ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์ร้าย ใต้เงารัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 วิวาห์ร้าย ใต้เงารัก (รีไรท์ 100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.68K
      21
      9 ม.ค. 53


      วิวาห์ร้าย ใต้เงารัก

    ~~~~~~~~~~~

     

    บทที่1 “รักแรก...ยากนัก จะเป็นรักสุดท้าย”

                                                                                                                           

                ใครกันที่กล่าวเอาไว้ว่า รักแรก...ยากนัก จะเป็นรักสุดท้าย ฟังดูช่างเป็นประโยคที่โหดร้ายเสียเหลือเกินในความรู้สึกของ พิมลดา ภัคติรกุล เพราะสำหรับเธอ รักครั้งแรกยังคงตราตรึงลึกซึ้งอยู่แทบทุกลมหายใจเข้าออกก็ว่าได้ ไม่มีวันไหนที่เธอจะไม่คิดถึงเขา หัวใจที่แหลกสลายของเธอไม่เคยเลิกหวั่นไหวยามนึกถึงใบหน้างดงามของเขาและไม่เคยมีแม้สักครั้งที่เธอจะไม่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งหัวใจ

                คิดมาถึงตรงนี้ผิวหนังทั่วทั้งร่างเหมือนกับจะเย็นเยือกขึ้นจับขั้วหัวใจ พิมลดาจำต้องซุกตัวให้ลึกลงไปท่ามกลางหมอนหลากสีเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายและคล้ายความอ้างว้างในใจ สิ่งเดียวที่หญิงสาวทำได้ในเวลานี้ก็คือปาดเช็ดน้ำตาและถอดถอนใจออกมาอย่างคนที่กำลังเจ็บลึกอยู่ในอก กายอาจจะคลายหนาวได้หากหัวใจเล่า...เมื่อมันทุกข์ทนหม่นหมอง ทรมานอย่างถึงที่สุดจะมีสิ่งใดคลายความทุกข์ให้มันได้

                สองปีแห่งความฝันของวัยหวานที่แสนสุข และสี่ปีแห่งความทุกข์ทรมานกับความรักที่เธอมีให้เขา หลายครั้งที่เคยเฝ้าถามตัวเองว่านานเกินไปรึเปล่า ที่ฝากหัวใจไว้กันคนที่เขาไม่แคร์ ไม่สนใจเธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าเขามองเห็นมันรึเปล่า

                คำตอบคือ ไม่!’ หากเธอพร้อมจะหลอกลวงสมองของตัวเองว่าสักวันเขาจะมองเห็นมัน...เพียงแต่ในหัวใจ เธอรู้ดีว่าไม่มีวันที่เขาจะเคียงข้างเธอ มันอาจจะเป็นได้เพียงแค่ความฝันลมๆแล้งๆ ที่เมื่อใดต้องตื่นขึ้นมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ความเจ็บปวดก็เหมือนกับจะโถมกระหน่ำใส่เธอดั่งคลื่นลมในวังวนแห่งพายุ

                หวิว...หวิว...ลมหนาวจากพายุหิมะพัดผ่านเข้ามาระลอกใหญ่จนเกิดเสียงดังอื้ออึง ยิ่งสร้างความปวดร้าวให้แก่หญิงสาวมากขึ้นไปอีก หากยังไม่มากเท่ากับเจ้าแผ่นกระดาษลวดลายน่ารักสีหวานที่เพื่อนสาวของเธอส่งมาให้แน่ๆ

                อรอินทร์ เพื่อนสาวผู้เป็นดั่งทูตสื่อสารระหว่างเธอกับ เขา มาตลอดสี่ปีแห่งการลาจาก อย่างน้อยอรอินทร์ก็เป็นคนที่คอยส่งข่าวคราวของอัศวินให้กับเธอ หากเนื้อความในจดหมายจากเพื่อนรัก แทบทำให้พิมลดาอยากกลั้นใจตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

     

                สวัสดีพิม เพื่อนรัก

                ตอนนี้อากาศที่เมืองไทยกำลังร้อน พิมไม่อยู่เมืองไทยเสียนานอาจจะไม่รู้ใช่ไหม ว่าประเทศเรานั้นคงมีเพียงสองฤดูเท่านั้นแหละคือฤดูร้อนกับฤดูฝน บอกตรงๆว่าอรคิดถึงหิมะที่ลอนดอนจัง ไม่ทราบว่าที่อังกฤษเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ไปเยี่ยมพิมเสียนาน ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ ที่ช่วงหลังๆเราไม่ค่อยได้ส่งจดหมายมาหา ก็แหม...เดี๋ยวนี้มันยุคนาโนกันหมดแล้ว เขียนจดหมายมันเมื่อยจะตายไป แต่ในเมื่อพิมชอบอ่านจดหมายมากกว่าเปิดอีเมลล์เราก็จะทำ เห็นไหมว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีแค่ไหน...

                มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เพราะกว่าจดหมายนี่มันจะไปถึงเวลาก็คงจะล่วงเลยไปหลายวันแล้ว และเราอยากให้พิมพ์ทำใจดีๆ เอาไว้เพราะวันนี้เรามีข่าวดีของพี่วินพี่ชายรูปหล่อของเรามาเล่าให้ฟัง เพียงแต่มันคงจะเป็นเรื่องที่พิมคงไม่อยากรู้มากที่สุดเป็นแน่ และเราอยากให้พิมทำใจดีๆเอาไว้เพราะอีกแค่สามเดือนพี่วินจะแต่งงาน…..’

     

                พิมลดาหลับตาลงอย่างอ่อนแรง เธอไม่สนด้วยซ้ำว่าเนื้อความในจดหมายหลังจากนั้นจะมีใจความเป็นตายร้ายดีเช่นไรหลังจากอ่านประโยคนั้นจบ สิ่งเดี่ยวที่เธอรับรู้คือ เขากำลังจะแต่งงาน!!

                จดหมายลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ตอนนี้ปลายเดือนแล้ว แปลว่าต้นเดือนพฤษภาคมเขาจะแต่งงาน

                ในหัวหญิงสาวเต็มไปด้วยความสับสน ภาพวันคืนเก่าๆหวนคืนกลับสู่ความทรงจำอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่เธอได้รู้จักเขาเมื่อหกปีก่อน ชายหนุ่มเป็นพี่ชายของอรอินทร์เพื่อนสนิทที่เป็นคนไทยเหมือนกันกับเธอ เขาเป็นถึงนายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลวัยยี่สิบแปดปี ที่ใช้ทุนส่วนตัวมาเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกาและเธอยังจำได้ไม่เคยลืม ว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อสบดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยวที่กำลังพร้อมจะล่าเหยื่อของเขา

    หกปีก่อนเธอยังเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาตรีปีที่สาม ไม่มีอะไรที่จะดึงดูดความสนใจของเขาได้มากไปกว่า เธอเป็นเพื่อนกับน้องสาวสุดที่รักของเขา หากตลอดเวลาสองปีที่พิมลดาได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเขา มันกลับผูกพันเธอเข้ากับหวงรักที่มิอาจหลุดพ้น จากหลงแปรเปลี่ยนเป็นรักทุกลมหายใจเข้าออกภายในช่วงเวลาแสนสั้น และไอ้เจ้าความรักนี่เอง ที่ทำให้คนเราทำเรื่องโง่ๆได้อย่างไม่คาดคิด

                ร่างเล็กที่ซุกตัวอยู่กับหมอนถึงกลับต้องเปล่งเสียงสะอื้น ออกมาอย่างสุดกลั้น เพราะภาพความทรงจำในวันสุดท้ายที่เธอได้มีโอกาสใกล้ชิดเขา อย่างที่ไม่เคยอยากจะใกล้ผู้ชายคนไหนมาก่อน เธอยังจดจำได้ดีถึงเรือนกายสูงใหญ่ เปล่าเปลือยที่กอดรัดเธอแนบแน่นเมื่อบรรลุถึงจุดหมายปลายทางแห่งครรลองโลกีย์

                นับจากวันที่เขาจากไปและทิ้งพิมลดาไว้กับภาพฝันของตัวเอง เขาก็ไม่เคยแม้แต่จะติดต่อกลับมาหาเธออีก หากนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะแปลกใจเพราะนับแต่วันนั้น เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงรักสนุกที่ปล่อยตัวให้เขาเชยชมอย่างไร้ศักดิ์ศรีคนหนึ่ง ไม่มีค่าหรือมีความหมายแก่การจดจำใดๆ เสียบทุ้มห้าวทรงพลังยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของเธอเสมอ

                พี่ไม่คิดจริงๆนะว่าพิมจะร่านผู้ชายขนาดนี้ ...เสียดายจังที่เราไม่ได้สนุกกันแบบนี้ตั้งแต่แรก

                พิมลดายังจำได้ว่าตัวเองตกใจมากแค่ไหนกับคำพูดเหยียดหยามของเขา หากการกระทำที่เธอปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเขานั้น ไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นได้เลยจริงๆนั่นแหละ

                ก๊อกๆ ก๊อกๆร่างเล็กของพิมลดาสะดุ้งด้วยความตกใจ รีบร้อนเก็บจดหมายที่วางอยู่ข้างกายเข้าลิ้นชักหัวเตียงอย่างรวดเร็ว ปากก็ถามคนภายนอกไปพร้อมกัน

                ใครคะ!?

                “คุณพิมคะ ขอป้าเข้าไปได้ไหมคะ

                พิมลดาทรงตัวลุกขึ้นจากที่นอน พร้อมทั้งใช่หลังมือปาดเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าสวยอมเศร้าของตัวเองอย่างรีบร้อน ก่อนจะอนุญาตให้พี่เลี้ยงคนสนิทเข้ามาในห้อง

                เชิญค่ะ มิเชล! พิมไม่ได้ล็อกห้อง

                ไม่ทันที่พิมลดาจะพูดจบประโยคดี ประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับร่างป้อมๆในชุดเสื้อขนสัตว์อย่างดีกระโจนเข้ามาที่ปลายเตียงของเธออย่างรวดเร็ว

                คุณแม่ฮะ ออกัสคิดถึงคุณแม่จังเลย ทำไมวันนี้คุณแม่ไม่มารับออกัสเองล่ะ คุณครูอยากชมออกัสกับคุณแม่นะฮะเด็กชายวัยสามขวบเศษพูดภาษาไทยเจื้อยแจ้วชัดบ้าง ไม่ชัดบ้างอย่างแสดงให้รู้ว่าเจ้าตัวน้อยพยายามที่จะพูดให้ได้ตามที่คุณแม่ พร่ำสอนมาแต่แรกเริ่มหัดพูดก็ว่าได้ พาให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกรักใคร่ไปตามกับ และที่ยิ่งรักเขามากที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่น...นอกจากผู้เป็นแม่

                พิมลดายิ้มกับลูกชายตัวน้อยจมซนของเธออย่างรักใคร่ ก่อนจะแสร้งเก๊กหน้าดุ หากน้ำเสียงนั้นอ่อนโยนกึ่งขัน

                แน่ใจหรือจ๊ะ พ่อคนเก่งว่ามิสซิสเคธี่อยากจะชื่นชมในความซนของลูกให้แม่ฟัง เพราะเมื่อกลางวันมิสซิสเคธี่โทรศัพท์มาฟ้องแม่ เรื่องที่ลูกทำกระจกโรงเรียนแตกไปสองบาน ยังไม่รวมกระถางต้นบรอนไซสุดรักของผู้อำนวยการที่หล่นจากชั้นสี่ลงมาแตกกระจายที่พื้นเพราะลูกวิ่งชนมันที่ราวระเบียงอีกด้วยนะ

                เจ้าตัวน้อยอ้าปากค้าง มองคุณแม่คนสวยตาโต ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรทำสิ่งใด

                ...วิธีที่เขาใช้ได้ผลกับคุณแม่คนสวยเสมอมา

                ร่างป้อมๆ ปีนขึ้นเตียงขนาดคิงไซต์ที่เขาชอบมานอนกับคุณแม่บ่อยๆ อย่างเคยชิน ก่อนจะคลานเข้าไปกอดคอผู้เป็นที่รัก พร้อมแจกจูบเปียกๆไปทั่วหน้าคุณแม่คนสวย เรียกเสียงหัวเราะเพราะความสุขจากหญิงสาวผู้ที่หัวใจกำลังร้องไห้แทบแหลกสลายออกมาได้บ้าง

                            ทำไมต้องเป็นแบบนี้... พิมลดาถามตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบในช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมากี่ครั้งกี่หนที่เธอต้องจมอยู่กับความฝันและหัวใจที่แตกสลาย เมื่อมองศีรษะทุยสวยเต็มไปด้วยผมสีดำดั่งขนกาล้อมกรอบใบหน้าอ่อนละมุน และหากจะมีใครที่รู้จักพ่อของลูกชายเธอ พวกเขาก็จะไม่สงสัยเลยว่าชายใดที่เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ขึ้นมาเพราะทั้งคิ้ว ตา จมูก ปากไม่ผิดพ่อของแกเลยแม้แต่น้อย

    ทุกสิ่งรอบกายไม่เปิดโอกาสให้หล่อนลืมเขาได้เลย หากออกัสคือเหตุผลที่ทำให้เธอผ่านช่วงเวลาที่แสนเลวร้ายมาได้ เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอรู้ตัวว่ามีหนึ่งชีวิตน้อยๆอุบัติขึ้นในกายความเศร้า ความเสียใจที่เคยบีบรัดหัวใจก็ค่อยๆคลายออกแปรเปลี่ยนพลังงานล้นเหลือให้เธอต่อสู้และยืดหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง

    ลูกชายสุดที่รักของแม่ ที่พ่อเขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย!! แถมกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน คนที่เขารักและตัดสินแล้วว่าดีพร้อมคู่ควรกับชื่อเสียงเกียรติยศและวงศ์ตระกูลของเขา

    ...ซึ่งไม่มีทางเป็นเธอ!!

