ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BL] เป้าหมายของข้าคือ HaRem!!

    ลำดับตอนที่ #20 : ย้อนยุค 18 (100%) : คนงามทั้งสองเเห่งสำนักม่านหมอก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.37K
      503
      3 พ.ค. 60




    ย้อนยุค 18

    คนงามทั้งสองแห่งสำนักม่านหมอก

     

    ยามเย็นเรือนกระเรียนขาวครื้นเครงขึ้นมาก สือโถวเลิกคิ้วสงสัย ปกติเรือนกระเรียนแห่งนี้มักจะเงียบเป็นเป่าสาก เพราะเเต่ละคนเอาเเต่หมกตัวอ่านหนังสือ ไม่ก็ไปส่องสาวที่อยู่ฟากตรงกันข้ามของภูเขา ไหนเลยจะส่งเสียงเอะอะเช่นนี้

    "หอเราจัดงานหรือ?" เเม้เเต่เพ่ยอาที่อยู่เคียงข้างกันยังสงสัย เขาส่ายหัวให้อีกฝ่าย พึ่งไปฝึกดาบกับเจ้ามา กลับก็กลับพร้อมกัน จะไปเบิกเนตรรู้เรื่องราวในเรือนได้ไงวะ

    ทันทีที่ย่างเข้าไปในเขตเรือน อวี้อิ๋นก็พุ่งมา "หายไปไหนตั้งเเต่บ่าย!"

    "ฝึกดาบกับเพ่ยอามาน่ะ" ฝีมือเด็กหนุ่มใช้ได้เลย ทั้งเก่งกาจเเถมยังตั้งใจสอน ผิดกับอาจารย์ส่วนตัว สอนทีนี่เลือดหนองหน้า...

    หมายถึงเลือดข้าน่ะนะ

    "สวัสดี" เพ่ยอายิ้มหล่อ ดวงตาสีเทาส่องประกายอ่อนโยน อวี้อิ๋นรีบคำนับตอบ

    "สวัสดีขอรับ เอ่อ ศิษย์พี่"

    "เรียกข้าเพ่ยอาเฉยๆ ก็ได้ข้าไม่ถือ"

    "ได้!" ไอ้นี่ก็ตอบเร็วไป "สือโถว เจ้าดูสิว่าใครมาพักเรือนกระเรียนขาว" อวี้อิ๋นเอียงตัวหลบให้สือโถวกับเพ่ยอาเห็นได้ชัดๆ ที่ใจกลางของกลุ่มคน หนุ่มน้อยรูปงามนัยน์ตาสีเขียวกำลังหัวเราะอยู่กับเหล่าศิษย์พี่ นอกจากนี้ยังมีหนุ่มน้อยอีกหลายคนที่เเต่งชุดสำนักเดียวกับลู่เจ๋อปนอยู่ สือโถวหันมาหาอวี้อิ๋น "ทำไมลู่เจ๋อได้มาพักที่เรือนเราล่ะ"

    ศิษย์สำนักม่านหมอกเขาไม่เเปลกใจหรอก เเต่ลู่เจ๋อมีฐานะเป็นถึงคุณชายน้อย น่าจะไปพักที่เรือนใหญ่กับพวกท่านเจ้าสำนักมากกว่า

    "เพราะนายน้อยโจวนอนที่นี่น่ะสิ"

    "หะ!?"

    พี่ชายคนงามน่ะหรือ

    อวี้อิ๋นพยักหัวยืนยัน "ดูเหมือนคนสำคัญในครั้งนี้จะมีมากเกินไป นายน้อยโจวกลัวจะเกิดความวุ่นวายขึ้น เลยลงทุนมานอนที่นี่เพื่อควบคุมดูเเลอย่างใกล้ชิดไงล่ะ" ร่างเล็กขยับเข้ามากระซิบ "พอลู่เจ๋อรู้ก็บุกเข้ามาขอนอนที่นี่ด้วยเลยนะ ข้าชักสงสัยเเล้วสิ ว่าเขาหรือลู่เหลียนกันเเน่ที่เป็นคู่หมั้นนายน้อย"

    "โอ้" ข้ากับเพ่ยอาอุทานพร้อมกัน บ๊ะ ทั้งพี่ทั้งน้องเลยงั้นรึ สมกับเป็นคนงาม

    เเต่ช่างเถอะ

    "ข้าหิวเเล้ว เฮ้ย เพ่ยอา เจ้าก็ทานข้าวพร้อมพวกข้าเลยสิ"

    "อื้ม เอาสิ ข้าหิวอยู่พอดี"

    เขาหัวเราะถูกใจ กอดคอคนตัวสูงไปโรงอาหารรวม อวี้อิ๋นส่ายหัว ไม่ระวังตัวเลยจริงๆ เด็กหนุ่มได้เเต่อ่อนอกอ่อนใจรีบสาวเท้าตามคนตัวสูงทั้งคู่ไป

     

    ขณะกำลังสนทนาถึงเทคนิคการใช้ทวนต่อสู้ระยะประชิด เรือนร่างงดงามในชุดสีฟ้าก็ตบลงบนโต๊ะจนอาหารในจานเเทบกระฉอก สือโถวหยุดชะงัก ขมวดคิ้วใส่ลู่เจ๋อ

