จอมนางเคียงหทัย ดวงใจจักรพรรดิ [จบ] ลบ 23 สค.
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้แต่ง : ธารธารา...
My.iD :
https://my.dek-d.com/lachanas/writer/
ตอนที่ 24 : โหงวเส็กทึ้ง
“กำลังอ่านสิ่งใดอยู่หรือสนมรัก” เสียงทุ่มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบทะลึ่งตัวลุกขึ้น
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” ใบหน้างามที่มักจะเรียบเฉยเผยรอยยิ้มงดงาม
“เราทำให้เจ้าตกใจแล้ว” เขาส่งมือหนาไปประคองคนตรงหน้า แล้วจึงก้มลงถามด้วยแววตาเอ็นดู
“มิได้เพคะ หม่อมฉันมีแต่จะดีใจที่พระองค์เสด็จ”
“ปากหวานจริงๆเจ้านี่ แล้วนี่กำลังยุ่งสิ่งใดอยู่”
“เทียบเชิญงานชมบุปผาจากตำหนักจื่อเถิงฮวาเพคะ”
“อ้อ ถึงฤดูกาลดอกจื่อเถิงบานแล้วรึ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
“เพคะ พระองค์ทรงทุ่มเทตรากตรำทำงานเพื่อราษฎรย่อมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก”
เขาเพียงยกยิ้ม รอยยิ้มที่ขยายไปจนถึงดวงตา มิใช่เพียงยกมุมปากเหมือนยามปกติ จากนั้นจึงหยิบเทียบเชิญที่วางบนโต๊ะไปอ่าน “อา...ช่างเป็นเวลาเดียวกับที่เราจะอนุญาตให้สนมรักกลับไปเยี่ยมบ้าน เช่นนี้จะทำอย่างไรดี” เขาแสร้งทำสีหน้ายุ่งยากใจ แต่คนตรงหน้ากลับมองค้อน เพียงสบสายตา นางก็เข้าใจแล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด
“เช่นนั้นก็โปรดทำตามพระประสงค์เถิดเพคะ หม่อมฉันมิกล้าคัดค้าน”
“แสร้งทำเป็นพายเรือตามน้ำ แท้จริงแล้วเจ้าอยากจะหนีเรากลับบ้านใช่หรือไม่” แม้น้ำเสียงจะเข้มขึ้น แต่พระพักตร์ยังคงแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนอยู่หลายส่วน
“เป็นหม่อมฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายตัดพ้อ” สาวงามเพียงส่งค้อนให้เขาแล้วเบือนหน้าหนี ขณะที่บ่าวไพร่รีบก้มหน้า
เอ่ยปากคล้ายหึงหวงเช่นนี้คงมีแต่ฮุ่ยหวงกุ้ยเฟยผู้เดียวที่กล้าพูด หากเป็นผู้อื่นคงไม่พ้นทำให้พระองค์ทรงกริ้ว เรื่องนี้มิใช่ว่าไม่เคยมี ผู้ใดที่บังอาจแสดงตัวหึงหวง จุดจบย่อมไม่สวยงาม
“เรามอบของขวัญแสนวิเศษให้แล้ว เจ้าจะมิแสดงน้ำใจต่อเราหน่อยหรือ”
“มิใช่ว่าพระองค์ทรงเบื่อหน่ายเสียงพิณของหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ” เมื่อเห็นว่าคงตรงหน้ายังคงมองนางด้วยความรักใคร่ มิได้มีท่าทางเบื่อหน่าย เพ่ยฟางจึงกล้าที่จะตัดพ้อต่อพระองค์
“ฝีมือพิณของสนมรัก ผู้ใดก็มิอาจเทียบได้ พวกเจ้าไปยกพิณมาให้พระสนม”
ยามนี้อากาศด้านนอกเริ่มอุ่นสบาย บรรยากาศในตำหนักก็อบอวลด้วยความอบอุ่น ดูท่าแล้ว ตำแหน่งหนึ่งเดียวในพระทัย ผู้ใดก็ยากที่จะแย่งชิง
