ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] หวานใจ >///<

    ลำดับตอนที่ #22 : หวานใจ ตอน 20 ::: กลัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.04K
      13
      18 ก.ค. 58


    [Fic] หวานใจ >///<
    ตอน 20: กลัว
     Fiction by 2nd Admin
     
    .
     
    .
     
    .

    เพราะในห้องนอนของอี้ชิงไม่มีทั้งทีวีและเครื่องเล่นใดๆ ที่อาจส่งเสียงรบกวน บรรยากาศจึงเงียบสงบ เหมาะแก่การทำสมาธิอ่านหนังสือดีมากๆ ดังนั้นหลังจากอาหารมื้อเย็น คนตัวขาวจึงขอตัวเข้าห้องด้วยตั้งใจจะทบทวนวิชาเรียนเพื่อเตรียมสอบในสัปดาห์หน้า เด็กหนุ่มหยิบหนังสือสามสี่เล่มมาวางไว้ใกล้มือแล้วปักหลักอยู่บนเตียงนอน นั่งเหยียดขายาว พิงหลังไปกับพนักหัวเตียงอย่างสบายๆ อันที่จริงเขาชอบนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะมากกว่า อยู่บนเตียงเผลอๆ จะง่วงนอนเอา แต่คนที่นั่งดูซี่รี่ส์เรื่องโปรดในห้องนั่งเล่นคนเดียวไม่ได้แล้วขอตามเข้ามาในห้องด้วยเนี่ยสิที่ไม่ยอม ทั้งอ้อนทั้งงอแงจนเขาต้องยอมขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยกัน ทั้งที่ตัวเองก็บอกว่าจะนอนเล่นเกมในสมาร์ทโฟนอยู่เงียบๆ แท้ๆ ทำไมต้องให้อี้ชิงมานั่งเป็นเพื่อนด้วยก็ไม่รู้
    มัวแต่จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือจนเริ่มรู้สึกล้าสายตา อี้ชิงไม่ได้มองนาฬิกาแต่คิดว่าเขาคงขมักเขม้นกับหนังสือนานเกินไปและควรจะต้องพัก รู้สึกปวดต้นคอขึ้นมานิดๆ แล้วด้วย น่าแปลกที่วันนี้พี่คริสทำตัวน่ารักไม่ส่งเสียงรบกวนซักแอะ หรือป่านนี้จะหลับไปแล้วก็ไม่รู้ ครั้นพออี้ชิงหันไปมองก็ต้องแปลกใจเมื่อสบเข้ากับดวงตาวาววาวที่จับจ้องอยู่ก่อนแล้ว
    “มองอะไรครับ?” แล้วนั่นไหลตัวลงไปนอนคว่ำเอามือท้าวคางปักหลักมองอี้ชิงอย่างตั้งอกตั้งใจแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเห็นคนเป็นน้องกระพริบตาด้วยความสงสัย คนที่จับจองพื้นที่อีกครึ่งของเตียงก็คลี่ยิ้มทะเล้น
    “มองคนน่ารัก” เหวอไปแค่อึดใจ คนถูกเย้าก็หัวเราะเบาๆ
    “มองแบบนี้นานๆ เดี๋ยวก็เบื่อแย่”
    “งั้นไม่มองก็ได้” ดูเอาเถอะ พอถูกย้อนเข้าหน่อยก็พลิกตัวโตๆ กลับไปนอนหนุนหมอนแล้วหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเล่นต่อเสียอย่างนั้น ทำตัวแปลกๆ แต่อี้ชิงก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ หันกลับไปสนใจกับเนื้อหาในหนังสือต่อ แต่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงกระซิบเรียกที่ข้างหู
    “อี้ชิง”
    “ครับ? ...ฮื่อ พี่คริส!” เสียรู้คนเจ้าเล่ห์อีกจนได้ คนตัวเล็กมองหน้าหล่อๆ ที่ยื่นเข้ามาจนชิดแล้วก็ได้แต่ครางฮื่อ ตะปบมือปิดแก้มตัวเองกลัวจะถูกเอาเปรียบซ้ำสอง “รังแกผม”
    “ไม่ให้มองไกลๆ พี่ก็เข้ามามองใกล้ๆ แบบนี้ไง” ใกล้ชนิดที่จมูกชนแก้มเลยล่ะ นี่ก็ยังลอยหน้ายิ้มตาปิดอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมถอย อี้ชิงก็เลยมุ่ยหน้าใส่ 
    “ผมต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบนะครับ ไหนบอกว่าจะไม่กวนกันไง”
    “อ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว พักสายตาบ้างเถอะ” ถือวิสาสะแย่งหนังสือจากมืออี้ชิงแล้วก็ล้มตัวลงนอนหนุนตัก ดูเอาเถอะ เพิ่งนึกชมอยู่ในใจ ไม่ทันไรก็เอาแต่ใจเป็นเด็กอีกแล้ว คนเป็นแฟนกัดปากกลั้นยิ้มก่อนจะแสร้งถอนใจ
    “กวนแบบนี้ ถ้าผมสอบไม่ผ่านขึ้นมา ปิดเทอมก็ต้องสอบซ่อม อดไปเยี่ยมป๊ากับม๊านะครับ” เรียวคิ้วได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อย ขู่เรื่องเรียนมีหรือคริสจะกลัว อี้ชิงของเขาน่ะเรียนเก่งจะตาย ต่อให้ไม่อ่านหนังสือก็สอบได้อยู่แล้ว แต่ที่บอกว่าจะอดไปเยี่ยมป๊ากับม๊านี่คืออะไร น้องรู้ว่าเขานับวันรอที่จะได้ไปรายงานตัวกับว่าที่พ่อตาแม่ยายมาตลอดถึงได้กล้าขู่แบบนี้สินะ คริสหรี่ตามองคนรัก
    “ขู่พี่หรือ?”
    “เปล่าเสียหน่อย” ยังจะมาส่ายหน้าทำตาใส กลั้นยิ้มจนแก้มบุ๋มขนาดนั้น
    “แกล้งพี่ใช่มั้ย แบบนี้ต้องโดนทำโทษ”
    “พี่คริส!” คนน้องถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ คริสก็ลุกพรวดขึ้นแล้วคว้าตัวเล็กๆ มากอดล็อคไว้กับอกด้วยแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะลงมือทำโทษด้วยการจี้นิ้วเข้าที่เอวบางจนร่างเล็กดิ้นปัดๆ “พี่คริส หยุดนะ”
    “เซี้ยวใหญ่แล้วนะเรา ขู่พี่ได้ยังไงกัน”
    “ฮะๆๆๆ พอแล้วพี่คริส ผมไม่เล่นแล้ว ฮะๆๆๆๆ” ร้องห้ามปนเสียงหัวเราะให้วุ่นวาย ร่างเล็กยิ่งดิ้นคริสก็ยิ่งมันเขี้ยว ทั้งกอดทั้งจี้ไม่ยอมรามือง่ายๆ กระทั่งเสียงใสเริ่มขาดห้วงคงเพราะหายใจไม่ทัน คนตัวโตจึงได้ยอมคลายแขน ปล่อยร่างเล็กที่หัวเราะจนหมดแรงให้นอนลงบนพื้นเตียงโดยที่ตัวเองยังตามไปคร่อมแขนกางกั้นไม่ให้ดิ้นหนีได้ไกล
    “เข็ดหรือยัง ทีหลังจะแกล้งพี่อีกมั้ย?” ดวงหน้าหวานแดงจัดเพราะทั้งเหนื่อยทั้งเคือง อี้ชิงครางฮื่อปนเสียงหอบหายใจ
    “ที่อ่านมาตั้งนาน ลืมหมดแล้วเนี่ย”
    “งั้นจี๋อีกทีให้จำได้เลยดีมั้ย”
    “อย่านะครับ พอแล้ว” แค่คริสวางมือบนหน้าท้องนิ่ม คนบ้าจี้ก็งอตัวหัวเราะนำไปก่อนแล้ว เขารู้ว่าน้องยังเหนื่อยเลยไม่คิดจะแกล้งต่อ แต่สภาพของกระต่ายน้อยที่ถูกฟัดจนไร้ทางต่อสู้นั้นก็น่ามันเขี้ยวมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยให้เห็นผิวเนื้อเรื่อสีแดง น่างับไปทั้งตัว จางอี้ชิงผู้ใสซื่อไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอันตรายต่อตัวเองมากแค่ไหน คริสไล่สายตามองร่างเล็กที่นอนหอบปนเสียงครางพ้ออยู่ใต้ร่างด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ เพียงแค่นึกถึงวันที่เขาจะได้เป็นเจ้าของเรือนร่างน่ารักนี้ก็ต้องกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ไหว แต่สุดท้ายก็ต้องนึกสมน้ำหน้าตัวเองจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ยังไงตอนนี้ก็ไม่ได้ ตั้งเงื่อนไขทรมานตัวเองไว้แท้ๆ
    ที่ร่างสูงทำจึงเพียงแค่โน้มใบหน้าลงแตะจูบเหนือหน้าผากเนียนแล้วเลื่อนกายลงนอนเคียงข้าง ตั้งศอกวางมือรองศีรษะ มองเจ้าของดวงหน้าน่ารักที่พลิกกายหันมาหาเขาเช่นกัน คริสยิ้มบางยามยื่นมือออกไป เกี่ยวเรียวนิ้วพันปอยผมนุ่มเล่น
    “วันเสาร์หน้าทำตัวให้ว่างนะ” 
    “เสาร์หน้า ทำไมหรือครับ?”
    “พี่จะขอควงไปออกงานด้วยหน่อย”
    “เอ๋?”
    “ลูกพี่ลูกน้องพี่เค้าโทรมาบอกเมื่ออาทิตย์ก่อน ว่ากำลังจะแต่งงาน”
    “จริงหรือครับ? ข่าวดีจัง”
    “ดียิ่งกว่านั้นอีกนะ ทายซิเจ้าบ่าวเป็นใคร”
    “ผมจะรู้ได้ยังไงกัน”
    “คนนี้อี้ชิงก็รู้จักนะ”
    “เอ๋?”
    “คุณหมอจองยุนโฮไง”
    “จริงหรือครับ?” คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นนั่ง ตาคู่สวยเป็นประกายด้วยทั้งแปลกใจและยินดี เขาเคยเจอคุณหมอยุนโฮตอนที่พี่คริสพาไปตรวจสุขภาพคราวก่อน คุณหมอใจดีมากๆ เขารู้แค่ว่าเป็นลูกชายของคุณหมอใหญ่ประจำตระกูลอู๋ ตอนนี้จะกลายมาเป็นพี่เขยของพี่คริสแล้ว “เซอร์ไพรซ์จัง”
    “ตอนแรกที่รู้พี่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน รู้ว่าคุณหมอจองเข้าออกบ้านใหญ่บ่อย แต่ไม่คิดว่าจะสนิทสนมกับเจี่ยเจี๋ยจนถึงขั้นเป็นคนรักได้”
    เจี่ยเจี๋ย... พี่สาวสินะ อี้ชิงพยักหน้าช้าๆ เขารู้ว่าพี่คริสเป็นลูกชายคนเดียวของคุณป้า แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามีลูกพี่ลูกน้องทางไหนบ้าง อันที่จริงเขาก็แทบไม่รู้เรื่องในครอบครับของพี่คริสเลย นี่เป็นครั้งแรกที่พี่คริสเอ่ยถึงคนในบ้านให้ฟัง คนตัวเล็กก็เลยรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย
    “พี่คริสสนิทกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้มั้ยครับ?” คริสยิ้มบางเมื่อเห็นแววตาใคร่รู้ของคนรัก ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิหัวเข่าชนกันแล้วยื่นมือไปช่วยจัดผมเผ้ายุ่งเหยิงที่เจ้าตัวละเลยให้
    “จะเรียกว่าสนิทก็ไม่เชิง แต่ถ้าเป็นเรื่องในบ้าน ก็มีแต่เจี่ยเจี๋ยนี่แหละที่พี่คุยด้วยบ่อยที่สุด”
    “อีกหน่อยก็มีคุณหมอยุนโฮอีกคน”
    “ไม่หรอก คุณหมอจองน่ะเป็นลูกชายคนโต ที่บ้านก็เลยไม่อยากให้ไปไหน เจี่ยเจี๋ยแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายไปอยู่กับคุณหมอที่บ้านโน้น” ธรรมเนียมครอบครัวของจีนกับเกาหลีคงไม่ต่างกันนัก ถึงตระกูลอู๋จะเป็นตระกูลใหญ่ แต่อย่างไรเสียลูกสาวก็ต้องแต่งออกอยู่ดี อี้ชิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ บังเอิญเหลือบไปเห็นกองหนังสือที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงถึงเพิ่งนึกได้ “จริงสิ วันเสาร์หน้าผมมีสอบช่วงเช้าจนถึงเที่ยงเลย”
    “ไม่เป็นไร พิธีเช้าไม่ต้องไปก็ได้ สอบเสร็จแล้วพี่มารับไปงานที่โบสถ์ตอนบ่ายแล้วก็งานเลี้ยงตอนหัวค่ำเลย”
    “แล้ว... คุณป้าจะไม่ว่าหรือครับ ยังไงผมก็เป็นคนนอก” คนเป็นน้องถามเสียงอ่อน งานสำคัญแบบนี้ คนในครอบครัวคงมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา เลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอคุณนายแม่ของพี่คริส อี้ชิงเกรงว่าตัวเองจะไปทำอะไรไม่เหมาะสมให้คนรักต้องขายหน้า คุณป้าต้องไม่ชอบใจแน่ ความกังวลนั้นฉายชัดบนดวงหน้าหวานจนคริสต้องยิ้มปลอบ
    “คนนอกที่ไหนกัน อีกหน่อยพอเราแต่งงาน อี้ชิงก็เป็นคนในครอบครัวแล้วนะ” คำปลอบโยนนั้นหวานยิ่งกว่าแววตาที่มองมา เรียกสีเลือดระบายแก้มใสที่ร้อนผ่าวให้แดงปลั่ง ให้อุ่นใจแค่ไหนคนเป็นน้องก็ยังไม่ยอมเผยยิ้มให้คนปากหวานได้เห็น กลับกลบเกลื่อนอาการเขินอายด้วยสายตาตำหนิ
    “พูดไปเรื่อย ใครจะแต่งด้วยกัน”
    “หืม? ไม่แต่งงั้นหรือ?” แค่สองไหล่ถูกคว้าหมับ อี้ชิงที่ยังอมยิ้มก็ผวาจะถอยหนี ตีรวนคนตัวโตแบบนี้ต้องโดนเอาคืนแน่ “ไม่แต่งพี่จับปล้ำจริงๆ นะ ปล้ำเสร็จแล้วค่อยไปขอขมาคุณป๊ากับคุณม๊าของอี้ชิง ถึงตอนนั้นก็คงต้องยอมยกให้แล้วล่ะ”
    “ฮื่อ พี่คริส! พูดเป็นเล่นไปได้”
    “พูดเล่น แต่ทำจริงนะ”
    “......!” ร่างเล็กถูกกดให้นอนลงกับพื้นเตียงอย่างง่ายดายก่อนที่ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าจะตามมาทาบทับ ตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ยิ้มร้ายบนใบหน้าหล่อนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยต้องกระตุกด้วยความผวา และเมื่อคริสโฉบใบหน้าลงหา อี้ชิงก็หลับตาแน่น 

    “อย่านะ!”

    เสียงตวาดทำให้คริสต้องชะงักในทันที เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าดวงหน้าหวานนั้นซีดเผือด ร่างเล็กสั่นเทาราวกับลูกนกที่กำลังหวาดกลัว
    “...อี้ชิง” ค่อยยื่นมือออกไปแตะแก้มนุ่มเบาๆ เพียงเท่านั้นน้องยังสะดุ้ง คริสรีบถอนตัวลุกขึ้นแล้วดึงร่างเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน อี้ชิงยังขืนตัวในทีแรกแต่สุดท้ายก็ยอมให้เขากอดเอาไว้ “ตกใจหรือ? พี่ขอโทษนะ”
    จังหวะหายใจที่ค่อนข้างแรงนั้นบอกให้รู้ว่าอี้ชิงไม่ได้แกล้ง เสียงร้องเมื่อครู่ก็ฟังดูเสียขวัญ หยอกกันกี่ครั้งน้องยังไม่เคยมีอาการแบบนี้ คริสเองก็ตกใจมาก ลูบมือขึ้นลงกับแผ่นหลังบางพลางกดจูบเหนือกลุ่มผมนุ่มซ้ำๆ อย่างปลุกปลอบ ทว่าน้องยังคงนิ่งจนคริสใจไม่ดีเลย ช้อนข้อนิ้วเชยปลายคางเล็กให้ดวงหน้าหวานเงยขึ้นจึงได้เห็นว่าดวงตาคู่งามนั้นไหวระริกจนน่าใจหาย
    “ขวัญเอ๋ยขวัญมา ดูซิ หน้าซีดเขียว กลัวพี่หรือ?”
    “พี่คริส... ผม...”
    “ไม่เป็นไรนะ พี่ไม่แกล้งแล้ว อี้ชิง พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก”
    มองรอยยิ้มที่อ่อนโยนแล้วคนตัวเล็กก็โผเข้าหาอกกว้าง โอบแขนกอดร่างใหญ่โตไว้จนแน่น  ซุกใบหน้าซ่อนแววตาที่สับสนและเป็นกังวลไม่ให้คนรักได้เห็น มือใหญ่ยังคงลูบปลอบแผ่นหลังพร้อมสัมผัสอุ่นซ้ำๆ ที่เหนือกลุ่มผม อี้ชิงแนบแก้มกับอกอุ่น ฟังน้ำเสียงทุ้มเอ่ยปลอบซ้ำๆ โดยที่ไม่อาจเอ่ยคำใดได้ ทั้งที่เขาก็รู้ดีว่าพี่คริสจะไม่มีวันทำร้าย พี่คริสจะไม่ข่มเหงให้เขาต้องเสียใจ แต่ทำไมถึงได้หวาดกลัวนัก ทั้งที่อ้อมแขนอบอุ่นนี้คอยปกป้องเขามาตลอด แต่ทำไมจึงรู้สึกอึดอัดจนต้องร้องออกมา อี้ชิงไม่ได้คิดจะผลักไส แต่ทำไม... ทำไมถึงปฏิเสธสัมผัสจากคนที่รักแบบนั้น

    อี้ชิงไม่ได้ตั้งใจ พี่คริสจะโกรธหรือเปล่า? ...ทำยังไงดี ...เขาจะทำยังไงดี

    .

