ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◆ IDEAL DOLL ◆ [YUNJAE]

    ลำดับตอนที่ #12 : - D o l l - 12. : น้ำตาของตุ๊กตา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 193
      4
      8 มิ.ย. 58


    ตอนที่ 12

     

     

     

              “เลิกช้าอีกแล้ว โคตรจะเบื่อเลย” จุนซูบ่นอุบ หลังก้มไปดูนาฬิกาในโทรศัพท์แล้วพบว่าคลาสวันนี้เลิกเกือบจะหนึ่งทุ่มตรง 

                “เออ เบื่อเหมือนกัน แต่โชคดีวันนี้ไม่มีโปรเจ็ค” ยูชอนตอบ “งั้นเราไปเล่นเกมบ้านไอ้ยุนโฮกันมั้ย”

                “เป็นความคิดที่ดีมาก” ชางมินเสริม พลางยกยิ้มน่าหมั่นไส้ “จะได้ไปแอบดูด้วยว่ามันจู๋จี๋กับเมียตุ๊กตาของมันไปถึงไหนแล้ว”

                “คิกคิก น่าสน พนันกันไหมว่ามันปล้ำแจจุงไปหรือยัง”

                “ฉันว่าไม่ ป๊อดๆ อย่างมันน่ะนะ ไม่มีทาง”

                “แต่แจจุงก็สวยมากเลยนะ ได้ยินว่าอาบน้ำด้วยกันแล้ว อาจจะตบะแตกเข้าซักวันก็ได้”

                “ถ้าอย่างนั้น ชางมิน กูว่ามึงน่าจะเปลี่ยนประเภทหนังโป๊ให้ไอ้ยุนมันได้แล้วนะ ต่อไปดูพวกอกตู้มๆ อาจจะไม่อิน”

                “ฮ่าๆ แน่จริงพูดให้ได้อย่างนี้ตอนอยู่หน้ามันนะเว้ย...เออๆๆ ยังไงก็เหอะ ยูชอน มึงโทรบอกมันเลยดิ๊ ว่าเราจะไปหา”

                “เคๆ แป็บ” ร่างโปร่งรับคำ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดยุกยิกสองสามครั้งแล้วยกขึ้นแนบหู รออยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย เสียงทุ้มทักไปอย่างเริงร่า “งาย มึง เดี๋ยววันนี้พวกกูไปบ้านนะ หะ...ว่าไงนะ แจจุงเหรอ...เดี๋ยวสิ!! เห้ย!!!

                “เป็นไรวะมึง” ถามขึ้นอย่างสงสัยในท่าทีของเพื่อน

                “แย่แล้วมึง ไอ้ยุนโฮมีเรื่อง”

     

      

                        

    ◆ ◆ ◆

     

      

     

     

                สภาพยุนโฮและแจจุงตอนที่ยูชอน จุนซูและชางมินไปเจอนั้นแทบจะทำพวกเขาล้มทั้งยืน

                พวกยูชอนมาถึงสถานีรถไฟที่เกิดเรื่องภายในเวลาไม่ถึง 10 นาทีดี เสียงเอะอะโวยวายช่วยให้หาตำแหน่งของสองคนนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก พวกเขาผลักกลุ่มฝูงชนเข้าไปบริเวณหน้าเกมเซนเตอร์ที่น่าจะเป็นเป้าหมาย พยายามสอดสายตาหาร่างของเพื่อนตัวเอง ก่อนชางมินจะได้แต่ผงะหลบเมื่อมีเด็กอันธพาลท่าทางสะบักสะบอมกลุ่มหนึ่งพากันวิ่งหนีตัดหน้าเขาไป

                “รีบไปเถอะมึง เดี๋ยวตำรวจก็มาก่อนหรอก!” เสียงเอะอะที่ผ่านเข้าหูไม่ได้ช่วยให้ปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรได้มากไปกว่าเดิม และเขาก็คงจะวิ่งตามพวกมันไปแล้ว ถ้าไม่ได้ยินประโยคที่น่าตกใจจากเพื่อนรักเสียก่อน

                “โอ้ย แม่งเอ๊ย ชางมิน ยุนโฮโดนแทงว่ะ”

                “ว่าไงนะ!!!

                “ไอ้พวกเหี้ยตะกี๊แน่เลย เอาไงดีวะ” ยูชอนสบถ ก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนรน

                “ช่างแม่งก่อน แล้วแจจุงเป็นยังไงบ้าง” เอ่ยถามไปถึงอีกคน ซึ่งจุนซูก็ได้แต่ตอบเสียงแผ่ว “อาการไม่ดีเหมือนกันว่ะ ฉันถามอะไรก็ไม่ตอบเลย”

                “เอางี้ กูว่าเราออกจากตรงนี้กันก่อนเหอะ อีกไม่นานตำรวจต้องมาแน่” ยูชอนออกความเห็น ซึ่งชางมินก็พยักหน้า “แถวนี้โรงพยาบาลไหนใกล้สุดวะ”

                “ไม่ได้นะชางมิน” จุนซูรีบท้วง “สภาพแจจุงตอนนี้ดูไม่ปกติเลย ขืนไปโรงพยาบาลตอนนี้ฉันกลัวว่าจะมีคนจับได้”

                คำบอกนั้นของจุนซูทำให้เพื่อนอีกสองคนต้องหันไปสนใจใครอีกคนที่นั่งเงียบไม่ยอมปริปากอะไรออกมาสักคำในทันที ซึ่งก็เป็นอย่างที่คนตัวเล็กว่าจริงๆ แก้วตาของแจจุงที่เคยสดใสดูเหม่อลอยไปหมด อีกทั้งร่างบางยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ไม่ว่าจะพยายามไถ่ถามอะไรไปก็ตาม จะว่าไป...นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่พวกเขารู้สึกว่าแจจุงเป็น ตุ๊กตา จริงๆ

