คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : Part [11.] : ภาคปฏิบัติขั้นพื้นฐาน 1
-( : ตัวสวย – ตัวหล่อ : )-
: XI ภาคปฏิบัติขั้นพื้นฐาน 1
ไม่มีอะไรที่ทำให้ยุนโฮสับสนกับตัวเองระหว่างฟิคชั่นกับความเป็นจริงไปได้มากไปกว่าการที่ฟิคชั่นทุกเรื่องมีฉากเลิฟซีนของเขากับแจจุง
ย้ำว่าทุกเรื่อง
ที่สำคัญ บางเรื่องดันมีเลยเถิดจากเลิฟซีนไปถึงเรื่องอย่างว่าด้วยน่ะสิ
ทั้งๆ ที่ยุนโฮเองก็รู้ดีว่านักเขียนส่วนใหญ่คือแฟนคลับของเขา ซึ่งร้อยละเก้าสิบก็คือนักเรียนหญิงทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลายแห่งแทฮวาชิน ดังนั้นก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กสาวพวกนี้ทุกคนจะสามารถเข้ามาอ่านนิยายพวกนี้ได้ทั้งที่มันก็เขียนอยู่บนจั่วหัวหราว่า Rate : NC-17
No Children under 17 ไม่ใช่เหรอไง?
แล้วพวกมอต้นล่ะ ? พวกที่ยังไม่ถึงสิบเจ็ดล่ะ? เห็นก็เข้ามากันเพียบ !
ไม่รู้ล่ะ ยังไงยุนโฮก็ไม่สน เพราะยุนโฮจะสิบแปดแล้ว (?)
คิ้วเรียวขมวดมุ่น ในขณะที่กวาดสายตามองไปยังตัวหนังสือ พลางมือก็เลื่อนสกรอบาร์ลงมาเรื่อยๆ ริมฝีปากหยักเม้มเข้าเมื่อถึงฉากสำคัญของเรื่อง ก่อนจะสะดุดไปเมื่อพบกับคำคุ้นเคยที่เขารู้ดีว่ามันมักจะนำไปสู่ความโรแมนติกที่พุ่งสูงขึ้นสู่จุดสูงสุดในความยาวเพียงหนึ่งย่อหน้า ก่อนจะเลี้ยวหักมุมอย่างสุดโต่งเข้าไปที่ ฉากอย่างว่า แบบที่คนอ่านแทบไม่รู้ตัวเหมือนทุกครั้ง
มาแล้วๆๆๆ > “ <
แม้ใบหน้าคมได้รูปจะขึ้นสีเข้มจัด แต่ถึงอย่างนั้นยุนโฮก็ยังรู้สึกโกรธตัวเองนิดๆ ที่ไม่ยอมหยุดอ่าน สายตาคมคายกวาดอ่านไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ ตัวหนังสือตัวแล้วตัวเล่าถูกแปลไปเป็นรูปภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ในหัวด้วยแรงจินตนาการของมันสมองระดับอัจฉริยะ ซึ่งไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะยุนโฮเป็นคนฉลาดมากก็ได้ เวลาที่อ่านอะไรจึงเข้าใจได้ลึกซึ้งและอินมากกว่าปกติ
อิน อิน อิน อิน อิน
มันเป็นตรรกศาสตร์ใช่ไหม?
ว่าด้วยเรื่องของหลักการและเหตุผล
1. หนังสือเป็นสิ่งที่ควรอ่าน ≡ 2. ฟิคชั่นก็เป็นหนังสือชนิดหนึ่งเหมือนกัน
จากสมบัติการสมมูลของ 1. และ 2. ดังนั้น ฟิคชั่นเป็นสิ่งที่ควรอ่าน
3. แต่ฟิคเขียนดี + ยุนโฮฮลาดจัด = อินฟิค
4. จากข้อ 3 ส่งผลให้ อินแล้วก็อยากทำเหมือนที่ฟิคบอก = ฟิคแต่งไรมาให้อ่านก็อยากทำอย่างนั้น
5. ด้วยหลักการทั้งหมดจากข้อ 1-2-3-4 ทำให้สรุปได้ว่า
“ยังไงฟิคชั่นก็เป็นสิ่งที่ชองยุนโฮควรอ่าน แต่เพราะยุนโฮฉลาดจัดแล้วฟิคก็เขียนดียุนโฮก็เลย อินฟิค หมายความว่า พออินแล้วก็อยากจะทำเหมือนในฟิค”
ทำไรบ้างล่ะ?
ฉากนั้นก็ !@Y#$ ฉากนู้นก็ @#J$$#%~~ ฉากนี้ก็ @!T#V@$X#$Q##5!XXXxxx!!!
> “ <
แค่คิดก็..
--- ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก --- ระเบิดเวลามาอีกแล้ว
โอ้ย พอเหอะ เลิกพูดถึงเรื่องนี้สักที !
คิ้วเรียวขมวดเป็นปม ในขณะที่รอยหยักในสมองกำลังทำงานจนพันกันมั่วไปหมด ระบบความคิดอันแสนซับซ้อนที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อยบัดนี้ถูกสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่า ‘ตัวสวย’ เข้ามาก่อกวนวุ่นวายจนยุนโฮเบลอ นึกเจ็บใจนิดๆ ที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ระเบิดเวลาที่ฝังอยู่ในร่างเขาเวลาเจอตัวสวยก็เก็บกู้ไม่ได้สักที
คิดทีไรมีอันต้อง
BOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOM !!!
