ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ร้าย ไฮเดรนเยีย... Hydrangeas Story

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 174
      1
      11 มี.ค. 55

    เล่ห์ร้าย ไฮเดรนเยีย

    บทนำ

     

     

     

         ร่างโปร่งบางก้าวฉับๆ ไปตามทางเดิน ปลายส้นสูงกระทบกับพื้นหินอ่อนดังเป็นจังหวะเร็วสม่ำเสมอ เกือบครึ่งหน้าถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดอันโต เห็นเพียงจมูกเรียวเล็กและริมฝีปากอวบอิ่มเรื่อสีชมพูหวานฉ่ำ หากแต่ดวงตาใต้เลนส์สีดำนั้นฉาบเคลือบไปด้วยเพลิงโทสะราวกับมีลูกไฟดวงน้อยๆ เต้นอยู่ในนั้น รังสีอำมหิตแผ่ซ่านไปตามทางที่หล่อนเดินผ่านจนบรรดาพ่อบ้านและแม่บ้านต่างพากันหลบให้พ้นรัศมี

         หญิงสาวหยุดฝีเท้าลงที่ห้องรับแขก ภาพข้างหน้าที่เห็นยิ่งทำให้โทสะที่มีอยู่เดือดดาลมากขึ้นเป็นเท่าทวี หากแต่ก็พยายามข่มมันไว้ข้างใน

         “ฟ้ามาขัดความสุขของทุกคนรึเปล่าคะ” น้ำเสียงฉายแววเย้ยหยันไม่ปิดบัง มือบางลดแว่นกันแดดลงเผยให้เห็นแววตาคมกริบแสนดื้อรั้นตามแบบฉบับคุณหนูปุษยา อารยธนกุล

         “ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง” วิวัฒน์ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามลูกสาวที่กลับจากทัวร์ยุโรปก่อนเวลาหนึ่งวัน

         “ก็มีเหตุให้ต้องกลับก่อนนี่คะ” ว่าแล้วก็ตวัดสายตามองตัวต้นเหตุที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขก ...สองแม่ลูกที่เธอเกลียดเข้าไส้ ขยะแขยงยิ่งกว่าหนูสกปรกในท่อน้ำคลำเสียอีก “หน้าไม่อาย” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ สีหน้าแสดงออกถึงความรังเกียจ

         “ฟ้า!” วิวัฒน์ตะโกนเสียงดัง

         “ทำไมคะ?” ปุษยาผินหน้ามองบิดาเหมือนกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำอะไรผิดไป

         “เลิกพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นเสียทีได้ไหม”

         “แล้วทีคุณพ่อล่ะคะ ทำร้ายจิตใจทั้งแม่ทั้งฟ้า ไม่ใช่เพราะสองคนนี้เหรอที่ทำให้แม่ต้องฆ่าตัวตาย! พ่อยังจะเอาเข้าบ้านอีก ทำแบบนี้มันหยามหน้าฟ้ากับวิญญาณคุณแม่ชัดๆ”

         “ฟ้า!

         สองพ่อลูกจ้องตากันด้วยโทสะอย่างไม่มีใครยอมใคร

         หญิงสาวกำหมัดแน่น ลมหายใจถี่กระชั้นด้วยความเดือดดาล ในขณะที่วิวัฒน์เองก็พยายามระงับความโกรธไว้สุดความสามารถ

         “ชื่น...พาคุณดากับภูริไปที่ห้องไป”

         “ค่ะ” แม่บ้านรับคำแล้วนำทางแม่ลูกไปยังห้องนอนที่วิวัฒน์สั่งให้จัดเตรียมไว้เมื่อสามวันที่แล้ว

         ทันทีที่ในห้องเหลือเพียงเธอและบิดา ปุษยาก็ทักท้วงขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด

         “พ่อทำแบบนี้มันเกินไปแล้วนะคะ ให้อยู่ที่คอนโดหลังนั้นก็เกินพอแล้ว จะให้ย้ายมาทำไม” เธอพูดถึงคอนโดย่านสุขุมวิทที่พ่อเธอทุ่มซื้อให้สองแม่ลูกอยู่ “นี่ถ้ายัยจี๊ดไม่โทรไปรายงานฟ้า ฟ้าก็ยังคงไม่รู้เรื่องใช่ไหมคะ?”

         “พ่อจะให้ภูริชฝึกงานกับพ่อ”

         “ฝึกงาน? หมายความว่ายังไงคะ?”