    ใบหน้าน่ารักเชิดขึ้น "เจ้าน่ะหรือ สือโถว" น้ำเสียงค่อนเเคะไม่มีปิดปัง สายตาดูถูกราวกับเขาเป็นมดปลวกที่น่ารังเกียจ

    อวี้อิ๋นชักสีหน้าไม่พอใจ สือโถวเพียงครางอืมในลำคอ

    "เหอะ หน้าตาก็ขี้หลิ้วขี้เหล่ ผิวก็ดำมืดเหมือนพวกไม่มีการศึกษา พี่เจว่ยชอบเจ้าที่ตรงไหนกัน"

    ตรงที่ไม่มองคนจากภายนอกล่ะมั้ง

    สือโถวดึงสหายที่ทำท่าจะลุกขึ้น "มีธุระอะไรกับข้าหรือ"

    "ใครจะอยากเสวนากับเจ้า เเค่อยากจะมาดูน้ำหน้า ว่าใครกันที่พี่เจว่ยยอมละเมิดกฎรับเข้ามาในสำนักโดยไม่ทำการทดสอบ" ลู่เจ๋อกอดอกเชิดหน้าขึ้นอีก สือโถวเเอบกลัวว่าพี่เเกจะคอเคล็ดเเทน "ดูเเล้วก็ไม่เท่าไหร่ เจ้าไม่อายบ้างรีไงที่ยังเชิดหน้าชูตาอยู่ที่นี่ หรือหนังหน้ามันหนาจนไม่รู้สึกอะไรเเล้ว?"

    "เจ้า!" ขนาดผู้ชายอ่อนโยนอย่างเพ่ยอายังทนไม่ได้ หนึ่งในศิษย์ม่านหมอกกระซิบข้างหูลู่เจ๋อ เด็กหนุ่มหันมาพิจารณาเพ่ยอากว่าเดิม "ก็นึกว่าใคร ที่เเท้บุตรคนกลางของพ่อค้าใหญ่ซูนี่เอง เจ้าคิดดีเเล่วหรือที่ทำเป็นรู้จักมักจี่กับเจ้าขี้ข้านี่"

    "ข้าจะเป็นเพื่อนกับใคร ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าที่ต้องมาใส่ใจ"

    "หึ ถือว่าข้าเตือนด้วยความหวังดีไปเเล้วละกัน ส่วนเจ้า ขืนยังเสนอหน้าอยู่ข้างกายพี่เจว่ย อย่าหาว่าข้าใจร้ายทีหลัง!"

    ร่างบางกระเเทกไหล่เพ่ยอาออกจากโรงอาหาร อวี้อิ๋นจับตะเกียบกระเเทกลงกับจานข้าว "นั่นปากคนหรือสุนัข เเต่ละคำช่างเห่าหอนไม่สมกับเป็นผู้ดีเลยสักนิด"

    "อ่า" สือโถวตอบรับ คีบผักคะน้าน้ำมันหอยเข้าปากอย่างเป็นสุข อวี้อิ๋นเห็นดังนั้นหัวเเทบลุกเป็นไฟ

    "ยังจะมากินอยู่ได้ โกรธบ้างเซ่!!"

    "หือทำไมต้องโกรธ หมอนั่นก็พูดถูกทุกอย่างนี่"

    "หา?"

    สือโถววางตะเกียบลง "ข้าอยู่ในสำนักนี้เพราะนายน้อยช่วยจริง เจ้าเองก็รู้ดี หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวอันนี้ข้าก็โดนว่าจนชินเเล้ว มีอะไรน่าโกรธวะ"

    หนักกว่านี้ก็เคยเจอ เเบกของเข้าจวนอยู่ดีๆ โดนคนของทางการลากไปไตร่สวนหาว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องเฉยเลย เดือดร้อนอาเยี่ยนต้องวิ่งเต้นช่วยเขาออกมา

    ไอ้โดนด่าเเค่นี้จิ๊บๆ ชิวๆ ไม่เจ็บไม่คันสักนิด

    เพ่ยอากับอวี้อิ๋นอึกอั่ก ก่อนเพ่ยอาจะนั่งลงเเล้วพูดบ้าง "ความจริงเจ้า เอ่อ หน้าตาดีมากนะสือโถว ไม่ได้น่าเกลียดเเม้เเต่น้อย"

    "ใช่ๆ ไอ้ลิงจ๋อนั่นยังสู้เจ้าไม่ได้ ถึงได้มาดีดดิ้นอย่างนี้ไงเล่า"

    "อ้อ"

    สือโถวพูดเพียงเท่านี้ ลงมือทานข้าวในจานต่อ เพ่ยอากับอวี้อิ๋นลอบมองหน้ากัน ดูท่าสือโถวจะไม่ได้ใส่ใจคำพูดของพวกเขาเลยเเม้เเต่น้อย ไม่สิ ขนาดลู่เจ๋อตามมาด่าถึงนี่ เขายังไม่สนใจเลย!

