ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : สัญญาเมื่อวัยเยาว์
“ ทางนี้เรน...  ทางนี้ ”
เสียงกังวานหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นในม่านหมอกบางของยามเช้าตรู่
“ ข้าอยู่นี่...  เร็วๆ  สิแหม! เจ้านี่ชักช้าเสียจริง ”
“ ก็รีบอยู่นี่ไงอย่าเร่งสิ ” เฟอร์โรเรนร้องตอบไป “ เจ้าอะไรจะให้ข้าดูเหรอ  ถึงได้พามาที่นี่ ” เขากวาดสายตามองไปรอบๆ  ตัวซึ่งเป็นสะพานไม้โค้งข้ามธารน้ำใสสายเล็กๆ  มองเห็นก้อนกรวดกับปลาใหญ่น้อยแหวกว่ายเล่นกอบัวและสาหร่ายริมน้ำ
“ อุ๊ย! ”    
“ เป็นไงล่ะอยากรีบดีนัก  คงล่ะหกล้มล่ะสิ ”  เฟอร์โรเรนแกล้งว่าพร้อมกับออกวิ่งเหยาะๆ  จนเมื่อสายหมอกจางลงภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือ เด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวสิบสองปี  นัยน์ตากลมโตหวานกับเรือนผมสีอ่อนถักเป็นเปียคู่ผูกโบว์สีชมพูดูน่ารักน่า ทะนุถนอมเหมือนตุ๊กตา  เธอถูกเด็กชายท่าทางแก่นแก้วกลุ่มหนึ่งจับไว้และแกล้งโดยการเอาตุ๊กตาหมีของเธอไป 
“ อยากได้ก็มาเอาคืนสิยัยเด็กโง่ ”
“ อย่าแกล้งยามิวนะ ” เฟอร์โรเรนพูดสียงดังพร้อมกับก้าวเข้าอย่างไม่กลัวเกรง  ทั้งที่สูงไม่ถึงไหล่ของเด็กชายคนที่เตี้ยที่สุดในกลุ่มด้วยซ้ำ
“ อย่านะเรน  พวกมันตัวใหญ่กว่าเธอตั้งเยอะ ” ยามิวร้องบอก
“ โอ๊ะ โอ๋!! เจ้าเด็กน้อยเรนตัวกระเปี๊ยกคิดสู้โว้ย! ” เด็กคนหนึ่งร้องขึ้นพร้อมกับหัวเราะร่า “ ลองทำอะไรข้าที่เป็นลูกหัวหน้าหมู่บ้านดูสิ  ข้าจะให้ท่านพ่อโยนเจ้ากับตาแก่ขาเป๋ฮาร์ริสลุงของเจ้าออกไปให้พ้นหมู่บ้าน ”
เฟอร์โรเรนดึงตุ๊กตาส่งคืนให้ยามิว  เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้มีเจตนาจะแกล้งเธอตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่จะใช้เป็นตัวล่อเพื่อนสนิทอย่างเขาให้โกรธก็เท่านั้น
“ ถึงขาจะเป๋แต่ลุงข้าก็เก่งละกัน ”
“ เก่งยังไงก็สู้พ่อข้าที่เคยเข้าร่วมไล่ล่าคนทรยศเฟอร์รันนั่นไม่ได้หรอก ” เด็กชายว่า “ จริงๆ  เลยนะ  ใครๆ  เขาก็ว่าพ่อมดนั่นน่านับถือแต่ข้าว่าคนทรยศต่อเผ่าพันธุ์แบบนั้นน่าจะตายๆ  ไปพร้อมกับลูกชั่วของมันนั่นแหละ  ไอ้บ้าสิงห์ซ้ายซิริอัสนั่นยิ่งแล้วใหญ่  โง่จริงๆ  ที่ลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพเพื่อพาเด็กนั่นหนีไป  ไม่กลัวคำสาปสายเลือดตามจองล้างจองผลาญบ้างหรือไงก็ไม่รู้  ป่านนี้คงไปนอนตายอดโซเหมือนหมาข้างทางสมชื่อมันนั่นแหละ... ”
พลั่ก!!!