“วันนี้แต่งให้งามหน่อยนะเจ้าคะ เผื่อฝ่าบาทเสด็จ” ชิงชิงพยายามหว่านล้อม มี่อิงจึงค้านจะขัดใจ ยอมนั่งนิ่งๆให้นางกำนัลคนสนิทจัดการตามใจชอบ ก่อนจะหันไปหาเชียนสุย
“อากาศดีเช่นนี้ประเสริฐยิ่งนัก ข้าคัดตำราที่อับชื้นไว้หลายเล่ม เจ้าช่วยให้บ่าวไพร่จัดการนำมาผึ่งแดดเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะนายหญิง”
“เช่นนั้นวันเจ้านี้ก็ไปกับข้าก็แล้วกัน” นางหันไปสั่งชิงชิงต่อ
“นายหญิงเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาว่าวันพรุ่งนี้ไทเฮาจะเสด็จกลับจากการปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ”
“อ้อ...อย่างงั้นรึ ดูท่าวังหลังคงมีรื่องสนุกเพิ่มขึ้น” มี่อิงเพียงยกยิ้มขณะให้บ่าวไพร่ช่วยแต่งกาย
ไทเฮาองค์ปัจจุบันคืออดีตฮองเฮาในรัชสมัยของพระเจ้าเหยียนจิ้ง พระองค์ทรงรับตัวองค์ชายหย่งจื้อหรือองค์ชายเจ็ดมาดูแลหลังจากพระมารดาสิ้น แม้อาจจะไม่เทียบได้กับองค์รัชทายาทในตอนนั้น แต่พระองค์ก็ทรงเมตตาองค์ชายเจ็ดมาก คราเมื่อเกิดเหตุการณแย่งชิงบัลลังก์ องค์รัชทายาทถูกลอบปลงพระชนม์ พระองค์ทรงเสียพระทัยอย่างหนักจนถึงขั้นล้มป่วยอยู่เป็นปี หลังจากที่ฮ่องเต้หย่งจื้อเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วจึงได้แต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นไทเฮาผู้เป็นใหญ่เหนือฝ่ายใน
เมื่อหายจากพระอาการประชวร ไทเฮาทรงได้คัดเลือกสาวงามจากตระกูลจ้าว ตระกูลเดิมของพระองค์ แต่งตั้งจ้าวรุ่นเหยียน ขึ้นเป็นฮองเฮา เนื่องจากองค์ชายเจ็ดยังมิมีพระชายา ตำแหน่งฮองเฮาจะว่างเว้นไม่ได้ ทั้งฮ่องเต้ค์ยังเป็นบุตรที่มีความกตัญญู ย่อมมิเอ่ยคัดค้านพระประสงค์ขององค์ไทเฮา ฮองเฮาจากสกุลจ้าวผู้นี้จึงนับว่ามีอำนาจสนับสนุนจากเบื้องหลัง ทั้งตระกูลจ้าวที่ยี่งใหญ่ ทั้งพระราชอำนาจและความโปรดปรานจากไทเฮา พระองค์ทรงได้ครอบครองทุกสิ่ง ยกเว้น....
พระทัยฝ่าบาท
ตำหนักจื่อเถิงฮวาตั้งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักคุนหนิงมากนัก ซูหนี่ว์กุ้ยเหรินสามารถกะเวลาการเดินทางหลังจากเข้าเฝ้าถวายพระพรฮองเฮาได้ นางจึงเลือกไปถึงงานไม่เร็วหรือช้าเกินไป เข้าใกล้ตัวตำหนัก กลิ่นหอมจรุงของดอกจื่อเถิงก็ลอยมากับสายลม ต้นจื่อเถิงของตำหนักใหญ่โตสมคำร่ำลือ ลำต้นสูงใหญ่เกินหนึ่งคนโอบ แผ่กิ่งก้านสาขาตามซุ้มกินบริเวณกว้างจนสามารถจัดวางโต๊ะดื่มชาได้สิบกว่าตัว ช่อดอกสี่ม่วงเข้มห้อยระย้าตามกิ่งก้านที่แผ่สาขาตระการตายิ่ง