                “...จริงด้วยสิ งั้นเอาไงดี”

                “เอางี้ กลับห้องไอ้ยุนโฮมันก่อนดีกว่า” ยูชอนสรุป “กูดูแผลแล้ว มันอาจจะไม่หนักขนาดนั้นหรอก แต่ไอ้ยุนโฮน่าจะสลบเพราะโดนกระแทกที่หัวมากกว่า อุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ห้องมันก็มีครบไม่ใช่หรือไง ชางมิน มึงเคยลงวิชาเลือกเสรีพยาบาลศาสตร์ไว้ตอนเกรด 7 ใช่ป่าววะ ทำแผลให้มันได้มั้ย”

                “เออ...ไอ้ได้มันก็ได้นั่นแหละ” เขาถอนหายใจ “งั้นตกลงตามนั้น รีบเผ่นเหอะ”

     

                         

     

    ◆ ◆ ◆

     

     

     

                ร่างสูงรู้สึกตัวอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว

                นัยน์ตาคมหรี่ลงเมื่อถูกแสงสว่างจากเพดานแยงเข้ามา บรรยากาศอันคุ้นเคยของสถานที่ตรงหน้าเริ่มกลับมาชัดเจนในความรู้สึก ที่นี่...ห้องของเขาเอง “ไงมึง รู้สึกตัวแล้วเหรอ ไหวปะวะ”

                “...ยูชอน”

                “เออ กูเอง นึกว่าจะโดนฟาดจนสมองเสื่อมไปแล้วซะอีก ไหน ทวนชื่อเพื่อนมึงอีกสองตัวด้วยดิ๊” เจ้าของชื่อทักตอบ พลางพยักเพยิดหน้าไปยังเด็กหนุ่มอีกสองคนที่นั่งกันหน้าสลอน “ชางมิน จุนซู”

                “โอเค ผ่าน ละนี่เป็นไงบ้าง”

                “ก็ยังปวดๆ ตัวกับหัวนิดหน่อยอะ แต่โอเคแล้ว...โอ้ย” เสียงทุ้มร้องออกมาในขณะที่ขยับตัวลุกขึ้น

                “เห้ย อย่าขยับเยอะดิวะ เดี๋ยวแผลฉีก” ชางมินปราม ก่อนจะขมวดคิ้ว “เชื่อเขาเลย โดนแทงมาแท้ๆ แต่มึงดูไม่โคม่าเท่าไรเลยนะ”

                “เอ้าแน่นอน นี่กูชองยุนโฮนะ แค่นี้จิ๊บๆ” พูดอย่างโอ้อวด จริงๆ ก็แค่อยากให้เพื่อนๆ สบายใจนั่นแหละ “ว่าแต่พวกมึงมาได้ไงวะ”

                “คำถามนั้นควรจะเป็นของพวกกูเปล่าวะ ยุนโฮ” จุนซูเอ่ยอย่างระอา “ไปทำอีท่าไหนวะถึงเป็นขนาดนี้ ยังดีนะที่ไม่โดนจุดสำคัญ ถ้าไม่ได้ไอ้ชางมินทำแผลให้แย่ไปแล้ว ไอ้พวกนั้นก็เลวเกิน กะเอาถึงตายรึไง”

                บ่นเป็นชุดจนหูแทบชา จริงๆ ก็คิดว่าจบแล้วนะ...แต่ไม่ ไม่จบง่ายๆ แค่นั้นหรอก

                “อืม โชคดีนะที่แจจุงรับสายกูแล้วก็บอกให้มาช่วย ไม่งั้นมึงไม่รอดแน่ยุนโฮ”

                เป็นยูชอนที่เอ่ยขึ้นมา และแน่นอนว่าชื่อที่ออกมาจากปากเขาก็ทำให้ยุนโฮชะงักไปในทันที

                จริงสิ

                แจจุง....

                “ฮะฮะ นั่นสินะ” ได้แต่หัวเราะเสียงเจื่อนเมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ยุนโฮกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นนิดหน่อยที่จุนซูเข้าใจว่าเขาถูกทำร้ายโดยคนพวกนั้น 

                “แล้ว เอ่อ อืม...แจจุงล่ะมึง”

                อ้อมแอ้มถามออกไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจน่ะอยากเห็นหน้าใครอีกคนใจจะขาด แต่บางทียุนโฮก็รู้สึกว่าเขาไม่ควรจะแสดงอะไรที่มีพิรุธออกไปมากนัก

                โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของแจจุงที่กำลังรบกวนจิตใจอย่างหนักในตอนนี้...เขายังไม่พร้อมที่จะเล่าให้ใครฟังจริงๆ

                “เออ นี่ก็รอมึงถามอยู่เนี่ย พูดซะช้า จนกูนึกว่ามึงความจำเสื่อมลืมน้องตุ๊กตาไปแล้วจริงๆ นะเนี่ย” เขาบ่นขำๆ ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้ตลกไปด้วยเลย “คืออันที่จริง...เรามีปัญหานิดหน่อยว่ะยุนโฮ”

                “อะไร” เอ่ยเสียงแข็งทันที ทั้งที่ในใจกำลังสั่นไหวอย่างน่ากลัว “แจจุงเป็นอะไร เขาอยู่ไหน”

                เมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของเพื่อน จุนซูก็เลยอดไม่ได้ที่จะปราม “ใจเย็นก่อนมึง แจจุงไม่ได้หายไปไหน เขานั่งอยู่ตรงห้องรับแขก”

                “อ่า”

                “จริงๆ พวกกูก็ไม่รู้ว่ะว่าทำไม” คนตัวเล็กอธิบาย “แต่ตั้งแต่รับโทรศัพท์จากแจจุงแล้วบึ่งมาหามึง หลังจากนั้นแจจุงก็ไม่ยอมพูดอะไรกับพวกกูอีกเลย”

                “.....”