    หลังจากทานข้าวเสร็จด้วยอารมณ์สุขสมของสือโถว เเต่อารมณ์ขุ่นเคืองของอวี้อิ๋น พวกเขาสามคนพากันไปปีกตะวันตกหมายจะเล่นหมากล้อมระหว่างย่อยอาหารเสียหน่อย

    ระหว่างทางขึ้นไปชั้นสอง เงาร่างคุ้นเคยในชุดสีดำกำลังกอดอกยืนพิงเสาใหญ่อยู่ปลายบันได สือโถวรีบก้าวเข้าไปคำนับอาจารย์ส่วนตัว

    "ท่านตงฉิน"

    "อืม นั่นใคร?" ดวงตาคมปลายส่อประกายอันตราย เพ่ยอาเผลอกลืนน้ำลายดังเอื้อก

    "ศิษย์พี่ที่เรือนกระเรียนขอรับ วันนี้เขามาเป็นคู่ซ้อมให้ข้า"

    ตงฉินกวาดสายตามองเพ่ยอาวูบหนึ่ง ก่อนเบนออกไม่สนใจ

    "ข้าจะมาบอกเจ้า ช่วงนี้จะไม่มีการซ้อมตอนเย็นจนกว่าเขตเเดนเเละค่ายกลจะเสร็จ" สือโถวได้ยินตามนั้นก็เเทบจะร้องเฮ "หากอยากฝึกด้วยตนเอง ก็ไปวิ่งรอบภูเขาห้ารอบ โดดน้ำตกอีกสามรอบนะ"

    "..."

    พูดซะอย่างกับน้ำตกคือสไลเดอร์งานกาชาด อยากกระโดดเมื่อไหร่ก็ได้มั้ง ถ้าสูงสามสิบเซ็นข้าจะไม่ว่าเลย เล่นสูงสามสิบเมตรใครจะไปบ้าจี้โดดฟะ!

    หรือเป็นประโยคความนัยสั่งให้ไปตาย?

    "เรื่องนี้ส่งคนมาเเจ้งเอาก็ได้นี่ขอรับ"

    ไม่จำเป็นต้องให้พี่เเกเยื้องย่างจากเรือนพยัคคำรามมาถึงนี่เลย

    "ข้าอยากมาบอกด้วยตัวเอง!"

    เเล้วทำไมต้องตะโกนด้วยเล่า! สือโถวบ่นอุบในใจ เออ ตามใจพี่เเกเลย อยากลงห้วย ว่ายน้ำเล่น ตีฉิ่งกับหมา ตบกับควายก็ตามใจเลย! ฮึ่ย

    "พี่ตง" เสียงอ่อนหวานพร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยเข้ามากระทบจมูก พวกเขาทั้งหมดหันไปตามทิศทางของเสียง ลู่เหลียนยืนอมยิ้มอบอุ่นมาให้ ด้านหลังคือสาวใช้ประจำตัวสี่คน เเต่ละคนงดงามไม่ต่างกัน เเต่สิ่งที่ทำให้พวกสือโถวตกใจคือ ที่นี่มันเรือนกระเรียนขาว พูดง่ายๆให้เข้าใจคือ หอชายล้วน!

    ตงฉินส่งสายตามาให้ ด้วยความเป็นศิษย์อาจารย์มาสักพัก เขาย่อมรู้ใจอาจารย์มากกว่าใคร!

    สือโถวสะกิดเพื่อนทั้งสอง "พวกเราไปกันเถิด ให้ท่านรองมีเวลาเกี้ยว เเฮ่ม คุยกับหญิงบ้าง"

    ดวงตาของตงฉินเข้มขึ้นกว่าเดิม ชายหนุ่มถลึงตาใส่สือโถวจนลูกตาเเทบหลุดออกมา

    อ่าว ไม่ใช่เหรอ

    "ทำไมมาอยู่ที่นี่" ตงฉินกล่าวกับสาวงามเสียงเครียด ดวงตากลมโตใต้เเพหนาสั่นครือ ร่างบางขยับเข้ามาใกล้ตงฉินจนเเทบชิดกัน ดูอ่อนหวานเเละออดอ้อนไปในที

    "ข้าได้ยินว่าน้องชายของข้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่ จึงจะพาเขากลับไป พี่ตง พี่อย่าตำหนิข้าเลยนะ ข้าเป็นห่วงน้องจริงๆ"

    สือโถวเลิกคิ้ว นางรักน้องจริงๆหรือ ตั้งเเต่เดินทางมาถึง นางเหมือนเป็นพี่สาวผู้ห่วงน้องชายอย่างใจจริง ไฉนคำพูดที่ออกมาถึงทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าลู่เจ๋อเป็นเด็กมีปัญหา ไม่รู้ความ เอาเเต่สร้างความเดือดร้อนกัน?

    เออ คิดดูอีกทีก็เกเรจริงว่ะ

    โดนสาวงามเว้าวอนขนาดนี้ ท่านรองจะทำอะไรได้ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก กล่าวตักเตือนอีกฝ่ายเสียงนุ่ม "งั้นก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าให้คนของข้าดูเเลเขาเอง เจ้ารีบกลับไปเถอะ สถานที่นี้มีเเต่บุรุษ เจ้าจะดูไม่ดี"

    "ขะ ข้ารบกวนท่านไปส่งข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ตอนมาข้าร้อนใจไปหน่อย ลืมคิดไปว่าที่นี่..." เสียงหวานเงียบไป ตงฉินรู้ดีว่าลู่เหลียนหมายถึงอะไร ชายหนุ่มตกปากรับคำ ก่อนจะไปหันมาหาพวกเขาที่ยืนจะเป็นตัวประกอบเหมือนเสาต้นนี้ไปเเล้ว

    "ทำตามที่ข้าบอก ไปโดดน้ำตกสิบรอบระหว่างที่ข้าไม่อยู่"

    "หา!!?"