หมัดขวาตรงสวนเข้าที่แสกหน้าก่อนที่จะทันพูดจบประโยค
“ เจ้าว่าใครเหมือนหมานะ ” เฟอร์โรเรนถามเด็กชายที่นั่งจ้นจ้ำเป้ากุมแก้มซ้ายที่เป็นรอยช้ำไว้แน่น “ แล้วใครกันที่สมควรตาย...  ” 
“ นี่เจ้ากล้าต่อยข้าเหรอ!! ” เด็กชายพูดพร้อมกับแหกปากร้องไห้ลั่นก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไป  ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง
“ ไม่เอาน่าคุณหนู  แค่เล่นๆ  กันเจ็บนิดหน่อยก็ต้องทนสิครับ ”
“ ไม่ได้นะ!  เจ้าต้องลงโทษมันโทษฐานที่มาแกล้งข้า  ไม่งั้นข้าไม่ยอมจริงๆ  ด้วย  แล้วข้าจะไปฟ้องท่านพ่อให้ไล่พวกเจ้าออกให้หมด ”
“ คร้าบบบ !!  นายน้อย ” บรรดาพี่เลี้ยงรับคำอย่างนึกระอาก่อนจะคุกเข่าลงข้างหน้าเขา “ เจ้าเปี๊ยกนี่ก็แน่ไม่เบาแฮะที่กล้า...  ” เขาพูดพร้อมกับเสยผมเฟอร์โรเรนขึ้นขยี้อย่างเอ็นดู  แต่เมื่อเส้นผมม้าสีเข้มถูกปัดให้พ้นตา  ทุกคนก็ได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ส่องประกายกล้าด้วยความโกรธเกรี้ยว 
“ เฮ้ย!!...  ” ใครคนหนึ่งอุทานลั่นพร้อมกับก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ
“ นัยน์ตาสีน้ำเงิน...  นี่มันสัญลักษณ์ของพวกพ่อมดนี่นา !!  ”
“ หรือว่า...  หรือว่า...  ”
จู่ๆ  ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นกลางดึกที่เงียบสงัดในตรอกเล็กแคบสกปรก  ตัวเขากำลังนั่งแอบอยู่หลังถังขยะสดที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นโชยคละคลุ้ง  ข้างกันนั้นคือเด็กหญิงเมื่อตอนกลางวันที่เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่แพ้กัน
“ ไม่ต้องกลัวนะเรน  แอบอยู่ที่นี่รับรองไม่มีใครเห็นเราหรอก ” ยามิวให้กำลังใจ
“ อืม... ” เฟอร์โรเรนรับคำเบาๆ  “ นี่ยามิว...  ถ้าวันนี้ข้ารอดจากที่นี่ไปได้ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกกับเจ้าได้ไหม...  ”
“ ไม่!! ” เด็กหญิงตอบทันควันพร้อมกับค้อนควับ
เฟอร์โรเรนหน้าเจื่อน  เขาชันเข่าขึ้นและซุกหน้านิ่งเมื่อปลายนิ้วเล็กๆ  สะกิดที่ข้างแก้ม
“ ล้อเล่นน่า ” ยามิวว่า  “ ได้สิ! แล้วเจ้าก็ต้องสัญญากับข้าด้วยนะว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้...  แล้วข้าจะรอฟังเจ้า ”  พร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวให้สัญญาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่เขาไม่เคยลืม
“ อืม ”
“ สัญญาแล้วนะ ”
“ สัญญา... ”
เสียงโห่ร้องและแสงวิบวับจากคบไฟดังแทรกขึ้นในความมืด  มันขยับใกล้เข้ามาทุกที...  ทุกที...  ยามิวขยับเข้ามาเอาตัวบังเขาไว้  อึดใจต่อมาชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่คาดว่าจะยกโขยงกันมาทั้งหมู่บ้านก็ปรากฏกายขึ้นล้อมกรอบพวกเขาเอาไว้พร้อมอาวุธครบมือทั้งจอบ  เสียมและมีด 
“ ยามิว! นั่นหนูไปทำอะไรอยู่กับเจ้าเด็กเวรนั่น  ถอยออกมานี่!! ”
มือหนึ่งเอื้อมเข้ามาฉุดรั้งต้นแขนเด็กหญิงที่ดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิตออกไป
“ เดี๋ยวก็โดนคำสาปร้ายของมันสิงหรอก ”
“ ได้ยินมาว่าเจ้าหนูนี่ร่ายคำสาปถล่มหมู่บ้าน  ฆ่าคนตายมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว  ...แล้วที่ท่านซิริอัสต้องจบอนาคตสิงห์ซ้ายก็เพราะโดนคาถามันนี่แหละ ”
“ มันเป็นปิศาจมาเกิด  แม่มันไม่ใช่มนุษย์หรอกถึงได้มายั่วยวนให้ท่าท่านเฟอร์รันให้หลงเสน่ห์ ”
“ เรนไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย  เค้าเป็นเพื่อนข้านะ ” ยามิวเถียง
“ ตายล่ะนังหนูนี่ก็โดนมันสะกดจิตเอาด้วยเหรอเนี่ย!! ”
“ มีทางเดียวคือพวกเราต้องฆ่ามัน...  เอาเลือดหัวมันมาถอนคำสาป ”
“ ใช่ๆ !! ฆ่ามันเลย ” หลายเสียงร้องสนับสนุนพร้อมกับชูอาวุธขึ้นโห่ฮา    “ฆ่าไอ้เด็กนรกสายเลือดต้องสาปที่ทำให้สายเลือดบริสุทธิ์อย่างพวกเราต้องแปดเปื้อน ”
“ ฆ่ามัน!!  ฆ่ามัน!! ”
คราดอันหนึ่งฟาดลงมาเต็มเหนี่ยว  เฟอร์โรเรนหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัวจึงไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นจุดประกายสีน้ำเงินที่สว่างวาบขึ้นในแววตาสีน้ำตาลเข้ม  เปลวเพลิงจากคบไฟระเบิดแตกเปรี๊ยะแล้วพวยพุ่งเป็นสายครอกใครก็ตามที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ อ๊ากกก!!! ”
หลายคนกรีดร้องอย่างตระหนกแต่ก็พุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง  นัยน์ตาโชนกล้าด้วยความกราดเกรี้ยวเกลียดชังที่แฝงความขยะแขยงสะอิดสะเอียนไว้เต็มที่
ยามิวพยายามวิ่งเข้ามาหา  พร้อมกันกับที่ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา  ตัวที่เล็กจ้อยของเธอจึงถูกกลืนหายไปกับฝูงชน “ โอ๊ย!! ”
“ ยามิว !! ”
เฟอร์โรเรนเอื้อมมือออกไปพยายามจะไขว่คว้ามือเล็กบางที่โผล่พ้นระหว่างช่องขาออกมา  แต่เขาก็คว้าไว้ได้เพียงสายลมกับหยดเลือดที่กระเซ็นมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง
“ ยามิววววว!! ”
เฟอร์โรเรนสะดุ้งรู้สึกตัวตื่นจากความฝัน  เนื้อตัวโทรมไปด้วยเหงื่อกาฬเม็ดโตที่อาบจนชุ่มและมือข้างหนึ่งยังคงยื่นค้างไปข้างหน้า  เขาชันเข่าขึ้นช้าๆ  และชักมือกลับมากุมหน้านิ่ง
“ มาฝันอะไรเอาตอนนี้...  ” เสียงของเขาแหบพร่า 
ยามิวนับเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวตั้งแต่เขาเกิดมาจนมาเจอกับลิมินท์ยู  เธอยอมเป็นเพื่อนกับเขาทั้งที่รู้เรื่องราวทั้งหมดว่าเขาเป็นใครและเป็นอะไร  แต่ตอนนี้เธอก็จากไปเสียแล้วด้วยน้ำมือของเพื่อนอย่างเขาเอง 
เนิ่นนานทีเดียวกว่าเฟอร์โรเรนจะขยับตัวอีกครั้งพร้อมกับเลื่อนมือขึ้นเสยผมม้าให้พ้นนัยน์ตา  ก่อนจะล้วงหยิบเอาแหวนวงหนึ่งที่คล้องไว้กับสายสร้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อ 
...ทั้งที่ไม่คิดจะผูกพันกับใครอีกแล้ว  แต่ทำไมนะถึงได้... 
เขายกของดูต่างหน้าเพื่อนคนสำคัญขึ้นจุมพิตแล้วยกขึ้นสัมผัสหน้าผากแผ่วเบา 
“ ลิมินท์ยู... ” .
..อีกนานไหมกว่าการสูญเสียมันจะจบสิ้นลงเสียที...
                                                                                ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
การนอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืนทำให้บาดแผลส่วนใหญ่ตามร่างกายของเขาสมานตัวสนิทดีแล้ว  ...เหลือแต่แผลทางใจที่คงต้องใช้เพียงระยะเวลาเท่านั้นในการเยียวยาให้หาย  เฟอร์โรเรนคล้องสายสร้อยลงรอบคอก่อนจะหมุนขยับแขนซ้ายที่ยังคงเจ็บร้าวระบมให้คลายความเหมื่อยขบลงบ้าง  แล้วในตอนนั้นเองที่เขารับรู้เป็นครั้งแรกถึงความผิดปกติร้ายแรงที่เกิดขึ้น
เส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นเต็มแขนเมื่อคืนยุบไปแล้วก็จริง  แต่ก็ทิ้งรอยดำเหมือนรอยสักเลื้อยพันรอบแขน  ถักทอเรื่อยไปรวมกันที่หลังมือซึ่ง....