                “ถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่สบตาด้วย เอาแต่นั่งเหม่อลอย ไม่ได้หลับ ไม่ได้หมดสติ มือเขาเปื้อนเลือดมึงเต็มไปหมด คงเพราะคอยอุดแผลให้มึงนั่นแหละ แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น พอมาถึงก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง จนกูต้องพาไปล้างมือเอง พยายามชวนคุยแล้วนะ แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย ยูชอนให้ความเห็นว่าระบบตุ๊กตาในตัวเขาอาจจะรวนอะไรรึเปล่า กูก็เลยได้แต่ปล่อยเขานั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวแล้วก็มาดูมึงแทนนี่ไง”

                “...อืม”

                “ว่าแต่มึงพอจะรู้รึเปล่าวะว่าเขาเป็นอะไร เอาจริงๆ ไหนเล่ามาดิ๊ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกกูงงไปหมดแล้วเนี่ย”

                “อืม ก็ไม่มีอะไรหรอก...ก็แค่พวกที่เคยมาหาเรื่องกูคราวก่อนน่ะ วันนี้มันมาเอาคืน...” ยุนโฮตอบเลี่ยงๆ เขาไม่ได้โกหกแต่ก็ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด “ยังไงก็ขอบใจมากนะเว้ยที่มาช่วย”

                “ขอบใจอะไร จริงๆ พวกกูก็ชินแล้วล่ะ” ชางมินทำหน้าเหนื่อยหน่าย “นักเลงชองยุนโฮสุดท้ายก็ยังเป็นนักเลงวันยันค่ำ เดี๋ยวก็ได้ไปหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลเข้าสักที”

                “แหะๆ” ทำได้แค่เอ่ยเสียงหัวเราะเจื่อนๆ ยอมรับคำด่าทอแต่โดยดี

                “ว่าแต่วันนี้เอาไง ให้พวกกูนอนเป็นเพื่อนมะ” ยูชอนไถ่ถาม ทว่ากลับได้รับคำตอบเป็นการปฏิเสธ “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก พวกมึงกลับไปเหอะ กูโอเค”

                “แต่แผลที่ท้องมึง...” จุนซูทัก แต่ยุนโฮก็ยังยืนยันด้วยการส่ายหน้า “กูไม่เป็นไรจริงๆ ปางตายกว่านี้ก็เคยมาแล้ว แค่นี้จิ๊บจ๊อยน่า”   

                “เออ กูรู้มึงมันอึด จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าแจจุงท่าทางแปลกๆ ก็จะพาไปโรงพยาบาลอยู่หรอก โทษที”

                “เฮ้ย ขอโทษไรว้า พวกมึงตัดสินใจถูกละแหละ ขืนโดนจับได้เรื่องนี้ นอนคุกนี่หนักกว่าอีกนะเว้ย ฮ่าๆๆ” เขาเอ่ยติดตลก เอาตามจริง ยุนโฮก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากขนาดนั้นจริงๆ นั้นแหละ

                ใครๆ ก็รู้ว่าเขาถึกจะตายไป

                “เออ งั้นพวกกูกลับก่อนละกัน มีอะไรก็เรียกมาสักทาง” ยูชอนคงหมายถึงช่องทางติดต่อสื่อสารที่มีเป็นร้อยอย่างในยุคนี้นั่นแหละ “กับแจจุงก็คุยกันดีๆ ล่ะ เขาอาจจะยังช็อคอยู่มั้ง เครื่องรวนรึเปล่าก็ไม่รู้”

                “อืม ไม่เป็นไร ขอบใจมาก”

               

                ล่ำลาต่ออีกไม่นาน พวกยูชอนก็ทยอยกันกลับไปจนหมด และทิ้งให้ห้องชุดขนาดกลางกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

                ยุนโฮเงยหน้ามองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ก่อนจะพยุงร่างที่ยังระบมอยู่ไม่น้อยลงมาจากเตียง แน่นอนว่าถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้คงนอนสลบเหมือดจนลุกไม่ขึ้นไปหลายวันแล้ว แต่นั่นไม่ใช่กับยุนโฮ...ถึงจะเป็นแค่เด็กอายุ 18 ปี แต่ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของยุนโฮแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า เขาเรียนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเล็ก อีกทั้งยังฝึกปรือฝีมือด้วยการมีเรื่องชกต่อยไปทั่วมาโดยตลอด และที่สำคัญ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนซ้อมเสียสะบักสะบอมขนาดนี้ ถึงแม้แผลที่ท้องเขาจะใหญ่พอตัวก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ลึกอะไรมากมายนัก จะเป็นเพราะสัญชาตญาณหลบหลีกอันว่องไวของเขา หรือการยั้งมือในเสี้ยววินาทีของอีกคนก็ไม่อาจรู้...แต่ที่รู้ๆ ด้วยระยะประชิดขนาดนั้น ให้หลบยังไง ถ้าแทงเต็มแรงล่ะก็ ยังไงเขาก็ไม่รอดแน่

