ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ร้าย ไฮเดรนเยีย... Hydrangeas Story

    ลำดับตอนที่ #5 : ร้ายที่ ๔ : ความลับในลิ้นชัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 212
      0
      12 พ.ค. 55


    ร้ายที่ ๔ 
    ความลับในลิ้นชัก 
         ภูริชโก่งตัวอาเจียนด้วยความทรมาน ใบหน้าและดวงตาแดงก่ำจนน่ากลัว รู้สึกแสบร้อนในท้องราวน้ำกรดกำลังกัดกร่อนกระเพาะ สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่แตะบนหลังของเขาบางเบา เสียงใสๆ พูดอะไรบางอย่าง แต่เขาได้ยินเพียงเสียงกังวาลแว่วๆ 
         "นาย... ทำไมอาเจียนหนักขนาดนี้" เสียงใสสั่นเครือ มือที่กำลังลูบหลังชายหนุ่มสั่นระริก ปุษยาหน้าถอดสี หัวใจของเธอบีบเต้นอย่างรุนแรงยามเห็นอาการทุกข์ทรมานของเขา ไม่คิดว่าการที่ชายหนุ่มไม่ทานรสจัดก็เพราะแบบนี้ เธอจะไม่รังแกเขาเลยหากรู้ว่าอาการของเขาจะรุนแรงขนาดนี้ 
         ภูริชอาเจียนจนไม่มีอะไรให้ออกมา ชายหนุ่มสำลักไออย่างรุนแรงจนหน้ามืด พยุงร่างกายของตัวเองให้ลุกขึ้นทั้งที่เรี่ยวแรงแทบไม่มีเหลือ เพียงไม่ทันไรภาพข้างหน้าก็เริ่มพร่ามัว
         "นายภูริช!" ปุษยาตะโกนชื่อเขาด้วยความตกใจหลังจากที่ชายหนุ่มเซล้มลงมาทางเธอ น้ำหนักที่ไม่เบาของร่างสูงทำให้หญิงสาวเสียหลักล้มลงไปบนพื้นห้องน้ำ ร่างเล็กอุทานด้วยความเจ็บหลังจากล้มก้นจ้ำเบ้า หญิงสาวเอ่ยเรียกชื่อชายหนุ่มพลางเขย่า แต่หนุ่มเจ้าก็ไม่กระดิกเลย เธอจึงพยายามพยุงร่างหนาที่ไร้สติบนตัวเธอขึ้น แต่ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหน ร่างหนาๆ นั่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย เธอก็เพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้เองว่าการที่เกิดมาตัวเล็กมันเสียเปรียบแค่ไหน 
         เมื่อจนหนทาง ปุษยาจึงพลิกตัวภูริชที่นอนหลับสบายอยู่บนตัวเธอให้ลงไปนอนราบบนพื้นห้องน้ำ หลังจากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปที่โทรศัพท์ต่อสายหาพนักงานเคานท์เตอร์ทันที 
         "จิน! ทำยังไงดี นายภูริชอาหารเป็นพิษ อ้วกจนสลบไปแล้ว ยังไม่ฟื้นเลย" หญิงสาวรัวลิ้นจนคนฟังแทบจำใจความไม่ได้ 
         ปุษยากำโทรศัพท์แน่นระหว่างฟังคำปลอบโยนให้เธอใจเย็น "เร็วๆ นะ รีบขึ้นมา" 
         ร่างบางเดินกลับไปที่ห้องน้ำ ชายหนุ่มยังคงสลบสไลไม่ได้สติ เมื่อคิดว่าปล่อยเอาไว้ในสภาพแบบนี้คงไม่ดี หญิงสาวจึงเดินไปที่เตียงนอนของเขาและออกแรงดึงผ้าห่มออกมา ปุษยาหอบผ้าผ่มผืนหนาเข้าไปวางข้างร่างสูงแล้วออกแรงพลิกร่างนั้นให้ขึ้นไปอยู่บนผ้าห่ม หลังจากนั้นก็จับเข้าที่ชายผ้าแล้วออกแรงดึง วิธีนี้ช่วยทุ่นแรงเธอได้เยอะ เมื่อลากมาจนถึงข้างเตียง เธอก็ประคองหลังภูริชให้อยู่ในท่านั่ง เอาแขนของเขาข้างหนึ่งพาดไว้บนไหล่บางก่อนจะกัดฟันออกแรงพยุงให้ชายหนุ่มขึ้นไปอยู่บนเตียง 
