ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◆ IDEAL DOLL ◆ [YUNJAE]

    ลำดับตอนที่ #1 : - D o l l - 01. : ตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 568
      8
      21 พ.ค. 57


     

     

     

    บทนำ

           

    ปีคริสต์ศักราช 208x

     

                    บางทีมนุษย์ก็คิดว่าตัวเองครองโลกได้

                    ในยุคอภิมหาโลกาภิวัตน์ที่รถไฟหัวรถจักรไอน้ำหลงเหลือเพียงในพิพิธภัณฑ์ การสื่อสารเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธนิวเคลียร์สำหรับมนุษยชาติ และการปลูกต้นไม้มีค่าเทียบเท่ากับการต่อชีวิตของโลก เวลา กลายเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นมาหรือรักษามันไว้ได้ หลักฐานก็คือการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งหมดอย่างที่เห็น แรงงานมนุษย์กว่า 87.88% ในโรงงานยักษ์ใหญ่ทั่วโลกถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรและหุ่นยนต์ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเกือบทั้งหมด สิ่งโบราณคร่ำครึถูกจำกัดให้คงอยู่เพียงเพื่อเป็นร่องรอยแห่งการศึกษาความเป็นไปของคนในอดีต แม้เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วจะมีนักวิชาการผู้รอบรู้คอยคาดคะเนความเป็นไปของโลกในอนาคตไว้มากขนาดไหน มันก็ยังไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันอยู่ดี

                    แต่ถึงยังไงนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องสนใจนักหรอก ในเมื่อรู้และเข้าใจไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำไมด้วย เพราะมนุษย์จะทำทุกอย่างให้มนุษย์มีความสุข ซึ่งเราๆ ทั้งหลายที่เป็นมนุษย์เหมือนกันก็คือผู้ได้รับผลประโยชน์ทั้งนั้น แม้ว่าจะรักโลก รักสัตว์ รักสิ่งแวดล้อมรอบข้างมากขนาดไหน แต่ก็คงเปลี่ยนแปลงความจริงที่เรารักตัวเองมากที่สุดไม่ได้อยู่ดี

                    เพราะฉะนั้น ทัศนคติของคนทั่วไปในเวลานี้ก็คงเหลือแค่มีชีวิตไปวันๆ แล้วก็หาทางช่วยกันยื้อโลกที่เน่าเฟะไปทุกทีจากความเห็นแก่ได้ของตัวเองให้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้นแหละ

                    แต่แม้ว่าจะโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากจนกลายเป็นเรื่องปกติในสายตาคนทั่วไปมากขนาดไหน แต่ยุคนี้ก็ยังสิ่งมีสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจบางอย่างที่เป็นที่ฮือฮาของคนในเจเนอเรชันนี้อยู่เหมือนกัน

                    ก็เหมือนกับถ้าในอดีตการเปิดตัวของ ‘Apple’ ทำให้โลกตะลึง

                    การค้นพบอันแสนวิเศษสำหรับยุคนี้ ก็คงไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่า ‘Ideal doll’ เป็นแน่

                    Ideal doll  คืออะไร?

                    ถ้าคุณเป็นคนที่รักการดูภาพยนตร์เก่าๆ ในช่วงยุคปี 2000 เป็นต้นมาล่ะก็ ก็คงจะชินชาแล้วใช่ไหมกับนิยายไซไฟหรือแฟนตาซีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างหุ่นยนต์หรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีลักษณะ เสมือนมนุษย์(Humanoid robot) หรือการสร้าง ปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence = ศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์) แน่นอนล่ะ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์กู้โลก หุ่นยนต์ครองโลก หรือสัตว์ประหลาดปล่อยพลังอะไรได้ก็ตามแต่ในยุคนั้น ทุกคนรู้เพียงแค่ว่ามันเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่แม้จะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ก็พอจินตนาการได้ว่าสักวันหนึ่งมนุษย์ก็อาจจะสร้างอะไรแบบนั้นขึ้นมาได้ก็ได้ ท่ามกลางข้อโต้แย้งว่าจริงๆ สิ่งพวกนี้มันไม่ควรทำให้เกิดขึ้นไม่ใช่หรือ?

                ก็ลำพังมีแต่คนอย่างเดียวยังฆ่ากันตายไม่เว้นแต่ละวันเลย ขืนสร้างตัวอะไรที่มันทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนั้นขึ้นมาได้ มีหวังสักวันหนึ่งมันคงหลุดออกจากการควบคุมของมนุษย์ แล้วก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เราเพื่อครองโลกแทนกันพอดี!  

                ...ก็เหมือนในหนังยังไงล่ะ

                    จริงๆ ยังมีอีกหลายประเด็นด้วยกันที่ตัวแทนมนุษย์ผู้ฉลาดเฉลียวยังไม่ได้ข้อสรุปสักทีว่าควรจะพัฒนาหรือสานต่อศาสตร์อันน่ากลัวพวกนี้ดีหรือไม่ อย่างที่เห็นได้ชัดก็คือตอนที่เจ้าแกะ ‘ดอลลี่ถูกโคลนนิ่ง (Cloning) ขึ้นมาได้สำเร็จ หรือกระบวนการพันธุวิศวกรรม (Genetic engineering) ที่สร้างผักผลไม้พิสดารอย่าง จีเอ็มโอ ขึ้นมาวางขายตามท้องตลาดได้แล้วแต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจเสียทีเดียว  เพราะอะไรที่ดูขัดต่อกฎธรรมชาติน่ะ...น่ากลัวทั้งนั้นแหละ

                    แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ร้อยปีที่แล้ว

                    และอย่างที่รู้กัน นี่มันก็ใกล้จะขึ้นศตวรรษที่ 22 เต็มทีแล้วนะ

                    เพราะฉะนั้นคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นล่ะ ถ้าเรื่องโต้เถียงเมื่อร้อยปีพวกนั้นน่ะมันจบไปหมดแล้ว?