    .

    .

    พิธีหมั้นตามประเพณีของจีนจัดขึ้นเป็นการภายในในคฤหาสน์อันยิ่งใหญ่ของตระกูลอู๋ ที่ซึ่งห้ามไม่ให้ช่างภาพหรือนักข่าวจากสำนักใดเข้ามาในบริเวณรั้วรอบเป็นเด็ดขาด ด้วยเหตุผลความเป็นส่วนตัวของเจ้าภาพ ในงานจึงมีแต่เหล่าเครือญาติของทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว และแขกคนสนิทของครอบครัวอีกเพียงไม่กี่คน แต่กระนั้นก็ยังทำให้ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ดูแคบไปถนัดตา แม้พิธีการนั้นจะมีเพียงขั้นตอนที่เรียบง่าย ทว่าทางบ้านของฝ่ายหญิงผู้ซึ่งเป็นเจ้าภาพงานเช้าก็ได้เตรียมการไว้อย่างเพียบพร้อมสมศักดิ์ศรีตระกูลใหญ่ และให้เกียรติแก่ครอบครัวคุณหมอหนุ่มว่าที่เจ้าบ่าวโดยไม่มีขาดตกบกพร่อง
    คริสมาถึงบ้านใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เพราะไม่อยากขับรถฝ่ากลุ่มนักข่าวที่ดักรออยู่หน้าบ้านให้วุ่นวาย เขาจึงเลือกที่จะอ้อมมาเข้าทางประตูหลัง จอดรถทิ้งไว้ที่ตึกเล็กแล้วขึ้นไปรายงานตัวกับคุณปู่คุณย่าอยู่พักใหญ่ กระทั่งถึงเวลาฤกษ์พิธียกน้ำชาแล้วถึงได้ลงมาพร้อมพวกท่านที่ห้องโถงของอีกตึก ก่อนจะขอแยกตัวไปรวมกลุ่มอยู่กับลูกหลานคนอื่นๆ ที่มาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง 
    ระหว่างที่พิธีดำเนินไป คุณนายอู๋ผู้ซึ่งเป็นมารดาและนั่งเป็นสักขีพยานอยู่ในแถวหน้านั้นปรายตามามองเขาอยู่หลายครั้ง คงเพราะคริสไม่ได้เข้าไปทักทายคุณพ่อซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศในรอบหกเดือน ตอนนี้พวกท่านนั่งอยู่ข้างกัน แม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่สุดท้ายแล้วที่คริสทำก็เพียงแค่ทำความเคารพท่านอยู่ห่างๆ
    เพราะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียหลายปี คริสจึงไม่คุ้นเคยกับเครือญาติคนอื่นๆ นัก ดังนั้นเมื่อพิธียกน้ำชาเสร็จสิ้นแล้วเขาจึงเข้าไปกล่าวลาคุณปู่คุณย่าและปลีกตัวออกมาจากห้องโถง หมายใจว่าจะออกจากคฤหาสน์ในทันที ร่างสูงกำลังตรงรี่ไปที่รถตอนที่เสียงหนึ่งทักขึ้น
    “เข้าออกประตูหลังอย่างกับไม่ใช่ลูกหลานตระกูลอู๋ นี่เป็นคนนอกปลอมตัวมาหรือเปล่า?” น้ำเสียงหวานหูนั้นแค่ฟังก็รู้ว่าหมายเพียงจะเย้าแหย่มากกว่าค่อนขอดจริงจัง คริสกดยิ้มมุมปากก่อนจะหันหลังกลับมาแล้วพบว่าเจ้าของร่างแบบบางที่ยืนเอามือไพล่อกพลางหรี่ตามองเขาอย่างจับผิดนั้นเป็นหญิงสาวแสนสวยในชุดกี่เพ้าสีแดงที่เขาเห็นในพิธีหมั้นอย่างที่คาด
    “พี่อี้เฟย”
    “คนนี้ล่ะใคร? ใช่อู๋อี้ฟานตัวจริงหรือเปล่า?” เธอยืดตัวขึ้นพลางชี้นิ้วเล็กๆ มาหมายจะจิ้มเข้าที่ปลายจมูกโด่งแบบที่ชอบทำ แต่คริสก็ไวพอจะคว้าจับมือบางไว้ได้ทัน
    “ถึงจะหล่อขึ้นมากหน่อย แต่ก็ตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ ครับ”
    “แหม... จ้า~ พ่อเพลย์บอยสุดหล่อ” หญิงสาวแกล้งลากเสียงยาวก่อนจะหัวเราะเสียงใส มองใบหน้าหล่อเหลาของน้องชายร่วมสกุลแล้วก็ให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ก่อนที่อี้ฟานจะถูกส่งไปเรียนเมืองนอก เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่อายุอ่อนกว่าเธอสองปี ตอนนั้นยังตัวเล็กกว่าและมักจะถูกเธอแกล้งบีบจมูกอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้โตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว แกล้งไม่ได้แล้ว หญิงสาวถอนใจเบาๆ เมื่อนึกถึงวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ต่างคนต่างก็มีหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่มีโอกาสได้หยอกล้อกันเล่นบ่อยๆ เหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้ว “...นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
    “พี่สาวแต่งงานทั้งที ผมจะไม่มาได้ยังไง” ทว่าอู๋อี้ฟานยังคงยิ้มให้เธออย่างจริงใจเช่นเคย นั่นทำให้อี้เฟยคลายความกังวลใจไปได้บ้าง ริมฝีปากสีแดงสดค่อยคลี่แย้มสวย
    “เมื่อเช้ามัวแต่ยุ่งก็เลยไม่ได้คุยกัน เป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า ไม่เห็นโทรมาหากันบ้างเลย”
    “ผมน่ะสบายดี เจี่ยเจี๋ยต่างหากที่เงียบไป ขนาดว่าจะแต่งงานผมยังรู้ล่วงหน้าแค่สองอาทิตย์ เกือบหาชุดหล่อไม่ทัน ไม่ใช่ว่ามัวแต่สนใจหนุ่มอื่นมากกว่าน้องชายหรอกหรือ?”
    “อย่ามาเย้ากัน เรานั่นแหละ แอบมีแฟนไม่บอกกันเลยนะ นี่ถ้าพี่ยุนโฮไม่บอกพี่ก็คงไม่รู้ แล้วนี่ไม่ได้พามาด้วยเหรอ? พี่อยากเห็นหน้าหนุ่มน้อยที่เอาชนะใจอู๋อี้ฟานสุดหล่อได้จะแย่แล้ว”
    “เดี๋ยวก็ได้เห็นครับ วันนี้เค้ามีสอบช่วงเช้า แต่ผมจะไปรับมางานที่โบสถ์ตอนบ่าย” รอยยิ้มบางบนใบหน้าหล่อยามที่พูดถึงคนรักนั้นบอกให้รู้ว่าหนุ่มน้อยคนนั้นมีความสำคัญต่อน้องชายของเธอแค่ไหน อี้ฟานไม่ใช่คนยิ้มยากก็จริง แต่ทุกครั้งก็มักจะเป็นการปั้นแต่งเพื่อให้เกียรติคู่สนทนา เพิ่งจะมีคราวนี้ที่อู๋อี้เฟยได้เห็นแววหวานในดวงตาคู่คมอย่างชัดเจน เห็นน้องชายมีความสุขเช่นนี้ เธอเองก็ดีใจด้วยเช่นกัน
    “แล้วนี่ได้เจอคุณลุงกับคุณป้าหรือยัง?”
    “เจอแล้วล่ะครับ แต่ยังไม่ได้คุยกัน” อี้เฟยพยักหน้าช้าๆ เข้าใจดีว่าน้องชายจำต้องหลบหน้าบิดามารดาด้วยเหตุใด เธอเองก็ไม่สบายใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก 
    “อี้ฟาน พี่ขอโทษนะ จากนี้ไปเราคงลำบากแย่” ดวงหน้าสวยหวานนั้นม่อยลงด้วยความกังวลใจ แต่น้องชายตัวสูงก็ยิ้มปลอบ
    “ลำบากอะไรกันครับ ไม่มีอะไรเสียหน่อย พี่อย่าคิดมากสิ วันนี้เป็นเจ้าสาวต้องทำตัวสวยๆ ทำหน้าให้สวยๆ ไว้นะ หน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้คุณหมอจองจะเบื่อเอา”
    “พี่ยุนโฮไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวว่างอนๆ แล้วต่างฝ่ายต่างก็หัวเราะให้กันก่อนที่คริสจะเดินไปส่งเธอกลับเข้าห้องโถง ค้อมศีรษะให้ว่าที่เจ้าบ่าวซึ่งไม่อาจปลีกตัวออกมาทักทายได้เพราะดูท่าว่ากำลังถูกญาติของเจ้าสาวรุมสัมภาษณ์เป็นการใหญ่ แล้วจึงขอตัวกลับออกมา บึ่งรถไปรับอี้ชิงที่มหาวิทยาลัยในทันที

    .

    .

    .

    มีเวลาให้ทำข้อสอบถึงสามชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงเที่ยง แต่สำหรับคนที่เตรียมตัวมาอย่างดีแล้วนั้น แม้จะเป็นข้อเขียนเสียส่วนมาก แต่ไม่ต้องใช้เวลาในห้องสอบนานขนาดนั้นก็ได้ อย่างเช่นจางอี้ชิงที่วางปากกาและออกมาจากห้องสอบเป็นคนแรก ก่อนหมดเวลาถึงครึ่งชั่วโมง สิ่งแรกที่ทำคือเปิดมือถือเพื่อจะเช็คข้อความที่ส่งเข้ามา ไล่ๆ อ่านอยู่แค่ครู่เดียวก็รีบสะพายเป้เข้าไหล่ กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาจากชั้นสามของตึกคณะในทันที
    จนถึงบันไดหน้าตึกถึงได้หยุดเพื่อชะเง้อคอมองไปยังลานจอดรถของคณะฯ เห็นรถสปอร์ตสีแดงที่จอดเด่นอยู่ก็ตั้งท่าจะรีบวิ่งไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขา เอวบางก็ถูกรวบให้ต้องชะงัก
    “ไม่ต้องรีบก็ได้ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก” ตามด้วยเสียงทุ้มดุที่ข้างหูกับร่างสูงใหญ่ที่เข้ามาซ้อนประชิดจากด้านหลัง อี้ชิงสะดุ้งแล้วรีบหันขวับ พอรู้ว่าเป็นใครก็ทำตาโตใส่
    “พี่คริส ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะครับ?”
    “มาแอบดูเด็กดื้อ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้วิ่ง หืม?” มืออีกข้างที่ว่างนั้นบีบจมูกเล็กเบาๆ จนคนตัวเล็กร้องฮื่อ
    “ก็ผมกลัวพี่คริสรอนาน”
    “พี่เคยบอกแล้วไง นานแค่ไหนก็รอได้ แต่ถ้าเราหกล้มไปจะทำยังไง” คนเป็นน้องทำปากยื่นน้อยๆ แก้ตัวเสียงเบา
    “ผมไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้น”
    “พี่ไม่ได้ว่าเราซุ่มซ่าม แต่พี่เป็นห่วง ผิวเนื้อบางๆ แบบนี้ เกิดสะดุดอะไรเข้านิดหน่อยก็เจ็บแล้ว พี่ไม่อยากให้เราเจ็บ ยิ่งเจ็บเพราะจะรีบวิ่งมาหาพี่ยิ่งรู้สึกผิดนะ” แววตาดื้อรั้นจึงค่อยอ่อนลง เห็นหน้าหวานๆ แบบนี้ แต่บางครั้งจางอี้ชิงก็ดื้อจริงๆ แต่คริสรู้ว่าน้องเป็นห่วงความรู้สึกเขามากกว่า อะไรก็ตามที่ทำให้เขาไม่สบายใจ น้องจะไม่ทำ ถึงจะดูใจร้ายแต่คริสก็จำต้องขู่ด้วยไม้นี้
    “...ผมขอโทษ ไม่วิ่งแล้วก็ได้” แต่พอเห็นดวงหน้าน่ารักม่อยลงก็อดจะสงสารไม่ได้ อุตส่าห์จะรีบวิ่งมาหา กลับถูกเขาดุเอา คริสจึงแนบจูบปลอบที่ข้างขมับพร้อมคำชมให้เด็กดี ก่อนจะคลายแขนปล่อยร่างเล็กเป็นอิสระ ช่วยจับสายสะพายเป้อีกข้างให้น้องสอดแขนคล้องไว้กับหลัง  
    “แล้วนี่ทำข้อสอบได้หรือเปล่า?”
    “สบายมากครับ ถ้าผมไม่ตาลายอ่านโจทย์ผิดไปซะก่อนน่ะนะ” คุยอวดพร้อมยิ้มหวานจนตาคู่สวยเป็นประกาย น่าชังเสียจนคริสลืมตัว เลื่อนมือขึ้นกอบสองแก้มนุ่มหมายจะฝังจมูกฟัดเสียให้เต็มรัก แต่เหมือนคนตัวขาวจะรู้ทัน ร้องฮื่อแล้วส่งสายตาบุ้ยใบ้ข้ามไหล่ไปข้างหลังให้คริสรู้ว่าคนอื่นๆ กำลังทยอยกันลงมาจากตึกแล้ว คริสหันเพียงเสี้ยวหน้าและปรายตาไปมองตาม คนอื่นๆ ที่ว่าก็เพื่อนร่วมคณะของอี้ชิงนั่นล่ะ กำลังมองมาทางพวกเขาแล้วก็พากันหัวเราะคิกคัก ดูจะชอบอกชอบใจเสียมากกว่าหมั่นไส้นะ คริสน่ะไม่สนหรอก แต่อี้ชิงน่ะไม่ได้ มีแฟนขี้อายก็ต้องรู้จักหักห้ามใจ ดังนั้นต่อให้เสียดายแค่ไหน ที่คริสทำจึงเพียงยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ  
    “อย่างนี้ค่อยมีหวังได้ไปไหว้พ่อตาแม่ยายตามกำหนดหน่อย” ก่อนจะปัดปลายจมูกกับจมูกเล็กอย่างมันเขี้ยวจนน้องร้องฮื่อแล้วย่นคอหนี แก้มแดงๆ ที่แต้มรอยบุ๋มนั้นเรียกรอยยิ้มพึงใจบนใบหน้าหล่อ มีแฟนน่ารักขนาดนี้ ใครไม่อิจฉาก็ให้มันรู้ไป
    “เราจะไปที่งานกันเลยหรือเปล่าครับ?” คนเป็นน้องถามโดยไม่มองหน้า พอคริสปล่อยตัวก็เอาแต่เดินจ้ำอ้าวๆ ตรงไปที่รถจนคริสต้องก้าวยาวๆ ตามไปจับข้อมือเล็กไว้ ถึงอย่างนั้นเด็กขี้อายก็ยังไม่ยอมหยุดจ้ำอยู่ดี ยิ่งได้ยินเสียงเพื่อนร้องฮิ้วๆ ตามมาข้างหลังก็ยิ่งเร่งฝีเท้าใหญ่เลย
    “ไม่ต้องรีบก็ได้ อี้ชิงเพิ่งสอบเสร็จออกมา หิวแย่แล้ว เดี๋ยวพี่พาไปกินอะไรก่อน แล้วค่อยไปแวะรับชุดกัน”
    “เอ๋? ชุดเหรอครับ?” หยุดเดินแล้วหันมามองหน้ากันก็ตอนที่ถึงลานจอดรถแล้ว คริสยิ้มให้สีหน้าใคร่รู้ของคนน่ารักก่อนจะเอื้อมมือไปดึงประตูรถเปิดออกให้ 
    “ก็ชุดที่จะใส่ไปร่วมพิธีที่โบสถ์แล้วก็งานเลี้ยงคืนนี้ไง พี่สั่งให้ร้านเค้าเร่งตัดไว้ให้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน”
    “แต่ผมยังไม่ได้ไปวัดตัวเลยนะ” น้องยังเหวอๆ คริสก็จับร่างเล็กยัดเข้าไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับแล้ว
    “จะต้องวัดไปทำไม เราตัวแค่ไหนสัดส่วนเท่าไหร่ พี่รู้หมด” ยังใจดีดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ โน้มทั้งลำตัวและใบหน้าลงหาร่างเล็กกว่าอย่างจงใจ อี้ชิงได้แต่มองรอยยิ้มที่มุมปากคนรักด้วยความสงสัย ก่อนที่แก้มใสจะยิ่งแดงปลั่งด้วยถ้อยคำที่อีกฝ่ายกระซิบบอกหลังจากนั้น 

    “แค่จับดูก็รู้แล้ว”

    จับ...