                พิมลดาเลี้ยงลูกมาด้วยความรัก ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเด็กคนอื่น คนที่เขาอาจจะมีทั้งพ่อและแม่ เขาจะรับรู้อยู่เสมอว่า เขามีทั้งคุณแม่พิมลดา คุณยายลินดา คุณตาจอร์ชและคุณลุงราล์ฟ ที่รักเขาหมดใจ ออกัสไม่ผิดดั่งแก้วตาดวงใจเพราะอย่างน้อยเขาก็เกิดมาจากความรักอย่างท่วมท้นของผู้เป็นแม่...

                พิมลดากอดประคองลูกน้อยเหมือนเป็นสิ่งล้ำค่าแห่งชีวิต ค่อยๆเปล่งเสียงเลียนสำเนียงของธรรมชาติที่ลมหนาวกำลังพัดพลิ้วส่งเสียงให้ได้ยินอยู่รำไร

                           

                อีกนานต่อมาเมื่อร่างกลมป้อมในอ้อมกอดหลับสนิท หญิงสาวผ่อนร่างลูกน้อยลงกับที่นอนหนานุ่มที่พร้อมให้ไออุ่นยามหลับใหล ก่อนจะเดินออกไปสมทบกับพี่เลี้ยงคนสนิทในห้องครัวที่เปิดโล่ง ติดกับห้องนั่งเล่นของอพาร์ทเมนท์ขนาดสามห้องนอนสองห้องน้ำในลอนดอนบ้านที่เธอต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจและพลังสมองมากมายไปกับมัน

                เธออยู่ที่นี่มาปีกว่าๆแล้ว คิดแล้วพิมลดาก็มองทุกอย่างที่เธอมีรอบตัวในชีวิตตอนนี้ก่อนรอยยิ้มที่อุ่นใจจะแตะแต้มที่มุมปาก ชีวิตเธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมากว่าสิบปีนับแต่พ่อแท้ๆของเธอจากโลกนี้ไป แม่ของเธอตัดสินใจมาลงทนทำธุรกิจเล็กๆที่นี่ ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้เธอได้กินอิ่มและมีการศึกษาที่ดีไม่น้อยหน้า ลูกหลานเมืองผู้ดี แต่แข็งเรือแข่งพายคงแข่งกันได้ แต่บุญพาวาสนานั้นคงแข่งขันกันยาก พอจบเกรดสิบสองเธอก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา

                พิมลดาไม่ใช่คนเหลวไหล แม่คอยพร่ำสอนสั่งเธอมาตลอดเวลาเรานั้นจน มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็เป็นได้เพียงพลเมืองชั้นสองของเขาเท่านั้น ไม่มีเงินมีทองมากพอให้มานั่งกินนอนกินหรือบินไปช็อปปิ้งที่ปาริสอย่างลูกคนไทย ท่านอื่นๆในลอนดอนทำกัน แต่แรงเงินที่จะให้เรียนต่อในมหาลัยในอังกฤษแถบเป็นไปไม่ได้เลยในเวลานั้น หญิงสาวจึงต้องคว้าโอกาสที่สวรรค์หยิบยื่นมาให้กับทุนการศึกษาที่มหาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งที่นั้นทำให้เธอได้พบกับผู้คนมากมาย รวมทั้งเขาคนนั้นด้วย

                เธอคงจะมีความสุขกว่านี้ ควรจะทำให้แม่ภูมิใจมากกว่านี้ แม้ผู้เป็นแม่จะไม่เคยติเจียนหรือต่อว่ากับสภาพ พ่อไม่มีพ่อหากพิมลดาก็รู้ดีว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนทำใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์กับเรื่องนี้ โดยเฉพาะคนไทยที่หัวใจยังคงความเป็นไทยอยู่ดั่งเช่นแม่ของเธอ

                หากในเวลานั้น ท่ามกลางบรรยากาศมืดมิดและสับสน หลังจากที่ต้องหนีห่างเพื่อนพ้องจากอเมริกาและแบกหน้ากลับลอนดอน สวรรค์ก็เหมือนประธานน้ำทิพย์มาสู่แม่ของเธอ อย่างที่แม่เคยบอกกับเธอเสมอว่าให้อดทน รอคอย ใจเย็น และเชื่อมั่นในปาฏิหาริย์ เพราะในวัยสี่สิบสองปีแม่ของเธอก็ได้เข้าพิธีแต่งงานครั้งที่สองในชีวิตกับเศรษฐีนักธุรกิจพันล้านปอนด์ หนุ่มใหญ่วัยกลางคนที่รักแม่เธอหมดหัวใจ...

                และนับจากนั้น ชีวิตของเธอก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เธอไม่ต้องอุ้มท้องแก่ใกล้คลอดไปหางานทำ ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อคลอดลูกที่ในต่างประเทศนั้น การมีลูกสักคนสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่มีแม้กระทั้งการรับรองบุตรจากพ่อเด็ก ไม่มีสวัสดิการใดๆสำหรับลูกในท้องเตรียมไว้ถือเป็นมูลค่ามหาศาล ที่ถ้าไม่ได้พ่อเลี้ยงของเธอเข้ามาเปลี่ยนชีวิตล่ะก็...เธอคงไม่พ้นต้องคลอดลูกตามสถานสงเคราะห์

                พิมลดาย้อนนึกถึงวัยเวลาแห่งความลำบากนั้นอย่างคลายกังวล เธอผ่านมันมาแล้ว ตอนนี้เธอเป็นแม่ผู้สามารถดูแลลูกและจัดสรรชีวิตตัวเองได้เป็นอย่างดี มีงานมีงานทำมั่นคงและมีสภาวะทางสังคมที่หลายๆคนต้องอิจฉากับโชคชะตาที่เล่นตลกแบบนี้