                    ก็บอกแล้วว่า บางทีมนุษย์ก็คิดว่าตัวเองครองโลกได้

                    ถึงจะมีความกลัวอยู่ลึกๆ เพราะตัวแทนมนุษย์ผู้ฉลาดเฉลียวทุกคนต่างก็เคยดูภาพยนตร์พวกนั้นเหมือนกันก็เถอะ แต่ก็อย่างว่า ถ้านักวิทยาศาสตร์คิดว่าตัวเองฉลาดน้อยกว่าผู้กำกับหนัง เขาก็คงไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แล้ว

                    และเรื่องราวที่เหมือนเรียงความวิทยาศาสตร์ 800 คำที่พวกคุณอ่านมาทั้งหมดนั่นก็คือบทสรุปที่มาของสิ่งที่เรียกว่า Ideal doll นั่นล่ะ

     

                    Ideal doll ไม่ใช่หุ่นยนต์

                    ถ้าแปลกันโง่ๆ ตามชื่อ มันก็คือตุ๊กตาในอุดมคติ ถูกต้อง Ideal doll เป็นตุ๊กตา ต้นกำเนิดก็อาจจะมาจาก Barbies หรือ BJD จำพวกนั้นแต่ลักษณะสมจริงกว่ามาก มันสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ และมีความสามารถที่เหนือกว่าในหลายๆ ด้านแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นที่ออกจำหน่าย ที่เหมือนกันโดยทั่วไปก็อาจจะเป็นเรื่องที่พวกเขามีไอคิวสูงมากและมีสมรรถภาพทางร่างกายอยู่ในระดับเยี่ยมยอดเท่านั้น

                    แต่สุดท้ายแล้วต่อให้เหมือนแค่ไหนตุ๊กตาก็ยังคงเป็นตุ๊กตา

                    ข้อบกพร่องสำคัญที่ทำให้ Ideal doll ยังไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ นั่นก็เพราะพวกมันไร้สามัญสำนึก

                    แน่นอนว่านักวิทยาศาสตร์สามารถเซ็ตความรู้ความสามารถลงใน ‘ปัญญาประดิษฐ์ก่อนบรรจุลงในสมองของ Ideal doll ทุกตัวได้เพื่อให้มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ บางครั้งพวกมันก็มี ความรู้สึกแต่นั่นก็เป็นเพียงการตอบสนองเทียมที่เกิดจากการใส่ข้อมูลลงในปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ณ เวลานี้ ก็ยังไม่มีผลการวิจัยใดที่ระบุว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถพัฒนาตัวเองให้ เรียนรู้ หรือ มีจินตนาการ ได้เหมือนมนุษย์จริงๆ สักที

                    แต่นั่นกลับกลายเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์บางคนพอใจแล้วที่เป็นอย่างนี้

                    เพราะตราบใดที่ Ideal doll ไม่มี การเรียนรู้นั่นก็แปลว่ามันยังคงอยู่ในการควบคุมของพวกเขา และสุดท้าย Ideal doll ก็คงเป็นได้แค่ของเล่นแสนสนุกอีกชิ้นของมนุษย์ ที่ไม่มีทางลุกขึ้นมาทรยศพวกเขาเหมือนในภาพยนตร์เพ้อฝันพวกนั้นได้อย่างแน่นอน

                    อย่างไรก็ตาม แม้โดยภาพรวมตุ๊กตามหัศจรรย์เหล่านี้จะดูปลอดภัยและเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลกแค่ไหน แต่เนื่องจากเป็นการทดลองต้องห้ามที่ถูกสั่งให้ปิดเป็นความลับมากว่าร้อยปี อีกทั้งยังเพิ่งจะเริ่มต้นเห็นผลสำเร็จเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง มันจึงยังไม่ได้รับการยอมรับเสียทีเดียวและมีข้อจำกัดในการครอบครองอยู่มาก เช่น การสั่งซื้อตุ๊กตาจะต้องผ่านการประมูลระดับประเทศที่สามารถออกใบอนุญาตในการครอบครองได้เท่านั้น อีกทั้งยังมีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมสภาพบุคคลของ Ideal doll โดยเฉพาะ หรือจะเป็นในเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงลิ่วและปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ผู้คนส่วนมากยังไม่มีโอกาสได้เข้าถึงตุ๊กตาแสนวิเศษพวกนี้เท่าไรนัก บางประเทศยิ่งถือว่าเป็นผลผลิตต้องห้ามที่ห้ามนำเข้าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น Ideal doll จึงยังคงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และส่วนมากก็มีแต่กลุ่มชนชั้นสูงหรือมหาเศรษฐีเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง โดยวัตถุประสงค์การใช้งานที่เป็นที่นิยมก็เช่น การครอบครองเพื่อให้เป็นบุตรบุญธรรม ผู้ติดตามส่วนตัว เพื่อน หรือแม้แต่เป็นคู่ครอง เป็นต้น

                    และนี่ก็เป็นบทความที่สั้นที่สุดแล้วเท่าที่เราพอจะสรุปให้คุณเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้

                    Ideal dollจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรักประหลาดๆ ของเด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

                    กับตุ๊กตาหน้าตาน่ารัก...ที่หลงรักเขาจนหมดหัวใจ

     


     ◆ ◆ ◆








     

     




     

    ตอนที่ 1

     

     

                    เขาชื่อชองยุนโฮ เที่ยงคืนที่ผ่านมาก็อายุครบ 18 ปีพอดี

     

                    อันที่จริงต้องขอบคุณไอ้จุนซู ยูชอน แล้วก็ชางมินที่ช่วยเตือนความจำวันเกิดของเขาด้วยเค้กแยมผลไม้ที่เค็มชิบหาย! เขาเป็นคนเพื่อนไม่เยอะ เพราะฉะนั้นอุตส่าห์มี เพื่อนตั้งใจมาเซอร์ไพร์สกันแบบนี้ก็เลยดีใจน้ำตาแทบจะไหล ยิ่งเห็นสีหน้าสะใจของปาร์คยูชอนกับชิมชางมินตอนเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของตัวเองก็ยิ่งเข้าใจเลยว่าพวกมันเตรียมการมาดีจริงๆ ผิดกับคิมจุนซูที่ยิ้มแหยไปหมดเมื่อมันเองนั่นแหละที่เป็นคนทำเค้กฆาตกรรมเพื่อนก้อนนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังโดนแหกตาอีกทีจากเพื่อนแท้สองตัวนั่นด้วยคำพูดที่ว่าเค้กฝีมือมันอร่อยปานปาร์ติซิเย่มือหนึ่งของโลกมาลงครัวด้วยตัวเอง

                    แต่เนื่องจากชองยุนโฮค่อนข้างหล่อ วันนี้ก็เลยจะให้อภัยเรื่องเค้กรสทะเลของพวกมันไปสักวันแล้วกัน

                ว่าแล้วก็แบ่งเค้กยัดปากเพื่อนชิมก่อนเลยดีกว่า!