มี่อิงเดินตามนางกำนัลของตำหนักไปนั่งที่โต๊ะซึ่งจัดไว้ตามตำแหน่ง กุ้ยเหรินแม้จะไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่โต แต่เพราะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ นางจึงได้รับเกียรติให้มาร่วมงาน นั่งได้เพียงครู่ นางกำนัลคนเดิมก็เดินนำมู่หรงกุ้ยเหรินเข้ามา แผ่นหลังของมี่อิงขยับตั้งตรงขึ้นทันทีพลางลอบหันไปแลกเปลี่ยนสายตากับชิงชิง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุบังเอิญหรือจงใจ งานนี้จึงมีกุ้ยเหรินเพียงสองคนที่ได้รับเชิญ คนที่กำลังท้องอ่อนๆจึงเดินเข้ามานั่งเคียงข้างนาง
ชิงชิงกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด จนมี่อิงต้องหันไปบีบมือน้อยๆของนางกำนัลคนสนิท เป็นฝ่ายปลอบใจคนของตัวเองแทน
ดูท่าวันนี้ นางคงต้องระวังตัวขึ้นอีกหลายส่วน
“เจี่ยเจียสบายดีนะเจ้าคะ” ซูหนี่ว์กุ้ยเหรินเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน
“ก็ตามประสาคนท้อง” มู่หรงกุ้ยเหรินตอบกลับด้วยใบหน้าค่อนข้างเรียบเฉย แตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง คาดว่าคงยังขุ่นเคืองใจจากเรื่องที่ฝ่าบาทเรียกตัวนางเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรวันนั้น
ผ่านไปสักพัก บรรดาเหล่าสนมนางกำนัลทั้งหลายต่างทยอยกันเข้ามาในงานอย่างคับคั่ง เสียงหัวเราะพูดขึ้นดังเคล้าสายลมพัดเอื่อยๆ กลีบดอกจื่อเถิงปลิดปลิว
“ขอบคุณพวกท่านมากที่ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้” ร่างระหงลุกขึ้นกล่าวพลางยกจอกชาคาราวะผู้อื่นด้วยความอ่อนช้อย ปราศจากท่าทางถือยศศักดิ์ “วันนี้ข้าเตรียมน้ำขิงร้อนๆให้กับมู่หรงกุ้ยเหรินโดยเฉพาะ น้ำขิงนอกจากจะมากด้วยคุณประโยชน์แล้วยังช่วยบรรเทาอาการคลื้นไส้ อาเจียน ตอนข้าตั้งครรภ์องค์ชายรองก็ได้น้ำขิงนี่แหละช่วยลดอาการแพ้”
“ขอบพระทัยเสียนเฟยที่ทรงใส่ใจดูแลเพคะ”
“เราพี่น้องกัน ใยต้องมากพิธี เจ้าอุ้มครรภ์มังกร สามารถให้กำเนิดทายาทให้กับฝ่าบาทย่อมเป็นเรื่องดี พวกเราพี่น้องย่อมต้องใส่ใจดูแลเจ้า ใช่ไหม”
“พระสนมกล่าวถูกแล้วเพคะ” นางสนมหลายคนรีบตอบรับ ขณะที่มี่อิงเพียงยกชาขึ้นดื่มแล้วจึงหันไปกระซิบถามชิงชิง
“เหตุใดวันนี้ข้าจึงไม่เห็นฮุ่ยหวงกุ้ยเฟยรวมทั้งฮองเฮาด้วย”
“เรียนนายหญิง บ่าวได้ข่าวว่าฝ่าบาททรงอนุญาตให้ฮุ่ยหวงกุ้ยเฟยกลับไปเยี่ยมบ้านได้สามวัน ส่วนฮองเฮาคาดว่าคงจะกำลังเตรียมการต้อนรับไทเฮาอยู่เจ้าค่ะ”
“อ้อ...” มี่อิงเพียงพยักหน้า แต่แววตากลับแฝงไปด้วยร่องรอยแห่งการคิดตรึกตรอง