                ปลายเท้าจรดลงบนพื้นพรหมหนานุ่มที่ปูเป็นหย่อมๆตามจุดต่างๆของห้องครัวขนาดกลาง เธอเถียงกับแม่แทบตามเมื่อบอกว่าไม่ต้องการให้ปูพรหมตลอดทางเหมือนบ้านในอังกฤษทั่งไป เพียงเพราะเธออยากจะอวดลายไม้สวยๆ

                ป้ามิเชลค่ะ ออกัสหลับไปแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวค่ำๆเราค่อยปลุกให้มาทานข้าวเย็นก็ได้ค่ะ สงสัยจะเพลียเพราะเล่นซนมาทั้งวันแน่ๆพิมลดาพูดกับพี่เลี้ยงชาวอังกฤษวัยห้าสิบปีอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย

                “หลับเสียก็ดีแล้วค่ะ วันนี้คุณหนูซนมาทั้งวันอย่างที่คุณพิมว่า ป้าต้องฟังมิสซิสเคธี่ร่ายยาวเรื่องความซนของแก จนป้าเริ่มจะเห็นใจเลยค่ะแม้คำพูดอาจจะฟังเหมือนคำติ หากแววตายามที่กล่าวถึงเด็กชายที่เธอเฝ้าเลี้ยงดูมาแต่แรกเกิดนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

                พิมลดายิ้มอย่างพอจะเดาเรื่องออก “นี่แค่สามขวบเองนะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทั้งแสบทั้งซนขนาดนี้ มีหวังอนาคตพิมคงต้องเตรียมหายาดมยาหอม ให้อาจารย์ของแกเป็นของแถมตอนรับลูกเข้าเรียนด้วยแน่ๆ

                หญิงสูงวัยหัวเราะเสียงดังอย่างอดไม่ไหว เมื่อนึกภาพตามคำพูดของนายสาวที่เธอดูแลมาเป็นสิบปี ตัวพิมลดาและลูกชายของเธอก็ซนไม่ผิดกันเท่าไรนัก

                ...หากโชคชะตาของนายสาวต่างหากที่น่าสงสารเสียเหลือเกิน ถ้าเมื่อหลายปีก่อนเธอดูแลคุณพิมดีๆ และทุกฝีก้าวตามที่คุณลินดาสั่งเอาไว้ ทุกอย่างอาจจะไม่เป็นเช่นวันนี้ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจากหญิงสาววัยรุ่นกลายมาเป็นคุณแม่วัยสาวที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์ หากดวงตาคู่กลมโตของนายสาวไม่เคยแอบซ่อนความรู้สึกจากคนใกล้ชิดอย่างเธอได้มิด ขอบดวงตาที่บวมช้ำกับแววตาที่หม่นแสงเหมือนดวงตะวันที่ใกล้ลับเส้นขอบฟ้า

                สวยงามจับตาหากน่าเวทนาเหลือทน!!

                            พิมลดามองสบดวงตาสีซีดที่มองตรงมาอย่างเข้าใจ เธอรู้ว่าในสายตาของหญิงสูงวัยยังคงเห็นว่าเธอควรจะได้แต่งงานและมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ใช่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเลี้ยงดูสามชีวิตเพียงลำพังเช่นทุกวันนี้ หากแต่สำหรับเธอมันสายเกินไปเสียแล้วกับการคิดย้อนหลัง หญิงสาวถอนใจเบาๆก่อนกล่าวกับพี่เลี้ยงคนสนิท

                ป้าว่าวันนี้คุณแม่กับจอร์ชจะแวะมาทานมื้อค่ำกับเราไหมคะ ในเมื่อพายุหิมะยังคงกระหน่ำลอนดอนหนักขนานนี้พิมลดาถาม เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นหิมะตกหนาตา ขาวโพลนไปทั่วกรุงลอนดอนยิ่งทำให้อากาศชื้นแฉะมากขึ้นไปอีก

                เจ้าของชื่อหันกลับไปให้ความสนใจพาสต้ารสเยี่ยมที่ส่งกลิ่นหอมอบกรุ่นถึงกับอมยิ้มกับการเปลี่ยนเรื่องของนายสาว ป้าว่าคงไม่เพียงแค่คุณลิดดากับจอร์ชนะคะ ที่จะมาทานอาหารค่ำกับคุณ หากป้ายังมั่นใจด้วยว่าพ่อคาสโนวารูปหล่ออย่างราล์ฟจะต้องตามมาด้วยแน่ๆ

                พิมลดายิ้มกับสรรพนานเรียก ราล์ฟของมิเชลเพราะเมื่อวานนี้เองที่ ราล์ฟ แบรทเวล ได้รับการกล่าวขวัญในวงการธุรกิจอย่างมากเพราะบริษัทซอฟแวร์ที่ประสบความสำเร็จในยุโรปและอเมริกาของเขากำลังจะตีตลาดเอเชียที่สำคัญนอกจากการเป็นนักธุรกิจรูปงามที่เก่งกาจแล้ว หากเขายังเป็นดั่งคาสโนวายุคนาโนของลอนดอนกันเลยทีเดียว

                พิมลดายิ้มสดใส เมื่อกล่าวถึงพี่ชายคนนี้  “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะยุ่งๆเรื่องการบุกตลาดเอเชียนะคะ สาวๆที่ญี่ปุ่นคงทำเขาคลั่งได้เลยล่ะค่ะ

                พิมลดาหัวเราะอย่างนึกขำจริงๆเมื่อพูดจบเพราะเป็นที่รู้กันดีว่าหนุ่มๆวัยคะนองหลายคนต่างใฝ่ฝันถึงสาวๆ สวยๆ ที่แสนอ่อนหวานและพร้อมเอาอกเอาใจดั่งพวกเขาเป็นพระเจ้าเหมือนในภาพยนตร์เรื่องเกอิชาแน่ๆ

                หากหญิงสูงวัยไม่สนใจคำกล่าวของนายสาวยังคงยืนยันในสิ่งที่ตนคิด ก็เพราะว่าที่ผ่านมาเขายุ่งน่ะสิคะ วันนี้เขาถึงต้องมาแน่ๆ

               พิมลดาหยุดหัวเราะจ้องมองหลังพี่เลี้ยงอย่างเอาเป็นเอาตาย แปลกป้ารู้อะไรที่พิมไม่รู้รึเปล่าคะ ถึงได้แน่ใจนัก

                แหมคุณพิมค่ะ ป้าจะไปรู้อะไรมากกว่าที่คุณพิมอยากให้รู้ได้ยังไงล่ะ มิเชลหันกลับมาสบดวงตาคู่สีน้ำตาลใสของนายสาวอย่างล้อเลียน