                    เขาหัวเราะลั่นตอนที่เห็นหน้าเหยเกชวนอ้วกของเพื่อน ก่อนจากนั้นจะเกิดสงครามย่อมๆ ขึ้นในห้องพักซอมซ่อที่เพิ่งจะเก็บกวาดได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมงดี พวกเขาผลัดกันเอาเค้กทะเลละเลงกันไปมา ก่อนจะปิดท้ายด้วยปาร์ตี้น้ำอัดลม แล้วมานั่งจับเข่าคุยกันเล่นๆ ตามประสาเด็กวัยรุ่นที่ไม่มีอะไรทำเลยในช่วงปิดเทอมที่ยาวนานอย่างนี้

                    “จุนซูแม่ง มึงเทเกลือแทนน้ำตาลหรือไงวะ ไตกูจะพัง”

                    “อย่ามาพาลว่ะ พวกมึงบอกกันเองนะว่าอร่อย” เพื่อนตัวเล็กยักคิ้ว ในขณะที่ตัวมันเองก็ยังซดน้ำแดงเอาๆ เพื่อล้างความเค็มที่ตัวเองเป็นคนก่ออยู่ไม่ขาดปาก “เออ เลยไม่ได้เป่าเทียนให้ยุนโฮเลย”

                    “ฮ่าๆ ของแบบนั้นไม่จำเป็นหรอกน่า” เพื่อนรักอีกคนเสริม ท่าทีกวนประสาทจนเจ้าของวันเกิดต้องยกกำปั้นขึ้นขู่จนสะดุ้งกันทั้งวง “ไอ้ปาร์ค! มึงนี่มันน่าปล่อยให้โดนซ้อมตายไปตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ”

                    “โห่ยยยย ไอ้ยุน มึงก็ดีแต่ใช้กำลังแหละวะ ถ้าไม่มีเทพคอมพ์อย่างกูคอยซ่อมเกมให้ตั้งแต่เด็กๆ ป่านนี้เฉาตายไปนานละ”

                    “ก็แค่แฮ็คเกอร์ขี้กากล่ะวะ”

                    “เขาเรียกโปรแกรมเมอร์อัจฉริยะเว้ย”

                    “เหอะๆ โม้เกินแล้ว อัจฉริยะน่ะมันอย่างไอ้ชางมินนู้น” บางครั้งการยกยอคนอื่นก็เป็นวิธีหาพวกเกทับศัตรูที่เข้าท่าไม่หยอก เพราะนอกจากไอ้หน้าหล่อจะยกยิ้มรับคำชมแล้ว มันยังเหลิงพอจะช่วยเขารุมแฮ็คเกอร์ขี้กากด้วย “เออ ให้มันรู้ซะบ้าง พวกเก็ทเอแค่วิชาคอมพิวเตอร์จะมามีประโยชน์อะไรกว่าสมุดการบ้านของกูที่พวกมึงรับซีร็อกซ์จนเป็นอาชีพเสริมตั้งแต่เกรดเจ็ด วะ”

                    “แหม พ่อคนฉลาด ให้มันน้อยๆ หน่อยเหอะครับ” คนโดนรุมว่า “ถึงจะได้วุฒิปริญญาเอกมาครองตั้งแต่อายุสิบสอง แต่อย่าลืมว่ามึงก็ได้ไอ้ยุนโฮช่วยจนรอดตายมาจากพวกกุ๊ยในโรงเรียนด้วยเหตุผลเดียวกับกูนะครับ”

                    “ฮ่าๆๆ เออจริง จะว่าไปในกลุ่มเรานี่มีใครมาเป็นเพื่อนกับยุนโฮนอกจากเหตุผลที่โดนรุมแกล้งแล้วมันมาช่วยบ้างปะ?” ไอ้จุนซูผู้ซึ่งทำตัวเหมือนจะเป็นคนดีแต่สุดท้ายก็แทงข้างหลังเอ่ยประโยคสุดท้ายเพื่อฉีกประเด็น ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้รับความนิยมเป็นอย่างดีเพราะอีกสองคนที่ก่อนหน้านี้ยังตีกันอยู่หันมาร่วมวงหัวเราะกันอย่างสามัคคีจนน่าถีบไปนอนหน้าบ้านด้วยกันหมดทั้งแก๊ง

                    เฮ้อ! แต่จะว่าไปเรื่องที่พวกมันพูดมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริงนั่นแหละ

                    ก็อย่างที่เอ่ยไปแล้วในประโยคแรกๆ ว่าชองยุนโฮน่ะเป็นคนเพื่อนน้อย

                    เอาจริง ตั้งแต่เด็กมานี่ก็สงสัยมาตลอดเลยว่าหน้าหล่อๆ ของเขาเนี่ยมันไม่ดึงดูดคนเข้าหาบ้างเลยหรือยังไง? จนมาค้นพบความจริงเอาก็ตอนที่ได้รู้จักกับปาร์คยูชอนผู้ซึ่งทำให้โลกกระจ่างด้วยคำพูดตรงๆ ว่า ‘หน้าตามึงอ่ะท่าทางหาเรื่องจะตาย แถมเรื่องชกต่อยก็เก่งชิบหาย อันธพาลของแท้ ใครที่ไหนเค้าจะอยากเข้าใกล้ล่ะ!’ นั่นแหละ เขาถึงได้รู้ตัวเอง