“เห็นจื่อเถิงต้นใหญ่ต้นนี้ทีไร เม่ยเม่ยก็อดรู้สึกอิจฉาเจี่ยเจียไม่ได้ ฝ่าบาทช่างดีกับท่านยิ่งนัก ตำหนักแห่งนี้นับว่าสวยงามร่มรื่น” เสวี่ยไป๋กุ้ยเฟยหันไปหยอกล้อเสียนเฟย แววตาแฝงด้วยความริษยาอยู่สองส่วน ทำให้คนถูกล้อถึงกับหัวเราะด้วยความชอบใจ
“ท่านกล่าวหนักไปแล้ว ตัวข้าไหนเลยจะเป็นที่โปรดปรานเกินหน้าเม่ยเม่ย เพียงแต่ตอนนั้นมีเพียงตำหนักแห่งนี้ที่เพิ่งปรับปรุงเสร็จ ช่างเป็นโอกาสประจวบเหมาะ เรียกว่าโชคของเจี่ยเจียมากกว่า นับเป็นความโปรดปรานอะไรกัน หากจะพูดถึงความโปรดปราน มิสู้กล่าวถึงตำหนักม่อหลันของตวงชงหรงจะถูกกว่า” คำกล่าวนี้หากจะมองว่าเพียงเอ่ยตอบกุ้ยเฟยก็มิผิด หรือจะกล่าวว่ากำลังเหน็บแนมตวงชงหรงก็ย่อมได้
อาศัยเพียงตำแหน่งชงหรง สนมสกุลต่ำผู้นี้ย่อมไม่สามารถครอบครองตำหนักเป็นของตนเองได้ หากไม่อาศัยมารยา ยั่วยวนจนฮ่องเต้ลุ่มหลง
“นั่นสิเพคะ ตำหนักม่อหลันมีทำเลที่ตั้งดีนัก พวกเราเองก็รู้สึกอิจฉา”
หากเป็นสนมคนอื่นกำลังถูกเย้าแหย่ มี่อิงคงจะได้ยินคำแก้ตัวที่เอ่ยอย่างถ่อมตนแล้ว แต่ผู้ที่กำลังถูกเหน็บแนมยามนี้คือสนมที่กำลังได้รับความโปรดปราน ทั้งยังเย่อหยิ่งเสียกว่าสนมที่มีจากตระกูลใหญ่ เมื่อทอดสายตาไปยังร่างบางระหง มี่อิงจึงเห็นเพียงรอยยิ้มถือดี
“อย่างไรก็มิเท่าเมตตาที่ทรงมีให้ฮุ่ยหวงกุ้ยเฟยหรอกกระมัง เช้านี้หม่อมฉันเพิ่งเดินสวนกับขบวนเสด็จ คาดว่าป่านคงจะเสด็จถึงจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้วกระมัง” ว่านเจาเยวี่ยนเอ่ยยิ้มๆ รอยยิ้มบนใบหน้าตวงชงหรงถึงกับจืดจางลงหลายส่วน ไม่ต่างจากสนมขั้นเฟยทั้งสองที่แทบจะปั้นหน้าชื่นมื่นไว้ไม่อยู่ สตรีแซ่ว่านผู้นี้นับว่าสามารถทำร้ายผู้คนด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค มี่อิงที่ต้องประสบพบเจอกับตัวหลายครั้งหลายคราย่อมรู้ซึ้งดี
สามรถเล่นงานเฟยทั้งสองและตวงเชาหรงผู้เย่อหยิ่งได้นับว่าฝีมือไม่ธรรมดา เสียนเฟยกับกุ้ยเฟยนั้นแม้ว่าจะมิได้บาดหมางกันอย่างชัดเจนแต่ผู้คนทั่ววังหลวงก็ย่อมดูออก คนหนึ่งแม้จะมีเพียงธิดาแต่ก็เป็นธิดาที่ได้รับความโปรดปราน ส่วนอีกผู้หนึ่งสามารถให้กำเนิดองค์ชายที่น่ารักฉลาดเฉลียว จะอย่างไรก็ยังมีสิทธิ์ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร ทั้งเสียนเฟยเองก็เป็นสตรีที่ประพฤติเหมาะสม ไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่ทั้งยังเป็นที่นับหน้าถือตาของสนมทั้งหลาย แม้อาจจะไม่ใช่สตรีที่ฮ่องเต้โปรดโปรดที่สุด แต่พระองค์ก็ยังคงระลึกถึงนางไม่เสื่อมคลาย แต่ยามเอ่ยถึงฮุ่ยเหวงกุ้ยเฟยนั้น เช่นไรพวกนางทั้งสองก็ยังห่างจากอีกฝ่ายอยู่หลายก้าว ทั้งสกุลที่หนุนหลัง ทั้งความโปรดปรานจากโอรสสวรรค์ และชื่อเสียงที่ล่ำลือถึงความฉลาดเฉลียวของพระองค์