เป็นอันเข้าใจทั่วกัน
…..
วันนี้ป็นอีกวันที่ชองยุนโฮรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นพิเศษ
เหตุก็ไม่ใช่อะไร ก็แค่...วันนี้มันวันที่ 4 มิถุนายน น่ะสิ
สงสัยมั้ยวันอะไร? คิด คิด คิดดูสิ ให้เวลาคิด 3 วินาที
ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก
เฉลย – วันกำเนิดเปลี้ยน่ะสิ
“ไอ้ยุนนนน”
นั่น มาแล้ว
“ของขวัญวันเกิดกูล่ะ !!!” เสียงแหบแต่โก่งคอตะโกนเสียจนกระดูกค้อน ทั่ง โกลนมันพร้อมใจกันลุกขึ้นมาเต้นระบำเป็นจังหวะฮี๊เหาะดังมาแต่ไกล ยุนโฮขมวดคิ้ว ในทันทีที่รู้สึกได้ถึงการมาของฝนกรดห่าใหญ่ มือใหญ่ก็รีบคว้าหมวกไหมพรมใต้โต๊ะขึ้นมาสวมปิดตาแล้วเอาหูฟังใส่ทับทันที
ก่อนจะค่อยๆ ฟุบหมอบลงไปช้าๆ …
“ไอ้เชี่ยยุน ! ไม่ต้องมาแกล้งหลับ !” แต่อย่างกับว่าไอ้เพื่อนสนิทที่คลุกดินเปื้อนโคลนด้วยกันมาตลอดห้าปีมันจะไม่รู้ทัน ปาร์คยูชอนยกชีทในมือขึ้นตบที่ศีรษะเพื่อนรักเบาๆ อย่างหมั่นไส้
แหมมึง น้องแจจุงมาล่ะทำหูตั้งหางกระดิก เจอกูล่ะหลับสนิทเชียวนะ
“อะไรมึง เป็นแค่เปลี้ย กล้ามากนะ” ยุนโฮพูดเสียงเรียบหน้าตายราวกับเมื่อครู่นี้ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก่อนจะลุกขึ้นมาถอดหมวกแล้วจ้องดวงตาคมกริบบาดไปถึงกระเดือกใส่ยูชอน
“โอเค๊ กูผิดค้าบ กูขอโทษครับท่านยุนโฮ ว่าแต่วันนี้วันที่สี่มิถุนายนนะครับ วันครบรอบสิบเจ็ดปีแห่งต้นกำเนิดความหล่อปาร์คยูชอน ไม่ทราบว่าไอ้คุณเพื่อนห้าปีมีของขวัญอะไรมาให้ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยคนนี้บ้างไหมครับ?”
คำพูดกวนประสาทที่ติดจะหลงตัวเองอยู่ในทีทำให้ยุนโฮรู้สึกเพลีย
ต้นกำเนิดความหล่อเรอะ?
เปลี้ยเดย์มากกว่า
เพลียจริงอะไรจริง
“ก็เป็นข้าน้อยผู้ต่ำต้อยไม่ใช่เหรอ ก็เลยไม่มีอะไรให้” พูดหน้าตาย ทำเอายูชอนเหวอ
ดูมันย้อนหน้าด้าน ๆ ! ฉลาดนักนะ ... เอ้อ ! ลืมไป แม่งฉลาดนี่หว่า -*-
“อะไรกัน ชองยุนโฮนี่กูเพื่อนห้าปีของมึงนะเนี่ย จะให้กันนิดนึงไม่ได้เลย...เออจำไว้” เริ่มมาโหมดดราม่า พลางหันไปขอความเห็นจากสหายสนิทที่หลบหน้าหลบตาเงียบกริบกันอยู่ข้างหลัง “ยงฮวา มินโฮ มึงดูดิ ไอ้ยุนโฮแม่งทำงี้กับกูอ่ะ ไม่เหมือนพวกมึงเลย ใช่ป่ะ ดูดิขนาดยงฮวากับไอ้มินโฮมันยังเอาของขวัญมาให้ก...”
พล่ามไปเรื่อย ในขณะที่ตัวเองเริ่มขมวดคิ้วเมื่อไอ้พวกเพื่อนบ้าเริ่มหลบหน้าหลบตาแทบจะหายตัวเข้าไปใต้เก๊ะโต๊ะกันทีละคนสองคน
อย่าบอกนะว่า ...
“เฮ้ย เงียบกันทำไมวะ อย่าบอกนะว่าพวกมึงไม่มีใครจำวันเกิดกูได้เลยซักคน?”
เงียบ – กริบ
ในวินาทีนั้นปาร์คยูชอนรู้สึกได้ว่าสรรพางค์กายทั่วร่างอ่อนปวกเปียก แข้งขาอ่อนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาในทันที เรียกได้ว่าถ้าลงไปนอนดิ้นแถดกับพื้นได้คงลงไปแล้ว เด็กหนุ่มลูกครึ่งที่ดูหน้าตาเกาหลีจ๋ายกมือขึ้นกุมหน้าทำท่าทาง OH! MY GOD ในชะตากรรมของตัวเอง ก่อนจะยกมือชี้หน้าไอ้ตัวหล่อแล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้คนหน้ามึนต้องสะดุ้งขึ้นมาเป็นครั้งแรกของวัน
“ฮื้อออออออออออออ ไอ้เพื่อนเลววววว คอยดูนะๆ กูจะไปฟ้องน้องแจจุง!”