                    ซึ่งนั่นมันก็ไม่ยุติธรรมกับชองยุนโฮผู้หล่อเหลาคนนี้เลยสักนิด ทั้งที่จริงๆ เขาน่ะเป็นคนเรียบร้อยน่าคบหาจะตายนะ (?) ส่วนเรื่องต่อยตีนั่น...มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ใครใช้ให้พ่อส่งเขาไปเรียนศิลปะป้องกันตัวตั้งเป็นสิบๆ อย่างตั้งแต่ยังไม่หย่าขวดนมแบบนั้นล่ะ

                    เอาเป็นว่านั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ชองยุนโฮไม่ค่อยมีเพื่อนเลยมาตั้งแต่เด็กแล้ว ส่วนเหตุผลที่ทำให้มารู้จักไอ้พวกนี้ได้ และยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ดีๆ ให้ไปกันใหญ่นั่นก็คือ ‘เขาเคยไปต่อยพวกเด็กกุ๊ยในโรงเรียนเพื่อช่วยพวกมันที่กำลังโดนแกล้งน่ะสิ! ส่วนสาเหตุที่โดนแกล้งนั้น...ถ้าเอาตามความจริงแบบไม่ดิสเครดิตกันก็คือ

                    ชางมิน จุนซูแล้วก็ยูชอนน่ะเป็นพวก ‘เด็กพิเศษ

                    พูดแล้วคุณก็คงสงสัยว่าเด็กพิเศษที่ว่าเนี่ยมันคืออะไรใช่มั้ย สติไม่ดีหรือเปล่า หรือว่าเป็นโรคอะไร (แม้ความจริงจะไม่ใช่ แต่สำหรับเขาคิดว่ามันก็ใกล้เคียงนะ)

                    ก็เห็นขำๆ กันแบบนี้น่ะจริงๆ อย่าง ชิมชางมิน หมอนั่นน่ะเป็นถึงอัจฉริยะอนาคตไกลของประเทศเราเชียวนะ! ก็ไอคิวของมันน่ะตั้ง 205 (ซึ่งก็ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าใช้อะไรวัดกันนะ) แถมตอนมัธยมต้นยังเคยทำงานวิจัยเรื่องการใช้สัตว์ทดลองอะไรสักอย่างส่งแล้วได้รางวัลระดับโลกมาแล้วด้วย ปัจจุบันที่เห็นมันยังเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายอยู่ด้วยกันนี่จริงๆ ก็แค่งานอดิเรกเท่านั้น เพราะเมื่อปีที่แล้วได้ข่าวว่ามันก็รับวุฒิปริญญาเอกอะไรสักอย่างไปเรียบร้อยโรงเรียนชิมแล้ว

                    เว่อร์อย่างกับในนิยายเลยแต่ก็เชื่อเถอะ

                    ส่วนไอ้ปาร์ค ปาร์คยูชอน น่ะ จริงๆ เคยชื่อมิกกี้มาก่อนเพราะแม่เป็นฝรั่ง เห็นว่าอยู่อเมริกาจนอายุ 10 ขวบแต่สุดท้ายก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านพ่อที่เกาหลีจนได้ ไอ้หมอนี่น่ะไม่อลังการเท่าชางมินหรอก เรียนก็พื้นๆ กีฬาก็งั้นๆ แต่ถ้าเรื่องคอมพิวเตอร์สิต้องยกให้เลย จะเขียนโปรแกรม ประดิษฐ์ ซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ อะไรบ้าบอคอแตกพวกนี้น่ะแม้แต่ชางมินยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเลย ก็ใครจะไปเชื่อล่ะว่าเด็กอายุสิบห้าอย่างมันจะเคยแฮ็คระบบกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเข้าไปประท้วงการทุจริตของผู้ใหญ่มาแล้ว (สุดท้ายตอนนั้นก็โกลาหลกันไปหมดเพราะหาตัวคนทำไม่ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นความลับที่รู้กันแค่พวกเขา 4 คนด้วยนะ) เพราะงั้นก็เลยจัดว่ามันมีความสามารถพอตัวเหมือนกัน

                    ส่วนคิมจุนซู เพื่อนตัวเล็กของเขา ไอ้นี่ดูจะเป็นคนพูดจาเข้าท่าที่สุดในสามคน และความสามารถที่สุดพิเศษของมันก็คงไม่พ้นเรื่อง ‘ภาษา...ที่แม้แต่เขาเองตอนนี้ก็ไม่รู้หรอก ว่าตกลงแล้วจุนซูน่ะ พูด ฟัง อ่าน เขียน ได้กี่ภาษากันแน่?

                    อันที่จริงถ้านับกันที่จุดเริ่มต้นจริงๆ นั่นก็คงเป็นเพราะความสามารถในการจำของมันนั่นแหละ จุนซูเป็นคนที่ความจำดีมาก ดีจนอยู่ในระดับที่น่ากลัว ไม่รู้ว่าสมองมันทำด้วยอะไรเหมือนกันถึงได้ยัดรายละเอียดมากมายลงไปได้มากขนาดนั้น เพราะงั้นหมอนี่ก็เลยเรียนวิชาท่องจำได้ดี แต่เนื่องจากมันไม่ได้มีความสนใจทางวิทยาศาสตร์อะไรเท่าไร สิ่งที่ถนัดก็เลยกลายเป็นด้านภาษาแทน ก็จำได้หมดนี่ทั้ง คำพูด คำแปล ตัวอักษร จริงๆ หมอนั่นพาลเชี่ยวชาญไปถึงภาษาสัตว์อะไรงี้ด้วยเลยนะ

                    เพราะฉะนั้น สำหรับโรงเรียนคุณหนูผู้ดีระดับชาติในยุคอภิมหาโลกาภิวัตน์อย่าง WWW High school จึงไม่แปลกเลยที่จะมีคลาสประหลาดแบบนี้แยกไว้สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษโดยเฉพาะ ซึ่งทั้งหมดก็มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้พวกมันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไปต่อสู้กับชาติอื่นๆ ต่อไป (ดูเหมือนเวอร์ แต่นี่เรื่องจริงนะ)

                    ก็อย่างว่า นี่มันโลกแห่งการแข่งขัน คนเก่งเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอด ดาร์วินเองยังรู้ความจริงข้อนี้มาแล้วตั้งหลายร้อยปีเลยไม่ใช่เหรอ?

