมุด...

     

    “หนูแทบไม่กล้ามาเรียนอีกเลย มีแต่คนมองมาด้วยสายตาแปลกๆ แค่อกหักก็แย่พออยู่แล้ว ยังถูกมองแบบนั้น ...ฮึก ...หนูไม่เข้าใจเลย หนูทำผิดอะไรกัน? หนูก็แค่ชอบพี่เค้ามากๆ แต่ไม่รู้ว่าพี่เค้ามีแฟนอยู่แล้ว ...ฮึก ...คนที่น่าสงสารที่สุด ควรจะเป็นหนูไม่ใช่หรือคะ?”

     

    เธอคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร และจางอี้ชิงก็คิดว่าตัวเองก็มีความผิดส่วนหนึ่งที่ไม่บอกความจริงไปตั้งแต่แรก เด็กสาวเสียใจก็มากพอแล้วยังต้องมาเสียหน้าต่อหน้าผู้คนเยอะแยะในซุ้มคณะแบบวันนั้น ถ้ามีอะไรที่พอจะไถ่โทษได้ เขาก็อยากจะทำ

     

    “นะคะ... ขอแค่ให้หนูได้ควงแขนพี่เค้าเข้าไปในงานก็ยังดี ให้หนูสู้หน้าใครได้บ้าง ไม่อย่างนั้น... ถ้าไม่อย่างนั้น... ฮึก หนูทนแบกหน้าเรียนที่นี่ต่อไปไม่ได้จริงๆ หนูคงต้องลาออกแน่ๆ”

     

    แต่สิ่งที่เธอขอทำให้เขาอึ้งไป ให้ใจดีแค่ไหน ก็คงไม่มีใครใจกว้างพอจะยกแฟนตัวเองให้คนอื่นควงไปต่อหน้า ยิ่งนึกถึงว่าเขาต้องปิดบังคนรักด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องไม่สมควรใหญ่ แต่เด็กสาวจับแขนเขาจนแน่น อ้อนวอนขอแค่ให้พี่คริสเดินเคียงข้างกับเธอเข้าไปในงานบายเนียร์เท่านั้น หลังจากนั้นเธอสัญญาว่าจะไม่มาตอแยหรือทำให้พี่คริสต้องลำบากใจอีก เด็กสาวอาจจะแค่อยากอวดเพื่อนหรือใครต่อใครเพื่อแก้หน้าจากคราวนั้น ถ้ามันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นโดยที่ไม่มีใครเดือดร้อน และมีเพียงอี้ชิงคนเดียวที่ช่วยเธอได้ เขาก็ควรจะทำ ...ไม่ใช่หรือ?

    เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขาตั้งใจจะสารภาพให้พี่คริสฟังทีหลัง ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ เปียกมะล่อกมะแล่กไปทั้งตัว ตอนนี้เขาไม่กล้าเข้าไปในงาน ไม่กล้าเจอหน้าพี่คริสด้วยซ้ำ จางอี้ชิงเด็กโง่ ทำอะไรไม่คิดให้ดีก่อน คราวนี้ต้องถูกโกรธจริงๆ แน่ โอดเสียงครางอยู่แค่ในคอแล้วก็ชันเข่าขึ้นแนบอก ซุกดวงหน้าลงพร้อมเสียงถอนหายใจ ...ทำยังไงดีนะ ...อี้ชิงจะทำยังไงดี?

     

     

    “อี้ชิง!

     

    “.....!

     

    “จางอี้ชิง!

     

    เสียงนั้นตะโกนก้องไปจนทั่วทั้งลานจอดรถ และฟังคุ้นหูเสียจนคนที่นั่งคุดคู้อยู่ต้องยืดตัวขึ้นมอง เห็นร่างสูงที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งพลางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็เผลอครางเสียงเรียกชื่อฝ่ายนั้นออกมาเบาๆ

    “พี่คริส...” แม้จะเพียงเสียงกระซิบแต่ก็ดังชัดในความเงียบ เมื่อเจ้าของชื่อหันมาอี้ชิงก็ยืนขึ้นเต็มตัว สีหน้าและแววตาของคนรักทำให้คนตัวเล็กนึกหวาดหวั่นขึ้นมา พี่คริสคงจะรู้เรื่องแล้ว และต้องกำลังโกรธเขามากแน่ๆ อี้ชิงได้แต่ยืนตัวแข็งเมื่อร่างสูงก้าวยาวๆ เข้ามาหา พอมือใหญ่ยื่นออกมา อี้ชิงก็หลับตาแน่น ระล่ำระลักเสียงสั่น