อัญมณีสีทองสุกสว่างที่บัดนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมือของเขาเป็นประกายระยิบระยับล้อแสงแดดยามเช้า  รัศมีสีรุ้งเรืองรองของมันสวยงามดังมนตร์ที่สะกดให้ผู้ที่ได้มองหลงใหลจนไม่อาจละสายตา
“ นี่มันอะไรกันเนี่ย!! ” เขาอุทานกับตัวเองพลางสะบัดมือซ้ายเปะปะเต็มแรงแต่มันก็ไม่ยอมหลุดออกมา  จึงลองใช้เล็บแงะดูแล้วก็ต้องเจ็บจนน้ำตาแทบร่วง...  ดูเหมือนว่าตอนนี้คัมภีร์สันติภาพจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับมือของเขาไปแล้วจริงๆ 
“ ช่างเถอะ!  เอาไว้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องกลัวหาย ” เฟอร์โรเรน พยายามมองโลกในแง่ดีพร้อมกับฉีกชายเสื้อคลุมมาพันตั้งแต่ต้นแขนซ้ายเรื่อยลงไปถึงหลังมือเพื่อให้พ้นจากสายตาคนทั่วไป  สำรวจดูให้แน่ใจว่าเก็บสิงห์ขวาเรียบร้อยและลูกแก้วของนิมฟ์ปลอดภัยดีอยู่ในกระเป๋าเสื้อจึงเริ่มต้นออกเดินทางเข้าหาพระอาทิตย์ซึ่งก็คือทิศตะวันออก
“ ...ถ้าไม่รู้จะไปทางไหนก็ให้เดินเข้าหาดวงตะวันหรือไม่ก็ไปทางเหนือ  แต่อย่าเดินตามมันเด็ดขาด... ”
น้ำคำที่ซิริอัสพร่ำสอนเสมอดังขึ้นในหัว
“ ทำไมล่ะฮะพ่อ ”
“ ก็เพราะมันท้าทายดีน่ะซี่!!  แล้วเจ้าจะยอมเดินไปตามตะวันเหมือนเดินตามหลังคนอื่นต้อยๆ  อย่างไม่รู้จุดหมายหรือจะเป็นดอกทานตะวันที่
หันหน้าสู้แสงอาทิตย์ที่ว่ายิ่งใหญ่อย่างไม่ยอมแพ้กันล่ะ...  เวลาเจอปัญหาน่ะคนเรามันต้องรู้จักพุ่งเข้าชนไม่ใช่วิ่งหนีจำไว้นะเรน...  ”
“ ฮะพ่อ!! ”
เฟอร์โรเรนยิ้มกับตัวเอง  ...ในหลายๆ  ครั้งที่ความทรงจำบางอย่าง  ที่เคยเห็นเป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดาหรือบางครั้งก็น่าเบื่อ  น่ารำคาญจนอยากละลืมทิ้งไว้แค่ตรงนั้น  ...หากสักวันเมื่อหัวใจรู้สึกเหงา...  อ้างว้าง...  และว้าเหว่...  สักนิด...  ลองหวนกลับไปมองดูสักนิด...  แค่เสี้ยววินาทีที่เอี้ยวตาหันไปมองมันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจจนน่าประหลาด...     
                                                                                            ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
เฟอร์โรเรนหลงทางอยู่ในป่าเกือบสามวัน  เขาเหนื่อยอ่อนเต็มทีและกำลังซมเพราะพิษจากเขี้ยวเล็บหมาป่าวิญญาณที่ได้รับนั้นไม่ใช่น้อยๆ  ถึงบาดแผลจะปิดสนิทหากพิษยังตกค้างในร่างกายมากเกินพอจะปลิดชีวิต  นั่นยังไม่รวมถึงอาการปวดร้าวถึงกระดูกที่หลังมือซ้ายซึ่งกำเริบขึ้นบ่อยครั้ง  หลายครั้งทีเดียวที่เขาต้องทรุดกายพิงต้นไม้หรือโขดหินเพราะเจ็บจนหมดแรงที่จะเดินต่อ  โชคยังดีที่เลือดในกายของเขาครึ่งหนึ่งเป็นจอมเวทย์บวกกับผลแห่งมนตร์มอบชีวิตที่เขาไม่เคยรับรู้ถึงอานุภาพแท้จริงของมันที่ช่วยเยียวยาให้ยังมีลมหายใจและเสริมแรงให้สองขายังคงก้าวต่อไปไหว
หมู่ไม้รกครึ้มที่เริ่มบางตาลงเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าใกล้ถึงชายป่าแล้ว  เฟอร์โรเรน รีบเร่งฝีเท้าจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งเพราะตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเต็มที ในที่สุดเขาก็วิ่งพ้นแนวไม้สุดท้ายออกมายืนกลางลานแคบติดกับธารน้ำสายเล็กๆ 
เฟอร์โรเรนโซซัดโซเซไปที่ริมธารและวักน้ำขึ้นดื่มอย่างหิวกระหาย  ฉับพลันความเจ็บปวดก็แผ่คลุมหลังมือซ้ายลามเรื่อยไปทั่วร่างกาย  ร่างของเขากระตุกสั่นพร้อมกับอาการปวดหนึบในหัวรุนแรงจนแทบจะระเบิดออก