เห้ย
ยุนโฮตาโต
เชี่ยเปลี้ย อย่ามาเปลี้ยดิ๊มึง !!!
...
วันนี้กิจกรรมชั่วโมงคหกรรมของห้องเรียนปีหนึ่งห้องเอคือการเรียนทำขนมเค้ก
แก้มใสเรื่อสีชมพูดูน่ารักกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่ออยู่ในชุดผ้ากันเปื้อน แจจุงยืนยิ้มแป้นพลางตีไข่และเทส่วนผสมอยู่ข้างๆ ชางมินที่กำลังมองมาด้วยสายตาเป็นประกาย คิมจุนซูเองก็เช่นกัน เขาตื่นเต้น “แจจุงทำเค้กเป็นด้วยเหรอ?”
“อื้อ~ แบบ ง่ายๆ อ่ะนะ ก็พอทำได้ล่ะ” สิ้นคำตอบ เสียงคลิ้กเบาๆ ที่เตาอบซ้ายของห้องเรียนก็ดัง แจจุงหันไปมอง ก่อนจะเงยหน้าบอกเพื่อนตัวสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ชางมิน~ ตู้นั้นเสร็จแล้วอ่ะ มีของฉันที่เอาไปอบด้วย เดินไปเอาให้หน่อยสิ”
เด็กตัวโตพยักหน้า ก่อนจะเดินห่างออกไป ทันทีที่ชางมินไม่อยู่ จุนซูที่ดูท่าจะสนใจกิจกรรมนี้เป็นพิเศษก็พุ่งตัวเข้าประชิดแจจุงทันที “แจจุงงง~ สอนฉันทำบ้างซี่”
“ได้สิ” แจจุงยิ้ม ก่อนจะหัวเราะ “แล้วทำไมจุนซูต้องทำท่าเหมือนกลัวชางมินจะรู้แบบนั้นด้วยล่ะ”
สิ้นคำถาม จุนซูก็หน้าเบ้ “ก็รำคาญ ขี้เกียจฟังหมอนั่นบ่นน่ะสิ ถ้ารู้ว่าฉันขอให้แจจุงสอนทำเค้กนะ ก็คงจะบ่นๆ พล่ามอีกประมาณว่า ‘ฮึ นายน่ะเหรอจะทำ ครัวไหม้กันพอดี’ ไม่ก็อะไรสักอย่าง ฯลฯ น่ารำคาญญญญญญ”
“ฮ่าๆ ไม่หรอกมั้ง ถึงชางมินจะชอบแกล้งจุนซู แต่เค้กนี่ชางมินก็ชอบกินไม่ใช่เหรอ เค้าคงไม่ว่าหรอก”
“ชอบกินหมดทุกอย่างละไอ้บ้านั่นอ่ะ ถ้าเหล็กอร่อยมันคงกินเหล็กด้วย” จุนซูเบ้ปาก ใช้สายตามองไปยังคนที่เดินไปไกลจนถึงส่วนที่เป็นเตา ก่อนจะแอบแลบลิ้นใส่หลังตอนที่ชางมินหันไปหยิบจาน แล้วหันมายิ้มแป้นให้แจจุงต่อ “แล้วๆ มันทำยังไงมั่งอ่ะแจจุง”
“ง่ายนิดเดียวก็นี่ไง...”
เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงครึ่ง ในขณะที่คาบเรียนนี้อาจารย์ตัวจริงในความรู้สึกคิมจุนซูช่างเหมือนอากาศธาตุ ต่างไปจากนางฟ้าใจดีที่สอนขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียดของการทำเค้กให้กับเขาอย่างแจจุงมากนัก เพื่อนๆ หลายคนก็มาฟังที่แจจุงพูดด้วย คนที่ทั้งสวยและน่ารักกว่าใครๆ ยิ้มเขิน ทำให้บรรยากาศของห้องเรียนดูสดใสขึ้นทันตา โดยมีภาพแบ็คกราวเป็นชางมินกำลังคอยชิมอันที่เสร็จแล้วจนเกลี้ยงไปทีละอันๆ
กินหมดเลยอ่ะ !
“ฮ้า~ เสร็จแล้วววววว !! “ คนตัวเล็กร้องเสียงแจ้ว ในขณะที่มีถาดขนมเค้กอยู่ในมือ แจจุงหันไป “ไหนๆ เอามาดูบ้าง ของจุนซูเสร็จแล้วเหรอ?”
“อื้อ~” ร้องเบาๆ ก่อนจะทำท่าลุ้นๆ กับดวงตากลมโตเจ้าของมือขาวที่กำลังบิเนื้อเค้กขึ้นชิม “เป็นไงๆๆๆ”
“โอเคเลยนี่”
“จริงอ่ะ”
“แจจุงโกหกเปล่าเนี่ย ! ฮ่าๆ “ ชางมินพูดพลางกลั้วหัวเราะ ในขณะที่ร้อนถึงคนทำต้องทำหน้ามุ่ยแล้วหันเป็นค้อนตาเขียว “กวนตีน ! ไม่ต้องกิน !”