    “ผมขอโทษ พี่คริสครับผมขอโทษ ผม... ผมไม่ได้... อ๊ะ!” ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อทั้งร่างถูกแรงรั้ง แล้วเนื้อตัวเปียกปอนก็เข้าไปอยู่ในอ้อมอกกว้าง อี้ชิงลืมตาด้วยความตกใจพร้อมๆ กับเสียงถามอย่างร้อนรนที่ข้างหู

    “เป็นอะไรหรือเปล่า! เจ็บตรงไหนมั้ย มีใครทำอะไรหรือเปล่า?”

    “ผม... ผมไม่...”

                “แล้วทำไมไม่โทรหาพี่ รู้มั้ยพี่เป็นห่วงเรามากแค่ไหนน่ะ”

                “ผมขอโทษ...” อี้ชิงดันตัวเองออกจากอกคนรัก แบมือออกให้เห็นสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กที่หน้าจอดับสนิท “มันเปียกน้ำ ใช้ไม่ได้เลย”

    จองชินกับมินฮยอกวิ่งตามมาหลังจากนั้น พอเห็นว่าคู่รักหาตัวกันเจอแล้วก็เลยหยุดยืนหอบอยู่ห่างๆ แต่กระนั้นเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนแล้วเดาเรื่องราวได้เอง ก็อดเจ็บใจไม่ได้

                คริสพึมพัมบางคำกับตัวเอง มองสำรวจจนทั่วทั้งเนื้อตัวคนรักแล้วใช้สองมือสางเส้นผมที่เปียกลู่จนแนบแก้ม

                “ทำไมตัวเปียกแบบนี้?”

                “ผม... ซุ่มซ่ามน่ะครับ”

                เรียวคิ้วหนาขมวดฉับจนคนตัวเล็กกว่าก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวาดหวั่น นี่ถ้าไม่รู้เรื่องจากจองชินกับมินฮยอกมาก่อน คริสคงต้องซักไซ้ไล่เลียงน้องให้หนักจนกว่าจะได้ความจริง นึกแปลกใจตั้งแต่ตอนที่ได้ยินชื่อรุ่นน้องคนนั้น มันคือชื่อเดียวกับที่อยู่ข้างท้ายจดหมายสารภาพรัก ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ที่เด็กสาวคนนั้นมาบังเอิญข้อเท้าแพลงอยู่ตรงหน้า และจำเพาะต้องเป็นตอนที่อี้ชิงไม่ได้อยู่ด้วยกัน เด็กอะไรหลอกแฟนตัวเองให้คนอื่นควงไปต่อหน้า ถ้าแค่นั้นเขายังพอรับได้ อาจจะต้องทำเป็นงอนให้อี้ชิงง้อนานซักหน่อย ใครจะรู้ว่ารุ่นน้องคนนั้นจะใจร้ายขนาดนี้ คริสนึกเอะใจก็ตอนที่ได้รับข้อความจากมินฮยอก รีบร้อนออกมาจากงานแล้วตรงมาที่ลานจอดรถในทันที ตอนที่เห็นดวงหน้าหวานโผล่พ้นขอบกระโปรงรถขึ้นมาก็เกือบจะโล่งใจได้แล้ว แต่แล้วหัวใจกลับกระตุกวูบเมื่อได้เห็นร่างเล็กชัดๆ สีหน้าละห้อยทั้งที่เนื้อตัวเปียกปอน ผมสีเข้มเปียกลู่แนบแก้มยังมีน้ำหยดพราว ทั้งเสื้อทั้งกางเกงเปียกชุ่มไปหมด มะลอกมะแลกไปทั้งตัวแล้วยังเดินเท้าเปล่าแบบนั้น ปล่อยให้ห่างตาแค่ครู่เดียวยังมีคนมารังแกได้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเขามาช้ากว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก คริสผ่อนลมหายใจคลายความเครียดขึงในอก อี้ชิงตัวสั่นขนาดนี้ เขาไม่ควรทำให้น้องยิ่งกลัวมากขึ้น