“ เป็นอะไรรึเปล่าคะ ”  เสียงหวานร้องทักอย่างเป็นห่วงเป็นใย
ในสติที่รางเลือนเฟอร์โรเรนคลายมือที่กุมขมับไว้ออกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นและทอดสายตามองไปเบื้องหน้า  ณ  ฝั่งตรงข้ามที่อยู่ตรงกันอย่าง
ไม่เชื่อสายตา “ ยามิว...  ”
นัยน์ตากลมโตหวานสีอมส้มที่คุ้นเคยเมื่อนานมาแล้วมองตอบกลับมาด้วยความฉงนเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อจริงของตนที่ไม่มีใครเอ่ยออกมาเนิ่นนาน
“ คะ ”
เด็กสาวสวยน่ารักแย้มยิ้ม  ผมสีอ่อนยาวสยายถึงกลางหลังเป็นประกายล้อแสงแดดยามเย็น  นัยน์ตากลมหวานมองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เฟอร์โรเรนพยายามยิ้มตอบแต่ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาอีกครั้งฉุดรั้งสติเขาไป  ม่านตาดับวูบพร้อมกับที่ร่างเพรียวกระตุกเกร็งแล้วล้มคว่ำลงยังธารน้ำใสเบื้องหน้า
เสียงกังวานหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นในม่านหมอกบางของยามเช้าตรู่
“ ข้าอยู่นี่...  เร็วๆ  สิแหม! เจ้านี่ชักช้าเสียจริง ”
“ ก็รีบอยู่นี่ไงอย่าเร่งสิ ” เฟอร์โรเรนร้องตอบไป “ เจ้าอะไรจะให้ข้าดูเหรอ  ถึงได้พามาที่นี่ ” เขากวาดสายตามองไปรอบๆ  ตัวซึ่งเป็นสะพานไม้โค้งข้ามธารน้ำใสสายเล็กๆ  มองเห็นก้อนกรวดกับปลาใหญ่น้อยแหวกว่ายเล่นกอบัวและสาหร่ายริมน้ำ
“ อุ๊ย! ”    
“ เป็นไงล่ะอยากรีบดีนัก  คงล่ะหกล้มล่ะสิ ”  เฟอร์โรเรนแกล้งว่าพร้อมกับออกวิ่งเหยาะๆ  จนเมื่อสายหมอกจางลงภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือ เด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวสิบสองปี  นัยน์ตากลมโตหวานกับเรือนผมสีอ่อนถักเป็นเปียคู่ผูกโบว์สีชมพูดูน่ารักน่า ทะนุถนอมเหมือนตุ๊กตา  เธอถูกเด็กชายท่าทางแก่นแก้วกลุ่มหนึ่งจับไว้และแกล้งโดยการเอาตุ๊กตาหมีของเธอไป 
“ อยากได้ก็มาเอาคืนสิยัยเด็กโง่ ”
“ อย่าแกล้งยามิวนะ ” เฟอร์โรเรนพูดสียงดังพร้อมกับก้าวเข้าอย่างไม่กลัวเกรง  ทั้งที่สูงไม่ถึงไหล่ของเด็กชายคนที่เตี้ยที่สุดในกลุ่มด้วยซ้ำ
“ อย่านะเรน  พวกมันตัวใหญ่กว่าเธอตั้งเยอะ ” ยามิวร้องบอก
“ โอ๊ะ โอ๋!! เจ้าเด็กน้อยเรนตัวกระเปี๊ยกคิดสู้โว้ย! ” เด็กคนหนึ่งร้องขึ้นพร้อมกับหัวเราะร่า “ ลองทำอะไรข้าที่เป็นลูกหัวหน้าหมู่บ้านดูสิ  ข้าจะให้ท่านพ่อโยนเจ้ากับตาแก่ขาเป๋ฮาร์ริสลุงของเจ้าออกไปให้พ้นหมู่บ้าน ”
เฟอร์โรเรนดึงตุ๊กตาส่งคืนให้ยามิว  เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้มีเจตนาจะแกล้งเธอตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่จะใช้เป็นตัวล่อเพื่อนสนิทอย่างเขาให้โกรธก็เท่านั้น
“ ถึงขาจะเป๋แต่ลุงข้าก็เก่งละกัน ”
“ เก่งยังไงก็สู้พ่อข้าที่เคยเข้าร่วมไล่ล่าคนทรยศเฟอร์รันนั่นไม่ได้หรอก ” เด็กชายว่า “ จริงๆ  เลยนะ  ใครๆ  เขาก็ว่าพ่อมดนั่นน่านับถือแต่ข้าว่าคนทรยศต่อเผ่าพันธุ์แบบนั้นน่าจะตายๆ  ไปพร้อมกับลูกชั่วของมันนั่นแหละ  ไอ้บ้าสิงห์ซ้ายซิริอัสนั่นยิ่งแล้วใหญ่  โง่จริงๆ  ที่ลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพเพื่อพาเด็กนั่นหนีไป  ไม่กลัวคำสาปสายเลือดตามจองล้างจองผลาญบ้างหรือไงก็ไม่รู้  ป่านนี้คงไปนอนตายอดโซเหมือนหมาข้างทางสมชื่อมันนั่นแหละ... ”
พลั่ก!!!