    จับตอนไหน? ที่ไหน? ยังไง?

    หรือว่า... 

    >///<

    ฮื่อออ พี่คริสคนบ้า ลามกที่สุดเลย!

    “ผมหิวข้าวแล้ว!” 

    .

    .

    .

    เพราะครอบครัวคุณหมอจองนับถือในศาสนาคริสต์ ดังนั้นหลังจากพิธีหมั้นตามธรรมเนียมจีนในช่วงเช้าซึ่งฝ่ายว่าที่เจ้าสาวเป็นเจ้าภาพเสร็จสิ้นลงแล้วนั้น พิธีแต่งงานจึงถูกจัดขึ้นที่โบสถ์ซึ่งเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน และเพื่อเป็นการประกาศรวมสองตระกูลอย่างเป็นทางการ นักข่าวจากสำนักต่างๆ จึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาถ่ายภาพและทำข่าวในบริเวณพื้นที่ที่จัดไว้ให้
    ตอนที่คริสกับอี้ชิงมาถึงนั้น พื้นที่ในลานจอดรถก็แทบไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว ร่างสูงเปิดประตูลงมาจากรถก่อนแล้วจึงเดินอ้อมไปรับคนรักซึ่งกำลังก้าวลงมาจากอีกฝั่งเช่นกัน คนตัวเล็กยังคงสาละวนอยู่กับความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่ถึงแม้จะพอดีตัวเป๊ะตามที่คนสั่งตัดคุยอวดไว้ แต่เพราะเพิ่งได้ลองใส่เป็นครั้งแรก ซ้ำยังต้องร่วมงานที่เป็นทางการ อี้ชิงจึงไม่มั่นใจนัก คอยจัดปกเสื้อสาบเสื้ออยู่เรื่อยด้วยเกรงจะไม่เรียบร้อย คนตัวสูงเห็นแล้วก็ยิ้มบาง จับมือเล็กไว้ในที่สุด
    “พอแล้ว หล่อแล้วล่ะ”
    “แต่ว่าตรงนี้มัน...”
    “ไม่เชื่อพี่หรือไง หืม?” คริสสัมผัสแก้มนุ่มแผ่วเบาแล้วคลี่ยิ้มบางหมายให้เด็กขี้กังวลคลายใจ อี้ชิงมองตอบแววตาแสนอ่อนโยนแล้วก็ถอนหายใจบางเบา สารภาพเสียงอ่อน
    “ผมก็แค่... รู้สึกประหม่า” ในงานคงต้องพบเจอผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งทางบ้านพี่คริสแล้วก็คุณหมอจอง หากเด็กกะโปโลอย่างเขาทำอะไรไม่เหมาะสมเข้า พี่คริสเองก็คงถูกมองไม่ดีไปด้วย ทว่าร่างสูงเหมือนจะล่วงรู้ความกังวลในใจเขา เมื่อมือที่ใหญ่กว่านั้นเกี่ยวนิ้วสอดประสานแล้วกุมมือเขาไว้แนบแน่น ก่อนจะดึงขึ้นให้รับจูบปลอบที่หลังมือ
    “ไม่ต้องกังวลนะ พี่อยู่ตรงนี้” ความอ่อนโยนของคนรักทำให้เด็กหนุ่มค่อยยิ้มออก กระชับมือที่จับกันไว้ให้ยิ่งแน่นแล้วเริ่มออกเดินไปด้วยกัน แต่ออกจากลานจอดรถมาถึงเพียงบริเวณหน้าโบสถ์ เท้าเล็กๆ ก็ต้องชะงัก
    “โอ๊ะ” ผู้คนแปลกหน้ามากมายยังไม่เท่าเสียงกดชัตเตอร์ที่ดังระรัวขึ้นพร้อมๆ กันจากกล้องหลายสิบตัว แม้จะไม่ใช่เป้าหมายของกองทัพกล้องเหล่านั้น แต่อี้ชิงก็ก้าวขาไม่ออกเอาเสียดื้อๆ จนคริสต้องหยุดเดินไปด้วย “ท.. ทำไม กล้องเยอะนักล่ะครับ?”
    “พวกนักข่าวน่ะ”
    “นักข่าว? มีนักข่าวมาในงานนี้ด้วยหรือครับ?” 
    “ที่บ้านพี่ทำธุรกิจ มีคู่ค้าในวงสังคมเยอะแยะ ครอบครัวคุณหมอจองเองก็เป็นตระกูลที่มีเกียรติ งานแต่งงานลูกชายคนเดียวแบบนี้ ไม่แปลกที่สื่อจะให้ความสนใจนะ” ไม่แปลกหรอก แต่อี้ชิงไม่เคยรู้ กล้องในงานแค่สองสามตัวยังพอว่า เขาไม่ได้เตรียมใจมาเผื่อว่าจะต้องถูกกล้องมากมายขนาดนี้รุมถ่ายรูป ไหนจะนักข่าวอีก ต่อให้ไม่มีใครรู้จักเขาก็เถอะ แต่ต้องมีคนรู้จักพี่คริสแน่ๆ
    “เรา... อ้อมไปเข้าทางอื่นได้มั้ยครับ?”
    “เป็นอะไรไป หืม? ประหม่าหรือ?”
    “คือ... คือผม...” มือเล็กที่คริสกอบกุมนั้นเริ่มเย็นและชื้นเหงื่อ ขาเล็กคอยแต่จะก้าวถอยหลังเสียให้ได้ อุตส่าห์ปลอบจนหายจากอาการตื่นคนแล้วก็กลับมากลัวกล้องเสียอีก ทว่าเด็กขี้กลัวนั้นช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาของคริส หนุ่มหล่อยิ้มบาง เลื่อนกายมายืนข้างหน้า บังสายตาคนตัวเล็กจากกลุ่มนักข่าวเหล่านั้น กระทั่งมีเพียงเงาของเขาที่สะท้อนในดวงแก้วคู่งาม
    “จำได้มั้ย พี่อยู่ตรงนี้ อี้ชิงไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น มองแค่หน้าพี่เอาไว้ก็พอ โอเคมั้ยครับ?” น้ำเสียงนุ่มนวลและรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นนั้นปลุกปลอบกระทั่งคนตัวเล็กคลายความกังวล  ค่อยคลี่ยิ้มให้คริสชื่นใจ ร่างสูงจึงกระชับมือที่กุมกันไว้ให้ยิ่งแน่น ก่อนจะออกเดินไปด้วยกันอีกครั้ง
    เสียงรัวชัตเตอร์ยังคงดังอย่างต่อเนื่องและดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออี้ชิงเดินมาถึงทางเข้าโบสถ์ ได้ยินเสียงใครหลายๆ คนที่พยายามจะถามคำถาม แต่พี่คริสไม่ได้ตอบ แววตาอ่อนโยนคู่นั้นยังคงมองสบกับดวงตาของเขาเมื่ออี้ชิงเงยหน้าขึ้นหา มือเล็กเผลอเกาะกับท่อนแขนของคนรักในตอนไหนก็ไม่รู้ เขาเพียงต้องการที่พึ่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจ และรอยยิ้มบางกับแรงกระชับที่มือก็ทำให้อาการเกร็งที่เคยมีก่อนหน้านั้นจางหาย อี้ชิงลืมความวุ่นวายรอบตัวไปสิ้น เขายิ้มตอบดวงตาคู่คมที่มองมา พี่คริสพูดถูก แค่ได้เห็นว่าพี่คริสยังอยู่ตรงหน้าแบบนี้ อี้ชิงก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว 


    แขกที่มาเป็นเกียรติในงานส่วนใหญ่ยังคงยืนทักทายเจ้าภาพและญาติๆ ของทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวอยู่บริเวณหน้าโบสถ์ จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาทำพิธีถึงได้ทยอยกันเข้าไปด้านใน แม้จะไม่คุ้นหน้ากับคนในงานเลย แต่อี้ชิงก็ยังสอดส่ายสายตาไปเรื่อยจนแน่ใจว่าไม่เห็นคนที่มองหา จึงได้ถามเอากับคนรัก
    “ทำไมไม่เห็นคุณแม่พี่คริสเลยล่ะครับ?”
    “ท่านไม่ได้มาหรอก คุณปู่กับคุณย่าก็ด้วย พวกท่านร่วมพิธีเช้าแล้วก็เลยขอตัว ยิ่งคุณปู่กับคุณย่าท่าน ตั้งแต่วางมือจากธุรกิจก็ไม่ชอบออกงานสังคม งานเลี้ยงฉลองคืนนี้ก็คงไม่ไป” อี้ชิงพยักหน้าช้าๆ แม้จะไม่สมควรนักแต่เขาก็แอบพรูลมหายใจ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าคุณแม่พี่คริสอยู่ที่นี่ด้วย เขาคงยิ่งเกร็งจนทำตัวไม่ถูกเป็นแน่
    “นั่นคุณหมอจอง คุณพ่อของคุณหมอยุนโฮ พี่จะพาไปแนะนำนะ” อี้ชิงมองตามที่คนรักชี้ไปจนพบกับชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานท่านหนึ่ง แต่งกายในชุดสูทหูกระต่ายอย่างเป็นทางการ เส้นผมสีขาวที่ขึ้นแซมบนทรงผมที่ถูกจัดแต่งมาเป็นอย่างดีนั้นบ่งบอกประสบการณ์ชีวิตได้เป็นอย่างดี ข้างกันนั้นเป็นคุณผู้หญิงซึ่งอยู่ในชุดเดรสสีชมพูเรียบหรู รอยยิ้มใจดีของเธอนั้นมีให้ตั้งตอนที่เห็นว่าพวกเขาเดินตรงไปหา อี้ชิงคิดเอาเองว่าคงจะเป็นภรรยาของคุณหมอ แล้วก็เป็นจริงตามนั้นเมื่อพี่คริสค้อมศีรษะทักทายคนทั้งสองอย่างคุ้นเคย กล่าวแสดงความยินดีแล้วจึงหันมาแนะนำเขากับทั้งคู่ อี้ชิงค้อมศีรษะให้เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองหันมาทักทาย
    “สวัสดีครับคุณหมอ คุณผู้หญิง”
    “เรียกคุณป้าก็ได้จ้ะ”
    “ครับ คุณป้า”
    “แหมคุณ แบบนี้ก็ต้องเรียกผมว่าคุณลุงด้วยน่ะสิ ผมยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย”
    “อีกหน่อยพอหนูอี้เฟยมียุนโฮตัวน้อยๆ ให้ คุณก็กลายเป็นคุณปู่แล้วนะคะ ยังจะว่าไม่แก่อีก” คุณหมอใหญ่แสร้งทำสีหน้าขัดเคืองใจภรรยา แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาด้วยกันทั้งคู่ ความอารมณ์ดีของผู้ใหญ่ทั้งสองทำให้อี้ชิงสบายใจจนเผลอหัวเราะตามไปด้วย กระทั่งสายตาของผู้สูงวัยนั้นหันมาทางเขาและมองอย่างพิจารณาพลางพยักหน้าช้าๆ
    “หนุ่มน้อยคนนี้สินะที่ยุนโฮเคยเล่าให้ฟัง แล้วนี่คุณชายพาไปให้คุณปู่คุณย่าดูตัวหรือยัง?”
    “ยังไม่มีโอกาสเลยครับ”
    “ไม่มีโอกาสหรือไม่กล้ากันแน่ ระวังเถอะนะคุณชาย คุณย่าท่านจะงอนเอา” คริสหัวเราะเบาๆ พลางค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมเมื่อคุณหมอใหญ่ตบไหล่เขาอย่างเอ็นดู ความสนิทสนมนั้นเป็นเพราะคริสได้เห็นคุณหมอเข้าออกคฤหาสน์ตระกูลอู๋มาตั้งแต่เด็กๆ นับถือและให้เกียรติราวกับญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แต่หลังจากวันนี้ก็จะกลายมาเป็นญาติกันจริงๆ แล้ว
    “คุณคะ ใกล้จะได้เวลาตามฤกษ์แล้วนะ” คุณหมอจองมองนาฬิกาที่ข้อมือเมื่อมือบางของภรรยาแตะลงที่แขน แล้วจึงหันไปพยักหน้ากับคู่ชีวิต ก่อนจะบอกกับเด็กหนุ่มทั้งสอง
    “ตามสบายกันเลยนะ ฉันขอตัวไปดูยุนโฮก่อน ต้องเอาแหวนไปให้ด้วย รายนั้นน่ะเค้าตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เก่งแต่เรื่องรักษาคนไข้จริงๆ ไม่ไหวเลยลูกคนนี้” รู้ว่าคุณหมอใหญ่แสร้งค่อนขอดบุตรชายด้วยความรัก คริสก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะค้อมศีรษะส่งผู้ใหญ่ทั้งคู่
    “ขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
    “ตามสบายเลยครับ” ยืนรออยู่ครู่หนึ่งจนคนทั้งสองห่างออกไปแล้ว คริสจึงแตะข้อศอกเล็กพาคนรักให้เดินลอดประตูซุ้มดอกไม้เข้าไปในตัวโบสถ์ ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีนับจากนี้ พิธีสำคัญก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
    อี้ชิงค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศภายในโบสถ์ซึ่งแม้จะตกแต่งด้วยช่อดอกไม้นานาพันธุ์และผืนผ้าสีขาวสลับชมพูอย่างสวยงามและอ่อนหวาน แต่ทว่ายังคงความเงียบสงบและศักดิ์สิทธิ์สมกับที่เป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุดในกรุงโซล ที่นั่งบนม้านั่งยาวในแต่ละแถวนั้นถูกจับจองจนเกือบจะครบแล้ว เหลือเพียงแถวหน้าสุดที่จัดไว้ให้สำหรับญาติๆ และคนสนิทของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่ยังพอว่างอยู่ คริสจึงพาอี้ชิงไปที่นั่น
    “ที่คุณหมอบอกว่าคุณย่าจะงอน เพราะพี่คริสไม่ยอมกลับบ้านใช่มั้ยครับ?” พอได้ที่นั่งแล้วอี้ชิงก็หันมาถาม คริสมองแววตาใสซื่อของคนที่รักแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ อี้ชิงคงฝังใจตั้งแต่ตอนนั้นที่คุณแม่บ่น แต่หลังจากวันนั้นเขาก็ยังหาเรื่องผัดผ่อนไม่ยอมกลับบ้านอยู่ดี ถ้าบอกไปตามจริง อี้ชิงจะต้องไม่สบายใจแน่ๆ
    “ก็ใช่น่ะสิ ถ้ารู้ว่าพี่ติดแฟนจนลืมที่บ้านแบบนี้ ท่านยิ่งต้องโกรธแน่ๆ” แต่คริสก็ยังแสร้งตีสีหน้าจริงจังราวกับเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าเมื่อลอบปรายตามองเห็นแววกังวลในดวงตาคู่งามก็ทนใจแข็งไม่ไหว ก่อนที่เด็กคิดมากของเขาจะโทษตัวเองไปถึงไหน คริสก็วาดแขนโอบไหล่เล็กดึงร่างบางเข้ามาหา แล้วเฉลยบอกชิดใบหูนิ่ม
    “พี่ล้อเล่นหรอกน่า” 
    “ฮื่อ พี่คริสอ่ะ”
    “คุณย่าท่านไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้น ถ้าท่านได้รู้จักอี้ชิง ท่านต้องเอ็นดูเราเหมือน
    ที่พี่ทั้งรักทั้งหลงแน่ๆ” แววตำหนิในดวงตานั้นอ่อนลงด้วยถ้อยคำหวานหูก็จริง แต่หลอกให้ใจเสียแล้วก็มาหวานใส่กันแบบนี้ อี้ชิงไม่อยากจะใจอ่อนง่ายๆ ให้คนปากหวานได้ใจเลยจริงๆ หารู้ไม่ว่าแก้มนิ่มที่ป่องออกน้อยๆ นั้นแดงไปถึงไหน กลืนริมฝีปากกลั้นยิ้มเขินเท่าไหร่ก็ยิ่งกลายเป็นอวดลักยิ้มบุ๋ม สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมานั้นน่าชังนัก แต่ที่อี้ชิงทำได้ก็แค่เลี่ยงหลบ ดันตัวเองออกจากอกคนฉวยโอกาสด้วยท่าทางงอนๆ คนออกตั้งเยอะยังจะกล้าทำรุ่มราม น่าไม่อายจริงๆ เชียว