                “หนาวมั้ย?” ถามแล้วลูบมือกับต้นแขนเล็กทั้งสองข้างแรงๆ หมายให้ร่างที่เปียกปอนได้อุ่นขึ้น นั่งตากลมอยู่ตั้งนาน จะเป็นหวัดหรือเปล่าก็ไม่รู้ สุดท้ายก็ดึงร่างเล็กเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง ลูบแผ่นหลังบางขึ้นลงแรงๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่นี่แล้ว พี่ผิดเองที่ปล่อยให้นายคลาดสายตา”

                อี้ชิงที่เกยคางอยู่กับไหล่กว้างรีบส่ายหน้ารัวเร็ว ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดคนรัก

                “ม.. ไม่ใช่หรอกครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมต่างหากที่ผิด เพราะว่าผม...” ผิดเอง ไม่ดีเอง อี้ชิงโทษตัวเองทุกอย่าง เขาไม่อยากให้พี่คริสไม่สบายใจ ทั้งที่ควรจะโกรธที่ทำเรื่องโง่ๆ แต่ร่างสูงกลับกอดปลอบอย่างอ่อนโยนจนอี้ชิงยิ่งละอายใจ ยิ่งเห็นแววตาห่วงใยที่ทอดมองมา อี้ชิงก็จำต้องกลืนเรื่องที่อยากสารภาพคืนพร้อมกับริมฝีปากอิ่ม ยกมือขึ้นจับสาบเสื้อสูทของคนรักไว้แล้วบอกเสียงเบากับอกกว้าง “...กลับบ้านกันนะครับ เรากลับบ้านกัน ผมไม่อยากเข้าไปในงานแล้ว...”

                อี้ชิงกำลังใจเสีย คงไม่พร้อมเจอหน้าใคร คริสเองก็อยากกลับไปกอดปลอบน้องที่บ้านเหมือนกัน แต่ถ้าปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ก็คงเข้าทางใครบางคน ซึ่งคริสยอมไม่ได้

    “ไม่ได้หรอก เรายังกลับไม่ได้” ประคองดวงหน้าหวานด้วยสองมือให้น้องเงยขึ้นสบตา แววไหวระริกในดวงตาคู่งามนั้นแลหวาดหวั่น และคริสต้องการจะปัดเป่าความกังวลใจนั้นจากคนตัวเล็กให้หมดสิ้น “พี่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกอี้ชิงฝ่ายเดียวแน่”

     

                ในเมื่ออยากจะเด่นดังนัก เขาก็จะจัดให้!

     

    บีบไหล่น้องเบาๆ แล้วคริสก็หันไปหารุ่นน้องอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง บอกด้วยสีหน้าจริงจัง

    “มินฮยอก มีเสื้อผ้าให้อี้ชิงเปลี่ยนมั้ย?”

    “มีครับ! รอแป๊บนึง ผมไปหาให้”

    “จองชิน ฉันรู้ว่านายมีแผน ช่วยอะไรฉันหน่อย”

    “ได้เลยรุ่นพี่!

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

                “กรี๊ดดดดด! ดูซิคะว่าใครมา”

                หญิงสาวกรีดเสียงแหลมสูงอย่างตื่นเต้นผ่านเครื่องเสียงให้ได้ยินกันทั่วทั้งบริเวณงาน เป็นผลให้ทุกสายตาต่างหันไปจับจ้องในทิศทางที่สองพิธีกรสาวประจำการอยู่ ที่โต๊ะลงทะเบียนเข้างานด้านหน้าหอประชุมนั้นเต็มไปด้วยทีมงานต้อนรับและช่างภาพจากทั้งของคณะเองและวารสารของมหาวิทยาลัย แสงแฟลชจากกล้องนับสิบสะท้อนแข่งกับวูบวาบจนคนในงานบางส่วนเริ่มสนใจและพากันไปอออยู่ที่หน้างาน

                “จางอี้ชิงปีสองคนน่ารักนี่เองงงง~” เสียงฮือฮาจากผู้คนมากมายทำให้คนตัวเล็กตกใจ ตะปบมือเกาะแขนร่างสูงที่เดินมาด้วยกันด้วยความประหม่า หนุ่มหล่อก็วางมือลงทับแล้วบีบปลอบเบาๆ แววตาอ่อนโยนนั้นมีให้เพียงคนข้างกาย ทว่าริมฝีปากได้รูปที่คลี่ยิ้มน้อยๆ นั้นช่างมีสเน่ห์เสียจนเรียกเสียงงี้ดง้าดเบาๆ จากสาวๆ เกือบครึ่งงานได้ ยองเอกับอึนบีเอาศอกสะกิดกันและกัน ก่อนจะสร้างกระแสให้ฮือฮายิ่งขึ้น