หมัดขวาตรงสวนเข้าที่แสกหน้าก่อนที่จะทันพูดจบประโยค
“ เจ้าว่าใครเหมือนหมานะ ” เฟอร์โรเรนถามเด็กชายที่นั่งจ้นจ้ำเป้ากุมแก้มซ้ายที่เป็นรอยช้ำไว้แน่น “ แล้วใครกันที่สมควรตาย...  ” 
“ นี่เจ้ากล้าต่อยข้าเหรอ!! ” เด็กชายพูดพร้อมกับแหกปากร้องไห้ลั่นก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไป  ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง
“ ไม่เอาน่าคุณหนู  แค่เล่นๆ  กันเจ็บนิดหน่อยก็ต้องทนสิครับ ”
“ ไม่ได้นะ!  เจ้าต้องลงโทษมันโทษฐานที่มาแกล้งข้า  ไม่งั้นข้าไม่ยอมจริงๆ  ด้วย  แล้วข้าจะไปฟ้องท่านพ่อให้ไล่พวกเจ้าออกให้หมด ”
“ คร้าบบบ !!  นายน้อย ” บรรดาพี่เลี้ยงรับคำอย่างนึกระอาก่อนจะคุกเข่าลงข้างหน้าเขา “ เจ้าเปี๊ยกนี่ก็แน่ไม่เบาแฮะที่กล้า...  ” เขาพูดพร้อมกับเสยผมเฟอร์โรเรนขึ้นขยี้อย่างเอ็นดู  แต่เมื่อเส้นผมม้าสีเข้มถูกปัดให้พ้นตา  ทุกคนก็ได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ส่องประกายกล้าด้วยความโกรธเกรี้ยว 
“ เฮ้ย!!...  ” ใครคนหนึ่งอุทานลั่นพร้อมกับก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ
“ นัยน์ตาสีน้ำเงิน...  นี่มันสัญลักษณ์ของพวกพ่อมดนี่นา !!  ”
“ หรือว่า...  หรือว่า...  ”
จู่ๆ  ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นกลางดึกที่เงียบสงัดในตรอกเล็กแคบสกปรก  ตัวเขากำลังนั่งแอบอยู่หลังถังขยะสดที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นโชยคละคลุ้ง  ข้างกันนั้นคือเด็กหญิงเมื่อตอนกลางวันที่เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่แพ้กัน
“ ไม่ต้องกลัวนะเรน  แอบอยู่ที่นี่รับรองไม่มีใครเห็นเราหรอก ” ยามิวให้กำลังใจ
“ อืม... ” เฟอร์โรเรนรับคำเบาๆ  “ นี่ยามิว...  ถ้าวันนี้ข้ารอดจากที่นี่ไปได้ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกกับเจ้าได้ไหม...  ”
“ ไม่!! ” เด็กหญิงตอบทันควันพร้อมกับค้อนควับ
เฟอร์โรเรนหน้าเจื่อน  เขาชันเข่าขึ้นและซุกหน้านิ่งเมื่อปลายนิ้วเล็กๆ  สะกิดที่ข้างแก้ม
“ ล้อเล่นน่า ” ยามิวว่า  “ ได้สิ! แล้วเจ้าก็ต้องสัญญากับข้าด้วยนะว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้...  แล้วข้าจะรอฟังเจ้า ”  พร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวให้สัญญาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่เขาไม่เคยลืม
“ อืม ”
“ สัญญาแล้วนะ ”
“ สัญญา... ”
เสียงโห่ร้องและแสงวิบวับจากคบไฟดังแทรกขึ้นในความมืด  มันขยับใกล้เข้ามาทุกที...  ทุกที...  ยามิวขยับเข้ามาเอาตัวบังเขาไว้  อึดใจต่อมาชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่คาดว่าจะยกโขยงกันมาทั้งหมู่บ้านก็ปรากฏกายขึ้นล้อมกรอบพวกเขาเอาไว้พร้อมอาวุธครบมือทั้งจอบ  เสียมและมีด 
“ ยามิว! นั่นหนูไปทำอะไรอยู่กับเจ้าเด็กเวรนั่น  ถอยออกมานี่!! ”
มือหนึ่งเอื้อมเข้ามาฉุดรั้งต้นแขนเด็กหญิงที่ดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิตออกไป
“ เดี๋ยวก็โดนคำสาปร้ายของมันสิงหรอก ”
“ ได้ยินมาว่าเจ้าหนูนี่ร่ายคำสาปถล่มหมู่บ้าน  ฆ่าคนตายมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว  ...แล้วที่ท่านซิริอัสต้องจบอนาคตสิงห์ซ้ายก็เพราะโดนคาถามันนี่แหละ ”
“ มันเป็นปิศาจมาเกิด  แม่มันไม่ใช่มนุษย์หรอกถึงได้มายั่วยวนให้ท่าท่านเฟอร์รันให้หลงเสน่ห์ ”
“ เรนไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย  เค้าเป็นเพื่อนข้านะ ” ยามิวเถียง
“ ตายล่ะนังหนูนี่ก็โดนมันสะกดจิตเอาด้วยเหรอเนี่ย!! ”
“ มีทางเดียวคือพวกเราต้องฆ่ามัน...  เอาเลือดหัวมันมาถอนคำสาป ”
“ ใช่ๆ !! ฆ่ามันเลย ” หลายเสียงร้องสนับสนุนพร้อมกับชูอาวุธขึ้นโห่ฮา    “ฆ่าไอ้เด็กนรกสายเลือดต้องสาปที่ทำให้สายเลือดบริสุทธิ์อย่างพวกเราต้องแปดเปื้อน ”
“ ฆ่ามัน!!  ฆ่ามัน!! ”
คราดอันหนึ่งฟาดลงมาเต็มเหนี่ยว  เฟอร์โรเรนหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัวจึงไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นจุดประกายสีน้ำเงินที่สว่างวาบขึ้นในแววตาสีน้ำตาลเข้ม  เปลวเพลิงจากคบไฟระเบิดแตกเปรี๊ยะแล้วพวยพุ่งเป็นสายครอกใครก็ตามที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ อ๊ากกก!!! ”
หลายคนกรีดร้องอย่างตระหนกแต่ก็พุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง  นัยน์ตาโชนกล้าด้วยความกราดเกรี้ยวเกลียดชังที่แฝงความขยะแขยงสะอิดสะเอียนไว้เต็มที่
ยามิวพยายามวิ่งเข้ามาหา  พร้อมกันกับที่ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา  ตัวที่เล็กจ้อยของเธอจึงถูกกลืนหายไปกับฝูงชน “ โอ๊ย!! ”
“ ยามิว !! ”
เฟอร์โรเรนเอื้อมมือออกไปพยายามจะไขว่คว้ามือเล็กบางที่โผล่พ้นระหว่างช่องขาออกมา  แต่เขาก็คว้าไว้ได้เพียงสายลมกับหยดเลือดที่กระเซ็นมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง
“ ยามิววววว!! ”
เฟอร์โรเรนสะดุ้งรู้สึกตัวตื่นจากความฝัน  เนื้อตัวโทรมไปด้วยเหงื่อกาฬเม็ดโตที่อาบจนชุ่มและมือข้างหนึ่งยังคงยื่นค้างไปข้างหน้า  เขาชันเข่าขึ้นช้าๆ  และชักมือกลับมากุมหน้านิ่ง
“ มาฝันอะไรเอาตอนนี้...  ” เสียงของเขาแหบพร่า 
ยามิวนับเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวตั้งแต่เขาเกิดมาจนมาเจอกับลิมินท์ยู  เธอยอมเป็นเพื่อนกับเขาทั้งที่รู้เรื่องราวทั้งหมดว่าเขาเป็นใครและเป็นอะไร  แต่ตอนนี้เธอก็จากไปเสียแล้วด้วยน้ำมือของเพื่อนอย่างเขาเอง 
เนิ่นนานทีเดียวกว่าเฟอร์โรเรนจะขยับตัวอีกครั้งพร้อมกับเลื่อนมือขึ้นเสยผมม้าให้พ้นนัยน์ตา  ก่อนจะล้วงหยิบเอาแหวนวงหนึ่งที่คล้องไว้กับสายสร้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อ 
...ทั้งที่ไม่คิดจะผูกพันกับใครอีกแล้ว  แต่ทำไมนะถึงได้... 
เขายกของดูต่างหน้าเพื่อนคนสำคัญขึ้นจุมพิตแล้วยกขึ้นสัมผัสหน้าผากแผ่วเบา 
“ ลิมินท์ยู... ” .
..อีกนานไหมกว่าการสูญเสียมันจะจบสิ้นลงเสียที...
                                                                                ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
การนอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืนทำให้บาดแผลส่วนใหญ่ตามร่างกายของเขาสมานตัวสนิทดีแล้ว  ...เหลือแต่แผลทางใจที่คงต้องใช้เพียงระยะเวลาเท่านั้นในการเยียวยาให้หาย  เฟอร์โรเรนคล้องสายสร้อยลงรอบคอก่อนจะหมุนขยับแขนซ้ายที่ยังคงเจ็บร้าวระบมให้คลายความเหมื่อยขบลงบ้าง  แล้วในตอนนั้นเองที่เขารับรู้เป็นครั้งแรกถึงความผิดปกติร้ายแรงที่เกิดขึ้น
เส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นเต็มแขนเมื่อคืนยุบไปแล้วก็จริง  แต่ก็ทิ้งรอยดำเหมือนรอยสักเลื้อยพันรอบแขน  ถักทอเรื่อยไปรวมกันที่หลังมือซึ่ง....