“ไม่ง้อ ของแจจุงเยอะแยะ! อร่อยกว่าล้านเท่าด้วย!”
“ชิ ไอ้ตะกละ!”
8 P
> * < !!
ชางมินแลบลิ้นใส่ ในขณะที่จุนซูทำท่ากระฟัดกระเฟียด แจจุงขำ ก่อนจะยิ้มหวานให้ตอนที่เหมือนจะได้ยินเสียงเพื่อนๆ คนอื่นเรียก “พอๆ ได้แล้วทั้งสองคน เหมือนตะกี้มีคนเรียกฉันล่ะ เดี๋ยวไปช่วยเพื่อนทำก่อนนะ ทางนี้ก็ตั้งใจฝึกทำเค้กกันไปดีๆ ล่ะ เดี๋ยวมานะ”
ชางมินกับจุนซูหันหน้ากลับมาผงกหัวหงึกหงัก
กว่าจะหมดคาบก็เล่นเอาชางมินท้องป่อง
ด้วยระยะเวลาอันยาวนานกว่าสามชั่วโมงของคาบเรียนคหกรรม ทำให้ทั้งแจจุงกับจุนซูได้เค้กหน้าตาน่ารักกันมาคนละหลายก้อน จุนซูที่ทำเองได้บ่อยๆ ถึงฝีมือจะยังไม่เท่าแจจุงแต่ก็ถือได้ว่าฝีมือใช้ได้พอสมควร ส่วนชางมินที่ทำไปกินไปก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เรื่อง เขาลองทำแค่ก้อนเดียวเพื่อเอาไปส่งอาจารย์ เพราะยืนยันอยู่ว่าถนัดกินมากกว่าทำจริงๆ
แจจุงกับจุนซูเดินตัวปลิวออกมาจากห้องเรียนด้วยเค้กก้อนเล็กๆ คนละหนึ่งก้อน ของแจจุงไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าจะเอาไปให้ใคร ส่วนของจุนซู ...ไม่ใช่อะไร ทำไปกินไปจนกินไม่ไหวเอียนเค้กจะอ้วกต่างหากมันถึงได้เหลือมาก้อนนึงจนได้
“เอากลับบ้านไปให้เลโอกินจะกินเปล่าเนี่ย” บ่นๆ พลางยกถุงเค้กในมือขึ้นดู “ก็น่ากินเหมือนกันนะ แต่จะอ้วกแล้วอ่ะ เอียนเค้ก”
“ฉันก็เอียน” ชางมินว่า
“แหงล่ะสิ! ที่แจจุงทำน่ะ ซัดคนเดียวไปกี่ก้อนล่ะ!”
“สาม” ตอบหน้านิ่ง จนจุนซูได้แต่ฟึดฟัด
มันเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบเว้ยไอ้บ้า !!! กวนประสาท !
“เลโอคือใครเหรอจุนซู” แจจุงหันไปถาม ทำหน้าแบ๊ว จนชางมินกับจุนซูอยากจะลงไปกรีดร้องในโอ่งกันซะให้โอ่งสะเทือนเนื่องจากความงุ้งงิ้งงุงิมิ้วๆ เมี้ยวๆ ของเพื่อนตัวเอง
ทำไมน่ารักจัง!
“แมวอ่ะ แมวที่บ้าน~” จุนซูว่า ในขณะที่แจจุงพยักหน้าหงึกหงัก แล้วก้มลงมองนาฬิกา “จะห้าโมงแล้วอ่ะ พี่ยุนโฮรอแย่แล้ว บ๊ายบายจุนซู ชางมิน เจอกันพรุ่งนี้ !”
ว่าจบก็รีบวิ่งตัวปลิวหายไปภายในเวลาไม่ถึงสามวินาทีดี และด้วยเวลาที่น้อยขนาดนั้น ก็ทำให้การตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างอัติโนมัติ (Reflex Action) ของชางมินกับจุนซูทำทันแค่เพียงยกมือขึ้นมาโบกบ๊ายบายแจจุงทั้งๆ ที่ปากยังแทบไม่ได้ขยับเลย
“อะไรของเค้า เดี๋ยวมา เดี๋ยวไป ยังกับเลโอเลย!”