                พิมลดาเบือนหน้าหนี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าพี่ชายลูกติดของจอร์ช พ่อหม้ายชาวอังกฤษที่แต่งงานกับแม่ของเธอด้วยความรักเมื่อสี่ปีก่อน หลงรักลูกสาวของแม่เลี้ยงเข้าอย่างจัง และทุกอย่างควรจะไปได้ดีกว่านี้ หากผู้หญิงคนนั้นไม่ได้กำลังตั้งท้องห้าเดือน อย่างที่เธอเป็นอยู่เมื่อพบเขา

                แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว เพราะพิมลดารู้ดีว่าราล์ฟแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะได้เป็นพ่อของลูกเธอ แต่มันไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้ ในเมื่อพ่อแท้ๆของลูกยังมีชีวิตอยู่และยังคงเป็นชายเพียงคนเดียวที่เธอรักหมดหัวใจ ราล์ฟเป็นคนดีเกินกว่าที่จะมาเสียเวลากับคนอย่างเธอ เขาคู่ควรกับผู้หญิงที่จะรักเขาเพียงคนเดียวเช่นกัน และเธอรู้ดียิ่งกว่าใครว่าไม่มีทางรักเขาได้อย่างที่เขารักเธอ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย...

     

                ‘ตื้ด ตื้ด’ ‘ตื้ด ตื้ด เสียงสัญญาณออดดังขึ้นมาจากประตูชั้นล่างของอพาร์ทเมนท์ของพิมลดาเมื่อเวลาสองทุ่มกว่าๆ ร่างในชุดผ้ากันเปื้อนสีฟ้าสดใส ในมือถือตะหลิวไม้เดินไปที่หน้าประตูห้องอย่างรีบร้อน ก่อนจะกดเอ็นเตอร์โฟน เพื่อสนทนากับผู้มาเยี่ยมเยือนยามวิกาล

                เฮลโหล นั่นใครคะ ?”เสียงใสๆทักออกไปเป็นภาษาอังกฤษอย่างคุ้นเคย

                แม่เองจ๊ะ พิมเปิดประตูเร็วๆหน่อย แม่กับจอร์ชจะแข็งตายอยู่แล้วลูกคุณลินดาตะโกนภาษาไทยตอบกลับมาทันที

                พิมลดาหัวเราะ ก่อนจะกดปุ่มที่แป้นเอ็นเตอร์โฟน เป็นการเปิดประตูชั้นล่างเพื่อให้ผู้มาเยือนขึ้นมาสู่ห้องพักของเธอ และไม่ลืมที่จะปลดล็อกประตูไม้บานใหญ่ที่ปกติจะล็อกไว้อีกชั้นหนึ่งเสมอ ด้วยความที่เธออยู่กันเพียงเด็กและผู้หญิง การล็อกประตูหน้าต่างให้แน่นหนาก็ช่วยให้เบาใจขึ้นมาบ้าง

                ไม่ถึงสามนาที ประตูไม้ใหญ่ก็ถูกเคาะ ก่อนเปิดเข้ามาพร้อมปรากฏสองร่างของชายหญิงสูงวัย

                “สวัสดีค่ะแม่ เดินทางสะดวกไหมค่ะจอร์ช”พิมลดาทักทายแม่และพ่อเลี้ยงอย่างเป็นกันเอง

                “ก็ดีนะหนูพิม เสียแต่หิมะลงหนักไปหน่อย”ชายสูงวัยที่กำลังถอดเสื้อโค้ทหนังให้กับผู้เป็นภรรยาตอบ

                “ไงยัยพิม พ่อจอมซนไปไหนเสียล่ะ บ้านเงียบเชียว”ผู้เป็นแม่ถามลูกสาว ใบหน้าที่ถูกตกแต่งอย่างดีดูงดงามแม้จะเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน 

                “หลับไปแต่เย็นค่ะแม่ ตามสบายเลยนะคะแม่”พิมลดาตอบผู้เป็นแม่พร้อมรอยยิ้มก่อนหลบไปช่วยพี่เลี้ยงคนสนิทเตรียมอาหารต่อ เลยไม่เห็นว่ามีใครอีกคนที่เดินผ่านประตูห้องเขามาสมทบกับแม่และพ่อเลี้ยงของเธอพร้อมกล่องของเล่นใบใหญ่

                อาหารตั้งโต๊ะพร้อมทานเรียบร้อยแล้ว เมื่อลินดาและจอร์ช แบรทเวลนั่งลงบนเก้าอี้พนักสูงทำจากไม้สัก โคมไฟระย้าที่สาดแสงอยู่เหนือโต๊ะอาหารตกกระทบห่อกล่องขนมและของเล่นหลายชิ้นสำหรับหลายชายคนโปรดจนดูแวววาวเหมือนของขวัญในชาววันคริสมาสซ์ไม่มีผิด

                หากยังไม่ทันที่พิมลดาจะเอ่ยปากพูดกับแม่และพ่อเลี้ยงเรื่องของขวัญที่มากมายเกินไป เสียงลูกชายสุดที่รักก็ดังมาจากในห้องนอนใหญ่ของเธออย่างที่ทำให้รู้ว่าคนเป็นลูกกำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจแค่ไหน

                ว้าว! ลุงราล์ฟฮะ นี่เป็นรถบังคับที่เยี่ยมที่สุดเลยฮะ ต้องเอาไปอวดคุณแม่หน่อยแล้ว บรื้นๆเสียงดังตึงตังมาตามทางเดิน ก่อนร่างป้อมๆของเจ้าจอมซนจะวิ่งเข้ามากอดหญิงสาวผู้เป็นแม่ พร้อมอวดรถบังคับขันใหญ่ที่คงจะมีลูกเล่นมากมายเมื่อคนซื้อเป็นถึงเจ้าของ บริษัทซอฟแวร์ยักษ์ใหญ่เช่นนี้

                คุณแม่ฮะ ดูนี่สิฮะ ลุงราล์ฟซื้อมาฝากจากญี่ปุ่นเชียวนะฮะ มันสวยแถมยังเร็วมากด้วยฮะ

                จ้าๆแม่รู้แล้วล่ะ ว่าลูกถูกใจของที่ลุงราล์ฟซื้อมาฝากมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เราต้องวางมันก่อนแล้วล่ะจ๊ะ เพราะคุณตา คุณยายก็มาลูกเห็นไหมคะพิมลดาเตือนลูกชายเสียงเข้ม เพราะสอนกันมาตลอดตั้งแต่เริ่มพูดกันรู้เรื่อง ว่าเมื่อคุณตา คุณยายอยู่ด้วยนั้น ต้องทำความเคารพด้วยการสวัสดีเป็นภาษาไทย เพราะอย่างไรเสียลูกชายของเธอก็มีแม่เป็นคนไทยและพ่อของเขาก็เป็นคนไทยเช่นกัน