    เมื่อท่านบาทหลวงในเครื่องแต่งกายอันทรงเกียรติก้าวมายืนอยู่หน้าแท่นทำพิธี เสียงพูดคุยในโบสถ์ก็เบาลงจนกลายเป็นสงบเงียบในที่สุด เช่นเดียวกับเมื่อยามที่ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มที่แสนจะหล่อเหลาในชุดสูทหูกระต่ายสีดำได้ก้าวมายืนตรงหน้าท่าน ท่าทีสำรวมทว่างามสง่าของคุณหมอหนุ่มนั้นต่างจากที่ผู้เป็นบิดาค่อนขอดไว้นัก รอยยิ้มแห่งความยินดีที่แต่งแต้มบนใบหน้าหล่อแม้เพียงแต่น้อยแต่ก็ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวกลายเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดในวันนี้ไปเลยทีเดียว และเมื่อมือเปียโนเริ่มบรรเลงเพลง Wedding March แขกในงานต่างลุกขึ้นยืนและหันไปทางประตูทางเข้าด้วยรู้ว่าได้เวลาที่หญิงสาวที่สวยที่สุดในวันนี้จะปรากฏตัว 
    ขบวนเจ้าสาวนำมาด้วยบรรดาเด็กหญิงและชายตัวเล็กๆ ที่พากันเดินจูงมือจากประตูโบสถ์เข้ามากันเป็นคู่ๆ แล้วตั้งแถวเรียงกัน ยาวไปตลอดสองข้างทางเดิน ก่อนจะเริ่มโปรยกลีบดอกไม้สีหวานในตะกร้าซึ่งถืออยู่ในมือ เสียงปรบมือของแขกในงานดังขึ้นเมื่อร่างของหญิงสาวในชุดแต่งงานสีขาวฟูฟ่องปรากฏขึ้นที่ประตูทางเข้าพร้อมกับชายสูงวัยอีกคน ภาพนั้นช่างงดงามราวกับการปรากฏตัวของนางฟ้าก็ไม่ปาน ใบหน้างดงามหมดจดแม้ถูกปกคลุมด้วยผ้าผืนบางก็ยังมองเห็นรอยยิ้มแห่งความยินดีไม่ต่างจากชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนรออยู่ ณ แท่นทำพิธี หญิงสาววางมือลงบนท่อนแขนของผู้เป็นบิดา ควงคู่กันเดินมาบนทางที่โรยด้วยกลีบดอกไม้อย่างช้าๆ กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก ทั้งสองสบตากันขณะที่ชายสูงวัยผู้เป็นบิดาส่งมือของเธอให้กับเจ้าบ่าวซึ่งหมายถึงความยินดีที่จะฝากความสุขในชีวิตที่เหลือของบุตรสาวให้อีกฝ่ายดูแล และจองยุนโฮก็รับมือที่ทั้งเล็กและบอบบางนั้นมากอบกุมพลางพยักหน้าน้อยๆ แทนคำสัญญาว่าเขาจะดูแลและทะนุถนอมดวงใจของผู้เป็นพ่อตาไว้อย่างดี
    “นั่นคุณอารอง น้องชายคนรองของคุณพ่อพี่ คุณพ่อของพี่อี้เฟย ส่วนคุณอาสะใภ้อยู่ตรงนั้น” อี้ชิงมองไปตามที่คนรักชี้จนพบกับคุณผู้หญิงที่ถึงแม้จะสูงวัยทว่ายังคงงดงามไม่ต่างจากบุตรสาว เธอยิ้มกว้างด้วยความยินดีแม้จะมีน้ำใสเอ่อคลอในดวงตา อี้ชิงพยักหน้าช้าๆ หลังจากนั้นพี่คริสก็ไม่ได้แนะนำใครให้เขารู้จักอีกเลย คนในบ้านคนอื่นๆ คงจะมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้กระมัง

    การกล่าวคำปฏิญาณอันแสนหวานและซาบซึ้งต่อหน้าไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ของคู่บ่าวสาวนั้นดำเนินไปท่ามกลางความปลื้มปิติและอิ่มเอมใจกับความรักของคนทั้งคู่ในสายตาของผู้ที่ได้เฝ้ามอง แม้แต่อี้ชิงเองซึ่งเพิ่งได้พบเจอกับพี่สาวของคนรักเป็นครั้งแรก ก็ยังอดจะยินดีด้วยไม่ได้จนต้องคลี่ยิ้มอยู่ตลอด
    “โรแมนติกจังนะครับ” หันมาบอกกับคนรัก ซึ่งมีหรือที่คนเจ้าชู้จะปล่อยให้โอกาสงามๆ ในบรรยากาศหวานๆ แบบนี้ผ่านไปได้โดยไม่หยอดคำหวาน
    “เห็นแบบนี้แล้ว นึกอยากแต่งงานขึ้นมาบ้างหรือยัง พี่ก็นับถือคริสต์นะ” คำตอบก็คือวงค้อนของคนตัวเล็กกว่า เสหลบสายตาแต่ว่าแก้มแดงๆ น่ะฟ้องว่าเด็กขี้อายนั้นคิดไปถึงไหน คริสนึกเสียดายในใจเหลือเกินว่าที่นี่ไม่ใช่ที่บ้าน ไม่เช่นนั้นเขาคงจับฟัดให้หายมันเขี้ยวไปแล้ว

    เสร็จพิธีแต่งงานตามหลักศาสนาแล้ว คู่บ่าวสาวก็เดินควงแขนกันออกมาที่หน้าโบสถ์ ที่ซึ่งมีบรรดาสาวๆ ที่ทั้งโสดและไม่โสดมายืนรออยู่เต็มไปหมด เพื่อมารอรับช่อดอกไม้แห่งความหวังว่าจะได้เป็นหญิงสาวที่มีความสุขในชีวิตคู่คนต่อไป คริสและอี้ชิงเองก็ตามออกมายืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยเหมือนกัน ดูเหมือนแม้แต่การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาวก็ยังเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักข่าว เพราะเสียงรัวชัตเตอร์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
    กระทั่งทุกพิธีการเสร็จสิ้นลง แขกคนอื่นๆ และกองทัพนักข่าวเริ่มทยอยกันกลับ เหลือเพียงคู่บ่าวสาวกับญาติสนิทและเพื่อนๆ ที่ยังคงอ้อยอิ่งกันอยู่ที่หน้าโบสถ์ ฝ่ายเจ้าสาวนั้นหันมาเห็นเขาทั้งสองจึงได้กวักมือเรียกให้เข้ามาหา
    “ยืนเสียห่างเชียว ทำไมไม่เข้ามาล่ะ ดูซิ สาวๆ ชะเง้อคอมองกันใหญ่แล้ว” เพราะความหล่อของเด็กหนุ่มตัวสูงนั้นหาได้ปราณีใคร สาวน้อยสาวใหญ่ซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นจึงได้คอยแอบมองและพากันหัวเราะคิกคักอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งเมื่อหนุ่มหล่อโปรยยิ้มให้ บางคนก็ถึงกับหน้าแดงไปเลยด้วยซ้ำ คริสชินเสียแล้วกับการที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้ จึงสามารถวางตัวสบายๆ ได้โดยไม่รู้สึกขัดเขิน เขาหาได้ตอบคำถามพี่สาวไม่ เพียงแค่ยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้ชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้าง 
    “ยินดีด้วยนะเจี่ยเจี๋ย ยินดีด้วยครับคุณหมอจอง” 
    “ขอบใจจ้ะ” เจ้าสาวยิ้มกว้างในขณะที่เจ้าบ่าวเพียงพยักหน้ารับอย่างสุภาพ ขณะนั้นเองที่สาวๆ บางคนพยายามสะกิดให้อี้เฟยแนะนำพวกเธอให้กับน้องชาย แต่หญิงสาวกลับหันไปทักทายหนุ่มน้อยร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ คริสเสียแทน “เอ... แล้วนี่ใครเอ่ย?”
    ยิ้มหวานจากสาวสวยทำให้เด็กหนุ่มที่หลงมองถึงกับหน้าแดง อี้ชิงต้องประหม่ายิ่งกว่านั้นเมื่อคนตัวสูงคว้ามือเขาไปกุมไว้ 
    “ชื่อจางอี้ชิงครับ แฟนผมเอง อี้ชิง นี่พี่อี้เฟย เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่” ได้ยินเสียงครางฮืออย่างสุดแสนเสียดายจากสาวๆ แถวนั้นแล้วอี้ชิงก็แทบจะดึงมือคืน แต่การให้ความเคารพคนตรงหน้าซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวและพี่เขยของคนรักก็สำคัญ เขาจึงค้อมศีรษะให้คนทั้งสอง เอ่ยทักทายอย่างอึกอัก
    “ส.. สวัสดีครับพี่อี้เฟย”
    “สวัสดีจ้ะอี้ชิง น่ารักกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย มิน่าล่ะ พ่อเพลย์บอยเค้าถึงไปไหนไม่รอด ดูสิ ทำสาวๆ แถวนี้อกหักกันเป็นแถบ” ถูกชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ถึงจะน่าอายแค่ไหนแต่อี้ชิงก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น ขืนจะดึงมือคืนแต่กลับถูกมือที่ใหญ่กว่ากระชับไว้ให้ยิ่งแน่น ซ้ำยังแกล้งออกแรงดึงจนเขาเสียหลักเซเข้าหาจนชิดเสียอีก อี้ชิงทำได้แค่มองค้อนคนเจ้าเล่ห์อย่างคาดโทษ ก่อนจะหันไปทำความเคารพชายหนุ่มอีกคนในที่นั้น
    “สวัสดีครับคุณหมอจอง”
    “ไม่ต้องมากพิธีก็ได้ อีกหน่อยเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ เรียกให้กันเองเถอะ”
    “นั่นสิ อีกหน่อยอี้ชิงก็ต้องเป็นคนในครอบครัวเราเหมือนกัน จริงมั้ยครับพี่หมอ?” เห็นว่าพี่เขยเอ็นดูแฟนเข้าหน่อย ใครบางคนก็ชิงตีเนียนพูดจาสนิทสนมไปก่อนแล้ว นั่นยังไม่เท่าที่อาจหาญหยอดคำหวานต่อหน้าคนเยอะแยะ เสียงครางฮือจากพี่สาวพวกนั้น ต้องเป็นเพราะความหมั่นไส้แน่ๆ 
    “ครับ ...พี่หมอยุนโฮ”
    “น่าเสียดายคุณปู่กับคุณย่าไม่ชอบงานสังสรรค์ ท่านเลยไม่ได้เจอจางอี้ชิงผู้น่ารัก”
    “ผมว่าจะหาโอกาสพาไปคารวะพวกท่านอยู่”
    “อย่าลืมพาแฟนมางานเลี้ยงคืนนี้ด้วยล่ะ”
    “แน่นอนอยู่แล้วครับ” สองพี่น้องก็คุยกันไป เจ้าบ่าวหมาดๆ ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย มีเพียงอี้ชิงที่ยืนยิ้มค้างตัวแข็งทื่อ มือข้างหนึ่งยังถูกกุมไว้มั่น กับสายตาของพี่สาวแปลกหน้าเหล่านั้นที่ยังคงมองมาแล้วพากันซุบซิบ พี่คริสไม่รู้สึกอึดอัดบ้างเลยหรือไงนะ อี้ชิงอายจนจะแทรกแผ่นดินหนีได้อยู่แล้ว

    กลับมาถึงรถได้อี้ชิงก็ถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่ ในขณะที่คริสซึ่งเอาแต่หัวเราะมาตลอดทางเหมือนชอบใจนักหนาที่ถูกน้องง้องแง้งใส่ ตอนนี้ก็ยังยืนพิงสะโพกกับตัวรถยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่เลย อี้ชิงซึ่งฟุบหน้าไปกับประตูรถครู่หนึ่งเพื่อเรียกคืนสติ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ทำแก้มป่องใส่คนรัก แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ทั้งคู่ยังไม่ยอมขึ้นรถ ลมเย็นๆ และบรรยากาศเงียบสงบในอาณาบริเวณของโบสถ์นั้นทำให้ทั้งคู่อารมณ์ดีจนอยากจะยืนคุยกันอยู่ในลานจอดรถซักพัก และอี้ชิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้วด้วย
    “พี่อี้เฟยสวยจังนะครับ คุณหมอ.. เอ้ย พี่หมอยุนโฮก็ล้อหล่อ” คริสปรายตามองคนตัวเล็กที่วางคางลงบนแขนซึ่งวางซ้อนกันไว้เหนือประตูรถอย่างสบายๆ แล้วเลิกคิ้ว เห็นคนรักกำลังยิ้มหวานเมื่อนึกถึงชายอื่นนี่มันน่าน้อยใจมั้ย หนุ่มหล่อแสร้งตีหน้าเซ็ง เลื่อนมือขึ้นปัดอกเสื้อสูทสีดำสองสามครั้ง
    “เฮ้อ สงสัยต้องเปลี่ยนห้องเสื้อใหม่แล้วมั้ง ชุดนี้เป็นยังไงนะ ใส่แล้วไม่เห็นมีใครชมว่าหล่อ”
    “ฮื่อ พี่คริสก็หล่ออยู่แล้วไง” 
    “ฟังดูธรรมดาจัง”
    “งั้น... วันนี้พี่คริสดูหล่อเป็นพิเศษก็ได้” คนช่างเอาใจเอียงหน้าแนบแก้มแดงๆ ลงกับท่อนแขนแล้วบอกพร้อมรอยยิ้มหวาน กิริยาแบบนั้นมันน่ารักมาก และน้องไม่ควรมาทำน่ารักใส่คริสในเวลาแบบนี้ หนุ่มหล่อเลื่อนมือขึ้นสัมผัสแก้มนุ่มแผ่วเบา

    “...อี้ชิงก็น่ารักเป็นพิเศษเหมือนกัน” 

    เพราะความหวานและบรรยากาศอันซาบซึ้งในพิธีแต่งงานนั้นยังอุ่นอวลอยู่ในความรู้สึก ความคิดของคริสในตอนนี้มีเพียงภาพของเขากับอี้ชิงยืนเคียงข้างกันหน้าแท่นทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นั้น กล่าวคำมั่นสัญญาว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุข และอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิต มีเพียงอี้ชิงเท่านั้นที่ทำให้คริสนึกถึงคำว่าคู่ชีวิตที่เขาไม่เคยคิดจะมี อี้ชิงเป็นคนแรก และจะเป็นเดียวที่คริสมอบความรักที่มากมายจนสุดหัวใจให้แบบนี้ 
    รอยยิ้มหวานค่อยจางลงเมื่อดวงหน้าหล่อเคลื่อนเข้าหา อี้ชิงยืดหลังขึ้นตรงก่อนจะค่อยๆ พลิกกายเมื่อร่างสูงเลื่อนกายมายืนอยู่เบื้องหน้าแล้ววางแขนกางกั้น แววตาลึกซึ้งที่มองมานั้น อี้ชิงรู้ดีว่าคนรักต้องการอะไร เขาเอนใบหน้าน้อยๆ เมื่อปลายจมูกโด่งสัมผัสผิวแก้ม ก่อนที่ความรู้สึกอันคุ้นเคยจะประทับลงพร้อมเสียงสูดลมหายใจเบาๆ มือเล็กไต่ขึ้นวางทาบบนแผ่นอกกว้าง กระนั้นก็ยังเขินอายเกินกว่าจะมองสบดวงตาคมหวานได้ หัวใจดวงน้อยยิ่งเต้นแรงเมื่อริมฝีปากอุ่นค่อยลากไล้จากปรางค์แก้มมาแต้มจูบเบาๆ ที่มุมปาก ความรู้สึกบางอย่างกดดันให้เด็กหนุ่มต้องหลับตาแน่น เพียงแค่ความอ่อนนุ่มประทับลงที่กลีบปากล่าง มือเล็กก็ออกแรงผลักร่างที่หนากว่าให้ออกห่างโดยไม่รู้ตัว
    “ย.. ยะ...!”
    “อี้ชิง...?”
    “ผม... ผม...” ตกใจที่พบว่าตัวเองทำลงไปแบบนั้น อี้ชิงหอบหายใจหนัก มองสบดวงตาคู่คมตรงหน้าแล้วเม้มริมฝีปากด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เขาไม่อาจแก้ตัวอะไรได้ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำขอโทษออกไป “เรา... กลับบ้านกันเถอะครับ”
    ระร่ำระลักบอกทั้งที่เสียงสั่น ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเบี่ยงกายผลุบหายเข้าไปนั่งบนเบาะ อี้ชิงพยายามควบคุมร่างกายให้หยุดสั่น กระนั้นสองมือเล็กที่เย็นเฉียบก็ยังบีบกันเองจนแน่นอยู่บนตัก หัวใจที่สั่นระรัวนั้นไม่ใช่เพียงเพราะความเขินอาย อี้ชิงรู้ดีว่าไม่ใช่ เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ ยิ่งเห็นสีหน้าพี่คริสเมื่อครู่ ความกังวลในใจก็ยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนนึกอยากจะร้องไห้ แต่เขาไม่อยากให้คนรักรู้สึกไม่ดีจึงได้แต่นิ่งเงียบ

    ทว่าอี้ชิงหารู้ไม่ ว่าดวงตาคมเข้มที่หรี่ลงด้วยแววกังขานั้นยังคงมองดูเขาอยู่ตลอดโดยไม่ละไปไหน ใบหน้าหวานที่ซีดเผือดและท่าทีปฏิเสธอย่างตื่นตระหนกนั้น หากร่างสูงเข้าใจว่าเป็นไปเพราะความเขินอายเช่นทุกครั้งก็คงดี

    แต่หากว่าไม่ใช่ล่ะ?

    หากว่าอีกฝ่ายเข้าใจเป็นอื่น อี้ชิงควรจะทำเช่นไรดี?

    .

    .

    .