                เพราะฉะนั้นนี่น่ะ...ไม่ใช่แค่บังเอิญพลาดหรอก

                และความเป็นจริงที่พวกยูชอนไม่รู้ก็คือสิ่งนี้

                ความจริงที่แม้แต่ไอ้คู่อริที่ได้เห็นภาพนั้นพร้อมๆ กับเขาเต็มสองตาก็อาจจะยังไม่เชื่อ

                ความจริงที่ว่า...คนที่แทงเขาไม่ใช่พวกมัน

                หากแต่เป็นเจ้าตุ๊กตาที่มักจะทำหน้าตาน่ารักอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น

                เป็นเด็กผู้ชายท่าทางบอบบางอย่าง แจจุง...ที่แทงยุนโฮด้วยสองมือขาวที่เขาเคยกอบกุมนั้นเอง

                แน่นอนว่าเขาตกใจ แต่เพราะมีเรื่องอื่นให้คิดอีกหลายอย่างก็เลยเริ่มจะตั้งสติได้บ้างแล้ว

                ในทีแรก ยุนโฮแอบกังวลไม่น้อยว่าถ้าไอ้ตัวหัวหน้าหนีไปได้ มันอาจจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป...แต่มาคิดๆ ดูแล้ว จริงๆ ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะสภาพตอนนั้นน่ะเหมือนมันจะสติแตกไปแล้วด้วยซ้ำ เอาจริงๆ จะมองทันเห็นตอนที่แจจุงเอ่อ...แปลงร่าง หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ และยุนโฮคิดว่า ถึงมันจะไปบอกใครเขา...ก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดีนั่นแหละ ก็จะพูดว่ายังไงล่ะ? คนเปลี่ยนมือเป็นมีดเหรอ..? ให้ตายเถอะ มันก็จริงที่ตอนนี้โลกพัฒนาไปมากแล้ว แต่ถ้าจะเอาแต่โวยวายว่ามีคนเปลี่ยนมือเป็นมีดได้ล่ะก็...สุดท้ายพูดไปก็คงจะมีแต่คนหาว่าบ้าเปล่าๆ

                ส่วนเรื่องแจ้งตำรวจก็คงรอดไปอีกนั่นล่ะ อันธพาลขาประจำอย่างพวกนั้นคงมีคดีติดตัวอยู่หลายกระทง เรื่องจะให้พวกมันไปขอความร่วมมือจากตำรวจน่ะเหรอ...ลืมไปได้เลย

                สรุปว่าเรื่องอื่นน่ะคงไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องใหญ่น่ะน่าจะเป็นเรื่องของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรักตรงหน้านี้มากกว่า

                เฮ้อ...เอาจริงๆ ก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน

                ร่างสูงที่ยังขยับกายได้ไม่คล่องแคล่วนักค่อยๆ เดินลงจากเตียง เขาก้มมองพื้น ก่อนจะเห็นถุงใส่ของสดที่ท่าทางยับเยินไม่น้อย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ดูใช้ได้อยู่บ้าง คงจะเป็นจุนซูหรือใครสักคนนั่นล่ะที่เก็บกลับมาให้ ข้างๆ กันมีกระเป๋านักเรียนของเขาและแจจุง เสื้อนักเรียนเน่าๆ ของยุนโฮถูกโยนทิ้งไว้ในตะกร้า มีคราบเลือดเกรอะกรังแต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เด็กหนุ่มเดินผ่านมันมา ก่อนจะพบกับร่างของคนที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลาอยู่ตรงหน้า ใบหน้าหวานก้มสนิทไม่สบตาใคร นั่งเหม่อๆ ราวกับจมอยู่กับตัวเอง และท่าทีไม่ร่าเริงเหมือนทุกทีก็ทำเอายุนโฮอดจะรู้สึกใจหายนิดๆ ไม่ได้

                ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขากลัวอยู่เหมือนกัน ภาพในตอนนั้นมันยังติดตาแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะลืมกันง่ายๆ แจจุงในตอนนั้นไม่เหมือนแจจุงที่เขาเคยรู้จักเลย เป็นวูบหนึ่งในสมองที่ยุนโฮรู้สึกราวกับอยากจะหนี...ไม่อยากเข้าใกล้อีกแล้ว...มันไม่ใช่เรื่องแปลกในเมื่อแรกเริ่มเดิมทีมาเขาก็เป็นแค่เด็กอายุ 18 ธรรมดาๆ เท่านั้น แล้วการที่อยู่ๆ ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับไอเดียลดอลที่คุ้มดีคุ้มร้ายอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เต็มใจด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยุนโฮยังได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ว่าแจจุงในตอนที่เสียการควบคุมน่ะน่ากลัวขนาดไหน เพราะฉะนั้น ถ้าพวกยูชอนรู้เข้าล่ะก็ ก็คงจะต้องแยกแจจุงออกจากเขาในทันทีอย่างแน่นอน ด้วยเหตุก็เพราะมันเไม่จำเป็นเลย...