         ร่างของภูริชอยู่บนเตียงเพียงครึ่งตัว แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับปุษยา เธอจับขายาวๆ ของเขาเพื่อยกครึ่งล่างของเขาไปไว้บนเตียง จนในที่สุดร่างสูงก็นอนอยู่บนที่นอนทั้งตัว 
         ปุษยาหายใจเร็วเพราะความเหนื่อย ยามมองหน้าซีดเซียวไม่ได้สตินั้นก็รู้สึกผิด 
          ก็อกๆๆ
         สัญญาณขออนุญาตนั้นทำให้หญิงสาวรีบวิ่งไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน แล้วเดินนำอีกฝ่ายไปที่ห้องของชายหนุ่ม "ทำไงดีจิน โทรเรียกรถพยาบาลรึยัง?" 
         "ยังไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ" พนักงานสาวรีบเอ่ยขึ้นกับหญิงสาวที่กำลังตื่นตระหนก "ตอนนี้ให้คุณภูริชนอนพักไปก่อน หลังจากตื่นแล้วค่อยให้ทานยา นี่ค่ะ" จินจิภายื่นขวดยาสีขาวให้กับปุษยา "ทานครั้งละหนึ่งช้อนโต๊ะหลังอาหาร แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นคงต้องไปโรงพยาบาล แล้วที่ว่าอาหารเป็นพิษ คุณภูริชไปทานอะไรมาเหรอคะ?" ไม่ใช่ถามเพราะอยากละลาบละล้วง แต่เป็นการถามเอาข้อมูล เผื่อทานของมีพิษที่ร้ายแรงเกินกว่าที่ยาขวดนั้นจะเยียวยา
         "เอ่อ..." หญิงสาวอ้ำอึ้ง เกิดอาการตะกุกตะกัก "ฉัน... เอ่อ ไม่รู้" เธอตัดสินใจพูดปด แม้จะรู้สึกผิดซ้ำสอง แต่หากเรื่องนี้ไปถึงหูของบิดา เธอต้องถูกยึดรีสอร์ทแห่งนี้ไปอย่างแน่นอน ครั้งนี้เธอจึงขอเลือกเป็นคนเห็นแก่ตัว
         ปุษยาวางขวดยาไว้บนโต๊ะโคมไฟข้างหัวเตียงของชายหนุ่มหลังจากพนักงานสาวขอตัวกลับลงไปทำงาน มองใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยอ่อนของภูริชก็ยิ่งรู้สึกผิดเป็นเท่าทวี ครั้งนี้เธอทำเกินไปจริงๆ 
         ร่างบางชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินหายเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะกลับออกมาพร้อมผ้าเช็ดผมที่ชุบน้ำบิดให้หมาด หญิงสาวพยายามเบามือขณะซับหยดเหงื่อที่ซึมออกมาตามใบหน้าของชายหนุ่ม หลังจากนั้นเธอก็โทรหาห้องอาหารเพื่อสั่งข้าวต้มกุ้ง เพราะกำลังคุยโทรศัพท์... เธอจึงไม่ได้สังเกตุเห็นรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของร่างที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม 