    เดี๋ยว! เมื่อกี้พี่ท่านบอกว่า 'ถ้าอยากฝึก' ไม่ใช่เหรอ!? เจอคนงามอ้อนหน่อยนี่ หัวสมองกลับถึงขั้นวางเเผนฆ่าลูกศิษย์ตัวเองเลยเรอะ!

    ไม่ต้องรอให้ถึงสิบรอบ รอบเดียวข้าก็ไปกราบกรานคุณทวดที่สวรรค์เเล้วเหอะ

    "ผู้นี้" ใบหน้ารูปไข่เอียงไปทางซ้าย สือโถวรีบปรับท่าที "ข้าชื่อสือโถวขอรับ เป็นศิษย์สำนักรุ่นที่ห้าสิบเก้า"

    ดวงตาสีเขียวมีประกายบางอย่างวูบผ่าน นางเเย้มยิ้มมากกว่าเดิม

    "ศิษย์ที่ท่านพี่ให้ความเอ็นดูนี่เอง ท่านพี่พูดถึงท่านให้ข้าฟังตลอดเลยนะเจ้าคะ ทำเอาข้าอยากรู้จักท่านขึ้นมาเลย" นางประกบมือเข้าหากันอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ทำไมสือโถวกลับรู้สึกเสียวสันหลังกับรอยยิ้มนั้นชอบกล

    "ท่านกล่าวเกินไปขอรับ"

    "ข้าพูดจริงนะเจ้าคะ บ่าวในจวนเศรษฐีที่สามารถเข้ามาศึกษาในสำนักเหม่ยลี้ที่เต็มไปด้วยบุตรของผู้มั่งคั่งทั่วหล้า ใครบ้างจะไม่อยากรู้จัก"

    เพ่ยอากับอวี้อิ๋นหันมามองสือโถวอย่างตกใจ เขาเกาเเก้ม "อ่าว? ข้าไม่เคยเล่าให้พวกเจ้าฟังเหรอ"

    "ก็ไม่เคยน่ะสิ! ข้านึกว่าเจ้าเป็นลูกของคนในหน่วยอินทรีย์โลหิตเลยได้มาเรียนที่นี่ด้วยซ้ำ"

    ถ้าข้าต้องมีพ่อที่เเอบดูเด็กผู้ชายอาบน้ำ ข้าจะเอาสายรกรัดคอตนเองตั้งเเต่อยู่ในท้องเเม่!

    "อุ้ย ข้าพูดอะไรที่ไม่ควรไปรีเปล่าเจ้าคะ?"

    "เปล่า มาเถอะลู่เหลียน ข้าจะไปส่งเจ้า ขืนดึกกว่านี้จะไม่ดี"

    "ถ้าพี่ตงว่าเช่นนั้น...ก็ได้เจ้าค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะเจ้าคะ สือโถว"

    "ขอรับ"

    ลับร่างของคนกลุ่มนั้น อวี้อิ๋นก็เข้ามาล็อกคอสือโถว "นี่มันอะไรกัน พูดมาให้เคลียร์นะ!!"

    "คำศัพย์เจ้าพัฒนาขึ้นอีกขั้นเเล้วสิ"

    "สือโถว!"

    "จ้าๆ" สือโถวพาทั้งสองไปนั่งในห้องนอน พอจะเริ่มเปิดปากเล่า เด็กหนุ่มร่างเล็กก็ยกมือห้าม วิ่งออกห้องไป ผ่านไปห้านาทีก็ลากหลิวจี่มาด้วย เด็กหนุ่มดูงงงวย มือข้างหนึ่งยังถือหมอนติดอยู่เลย

    "ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าเป็นบ่าวในจวนเศรษฐีที่ถูกขายในราคาสามอีเเปะ ภายหลังนายน้อยก็มาไถ่ตัวให้มาอยู่กับเขาเนี่ย"

    หลิวจี่ที่ทำหน้าง่วงงุน พอฟังจบประโยคดวงตาก็สว่างโร่ เห็นท่าทีของเเต่ละคนสือโถวจึงถามออกไป

    "พวกเจ้ารังเกียจ?"

    เขาพอรู้ว่าเรื่องฐานะมีผลต่อคนในยุคนี้มากเเค่ไหน ตอนอยู่ในจวนเศรษฐีเขารู้ดีที่สุด เด็กที่ตายไปด้วยเเส้ก็มีเยอะ บาดเจ็บจนพิการก็ไม่ได้น้อยกว่ากัน

    เพียงเพราะพวกเขาคือมนุษย์ที่ถูกขาย จึงถูกปฎิบัติไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง ถึงตายไปก็ไม่มีค่า

    "ไม่ใช่!" หลิวจี่เป็นคนเเรกที่โพล่งขึ้นมา "เเต่หากมีใครรู้ที่มาของเจ้า เจ้าจะลำบากนะอาสือ"

    "พวกข้ากำลังคิดหาวิธีช่วยอยู่ต่างหาก" อวี้อิ๋นบ่นบ้าง "อา ที่นี่มีเเต่พวกสูงส่ง ขืนรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงบ่าว มีหวังรังเเกเจ้าเเน่ๆ"

    "เอาจริง ตอนอยู่ที่จวนเศรษฐีข้าก็โดนมาไม่ใช่น้อยนะ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก"

    ทั้งลอบตีหัวเอย ยกพวกมากระทืบเอย ข้าว่าชีวิตคงไม่มีอะไรพีคไปมากกว่านี้เเล้วละ

    "ดะ โดนรังเเก?" เพ่ยอาพึมพำ สักพักใบหน้าหล่อเหลาก็มีสีเเดงเเต่งเเต้ม สือโถวกำลังงงว่าชายหนุ่มเป็นอะไร อวี้อิ๋นกับหลิวจี่ก็ตบหัวร่างสูงดังป้าบ!