                ไม่คุ้มเลยที่จะต้องเอาชีวิตมาฝากไว้กับตุ๊กตาปีศาจอะไรก็ไม่รู้ตรงหน้านี่

                แต่บางทียุนโฮก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เขาควรจะรู้สึกแบบนั้น...แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม

                แค่ได้เห็นท่าทางหงอยๆ ไม่ร่าเริงของตุ๊กตาตัวน้อย กับแววตาตื่นตกใจที่ดูหวาดกลัวตลอดเวลา แค่นั้น...ความรู้สึกทางลบทั้งหมดก็พลันสลายไป เหลือเพียงเสียงในหัวที่บอกว่าอยากรวบร่างบอบบางตรงหน้ามากอดแน่นๆ เพียงเท่านั้น เป็นเพราะยุนโฮชอบที่แจจุงยิ้ม ชอบแจจุงที่ขี้งอนแล้วก็ทำตัวไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องตลอดเวลา ชอบแจจุงที่บางทีก็ขี้แกล้ง ขี้บ่น...เขาชอบ...หรืออาจจะรักไปแล้วกับแจจุงที่เป็นแบบนั้น

                นั่นจึงเป็นเหตุผลที่แม้ยุนโฮจะไม่รู้เหมือนกันว่าตุ๊กตาตัวนั้นน่ากลัวขนาดไหน หรือถ้าสักวันหนึ่งแจจุงควบคุมตัวเองไม่ได้ขึ้นมาอีกเขาจะถูกฆ่ามั้ย แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้...ถ้าให้เขาเลือกระหว่างผลักไสแจจุงออกไป กับกอดปลอบเอาไว้ไม่ให้ห่างตัว ยุนโฮก็เลือกข้อหลังอย่างไม่ต้องสงสัย

                “แจจุง...”

                “.....”

                “นี่ เจ้าตุ๊กตาตัวน้อย ฉันมาแล้วนะ ไม่คิดจะหันมาคุยกันหน่อยหรือไง”

                ฝืนพูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ไม่สู้ดีเท่าไรก็ตาม ยุนโฮเดินเข้าไปใกล้ๆ โซฟาที่มีร่างของคนเหม่อลอยนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะคุกเข่าลงให้ใบหน้าอยู่เสมอกันในระดับสายตา

                “แจจุง...ตอบฉันหน่อยได้มั้ย”

                “.....”

                “ฉันยุนโฮเองนะ ยุนโฮคนนิสัยไม่ดีของนายไง...”

                ชื่อนั้นทำให้ตุ๊กตามีปฏิกิริยาตอบกลับในที่สุด ยุนโฮเกร็งตัวเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากร่างบอบบางตรงหน้า มือใหญ่เลื่อนมือไปจับมือนิ่มของอีกคนเอาไว้หมายจะปลอบประโลม แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟร้อนๆ ที่ลนหัวใจของตุ๊กตาให้ยิ่งสั่นสะท้านจนต้องออกแรงสะบัดมือออก

                “อยะ อย่าจับนะ!

                “...แจจุง...”

                “อย่ามาเข้าใกล้...อย่ามายุ่งกับแจจุงนะ...ยุนโฮ” นัยน์ตากลมโตที่ไม่มีน้ำตาทว่ากลับสั่นระริกจนน่าสงสารนั้นเอ่ยบอกละล่ำละลั่ก “อย่าเข้ามา...เดี๋ยวยุนโฮจะเจ็บ...”

                ภาพเลือดสีแดงฉานที่ไหลซึมออกมาจากร่างกายของเด็กหนุ่มยังติดตรึงอยู่ในสมองกลอันซับซ้อนของแจจุง เขาหวาดกลัวจับใจ หัวใจบีบรัดจนเจ็บ แจจุงทั้งหวาดผวา ทั้งคิดไปต่างๆ นานาว่ายุนโฮจะเกลียดกัน และในตอนที่ร่างสูงของเขาล้มพับลงไป แจจุงไม่เคยรู้สึกเกลียดตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย  

                “เจ็บใช่ไหม ยุนโฮ ขอโทษนะ ขอโทษ...ฉันนิสัยไม่ดีใช่ไหม...”

                “.....”

                “อา...น้ำอะไรไหลออกมาจากตาของฉันกันนะ...”

              “.....”

              “ฮึก ย..ยุนโฮ...ข...ขอโทษ”

              และในวินาทีที่หยดน้ำใสไหลกลิ้งลงมาอาบแก้มนุ่ม ยุนโฮก็ไม่ทนอีกต่อไป เขารวบร่างบอบบางที่สั่นเทานั้นเข้ามากอดแน่นในทันที แจจุงดิ้นขลุกขลัก แต่ท่อนแขนแกร่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ตุ๊กตาตัวน้อยไม่กล้าแม้แต่จะกอดยุนโฮกลับ เขากลัว...กลัวว่ามืออันน่ากลัวของตัวเองจะทำร้ายยุนโฮอีก เขาไม่อยากให้ยุนโฮเจ็บอีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน...ก็ไม่รู้ว่าจะทนได้ไหมถ้ายุนโฮคิดจะทิ้งกันไปจริงๆ

                “ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้วแจจุง”

                “...ฮึก...ยุนโฮไม่กลัว..แจจุงเหรอ”

                “...อืม ตอนแรก ก็ว่าจะกลัวอยู่หรอกนะ” คำบอกนั้นทำเอาตุ๊กตาตัวน้อยถึงกับสะอื้น ก่อนจะสงบลงช้าๆ เมื่อร่างสูงเอ่ยประโยคถัดมา “แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ฉันน่ะ เป็นห่วงแจจุงมากกว่าที่กลัวแจจุงซะอีก”

                “.....”

                “ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน...”

                “.....”

                “แต่ฉันน่ะ ไม่คิดจะทิ้งแจจุงไปไหนหรอกนะ แล้วก็ไม่โกรธด้วย”

                “....”