         ภูริชรู้สึกตัวตั้งแต่นอนอยู่บนพื้นในห้องน้ำแล้ว แค่แกล้งเล่นละครว่าไม่ได้สติไปอย่างนั้นเอง แต่ที่หน้ามืดแล้วเซล้มทับหญิงสาวเป็นเรื่องจริง แต่ที่แกล้งสลบก็เพราะอยากรู้ว่าหญิงสาวจะทำอย่างไรต่อไป เธอจะทิ้งเขาไว้อย่างนั้นหรือเปล่า และตอนนี้เขาก็ได้รับคำตอบแล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างปุษยาจะสามารถพาร่างที่หนักกว่าเจ็ดสิบสิบกิโลกรัมของเขามาส่งถึงเตียงได้ 
         ปุษยาเดินวนเวียนอยู่ข้างๆ เตียง คอยสังเกตุชายหนุ่มเป็นระยะว่าเขายังคงหายใจอยู่ 
         "นาย... เอ่อ เป็นยังไงบ้าง" หญิงสาวเอ่ยถามทันทีที่เห็นร่างสูงขยับ 
         ภูริชยันกายลุกขึ้นนั่ง การอาเจียนเอาของในกระเพาะทิ้งไปทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อสมัยเด็กเขาเคยทานรสจัดแบบนี้ มีอาการอาเจียนรุนแรงและไปจบที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ทานรสเผ็ดจัดอีกเลย จนเมื่อหัวค่ำที่หญิงสาวสั่งรายการอาหารรสจัดจ้านราวกลั่นแกล้ง แค่คิดว่าผ่านมาหลายปีอาการแพ้รสจัดคงจะดีขึ้น แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น 
         "นึกว่าจะถูกคุณฆ่าตายซะแล้ว" เสียงทุ้มนั้นเจือแหบแห้ง
         หญิงสาวถลึงตาโตวาวๆ ใส่ "นายนั่นแหละ ทั้งที่รู้ว่าทานเผ็ดไม่ได้ แล้วจะสาละแนทานทำไมล่ะ สมน้ำหน้า!" 
         ดูท่าว่าคนผิดจะไม่ยอมสำนึก กอดอกเชิดใบหน้าขึ้นสูง ความรู้สึกผิดเมื่อครู่หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนควัน
         "แล้วทำไมไม่ปล่อยผมไว้ในห้องน้ำล่ะ เห็นคุณเกลียดผมเข้ากระดูก นึกว่าอยากให้ผมตายๆ ไปซะอีก" ภูริชถามด้วยความอยากรู้ ทีแรกเขามั่นใจว่าปุษยาต้องทิ้งเขาไว้ในห้องน้ำ แต่หญิงสาวกลับเลือกที่จะช่วยเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาแปลกใจ 
         ถึงตรงนี้ปุษยาก็ต้องสะดุ้ง นั่นสิ... เธอเองก็อยากกำจัดภูริชไปให้พ้นทาง เธอควรจะดีใจที่เขามีสภาพแบบนั้น แต่ทำไมเธอคิดที่จะช่วยเขาโดยไม่ลังเล คงอาจเป็นเพราะความรู้สึกผิด เธอเองก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นที่จะฆ่าคนได้ลงคอ
         "ฉันไม่ปล่อยให้นายตายหรอก นายต้องอยู่ให้ฉันทรมานไปเรื่อยๆ" ปุษยาตาลุกวาว เดินไปเปิดประตูรับข้าวต้มที่บริกรยกมาส่ง 
         "ฉันวางข้าวต้มไว้บนโต๊ะ ทานเสร็จแล้วก็ทานยาในขวดนั้นด้วย ...หนึ่งช้อนโต๊ะ" สั่งเสร็จสรรพก็เตรียมจะหมุนตัวเดินออกไป แต่เสียงชายหนุ่มทำให้ฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินชะงัก
         ถ้อยคำที่ไม่คุ้นหูนั้นกระตุกหัวใจหญิงสาวให้วูบไหว ก่อนจะพาตัวเองกลับห้องนอน เธอนั่งลงบนเตียงนอนหันหน้ามองหมู่ดาวนับสิบดวงทอประกายลอยเด่นอยู่กลางผืนฟ้าสีดำ รู้สึกโหวงเหวงบอกไม่ถูก นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้ยินคำนั้น
         'ขอบคุณนะ ปุษยา' 


         ชายวัยย่างเข้าวัยชรานั่งตรวจทานเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น คิ้วดกหนาที่แซมขนสีขาวขมวดเข้าหากันเมื่อถูกขัดจังหวะโดยโฟนอินจากเลขาหนุ่ม 
         "ท่านครับ คุณเนตรนรามาแล้วครับ" 
         เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วที่ขมวดเป็นปมก็ค่อยคลายออก ก่อนเจ้าตัวจะตอบกลับไป "ให้เข้ามาได้"
         ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาววัยกลางคนก็เดินเข้ามาในห้องประธานใหญ่ ดวงหน้าเรียวเกลี้ยงเกลา ผมทุกเส้นถูกรวบตึงไว้อย่างพิถีพิถัน เครื่องหน้าแต่งแต้มเพียงเฉดสีอ่อนๆ มองเพียงผิวเผินอาจจะคิดว่าสตรีนางนี้อายุสามสิบต้นๆ ทั้งที่จริงนั้นหล่อนอายุย่างเข้าเลขสี่แล้ว 
         "นั่งก่อนสิ" วิวัฒน์ผายมือเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกันของโต๊ะทำงาน มองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเนตรนราที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยแม้จะไม่ได้พบกันมาเกือบสิบปี  เนตรนราเป็นน้องสาวของนราดา ภรรยาของเขาที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อน ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นเลขาฯ คนสนิทของเขาจนกระทั่งเกิด 'เรื่องนั้น' ขึ้น เธอเป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำงานสูง และจนจวบบัดนี้ก็ไม่มีใครสามารถทำงานดำรงตำแหน่งเลขาฯ ได้ดีเท่าเธอ และที่สำคัญ... เธอเป็นผู้ที่รู้เรื่องราวของ 'ความลับในลิ้นชัก' เป็นอย่างดี
         "การที่คุณวัฒน์เรียกเนตรมา แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากใช่ไหมคะ?" เธอเอ่ยปากถาม หลังจากลาออกจากตำแหน่ง เธอกับเจ้านายคนนี้ก็ไม่เคยติดต่อกันอีกเลย เธอเริ่มต้นทำงานใหม่ในบริษัทเอกชนเล็กๆ สองปีต่อมาก็แต่งงานกับพนักงานหนุ่มคนหนึ่งและมีครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่น ลูกชายคนโตของเธอกำลังเตรียมตัวเข้าชั้นประถม ส่วนลูกสาวคนเล็กแสนสนเพิ่งหัดเดินได้คล่อง 
         "ก็ไม่เชิงหรอก พอดีลูกชายของผมกำลังเรียนรู้งาน เตรียมตัวสานงานต่อจากผม ผมก็เลยอยากหาที่ปรึกษาให้เขา และคนแรกที่ผมคิดถึงก็คือคุณ เพราะคุณเป็นคนมีความสามารถมาก ที่สำคัญคือเราเคยรู้จักมักคุ้นร่วมทำงานกันมาก่อน" 