แจจุง = เลโอ
เลโอ = แมว
แจจุง = แมว
หลักจากที่แยกกับชางมินที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนแล้ว จุนซูก็ได้แต่นั่งเหม่อรอรถของตัวเองบ้าง ในมือก็พะรุงพะรังไปด้วยถุงเค้กและเอกสารงานโรงเรียนมากมาย ใจนึงก็อยากจะทิ้งไปเลยซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็เสียดาย เก็บไปให้เลโอกินที่บ้านก็น่าจะคุ้มกว่า สองความคิดตีกันอยู่ในหัวเล็กๆ จนจุนซูเริ่มมึน ขาเล็กตีไปมาในอากาศ
ในขณะที่เสียงท้องฟ้าคำรามดังเป็นสัญญาณกำลังบ่งบอกว่าฝนเริ่มตั้งเค้า
ทันทีที่เสียงดัง จุนซูก็รีบเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะหน้าเบ้เมื่อเห็นว่าสีของมันช่างไม่น่าพิศมัยสักนิด ถึงจะนึกในใจว่าไม่เป็นไรเพราะก็เอาร่มมาก็เหอะ คิดเงียบๆ ของตัวเองคนเดียวอยู่อย่างนั้น ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงๆ หนึ่งที่ดังกว่าท้องฟ้าดังขึ้น
“เฮ้ออออ แม่งฝนจะตกอีกแล้วแน่เลย เซ็งจริงกู”
เจ้าของเสียงที่ว่ามาถึงก็เดินเซมานั่งบนเก้าอี้ที่นั่งพักอีกฝั่งของป้ายรถเมล์ซึ่งห่างกับจุนซูเป็นโยชน์ และจุนซูเองก็คิดว่าเขาคงไม่ทันได้สังเกตหรอกว่าเป็นจุนซูเองที่นั่งอยู่ตรงนี้ ในขณะที่จุนซูน่ะมองเห็นเขาเต็มๆ !
เพราะถ้าเห็น – มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ปาร์คยูชอนจะไม่มาก่อกวนจุนซูเป็นลูกหมาหวงเจ้าของแบบทุกที
หมา? – แมว? – หมาแมว –
เอ้อ นึกออกแล้ว!
คิดพลางมองเค้กในมือแล้วยิ้ม – รู้สึกว่าจะเจอคนช่วยกินเค้กซะแล้วสิ
คนทีกำลังสลดเพราะเพิ่งจะส่งกระดาษคำตอบเปล่าๆ ไปในการสอบวิชาฟิสิกส์ตอนคาบสุดท้ายได้แต่นั่งคอตกอย่างหมาหงอย พลางมองฟ้าฝนที่ทำท่าจะไม่ค่อยดีแล้วก็ได้แต่นึกสลดมากกว่าเดิม
วันนี้มันวันเกิดหรือวันอภิมหาโคตรซวยกันแน่!?
ทั้งเพื่อนลืมวันเกิด สอบฟิสิกส์ก็ทำไม่ได้ แล้วนี่ลืมเอาร่มมาแล้วฝนยังจะทำท่าตกอีก!
คิดแล้วมันร้าวราน!
ปาร์คยูชอนหน้ามุ่ย อันที่จริงก็ไม่ได้โกรธอะไรพวกยุนโฮมันมากมายหรอก ปกติที่ทุกปีมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นแค่ว่าเพราะไอ้พวกเพื่อนของเขาตอนนั้นยังเป็นเด็กเบบี๋บูตัวเล็กนิดเดียว ก็เลยยังจะหลงเหลือความคิดน่ารักๆ อย่างเช่น ‘เก็บตังค์รวมกันเอาไปซื้อลูกบาสเก็ตบอลให้ยูชอน’ อยู่บ้าง แต่ในเมื่อตอนนี้มันโตกันจนโข่งกันหมดแล้ว เด็กผู้ชายทะโมนๆ อย่างพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจะมาสนใจเรื่องวันเกิดวันแก่อะไรกันมากนักหรอก
ส่วนเรื่องฟิสิกส์ก็ปลงๆ เพราะไม่ใช่แค่วันนี้หรอก จะวันไหน เมื่อวาน พรุ่งนี้ มะรืน มะเรื่อง เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี
นั่งหน้าเมื่อยคิดอะไรกับตัวเองอยู่ได้ไม่นาน กล่องเค้กใสๆ ก็มาลอยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า
“อ่ะ ให้”
หืม?
ตาตี่ๆ ที่จะปิดมิปิดแหล่โพลงขึ้นมาทันทีราวกับซดกาแฟเอาไปโอ่งใหญ่ ยูชอนตาโต ก่อนจะมองเรื่อยไปตามตัวของคนที่ยืนอยู่เหนือหัวแล้วอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “คิมจุนซู...”
“อะไรกัน ทำหน้าเหมือนเห็นผี” จุนซูยิ้ม “ฉันให้ เอาไปกินสิ”
“หะ ... ให้ฉัน?”
“อื้อ”
นะ นี่มัน...
เค้ก
เค้กนี่นา
วันเกิดเขากินอะไรกันนะ? เค้กหรือเปล่า
เค้กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ว้ายยยยยยยย เบ๊เบ!
คนที่เกิดวันนี้แต่ยังไม่มีใครมาอวยพรสักคนเงยหน้ามองจุนซูพลางกะพริบตาถี่ๆ ทำประกายแววตาแบบลูกหมาอ้อนเจ้าของ ความซาบซึ้งใจพุ่งขึ้นเป็นริ้วๆ ในหัวใจดวงน้อยของยูชอน และโดยที่จุนซูแทบไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงของรุ่นพี่ที่ไม่รู้ว่าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาก็กระโดดกอดเขาจนแทบจะล้มไปกับพื้นทั้งคู่
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยย”
จุนซูเซ ข้าวของแทบจะหลุดออกจากมือ ในขณะที่ยูชอนได้แต่พึมพำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา
“ขอบคุณนะ ขอบคุณนะ ขอบคุณนะ”
“เฮ้ ปล่อยสิ คิดจะแต๊ะอั๋งกันหรือไงตัวเปลี้ย!”