     

                “เพราะไม่ว่าแจจุงจะเป็นอะไร แจจุงก็จะยังเป็นแจจุงคนเดิมของฉันอยู่ดี รู้มั้ย”

     

                คำบอกเล่านั้นทำให้ร่างบางที่เคยผลักไสเขาออกไปนั้นค่อยๆ สงบลงอย่างประหลาด ใบหน้างามซบลงบนไหล่กว้างเงียบๆ ก่อนจะปล่อยให้อ้อมแขนแกร่งโอบกอดเอาไว้อย่างนั้น หยดน้ำใสมากมายเอ่อซึมจนเจ้าของไหล่รู้สึกได้ถึงความชื้นตรงหัวไหล่ ก่อนริมฝีปากได้รูปจะเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อคนตัวบางเอ่ยเสียงอู้อี้

                “ฮึก....”

                “.....”

                “ฮึ...ย..ยุนโฮ...แจจุงไม่รู้เป็นอะไร”

                “...หืม”

                “น้ำไหลออกมาจากตาตลอดเลย”

                “ฮะๆ เหรอ” เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น พลางฝังจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มตรงหน้า “อย่างเนี้ยเขาเรียกร้องไห้”

                “.....ฮึก”

                “ถ้าร้องไห้เยอะๆ จะเป็นคนขี้แยด้วยรู้มั้ย” ใบหน้าคมผละออกมา ก่อนจะสบตากับคนที่ตาฉ่ำไปหมดอย่างเอ็นดู “แจจุงอยากเป็นคนขี้แยเหรอ”

                “ขี้แยไม่ดีใช่ไหม” เสียงหวานเอ่ย “งั้นแจจุงไม่อยากเป็น”

                “อื้ม งั้นต้องหยุดร้องไห้นะ แล้วก็จะไม่ขี้แย”

                “เหรอ ฮึก ทำยังไงล่ะ ม...มันไหลออกมาเองนี่นา” ใบหน้ายู่ยี่น่ารักของคนตรงหน้าทำเอายุนโฮอยากจะจับมาหอมหนักๆ หลายๆ ทีเสียให้หายหมั่นเขี้ยว เขานึกประหลาดใจนักที่ตุ๊กตาอย่างแจจุงร้องไห้ได้ด้วย แต่เอาจริงๆ จะว่าไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ สำหรับตุ๊กตามหัศจรรย์ตัวนี้

                “งั้นหันหน้ามาสิ เดี๋ยวยุนโฮเช็ดให้” เขาเอ่ยบอก และนั่นทำให้ใบหน้านวลค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ ปลายนิ้วเรียวบรรจงซับที่หางตาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตามด้วยริมฝีปากที่แนบลงตามไป จนคนถูกหลอกจุ๊บต้องหยีตาลง

                “อื้อ...ทำไมใช้ปากล่ะ”

                “ก็น้ำตาไหลเยอะอ่ะ เอานิ้วซับไม่หมด” อ้างหน้าด้านๆ ทั้งแบบนั้นแหละ ว่าแต่ทำไมหัวใจต้องเต้นดังด้วยเล่า...เดี๋ยวเจ้าตุ๊กตาก็รู้กันพอดีว่าโกหกน่ะ “หยุดร้องไห้แต่ยังหน้างออยู่เลย ไม่ได้เรื่อง ไหนยิ้มดิ๊”

                “ยิ้มอะไรล่ะ...” เอ่ยก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น จนมือใหญ่ต้องรั้งให้หันกลับมาพลางดึงแก้มยุ้ยๆ จนยืดออก “ยิ้มงี้ไง ยิ้มมมม”

                “นี่ มาดึงแก้มแจจุงทำไม คนนิสัยไม่ดี” บ่นอุบอีกครั้ง ยุนโฮหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยกลับมาทำแก้มปูดเป็นปลาทองเหมือนเดิมแล้ว เขาค่อยขยับตัวเองขึ้นมานั่งบนโซฟาด้วยกัน ทว่ายังไม่คิดจะคลายอ้อมกอดแต่อย่างใด

                “นี่ นั่งไม่ถนัดเลยอะ” ทำเป็นบ่นอีก

                “ก็จะมากอดทำไมล่ะ กอดก็นั่งไม่ถนัดสิ”

                “ไม่เอาดิ ไหนว่าว่ากอดกันอุ่นดีไม่ใช่เหรอ”

                “แต่ยุนโฮเจ็บอยู่...” ตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะทำหน้าหงอยลงไปอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพราะอะไรเด็กหนุ่มถึงต้องสะบักสะบอมแบบนี้ “โอ้ย เจ็บเจิบอะไรล่ะ คิดมาก นี่ชองยุนโฮคนนิสัยไม่ดีเลยนะ ฉันเก่งจะตาย”

                “.....”

                “นี่ เลิกทำหน้าหงอยได้แล้ว” พูดเสียงกวนประสาทก่อนจะทำท่าตบตักตัวเองปุๆ “มานั่งนี่มา จะได้กอดถนัดๆ”

                “...นั่งยังไงล่ะ” ก็ยังไม่วายทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจอีก

                “น่ะ เอาอีกละ คนร้ายกาจ อย่ามาทำเป็นน่ารักนะ” เอ่ยกวนประสาท ก่อนจะถือวิสาสะดึงอีกคนมานั่งพาดขาบนตัก แล้วสอดแขนรวบเอวบางมากอดไว้ทั้งตัว “ไม่รู้เรื่องตลอด ก็นั่งอย่างงี้ไง”