    "ห้ามคิดอกุศลกับเพื่อนข้านะ!"

    "เอาเป็นว่าเจ้าอย่าบอกใครเรื่องนี้ดีกว่านะ" หลิวจี่ให้คำเเนะนำ

    ใบหน้างดงามอ่อนหวาน สลับกับใบหน้าดื้อรั้นเอาเเต่ใจลอยเข้ามาในความคิด

    สือโถวกระตุกยิ้มมุมปากให้หลิวจี่

    "เรื่องนั้นท่าจะยากเเล้วล่ะ"

    เพราะดูท่าว่าจะมีคนประกาศเเทนข้าเรียบร้อยเเล้ว


    เป็นอย่างที่คิด เพียงสองวันเรื่องที่เป็นบ่าวสามอีเเปะในจวนเศรษฐีก็เเพร่กระจายไปทั่วเหมือนไฟลามทุ่ง ท่าทีของทุกคนเปลี่ยนไป...ในทางเเปลกๆ

    'เจ้าขายเท่าไหร่?'

    สือโถวที่กำลังถอดชุดของสำนักออกชะงัก เขามองชายหนุ่มที่เข้ามาทักระหว่างจะอาบน้ำงงๆ

    'หมายถึงเสื้อนี่น่ะเหรอ?'

    ชูชุดเเขนกุดตัวยาวสีดำ ชายหนุ่มทำหน้าหงุดหงิด 'ไม่ใช่! ข้าหมายถึงเจ้าต่างหาก ทำไม? อยากจะขึ้นราคาค่าตัวหรือ? หึ ได้นะ เอาสักห้าอีเเปะเป็นอย่างไร'

    'ได้ ถ้าเจ้าทนหมัดข้าได้สามหมัด ข้าจะยอมละกัน'

    'หะ? ดะ เดี๋ยว!'

    ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!

    'อุ้ยตาย เผลอเพิ่มเป็นห้าซะเเล้วสิ พี่ชายไหวมั้ย' สือโถวพูดด้วยน้ำเสียงตายด้าน ก้มมองร่างสูงที่นอนสลบเลือดกลบปากอยู่บนพื้น ร่างสูงผอมผิวสีเทนกวาดสายตาไปยังบุรุษคนอื่นที่อยู่ในห้องน้ำรวม เเต่ละคนหลบตาวูบ 'หากใครอยากจะลองดี ก็มาได้ทุกเมื่อ บ่าวคนนี้พร้อมบริการท่านเสมอ หึ หึ'

    ภายหลังอวี้อิ๋นบอกว่าใบหน้าตอนนั้นของเขาน่ากลัวมาก เเสยะยิ้มทั้งที่มีเลือดติดตามใบหน้าดูหลอนไม่ต่างจากผีเเค้น เเต่ก็ดี ปริมาณคนที่หาเรื่องลดลงเยอะเลยทีเดียว ต้องขอบคุณตงฉินที่สอนวิชาป้องกันตัวให้

    เคร้ง!

    "อย่ามัวเเต่เหม่อสิสือโถว!!"

    เขากระชับทวนยาวในมือเเน่น ยักคิ้วให้เพ่ยอา เพียงเสี้ยววินาทีสายลมเย็นก็พัดผ่าน เพ่ยอาถอนดาบออกพร้อมยกดาบในมือข้างซ้ายอีกเล่มขึ้น

    เคร้ง!

    "คิดว่ามุกนี้จะได้ผลเหรอ"

    เพ่ยอาเอียงคอ มอบยิ้มอ่อนโยนเป็นนิจให้

    "เอ ในสนามรบก็ใช่ว่าต้องใช้อาวุธเเค่ชิ้นเดียวอ่ะเนาะ"

    จบคำพูดเเส้กริชเล่มเล็กก็พุงมาจากด้านล่าง ชายหนุ่มเอียงตัวใบด้านหลัง ปลายกริบเฉียดคางได้รูปไปนิดเดียว สือโถวสถบลั่น พลิกตัวเตะสีข้างร่างสูงทันที เพ่ยอาก็ไม่ยอมเเพ้ ขายาวก็ตวัดมาตั้งรับเช่นกัน

    เปรี้ยง!

    การจับคู่ต่อสู้ฝึกซ้อมในวิชาป้องกันตัว ดุเดือดจนเเทบเรียกว่าการฝึกไม่ได้ เหล่าเพื่อนร่วมเรียนต่างหยุดมือพากันดูการต่อสู้นี้อย่างสนใจ ลืมไปเเล้วว่าสือโถวเป็นเพียงบ่าวสามอีเเปะที่ตนเคยดูถูก

    "เจ้าคิดว่าใครจะชนะ?"