ส่วนตวงชงหรงนั้น ผู้คนทั่วไปต่างรู้ว่านางมีจุดอ่อนที่ชาติกำเนิดต้อยต่ำ จึงพยายามเชิดหน้าชูคอ ประพฤติตนอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ หากเปรียบเทียบเรื่องความโปรดปรานที่ได้รับ นางนับว่าไม่น้อยหน้าผู้อื่น แต่เมื่อเทียบกับฮุ่ยหวงกุ้ยเฟยแล้ว ไฉนเลยนางจะสู้ได้ ยิ่งจุดสำคัญคืออีกฝ่ายกำเนิดในตระกูลใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกันเช่นนี้ นางจึงมักถูกกดให้ต่ำต้อยยิ่งมดปลวกอยู่ร่ำไป
ซูหนี่ว์กุ้ยเหรินแสร้งยกถ้วยชาขึ้นจิบ แทบจะลุกขึ้นปรบมือให้
ยกนี้ว่านเจาเยวี่ยนชนะ
มิจำเป็นต้องได้รับความโปรดปรานล้นฟ้า แค่มีฝีปากเก่งกล้าก็สามารถทำให้ผู้อื่นกระอักเลือดตายได้ น่านับถือๆ
มี่อิงเพียงทอดสายตามองกลีบดอกจื่อเถิงที่กำลังร่วงโรยปลิดปลิวตามสายลม งดงามราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางสรวงสวรรค์ หาใช่ท่ามกลางศึกสงครามของเหล่านางสนมทั้งหลาย
“เจ้ากล่าวขึ้นมาก็ทำให้ข้านึกได้ ว่าฝ่าบาทเอ่ยชมฝีมือชงชาของเจ้ายิ่งนัก เหตุใดไม่แสดงให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาบ้างเล่า” เสียนเฟยพยายามกลับมารักษาภาพสตรีผู้โอบอ้อมอารีอีกครั้ง นางยิ้มน้อยๆมองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“อ้อ...จริงสิเพคะ ข้อดีอย่างเดียวของว่านเจาเยวี่ยนคือชงชาอร่อย หากไม่มีเรื่องนี้ เกรงว่าฝ่าบาทอาจจะจดจำนางสลับกับว่านไฉเหรินผู้เป็นญาติผู้น้อง” ตวงชงหรงกล่าวจบก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากหัวเราะ ไม่เสแสร้งที่จะปิดบังสักนิด แววตาเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย
“เจ้าก็ว่าไป ว่านไฉเหรินเพิ่งเข้าวังมา ทั้งยังเป็นดรุณีแรกแย้ม แม้จะมีใบหน้าคล้ายคลึงกัน แต่กระนั้นก็คงไม่ถึงกับทำให้ฝ่าบาทจำผิดได้หรอก” เสวี่ยไป๋กุ้ยเฟยเอ่ยต่อ นางสนมที่เหลือจึงพากันหัวเราะชอบใจ
ว่านเจาเยวี่ยนจึงทำได้เพียงกำมือแน่นอย่างข่มอารมณ์เมื่อถูกสตรีทั้งสองรุมทึ้ง นางสะบัดหน้าไปมองนางกำนัลที่ยกอุปกรณ์ชงชาเข้ามา จึงเผอิญสบสายตากับซูหนี่ว์กุ้ยเหริน รอยยิ้มน้อยๆจึงผุดขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง
“หม่อมฉันกับว่านไฉเหรินหน้าตาคล้ายคลึงกันมิใช่เรื่องแปลก ขนาดว่าพระสนมกับตวงชงหรงชงยังมีใบหน้าคล้ายกันอยู่หลายส่วน นี่หากว่าผู้ใดไม่รู้มาก่อน อาจจะเข้าใจผิดไปก็เป็นได้นะเพคะ”