    ความจริงก็คือ เรื่องบางเรื่อง ยิ่งเราอยากปิดบังมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งถูกจับได้ง่ายขึ้นเท่านั้น จางอี้ชิงเพิ่งเห็นด้วยกับสิ่งที่ลีจองชินเพื่อนสนิทเคยว่าไว้ก็วันนี้
    หลังจากที่ทั้งคู่กับกลับมาถึงคอนโดฯแล้ว ยังพอมีเวลาเหลืออีกสองสามชั่วโมงก่อนจะต้องเตรียมตัวเพื่อไปงานเลี้ยงในตอนหัวค่ำ อี้ชิงก็เลยจัดขนมทานเล่นและน้ำหวานเข้าไปให้คนที่ฆ่าเวลาด้วยการดูซีรี่ส์สืบสวนเรื่องโปรดอยู่ในห้องนั่งเล่น แล้วก็พักผ่อนกันอยู่ในนั้นจนกระทั่งคนเป็นน้องเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวเอาก็ตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่ออยู่ข้างหู 
    เพียงปรือเปลือกตาขึ้นด้วยความงัวเงียแล้วพบว่าดวงหน้าของใครคนหนึ่งอยู่ใกล้เสียจนไม่อาจมองเห็นกันได้ชัด ภาพที่ซ้อนทับก็ทำให้อี้ชิงผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจในทันที
    “อย่านะจง... อุ๊บ!”
    “อี้ชิง ตกใจหรือ?” ยังดีที่ได้สติเร็วพอที่จะปิดปากกั้นเสียงตัวเองไว้ได้ทัน จางอี้ชิงกรอกตามองไปรอบๆ ตัวด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะบอกกับตัวเองว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย คิมจงอินไม่มีทางอยู่ที่นี่ เขาหลับตาลงแล้วพรูลมหายใจเพื่อตั้งสติก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ปลุกนั้น อี้ชิงจึงพบว่าตัวเองเพิ่งลุกขึ้นจากตักที่ปล่อยให้เขานอนหนุนจนหลับสบาย จำได้ว่าก่อนหน้านี้เขานั่งอ่านหนังสืออยู่อีกด้านของโซฟา มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกันนะ “พี่เสียงดังไปใช่มั้ย? ขอโทษนะ”
    “ม.. ไม่หรอกครับ ผมแค่แปลกใจว่ามานอนหนุนตักพี่คริสได้ยังไง”
    “พี่เห็นเราหลับคอพับอยู่กับพนักโซฟา กลัวจะเมื่อยก็เลยจับให้มานอนตรงนี้” พี่คริสต่างหากที่ควรเมื่อย ทนนั่งนิ่งๆ แบบนี้อยู่นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้  
    “ขอบคุณนะครับ” อี้ชิงว่าเสียงอ่อนพลางก้มหน้าน้อยๆ เขาไม่กล้าสบตาพี่คริส ทั้งที่คนรักห่วงใยเขาขนาดนี้ แต่อี้ชิงกลับทำท่าตกใจออกไป รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ
    “มาหาพี่เถอะ” กระทั่งน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นเรียกหาราวกับล่วงรู้ความกังวลในใจเขา อี้ชิงมองมือใหญ่ที่ยื่นออกมาหาแล้วค่อยโผกายเข้าซบกับอกกว้าง ให้คนตัวโตกว่ากอดเอาไว้แล้วลูบหลังปลอบ เสียงทุ้มที่อี้ชิงได้ยินนั้นยังดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาชอบฟังเสียงหัวใจของพี่คริส เพราะรู้ว่าหัวใจของเขาเองก็เต้นในจังหวะเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่ หัวใจดวงน้อยนี้กำลังสั่นระรัวด้วยความรู้สึกที่หลายหลาก และเขาไม่อาจบอกให้คนรักรู้ได้ “เป็นอะไรหรือเปล่า พักนี้เราดูตกใจง่ายนะ เมื่อครู่นี้ก็ละเมอพึมพัมเหมือนฝันร้าย”
    “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผม... แค่เพลียๆ อ่านหนังสือหนักไปหน่อย แล้ววันนี้ก็เพิ่งไปสอบมา”
    “อยากพักหรือเปล่า คืนนี้เราไม่ต้องไปที่งานเลี้ยงกันก็ได้ เดี๋ยวพี่โทรไปบอกพี่อี้เฟยเอง”
    “ไม่เป็นไรครับ ผมไปไหว ได้งีบแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” เงยหน้าขึ้นเพื่อส่งยิ้มให้คนรักได้คลายใจ กระทั่งอีกฝ่ายนั้นยิ้มตอบ ตาคู่หวานหลับพริ้มยามเมื่อริมฝีปากอุ่นแต้มจูบเหนือเนินหน้าผากอย่างแสนรัก อี้ชิงรับรู้ถึงความห่วงใยมากมายที่ถูกถ่ายทอดผ่านจูบนั้น
    “แต่พี่เป็นห่วง ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่ รู้สึกไม่สบายตรงไหนต้องบอกทันทีเลยนะ เข้าใจหรือเปล่า?”
    “ครับ” คนเป็นน้องพยักหน้าแล้วเคลียแก้มนุ่มกับอกกว้างด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในอก ความอบอุ่นและอ่อนโยนที่คนตัวโตมีให้นั้นมากมายเสียจนหัวใจดวงน้อยค่อยหายสั่น ความกังวลในใจถูกปัดเป่าไปจนหมดสิ้น ทว่าอาการหวาดผวานั้นยังคงมี เมื่อใดก็ตามที่นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ความกดดันจะทำให้อี้ชิงผลักไสอ้อมกอดนี้ออกไปโดยไม่รู้ตัว ...กลัวเหลือเกินว่าพี่คริสจะเสียใจและไม่อยากเข้าใกล้เขาในซักวัน อี้ชิงได้แต่สั่งตัวเองว่าอย่าทำแบบนั้นอีก เขาต้องไม่กลัว ขอแค่มีอ้อมแขนที่อบอุ่นคอยโอบกอด และเสียงทุ้มที่คอยกระซิบปลอบอยู่ข้างหูแบบนี้ ความอ่อนโยนที่เคยทำให้อี้ชิงหายหวาดกลัวมาแล้วครั้งหนึ่ง อีกไม่นานอี้ชิงจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่ๆ



    งานเลี้ยงฉลองการแต่งงานของทายาทสาวตระกูลนักธุรกิจใหญ่กับคุณหมอหนุ่มรูปงามนั้นจัดขึ้นในโรงแรมหรูใจกลางกรุงโซล ซึ่งการ์ดเชิญนั้นถูกแจกจ่ายไปยังคู่ค้าทางธุรกิจทั้งรายใหญ่รายย่อย อีกทั้งคนในวงการแพทย์และคนที่รู้จักคุณหมอจองทั้งพ่อลูกอีกมากมาย ดังนั้นแขกที่มาร่วมงานจึงมากกว่าในพิธีแต่งงานที่โบสถ์เมื่อตอนบ่ายมากนัก แน่นอนว่ากองทัพนักข่าวก็เช่นกัน แต่คราวนี้อี้ชิงไม่รู้สึกประหม่าเหมือนเมื่อตอนกลางวัน เพราะพี่คริสพาเขาเข้างานโดยใช้ประตูด้านข้างของห้องจัดเลี้ยง ที่ซึ่งไม่มีทั้งคนของเจ้าภาพและตากล้องสำนักใดมารอต้อนรับให้ต้องรู้สึกอึดอัด เสียก็แต่ไม่ได้ทักทายและถ่ายภาพร่วมกับคู่บ่าวสาวซึ่งยืนต้อนรับแขกอยู่ด้านหน้าเท่านั้น
    ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงแอบหยิบมือถือขึ้นมาเก็บภาพคู่รักที่ยืนเคียงคู่กันอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้หน้าทางเข้างานอย่างชื่นชมอยู่ห่างๆ คุณหมอยุนโฮในชุดสูทสีขาวนั้นหล่อมาก พี่อี้เฟยในชุดกระโปรงสีขาวฟูฟ่องก็สวยมากเช่นกัน งดงามราวกับเจ้าชายและเจ้าหญิงในเทพนิยายเลย ธีมของงานเลี้ยงก็ตกแต่งไว้อย่างสวยงามและหรูหรา มีวงออเคสตร้าเล็กๆ อยู่บนเวที คอยบรรเลงเพลงคลาสสิคฟังสบายและนุ่มหู เพียงแค่เดินผ่านประตูเข้ามา อี้ชิงก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ ในปราสาทแห่งหนึ่ง ผู้คนมากมายแต่งกายด้วยชุดสวยงามที่เดินผ่านล้วนแล้วแต่แปลกหน้า แม้จะรู้สึกเคอะเขินและประหม่าจนไม่รู้ว่าควรวางสายตาไว้ตรงไหน ทว่าเมื่อหันมองที่ข้างกายก็จะพบรอยยิ้มอบอุ่นที่แย้มคอยอยู่เสมอ มือไม้ที่ว่างเปล่าก็ถูกจับให้ถือแก้วน้ำหวานไว้พอเป็นพิธี พี่คริสไม่อนุญาตให้เขาถือแก้วไวน์เพราะเกรงว่าจะเผลอยกดื่มเข้าไป อี้ชิงก็เห็นด้วยตามนั้นอย่างไม่มีอิดออด
    แม้จะพยายาทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นนัก แต่มันไม่ง่ายเลยสำหรับหนุ่มหล่อรูปร่างสูงใหญ่และมีสเน่ห์ดึงดูดคนอื่นๆ เสมออย่างพี่คริส อี้ชิงเห็นว่ามีหลายคนมองมา แต่คนรักไม่ได้เดินเข้าไปหาหรือทักทาย เพียงแค่ค้อมศีรษะให้ตามมารยาทเท่านั้น กับสาวๆ ก็มีแถมยิ้มให้บ้างนิดหน่อย อี้ชิงไม่ได้ติดใจอะไรตรงนั้น เขารู้สึกโล่งใจเสียมากกว่าที่ไม่ต้องพูดจากับคนแปลกหน้า รู้สึกชื่นชมคนรักเหลือเกินที่วางตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติท่ามกลางสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ คงเป็นเพราะพี่คริสต้องไปออกงานเลี้ยงต่างๆ ตามคำสั่งของคุณป้าบ่อยแล้วกระมัง
    “จริงสิ คุณแม่พี่คริสก็มาร่วมงานด้วยใช่มั้ยครับ?” คริสพยักหน้าเมื่อคนรักถาม ตาคู่คมกวาดมองไปรอบๆ ห้องจัดเลี้ยงอย่างผ่านๆ ไม่ใช่เพื่อจะมองหา ทว่าอยากให้แน่ใจ
    “คุณพ่อพี่ก็ด้วย ท่านเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อวาน”
    “หรือครับ? ดีจัง พี่คริสจะได้เจอพวกท่านพร้อมหน้าเลย” น้องบอกแล้วยิ้มอย่างจริงใจ ตาคู่สวยวาดเป็นเส้นโค้งอย่างน่ารัก เพราะคริสไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือน และอี้ชิงคงจำได้ที่เขาเคยบอกว่าคุณพ่อต้องดูแลงานที่สาขาในต่างประเทศ ปีหนึ่งๆ จะได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง หากเป็นบ้านอื่น มีงานมงคลแบบนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ครอบครัวจะได้มารวมตัวกัน แต่สำหรับตระกูลอู๋แล้วไม่ใช่
    คนตัวสูงเพียงแค่ยิ้มรับเรียบๆ มองดูผู้คนในงานแล้วก็ชี้ชวนคนรักให้รู้จักคนนั้นคนนี้โดยไม่พาเข้าไปแนะนำ อี้ชิงไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกคนในที่นั้น แม้ว่าบางคนจะใช้สกุลอู๋เช่นเดียวกันกับเขา คนตัวเล็กไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องราวในโลกธุรกิจและการแข่งขัน และคริสไม่อยากให้คนรักต้องเผชิญกับความกดดันอย่างที่เขาได้รับมาตั้งแต่แรกรู้ความ แม้ว่าซักวันมันอาจจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่คริสเพียงอยากปกป้องคนตัวเล็กจากความบอบช้ำทั้งปวง ให้กระต่ายน้อยของเขายังบริสุทธิ์และสดใสอย่างนี้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

    เสร็จธุระจากการต้อนรับแขกแล้วคู่บ่าวสาวจึงเดินควงแขนกันเข้ามาในงานพร้อมกับบิดามารดา แต่ทันทีที่หันมาเห็นน้องชาย ฝ่ายเจ้าสาวจึงขอตัวกับทุกคนทำท่าว่าจะปลีกตัวมาหา คริสเห็นดังนั้นจึงพาอี้ชิงเข้าไปหาเสียก่อน
    “ไม่พาคุณหมอไปพักก่อนหรือครับ เดี๋ยวต้องขึ้นกล่าวขอบคุณบนเวทีอีก” หญิงสาวทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้เมื่อน้องชายทัก เธอมัวแต่ดีใจจนลืมไปว่าคนที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ร่วมชั่วโมงอาจจะเหนื่อยล้า เสียงหวานจึงถามชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้างด้วยความเป็นห่วง
    “เหนื่อยหรือเปล่าคะ?” คุณหมอจองส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง เอ่ยขอบคุณเมื่อว่าที่ภรรยาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ซึมจากไรผมให้อย่างใส่ใจ
    “อี้เฟยไม่เหนื่อยผมก็ไม่เหนื่อย” ยิ้มหวานจากเจ้าสาวคือรางวัลสำหรับความน่ารักของคุณหมอหนุ่ม ก่อนที่อาการสะเทิ้นอายจะทำให้อีกสองหนุ่มที่ยืนมองต้องแอบหัวเราะเบาๆ
    “ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะพี่เลย เราสองคนก็น้อยหน้าเสียที่ไหน ดูซิ ใส่ชุดคู่กันด้วย จะน่ารักเกินไปแล้ว” เมื่อกลางวันคงไม่มีใครสังเกตุเห็น เพราะชุดสูทสีดำเป็นทางการนั้นมีคนใส่เหมือนกันเยอะแยะ แต่ชุดนี้คริสตั้งใจจะให้เหมือนกันแค่สองคน เพราะสูทสีเทาเข้มมีปักลายลูกไม้ที่ปลายแขนและชายเสื้อ ต่างกันก็แค่เสื้อสูทของคริสจะยาวกว่า อี้ชิงคงคิดว่าในงานเลี้ยงมีคนเยอะแยะ ไม่น่าจะมีใครสนใจ ดังนั้นพอมีคนทักเข้าหน่อย เด็กขี้อายก็ถึงกับยิ้มเขิน อวดรอยบุ๋มที่ข้างแก้มแดงๆ อย่างน่าชัง
    “พี่คริสตัดให้ครับ”
    “ว่าแล้วเชียว รายนี้น่ะขี้อวดนัก มีแฟนน่ารักก็คงอยากจะอวดให้คนทั้งงานรู้”
    “เจี่ยเจี๋ยเป็นคนฉลาด รู้ทันผมทุกอย่าง” คนขี้อวดยิ้มรับอย่างไม่อาย ซ้ำยังทำเนียนวาดแขนโอบไหล่บางดึงร่างเล็กเข้ามาจนชิด อี้ชิงที่เกรงจะเสียมารยาทก็เลยได้แต่ยืนยิ้มตัวแข็ง “คุณหมอยุนโฮเองก็ต้องระวังเอาไว้นะครับ อย่าทำให้พี่สาวผมโกรธขึ้นมาเชียว”
    ฝ่ายเจ้าบ่าวหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า บอกด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟัง
    “อี้เฟยไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์แบบนั้น”
    “เพราะพี่ยุนโฮไม่ใช่คนเจ้าชู้เหลวไหลต่างหากล่ะคะ”
    “เอ... พี่อี้เฟยหมายถึงใครกันนะอี้ชิง?” เด็กหนุ่มทำหน้าเหรอหราเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถาม พอตอบไม่ได้ก็กลายเป็นความน่าเอ็นดูในสายตาคนมองจนคริสต้องจับแก้มนิ่มเบาๆ ตอนนี้อี้ชิงก็ได้แต่ก้มหน้าเพราะเขินจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
    “แล้วไหนล่ะของขวัญ? มางานแต่งพี่สาวทั้งที ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลยหรือ?”
    “มีสิครับ อี้ชิงเค้าเตรียมไว้แล้ว”
    “อ.. เอ๋...?” เป็นอีกครั้งที่กระต่ายน้อยตามไม่ทัน ก่อนจะออกจากบ้านก็ถามแล้วนะ พี่คริสบอกเองว่าเตรียมมาแล้ว พอมาถึงงาน ไหงมาโยนให้กันแบบนี้ อี้ชิงทำหน้าเหวอให้คนที่มองต้องหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกระซิบใกล้ๆ หู พอรู้ว่าคนตัวสูงวางแผนอะไรไว้ อี้ชิงก็ตาโต สั่นหน้าจนผมปลิว “ม.. ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่...!”
    “น่า... นะ ถือว่าเป็นของขวัญวันแต่งงานให้พี่อี้เฟยกับพี่หมอยุนโฮไง จะให้พี่เล่นเอง แขกคงลุกหนีออกจากงานหมด”
    “เล่นเหรอ?” ฝ่ายเจ้าสาวทำหน้าสงสัย หันไปมองหน้าว่าที่สามี ฝ่ายนั้นก็ยักไหล่พลางยิ้มน้อยๆ อย่างนึกไม่ออกเช่นกัน
    “เดี๋ยวก็ทราบครับ” แต่สุดท้ายคริสก็ไม่ยอมเฉลย อี้เฟยหมายใจจะคาดคั้นแต่ก็มีคนของทีมจัดงานมาเชิญให้คู่บ่าวสาวไปเตรียมตัวเพื่อขึ้นกล่าวขอบคุณบนเวทีเสียก่อน 
    พี่สาวกับพี่เขยเดินไปแล้วคริสจึงจูงมือคนรักเดินไปที่ด้านข้างเวทีด้วยกันเพื่อปรึกษากับทีมจัดงาน เมื่อนัดแนะจนเป็นที่เข้าใจตรงกันแล้วก็หันมาอธิบายให้คนตัวเล็กฟัง
      “น.. แน่ใจเหรอครับ ผมไม่ได้ซ้อมมาก่อนนะ แล้วถ้าผมตื่นเต้นจนลืมคีย์ ถ้า... ถ้าเกิดว่า...” อี้ชิงเอาแต่มองไปบนเวทีแล้วส่ายหน้าด้วยความไม่มั่นใจ ทว่าท่าทางกระวนกระวายนั้นหยุดลงเมื่อมือใหญ่กอบประคองสองแก้มนุ่ม ให้ตาคู่สวยหันมามองสบกับดวงตาคมเข้ม คนตัวสูงคลี่ยิ้มบางหมายให้คนรักคลายใจ
    “ใจเย็นๆ นะ อี้ชิงต้องทำได้แน่ เชื่อพี่สิ” ปรายตามองขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง แค่มองจากตรงนี้ก็ยังใจสั่นจนตัวเย็น คนในงานล้วนแล้วแต่แปลกหน้า และเมื่อเขาขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น ทุกคนก็คงจะหันมามองพร้อมๆ กัน อี้ชิงยังไม่รู้เลยว่าจะทำให้ตัวเองใจเย็นท่ามกลางสายตาเหล่านั้นได้ยังไง ทว่าเมื่อหันกลับมามองดวงตาคู่คมตรงหน้า พี่คริสยิ้มให้เขา ปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟัง “พี่จะรออยู่ตรงนี้ ถ้าตื่นเต้นก็มองลงมา มองแค่หน้าพี่ เหมือนเวลาที่เล่นให้พี่ฟังตอนเราอยู่ที่บ้านไง โอเคมั้ยครับ?”
    ทั้งที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย แต่พี่คริสกลับเชื่อมั่นใจตัวเขาจนอี้ชิงไม่อยากทำให้คนที่รักผิดหวัง กลีบปากอิ่มขบเม้มกันเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะยังกล้าๆ กลัวๆ แต่คนตัวเล็กก็พยักหน้าในที่สุด
    “...ครับ”