                    เรื่องแย่ก็คือ เพราะเป็นโรงเรียนที่แบ่งชนชั้นกันชัดเจนขนาดนี้ และแน่นอนว่าปัญหาลูกยาจกขี้อิจฉายังคงมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกันที่จะมีพวกแก๊งอันธพาลทั้งจากโรงเรียนอื่นและโรงเรียนเดียวกันมาคอยดักหาเรื่องเด็กพิเศษอยู่เรื่อย (เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่พวกนี้มีแต่สมอง ใช้กำลังกันไม่เป็น) ซึ่งถ้ารวยหน่อย มีบอดี้การ์ดดูแลทุกฝีก้าวอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่อย่างซวยๆ ก็เช่นไอ้สามคนนี้ที่ถ้าไม่โชคดีเขาเข้ามาเจอก่อนก็คงเละไปแล้ว

                    สรุปว่าเราทั้งหมดรู้จักกันก็เพราะความเป็นนักเลงของเขานี่แหละ

                    เล่ามาตั้งเยอะ ทุกคนคงต้องสงสัยแน่ๆ ว่า แล้วชองยุนโฮล่ะมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง?

                    คำตอบง่ายๆ ที่ชัดเจนที่สุดเลยก็คือ ไม่มี

                    เขาก็แค่ชองยุนโฮ เด็กผู้ชายอายุสิบแปดหมาดๆ สถานะโสด ที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย คลาสเรียนธรรมดา สอบได้อันดับที่ปลายแถว และเป็นนักเลงในสายตาคนทั้งโรงเรียนก็เท่านั้นเอง

                    คุณอ่านไม่ผิดเลย ในตลอดชีวิตบิดๆ เบี้ยวๆ ที่เฝ้ารอการขึ้นศตวรรษที่ 22 อย่างใจจดใจจ่อของชองยุนโฮเนี่ย หมอนี่ไม่มีดีอะไรกับเขาเลยสักอย่างเดียว

                    เรียนก็งั้นๆ (ต้องบากหน้าไปลอกการบ้านชางมินตลอด) กีฬาก็พอใช้ได้ เก่งเป็นบางอย่าง (เช่น คาราเต้ เทควันโด มวยฝรั่ง มวยวัด เขาโอเคทั้งนั้นเลย) หน้าตา...ก็คิดว่าหล่อนะ (แต่คนอื่นบอกว่ามันกวนส้นไปหน่อย) ฐานะ...บอกเลยพ่อเขารวย (แต่เงินรายเดือนที่โอนเข้าบัญชีมาก็ไม่ต่างอะไรจากเลี้ยงยาจกเลย) เพราะฉะนั้นคงไม่มีสาเหตุอะไรที่เขาจะมานั่งหัวหงอกหัวดำอยู่ในโรงเรียนค่าเทอมแสนแพงอย่างนี้ได้แน่ ถ้าไม่ใช่ว่าใช้เส้นพ่อที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องชื่อดังของประเทศยัดเข้ามาน่ะ

                    บอกอีกครั้งว่าคุณอ่านไม่ผิดเลย...พ่อของชองยุนโฮเป็นนักวิทยาศาสตร์

                    ที่มันแย่ก็คือ...เขากลับไม่ได้ความฉลาดของพ่อมาเลยซักกะผีกเดียว

                    เพราะพ่อต้องทำงานที่ศูนย์วิจัยแล้วก็ไปๆ มาๆ ต่างประเทศตลอด เขาก็เลยใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานแล้ว (ส่วนแม่ยิ่งไปกันใหญ่ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่เห็นหน้าท่านแล้ว) อันที่จริงตอนเด็กๆ มันก็นับเป็นเรื่องทรมานไม่น้อยเหมือนกัน แต่พอโตๆ มา ความรู้สึกพวกนั้นมันก็หายไปหมดเสียแล้ว นี่ขนาดว่าไม่ได้เห็นหน้าพ่อมาประมาณ 3 ปีได้แล้วนะ แถมไอ้พ่อบ้าก็เก็บตัวเงียบ ไม่เคยทิ้งที่อยู่อะไรไว้ให้ติดต่อไปหาได้เลยสักนิด ดีแต่โทรมาไม่บางทีก็ส่งข้อความติ๊งต๊องมาทางอีเมล์ (เช่น ชองยุนโฮลูกรัก เดือนนี้พ่อเพิ่มค่าขนมให้ 1000 วอนนะ ซึ่งบ้าชะมัด แค่นั้นมันจะไปพอกินที่ไหนเล่า!)

                    สรุปว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังเริงร่าอยู่ในห้องแล็ปสวรรค์ที่ไหนนั้น เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...เอาเป็นว่าถ้ายังโอนเงินเข้าบัญชีมาได้เรื่อยๆ ก็ถือว่าโอเคแหละนะ

                    ผ่านไปสามชั่วโมง...ในที่สุดแก๊งเด็กพิเศษ (ยกเว้นเขา) ก็เก็บกวาดห้องที่เละเทะจนสะอาดเอี่ยมแล้วแยกย้ายกันกลับไปหมดในที่สุด

                    เพราะวันนี้ใช้พลังงานไปเยอะ เด็กหนุ่มก็เลยได้แต่ทิ้งตัวนอนลงบนพื้นเย็นๆ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...ใช่สิ ก็ปิดเทอมสุดท้ายของชีวิตมัธยมปลายกำลังจะจบลงแล้วนี่นะ

                    สิ่งที่ทุกคนควรรู้อีกอย่าง นั่นก็คือปีหน้าชองยุนโฮจะเป็นเด็กเตรียมเอนทรานซ์เต็มตัวแล้ว ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ แม้ว่าจะผ่านไปเกือบร้อยปีแล้ว และระบบการศึกษาจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน แต่วัยรุ่นอย่างเราก็ยังต้องแข่งขันเพื่อหาที่ยืนในมหาวิทยาลัยอยู่ดี มิหนำซ้ำมันกลับยากเย็นกว่าแต่ก่อนเสียด้วยซ้ำ