         เนตรนราเงียบไปเหมือนกำลังครุ่นคิด เพราะเธอตัดสินใจแล้วว่าจะวางมือจากการทำงานและหันมาทำหน้าที่คุณแม่อย่างเต็มตัว 
         "คนที่เก่งกว่าเนตรก็มีเยอะแยะไปค่ะ"
         คราวนี้วิวัฒน์เป็นฝ่ายเงียบบ้าง สักพักก็พยักหน้าเหมือนปลงอะไรได้ "ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ เป็นใครก็คงไม่อยากร่วมงานกับคนที่เป็นต้นเหตุทำให้คนที่เรารักต้องตาย" 
         เนตรนรากระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากบางๆ "เรื่องผ่านมาตั้งเป็นสิบปีแล้ว เนตรไม่เก็บเรื่องราวในอดีตมาทำลายปัจจุบันของเนตรหรอกค่ะ อีกอย่าง.. ปัญหาก็ไม่ได้เกิดเพราะคุณวัฒน์ แต่เป็นเพราะพี่ดาเอง" วันที่พี่ดาของเธอฆ่าตัวตาย เธอก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และก็โชคดีมากที่เป็นอย่างนั้น เพราะถ้าเธอไม่อยู่ในวันนั้นแล้ว นราดาคงจะฆ่าลูกสาวตัวน้อยไปพร้อมๆ กับเธอด้วย 
         "ถ้าอย่างนั้น... เนตรช่วยมาเป็นคนดูแลให้กับภูริชหน่อยจะได้ไหม ผมจะให้ค่าจ้างเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน แต่ถ้าลำบากใจเกินไปก็ไม่เป็นไร" 
         "คุณวัฒน์เอ่ยปากขอขนาดนี้แล้ว เนตรก็ไม่กล้าปฏิเสธหรอกค่ะ แต่เนตรขอลาหยุดทุกวันเสาร์อาทิตย์นะคะ" เธออยากมีเวลาว่างเต็มวันคอยดูแลครอบครัว ลูกสาวคนเล็กก็ติดแม่เหลือเกิน  
         "ได้สิ ไม่มีปัญหา" วิวัฒน์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ "รอให้ภูริชกลับมาจากใต้ก่อนค่อยเริ่มงาน จันทร์หน้าที่จะถึงนี่ล่ะ" 
         เนตรนราไม่เคยเห็นหน้าภูริชเลยสักครั้ง ได้ยินแค่ชื่อเสียงเรียงนามมาว่าหล่อเหลาเอาการ
         "เอ่อ แล้ว... น้องฟ้าล่ะคะ แกเป็นยังไงบ้าง?" เธออดไม่ได้ที่จะถามถึงหลานสาวตัวเอง ครั้งสุดท้ายที่เจอ ปุษยาเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ใบหน้าที่เศร้าสร้อยนั้นละม่ายคล้ายมารดา ป่านนี้ก็คงโตเป็นสาวแล้วสินะ 
         "สบายดี" วิวัฒน์ตอบแต่เพียงสั้นๆ ไม่อยากอธิบายเรื่องราวอะไรมาก แต่ความกังวลที่ฉายชัดออกมาผ่านทางแววตาทำให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ไม่ยากเย็น
         "ยังไม่ได้บอกเธออีกหรือคะ?" 
         วิวัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด สีหน้าหนักใจเหมือนคนเจอทางตัน "ผมกลัวว่าถ้าบอกไปจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ เลยคิดว่าจะเก็บความลับนี้ให้ตายไปกับตัว" 