                “ไม่ได้มาคนเดียวซะด้วย หนุ่มหล่อตัวสูงที่เดินมาด้วยกันนี่หน้าคุ้นๆ นะคะ” อึนบียื่นไมค์ให้รุ่นพี่ตัวสูง ฝ่ายนั้นก็ยกยิ้มมุมปากก่อนตอบ

                “คริส ปีสามคณะเศรษฐศาสตร์ครับ”

                “รุ่นพี่คริสปีสาม เดือนคณะเศรษฐศาสตร์นี่เองงง~~ โว้วๆๆ” สองสาวตัวจี๊ดกรีดเสียงใสไมค์แล้วมีแบคอัพสามสี่คนคอยรับ คนอื่นๆ ในงานก็เลยร้องเชียร์ตามไปด้วยอย่างคึกคัก

                “แต่เอ... นี่เป็นงานบายเนียร์ของคณะอักษรฯนี่นา รุ่นพี่ต่างคณะมาได้ยังไงคะ?”

                คริสก้มมองคนตัวเล็กที่เกาะแขนเขาแน่นแล้วเริ่มเบียดตัวเข้าหา แววตาที่ทอดมองกระต่ายน้อยขี้ตกใจนั้นทั้งอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเอ็นดู หนุ่มหล่อยิ้มพราว

                “มาเฝ้าแฟนครับ แฟนน่ารัก ผมหวง กลัวใครจะเกาะแกะก็เลยต้องมาคอยเฝ้า” มีเสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาอีกระลอกใหญ่ ตอนนี้คู่รักคนดังกลายเป็นที่สนใจของรุ่นพี่รุ่นน้องเกือบทั้งงานไปแล้ว รวมทั้งกลุ่มเด็กสาวชั้นปีหนึ่งซึ่งเข้ามาในงานก่อนหน้า คนสวยของใครต่อใครเดินนำกลุ่มเพื่อนแหวกกลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่หน้าหอประชุมจนได้มายืนอยู่แถวหน้าสุด แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อจางอี้ชิงที่เธอเห็นนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพน่าขายหน้าอย่างที่เธอคิด ชุดออกงานสีขาวยิ่งทำให้รุ่นพี่ร่างเล็กดูบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอม ยิ่งมีร่างสูงสง่าคอยปกป้องอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งน่าอิจฉา เหมาะสมคู่ควรกันเกินไปแล้วจริงๆ!

    จองชินกับมินฮยอกที่ยืนเป็นแบคอัพอยู่ห่างๆ เข้ามาสะกิดให้สองสาวหันไปดูสีหน้าของรุ่นน้องคนสวย ก่อนจะกระซิบให้ทำตามแผน อึนบีก็พยักหน้า ยกมือขึ้นเพื่อเรียกความสนใจจากคนอื่นๆ

    “เดี๋ยวก่อนนะคะ เดี๋ยวก่อน แต่เมื่อครู่เราเห็นรุ่นพี่ควงสาวอื่นเข้างานมาก่อนนะ จะแก้ตัวว่ายังไงดี~

    “นั่นน่ะสิ มาเฝ้าแฟนหรือมาเฝ้าใครกันแน่คะ?” สองสาวยื่นไมค์ให้หนุ่มหล่อพร้อมกัน เสียงเชียร์เงียบลงกลายเป็นเสียงซุบซิบที่กระจายออกไปในบรรดาคนที่รายล้อม ต่างคนต่างมองหา และพบว่าเด็กสาวที่ถูกกล่าวถึงนั้นก็อยู่ท่ามกลางแขกในงานเช่นกัน และเมื่อเพื่อนๆ ดันหลังเธอให้ออกมายืนเด่นอยู่ข้างหน้า กล้องหลายๆ ตัวก็เริ่มรัวแฟลชแข่งกันอีกครั้ง ไหนจะยังกล้องมือถือของคนในงานอีก แสงไฟมากมายที่หันมาหาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เธอตาพร่าไปชั่วขณะ แต่ดวงตาสวยหวานยังจับจ้องเพียงใบหน้าหล่อเหลาของรุ่นพี่ร่างสูงที่ยืนห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว เธอยิ้มรับเมื่อฝ่ายนั้นยิ้มให้ ในใจยังคงมั่นว่าหนุ่มหล่อต้องมีใจให้เธอบ้าง ทว่า...