    "ข้าว่าศิษย์พี่เพ่ยอา เขาเรียกมานานกว่าเรา ย่อมได้เปรียบ"

    "เเต่การเคลื่อนไหวของสือโถวก็ไม่เลวเลยนะ! อูย เฉี่ยวไป!"

    เสียงเอะอะโวยวายด้วยความสนุกสนานในสนามประลองทำให้ขบวนที่กำลังเดินมาหยุดชะงัก

    โจวเจว่ยยกพัดปิดใบหน้าส่วนล่าง ชายหนุ่มกำลังพาลู่เหลียนกับลู่เจ๋อเที่ยวชมสำนักตามคำสั่งของบิดา มีตงฉินคอยให้การคุ้มครองไม่ห่าง

    "ดูท่าทางน่าสนุก พวกเราไปดูกันเถอะพี่เจว่ย!" ไม่รอให้ตอบมือนุ่มก็ลากโจวเจว่ยเข้าไปยังโซนฝึกซ้อม ตงฉินกับลู่เหลียนจำต้องเดินเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้

    ตึง

    เคร้ง

    เฮฮฮฮฮฮ

    พอเห็นว่าใครเป็นคนประลองอยู่ ลู่เจ๋อชะงักทันใด ผิดกับโจวเจว่ยที่ดวงตาเป็นประกาย

    เด็กหนุ่มร่างสูงผอมฉีกยิ้มกว้าง ผมสีดำหยักศกรวบสูงพริ้วไหวกลางอากาศยามเคลื่อนตัวราวเสือปราดเปรียวกลางทุ่งหญ้า เเสงเเดดที่สาดส่องมากระทบหยาดเหงื่อจนเกิดเป็นประกาย สือโถวคว้าทวนพุ่งเข้าฟาดฟันเพ่ยอาไม่หยุดพัก ดูสนุกสนานเพิดเพลินกับการต่อสู้นี้ยิ่งนัก

    "ว้าว สือโถวเก่งจังเลยเจ้าค่ะ ท่านพี่"

    "อื้ม" โจวเจว่ยรับคำ ไม่นานผลการตัดสินก็ปรากฎ ดาบยาวสองเล่มของเพ่ยอาวางพาดบ่าเด็กหนุ่ม เหล่าคนเชียร์เฮลั่น

    สือโถวทำหน้าเซ็ง เเต่ก็ยอมรับผลเเต่โดยดี เขากำหมัดชกอกเพ่ยอาเล่นๆอย่างหมั่นไส้ ก่อนพากันเดินเข้าข้างสนามที่หลิวจี่กับอวี้อิ๋นยืนรออยู่

    "นายน้อย"

    "ท่านตงฉิน"

    เหล่าศิษย์หุบเขาเหม่ยลี้กล่าวพร้อมกัน พวกสือโถวหันไปด้านหลัง เห็นสี่ร่างเข้ามาใกล้ พวกเขารีบคำนับ

    "ตามสบายเถิด ฝีมือเจ้าพัฒนาขึ้นมากนะ" โจวเจว่ยเอ่ยปากชม ด้วยความดีใจ สือโถวเผลอขยิบตาเเซวท่านอาจารย์ ต้องยกความดีความชอบให้ท่านล่ะนะ

    ท่าทางขี้เล่นของเด็กหนุ่ม ทำให้มุมปากของตงฉินยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมปลาบส่อประกายอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก

    "พัฒนาอะไร เเพ้เเบบนี้ใช้ได้ที่ไหน"

    สือโถวหุบปากฉับ เเหม่ ท่านอาจารย์ ข้าพึ่งฝึกได้เกือบปีเองมั้ย ไม่ใช่นิยายกำลังภายในนะเว้ย ที่ฝึกเเค่สามวันในถ้ำเเม่งเก่งอย่างกับเทพเจ้าหมัดดาวเหนือ

    เห็นชายหนุ่มทั้งสองให้ความสนใจไอ้ขี้ข้า ลู่เจ๋อพลันหงุดหงิดในใจ "เห็นเจ้าเก่งเเบบนี้ ข้าชักอยากประลองกับเจ้าเเล้วสิ ให้เกียรติข้าได้มั้ยขอรับ"

    ลู่เจ๋อทำหน้าใสซื่อ เเสดงออกว่าอยากประลองกับเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ สือโถวหันไปมองโจวเจว่ย

    ชายหนุ่มยกพัดปิดริมฝีปาก "เจ้าอยากประลองหรือไม่ละ หือ?"

    ก็อยากปฎิเสธอยู่หรอกนะ เเต่หนุ่มน้อยเป็นถึงคุณชายของเจ้าสำนักม่านหมอกนี่สิ ขืนบอกปัด พวกเขาคงใช้เรื่องนี่โจมตีหุบเขา หาว่าศิษย์ที่นี่ไม่ให้ความเคารพสำนักม่านหมอกพอดี ผลสะท้อนก็กลับไปยังทางสำนักว่าสั่งสอนศิษย์อย่างไร หรือคิดจะตั้งตัวเเข็งข้อกับยุทธภพ!