         วิวัฒน์พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด “ภูริชคือว่าที่ประธานบริษัทอารยธนกุล ชัดเจนรึยัง”

         ปุษยาหน้าชา คำพูดนั้นเหมือนค้อนปอนด์หนักๆ ทุบลงบนศีรษะอย่างแรง “ตำแหน่งนั้นมันควรจะเป็นของฟ้า ทำไมพ่อทำแบบนี้ ทำไมต้องเห็นน้อยดีกว่าหลวง”

         “บริษัทของพ่อ พ่อมีสิทธิ์”

         “แล้วฟ้าล่ะคะ” หญิงสาวเรียกร้องสิทธิ์ที่พึงมีของตน เก็บความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้อย่างสุดกลั้น แต่ก็มิวายฉายออกมาทางแววตา

         “พ่อก็ยกรีสอร์ทให้เราดูแลแล้วไง จะเอาอะไรอีก” พูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญก่อนจะเดินออกไปจากห้องรับแขก ทิ้งให้ลูกสาวยืนอยู่เดียวดายที่ตรงนั้น

         เมื่อรู้ว่าอยู่เพียงลำพัง หยดน้ำสีใสก็ไหลลงมาจากดวงตากลมโตแดงก่ำ ปุษยากำมือแน่น ปล่อยให้ความโกรธหักล้างความรู้สึกน้อยใจไปจนหมดสิ้น 

     

     

         “ไม่ยอมลงมาค่ะ” ชื่นบอกกับวิวัฒน์หลังจากที่เขาให้เธอไปตามคุณหนูเล็กที่ห้องนอน

         “อืม งั้นช่างเถอะ ทานกันเลย” นายใหญ่แห่งบ้านบอกกับฤดาและภูริ ภรรยาและลูกชายของเขาที่ปุษยาไม่ยอมรับนับเป็นญาติ

         “พรุ่งนี้ออกจากบ้านประมาณเจ็ดโมงนะ จะพาไปดูงานที่ห้าง” วิวัฒน์เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ในใจกลางกรุงเทพฯ และมีรีสอร์ทในเครืออีกหลายแห่ง ทั้งทางเหนือและใต้

         “ครับ” ภูริชรับคำสั้นๆ ด้วยมีบุคลิกที่เงียบขรึมและไม่ช่างเจรจา อีกทั้งยังหัวไวเข้าใจงานได้รวดเร็ว ไม่เสียชื่อเด็กเกียตินิยมอันดับหนึ่งควบตรีโทด้านบริหาร

         “เอ่อ คุณคะ...” ฤดายังไม่ทันพูดให้จบ วิวัฒน์ก็สวนขึ้นมาอย่างรู้ทัน

         “ผมตัดสินใจแล้ว คุณกับภูริชมีสิทธิ์พอๆ กับฟ้า ไม่ว่าฟ้าจะพูดอะไร คุณก็อย่าคิดมากก็แล้วกัน”

         “แต่ถ้าแกประชดด้วยการไม่ทานข้าวบ่อยๆ จะไม่ดีเอานะคะ”

         “คุณคิดถึงจิตใจคนอื่นมากไปนะดา ดูแลตัวเองบ้างเถอะ” วิวัฒน์เอ่ยอย่างเป็นห่วงในสุขภาพที่จะไม่ค่อยแข็งแรงของฤดา

         “พรุ่งนี้พ่อจะพาเดินรอบๆ ห้าง ประมาณบ่ายโมงค่อยไปแนะนำตัวกับพนักงานที่บริษัท”

         “ครับ”

         หลังทานอาหารเสร็จทุกคนก็แยกย้ายไปยังห้องของตน ภูริชกับแม่ก็เดินกลับห้องซึ่งมีสองห้องนอน ชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สดชื่น หลังจากกลับออกมาก็ไม่พบร่างของมารดาเสียแล้ว เดินไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่พบ ร่างสูงจึงเดินลงไปยังชั้นล่างซึ่งมืดสลัว มีเพียงไฟจากห้องครัวที่เปิดสว่างโล่ เห็นเงาของมารดาตนกำลังขะมักเขม้นทำอะไรบางอย่างก็เดินเข้าไป

         “ดึกแล้ว แม่ลงมาทำอะไร”

         “ก็ทำอาหารอยู่น่ะซี” นางพูดขณะคนข้าวต้มไม่ให้ไหม้ติดหม้อ

         “ทำอาหาร ทำให้ใคร?” จะว่ามารดาหิวก็ไม่น่าใช่ เพราะเพิ่งกินไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง

         “ก็ให้คุณฟ้าไง เมื่อตอนเย็นไม่เห็นเขาลงมาทานข้าว กลัวว่าจะหิวแล้วเป็นลมเป็นแล้งไป”

         ภูริชถอนหายใจ แม่เขาก็เป็นเสียอย่างนี้ ถูกของวิวัฒน์... แม่เขาคิดถึงจิตใจคนอื่นมากไปจริงๆ

         “จะเป็นห่วงคนที่ไม่เห็นค่าเราทำไม ทำไปก็สูญเปล่า เสียแรง เสียเวลา”

         “เลิกพูดมากได้แล้ว หยิบขิงซอยบนโต๊ะให้แม่ซิ” ฤดารับขิงซอยจากลูกชายแล้วโรยลงไปบนข้าวต้ม เคี่ยวต่ออีกครู่ก็ปิดเตา ตักข้าวต้มใส่ชาม รินน้ำส้มใส้แก้วแล้ววางคู่กัน “อ่ะ ยกไปให้เขา”

         ภูริชไม่ยอมรับถาดข้าวที่มารดายัดเยียดให้ พ่นลมหายใจออกมาด้วยสีหน้าหนักใจ

         “อย่าดื้อสิ ไม่เคยได้ยินรึไง ใครดีมาเราดีตอบ ใครไม่ดี...”

         “...ยิ่งทำดี” ภูริชต่อประโยคที่มารดาชอบพูดให้จบ

         “รู้ก็ดีล่ะ งั้นยกไปให้เค้าเร็วๆ เข้า ป่านนี้หิวแย่แล้ว”

        

         ภูริชหยุดยืนที่หน้าบานประตูไม้โอ๊คอยู่นานจนละอองน้ำหยดโตไหลจากแก้วน้ำส้มหยดแล้วหยดเล่า ชั่งใจอยู่สักพักก็ตัดสินใจเคาะประตูสามครั้ง ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ไม่อยากพบหน้าให้อารมณ์เสีย เพราะเจอกันทีไรหญิงสาวเป็นต้องพูดจาเหน็บแนมเขาทุกครั้งไป เลือกได้เขาก็ไม่อยากเกิดเป็นฝ่ายน้อยให้ฝ่ายหลวงย่ำยีดูถูกแบบนี้หรอก

         “เสนอหน้ามาทำไม” ปุษยาเอ่ยขึ้นแทบจะทันทีเมื่อเปิดประตูออกมา ตอนแรกที่เห็นชายหนุ่มผ่านทางตาแมวก็คิดอย่างหนักว่าควรทำอย่างไรดี ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่สองทาง... คือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กับออกมาด่าให้สะใจ ซึ่งเธอก็พอใจกับทางเลือกที่สอง

         “แม่ผมกลัวว่าคุณจะหิว เลยทำข้าวต้มมาให้” สีหน้าภูริชเรียบนิ่ง ไม่ยินดีหรือยินร้ายอะไร   

         “ฝากไปบอกแม่นายด้วยนะว่าฉันยอมอดตาย”

         “นั่นก็เรื่องของคุณ คุณจะอยู่หรือจะตายก็ไม่ใช่เรื่องของผม เพราะฉะนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนว่าคุณจะกินรึเปล่า” น้ำเสียงเรียบนิ่งพอๆ กับสีหน้า ชายหนุ่มวางถาดข้าวลงบนพื้นแล้วเดินกลับห้องนอน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเช่นไร

         ปุษยาปิดประตูดังลั่นด้วยความขัดใจ นึกอยากต่อว่าให้ชายหนุ่มใจเสีย แต่คนที่หงุดหงิดกลับเป็นเธอเสียเอง ไม่ว่าเธอจะเคยว่าเขาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงแค่ไหน แต่คำพูดเสียดสีที่เธอพยายามสรรหาก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เหมือนเธอพูดอยู่กับอิฐปูนอย่างนั้นแหละ...มันน่าหงุดหงิดนัก!