                หนูน้อยออกัสหรือที่มีชื่อจริงเป็นภาษาไทยว่า อัษฎาวุธ ภัคติรกุล พนมมือของตัวเองที่อกก่อนจะก้มลงสวัสดี อย่างที่คุณแม่เคยสอนอยู่ทุกวัน ริมฝีบางอวบอิ่มดูน่ารักเปล่งเสียงทักทายเป็นภาษาไทยแปร่งๆที่เรียกรอยยิ้ม ได้จากทุกคน

                สา หวัด ดี ฮะ

                พิมลดายิ้มเพราะเข้าใจดีว่าคำศัพท์ที่ออกเสียงยากๆ ก็ยากที่จะฝึกให้เด็กวัยสามขวบพูดให้ชัดถ่อยชัดคำได้ และหลังจากนั้นก็เป็นรายการกอดและหอมด้วยความรักจากทั้งคุณตาและคุณยายกับหลานชายตัวเล็กๆ

                ภาพที่เห็นทำให้ดวงหน้าที่สวยอมเศร้านั้นดูสดใสและงดงามยิ่งกว่าภาพใด และรอยยิ้มแจ่มใสก็ยังเผื่อแผ่มาถึง ราล์ฟ แบรทเวลที่กำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาหวานซึ้ง หากก็เหมือนกับทุกๆครั้งทีพิมลดาเลือกที่จะไม่สนใจความในของมัน ...แต่ไม่ใช่ว่าเธอไม่รับรู้

                ทานอาหารกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด มิเชลเรียกความสนใจของทุกคน เมื่อยกพาสต้าและขนมบังกรอบอบพามิซานชีส ใส่จานของทุกๆคน แล้วการรับประทานอาหารค่ำที่แสนอร่อยก็เริ่มต้นขึ้นอย่างง่ายๆ และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

      

                เมื่อโต๊ะอาหารถูกเก็บและทำความสะอาดภาชนะเรียบร้อยแล้ว มิเชลก็จัดการพาหนูน้อยจอมซนที่ทำท่าจะเกเรไม่อยากอาบน้ำไปทำความสะอาดเนื้อตัวสุดมอมแมม ปล่อยให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนได้มีโอกาสพูดคุยกันอย่างสงบๆเสียบ้าง

                คุณลินดาเลือกที่จะเป็นผู้เปิดประเด็นหลังอาหารเป็นคนแรกเช่นเคย แม่ถามจริงๆนะ เมื่อไหร่แกจะไปอยู่กับแม่ที่บ้าน จะมาอยู่กับลูกสองคนอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ถึงแม่จะแต่งงานใหม่แล้ว แต่แม่ก็ยังเป็นแม่ของแกนะ

                คำตอบจากลูกสาวคนสวยก็ไม่เคยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น โธ่!แม่คะ พิมน่ะ...อายุเข้าเบญจเพสแล้วนะคะ ลูกก็หนึ่งหน่อแล้ว พิมดูแลตัวเองได้ค่ะแม่

                เพราะเธอไม่ใช่เด็กสาวที่ต้องการเกราะกำบังจากผู้เป็นแม่อีกแล้ว แต่หากในสายตาของคนเป็นแม่ ลูก ต่อให้โตแค่ไหน มีคุณวุฒิภาวะมากมายเพียงใด ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกางปีกแห่งรักปกปักรักษาเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากความน้อยใจจะบังเกิดเมื่อความรักความหวังดีถูกเมินเฉย มากเข้าหลายๆครั้งมันก็ทำให้ตวามรักและหวังดีแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธได้เหมือนกัน

                ใช่สิ! มีลูกสาวเขาก็ว่าเลี้ยงได้แต่ตัว นี่ก็เป็นประโยคที่คุณลินดาใช้ค่อนแคะลูกสาวมาตลอดเช่นกัน

               หากพิมลดาเพียงยิ้ม โอบแขนไปรอบร่างผู้เป็นแม่อย่างแสดงชัดถึงความรักและความเข้าใจ

                แม่คะ...อย่าโกรธลูกคนนี้เลยนะคะ เพราะว่าแม่เลี้ยงพิมมาดี สอนให้เติบโตมาอย่างคนเข้มแข็ง ลูกแม่ไม่มีใครมาทำอะไรได้ง่ายๆหรอกค่ะ”หญิงสาวบอก ใบหน้างามสบอยู่กับไหล่บางของผู้เป็นแม่ “ที่สำคัญพิมรักแม่ รักออกัสมากที่สุดในโลกเลยรู้ไหมคะ

                จอร์ชและราล์ฟ แบรทเวลยิ้มอยู่ในหน้าเมื่อมองพิมลดากอดจูบผู้เป็นแม่อย่างงอนง้อรักใคร่ เพราะถึงแม้จะเป็นภาพที่ชินตาพวกเขามากแค่ไหน หากทุกครั้งที่ได้เห็นก็อดที่จะอมยิ้มไปกับความรักของสองแม่ลูกไม่ได้

                เอาเถอะลิน หนูพิมเขาก็โตแล้ว และเขาก็กลับบ้านบ่อยกว่าที่เราสองคนมาเยี่ยมเขาเสียอีกจอร์ชว่าก่อนจะได้รับค้อนวงใหญ่จากภรรยาชาวไทยสุดที่รักเป็นการตอบแทน

                คุณก็ชอบเข้าข้างไอ้พิมมันเสียทุกเรื่อง ลูกลินจะเสียผู้เสียคนเพราะคุณ ตามใจกันนัก!”หางเสียงน้ำหนักอย่างหมั่นไส้เต็มทน

                จอร์ชหัวเราะ ก่อนจะหันไปทางลูกชายวัยสามสิบปีของเขาที่ชีวิตส่วนตัวดูจะไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายอะไรเท่าไรนัก เขาทราบว่าลูกชายของเขาแอบรัก แอบชอบพิมลดาลูกติดภรรยาของเขามาตั้งแต่แรกเห็น และถ้าหากลูกชายของเขาคิดจะแต่งงานกับหนูพิม เขาก็จะไม่ค้านเลย...เต็มใจเสียด้วยซ้ำ

                แต่ก็มีหลายครั้งที่เขามองทั้งสองคนไม่ออกเลยจริงๆ ลูกชายเขาน่ะ ไม่ต้องพูดหรอก แค่มองตาก็รู้แล้วว่ารักหนูพิม แต่หนูพิมคนสวยสิ...ไม่มีท่าทางจะโอนเอียงมาทางนี้บางเลย ทั้งๆที่ทุกอย่างมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว

                ยิ่งช่วงนี้ยิ่งน่าหนักใจ หนังสือพิมพ์ลงพาดหัวข่าวถึงพฤติกรรมเปลี่ยนคู่ควงเหมือนเป็นถุงเท้าของลูกชายเขาชนิดรายวัน แล้วแบบนี้หนูพิมจะรักมันได้อย่างไร หรือลูกชายของเขาก็อาจจะกำลังสติไม่สมประกอบเกิดปัญญาอ่อนขึ้นมาถึงได้เลิกรักเลิกหลงหนูพิมแล้ว

               ราล์ฟ วันนี้อลิซแฟนแกเขาไปเดินแบบหรือไง ถึงได้ปล่อยให้แกมาทานข้าวกับครอบครัวได้ผู้เป็นพ่อถามลูกชายตัวดีเสียงเข้ม ไม่วายพาดพิงไปถึงนางแบบซุปเปอร์โมเดล คู่ควงหมาดๆของลูกชาย

                ใบหน้าคมคายที่เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ถึงกับแดงก่ำขึ้นมาทันทีด้วยความรู้สึกหลายประการ  

                โธ่! ทำไมพ่อต้องถามถึงผู้หญิงอื่นตอนนี้ด้วยนะ... ถึงแม้เขาจะแน่ใจอยู่แล้วว่า พิมลดาคงจะได้อ่านเรื่องไร้สาระของเขาจากแท็บลอยที่ลงข่าวไม่เว้นแต่ล่ะวัน แต่การที่ต้องมาตอบคำถามถึงคู่ควงฉาบฉวยของเขาต่อหน้าผู้หญิงที่เขารักก็ สร้างความลำบากใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความเงียบจึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกปฏิบัติที่สุดในเวลานี้

                หากประโยคต่อมาที่ออกจากปากของพิมลดาต่างหาก ที่ทำให้เขาแถบอยากจะหายตัวไปเสียเลย...และไม่มีทางที่เขาจะทนทำเป็นเงียบอยู่ได้

                อ้าวอลิซเหรอคะ พิมคิดว่าราล์ฟกำลังเดทกับเจนนิเฟอร์ พอร์ลตั้นเสียอีกพิมลดาเอ่ยถึงแม่หม้ายสาวสังคม ที่ในวงการเซเล็บบิตี้ของลอนดอนต่างรู้กันดีว่า แรงแค่ไหน

                ผมไม่ได้เดทกับใครทั้งนั้นแหละ!”ชายหนุ่มแก้ตัวหน้าแดง ก่อนกล่าวเสียงอ่อนลง “กับเลดี้เจนนิเฟอร์น่ะ เราแค่ติดต่องานร่วมกัน ส่วนอลิซเขาก็แค่เพื่อนคนหนึ่ง

                เพื่อนนอน นั่นคือความเป็นจริง หากให้ตายเขาก็ไม่เอาผู้หญิงมานินทาแน่ๆ และเขาถือว่าอย่างไรเสียการกินในที่ลับของเขาก็ไม่ควรเอามาไข่ในที่แจ้ง โดยเฉพาะถ้าที่แจ้งนั้นมีพิมลดาอยู่ด้วยล่ะก็...ยิ่งไม่ควรเข้าไปใหญ่!

                เพื่อนคุณเนี่ย สาวๆสวยๆทั้งนั้นเลยนะคะราล์ฟ ว่างๆไปขอแรงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์บริษัทให้ฟรีๆบ้างสิพิมลดาแนะนำยิ้มๆ พิมลดาเป็นกรรมการผู้จักการคนหนึ่งของ โปรเวดดิ้งฟอร์เลิฟเอ็นเตอร์เทนเมนท์ บริษัทประสานงานและให้บริการจัดงานแต่งงานชั้นนำแห่งหนึ่งของโลกที่คู่รักดารานักร้องและไฮโซทั่วโลกต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ที่ขยับขยายมาจากธุรกิจตัดเย็บชุดแต่งงานเล็กๆของแม่เธอ ที่ปัจจุบันด้วยเงินลงทุนที่มีมากขึ้น ทำให้สามารถแต่งเติมเสริมยอดความฝันมาได้ไกลขนาดนี้

                “ขอนางเพื่อนนางแบบคนที่ชื่อลิเดียร์นะคะ รายนั้นพิมเคยเห็นเขาถ่ายชุดเจ้าสาวในนิตยสารมาแล้วครั้งหนึ่ง สวยอย่างกลับเจ้าหญิงเชียวคะ...อลิซเพื่อนใหม่คุณก็สวยนะ แต่พิมว่าเธอเปรี้ยวไปหน่อย แต่งชุดผ้าลูกไม้สีขาวๆคงไม่ค่อยขึ้น เดี่ยวไม่ตรงคอนเซ็ปต์”ในหัวพิมลดายามนี้มีแต่เรื่องงานเท่านั้นจริงๆ หากแต่ผู้ฟังทุกคนยิ้มอยู่ในหน้าเพราะต่างทราบดีว่าอะไรเป็นอะไรและต่างรู้ดีแก่ใจว่าผลสุดท้ายมันจะจบลงรูปแบบใด

                หากมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังสับสนในตัวเองอย่างรุนแรงนั่นคือ ราล์ฟ แบรทเวล เขากำลังสงสัยในตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าพักนี้เขากำลังทำตัวแปลกไปจากเดิม แน่นอนว่าเขาไม่ใช่หนุ่มน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ หากการประพฤติตนเยี่ยงหนุ่มเสเพลก็ไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเขา ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงทำเรื่องโง่ๆแบบนี้ หลายครั้งที่เขาพยายามทบทวนว่าเพราะอะไรเขาถึงเริ่มออกเดทกับพวกนางแบบสาวๆ สวยๆที่พร้อมจะเป็นข่าวกับผู้ชายรวยๆได้ทุกเมื่อ

                และหากยอมรับกับตัวเองสักหน่อย เขาก็คิดว่าตัวเองรู้ดีทีเดียวว่าที่เขาสับสนก็เพราะคำตอบที่เขาไม่อยากจะ ยอมรับมัน เขาอยากให้พิมลดาหึงหรืออย่างน้อยก็สนใจสิ่งที่เขาทำบ้าง ไม่ใช่แต่เพียงรับรู้มันด้วยรอยยิ้มและพร้อมที่จะเข้าใจการกระทำของเขาอย่างเพื่อนเข้าใจเพื่อน อย่างน้องเข้าใจพี่ชาย...

                ...นี่เขาหวังมากเกินไปมาตั้งแต่ต้นรึเปล่า พิมลดาไม่หึงไม่หวงไม่ได้มีใจเอนเอียงมาทางเขาบ้างเลยใช่ไหม...