         เนตรนรายอมรับการตัดสินใจของอีกฝ่าย เธอไม่อยากยุ่งวุ่นวายและให้ความเห็นกับเรื่องนี้นัก บางทีการเก็บเป็นความลับอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ถ้าความลับแตกล่ะ... คนที่จะบอบช้ำและเจ็บปวดมากที่สุดก็คือปุษยา และเธอไม่คิดว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่แข็งนอกอ่อนในอย่างหลานเธอจะทำใจยอมรับกับเรื่องแบบนีได้ ...เรื่องที่แม่ของตัวเองลักลอบมีชู้จนเกิดเป็นเธอขึ้นมา


         วันนี้อากาศไม่แจ่มใสอย่างทุกวัน เมฆก้อนอวบอ้วนลอยแผ่เต็มท้องฟ้าตั้งแต่เช้า จนเกือบเที่ยงก็ยังคงไม่สลายไป เสียงครืนๆ ดังลอยมาไกลๆ เหมือนสัญญาณจากเบื้องบนประกาศเตือนให้รู้ว่าฝนกำลังจะโปรยปรายลงมาในไม่ช้า 
         ปุษยาถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายยามทอดมองท้องฟ้าสีควันบุหรี่ ช่วงเช้าและช่วงสายของวันนี้เธอเดินสำรวจล็อบบี้ ห้องอาหาร และบริเวณสระน้ำเพื่อคอยสังเกตุแขกผู้มาพักว่ามีสีหน้าและปฏิกริยาอย่างไร ผลจากสีหน้าที่เธอใช้ในการประเมิณคร่าวๆ ออกมาอยู่ในเกณฑ์ปานกลางค่อนไปทางดี 
         ร่างบางถอดเสื้อผ้าแล้วเดินไปหยิบชุดว่ายน้ำที่แขวนไว้ในตู้เพื่อนำมาสวมใส่ ก่อนจะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำทับ เธอตัดสินใจที่จะผ่อนคลายโดยการว่ายน้ำ สระน้ำของโรงแรมแห่งนี้มีทั้งกลางแจ้งและในร่ม สร้างไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้ตามรสนิยมของแต่ละคน 
         จำนวนผู้ที่ใช้สระน้ำในร่มวันนี้มีมากกว่าทุกวันเพราะไม่มีใครอยากว่ายน้ำท่ามกลางสายฝน หญิงสาวถอดเสื้อคลุมพาดไว้บนเก้าอี้ไม้เผยให้เห็นผิวสีงาช้างเนียนละเอียด ร่างบอบบางสูงไม่ถึงร้อยหกสิบทำให้เธอดูน่าปกป้องทะนุถนอม หญิงสาวรวบผมไว้เป็นมวยหลวมๆ บนศีรษะ ก่อนจะเดินลงไปแช่ในสระน้ำ ซึ่งทุกการกระทำล้วนอยู่ในอยู่ในสายตาของใครบางคนทั้งสิ้น 
         ภูริชสังเกตุเห็นหญิงสาวตั้งแต่เดินเข้ามาบริเวณสระน้ำ ไม่รู้ทำไมเขาถึงละสายตาไปจากร่างนั้นไม่ได้เลยแม้สักวินาทีเดียว ...เหมือนต้องมนต์สะกด แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ชักสายตากลับมา กลั้นหายใจลงไปในน้ำสองสามวินาทีเพื่อล้างความคิดบ้าๆ ที่แวบขึ้นมาในหัวสมอง และพยายามไม่สนใจหญิงสาวอีก
         ปุษยาแช่น้ำอยู่ในมุมเงียบๆ คนเดียวอย่างสบายใจ สระน้ำนี้กว้างมากพอให้ใครหลายๆ คนมีพื้นที่ส่วนตัว 
         "น้องฟ้า..." 
         หญิงสาวหันมองตามเสียง ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เธอรู้จัก ...จักริน ชายที่ชอบมองเธอด้วยสายตาโลมเลีย ยิ่งตอนนี้ยิ่งเหมือนเขาจะกลืนกินเธอทั้งตัว 
         "คุณจักริน..." 