         ว่าแล้วก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ปุษยาก้มลงมองร่างกายตัวเอง ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อสำเหนียกได้ว่าเธอกำลังสวมใส่ชุดนอนผ้าแพรเนื้อบางที่แทบมองทะลุเห็นเข้าไปถึงชุดชั้นใน

         หญิงสาวกรีดร้องกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะวิ่งกระโดดขึ้นเตียงหลังใหญ่แล้วมุดเข้าผ้าห่ม ทั้งอายทั้งขายหน้า

         “ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเสียท่าให้นาย อีต้าบ้าภูริช!” ประกาศิตกับตัวเอง ก่อนจะคิดแผนรับมือกับชายหนุ่มในวันพรุ่งนี้

     

         “ยิ้มอะไร?” ฤดาถามลูกชายด้วยความแปลกใจ ร้อยวันพันปีกว่าจะได้เห็นรอยยิ้มนั้นสักครั้ง

         ร่างสูงแสร้งกระแอมไอ ก่อนจะทำทีเปลี่ยนเรื่อง “ผมไปนอนนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

         “แล้วคุณฟ้าเธอยอมทานข้าวรึเปล่า? อ้าว?” ไม่ทันได้รับคำตอบ ภูริก็ปิดประตูห้องนอนหายไปเสียแล้ว ทิ้งให้นางนั่งส่ายหัวอยู่บนเตียงนอน “เฮ่อ ตาลูกชายคนนี้นี่”

        

     

          เช้ามืดวันร่งขึ้น...

         ภูริชสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองผ่านทางกระจกเงา ก่อนจะกระชับเนกไทให้แน่นขึ้น หยิบกระเป๋าเอกสารที่เตรียมไว้เมื่อคืนลงไปยังชั้นล่าง

         “แม่ชงกาแฟดำไว้ให้ อยากทานอะไร ขนมปังปิ้งหรือไข่ดาวกับเบคอนล่ะ”

         “ไข่ดาวเบคอนละกันครับ คุณวัฒน์ยังไม่ลงมาเหรอ?”

         “ยังเลย เมื่อไหรภูจะเรียกเขาว่าพ่อได้ ฮื้ม?”

         ภูริชไม่ตอบคำถาม ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ หวนนึกถึงเมื่อแปดปีก่อนตอนที่เขาเจอกับพ่อเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเขาอยู่ม. ปลายกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย นึกแล้วก็ขัน จะมีสักกี่คนที่เพิ่งมาเห็นหน้าพ่อบังเกิดเกล้าเมื่ออายุสิบปลายๆ สาเหตุที่เขาไม่เรียกสรรพนามพ่อ ก็แค่รู้สึกไม่ชินเท่านั้นเอง ...ถูกเลี้ยงให้โตมาโดยปราศจากบิดา อยู่ๆ วันหนึ่งก็เกิดมีพ่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาไม่ใช่ตุ๊กแกที่จะปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ทันทีนี่นะ

         “อ้าว คุณฟ้า สวัสดียามเช้าค่ะ” ฤดาเอ่ยทักทายหญิงสาวที่เดินกรุยกรายเข้ามาในห้องอาหาร และนั่นทำให้ภูริชลอบถอนหายใจ ตักเบคอนที่มารดาทอดให้เข้าปากเคี้ยวกรุบกรับ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่คุณหนูช่างเอาแต่ใจอย่างปุษยาจะตื่นแต่เช้าตรู่

         ปุษยาในเสื้อชีฟองสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นนั่งประจำที่ของตนที่โต๊ะอาหาร หยิบนิตยสารแฟชั่นขึ้นมาเปิดอ่าน ไม่สนใจสองชีวิตแม่ลูก ทำราวกับว่ามีแค่เธอที่ตรงนั้น

         “คุณฟ้าอยากทานอะไรคะ เดี๋ยวดาจะทำให้ทาน”

         “อย่ายุ่งเลยค่ะ หน้าที่นั้นฉันให้แม่ชื่นทำคนเดียว” พูดเสียงเรียบพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้ หากแต่นัยน์ตาลุกวาวด้วยเพลิงเล่ห์

         “เอ่อ แล้วข้าวต้มเมื่อคืนเป็นยังไงบ้างคะ ถูกปากไหม?”

         “ไม่ทราบซิคะ ฉันเททิ้งให้หมาข้างถนนไปแล้ว ถ้าคุณดาอยากรู้ก็ลองไปถามมันละกัน น่าจะคุยกันรู้เรื่องนี่คะ” พูดจบก็หัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างพึงใจเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายซีดเผือด แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงส้อมกระแทกกับจานอย่างแรง

         ภูริชเหวี่ยงส้อมลงไปบนจานหลังจากทนไม่ไหวกับคำพูดเหน็บแนมของหญิงสาว ตวัดสายตาคมๆ จ้องเขม็งไปที่ดวงหน้าเรียวเล็ก

         ปุษยาเองก็ใช่ว่าจะกลัว จ้องตาตอบอย่างไม่หวั่นเกรง แม้เมื่อครู่จะแอบสะดุ้งก็ตามที

         “แม่ผมถามคุณดีๆ นะ” หลายครั้งที่พยายามระงับความโกรธ แต่มันก็เหมือนลูกโป่งที่อัดลมเข้าไปเรื่อยๆ ...สักวันมันก็ต้องแตก