    พิธีการบนเวทีดำเนินไปท่ามกลางเสียงปรบมือด้วยความยินดีและปลื้มปิติที่ดังเป็นระยะ คู่บ่าวสาวกล่าวถึงกันและกันได้อย่างน่ารักทำให้แขกที่มาร่วมงานล้วนชื่นชมในความรักของคนทั้งคู่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมเป็นสักขีพยานทุกท่าน จนท้ายที่สุด พิธีกรบนเวทีได้กล่าวเชิญให้ทั้งสองลงไปที่ฟลอร์เพื่อเต้นรำร่วมกัน มือเปียโนรับเชิญจึงถูกเชิญตัวขึ้นมา
    เมื่อเสียงปรบมือเงียบลง ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในชุดสูทสีเทาเข้มก็ก้าวขึ้นมาบนเวทีอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่กลางเวที เขาค้อมศีรษะให้นักเปียโนประจำวงออเคสตร้าที่ลุกขึ้นเพื่อสละเก้าอี้ให้ก่อน แล้วจึงหันไปเผชิญกับทุกสายตาที่กำลังจับจ้อง ตาคู่สวยกวาดตามองไปรอบๆ ห้องจัดเลี้ยงท่ามกลางเสียงกระซิบด้วยความสงสัยถึงที่มาซึ่งเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเด็กหนุ่มค้อมกายลงอย่างนอบน้อม เสียงปรบมือของคู่บ่าวสาวจากกลางฟลอร์เต้นรำก็ทำลายความเงียบและชวนให้แขกคนอื่นๆ ในงานต้องปรบมือตามไปด้วย
    คริสยิ้มรับพลางพยักหน้าน้อยๆ อย่างให้กำลังใจเมื่อคนตัวเล็กมองมา การที่เด็กขี้อายอย่างอี้ชิงต้องขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คริสรู้ดี และเขาไม่ได้คิดจะกลั่นแกล้งให้น้องต้องเผชิญกับความกดดันจนเกินจะรับ แววตาที่ห่วงใยนั้นคอยมองและจับจ้องทุกอิริยาบถของคนรัก และพร้อมจะก้าวขึ้นไปหาในทันทีที่คนตัวเล็กรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อาจยืนอยู่คนเดียวได้ 
    ทว่าจางอี้ชิงเข้มแข็งกว่านั้น แม้แววตาในทีแรกจะไหวสั่นด้วยความไม่มั่นใจ หากเมื่อมองลงมาแล้วเห็นว่าเขายังอยู่ตรงนี้ น้องก็ยิ้มรับแล้วนั่งลงประจำตำแหน่งที่เก้าอี้หลังเปียโนสีดำหลังใหญ่ ร่างเล็กขยับน้อยๆ เมื่อเจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าจนลึก เรียวนิ้วสวยค่อยวางเรียงกันบนคีย์บอร์ดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกดปลายนิ้วส่งเสียงโน๊ตตัวแรกให้ก้องกังวานไปทั้งห้องจัดเลี้ยงที่เงียบเสียงอย่างรอฟัง 
    เสียงดนตรีที่บรรเลงยังฟังไม่เป็นเพลงเพราะมือเปียโนร่างเล็กกำลังซ้อมนิ้วโดยการไล่เสียงตัวโน๊ตไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงโทนเสียงสูงสุดแล้วทุกจังหวะก็หยุดนิ่ง เพียงชั่วอึดใจ ปลายนิ้วเล็กก็กดลงบนคีย์บอร์ดอีกครั้งเพื่อเริ่มบรรเลงเพลงที่หลายๆ คนรู้จักมันดี เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงฮือฮาอย่างชื่นชมเมื่อท่วงทำนองของ Cannon in D major ดังขึ้น
    ชายหนุ่มผู้สูงสง่าวาดแขนไพล่หลังไว้ข้างหนึ่ง ยื่นมืออีกข้างมาเบื้องหน้า แล้วค้อมกายน้อยๆ ให้หญิงสาวผู้ยืนตรงหน้าเป็นเชิงขออนุญาต สาวสวยผู้งดงามยิ่งในคืนนี้จึงจับมือที่ใหญ่กว่าไว้แล้วเริ่มเต้นรำตามท่วงทำนองที่แสนหวานไปด้วยกัน ในตอนนั้น ทุกสายตาของแขกเหรื่อในงานต่างก็จับจ้องและให้ความสนใจเพียงคู่บ่าวสาวที่เคลื่อนไหวเคียงคู่กันอย่างงดงามที่กลางฟลอร์เต้นรำ มีเพียงดวงตาคู่คมที่ยังจับจ้องร่างเล็กซึ่งกำลังบรรเลงเสียงเพลงอันแสนไพเราะอยู่หลังเปียโนตัวใหญ่ เพียงน้องละสายตาจากคีย์บอร์ดแล้วเงยหน้าขึ้นมองมา คริสก็จะคอยส่งยิ้มให้อยู่ตรงนี้ อี้ชิงตื่นเต้นแค่ไหน คริสมั่นใจว่าตัวเองตื่นเต้นยิ่งกว่า เขาหุบยิ้มไม่ได้เลย ทั้งภูมิใจและตื้นตันในความกล้าหาญอย่างน่ารักของคนตัวเล็กจนหัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอก จางอี้ชิงของเขาเก่งที่สุดแล้ว

    “คุณชายครับ” ทว่าร่างสูงจำต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าเพื่อหันมามองเจ้าของน้ำเสียงสุภาพที่ยืนรออยู่เบื้องหลัง
    “เลขาคิม” คริสค้อมศีรษะให้และฝ่ายนั้นก็ค้อมรับ ก่อนจะส่งผ่านข้อความตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 
    “มาดามให้มาเชิญครับ ท่านรออยู่ที่ห้องรับรอง” เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็ถอนใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังเปื้อนรอยยิ้มอยู่เมื่อครู่ดูเครียดขึง ทว่าเมื่อผินหน้ากลับไปมองมือเปียโนร่างเล็กที่อยู่บนเวที ริมฝีปากได้รูปกลับเผยรอยยิ้มบาง
    “ขอเวลาซักครู่ได้มั้ยครับ”
    ชายสูงวัยกว่ามองข้ามช่วงไหล่กว้างไปยังเด็กหนุ่มตัวขาวซึ่งนั่งประจำตำแหน่งอยู่หลังเปียโนสีดำหลังใหญ่แล้วก็พอจะเข้าใจ เมื่อดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้นมองลงมา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นเพียงให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้เห็น แม้จะอยู่ห่างกันแค่ไหน แต่หัวใจสองดวงกลับอยู่ใกล้กันเสียจนหากเขายังขืนดึงดันจะพาคุณชายออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ก็ดูจะใจร้ายเกินทน คิมมูยอลจึงพยักหน้าแม้บุตรชายของผู้เป็นนายจะไม่มองมา ก่อนจะก้าวถอยออกมายืนรออยู่ห่างๆ

    เพลงบรรเลงนั้นจบลงเมื่อนิ้วเล็กกดลงบนคีย์สุดท้ายพร้อมๆ กับเสียงปรบมืออันกึกก้อง แน่นอนว่าแขกเหรื่อในงานนั้นต่างปรบมือให้กับคู่เต้นรำแสนงดงามที่กลางฟลอร์ แต่ทว่าคู่บ่าวสาวกลับหันมาปรบมือให้หนุ่มน้อยมือเปียโนสมัครเล่นบนเวทีอย่างชื่นชม อี้ชิงจึงยืนขึ้นแล้วค้อมกายน้อมรับความยินดีนั้นก่อนจะก้าวลงจากเวทีด้วยหัวใจที่ลิงโลด
    “คนเก่งของพี่” ในทันทีที่เท้าแตะพื้น ร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่เดิมตลอดเวลาก็ดึงเขาเข้าไปกอดจนจมอก อี้ชิงได้ยินเสียงหนักแน่นที่ดังอยู่ใต้อกอุ่นนี้ แนบหูฟังแล้วก็ยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่อรับรู้ได้ว่าพี่คริสเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน 
    “พี่คริสกลัวผมพลาดหรือครับ?”
    “พี่ภูมิใจที่มีแฟนทั้งเก่งทั้งน่ารักต่างหาก น่าจะให้พิธีกรเค้าประกาศใส่ไมค์ไปเลยด้วยซ้ำว่าคนนี้น่ะแฟนพี่”
    “ฮื่อ อายเค้า อย่าทำอย่างนั้นเชียวนะ” งอแงทั้งที่รู้ว่าคนตัวสูงแค่พูดเล่น แต่ก็เพราะมัวแต่ดีใจ อี้ชิงลืมไปหมดแล้วว่าในงานน่ะมีคนอื่นอยู่ด้วยเยอะแยะ เขายอมให้พี่คริสดึงตัวเข้าไปกอดเป็นครั้งที่สอง กระทั่งเหลือบไปเห็นว่ามีชายผู้หนึ่งกำลังยืนมองอยู่ห่างๆ ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มใจดีนั้นช่างคุ้นตานัก พอนึกออกว่าเป็นใคร อี้ชิงจึงรีบดีดตัวเองออกมาจากอกกว้าง
    “โอ๊ะ คุณเลขาคิม สวัสดีครับ”
    “สวัสดีครับคุณหนูอี้ชิง” เห็นคุณเลขาอยู่ตรงนี้ คุณนายแม่ของพี่คริสก็คงอยู่แถวนี้เช่นกัน อี้ชิงจึงสอดส่ายสายตามองหาแต่ก็ไม่พบ 
    “แล้วคุณป้าล่ะครับ” คำตอบมีเพียงรอยยิ้มบางจากชายสูงวัยกว่า แล้วความสงสัยนั้นก็คลี่คลายเมื่อคนรักบอกกับเขา
    “พี่ต้องไปพบคุณแม่ อี้ชิงรออยู่ตรงนี้กับเลขาคิมก่อนนะ”
    “ได้ครับ” เด็กหนุ่มไม่นึกแคลงใจอะไร เขาพยักหน้ารัวๆ แล้วยิ้มรับอย่างน่ารัก คนเป็นพี่จึงลูบผมนุ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปบอกกับเลขาคนสนิทของมารดาพลางค้อมศีรษะน้อยๆ
    “ฝากด้วยนะครับ”
    “ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณชาย”
    อี้ชิงยืนยิ้มส่งจนแผ่นหลังของคนรักถูกแขกคนอื่นๆ ในงานบดบังจากสายตาแล้วจึงหันมาหาชายผู้สูงวัยกว่า 
    “คุณเลขาอยู่ตรงนี้นานแล้วหรือครับ?”
    “ครู่ใหญ่ๆ แล้วครับ ได้ฟังเพลงบรรเลงเมื่อครู่ด้วย คุณหนูอี้ชิงเล่นเปียโนเก่งจังนะครับ”
    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่พอเล่นได้”
    “เมื่อก่อนคุณชายก็เคยเรียนเปียโน แต่ท่าทางคงจะชอบเล่นกีฬามากกว่า”
    “อืม... แต่ผมก็ไม่เห็นพี่คริสจะชอบออกกำลังกายนะครับ เอาแต่ดูซีรี่ส์อยู่กับบ้าน นานๆ ถึงจะชวนออกไปวิ่งจ้อกกิ้งซักครั้ง”
    “คงเพราะตั้งแต่มีคุณหนูอี้ชิง คุณชายเลยอยากจะขลุกอยู่แต่ในห้องมากกว่า” ข้อสันนิษฐานของผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนั้นทำให้สองแก้มของเด็กหนุ่มร้อนผ่าวจนต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้เขิน และแม้ว่าคิมมูยอลจะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ทว่าก็แสนสะท้อนใจนัก 
    คุณหนูจางอี้ชิงผู้มีจิตใจอ่อนโยนและไร้เดียงสาเพียงนี้ คุณชายคงอยากปกป้องความบริสุทธิ์และงดงามนี้ไว้ แต่เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแบบนี้แล้ว อนาคตของเด็กทั้งคู่จะเป็นเช่นไรกัน คุณชายเองก็คงพอจะรู้ แววตาที่มั่นคงนั้นจึงวูบไหวเมื่อได้ยินว่ามารดาเรียกหา ทว่าความอึดอัดใจกลับถูกกลบเกลื่อนไว้ด้วยความเย็นชาอย่างที่เคยเป็นมาตลอด อู๋อี้ฟานที่เติบโตมาท่ามกลางการอบรมเลี้ยงดูเพื่อให้กลายเป็นผู้สืบทอดที่เพียบพร้อมนั้น ถูกความกดดันมากมายทำให้กลายเป็นคนที่เก็บกดความรู้สึกของตัวเองไว้ได้อย่างแนบเนียน เขาอาจจะกลายเป็นชายหนุ่มผู้เสมือนไร้ความรู้สึกเข้าในซักวัน แต่กับคุณหนูจางอี้ชิงผู้ใสซื่อแล้วไม่ใช่ เด็กที่จริงใจและมีจิตใจอ่อนโยนแบบนี้จะเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงในตระกูลอู๋ได้อย่างไรกัน 
    คิมมูยอลได้แต่คิดอยู่ในใจเงียบๆ กระทั่งเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างอายๆ
    “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ สงสัยจะดื่มน้ำหวานมากเกินไป”
    “อ่า ออกไปทางประตูข้างนะครับ เลี้ยวขวาก่อนจะถึงล็อบบี้ ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
    “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง ผมไปเองได้”
    “ถ้าอย่างนั้นผมจะรออยู่ตรงนี้ เผื่อว่าคุณชายกลับมา” อี้ชิงพยักหน้าแล้วค้อมศีรษะขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวออกมา
    และที่ขอออกมาคนเดียวเพราะมั่นใจมากๆ ว่าไม่หลงทางแน่ ตอนเข้าโรงแรมมาก็ผ่านล็อบบี้ เขาจำได้ว่าล็อบบี้ไปทางไหน แต่พอเดินออกมาได้ซักพัก จางอี้ชิงก็เริ่มไม่มั่นใจแล้ว
    “เลี้ยวขวาก่อนจะถึงล็อบบี้... เลี้ยวขวาก่อนจะถึงล็อบบี้...” เด็กหนุ่มพึมพัมกับตัวเองซ้ำๆ พลางมองหาทางที่ควรจะต้องเลี้ยวตามที่เลขาคิมบอก แต่เดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยงได้ซักพักแล้วก็ยังไม่เจอ สงสัยจะเดินมาผิดทางหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลองหันกลับไปมองตามทางที่เดินมาก็ไม่เห็นว่าจะมีทางไหนให้เลี้ยวได้ หันซ้ายหันขวาอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจ เดินตรงต่อไปอีกหน่อยแล้วกัน

    “ไม่มีทาง! ยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด!”