     

    “ไม่รู้จักหรอกครับ เจอกันที่หน้างาน น้องเค้าขาแพลงก็เลยพามาส่ง ตัวจริงของผมมีคนเดียว”

     

    พลันรอยยิ้มนั้นกลับตกเป็นของคนตัวขาวข้างกาย เสียงเชียร์ที่ดังขึ้นทำให้หนุ่มน้อยขี้ตกใจยิ่งเบียดตัวเข้าหาจนแทบจะจมหายไปกับร่างที่ใหญ่โตกว่า อี้ชิงซุกดวงหน้าครึ่งหนึ่งลงกับต้นแขนคนรัก คริสรู้ว่าน้องอาย แต่ใครต่อใครคงไม่คิดแบบนั้น พรุ่งนี้ได้มีภาพสุดสวีทของคู่รักในงานบายเนียร์แพร่สะพัดไปทั่วทุกเวบเพจแน่ เข้าแผนของจองชินกับมินฮยอกพอดี คริสก้มลงกระซิบปลอบคนตัวเล็กเบาๆ ก่อนจะพาคนรักเดินผ่านเด็กสาวที่ยืนตัวแข็งทื่อเข้าไปในงานโดยที่คนอื่นๆ พากันหลีกทางและปรบมือให้

     

    กล้องทุกตัวยังตามถ่ายคู่รักอย่างต่อเนื่อง และใครบางคนที่เคยเป็นจุดเด่นและที่สนใจของใครๆ มากมายกลับถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อาภรณ์สวยงามกับเครื่องหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันนั้น ไม่มีความหมายเลยเมื่อถูกใครต่อใครเมินมอง พรุ่งนี้ข่าวคู่รักสุดสวีทคงกลายเป็นข่าวดัง ในขณะที่คนสวยอย่างเธอต้องทนฟังเสียงนินทาจากคนทั้งคณะ ถูกฉีกหน้ากลางงานแบบนี้ เพราะผู้ชายจืดชืดคนเดียวแท้ๆ! เด็กสาวยังไม่เข้าใจว่าสิ่งใดในตัวจางอี้ชิงที่แสนธรรมดาคนนั้นที่ผูกมัดหัวใจชายที่หล่อและเพอร์เฟคอย่างคริสได้ ทำไมเธอถึงต้องแพ้คนแบบนั้น! ดวงหน้าสะสวยบิดเบี้ยวด้วยความแค้นใจ กลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ห่างๆ ก็เข้ามาสะกิดเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ และก็ถูกคนสวยสะบัดใส่ดังคาด ก่อนที่เธอจะเดินกระแทกเท้าออกไปจากงานในทันที

     

    มันไม่จบแค่นี้แน่ จางอี้ชิง!

     

    ยองเอกับอึนบีมองตามจนรุ่นน้องออกไปพ้นประตูหอประชุมแล้วถึงได้หันมายิ้มแล้วยกสองแขนขึ้นศอกลมพร้อมกันอย่างสะใจพร้อมเสียงเยส! ก่อนที่หนุ่มหล่อสุดป๊อบอีกสองคนจะเข้ามาสะกิดให้หันไปตีมือด้วย

    “เจ๋งมากสองสาว!

     

     

     

     

    อี้ชิงไม่ยอมปล่อยแขนคริสเลยตลอดทางที่เดินเข้ามาในงานจนถึงโต๊ะที่จองชินกับมินฮยอกจองไว้ให้ที่ด้านหน้าสุดติดกับเวที จนคริสดึงเก้าอี้ออกให้น้องนั่งลง แล้วตัวเองก็นั่งลงข้างๆ ก็ยังต้องขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ๆ เพราะคนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้างุดๆ

    “เขินเหรอ?”