                หากเขาไม่โกหกตัวเองคำตอบคือ ใช่ พิมลดาไม่เคยมีพื้นที่ในหัวใจหลงเหลือให้ใคร สำหรับเธอเขาเป็นได้แค่เพียงพี่ชายที่ดีที่สุด เป็นคุณลุงที่น่ารักที่สุดสำหรับลูกชายตัวน้อยที่น่ารักของเธอด้วย หลายครั้งที่เขาอยากจะยอมแพ้ แต่ในเมื่อเจ้าของพื้นที่ในหัวใจของเธอไม่เคยหวนกลับมา เขาก็บอกตัวเองเสมอว่ายังไม่หมดหวัง และบางทีเขาอาจจะต้องเลิกทำตัวเสเพลได้แล้ว ก่อนที่มันจะสายเกินแก้

                “ผมว่าเรามาคุยเรื่องที่สำคัญกว่าใต้สะดื้อของผมกันดีไหม”ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี

               เพราะหัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปทำให้บรรยากาศการพูดคุยเริ่มสนุกสนานมากยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะราล์ฟที่ยินดีอย่างยิ่ง เมื่อกล่าวถึงการประสบความสำเร็จของ แบรทเวลคอมมูนิเคชั่นเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ในการบุกตลาดเอเชียที่เขาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและกำลังเปิดบริษัทลูกในหลายประเทศแถบนั้น

                ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน มาเลเซีย เกาหลีและไทยยกเว้นจีนและสิงคโปร์ ซึ่งเขาได้บุกตลาดไอทีและซอฟแวร์ของที่นั้นสำเร็จไปแล้วตั้งแต่สองปีก่อน

                ตอนนี้ตลาดที่น่าสนใจที่สุด เห็นจะเป็นประเทศไทยครับ เพราะในขณะที่ระบบการให้บริการทางเครือค่ายอินเตอร์เน็ตและซอฟแวร์ของเรา อยู่ในระดับเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ แต่เรามีอัตราค่าบริการที่ถูกกว่า และการติดต่อใช้งานที่สะดวกกว่า ซึ่งทำให้การให้บริการของเราเข้าตาและถูกใจกระเป๋าเงินพวกเขามากที่เดียว ผมคิดจะลงไปบุกตลาดไอทีที่นั่นเร็วๆนี้แหละ

                ผู้เป็นพ่อมองภรรยาชาวไทยและลูกเลี้ยงอย่างใช่ความคิด ก่อนจะเสนอสิ่งที่คิดว่าเป็นสุดยอดไอเดียออกไป

                งั้นก็วิเศษไปเลย! พ่อว่าไหนๆก็จะไปเปิดบริษัทที่นั่นแล้ว พวกเราก็ถือโอกาสไปพักผ่อนเสียเลยเป็นไง คุณลินดากับหนูพิมคงอย่างกลับไปเยี่ยมเมืองไทยบ้างเหมือนกัน

                คุณลินดายิ้มอย่างปิติที่สามีสุดที่รักนึกถึงความสุขของเธอและครอบครับเป็นอย่างแรก ดีสิค่ะ คิดถึงเมืองไทยเหมือนกัน มัวแต่ทำธุรกิจอยู่ที่นี่ตั้งแต่พิมเพิ่งเข้าไฮสคูล ถ้ากลับไปคราวนี้บ้านเมืองคงจะเจริญขึ้นผิดตานะคะ

                พิมลดานิ่งจะกลับไปเพื่อให้ได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่อยากรู้ทำไม ในสังคมแคบๆของกรุงเทพมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวของเขาเลย เพราะสมัยเรียนที่สแตนฟอร์ด เธอมีเพื่อนชาวไทยอยู่หลายคนและอาจมีสี่หรือห้าคนที่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

                            งานเลี้ยงอำลานักศึกษาปริญญาโทผู้ที่ได้เกรียตินิยมอันดับหนึ่งจากสแตนฟอร์ด อัศวิน สินธุพรรณ ชายหนุ่มรูปงามที่หายตัวไปกับหญิงสาวรุ่นน้องร่วมสถาบันในยามค่ำคืน เสียงลือเสียงเล่ากล่าวขวัญถึงความสัมพันธ์ยามค่ำคืนที่ผู้คนแต่งเติมจินตนาการลงไปอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าที่คนเหล่านั้นคิดไม่ผิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นนัก หากไม่มีใครคิดว่าค่ำคืนที่สุขสมจะจบลงด้วยหยาดน้ำตาและความอาดูร

                แต่ลึกลงไปในใจพิมลดาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธออยากกลับไปพบเขาอีกสักครั้ง ความอยากรู้ตัวดีนั่นแหละ ที่ทำให้เธอไม่สามารถเอ่ยวาจาคัดค้านผู้เป็นแม่ เมื่อถูกถามความสมัครใจจากท่านในการไปเมืองไทยต้นเดือนหน้า เมื่อการปิดคอร์สเรียนเสริมของหลานชายสุดที่รักจบลง ไม่แม้แต่จะคัดค้านใดๆ เพราะความอยากรู้เข้ามาแทนที่อยู่เต็มหัวใจ

                ...ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ไหม หากเมื่อสี่ปีก่อน พี่วินรู้ว่าเธอท้องกับเขา จะถึงกับตีอกชกหัวเลยไหม เมื่อพบผู้หญิงที่เขาประจานว่า ร่านผู้ชายกำลังอุ้มลูกชายของเขาอยู่

                เธออยากรู้เหลือเกิน

     

    ~~~~~~~~~~~~~~~


    โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยนะค่ะ....

    (อ่านต่อเลยจ๊ะ ทุกคน)


    ปล.มุมคุยกับผู้อ่าน
         
          ตอนนี้อันนารีไรท์ใหม่แล้วนะค่ะ ระหว่างคิดอะไรไม่ออก555+ ก็ดีขึ้นนะค่ะ ใครที่เข้ามาอ่านใหม่ๆ ก็สบายตาไปหน่อยหนึ่ง และก็กราบสวัสดี... อ่อ... สวัสดีเฉยๆก้พอ5555+ ทุกๆคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะค่ะ มีอะไรอยากจะติด อยากจะแนะนำ ชื่นชม ต่อว่า อันนาก็ยินดีรับฟังเสมอค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามจริงๆนะค่ะ ยินดีมากๆ ที่ได้คุยได้รู้จักทุกคน นิยายเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สองในชีวิต ที่ลงมือแต่ง... (เรื่องเรกก็ยังไม่จบ)55555+ แหม แต่ก็นับเป็นเรื่องที่สองล่ะค่ะ อิอิ ใช่ไหม 5555+
    ขอคอมเมนท์ + โหวตด้วยนะค่ะ
    ขอบคุณค่ะทุกคน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×