    พลันเสียงที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มต้องชะงัก น้ำเสียงที่คุ้นหูหากแต่ไม่ใช่ในอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดแบบนี้ทำให้อี้ชิงนึกถึงใครบางคน และเมื่อประตูห้องรับรองซึ่งอยู่ด้านขวาของทางเดินถูกกระชากเปิดออก ความสงสัยก็คลี่คลายกลายเป็นความประหลาดใจ ไม่ต่างจากเจ้าของช่วงขายาวซึ่งก้าวรัวเร็วออกมาจากห้องและต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น 
    “อี้ชิง ทำไมถึง...?”
    “กลับมานี่นะอี้ฟาน แม่ยังพูดไม่จบ” น้ำเสียงเฉียบขาดที่ดังตามออกมาจากในห้องทำให้อี้ชิงนึกขึ้นได้ เขารีบสั่นหน้า ระร่ำระลักปฏิเสธ
    “ผมไม่ได้ตั้งใจมาแอบฟังนะครับ แค่จะมาเข้าห้องน้ำ แล้ว... แล้ว...”
    “อี้ฟาน แม่บอกว่า...” ยิ่งตกใจเมื่อได้เห็นร่างสวยสง่าในชุดเดรสกำมะหยี่สีแดงเข้มที่ตามออกมาด้วย อี้ชิงรีบค้อมศีรษะลงต่ำ
    “ส.. สวัสดีครับคุณป้า” ทำตัวเสียมารยาทเข้าจนได้ คุณนายแม่ของพี่คริสต้องไม่พอใจเป็นแน่ อี้ชิงหมายจะแก้ตัวอีกครั้งว่าเป็นเพียงความบังเอิญ ทว่าการพบกันอย่างไม่คาดฝันนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่แปลกใจ อีกฝ่ายก็คงเช่นกัน ดวงตาสวยเฉี่ยวที่มองมานั้นราวกับจะคาดคั้นถึงการปรากฏตัวของเด็กหนุ่ม ณ ที่ตรงนี้ หากเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าในดวงตาคู่ใส เพียงชั่วพริบตา บรรยากาศที่น่าอึดอัดก็ถูกกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชาของมาดามอู๋
    “ถ้าอย่างนั้นก็เอาไว้คุยกันทีหลัง”
    “ไม่ครับ ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจแน่” น้ำเสียงสุดท้ายทั้งหนักแน่นและแข็งกร้าวไม่ต่างจากแววตาที่ไม่ว่าใครก็คงไม่มีโอกาสได้เห็น ก่อนที่ร่างสูงจะจูงมือเล็กพาคนรักออกไปจากที่ตรงนั้นโดยไม่เหลียวหลังกลับ

    อี้ชิงกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามคนรักออกมาทั้งที่ไม่รู้เรื่องราว เมื่อครู่ทำได้เพียงค้อมศีรษะให้ ยังไม่ทันได้เอ่ยคำลาคุณนายอู๋ด้วยซ้ำ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ดูฉุนเฉียวนัก แม้ข้อมือจะถูกจับไว้จนแน่น แต่คนตัวสูงกลับเอาแต่เดินจ้ำ ไม่หันมามองเขาบ้างเลย อี้ชิงก็เลยอดจะเกรงไม่ได้ กระทั่งประตูบานใหญ่ที่ขวางหน้าถูกเปิดออก สายลมเย็นที่พัดมาปะทะใบหน้าก็ทำให้คนตัวเล็กต้องปรือตาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้นอีกครั้งเมื่อข้อมือที่ถูกกุมมาตลอดทางนั้นถูกปล่อย 
    อี้ชิงค่อยมองไปรอบๆ ตัวอย่างสำรวจ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนระเบียงกว้างของชั้นลอยซึ่งอยู่สูงที่สุดของโรงแรม สูงขนาดนี้ลมถึงได้แรงนัก เขาไม่รู้ว่าพี่คริสพามาที่นี่ทำไม แต่คนที่พามาก็ปล่อยมือจากเขาแล้วเดินไปเกาะรั้วเหล็กที่กั้นสุดขอบระเบียง ภาพร่างสูงที่ยืนต้านแรงลมเพียงลำพัง มองแล้วให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวจนน่าใจหาย อดไม่ได้เลยที่จะเดินเข้าไปยืนเคียงข้าง ไต่ถามด้วยความห่วงใย
    “ถูกคุณป้าดุเอาหรือครับ?” อี้ชิงถามเสียงเบา นิ่งเกินอึดใจกว่าที่คนตัวสูงจะถอนหายใจออกมา รอยยิ้มที่มีให้นั้นหม่นหมองเสียเหลือเกิน
    “ไม่มีอะไรหรอก” คำตอบนั้นเพียงแค่อยากให้เขาสบายใจ อี้ชิงรู้ดี แต่ไม่อยากเซ้าซี้ให้คนรักยิ่งไม่สบายใจจึงเงียบเสีย “มานี่สิ”
    เขามองตามด้วยความสงสัยเมื่อพี่คริสถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ร่างสูงก็กระโดดข้ามรั้วกั้นออกไป ใจหายเมื่อวูบหนึ่งคิดเอาเองว่าคนรักอาจจะเครียดจนคิดสั้น อี้ชิงเกือบจะร้องออกมาแล้วถ้าอีกฝ่ายไม่มายืนอยู่ตรงหน้า ยื่นสองมือออกมาให้เขา
    “ออกมาตรงนี้สิ” พอชะเง้อคอมองออกไปแล้วถึงได้เห็นว่านอกรั้วเหล็กที่กั้นขอบระเบียงออกไปนั้นยังมีชั้นลอยเล็กๆ อยู่อีกชั้นหนึ่ง อี้ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่กระนั้นก็ยังนึกตำหนิคนตัวโตที่ทำให้ตกใจไม่ได้
    “ออกไปทำไมครับ มันสูงออก”
    “ตรงนี้เห็นวิวของทั้งเมืองชัดเลยนะ ออกมาเถอะ”
    “แต่ว่า...”
    “เชื่อใจพี่สิ” คนเป็นพี่พยักหน้าน้อยๆ พลางคว้าข้อมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ คนตัวเล็กลองชะเง้อคอมองลงไปเบื้องล่างแล้วก็ให้รู้สึกหวั่นใจนัก เขาส่ายหน้าน้อยๆ แต่คริสกลับพยักหน้าซ้ำส่งสายตามาอ้อน สุดท้ายก็เลยต้องยอมตามใจ กระชับสองมือที่จับราวเหล็กไว้ให้ยิ่งมั่น ก่อนจะปีนข้ามรั้วไปอย่างช้าๆ แต่เพียงแค่ลมจากที่สูงพัดมา ขาเล็กก็เริ่มสั่นจนต้องหยุดปีนเอาเสียดื้อๆ อี้ชิงทำท่าว่าจะถอยกลับ แต่ในทันทีคริสก็สอดแขนอุ้มร่างเล็กให้ออกมายืนบนชั้นลอยด้วยกันจนได้ พออี้ชิงดิ้นขืนด้วยความตกใจ คริสก็ดึงตัวน้องเข้าไปกอดไว้จนแน่น
    “ฮื่อ พี่คริส ผมยังไม่ได้...”
    “ยืนนิ่งๆ สิ เดี๋ยวตกลงไปนะ” คำขู่ได้ผลเมื่ออี้ชิงหยุดดิ้น เผลอๆ ก็น่าจะหยุดสั่นไปเลยด้วยมั้ง ก็ชั้นลอยเนี่ยมันกว้างแค่ไม่เกินสองช่วงก้าว แถมยังไม่มีรั้วกั้น น่ากลัวจะตาย เลยยอมยืนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนคนตัวโตกว่าแต่โดยดี 
    แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว เพราะพออี้ชิงเริ่มจะกล้ามองลงไปดูวิวเบื้องล่าง คริสก็ค่อยดันตัวเขาออกห่าง แล้วสอดแขนยกร่างเล็กขึ้นจนลอย อี้ชิงร้องเหวอแค่แป๊บเดียวก็ขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่บนรั้วเหล็กแล้ว ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะกระโดดส่งตัวเองขึ้นไปนั่งข้างกัน
    “กลัวหรือเปล่า?” อี้ชิงพยักหน้ารัวๆ ยังไม่หายตกใจที่เห็นพี่คริสกระโดดลงไปต่อหน้าเมื่อครู่นี้เลย เมื่อกี้ตอนที่ถูกอุ้มขึ้นมาก็ทำเอาใจหวิว ไม่ให้กลัวยังไงไหว แต่ตอนนี้ยังอึ้งอยู่ ร้องไม่ออกซักแอะ ไม่กล้ามองลงไปข้างล่างเลยด้วย 
    แต่ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ นั้นช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาคนหลงแฟน คริสจึงฉวยโอกาสจุ๊บขมับบางเบาๆ อย่างปลอบขวัญ ก่อนจะกุมมือทับมือเล็กข้างหนึ่งที่เอาแต่จับราวเหล็กไว้จนมั่น ชี้ชวนให้คนตัวเล็กมองออกไปเบื้องหน้า
    “ถ้ากลัวก็อย่ามองลงไปข้างล่าง อี้ชิงมองตรงไปข้างหน้านะ มองออกไปไกลๆ เห็นแสงไฟพวกนั้นหรือเปล่า สวยออก”
    อี้ชิงหลับตาเมื่อลมพัดมาวูบใหญ่ ไม่รู้ทำไม นั่งอยู่บนนี้แล้วรู้สึกว่าลมแรงกว่าตอนที่ยืนอยู่หลังรั้วเหล็กมากนัก แต่พอลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วมองออกไปข้างหน้าอย่างที่คนรักบอก ทรรศนียภาพของตึกสูงต่างๆ ที่ประดับตกแต่งไว้ด้วยดวงไฟหลากสีนั้นช่างแปลกตา แสงไฟดวงเล็กดวงน้อยช่วยกันทำให้ท้องฟ้ายามราตรีดูสว่างขึ้นมากก็จริง แต่มันก็สู้แสงระยิบระยับจากดาวดวงเล็กๆ บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้นไม่ได้เลย
    “อยู่บนนี้แล้วมองเห็นดาวชัดจังเลยนะครับ” อี้ชิงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกว่าคนรักจะทำแบบเดียวกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ เพราะเมื่อละสายตาจากหมู่ดาวดวงเล็กๆ เพื่อจะส่งยิ้มให้คนข้างกาย กลับสบเข้ากับนัยน์ตาวาววามที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ทั้งที่แสงไฟยามค่ำคืนก็ไม่ได้สว่างนัก แต่ยังมองเห็นแววเจ้าชู้ในดวงตาคู่คมอย่างชัดเจน สบตากันได้ไม่นานก็เป็นอี้ชิงเองที่ต้องเลี่ยงหลบ เสมองกลับขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะต้องแปลกใจจนร้องอุทานออกมาเมื่อเห็นแสงสีขาวพาดผ่านผืนฟ้าไปอย่างรวดเร็ว 
    “โอ๊ะ นั่นดาวตกนี่ พี่คริสอธิษฐานสิครับ” เพราะมือข้างหนึ่งยังถูกกุมไว้ อี้ชิงจึงได้แต่หลับตาแล้วนึกถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุขอยู่ในใจ จริงจังเสียจนไม่รู้ตัวเลยว่าผ่านไปร่วมนาทีทีเดียวกว่าจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
    “ขออะไรน่ะ นานเชียว” พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นหน้าหล่อๆ มายิ้มรออยู่ตรงหน้าแล้ว อี้ชิงร้องฮื่อพลางย่นคือหนี
    “บอกไม่ได้หรอก”
    “แต่พี่บอกได้นะ พี่ขอให้...”
    “ฮื่อ อย่าพูดสิ” แม้ดวงตาก็ยังยิ้มพราวเมื่อมือเล็กตะปบลงเพื่อปิดปาก อี้ชิงส่ายหน้าทำปากยู่ “เดี๋ยวไม่เป็นจริงนะ”
    แต่คริสกลับส่ายหน้าช้าๆ ดึงมือนุ่มที่ปิดปากเขาออกแล้วจุมพิตเบาๆ ที่หลังมือ มองสบนัยน์ตาคู่สวยด้วยแววหวานซึ้ง
    “พี่ขอให้เรามีกันและกันแบบนี้ตลอดไป อี้ชิงจำไว้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะไม่ยอมให้ใครมาพรากเราจากกันได้เป็นอันขาด”
    ถ้อยคำหวานหูยังไม่เท่าแววตาที่สื่อความหวานได้ดียิ่งกว่า ทว่าอี้ชิงมองเห็นความจริงใจที่แฝงมากับความเจ้าชู้นั้น พี่คริสยังคงเป็นพี่คริสไม่เคยเปลี่ยน แม้ไม่ต้องให้คำสัญญาใดๆ อี้ชิงก็มั่นใจเหลือเกินว่าพี่คริสจะยังคงเป็นคุณคนใจดีของเขาแบบนี้ตลอดไป เพียงแต่ว่า...

    คริสเลื่อนมือขึ้นสัมผัสแก้มขาวแผ่วเบา ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยไล้พวงแก้มนุ่มอย่างทะนุถนอมและแสนรัก เขารักจางอี้ชิง และยิ่งรักมากขึ้นทุกวัน ความรักของคริสนั้นมากมายจนแทบจะล้นออกจากอก อี้ชิงเองก็คงจะรู้ ว่าเขาต้องการความหอมหวานจากรักนี้มากแค่ไหน ยิ่งในเวลาเช่นนี้ด้วยแล้ว... 
    “อี้ชิง...” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วพลางโน้มใบหน้าเข้าหา กลิ่นหอมเหมือนครีมเค้กนั้นน่าหลงใหลและดึงดูดความปรารถนาของคริสได้เสมอเมื่ออยู่ใกล้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะล่วงเกิน ขอเพียงความหอมหวานจากริมฝีปากนุ่ม... เพียงเท่านั้น
    แต่เพียงแค่จูบเบาๆ ที่ข้างแก้มหอม ร่างเล็กก็เกรงขืนจนรู้สึกได้ ทว่าเสียงครางแผ่วที่เล็ดลอดจากกลีบปากอิ่มนั้นราวกับจะเชื้อเชิญ ริมฝีปากอุ่นจึงแต้มจูบบนแก้มขาวนุ่มซ้ำๆ ก่อนจะค่อยลากไล้ ระเรื่อยหาความหอมหวานที่รอคอย 

    ทว่าเพียงแค่ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน ดวงหน้าหวานก็กลับเบือนหนีในทันที