    อี้ชิงเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ค่อยๆ กวาดสายตามองไปรอบๆ จนทั่วทั้งงานแล้วก็ก้มหน้าลงอีก บ่นเสียงอุบอิบ

    “จองชินกันมินฮยอกโกหก ไหนบอกว่าคนอื่นๆ ก็พาแฟนมา” คริสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแสร้งทำหน้าดุ ใช้เพียงนิ้วชี้เชยปลายคางเล็กให้น้องเงยหน้า

    “เราก็หลอกพี่เหมือนกัน อยู่ดีๆ จะให้พี่ไปควงคนอื่น ใจร้ายนะ”

    “งื้ออ~ ผมขอโทษ...”

    “ต้องทำโทษ” อี้ชิงหน้าละห้อย คิดอยู่แล้วว่าต้องโดนโกรธ แต่ไม่รู้จะโดนลงโทษยังไงบ้าง มองตามร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือข้างหนึ่งมาตรงหน้า

     

    “เต้นรำกันนะ?”

     

    “ค.. ครับ?” คนเป็นน้องถึงกับเหวอ นี่นะหรือที่ว่าจะลงโทษ?

    คริสไพล่มืออีกข้างไปด้านหลัง ค้อมกายลงเล็กน้อย

    “ให้เกียรติเต้นรำกับพี่ซักเพลงนะครับ” อี้ชิงหันมองไปรอบๆ แค่พี่คริสขยับตัวก็มีคนหันมาจับจ้องแล้ว ชวนออกไปเต้นรำด้วยกันท่ามกลางสายตาเหล่านั้น นี่สินะการลงโทษ แต่จะทำยังไงได้ เขาเป็นคนผิดก็ต้องยอมทุกอย่าง เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ยื่นมือออกไปจับมือคนรักไว้

    คริสพาคนตัวเล็กออกไปที่กลางฟลอร์เต้นรำ พลันเสียงเพลงที่เปิดอยู่ก็เงียบลง เปลี่ยนเป็นจังหวะโซโล่ของกีตาร์โปร่งที่คุ้นหู อี้ชิงนึกแปลกใจจึงหันไปมองทางโต๊ะควบคุมเครื่องเสียง เห็นจองชินโบกมืออยู่ไหวๆ คงไม่ใช่กับเขา แต่น่าจะส่งสัญญาณให้ร่างสูงที่โบกมือกลับอยู่นี่มากกว่า

    “อะไรกันครับ?” คริสไม่ตอบ แต่ยิ้มแล้วถามกลับ

    “จำที่พี่สอนได้ใช่มั้ย?” คนเป็นน้องพยักหน้า สองมือก็ถูกจับให้วางลงบนบ่ากว้าง แล้วเอวบางก็ถูกโอบไว้ เท้าเล็กก้าวตามจังหวะเพลงและการก้าวนำของคนรัก สะดุดนิดหน่อยก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะจนแก้มแดง ...น่ารักน่าชัง อี้ชิงตัวเล็กๆ สวมชุดสีขาวที่มินฮยอกหามาให้แล้วยิ่งดูบริสุทธิ์เหมือนเทวดาตัวน้อยๆ คริสมองดวงหน้าน่ารักที่ยิ้มอย่างเก้อเขินแล้วก็ลืมความขุ่นข้องหมองใจที่มีก่อนหน้านี้ไปจดหมดสิ้น บางทีอี้ชิงก็ใจดีเกินไป ทำอะไรโดยไม่นึกถึงตัวเอง แต่ก็เพราะแบบนี้ไม่ใช่หรือ เขาถึงได้รัก เพราะความบริสุทธิ์และอ่อนโยนของจางอี้ชิง ทำให้คนที่ไม่เคยยึดติดกับสิ่งใดในชีวิตอย่างเขา กลับอยากผูกมัดตัวเองไว้กับคนตัวขาวแต่เพียงผู้เดียว ความใสซื่อของอี้ชิงอาจจะทำร้ายตัวเองเข้าอีกในซักวัน แต่นั่นคือหน้าที่ของคริสที่ต้องคอยปกป้อง ในเมื่อเขารัก และปักใจเพียงคนตัวเล็กคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ต้องปกป้องคนรักและความรักเพียงหนึ่งเดียวนี้ไว้ให้ถึงที่สุด

    คริสแนบแก้มคลอเคลียกับข้างขมับขาวอย่างแสนรัก กระซิบเสียงนุ่มอยู่ชิดริมใบหู

    “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่เกือบจะโกรธเราอยู่แล้วรู้มั้ย เห็นพี่เป็นอะไรถึงได้ยอมให้คนอื่นควงไปแบบนั้น”

    “ผมขอโทษ...”