    บ๊ะ ประลองเเค่นี้ยังมีเงื่อนงำ ไอ้คนที่ไม่ค่อยใช้สมองอย่างข้านี่เพลียจังเว้ย

    "ขอคำชี้เเนะด้วยขอรับ"

    นี่คือคำตอบของสือโถว

    ตูมีทางเลือกที่ไหนกัน เฮ้อ

    "หามิได้" เด็กหนุ่มรูปงามกระตุกยิ้ม ดวงตาสีเขียวฉายเเววสังหารพาดผ่าน

    พวกเขาสองคนเดินไปยังลานประลองอีกรอบ สือโถวเลือกทวนยาวเป็นอาวุธ ลู่เจ๋อสบัดเเขนเสื้อ กริชเล่มงามสีเงินทั้งห้าก็อยู่เต็มสองฝ่ามือ

    สือโถวก้มมองหินลวดลายวิจิตรใต้เท้า รอสัญญาณเริ่มประลองจากกรรมการ

    อืม กริชงั้นหรือ

    "เริ่มได้!!"

    ร่างสองร่างที่ยืนอยู่เมื่อครู่กลายเป็นเงาทันที เหล่าผู้ชมร้องลั่นด้วยความตื่นเต้น

    เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

    ทวนยาวปัดกริชที่ขว้างเข้ามา สือโถวะเเทงสวนไปยังร่างบาง ลู่เจอหรี่ตาลงเหมือนกำลังดูลิงเเสดงละคร พลิกตัวตีลังกาลงพื้นอย่างงดงาม สะบัดชายเสื้ออีกครั้ง กริชเล่มงามบนพื้นก็ลอยเข้ามาใส่ฝ่ามือดั่งเดิม

    "สือโถวสู้อีกฝ่ายไม่ได้หรอก" หลิวจี่ชักอยากหาอะไรมาปิดหน้า เด็กหนุ่มไม่อยากเห็นเพื่อนโดนยำซักเท่าไหร่

    "อืม คุณชายลู่เป็นผู้มีวรยุทธชั้นสอง ศิษย์ใหม่อย่างสือโถวแพ้แน่" เพ่ยอากล่าวขึ้นบ้าง

    ขั้นวรยุทธมีตั้งเเต่หนึ่งถึงสิบ ปัจจุบันในยุทธภพขั้นสูงสุดยังอยู่ที่เเปด เเถมใช้เเค่ฝ่ามือเดียวก็นับหมดเเล้ว การจะก้าวข้ามเเต่ละขั้น ถ้าไม่ฝึกฝนอย่างหนักหรือมีพรสวรรค์จริง ก็ไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ ขนาดนายน้อยยังอยู่ในขั้นห้า ส่วนท่านตงฉินพี่งขึ้นขั้นห้าไม่นานมานี้

    ฉัวะ!!

    สือโถวกระโดดถอยหลังออกมา บนเเผ่นอกมีรอยกรีดเป็นทางยาวตั้งเเต่สะบักไหล่จนถึงท้อง บาดเเผลไม่ลึก เเต่เสื้อตัวนี้คงใส่อีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้ เขาอยากจะร้องไห้ พังไปอีกตัวเเล้ว!

    ลู่เจ๋อไม่ปล่อยให้เสียเวลาพุ่งเข้ามาระยะประชิด ตวัดกริชฟาดฟันราวกับผีเสื้อร่ายรำ "ข้าบอกเเล้วใช่มั้ย ว่าอย่าเสนอหน้ามาให้พี่เจว่ยเห็นอีก"

    เด็กหนุ่มรูปงามกระซิบลอดไรฟัน

    "อืม"

    เคร้ง!

    "ดูท่าเจ้าจะมั่นใจในหนังหน้าตัวเองพอดู"

    "อือฮึ"

    "งั้นเรามาพนันกัน ระหว่างเจ้ากับข้า พี่เจว่ยจะเลือกใคร!!"

    จบคำพูดร่างบางก็ทำท่าเหมือนโดนเขาต่อยเข้าที่ท้อง ใช้วรยุทธบังคับให้ทวนยาวฟาดกลางลำตัว จนตัวเองกระเด็นไปสามจั้ง

    โครม!!

    "ลู่เจ๋อ!!" ลู่เหลียนกรีดร้อง นางรีบวิ่งไปหาน้องชายที่นอนกระอั่กเลือดอยู่ริมสนามประลอง โจว่ยเจว่ยคว้าข้อมือของลู่เจ๋อขึ้นมาตรวจชีพจร เห็นว่าไม่ได้บาดเจ็บถึงอวัยวะภายในก็ถอนหายใจ

    สือโถวยืนนิ่ง นึกอยากตบมือเเปะๆ โอ้โห ลงทุนทำร้ายตัวเองโดยที่ข้าไม่ต้องทำอะไรเลยเเหะ นับถือ นับถือ

    ลู่เจ๋อพิงอกเเกร่งของโจวเจว่ย ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตา "พี่เจว่ย สือโถวหาว่าข้าเป็นน้องชายที่ไม่ดี คิดจะแย่งท่านจากพี่เหลียน ข้าตกใจจึงเผลอเปิดช่องว่าง อั่ก! พี่เจว่ย ข้าไม่ได้คิดจะทำเเบบนั้นจริงๆนะ"

    ระหว่างพูดลู่เจ๋อกระอักเลือดมาอีกคำ ชวนให้น่าเวทนาสงสาร สายตาตำหนิมากมายจากทั้งในเเละนอกสำนักส่งมาให้สือโถวอย่างอบอุ่น