“ขอบคุณนะ ขอบคุณนะ ขอบคุณนะ”
“เออ เอาไปเหอะ ๆ – นี่! ปล่อยก่อนได้มั้ยเนี่ย! อึดอัด!” คนตัวเล็กร้อง แต่ปาร์คยูชอนยังไม่ปล่อย จุนซูคิดว่าสิ่งที่ยูชอนขอบคุณคือการที่เขาให้เค้ก
แต่สำหรับยูชอนแล้ว
อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่นั้นหรอก : )
เปาะ แปะ เปาะ แปะ
จู่ๆ เสียงที่ทั้งยูชอนและจุนซูไม่อยากให้ดังก็ดังขึ้น น้ำเม็ดกลมๆ ค่อยๆ ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าทีละหยดสองหยดก่อนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเปลี่ยนเป็นทะเลหยดน้ำนับล้านที่ทิ้งตัวลงสู่พื้นดิน กลิ่นไอฝนกับดินกรุ่นขึ้นมาโดยรอบ ในขณะที่จุนซูร้อง
“เห้ ฝนตกแล้วฉันต้องกลับแล้วล่ะ ไปก่อนนะๆ !”
ทำท่าคว้าร่มขึ้นมากางในขณะที่เตรียมตัวจะฝ่าฝนออกไป ยูชอนถอยออกมา ยืนถือกระเป๋าและกล่องเค้กธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมากกล่องนั้นไว้ในมือแล้วยืนยิ้มอยู่คนเดียวเงียบๆ
จุนซูหันกลับมามอง ก็จะเหยียดตาแล้วทำหน้ากวนประสาทเหมือนทุกครั้ง “แล้วนายไม่กลับเหรอไง? ฮึ ไม่มีร่มล่ะสิ”
ยูชอนพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่เลิกยิ้ม เพราะนาทีนี้จุนซูคงไม่รู้ว่าทำให้เขาสุขใจเกินกว่าที่จะทำตัวกวนประสาทเจ้าตัวเล็กเหมือนทุกที จนจุนซูรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มนิ่งๆ แบบปกติของยูชอนที่เจ้าตัวไม่ค่อยทำให้เห็นบ่อยนัก ทุกทีก็เห็นแต่ทำหน้าตาประหลาด พอเจอเวอร์ชั่นคุณชายแบบนี้เข้าไป จุนซูก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ไม่อยากจะปฏิเสธนัก ... ก็สรุปก็คือว่าหล่อน่ะแหละ
สะบัดหัวขับไล่ความคิดแปลกๆ ของตัวเองออกไป ใบหน้าน่ารักแลบลิ้นใส่ก่อนจะเดินหนีออกมาทำท่าไม่สนใจ ท่ามกลางเสียงเล็กๆ ที่ยังตีกันไม่หยุดอยู่ในหัว
จุนซู 1 : ชิ สมน้ำหน้าแล้ว ไม่มีร่ม ตากฝนกลับบ้านก็แล้วกัน!
จุนซู 2 : แล้วหมอนั่นจะกลับบ้านยังไงล่ะ วิ่งตากฝนไปก็จับไข้กันพอดี
จุนซู 1 : ก็เรื่องของเจ้านั่นสิ เป็นหวัดก็ดีแล้ว จะได้นอนอยู่บ้าน ไม่ต้องมาตามป่วนที่โรงเรียน!
จุนซู 2 : น่าสงสารออกนะ คิมจุนซูคนใจร้าย ตะกี้เขายิ้มให้ด้วยนะ ไม่ดีใจเหรอไง?
จุนซู 1 : ยิ้มให้แล้วไง ไม่ได้ชอบสักหน่อย
จุนซู 2 : เลิกโกหกตัวเองซักทีเถอะน่า! ถือซะว่าทำดีได้ดีไงเล่า!!!
เสียงพวกนั้นเงียบหายไปหมดแล้ว
ท่ามกลางฝนที่ยังตกอยู่และมีทีท่าว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดคนตัวเล็กที่มีสัมภาระอยู่สองสามอย่างกับร่มหนึ่งคันในมือก็หันหลังก่อนจะเดินกลับมา ที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิมที่มีร่างสูงของคนบางคนที่นั่งกอดอกอยู่นิ่งๆ เพราะความหนาว มือใหญ่คู่นั้นถูกยกขึ้นมาเป่า ดูคล้ายกับลูกหมาเปียกฝนที่หมดสภาพสุดๆ
ฮึ หมดมาดซะไม่มี!
จุนซูเดินเข้าไปใกล้ และในขณะที่ปาร์คยูชอนยังนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น มือเล็กก็เขวี้ยงข้าวของในมือลงบนตักของคนตัวสูงกว่านิดหน่อยอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ
“เอ้า เอาไปถือด้วย!”
“???”