                    แต่ถึงจะบอกว่าปีหน้า แต่ความเป็นจริงแล้วเขาก็เหลือเวลาปิดเทอมอีกแค่ 10 วันเท่านั้นเอง

                    ร่างสูงของเด็กชายที่เติบโตเป็นหนุ่มพลิกไปมาอย่างขี้เกียจ  ก่อนจะหันไปมองของขวัญกล่องใหญ่ที่นอนเอียงกะเท่เร่อยู่บนโต๊ะแล้วก็เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย – นี่เห็นมันบอกว่ารวมเงินกันซื้อมาเลยนะเนี่ย...เฮ้อ อย่างน้อยเขาก็มีเจ้าพวกนี้แหละนะ (แม้ว่าจริงๆ อยากให้เป็นสาวๆ หน้าตาน่ารักมากกว่าก็ตามทีเถอะ)

                    นึกอยากรู้ขึ้นมาเหมือนกันว่าเพื่อนรักพวกนั้นจะซื้ออะไรให้กันนะ? เขาคิด ก่อนฝ่ามือใหญ่จะตั้งใจแกะของขวัญอย่างเบามือด้วยความซาบซึ้งสุดๆ เพื่อจะพบว่ามันเป็น...

                    ชุดเครื่องดื่มบำรุงสมอง

                    ทันทีที่เห็นของ ดวงตาคมก็กะพริบปริบๆ...ก่อนจะได้แต่กระตุกคิ้วขึ้นเมื่อได้เห็นข้อความในการ์ดที่เสียบเอาไว้ชัดๆ

     

                    ของขวัญให้ชองยุนโฮไอคิว 105 จากเพื่อนๆ ผู้แสนดีที่รวมไอคิวกันได้ประมาณ 501 มีความสุขมากๆ นะจ๊ะ

     

                    ไอ้ - พวก - เวร!

                    จากจะซึ้งก็เลยกลายเป็นต้องหัวเราะปนหงุดหงิดให้ในความกวนประสาทของแก๊งเด็กเนิร์ดนั่นจนได้ เขาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะทำเป็นมองข้ามความกวนประสาทของเพื่อนแล้วมองหากล่องต่อไป แต่สุดท้ายก็พบเพียงความว่างเปล่า

                    นึกแล้วก็ได้แต่ขำตัวเอง ว่าขนาดของขวัญครบรอบอายุสิบแปดทั้งที ยังมีแค่กล่องเดียว ชีวิตนายนี่น่าสงสารชะมัดเลยนะชองยุนโฮ

                    ไม่ทันจะได้นึกสงสารตัวเองไปมากกว่านั้น เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน

                    “คร้าบ จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

                    เขาเอ่ยรับคำ แม้ในใจจะนึกสงสัยไม่น้อยว่าดึกป่านนี้แล้วยังจะมีใครมาหาอีก หรือพวกจุนซูมันจะลืมของ? แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินไปเปิดประตูให้อยู่ดี “ไงมึงลืมขอ...”

                    เอ่ยทักทายไปหมายจะได้เห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของเพื่อน แต่สุดท้ายคิ้วหนาๆ ก็กลับต้องขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าหน้าประตูนั้นไม่มีใครยืนอยู่เลยสักคน

                    และที่ยิ่งประหลาดไปกว่านั้นก็คือ...นอกจากจะไม่มีคนแล้ว ยังมีกล่องลังขนาดใหญ่มาตั้งอยู่ตรงหน้าแทนด้วยน่ะสิ!

                    ใบหน้าคมคายหันซ้ายขวาในทันที นึกคาดโทษในใจเมื่อคิดว่าพวกเพื่อนตัวแสบว่าคงจะวางแผนอะไรแกล้งกันอยู่แถวนี้เป็นแน่ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นข้อความบางอย่างที่เขียนติดอยู่บนกล่อง

     

                สุขสันต์วันเกิดชองยุนโฮลูกรัก

     

                    ...จากพ่อเหรอ?

     

     

    ◆ ◆ ◆

     

     
     

                    แม้ในใจจะนึกหงุดหงิดแค่ไหนที่ไม่รู้ว่าคุณนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคิดจะเล่นตลกอะไรกับเขาอีกแล้ว แต่ชองยุนโฮก็ยังจัดการลากของขวัญประหลาดนั้นเข้ามาในห้องตัวเองอยู่ดี

                    ว่าแต่มันจะระเบิดรึเปล่าวะเนี่ย!

                    เด็กหนุ่มครุ่นคิดในใจอย่างสับสน ก็ไอ้พ่อบ้านั่นน่ะน่าไว้ใจซะเมื่อไรล่ะ? วันดีคืนดีก็ส่งสิ่งประดิษฐ์พิสดารมาให้ลองใช้ แล้วนี่ยังมาเป็นกล่องเบ้อเริ่มขนาดนี้อีก ถ้าไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีกวะ!

                    แต่แม้จะสงสัยแค่ไหน ความอยากรู้อยากเห็นในใจของมนุษย์ก็ยังคงมีมากกว่าอยู่ดี

                    ริมฝีปากหยักกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะเปิดกล่องของขวัญยักษ์ออกในที่สุด

                    แล้วก็พบว่ามันเป็น...

     

                    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ศพ ศพคนนนนนนนนนนนนน ม่ายยยยย”

     

                    หนุ่มหล่ออายุสิบแปดปีร้องเป็นตุ๊ดทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในเต็มสองตา ก็ไอ้ตัวขาวๆ ที่นั่งขดอยู่ในกล่องดูยังไงก็คนชัดๆ แล้วโดนยัดมาในกล่องแบบนี้ ไม่ให้เขาคิดว่าเป็นศพใครสักคนที่พ่อโรคจิตฆ่ายัดกล่องมาแล้วโยนความผิดให้กับลูกชายตัวเอง แล้วจะให้คิดว่ามันเป็นอะไรไปได้ล่ะ! (นี่เขาดูหนังฆาตรกรรมมากเกินไปหรือเปล่านะ)

                    พลั่ก!