                ไม่รู้ทำไม พออยู่ในท่านี้แล้วจู่ๆ ตุ๊กตาตัวเองก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะเต้นแรงขึ้นมาซะอย่างนั้น เสียงหวานเอ่ยพึมพำอย่างคนทำตัวไม่ถูก “นั่งอย่างนี้...ยุนโฮไม่เมื่อยขาหรอ”

                “เมื่อยอะไรล่ะ ตัวก็เล็กแค่นี้ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เจ็บขาด้วย” เขาบอก ในขณะที่เอ่ยอ้อนๆ “แต่แขนน่ะยังเจ็บอยู่เลย กอดไม่ไหวแล้วอ่ะ...แจจุงกอดฉันบ้างสิ”

                ถึงยุนโฮจะพูดอย่างนั้น แต่ร่างบางบนตักก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามแต่อย่างใด นัยน์ตาคู่สวยก้มมองมือขาวจัดของตัวเองด้วยแววตาสั่นระริก ก่อนจะตอบ “ม..ไม่ได้หรอก มือของฉันน่ะ...มือของฉัน”

                ภาพประหลาดที่น่ากลัวยังคงติดอยู่ในหัวของแจจุง เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ามือของตัวเองเปลี่ยนไปเป็นมีดแหลมๆ อย่างนั้นได้ยังไง และสิ่งที่ตัวเองทำกับยุนโฮนั้นมันก็ดูเหมือนว่าจะรุนแรงจนตุ๊กตาผู้น่าสงสารไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องตัวเขาอีกต่อไป

                กลัว...กลัวว่าจะทำให้เจ็บอีก

                และถ้าเป็นอย่างนั้น แจจุงคงทนไม่ได้แล้วจริงๆ

                “นี่ ใจเย็นๆ สิ”

                เสียงทุ้มเอ่ยปลอบ ขณะที่ใช้มือใหญ่ของตัวเองคว้าหมับเข้าที่มือขาวตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวอะไร และแม้ว่าแจจุงจะพยายามสะบัดออก เขาก็ยังขืนเอาไว้  “นี่ไง ฉันก็จับมือนายได้ เห็นมั้ย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

                “แต่...”

                “ชู่...ใจเย็นๆ นะ ไม่เป็นไร มันไม่เป็นไร” ฝ่ามือใหญ่กำมือขาวไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ สอดนิ้วทั้งห้าประสานลงไป “นายชอบให้ฉันจับมือแบบนี้ไม่ใช่เหรอ เห็นมั้ยว่ามันไม่เป็นอะไร”

                “อ..อือ...” ยังคงกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายจับมืออยู่อย่างนั้น ยุนโฮถอนหายใจ ในขณะที่หันไปสบตากับคนบนตักตรงๆ

                “แต่ถึงยังไง ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าตกใจเหมือนกัน แจจุง นายทำอย่างนั้นได้ยังไงน่ะ? คือ ฉันหมายถึง ที่เปลี่ยนมือเป็นมีดอย่างนั้น”

                “ฮึก...”

                “นี่ อย่าร้องอีกนะ! ฉันไม่ได้ดุซักหน่อย แค่อยากรู้” เสียงทุ้มโวยวายทันทีเมื่อเห็นว่าอีกคนทำท่าจะเป่าปี่อีกรอบ

                “ฉ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง” เสียงหวานเอ่ยหงอยๆ “รู้แค่ว่าตอนนั้นโกรธมาก...แล้วก็คิด...คิดถึงมีดทำกับข้าว คิดว่าอยากจะหั่นพวกนั้นเป็นชิ้นๆ เพราะว่ามันมาทำร้ายนายแบบนั้น”

                “มีด...ทำกับข้าวเหรอ?”

                “อือ”

                “นายบอกว่า นาย..คิดใช่มั้ย?”

                “อือ”

                คำบอกเล่านั้นทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างหนัก ทำไมกันนะ ทำไมอยู่ๆ เขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับความสามารถคล้ายๆ กันแบบนี้อย่างประหลาด – จริงๆ ก็ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ทั้งๆ ที่ยุนโฮไม่เคยรู้จัก หรือมีเพื่อนที่หน้าเหมือนแจจุงเลย แต่เขากลับรู้สึกเหมือนเคยพบแจจุงมาก่อน...แต่คิดให้ตายยังไงก็คิดไม่ออกเลยว่าความรู้สึกแบบนี้มันมาจากที่ไหนกันแน่

                และในขณะที่กำลังคิดไม่ตกถึงตะกอนความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆ ถูกกวนทีละน้อยในหัวสมอง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็เรียกความสนใจได้เสียก่อน ยุนโฮปล่อยให้แจจุงลงจากตัก ก่อนจะเดินทุลักทุเลลงไปหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นชื่อเพื่อนก็กดรับในทันที

                “ว่าไงมึง”

                (อ้าว ยังไม่นอนเหรอวะ)

                “ก็ถ้านอนจะรับโทรศัพท์มึงมั้ยล่ะ”

                (กวนส้นตีน...แล้วนี่เป็นไงบ้าง แจจุงล่ะ) เสียงอู้อี้ของปาร์คยูชอนกับแบคกราวด์ที่โหวกเหวกโวยวายมาตามสาย ทำเอายุนโฮหัวเราะเบาๆ

                “อ่อ ไม่มีอะไร เขาแค่ตกใจนิดหน่อย...กูจัดการเรียบร้อยละ” ยุนโฮเอ่ยเลี่ยงๆ ไป “...แล้วเสียงนั่นอะไร เหมือนเสียงจุนซู อยู่กันหลายคนเหรอวะ”