    “เรา... กลับเข้าไปในงานกันเถอะนะครับ” คนเป็นน้องบอกเสียงสั่นโดยไม่ยอมสบตา แล้วรีบพาตัวเองลงจากรั้วเหล็กในทันที
    “เดี๋ยวก่อนอี้ชิง” แต่คริสนั้นไวกว่า เขากระโดดตามลงมาแล้วคว้าข้อมือคนที่กำลังจะจ้ำหนีไว้ได้ทัน “โกรธอะไรพี่หรือเปล่า?”
    คำถามนั้นเหมือนจะทำให้คนตัวเล็กตกใจไม่น้อย อี้ชิงหันกลับมาแล้วส่ายหน้ารัวเร็ว
    “ผมไม่เคยโกรธพี่คริสเลยนะครับ”
    “แต่อี้ชิงดูแปลกๆ ถ้าไม่ได้โกรธ พี่จะคิดว่าเรารังเกียจถึงไม่อยากให้พี่เข้าใกล้”
    “ม..ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” อาการตื่นตระหนกนั้นบอกให้รู้ว่าน้องไม่ได้ตั้งใจ แต่คริสเองก็รู้สึกใจไม่ดีเลยจริงๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อี้ชิงมีอาการแปลกๆ จะว่าเขินอายเหมือนก่อนหน้าก็ไม่ใช่ คริสรู้สึกได้ว่าความหวาดกลัวนี้รุนแรงกว่านัก แต่หากคาดคั้นถาม คนตัวเล็กคงจะยิ่งกลัวจนเตลิดเป็นแน่
    มือใหญ่จึงเลื่อนขึ้นประคองกอบแก้มนุ่มไว้ด้วยสองมือ มองสบดวงตาคู่สวยแล้วถามเสียงอ่อน
    “เป็นอะไรไป หืม บอกพี่ได้หรือเปล่า?”
    “คือผม... ผม...” ทว่าคนตัวเล็กยังคงลังเล ทั้งแววตาและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความอึดอัดใจ และคริสก็รับรู้ได้ หากเป็นเช่นทุกครั้งเขาคงจะใจเย็นและอดทนรอจนไหว น่าเสียดายที่ไม่ใช่ในตอนนี้ 
    “พี่คงไม่ใช่คนที่อี้ชิงไว้ใจได้แล้วสินะ”
    “พี่คริส...”
    “ถ้าอย่างนั้นพี่จะไม่เซ้าซี้ บางทีพี่คงตามติดเรามากเกินไปจนน่ารำคาญ อี้ชิงคงอยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง” อี้ชิงสั่นหน้าระรัว น้ำใสที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวยนั้นสะท้อนกับแสงจันทร์จนเป็นประกาย แต่คริสกลับเลือกที่จะไม่มองมัน “กลับเข้าไปในงานเถอะ พี่อยู่คนเดียวได้ อยากกลับบ้านเมื่อไหร่ค่อยโทรหาพี่ก็แล้วกัน”
    “พี่คริส!” 
    เพียงเบือนหน้าหนีก็ราวกับหัวใจนั้นเย็นชามากแล้ว แต่คริสยังใจร้ายหันหลังแล้วตั้งใจจะเดินออกไปจากตรงนั้น ทว่าเพียงก้าวเดียว ช่วงขายาวก็ต้องชะงัก เมื่อเรียวแขนเล็กสอดเข้าจากด้านหลัง กอดเอวเขาไว้จนแน่น “ผมขอโทษ ฮึก อย่าโกรธผมเลยนะ”
    น้ำเสียงสั่นเครือที่ปนมากับเสียงสะอื้นนั้นบาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟังจนได้สติ คริสถอนหายใจหนักพลางยกมือขึ้นกุมขมับ สุดท้ายเขาก็ทำให้น้องร้องให้จนได้ โทษตัวเองเหลือเกินที่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดแทนที่จะใจเย็นเช่นทุกครั้ง เขารู้ว่าอี้ชิงแปลกไป รู้มาตลอด เพียงแต่เลี่ยงที่จะไม่สนใจมัน บางทีคนตัวเล็กอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจและไม่อยากบอกเขา แต่คริสยังใจเย็นและรอได้ เหมือนเช่นที่เขารออยู่เสมอ แต่สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้มันแย่เกินทน คริสถูกแรงกดดันทำให้เครียดจนอยากจะวิ่งหนีออกไปไกลๆ ถึงคนทั้งโลกไม่เข้าใจ แต่เขายังมีอี้ชิงที่เป็นกำลังใจเดียว ที่เขาต้องการก็เพียงแค่ความอ่อนหวานมาปลุกปลอบหัวใจที่เหนื่อยล้า แม้อี้ชิงยังไม่พร้อมที่จะให้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของน้อง คนตัวเล็กไม่รู้ว่าเขาต้องเจออะไรมาบ้าง ไม่รู้ว่าเขากังวลใจแค่ไหน แค่เพราะถูกปฏิเสธ คริสกลับเกรี้ยวกราดใส่อย่างใจร้ายได้ถึงเพียงนี้ 
    กว่าจะรู้ตัวว่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายทั้งตัวเองและคนที่รัก แผ่นหลังก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เสียงสะอื้นไห้นั้นราวกับจะตอกย้ำความผิดของเขาให้หัวใจต้องแหลกเป็นเสี่ยงๆ เนื้อผ้าราคาแพงถูกขยำจนยับย่นเมื่อคริสพยายามจะแกะมือเล็กออก อี้ชิงไม่ยอมปล่อยคงเพราะกลัวว่าเขาจะเดินหนี แสนสงสารจับใจแต่คริสก็จำเป็นต้องใจร้าย ฝืนดึงมือเล็กออกได้ในที่สุดแล้วหันมาเผชิญกับดวงหน้าหวานที่เปียกปอนไปด้วยน้ำตา เพียงเขายื่นมือออกไปซับให้เบาๆ อี้ชิงก็จับมือเขาแนบแก้ม บอกเสียงสะอื้น
    “ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผม... ผมแค่กลัว...”
    “กลัวพี่หรือ?” อี้ชิงสั่นหน้า คริสเลื่อนมืออีกข้างขึ้นประคองแก้มขาวไว้ น้ำตาที่ไหลเป็นสายนั้นถูกนิ้วมืออุ่นเกลี่ยให้อย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นกลัวอะไร?”
    “ผม... ผมไม่รู้ ฮึก... แต่มันรู้สึกอึดอัด รู้สึก... เหมือนหายใจไม่ออก”
    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
    “ฮึก... ตอนที่ไปออกค่าย จงอินเค้า... เค้า...” ชื่อของคนที่แทรกเข้ามาทำให้คริสใจกระตุก ยิ่งถามย้ำด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
    “เค้าทำไม?”
    ดวงตาฉ่ำน้ำนั้นหลุบลง กลีบปากอิ่มถูกกลืนหาย ก่อนที่คนตัวเล็กจะบอกเสียงสั่น
    “เค้า... เค้าจูบผม...”
    หัวใจของคริสสั่นระรัวจนเจ็บร้าวไปทั้งอก สองมือที่ประคองแก้มขาวนั้นอ่อนแรงจนตกลงข้างตัว อี้ชิงเห็นอย่างนั้นก็สั่นหน้า ระร่ำระลักอธิบาย
    “ฮึก แต่ผมไม่ได้เต็มใจเลยนะครับ ผมไม่คิดว่าเค้าจะทำแบบนั้น ผม... ผมผิดเองที่ออกไปกับเค้า ผม... ผมผิด... อึก!”
    แต่คริสไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น หูของเขามันอื้อไปหมด ทั้งโกรธทั้งเจ็บแค้นจนสมองตื้อตัน สิ่งที่เขาทำคือเลื่อนมือขึ้นตรึงดวงหน้าหวานแล้วโน้มใบหน้าเข้าหา ประกบริมฝีปากบังคับฝืนจูบลงไป อี้ชิงขัดขืนพลางส่งเสียงอื้ออึงในคอ เขาก็ไม่ยอมปล่อย ดูดดึงกลีบปากนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะล้างคราบคาวที่ใครคนอื่นทิ้งไว้  ก่อนจะส่งความเกรี้ยวกราดเข้ากวาดต้อนความหวานอย่างเอาแต่ใจ

    ความรู้สึกอึดอัดถาโถมเพียงแค่อี้ชิงหลับตา จูบที่ดึงดันทำให้เห็นเพียงภาพใบหน้าของใครคนอื่นเข้ามาซ้อนทับจนหายใจไม่ออก เขาสะบัดหน้าหนีแต่ก็ไม่พ้นเพราะถูกมือใหญ่ล็อคไว้ ความกลัวจับขั้วหัวใจทำให้เขาปฏิเสธแม้คนตรงหน้าจะเป็นคนที่รัก
    ทว่าเมื่อความเกรี้ยวกราดล่วงล้ำก้ำเกินเข้ามาอย่างลึกซึ้ง รสชาติขมปร่าก็ทำให้อี้ชิงหยุดขืน ความเจ็บปวดที่เจืออยู่ในรสจูบในทำให้หัวใจดวงน้อยต้องปวดร้าวไม่แพ้กัน เมื่อสำนึกได้ว่าเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้พี่คริสต้องเจ็บ ทั้งที่ต่างโหยหาและคิดถึงกันและกัน แต่จูบที่เคยอ่อนโยนและอ่อนหวานนั้นกลับถาโถมและหนักหน่วงอย่างที่อี้ชิงไม่เคยคุ้น กระทั่งเรียวลิ้นเล็กที่ถูกไล่ต้อนจนอ่อนล้านั้นต้องยอมตอบรับในที่สุด หากไม่อาจลบล้างความผิดครั้งนี้ได้ อี้ชิงขอเพียงได้แบ่งเบาความเจ็บปวดจากร่างสูงได้บ้างก็ยังดี
     
    หยาดน้ำใสที่ร่วงหล่นจากปลายหางตากระทบกับนิ้วมืออุ่น คริสจึงค่อยถอนริมฝีปาก ดึงใบหน้าออกห่างแค่เพียงลมหายใจกั้น แรงโทสะค่อยจางลงเมื่อได้เห็นร่างเล็กหอบหนัก กลีบปากอิ่มเจ่อช้ำและจัดสีเพราะน้ำมือของเขา
    “พี่คริส...” น้องครางชื่อเขาเสียงสั่น ตาคู่สวยแดงช้ำด้วยน้ำตาและแรงสะอื้น แต่ทว่ายังมองสบดวงตาของเขาอย่างแน่วแน่ คริสถอนหายใจบางเบา เขาไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษน้องแบบนี้เลยจริงๆ แต่หัวใจมันเจ็บเพียงแค่ได้ยินว่าใครคนอื่นได้ล่วงเกินริมฝีปากนุ่มที่เขารักนักหนา ยิ่งคิดว่าเป็นเพราะแบบนี้อี้ชิงถึงห่างเหินจากเขาด้วยแล้ว...
    “ทำไมไม่บอกพี่”
    “ผมกลัว กลัวพี่คริสโกรธ กลัวไปหมดเลย”
    “เราเป็นแบบนี้ รู้มั้ยพี่ทรมานใจแค่ไหน อยู่ดีๆ ก็ไม่อยากให้พี่เข้าใกล้ พี่คิดมากไปต่างๆ นานา คิดว่าพี่เร่งรัดอี้ชิงเกินไปหรือเปล่า หรือว่าพี่ทำตัวน่าเบื่อจนเรารำคาญ”
    “ผมขอโทษ...”
    “ถ้ารู้ว่าอี้ชิงเจอเรื่องอะไรมา พี่ก็คง...” คริสยอมรับว่าเขาโกรธ แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนั้น อี้ชิงคงเสียขวัญมากจนไม่สบายไป คริสไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรัก เขาเอาแต่คิดถึงตัวเอง ในขณะที่อี้ชิงต้องเก็บกดความกังวลไว้กับตัวจนกลายเป็นแบบนี้ ความผิดเขาเองแท้ๆ สมควรต้องโกรธตัวเองมากกว่า คริสกัดฟันตัวเองจนได้ยินเสียงกรอด สองมือที่ยังประคองแก้มขาวนั้นเผลอออกแรงโดยไม่รู้ตัว และอี้ชิงก็รู้สึกได้ถึงความกดดันนั้น
    “พี่คริสโกรธผมหรือเปล่า...” ทว่าคริสส่ายหน้า
    “พี่โกรธตัวเองมากกว่า โกรธที่ดูแลคนที่รักไม่ได้ ปล่อยให้คนอื่นมารังแก”
    “ฮึก... พี่คริส...” หยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้มขาวอีกครั้ง คริสโทษตัวเองเหลือเกินที่ทำให้แก้มนวลต้องบอบช้ำถึงเพียงนี้ ริมฝีปากอุ่นจึงแต้มจูบซ้ำๆ หมายซับหยาดน้ำตาให้แห้งหาย ปลอบโยนกระทั่งเสียงสะอื้นจางลง
    “ยังกลัวอยู่หรือเปล่า?”
    “ผม... ไม่รู้...”
    “หลับตาสิ” อี้ชิงลังเลอยู่เพียงครู่ก็ปิดเปลือกตาลงอย่างว่าง่าย เด็กดีของคริสน่ารักแบบนี้เสมอ คริสจึงลูบมือบนกลุ่มผมนุ่มเบาๆ ก่อนจะแต้มจูบเหนือหน้าผากเนียนอย่างแสนรัก ริมฝีปากอุ่นลากไล้ผ่านผิวแก้มหอมแล้วจึงกระซิบเสียงอ่อนที่ริมใบหู “ไว้ใจพี่นะ ตรงนี้มีแค่พี่คนเดียวเท่านั้น”
    อี้ชิงพยักหน้าน้อยๆ ทั้งที่ยังหลับตา ทว่าเพียงริมฝีปากอุ่นประทับลงเบาๆ บนกลีบปาก ร่างเล็กก็กลับสะดุ้ง 
    “อย่านึกถึงคนอื่น ...ลืมเรื่องทุกอย่างไปให้หมด ...ฟังแค่เสียงพี่ ได้ยินใช่มั้ย” กระซิบเสียงปลอบผ่านรอยจูบที่แตะแต้มทั่วทั้งริมฝีปาก กระทั่งร่างเล็กคลายอาการเกร็งขืน คริสจึงดูดดึงกลีบปากนุ่มย้ำๆ จนได้ยินเสียงครางผะแผ่ว เมื่อความกลัวจางหายกลายเป็นความหวานซึ้ง จูบแสนหวานจึงถูกป้อนพร้อมถ้อยคำหวานหู 

    “พี่รักอี้ชิงนะครับ”

    หัวใจเต้นแรงราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้ฟัง เมื่อความอ่อนโยนโอบกอดประคองกาย ความหวาดกลัวจึงค่อยจางหาย จูบหวานช่างละเมียดละไมเมื่อถูกละเลียดป้อนให้จากคนที่รัก อุ่นอวลไอหวานโอบอุ้มราวกับทั้งร่างจะลอยได้ สองมือเล็กจึงไต่ขึ้นโอบรั้งช่วงไหล่กว้างเป็นที่ยึด ปล่อยให้คนที่ช่ำชองกว่านำพาความหวานนี้ไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด จางอี้ชิงเป็นเด็กไม่ดีเสียแล้ว เขาโหยหาริมฝีปากอุ่นหวานนี้เหลือเกิน ...ขาดไม่ได้ ...หลงใหลเกินกว่าจะถอนตัวได้แล้ว
     
    “ไม่เป็นอะไรแล้วเห็นมั้ย” คนตัวเล็กปรือตาขึ้นช้าๆ น้ำตาที่ยังเอ่อคลอทำให้ตาคู่สวยยิ่งหวานฉ่ำ แก้มใสเรื่อสีแดงอย่างน่ารัก กลีบปากอิ่มจัดสีและวาววามจนคนที่มองนึกอยากจะลองลิ้มอีกซักครั้ง
    “พี่คริส...” หากเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเขินอายอีกเพียงครั้ง หัวใจของคริสก็พองโตไปถึงไหน โอบแขนรับเมื่อน้องโถมทั้งตัวเข้าหา “ต่อไปนี้ผมจะดูแลตัวเอง ผมสัญญานะครับ ว่าจะไม่ทำให้พี่คริสต้องเป็นห่วงอีก”
    อี้ชิงให้คำมั่นอยู่กับอกของเขา คริสยังส่ายหน้าน้อยๆ ทว่าไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะหวงแหน เขาถึงได้แค้นเคืองนักที่คิมจงอินที่บังอาจมาแตะต้องหัวใจดวงนี้ แต่ยิ่งโกรธตัวเองที่ละเลยปล่อยให้คนอื่นมารังแกอี้ชิงได้ ทว่าหากเขายิ่งโกรธเท่าไหร่ อี้ชิงยิ่งโทษตัวเองมากกว่า น้องรู้สึกผิดถึงไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ เช่นนั้นแล้วคริสก็ไม่ควรตอกย้ำ ไม่อยากให้เกิดบาดแผลในใจให้อี้ชิงเก็บมาคิดมากในซักวัน 
    ดังนั้นคริสจึงได้แต่บอกกับตัวเองว่าเขาจะต้องดูแลอี้ชิงให้ดีกว่านี้ จะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้อี้ชิงได้อีก ไม่ว่าใคร... ก็ไม่มีทางมาพรากอี้ชิงของเขาไปได้ทั้งนั้น
    ฝังจมูกโด่งสูดกลิ่นหอมของกลุ่มผมนุ่มและกดจูบหนักๆ ลงอีกครั้ง ก่อนที่คริสจะพรอดเสียงแผ่ว
    “ชื่นใจพี่แท้”
    คนน่ารักเอาแต่ซุกกายเข้าหาอกกว้างราวกับโหยหาความอบอุ่น หารู้ไม่เลยว่าผิวเนื้อนุ่มหอมนั้นทรมานใจเจ้าของอ้อมแขนนี้แค่ไหน 
    “แบบนี้น่ะ ไม่ดีเลยน้า...” 
    “ครับ?” กระต่ายน้อยช้อนตาขึ้นมองอย่างไร้เดียงสา เพียงแค่นั้นกล้ามเนื้อใต้อกอุ่นก็กรีดร้องอย่างบางคลั่ง แต่คริสทำได้แค่แต้มจูบเหนือปลายจมูกเล็ก บอกแกมหยอก
    “ก็พี่อยากกอดอี้ชิงเร็วๆ แล้วน่ะสิ” คนเป็นน้องทำปากยู่อย่างไม่รู้ความ
    “ก็กอดอยู่นี่ไง” อยากกอดก็ให้กอด แล้วพี่คริสจะงอแงอะไร แต่เมื่อคำเฉลยนั้นมาพร้อมจูบเบาๆ ที่ใบหูนิ่ม ดวงหน้าหวานก็ต้องร้อนผ่าวเมื่ออี้ชิงเข้าใจความหมาย
    “พี่หมายถึง อยากกอดให้แน่นกว่านี้ต่างหาก” เสียงครางฮื่อกับมือเล็กออกแรงทุบอกหนาเบาๆ นั้นทำให้คริสหัวเราะออกมา จางอี้ชิงของคริสน่ารักที่สุดก็ตอนที่เขินอายแบบนี้ 
    “เฮ้อ เมื่อไหร่จะปิดเทอมซักทีนะ อยากไปไหว้คุณพ่อตากับคุณแม่ยายจะแย่อยู่แล้ว”
    “รอไปก่อนเถอะ อีกสองอาทิตย์โน่นแหละ” ตอบเสียงอู้อี้ทว่าน่ามันเขี้ยวนัก เลยโดนลงโทษด้วยการเสียแก้มให้คนเจ้าชู้หอมไปสองฟอดใหญ่ อี้ชิงถูกกอดเอาไว้แน่นแบบนี้ จะหนีไปไหนพ้น
    ยิ่งน้องครางฮื่อ คริสก็ยิ่งหัวเราะ ความสุขของคริสกินพื้นที่แค่เพียงอ้อมแขน แต่ยิ่งใหญ่ราวกับโลกทั้งใบ ล้ำค่าราวกับชีวิต ขอเพียงมีอี้ชิงอยู่ด้วยกันตรงนี้ ให้คริสแลกกับอะไร เขาก็ยอมทั้งนั้น คริสบอกกับตัวเองอย่างหนักแน่น 
    ไม่ว่าวันข้างหน้าจะต้องเผชิญกับอะไร... เขาจะไม่มีวันเสียใจ และจะไม่ยอมเปลี่ยนใจไปจากความรักนี้แน่










    จบตอน ^^






    คนรอง: นึกว่าจะจบไม่ลงซะแล้ว ^^" 
    ยาวมากกกกก ดราม่ามากกกกก เขียนยากมากกกกก  = =" (หาข้ออ้างให้กับความล่าช้าของตัวเอง) 
    ความรู้สึกของพี่คริสในตอนนี้เป็นอะไรที่เขียนออกมาได้ยากมากจริงๆ กลัวจะสื่อไม่ได้ ไม่เข้าใจกัน
    แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับทุกการติดตามและรอคอยนะคะ เรื่องราวต่อๆ ไปกำลังจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้...

    เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×