                    และเพราะตื่นเต้นไปหน่อยก็เลยเดินชนกล่องจนมันล้มลงเข้าจนได้ และนั่นทำให้ชองยุนโฮยิ่งอยากร้องกรี๊ดมากกว่าเดิมเพราะไอ้เจ้าศพนั่นมันก็เลยกลิ้งหลุนๆ ออกจากกล่องจนตอนนี้มากองที่พื้นห้องซะแล้ว!

                    ฮือ หลักฐานมัดตัวแน่นเลยมึงทีนี้ไอ้ยุนโฮ!

                    แต่ก่อนที่เขาจะตีโพยตีพายเป็นบ้าไปมากกว่านี้ สมุดเล่มหนึ่งที่หล่นออกมากองข้างตัวศพก็เรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มไปได้เสียก่อน เขาขยับมือไปหยิบมันขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ พยายามข่มความคิดเลวๆ ที่พาลนึกเป็นรอยเลือด สมุดสาปแช่ง เดธโน้ต (วรรณกรรมเยาวชนเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่นที่ดังมากตั้งแต่สมัยเขายังไม่เกิด ปัจจุบันนี้ใช้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กประถม โหดชิบหาย) แต่ก็เหมือนเดิม...ไม่มีอะไรทรงพลังมากกว่าความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์อีกแล้ว และสุดท้ายเขาก็เปิดอ่านมัน

                   

                    สวัสดีชองยุนโฮลูกรัก ไม่เจอกันนานเลยนะลืมหน้าพ่อรึยัง ˋˊ

                ก่อนที่ลูกจะเป็นลมล้มพับไปซะก่อนเพราะคิดว่าพ่อฆ่าหั่นศพใครสักคนแล้วโยนความผิดมาให้ลูก พ่อก็ขอให้ยุนโฮใช้สติสักนิด แล้วเปิดสมุดเล่มนี้อ่านโดยไม่คิดว่ามันเป็นการ์ตูนเรื่องเดธโน้ตที่ลูกชอบอ่านตอนเด็กๆ นะ

     

                    โอ้โห่...มาสองสามประโยคแรกพวกคุณก็คงเชื่อแล้วสินะ ว่าพ่อเขาเนี่ยเป็นอัจฉริยะจริงๆ

                    ต่อๆ

     

                    นี่ไม่ใช่ศพ แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดที่พ่อทำให้ลูกโดยเฉพาะ นั่นก็คือสุดยอดเทคโนโลยีแห่งปี 208x ที่พ่อขอตั้งชื่อว่า ตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรักยังไงล่ะ!! ˇˇ

     

                    เด็กหนุ่มอ่านประโยคนั้นของพ่อก่อนจะรู้สึกได้ถึงความหดหู่ถึงขีดสุด (โดยเฉพาะกับไอ้อิโมติค่อนแบ๊วๆ ปัญญาอ่อนนั่น) ก็แหงล่ะ...จะมาตุ๊กตงตุ๊กตาบ้าบออะไรกันละเว้ย! นี่ชองจินโฮ แกลืมไปแล้วรึเปล่าว่าลูกแกเป็นผู้ชายนะหา!!!

     

                    สำหรับเด็กที่ไม่ค่อยมีคนคบอย่างลูก พ่อก็เลยตั้งใจมากๆ เลยที่จะหาอะไรมาคลายเหงาลูกพ่อสักหน่อย อายุก็ครบ 18 ปีแล้ว แต่แฟนก็คงยังไม่มี ยังไงก็หวังว่าแจจุงจะเป็นเพื่อนที่ดีของลูกได้นะ เขาหน้าตาน่ารักมากเลยทีเดียวล่ะ

                    ถามจริง นี่ห่วงหรือด่า?

                    แต่ก็ช่างเถอะ...เมื่อกี้ว่าไงนะ

     

                    “แจจุง...เหรอ?”

                    เด็กหนุ่มเผลอพึมพำชื่อประหลาดๆ นั้นออกมา...ในระหว่างที่อ่านสมุดบันทึกประหลาดเล่มนั้นและกำลังสับสนไปหมด ชองยุนโฮก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสุ้มเสียงทุ้มนั้นกำลังทำให้เจ้าศพขาวๆ ที่นอนนิ่งสนิทอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ ขยับขึ้นในที่สุด นัยน์ตาสีดำสนิทที่เคยหม่นหมองพลันมีประกายสดใส

                    และในตอนที่สัมผัสนุ่มๆ นั่นบุกเข้าประชิดตัว ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันกลับไปพอดี

                    “ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

                    สองแขนเล็กสวมกอดรอบเอวสอบ ในขณะที่ชะโงกหน้าขาวๆ นั้นเข้ามาใกล้ ซึ่งอันที่จริงพอสังเกตดูดีๆ ก็เลยเห็นว่าน่ารักอย่างที่พ่ออวดไว้จริงๆ...แต่นั่นใช่ประเด็นซะที่ไหน! เรื่องของเรื่องก็คือไอ้ตุ๊กตาตัวน้อยอะไรนี่มันไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยซักชิ้นน่ะสิ แม่ง แต่จะว่าไปก็นุ่มดีนะ (ไม่ใช่เว้ย!

     

                    “เจ...เจ”

     

                    แต่ก็...น่ารักจริงๆ ว่ะแม่ง

                    ให้ตายสิใช่เวลามั้ยเนี่ย!

                    ยังไม่ทันได้ทำอะไรให้ จู่ๆ ไอ้สิ่งประดิษฐ์ประหลาดที่ชื่อ ตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรัก อะไรนั่นของพ่อก็จ้องเขาตาแป๋ว แถมยังเอามือมาเกาะแขนกันยังกับลูกแมว ตัวมันขาวจั๊วะ แถมปากยังแดงแป๊ด ดูยังไงก็มนุษย์ชัดๆ ไม่เห็นจะเหมือนหุ่นยนต์หรือตุ๊กตาอะไรที่ว่าเลยสักนิด

                    เสียอย่างเดียวก็เรื่องที่นมเล็กไปหน่อยเนี่ยล่ะ (คิดบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย!)...เอ๋

                    ว่าแต่อะไรมันพาดอยู่บนตักวะ

                    หาง?