“ก็ไม่มีร่มไม่ใช่เหรอไง? ... กะ..ก็ จะให้ไปด้วยกันไงเล่า เอาของไปถือสิ !! ” เหวี่ยงแว้ดออกไปอีกยกทั้งที่หน้าเริ่มแดง ทำไมปาร์คยูชอนเข้าใจอะไรยากจังนะ
สิ้นเสียงเล็กๆ กับใบหน้าที่ดูเขินอายแต่ก็ยังปากดีอยู่นั้น ยูชอนก็ยิ้มออกมา ก่อนจะพยักหน้า รวบของทั้งหมดในมือจุนซูรวมทั้งกระเป๋านักเรียนไปไว้ที่มือข้างหนึ่ง พลางคว้าร่มมาถือด้วยมืออีกข้าง แล้วเดินออกไปพร้อมกับคนตัวเล็กที่เดินตัวปลิว
จุนซูแย่งร่มมาไว้ในมือ
“นี่มันร่มฉัน ฉันถือเองได้น่า นายน่ะถือของไปดีๆ ก็แล้วกัน”
ก็แค่กลัวว่าจะถือลำบาก...
ยูชอนหันมายิ้ม ก่อนจะพยักหน้าแบบไม่พูดอะไรเหมือนเดิม และกลับกลายเป็นคำตอบรับอันไร้สุ้มเสียงนั้น ที่ทำให้หัวใจของจุนซูเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเสียเอง
....
หลังจากที่แยกกับจุนซูและชางมินแล้ว ที่ที่แจจุงรีบจะพุ่งตัวไปเป็นอันดับแรกก็คงไม่พ้นที่ประจำที่ยุนโฮจะมารอรับกลับบ้านเหมือนทุกวัน
ถึงวันนี้จะรู้สึกแปลกนิดๆ ที่จู่ๆ ก็ไปเจอกับยุนโฮเมื่อตอนเรียนเกษตรคาบบ่ายก็เหอะ ที่มันน่าตกใจคือการที่เขาเจอกับพี่ยุนโฮในสภาพที่เพิ่งตกมาจากต้นไม้น่ะสิ ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน เจ็บมากหรือเปล่าก็ไม่เห็นจะบอก เอาแต่กอดๆๆๆ งุ้งงิ้งพูดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว พอแจจุงจ้องหน้า ก็ทำตาโตใส่แล้ววิ่งหนีหายไปอีกซะอย่างนั้น
ประหลาดคนเนอะ
แจจุงเงยหน้ามองฟ้า เมฆสีดำที่ลอยเคว้งอยู่เต็มไปหมดบ่งบอกให้แจจุงรู้ว่าวันนี้ควรจะรีบกลับบ้าน ไม่งั้นมีหวังได้กลายเป็นลูกหมาตกน้ำกันทั้ง ตัวสวย-ตัวหล่อ แน่ๆ
เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงม้านั่งที่เดิมที่มีร่างของใครบางคนนอนฟุบอยู่ เป็นชองยุนโฮคนเดิมผู้มีหมวกทรงบีนนี่สวมปิดถึงดวงตาและใส่เฮดโฟนครอบหูหลับไปทั้งอย่างนั้น แจจุงส่ายหัว อมยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วดึงเฮดโฟนออกเบาๆ พลางสอดมือเข้าไปหยิบเครื่องเล่นเพลงขึ้นมาปิดสวิทซ์ให้
ให้ตายสิ เตือนกี่ทีแล้วนะ ไม่ฟังกันเลย
และเพราะสัมผัสจากแจจุงเบาราวปีกผีเสื้อ – ยุนโฮจึงหลับอยู่เหมือนเดิม
ถอยหลังกลับมานั่งนิ่งๆ อยู่ในมุมตัวเองพลางมองคนหลับไปได้ซักพัก ก่อนจะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ห้าโมงจะครึ่งแล้ว พี่ยุนโฮคงมารอที่นี่นานแล้วจนหลับไปแบบนี้ – คิดแล้วก็ได้แต่อมยิ้มในใจเงียบๆ แจจุงนึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขาได้มาเจอกับคนน่ารักๆ อย่างชองยุนโฮแบบนี้
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่มีวันไหนที่ยุนโฮจะทำให้แจจุงเสียใจ ซ้ำยังทำตัวน่ารักจนแจจุงอดที่จะรักไม่ไหว ถึงใครจะว่าพี่ยุนโฮแปลกยังไงก็เหอะ แต่แจจุงก็รู้ดีว่าไม่มีใครที่จะรักเขาได้มากเท่ากับยุนโฮอีกแล้ว
มันอาจจะเป็นเรื่องจริงที่พี่ยุนโฮไม่เคยบอกแจจุงว่า .. “รัก”
แต่ทุกวิธีที่ยุนโฮพยายามทำและแสดงออก มันคือคำตอบที่ดีและชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
บางทีแค่นั้นแจจุงก็รู้สึกแล้วว่ามันออกจะมากไปด้วยซ้ำ
นึกเพ้อเจ้ออะไรอยู่คนเดียวพลางมองแผ่นหลังของคนหลับไปด้วยใบหน้าเรื่อสีเล็กน้อย เพราะยุนโฮใส่หมวกปิดหน้าปิดตาหมดแบบนี้แจจุงถึงมองไม่เห็นเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ถึงจะเห็นแค่แผ่นหลัง แจจุงก็ยังรู้สึกว่ายุนโฮดูดีมากๆ อยู่ดี
ครืนน นนนนน
เสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นมาทำให้แจจุงรู้สึกตัว ใบหน้าน่ารักส่ายไปมาขับไล่ความคิดฟุ้งๆ ของตัวเองที่เพิ่งรู้ตัวว่าเอาแต่ลวนลามพี่ยุนโฮทางสายตาอยู่ได้ ก่อนจะมานึกได้ว่าตอนนี้สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการรีบปลุกตัวหล่อและชวนกันกลับบ้านต่างหาก
“พี่ยุนโฮๆๆ แจจุงมาแล้ว ตื่นเถอะ”
“......”