                (เออ วันนี้แห่มานอนบ้านจุนซูแทน เล่นเกมกัน ตอนแรกก็กะจะไปเล่นบ้านมึงอะแหละ แต่มีเรื่องซะก่อน เลยคิดว่าปล่อยมึงพักผ่อนดีกว่า)

                “อ้อ แล้วนี่โทรมามีไรอะ”

                (ก็แค่จะมาถามนั่นแหละว่าเป็นไง...แต่ก็ มีเรื่องจะถามด้วยว่ะ) ประโยคหลังเอ่ยเสียงเครียด จนคนฟังต้องขมวดคิ้วเกร็งๆ ตามไปด้วย เด็กหนุ่มกลืนน้ำอายอึกใหญ่อย่างลุ้นๆ

                “อะไร..วะ” หรือแม่งจะสงสัยอะไรเรื่องแจจุง นี่กูเครียดนะเนี่ย!

                (คือ...กูอยากรู้ว่า...)

                ว่า...ว่าอะไรล่ะ โอ้ย จะค้างเพื่อ

                “.....”

                (เจซอร์ซิสของมึงอ่ะ ต้องกดปุ่มยังไงมันถึงจะปล่อยท่าไม้ตายวะ!)

                โธ่ ไอ้สัด พูดซะกูตกใจหมด...

                “โธ่ เรื่องเกมเหรอ”

                (ฮ่าๆ เออดิ คิดว่ามีเรื่องไรล่ะ)

                “ก็ไม่ยากอะมึง ก็กดซ้ายบนพร้อมกัน กดต่อยตรงแล้วก็ใช้แอลสอง สังเกตดูว่าถ้ามันทำท่าใช้ความคิดมึงก็กดต่อยตรงอีกที มือมันจะเปลี่ยน...เป็น....มีด...” ถึงตรงนี้ คิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมุ่น ภาพคุ้นเคยในเกมต่อสู้กับตัวละครที่เขาเล่นประจำย้อนกลับมาในความคิดเป็นฉากๆ จนเด็กหนุ่มรู้สึกตงิดใจ

                (เออๆ แล้วไงต่อวะ กูอ่านในหนังสือเกมมา มันบอกภาคใหม่เจซอร์ซิสเก่งมาก เปลี่ยนร่างกายเป็นอะไรก็ได้ตามจินตนาการเลยนะ แต่กูลองกดแล้วมันไม่ได้อ่ะ เนี่ย ไอ้จุนซูจะเล่นตัวนี้ให้ได้เลย มันบอกหน้าตาน่ารักดีคล้ายๆ แจจุง กูเห็นมึงเซียนตัวนี้ก็เลยโทรมาถาม...เฮ้ย ไอ้ยุนโฮ! ฟังอยู่ป่ะเนี่ย!)

                 “เออ มึง...แค่นี้ก่อนนะ”

                เสียงทุ้มเอ่ยตอบราวกับไม่ได้สนใจเนื้อหาที่ปลายสายต้องการสื่ออีกต่อไป นิ้วเรียวกดตัดสาย ก่อนจะหันมามองใบหน้างดงามที่เริ่มคุ้นตามากขึ้นทุกทีในความรู้สึก รวมถึงเรื่องราวที่ค่อยๆ ปะติดปะต่อเข้ามาทีละน้อยในความทรงจำ

     

                “ยุนโฮ ชอบเล่นเกมนี้หรอ”

              “ฮะ พ่อ”

              “แล้วทำไมถึงใช้ตัวนี้ล่ะ นี่มันตัวผู้หญิงนะ ท่าทางไม่แข็งแรงด้วย”

              “ไม่นะฮะ! เจซอร์ซิสเก่งจะตาย! พ่ออะไม่รู้อะไร ยุนโฮเคยอ่านในหนังสือเกมมา จริงๆ เขาเป็นผู้ชายด้วยล่ะ!

              “หน้าตาน่ารักอย่างเนี้ยอะเหรอ”

              “ใช่ฮะ! เจซอร์ซิสเก่งมากๆ จริงๆ นะ ยุนโฮชอบที่สุดเลย”

                 

                .

                .

                .

     

                “ปกติ เจซอร์ซิส น่ะ แทบจะไม่มีใครใช้เลยล่ะเพราะว่าควบคุมยากมาก แต่จริงๆ แล้วยัยนี่น่ะ มีความลับของสุดยอดตัวละครอยู่นะ รู้ไหมว่าอะไร?”

                “อือ ไม่รู้”

              “นั่นก็คือความสามารถในการเปลี่ยนร่างกายบางส่วนของตัวเองเป็นอะไรก็ได้ตามจินตนาการน่ะสิ ยิ่งซีซั่นนี้นะ เขาผลิตเกมมาละเอียดมาก ฉันยังไม่รู้เลยว่าตกลงจริงๆ แล้วเจซอร์ซิสทำอะไรได้มากขนาดไหนกันแน่ ตัวเด็ดฉันเลยล่ะ!

                จะว่าไป...เจซอร์ซิสนี่...หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนกันนะ?

               

                เป็นอย่างนี้เองต้นแบบของแจจุง

                และถ้าสมมติฐานของเขาถูกต้อง...ถ้าพ่อของเขาสร้างแจจุงขึ้นมาจากเจซอร์ซิสจริงๆ ล่ะก็

                อย่างนั้นก็หมายความว่า...

     

                “แจจุง ฉันว่าเราคงต้องทดสอบอะไรกันสักหน่อยแล้วล่ะ”

     

     




    TBC.









     

    ◆ ◆ ◆

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×