         "ไม่เจอกันนาน สวยขึ้นเยอะเลยนะครับ" ดวงตาทอประกายวาววับ ไล้สายตามองหญิงสาวทุกสัดส่วน โดยเฉพาะหน้าอกอวบอิ่มที่ยั่วราคะของเขาได้ดียิ่งนัก ...เขาจับตามองตั้งแต่วินาทีที่หญิงสาวถอดเสื้อคลุม ผิวขาวนวลตัดกับชุดว่ายน้ำทูพีซสีน้ำเงิน เอวบางราบเรียบคอดกิ่ว ...เจ้าของเรือนร่างที่ผู้ชายหลายคนหมายปองอยากครอบครอง และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเขา 
         "เอ่อ มาเที่ยวเหรอคะ?" ปุษยาพยายามฝืนยิ้ม รู้สึกอึดอัดกับสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่จ้องเธอแทบไม่กะพริบ 
         จักรินเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เธอได้ยินข่าวมาว่าเขาแอบเปิดสถานอาบอบนวดที่ผิดกฎหมายอยู่ในกรุงเทพฯ หัวที่เริ่มล้านนั้นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์เหมือนเสี่ยเข้าไปใหญ่ ดีที่พุงยังไม่โลออกมา 
         "พี่หย่าแล้วนะ" สายตาสื่อถึงความนัย ค่อยๆ กระเถิบเข้าไปใกล้ร่างบาง ในขณะที่เธอถอยห่างเขาไปเรื่อยๆ จักรินกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ...ถอยไปเถอะ เดี๋ยวก็จนมุมแล้ว
         หญิงสาวถอยกรูดจนแผ่นหลังนาบติดกับขอบสระ เธอใจเต้นด้วยความหวาดกลัวเมื่อจักรินยื่นมือทั้งสองข้างท้าวไปบนขอบสระเพื่อกักตัวเธอไว้ 
         "ฟ้าจะขึ้นแล้ว ขอทางด้วยค่ะ" น้ำเสียงใสเริ่มขุ่น ชักสีหน้าไม่พอใจที่จักรินทำจาบจ้วงกลางที่สาธารณะ 
         จักรินอาศัยจังหวะที่หญิงสาวพยายามเบี่ยงตัวหลบคว้าเข้าที่เอวบางๆ เข้ามากอดไว้หลวมๆ อย่างถือสิทธิ์ "อย่าเพิ่งสิ คุยกันก่อน แต่จะว่าไป ขึ้นห้องก็ดีเหมือนกัน น้องฟ้าพักห้องไหนล่ะ" ไม่เพียงพูดเปล่า จักรินยังถือวิสาสะโน้มตัวสูดดมข้างแก้มแม้ว่าสาวเจ้าพยายามดิ้นขัดขืน 
         "ปล่อยฟ้าค่ะ" เธอเอ่ยเสียงเข้ม ดวงหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธที่ถูกล่วงละเมิดสิทธิ์ แต่จักรินมีหรือจะปล่อย กลับใช้มือลูบไล้ต้นขาเธอเล่น 
         ปุษยานับเลขถอยหลังในใจ แต่เธอนับเร็วจี๋จนถึงศูนย์ มือบางคว้าหมับเข้าที่น้องชายสุดที่รักของจักรินแล้วบีบอย่างแรง ...แถมเล็บยาวๆ ให้ด้วยเป็นที่ระลึก 
         จักรินครางต่ำในลำคอด้วยไม่อยากเป็นเป้าสายตา ดวงหน้าแดงจนเกือบเขียว รู้สึกหน้ามืดตาลายเหมือนโดนน็อคเอาท์ 
         ปุษยาฉวยโอกาศที่จักรินกำลังหน้ามืดอ่อนแรง เดินหนีขึ้นจากสระน้ำทันที มิวายหันไปมองสีหน้าทุกข์ทรมานของอีกฝ่ายและยิ้มเยาะด้วยความสะใจ ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินจากไปอย่างไม่ใยดี ปล่อยให้หน้าช้ำดำเขียวอยู่อย่างนั้นล่ะดีแล้ว หึ... สมน้ำหน้า ถ้าคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ยอมให้แกล้งได้ง่ายๆ ล่ะก็... คิดผิดแล้ว 
         จักรินลูบน้องชายเพื่อปลอบขวัญ มองร่างบางที่เดินจากไปชนิดที่ไม่กะพริบ ก่อนจะประกาศิตกับตัวเองพร้อมแววตาวิบวับราวกับนักล่า
         "ฝากไว้ก่อนนะแม่ตัวแสบ... เดี๋ยวพ่อจะจับทำเมียให้เข็ดเลยคอยดู"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×