“บังอาจ!!” เสวี่ยไป๋กุ้ยเฟยตบโต๊ะอย่างแค้นเคือง
“ขอพระองค์ทรงอภัย หม่อมฉันเพียงเอ่ยความจริงเท่านั้น” ว่านเจาเยวี่ยนเพียงแสร้งคุกเข่าลงกับพื้น แต่แววตากลับไม่มีความหวาดหวั่น แม้ว่านางจะมียศต่ำกว่า แต่อีกฝ่ายก็อย่าหวังว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ “หม่อมฉันเพียงหมายความว่าทั้งพระองค์และตวงชิงหรงต่างก็มีความงามที่ยากจะหาใครเปรียบ หากไม่นับซูหนี่ว์กุ้ยเหริน คาดว่าในวังหลังแห่งนี้ ก็คงไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าสาวงาม”
โอ้...เมื่อกี้ข้าเพิ่งชมเจ้าไป เหตุไฉนจึงรีบหันมาแว้งกัดกันเช่นนี้ล่ะ มี่อิงได้แต่คร่ำครวญ
ทุกสายตาพากันหันมาจับจ้องนางเป็นตาเดียว มี่อิงจึงเพียงผินหน้าไปด้านข้าง สอบถามสนมที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“โหงวเส็กทึ้ง* นี้ทำได้ดียิ่งนัก ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป ท่านว่าไหม”
จู่ๆก็โดนคำถามประหลาด สนมคนนั้นถึงกับหันมามองหน้านางอย่างอึ้งๆ ก่อนจะตวัดสายตาไปมองทุกคนที่กำลังจ้องเขม่งอย่างโง่งม แล้วจึงทำได้เพียงแต่พยักหน้าซื่อๆ
แต่ก่อนที่ผู้ใดจะกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม เสียง ‘เคล้ง’ ก็ดังขึ้นแทรกท่ามกลางความเงียบ มี่อิงทันหันไปเห็นมู่หรงกุ้ยเหรินที่ล้มฟุบลงไปในอ้อมแขนนางกำนัล
++++++++++++++++++++++++++
* โหงวเส็กทึ้ง หรือ ขนม 5 สี เป็นขนมชุดไหว้ ประกอบด้วย ถั่วตัด งาตัด ถั่วเคลือบ ฟักเชื่อม และข้าวพอง ความหมายคือ ฟัก เพื่อฟักเงินฟักทอง ฟักเชื่อม คือการฟักความหวานของชีวิต ข้าว ถั่ว งา คือ ธัญพืช ธัญญะ แปลว่า งอกงาม ไหว้เพื่อให้งอกงาม และชีวิตหวานอย่างขนม
CR : http://nungnam.blogspot.com/2011/10/blog-post_7570.html
CR : https://www.google.com.vn/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&ved=0ahUKEwj6w4Tx4-LSAhUFF5QKHQuVCPcQjhwIBQ&url=http%3A%2F%2Fwww.thongmongkol.tht.in.th%2Fshoppingcart.php%3FtokenWeb%3DMTE0NTg%3D%26shoppingcart_id%3D44845%26detailID%3D64437&bvm=bv.150120842,d.dGo&psig=AFQjCNEFv6HHbgYuIyfICofKanQejuklEQ&ust=1490020169531575
-----------------------------------------------------
ขอโทษด้วยค่า วันนี้มาช้า ตามที่เคยแจ้งไว้ค่ะว่าจะลงวันไหนบ้าง ไม่มีเบี้ยวจ้า เพียงแต่ไรท์ทำงานหกวัน วันอาทิตย์เลยเป็นวันพักผ่อนและทำธุระอย่างอื่น จึงอาจจะลงช้าไปบ้างนะคะ วันนี้อาจเจอคำผิดเยอะ ชื่อตอนเพี้ยนๆ คือไรท์รีบมากจนคิดสิ่งใดไม่ออก ขออภัยด้วยค้าบ