    “หลอกพี่ว่าลืมมือถือ โกหกพี่ว่าซุ่มซ่ามทั้งที่จริงแล้วโดนแกล้ง ทำให้พี่เป็นห่วงแบบนี้ ต้องโดนลงโทษนะ”

    “งื้อ~ ผมขอโทษ ขอโทษ แต่ว่า...” อี้ชิงดันตัวเองออกเล็กน้อย ดวงตาละห้อยนั้นกระพริบปริบอย่างออดอ้อน “...ค่อยกลับไปง้อที่บ้านได้มั้ย?”

    คริสอมยิ้มด้วยความมันเขี้ยว นี่คงนึกว่าจะให้คิสๆ ง้อเหมือนทุกที เดี๋ยวนี้เก่งใหญ่แล้ว บทลงโทษแค่นั้นคงน้อยไป  

    “ไม่ทันแล้วล่ะ” คนเป็นพี่ยิ้มพราว ดึงมือเล็กที่วางอยู่แค่บ่ายกขึ้นคล้องคอแล้วโน้มใบหน้าเข้าหา ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อจู่ๆ คริสก็แนบริมฝีปากลง ร่างเล็กดิ้นขืนเพียงนิดก็ถูกอ้อมแขนรัดแน่นจนแผ่นอกทั้งคู่แนบชิดไปด้วยกัน

    จูบลึกซึ้งกลางฟลอร์เต้นรำเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากคนในงานจนอี้ชิงต้องหลับตาแน่น เขินอายเสียจนไม่กล้ารับรู้ถึงสายตาที่เฝ้ามองอยู่รอบๆ จูบแสนหวานทว่าหนักหน่วงราวกับคนตัวสูงจงใจจะลงโทษนั้นทำให้อี้ชิงไร้สิ้นเรี่ยวแรงจนตัวอ่อน ยิ่งร่างสูงโน้มเข้าหาจนแผ่นหลังบางเอนลงตามแรงโอบประคอง แขนเรียวเล็กก็กอดรัดต้นคอคนรักจนแน่น แม้เสียงรอบข้างจะดังแค่ไหน แต่เสียงหัวใจที่เต้นระรัวนี้ยิ่งดังกว่า

    บทลงโทษที่ทำให้อี้ชิงยอมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ทว่าหัวใจดวงน้อยที่บาดเจ็บจากภาพบาดตาเมื่อเห็นคนรักควงคู่กับคนอื่นนั้นกลับถูกปัดเป่าและปลอบประโลมอย่างซาบซึ้ง แพขนตาหนาซับหยดน้ำด้วยหัวใจที่เต็มตื้น แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดซักกี่ครั้ง ขอเพียงมีแขนคู่นี้คอยโอบกอด เสียงอ่อนโยนที่คอยกระซิบและรอยยิ้มที่คอยปลอบประโลม อี้ชิงก็ไม่กลัวสิ่งใดอีกแล้ว...

     

     

     

    ...ไม่นับรวมวันพรุ่งนี้ที่อี้ชิงจะต้องกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เรื่องคู่รักสุดสวีทที่เปิดตัวด้วยจูบแสนหวานกลางฟลอร์เต้นรำในงานบายเนียร์นะ อันนั้นคริสยังนึกไม่ออกว่าจะโอ๋น้องยังไงดีเลย


     

     

     

     

     

     ซนนาอึน

     

     

     

    จบตอน ^^

     

     

     

     

     

    คนรอง: จบแล้ววววววววววว ยาวมากกกกกกก ><” และนานมากด้วย เดือนกว่าๆ = =”

    ก็กระท่อนกระแท่นตามสภาพจิตใจ เขียนไม่ออกไปพักนึงเหมือนกัน T_T

     

    เนื้อเรื่องตอนนี้ออกจะน้ำเน่าชวนหงุดหงิดใจไปซักนิด ชอบไม่ชอบติชมกันได้เน้

    จะให้ดีก็บอกกล่าวกันมาว่าอยากอะไรเป็นพิเศษมั้ย ถ้าต่อได้จะต่อให้ล่ะ ><

    คือตอนนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก = =

    กำลังใจของคนเขียนอยู่ที่คนอ่าน ถ้ายังมีคนอยากอ่าน เราก็เขียนไหวน้า~~ ฮึบๆ ^^/

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^

     

     

     

      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×