         “หึ ถ้าทนไม่ได้ก็ย้ายออกไปสิ” แววตาเป็นประกายวิววับอย่างท้าทาย

         ภูริชเบือนหน้าหนีแล้วถอนหายใจ หยิบหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้มาพับเก็บให้เรียบร้อยเหมือนเดิม “บอกคุณวัฒน์ว่าผมไปรอที่รถ” ชายหนุ่มเอ่ยกับมารดา ยันกายขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินออกไปจากห้องอาหาร หนีตัวปัญหาที่ทำให้ต้องเสียอารมณ์แต่เช้า

         ปุษยายิ้มที่มุมปากอย่างผู้กำชัยชนะ ต่อจากนี้เธอจะใช้ทุกช่วงเวลาที่มีกำจัดสองแม่ลูกออกไปจากบ้านให้ได้!

         “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อ” เธอเอยทักทายบิดาที่เดินเข้ามาในห้องอาหาร

         “อืม ภูริชล่ะ”

         “เห็นเมื่อกี้เดินออกไป คงออกไปเดินเล่นสูดอากาศยามเช้ามั้งคะ”

         “คืนนี้พ่อกลับดึกนะ ทานเข้าเลยไม่ต้องรอ”

         ปุษยาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ครั้นจะถามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อร่างบิดาเดินลับหายไป

     

     

         “ภู...” ฤดาเรียกลูกชายหลังจากเดินตามมาถึงรถ “แม่อยากให้เราใจเย็น ยังไงเสียเขาก็เป็นน้อง เขาจะว่าอะไรก็อย่าถือสาเลย” แม้จะรู้ถึงอุปนิสัยของลูกชายว่าเป็นคนใจเย็นเพียงใด แต่ถ้าโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่ก็น่ากลัวเอาการ

         ภูริชถอนหายใจเฮือกโต ก่อนจะรับปากกับมารดา “ผมจะพยายาม”

         “ก็ดีแล้ว วันนี้ไปกินเลี้ยงก็ทำตัวให้ดีๆ ล่ะ วางตัวให้สมกับเป็นทายาทอารยธนกุลหน่อย” ถึงจะไม่บอก แต่เธอก็เชื่อมั่นในตัวลูกชายคนนี้อยู่แล้วว่าเขาจะทำได้ดีและเหมาะสมในงานเลี้ยงเปิดตัวว่าที่ประธานบริษัทในคืนนี้

     

     

         ร่างบางเดินวนไปวนมาในห้องนั่งเล่น รู้สึกติดใจตั้งแต่เช้าเรื่องบิดา  และลางสังหรณ์ที่แม่นยำของเธอบอกว่ามันเกี่ยวกับภูริช จนแล้วจนรอดก็ทนไม่ไหว กดโทรศัพท์หาเลขาฯ ของวิวัฒน์ เพราะถ้าปล่อยให้ความหงุดหงิดเล่นงานเธอต่อไปแบบนี้ล่ะก็เธอต้องบ้าตายแน่ๆ

         “คุณเทพ นี่ฟ้านะคะ วานดูตารางงานคุณพ่อเย็นนี้ให้หน่อยได้ไหมคะว่าท่านไปไหน?” หญิงสาวถือสายรอสักพักก็ได้คำตอบ “ขอบคุณมากค่ะคุณเทพ”

         หลังจากกดตัดสายโทรศัพท์ ดวงตาก็พราวระยับขึ้นทันที ...พ่อเธอจงใจปิดบังเธอเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้ คงกลัวว่าเธอจะไปอาละวาดสินะ แต่พ่อก็คิดถูกละ

         “ยัยจี๊ด” ปุษยาตะโกนเรียกคนใช้ประจำกาย ไม่นานร่างเล็กๆ ก็รีบวิ่งเข้ามา “โทรตามช่างแต่งหน้าให้ฉันหน่อย บอกเขาว่าแต่งออกงานเลี้ยงคู่กับเดรสยาวสีแดง เอาให้สวยที่สุด เพราะฉันต้องไปแสดงความ ยินดี แก่ว่าที่ประธานคนใหม่”

         แม่คะ หนูจะแก้แค้นให้แม่เอง

     

     

        

     

        

        

     

    เอ... หนูฟ้าของเราจะแสดงความยินดีในรูปแบบไหนนาา... ชักเป็นห่วงพี่ภูแล้วสิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×