“พี่ยุนโฮๆๆๆ” คราวนี้นอกจากเสียงแล้วยังมีการส่งมือน้อยไปเขย่า แต่ร่างสูงก็ยังนิ่งอยู่แบบนั้น
“......”
ในเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเด็ดขาด สัมผัสเปาะแปะจากท้องฟ้าบ่งบอกให้แจจุงรู้ว่าฝนกำลังมาจริงๆ แล้ว มือขาวดึงหมวกไหมพรมใบโตออกจากศีรษะรุ่นพี่สุดที่รัก ก่อนจะเอามือขาวทั้งสองข้างประคองแก้มของคนหลับขึ้นมาจ้องหน้าในระยะโคลสอัพสุดๆ แล้วขยับปากเอ่ยคำพูดในความห่างที่ริมฝีปากแทบจะสัมผัสกัน
“พี่ - ยุน - โฮ – ตื่น – เดี๋ยว - นี้!”
ความถี่ระดับเสียงที่สูงลิ่วนั้นทำให้ยุนโฮลืมตาโพลงขึ้นมาแทบจะในทันที ก่อนตาตี่จะแทบถลนออกมาจากเบ้าอย่างลืมง่วงเมื่อสิ่งที่เข้ามาอยู่ในสายตาเป็นอันดับแรกไม่ใช่อะไร นอกไปเสียจากปากแดงๆ กับจมูกโด่งรั้นที่เลื่อนเข้ามาใกล้สุดๆ ในระยะที่ยุนโฮรู้ดีว่าอาจทำให้ตัวเองหัวใจวายตายได้ง่ายๆ
“เฮ้ยยยยย ทำไรเนี่ยตัวสวย!”
รีบถอยหน้าออกมาราวกับถูกของร้อน หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดั่งภูผาสั่นรัวแรงส่งคลื่นความถี่สูงอยู่ข้างในจนแทบจะทะลักออกมาจากอก มือใหญ่ยกขึ้นวางแปะที่เสื้อตรงหน้าอกด้านซ้ายทันที ในขณะที่แจจุงหันมาแลบลิ้น
“ตกใจอะไรเล่า รีบกลับบ้านกันเร็ว ขี้เซาอยู่ได้ ฝนจะตกแล้วอ่ะ!”
ท่าทางไร้เดียงสาอย่างที่แจจุงก็ชอบทำอยู่ทุกที ซึ่งยุนโฮก็ไม่ได้คิดอะไร นอกเสียไปจากว่า น่ารักดี
แต่ตอนนี้กลับทำให้คนตัวสูงหัวใจเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ
ทั้งสัมผัส การกระทำ หรือเพียงแค่แจจุงมาอยู่ใกล้ๆ – ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปหมดเมื่อยุนโฮได้เรียนรู้เรื่องราวเหล่านั้นผ่านทางฟิคชั่น
ยุนโฮเป็นเด็กฉลาด – เดิมทีแค่หนังสือธรรมดาอ่านรอบเดียวก็ซึมซับได้แทบทั้งหมดแล้ว
แล้วจะประสาอะไรกับนวนิยายที่แต่งขึ้นมาเพื่อไซโคตัวเองเป็นสิบๆ เรื่องแบบนั้น
แต่อย่างไรมันก็คือภาคทฤษฎีน่ะจริงไหม – แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอที่ยุนโฮจะทนอยู่กับภาคบรรยายเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยต่อไปเรื่อยๆ – อย่างน้อย ระดับพื้นฐาน เขาก็ควรจะทำให้เป็นบ้างล่ะน่า
แค่คิด ใบหน้าหล่อเหลาก็ขึ้นสีจาง ในขณะที่มือขาวเล็กคว้ามาจับกับข้อมือเขาแล้วดึงให้วิ่งฝ่าฝนที่เริ่มตกอย่างหนักไปด้วยกัน แม้ในตอนนั้น กลไกสมองอันซับซ้อนนั้นก็ยังคงครุ่นคิด
ดูท่าว่า..
ภาคปฎิบัติขั้นพื้นฐานอาจเป็นสิ่งต่อไปที่ยุนโฮต้องเรียนรู้สินะ ?
TBC.
---------------
Talk : มาแล้วจ้าาา 5555+ หายไปนาน มาต่อแล้วเนอะ
จบภาคอินฟิคซักที ยาวมากมาย ไงล่ะ อินกันเลยอ่ะดิ (อิอิ)
พาร์ทนี้เป็นพาร์ทสุดท้ายของเล่มแรกแล้วเน้อ (3 ตอนจบ จ้า)
มาลุ้นๆ กัน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยนะคะที่ให้กำลังใจ
สำหรับคนที่สั่งหนังสือเข้ามาด้วย ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ^^
แล้วเจอกันตอนหน้า~
*รูปหนังสืออัพเดทหน้าแรกแล้วนะ ><
---------------
ความคิดเห็น