                    ใบหน้าคมก้มลงมองสัมผัสแปลกๆ นั้นในทันทีเพื่อไขข้อสงสัย ก่อนจะต้องร้องลั่นเป็นตุ๊ดอีกเป็นครั้งที่สามเมื่อเห็นสิ่งนั้นเต็มๆ ตา

     

                    “ไอ้ %$@^%$#^! (เซ็นเซอร์)

                   

                    อ้อ แล้วก็แม้ว่าแจจุงอาจจะหน้าตาน่ารักเกินไปสักหน่อย แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชายนะ...จะคิดมิดีมิร้ายก็ให้ไตร่ตรองดูดีๆ ก่อนนะไอ้ลูกชาย ถึงแม้ยุคนี้เขาจะให้ค่านิยมรักร่วมเพศเทียบเท่าคู่ชายหญิงแล้วก็เถอะ พ่อเองก็ไม่ได้ห้าม แต่ยังไงนั่นก็ตุ๊กตานะลูก ใจเย็นๆ

     

                    ตาแก่วิปริตเอ๊ย!!!

     

                    เด็กหนุ่มสบถเสียงดังก่อนจะหันมามองยังตัวปัญหาที่นั่งกอดแขนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย และแม้จะอยากอ่านสมุดบันทึกของพ่อต่อให้จบเพื่อไขข้อข้องใจมากแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีเวลาพอในตอนนี้เสียแล้ว...นั่นก็เป็นเพราะไอ้ ตุ๊กตาตัวน้อย อะไรนี่ดูเหมือนจะเริ่มวุ่นวายใส่เขาแล้วน่ะสิ!

                    “เจ...เจ...”

                    ไม่พูดไม่จาไม่ว่า นี่เอาแต่ร้องเจเจแล้วก็มานัวเนียใส่กันอยู่ได้ โว้ย! หน้าตาก็อย่างกับนางเอกหนังลามก (?) แล้วยังจะมาทำแบบนี้อีกมันใช้ได้หรือไงกันเล่า!

                    “โอ้ย ร้องเจเจออะไรอยู่นั่นแหละ เป็นอะไรล่ะ หิวข้าวรึไง!” บ่นกระปอดกระแปดแถมด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายเต็มที ให้ทำไงล่ะทีนี้ ถึงจะรำคาญอยู่ไม่น้อยแต่จะให้จับยัดใส่กล่องเอาไปทิ้งก็ใช่ที่นี่หว่า

                    “หิว? เจ...หิว...อื้อ หิว”

                    และดูเหมือนว่าพอได้ยินคำว่าหิวข้าว เจ้าตัวขาวนี่ก็ดูจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที แม้ไม่รู้ว่าจะฟังรู้เรื่องจริงๆ หรือว่าแค่ทวนเสียงพูดตามเขาเฉยๆ ก็เถอะ – ไหนจะตาแป๋วๆ นั่นที่เอาแต่จ้องเขาไม่หยุดเหมือนเดิมอีกล่ะ

                    เฮ้อ ไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะเขินหรืออะไรบ้างเลยหรือยังไงนะ?...แต่จะว่าไป มันก็น่ารักจริงๆ นี่ไม่ได้ล้อเล่นเลย

                    เอาวะ คิดซะว่าเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวก็แล้วกัน

                    ชองยุนโฮอยากจะบ้าตาย...นี่มันเป็นของขวัญวันเกิดครบอายุ 18 ปีที่พิสดารที่สุดในชีวิตของเขาเลยนะ

                    นึกแล้วก็อยากจะเตะคนจริงๆ ไอ้พ่อบ้าเอ๊ย...ไม่รู้หรือไงว่าลูกผู้ชายตัวจริงเขาไม่เล่นตุ๊กตากันสักหน่อย!

     


     

    TBC.





     

    ◆ ◆ ◆





     

    Note :

    สวัสดีจ้าไม่ได้เปิดเรื่องใหม่นานเลย ˙˙ เป็นไงกันบ้างสบายดีไหม

    อยู่ๆ ก็มาเปิดฟิคเรื่องใหม่...งงๆ กันไป เขียนไปตั้งเยอะ แต่ตอนแรกยังดูน่าเบื่อๆ อยู่เลย
    ทั้งหมดนี่เป็นเพราะแจจุงคนเดียวเลย (บ้าคลั่งจนได้ฟิค) 55555

    ถ้าใครตามทวิตเตอร์เราก็อย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ ตตตนทรคตคร. (ตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรัก) นี่เราพูดทั้งวันเลย สุดท้ายก็ออกมาเป็นฟิคแบ๊วๆ แถมเนื้อเรื่องยังดูจะเข้าใจยากสุดๆ (เคยเขียนอะไรที่อ่านง่ายๆ บ้างไหม) ˙˙ยังไงก็จะพยายามเขียนให้เข้าใจนะคะ นิยายหุ่นยนต์การ์ตูนแบบนี้คงมีให้เห็นทั่วไปในหนังหรือการ์ตูน ก็ไม่รู้จะออกมาแนวไหนเหมือนกัน อย่างที่เห็นคือ genre มีหลายชนิดมากๆ TT เป็นครั้งแรกที่แต่งอะไรแฟนตาซีเหนือความจริงแบบนี้ ถ้ามั่วๆ ไปหน่อยก็ขออภัยด้วยนะคะ

    (ปล.เนื่องจากเป็นแนวที่ไม่เคยแต่ง จึงกลัวแต่งไม่จบมาก...ยังไงก็จะพยายามนะ 55555)

    ฝากผลงานด้วยค่า...สำหรับแท็คฟิคเรื่องนี้เอาเป็น #ตุ๊กตาตัวน้อย แล้วกัน ฮ่าๆๆๆ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×