    เด็กหนุ่มเพียงเลิกคิ้วขึ้น ชมละครต่อไป ว้าว ใครว่าบุรุษใช้มารยาไม่เป็น คนตรงหน้าเขานี่เล่นใหญ่ซะจนอยากมอบรางวัลออสก้าสาขาตอแหลยอดเยี่ยมแห่งปีให้เลย

    นี่ข้าอยู่ในการประลองของสำนัก หรือศึกชิงความชอบของวังหลังกันแน่

    "ลู่เจ๋อ" นางครางเสียงเเผ่ว หยาดน้ำตากลิ้งจากนัยน์ตาสีเขียวราวกับไข่มุก

    "เจ้าอย่าได้คิดมาก ไม่มีใครคิดเเบบนั้นหรอก" โจวเจว่ยลูบหัวเด็กหนุ่ม

    "สือโถว มานี่!!!" ตงฉินตวาดก้อง สือโถวเดินไปหาอย่างว่าง่าย

    เพี้ยะ!!

    อวี้อิ๋นอ้าปากค้าง เเรงตบทำให้ใบหน้าของสือโถวหน้าหันไปอีกทาง มุมปากมีเลือดไหลซึม "คุกเข่าขอโทษลู่เจ๋อเดี๋ยวนี้!"

    ตุบ

    "ขออภัยขอรับ"

    เห็นสือโถวทำตัวว่าง่ายเเบบนี้ อวี้อิ๋นอยากจะพุ่งเข้าไปถีบแผ่นหลังเอื่อยเฉื่อย เดือดร้อนหลิวจี่กับเพ่ยอาต้องคว้าเเขนไว้คนละด้าน

    "ข้าขอสั่งกักบริเวณเจ้าสองอาทิตย์ เพื่อเป็นการสำนึกตนในสิ่งที่ได้ทำไป เจ้ามีอะไรจะค้านหรือไม่"

    คนงามเอ่ยเสียงเรียบเฉย อ้อมกอดยังมีลู่เจ๋อที่มองมาด้วยสายตาสะใจ สือโถวก้มหน้านิ่ง

    "ไม่มีขอรับ"

    "ดี งั้นพวกเราไปกันเถอะ" โจวเจว่ยช้อนลู่เจ๋อขึ้นเต็มอ้อมเเขน ทั้งสามคนจากไปโดยทิ้งสือโถวที่นั่งคุกเข้าไว้ด้านหลัง

    "เจ้าโง่ๆๆๆๆ ไปยอมทำไมกัน!"

    อวี้อิ๋นเป็นคนเเรกที่มากรีดร้อง หลิวจี่ตบไหล่สหาย "นายน้อยทำถูกเเล้ว ขืนปกป้องสือโถว ผลที่ตามมาจะเลวร้ายกว่านี้นะ"

    "ตามนั้น"

    ร่างสูงผอมค่อยๆลุกขึ้นจากพื้น ปัดฝุ่นที่ขาออก ใบหน้าซีกขวาบวมเบ่ง เลือดยังไหล่ไม่หยุด "ท่านรองจะลงโทษหนักกว่านี้ยังได้ เเต่เขาเพียงตบหน้าข้า เเถมสั่งให้อยู่เเต่ในห้อง พูดง่ายๆคือกันข้าออกจากลู่เจ๋อนั่นเเหละ"

    เพราะลู่เจ๋อไม่มีทางมาหาเรื่องข้าถึงในห้องเเน่นอน ถ้ามาจริง... อืม หากเขาจะใช้มุกบาดเจ็บก็คงไม่ได้เเล้ว เพราะจะโดนสงสัยเเทน ว่าข้าไปทำร้ายเขาได้อย่างไร

    "ช่างเถอะ"

    เเค่ละครป่าหี่เท่านั้น

    มันจะพัวพันถึงการชิงอำนาจความเป็นใหญ่อะไรก็เเล้วเเต่ ข้าไม่สนหรอก เเค่ลื่นไหลไปตามสถานการณ์ก็พอ

    "พวกเราไปเรียนวิชาต่อไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย"

    เเม้อวี้อิ๋นจะไม่พอใจเเต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้ เด็กหนุ่มได้เเต่ฮึดฮัด ก่นด่าลู่เจ๋อเป็นหางว่าว ถ้อยคำหยาบคายจนหลิวจี่ต้องส่ายหัว

    สือโถวยกมือกุมอก

    ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรรู้สึกอะไรเเท้ๆ


    ทำไมข้าถึงเจ็บเเบบนี้นะ


    ...................................100%...................................


    เอ่อ นี่ยังเป็นนิยายตลกอยู่นะคะ 5555 เพื่อคนอ่านจะงง ไรท์ยังไม่เปลี่ยนเเนวค่ะ เป็นการปูเรื่องก่อนที่มันจะสนุกเลือดสาดต่างหาก

    น้องก้อนหินไม่ได้ใจเย็นนะคะ นางเคยสารเลวปานนั้นคงทนได้ไม่นานหรอก อุ้ย //ยกมือปิดปาก

    สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ อ้อ เเล้วถ้ามีเวลาเดี๋ยวลงตอนพิเศษฉบับหน้าร้อน ถึงช่วงหนึ่งปีที่น้องก้อนหินอยู่นี่ละกัน (เพียงเเต่ว่าตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะชิพกับใครดี เเหะๆ)




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×