ไรท์ขออธิบายทั้งสองประเด็นนะคะ เรื่องเย็บแผล ตอนเย็บและตอนแผลแห้งตกสะเก็ดและรอยแผลเป็นหลังจากนั้นมันจะไม่ได้เหมือนเดิมเป๊ะๆนะคะ แล้วตามเนื้อเรื่องเลยคือนางเย็บท่ามกลางแสงจันทร์ และส่วนที่สำคัญที่สุดคืออีกฝ่ายเป็นฮ่องเต้ คือนางเอกคงไม่กล้าคิดแน่ๆว่าตัวเองเย็บแผลให้ฮ่องเต้ เเละอีกฝ่ายก็เป็นแม่ทัพมาก่อน นางย่อมไม่กล้าคิดเอาเองอยู่แล้วว่าเป็นฝีมือตัวเอง แต่นี่คือเราได้อ่านแต่พาร์ทสองคนนี้ เราเลยจะคิดกันว่าทำไมนางเอกไม่รู้ เพราะตอนที่เกิดเรื่อง ใครก็ต้องคิดว่าดึกๆดื่นๆพี่แกต้องนอนอยู่ในตำหนักสนม จะออกไปเดินท่อมๆข้างนอกให้โดนมีดจิ้มพุงทำไม แถมมีคนติดตามแค่คนเดียว นางเอกเราถึงคิดเยอะแต่นางไม่กล้าคิดถึงจุดนี้แน่ๆว่าเป็นฝีมือตัวเอง
ส่วนเรื่องกลิ่น จากตอนที่แล้วจะบอกได้นะคะว่านางเอกชอบเปลี่ยนกลิ่นอบบุหงา เดี๋ยวลองอ่านต่อไปเรื่อยๆนะคะ ถ้าไรท์อธิบายต่อมันจะกลายเป็นสปอยล์ล่วงหน้า
คือรีดเดอร์ทล่มเรือฮ่องเต้ซะล่มไปแล้ว แล้วจะเข้าฝั่งกันยังไงคะ ตอบ!! แล้วให้เปลี่ยนพระเอกนี่รีดเดอร์ต้องเลือกนะคะ ตอนนี้มีเพศชายสองคนในเรื่อง คือหมอหลวง กับหม่ากงกง เลือกได้แล้วแจ้งไรท์ด้วยนาจา
สำหรับใครที่ไม่ชินพระเอกเมียเยอะ ไรท์ต้องขออภัยด้วย แต่พยายามจะแต่งให้ใกล้เคียงความจริง เพราะพระเอกนั่งบัลลังก์มาเจ็ดแปดปีแล้ว ทายาทนี่เป็นเรื่องซีเรียสสำหรับตำแหน่งนี้เลยนะคะ ยังไงก็ต้องมี อีกอย่างพี่จื้อก็ขึ้นมาด้วยความไม่มั่นคง สนมเยอะจึงต้องเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อดึงอำนาจ ให้ขุนนางสนับสนุน ในอดีตขุนนางกับวังหลังเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ได้เนอะ อยากให้ขุนนางสนับสนุน ก็ต้องโปรดปรานลูกสาวเค้า เป็นระบบแบบเกื้อหนุน
พี่จื้อจะสามารถหลุดพ้นจากวังวนนี้ได้ก็ต่อเมื่อสามารถคุมขุนนางทั้งหมดได้
ส่วนคำถามว่าพระเอกรักใคร รักนางเอกรึยัง อันนี้ไรท์ตอบไม่ได้เจงๆ อยากให้ลองอ่าน ลองคิดวิเคราะห์กันเนอะว่าคนอย่างพี่จื้อจะรักใครจริงได้บ้าง 55 อันนี้ไรท์ก็ยังไม่รู้ใจเฮียแกเหมือนกัน เอิ๊กๆ
ปล. ย้ำอีกครั้งนะคะ อัพ อังคาร พฤหัสบดี เสาร์ อาทิตย์ จะได้ไม่รอกันเก้อเนอะ ส่วนคำแนะนำนั้นไรท์รับฟังนะคะ แต่การแก้ไขเนื้อหาคงรอรีไรท์รอบเดียวเลย ไม่อยากให้ระบบแจ้งเตือน
เหตุการณ ==> เหตุการณ์
ฮ่องเต้ค์
ยี่งใหญ่ ==> ยิ่ง
คลื้นไส้ ==> คลื่น
สนมที่มีจากตระกูลใหญ่ ==> ที่มา
คาดว่าป่าน (นี้) คง
ฮุ่ยเหวงกุ้ยเฟย ==> หวง
ตวงชิงหรง
เขม่ง ==> เขม็ง
ทั้งฮ่องเต้ค์
ยี่งใหญ่ ==> ยิ่ง
คลื้นใส้ ==> คลื่น