อัญมณีสีทองสุกสว่างที่บัดนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมือของเขาเป็นประกายระยิบระยับล้อแสงแดดยามเช้า  รัศมีสีรุ้งเรืองรองของมันสวยงามดังมนตร์ที่สะกดให้ผู้ที่ได้มองหลงใหลจนไม่อาจละสายตา
“ นี่มันอะไรกันเนี่ย!! ” เขาอุทานกับตัวเองพลางสะบัดมือซ้ายเปะปะเต็มแรงแต่มันก็ไม่ยอมหลุดออกมา  จึงลองใช้เล็บแงะดูแล้วก็ต้องเจ็บจนน้ำตาแทบร่วง...  ดูเหมือนว่าตอนนี้คัมภีร์สันติภาพจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับมือของเขาไปแล้วจริงๆ 
“ ช่างเถอะ!  เอาไว้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องกลัวหาย ” เฟอร์โรเรน พยายามมองโลกในแง่ดีพร้อมกับฉีกชายเสื้อคลุมมาพันตั้งแต่ต้นแขนซ้ายเรื่อยลงไปถึงหลังมือเพื่อให้พ้นจากสายตาคนทั่วไป  สำรวจดูให้แน่ใจว่าเก็บสิงห์ขวาเรียบร้อยและลูกแก้วของนิมฟ์ปลอดภัยดีอยู่ในกระเป๋าเสื้อจึงเริ่มต้นออกเดินทางเข้าหาพระอาทิตย์ซึ่งก็คือทิศตะวันออก
“ ...ถ้าไม่รู้จะไปทางไหนก็ให้เดินเข้าหาดวงตะวันหรือไม่ก็ไปทางเหนือ  แต่อย่าเดินตามมันเด็ดขาด... ”
น้ำคำที่ซิริอัสพร่ำสอนเสมอดังขึ้นในหัว
“ ทำไมล่ะฮะพ่อ ”
“ ก็เพราะมันท้าทายดีน่ะซี่!!  แล้วเจ้าจะยอมเดินไปตามตะวันเหมือนเดินตามหลังคนอื่นต้อยๆ  อย่างไม่รู้จุดหมายหรือจะเป็นดอกทานตะวันที่
หันหน้าสู้แสงอาทิตย์ที่ว่ายิ่งใหญ่อย่างไม่ยอมแพ้กันล่ะ...  เวลาเจอปัญหาน่ะคนเรามันต้องรู้จักพุ่งเข้าชนไม่ใช่วิ่งหนีจำไว้นะเรน...  ”
“ ฮะพ่อ!! ”
เฟอร์โรเรนยิ้มกับตัวเอง  ...ในหลายๆ  ครั้งที่ความทรงจำบางอย่าง  ที่เคยเห็นเป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดาหรือบางครั้งก็น่าเบื่อ  น่ารำคาญจนอยากละลืมทิ้งไว้แค่ตรงนั้น  ...หากสักวันเมื่อหัวใจรู้สึกเหงา...  อ้างว้าง...  และว้าเหว่...  สักนิด...  ลองหวนกลับไปมองดูสักนิด...  แค่เสี้ยววินาทีที่เอี้ยวตาหันไปมองมันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจจนน่าประหลาด...     
                                                                                            ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
เฟอร์โรเรนหลงทางอยู่ในป่าเกือบสามวัน  เขาเหนื่อยอ่อนเต็มทีและกำลังซมเพราะพิษจากเขี้ยวเล็บหมาป่าวิญญาณที่ได้รับนั้นไม่ใช่น้อยๆ  ถึงบาดแผลจะปิดสนิทหากพิษยังตกค้างในร่างกายมากเกินพอจะปลิดชีวิต  นั่นยังไม่รวมถึงอาการปวดร้าวถึงกระดูกที่หลังมือซ้ายซึ่งกำเริบขึ้นบ่อยครั้ง  หลายครั้งทีเดียวที่เขาต้องทรุดกายพิงต้นไม้หรือโขดหินเพราะเจ็บจนหมดแรงที่จะเดินต่อ  โชคยังดีที่เลือดในกายของเขาครึ่งหนึ่งเป็นจอมเวทย์บวกกับผลแห่งมนตร์มอบชีวิตที่เขาไม่เคยรับรู้ถึงอานุภาพแท้จริงของมันที่ช่วยเยียวยาให้ยังมีลมหายใจและเสริมแรงให้สองขายังคงก้าวต่อไปไหว
หมู่ไม้รกครึ้มที่เริ่มบางตาลงเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าใกล้ถึงชายป่าแล้ว  เฟอร์โรเรน รีบเร่งฝีเท้าจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งเพราะตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเต็มที ในที่สุดเขาก็วิ่งพ้นแนวไม้สุดท้ายออกมายืนกลางลานแคบติดกับธารน้ำสายเล็กๆ 
เฟอร์โรเรนโซซัดโซเซไปที่ริมธารและวักน้ำขึ้นดื่มอย่างหิวกระหาย  ฉับพลันความเจ็บปวดก็แผ่คลุมหลังมือซ้ายลามเรื่อยไปทั่วร่างกาย  ร่างของเขากระตุกสั่นพร้อมกับอาการปวดหนึบในหัวรุนแรงจนแทบจะระเบิดออก
“ เป็นอะไรรึเปล่าคะ ”  เสียงหวานร้องทักอย่างเป็นห่วงเป็นใย
ในสติที่รางเลือนเฟอร์โรเรนคลายมือที่กุมขมับไว้ออกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นและทอดสายตามองไปเบื้องหน้า  ณ  ฝั่งตรงข้ามที่อยู่ตรงกันอย่าง
ไม่เชื่อสายตา “ ยามิว...  ”
นัยน์ตากลมโตหวานสีอมส้มที่คุ้นเคยเมื่อนานมาแล้วมองตอบกลับมาด้วยความฉงนเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อจริงของตนที่ไม่มีใครเอ่ยออกมาเนิ่นนาน
“ คะ ”
เด็กสาวสวยน่ารักแย้มยิ้ม  ผมสีอ่อนยาวสยายถึงกลางหลังเป็นประกายล้อแสงแดดยามเย็น  นัยน์ตากลมหวานมองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เฟอร์โรเรนพยายามยิ้มตอบแต่ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาอีกครั้งฉุดรั้งสติเขาไป  ม่านตาดับวูบพร้อมกับที่ร่างเพรียวกระตุกเกร็งแล้วล้มคว่ำลงยังธารน้ำใสเบื้องหน้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น