ลำดับตอนที่ #20
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : สแปร์โรว์ ฮอร์คีอัส
ขอโทษที่ห่างหายไปนานนะค้า(อิอิ...)  พอดีมัวแต่หมกหม่นกับอีเดนน่ะค่ะและสำหรับแฟนๆ  อีเดนเลกกี้สัญญาว่าจะพยายามลงในสัปดานี้นะคะ  แต่งจบแล้วแต่ขอเวลาพิมพ์นี๊ดนึง เช้า-บ่าย-ดึกๆ จะตายอยู่แล้วค่ะ...  เป็นพยาบาลนั้นแสนลำบากเพื่อนๆ  อย่าเจ็บอย่าป่วยกันเลยนะคะ
สำหรับเดอะ ลาสต์ตอนนี้เราเปิดตัวละครใหม่ไปเรียบร้อยแล้วและคิดว่า(แค่คิดนะคะ)อาจจะเป็นตัวละครตัวสุดท้ายแล้ว
ก็ลองมาดูกันนะคะว่า สแปร์โรว์  ฮอร์คีอัสคนนี้เป็นใครมาจากไหนแล้วจะมาสร้างความป่วนให้นาวเอกเอ๊ย! พระเอกของเราได้แค่ไหน
ปล.สำหรับคนที่ได้อ่านฉบับเต็มไปแล้วกรุณาอุบไว้ก่อนนะเพราะที่จะเอาลงเราอาจจะเซ็นเซอร์ก็ได้(อย่าเพิ่งผิดหวังนะโลกิจางจ๋า^ v^) 
พล่ามมานานแล้วขอเชิญทุกท่านอ่านกันดีกว่าค่ะ
**************************************************************************************
“ ใจคอเจ้าจะปล่อยเรนไปแบบนั้นน่ะเหรอนิมฟ์ ” ยามิวเครือลอดไรฟันพลางพยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์จากมือใหญ่ยักษ์ที่จับข้อมือทั้งสองบิดไพล่หลังไว้แน่น
“ เจ้านั่นไม่ตายง่ายๆ  หรอกน่า ”  มันพูดอย่างสบายอารมณ์
“ ใจร้าย ”  เธอว่า  “ เรนเค้าก็เป็นเพื่อนเจ้าไม่ใช่เหรอ   แล้วเจ้าไม่คิดจะช่วยเค้าเลยเหรอ ”
“ ไม่คิด ”
นิมฟ์ตอบทันควันแบบไม่คิดหน้าคิดหลังจริงๆ ทำเอาหญิงสาวถึงกับสติขาดผึง  ริมฝีปากบางถูกขบเม้มแน่น  ขอบตาแดงก่ำร้อนผะผ่าว  ไม่เคยคิดฝันมาก่อนแม้สักนิดว่าคน(ภูต)อะไรจะใจจืดใจดำได้ขนาดนี้  เพื่อนถูกจับไปทั้งคนยังทำนิ่งเฉยเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น  ทำเหมือนไม่รู้จักกัน
“ โกรธข้าอยู่เหรอไง ” นิมฟ์ถามเบาๆ อย่างรู้ทันโดยไม่แม้จะหันมามองสักนิด  มือทั้งสองยังคงยกขึ้นกอดอกไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดออกไปถ้าเผลอปล่อยมันออกมา
หญิงสาวหันมามองตาขวางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ ไม่ต้องมาพูด!! ”
“ ก็ไม่ได้อยากพูดนักหรอกนะ ”  นิมฟ์ตอบเซ็งๆ “ บอกตามตรง  ข้าเองก็ไม่ใช่พวกเหยียดเผ่าหรือเลือดบริสุทธิ์นิยมอะไรหรอกนะ   แต่กับเจ้าหนูนี่พูดได้คำเดียวว่าไม่ได้มีความถูกชะตาสักนิด   จะเรียกว่าเกลียดเลยก็ว่าได้   แต่ก็ไม่ถึงกับอยากให้ตายไปให้พ้นๆ  หน้าหรอกนะ   ”
“ แล้วเจ้าจะมาพล่ามให้ข้าฟังทำไม ”
“ ก็แค่อยากให้รู้ไว้ก็เท่านั้น   ”  นิมฟ์ยังคงพูดต่อ  “ แค่อยากให้รู้ไว้ว่าถึงอย่างนั้น   และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม   ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเจ้าหนูนั่นได้แม้แต่ปลายเล็บ ” 
มันเน้นน้ำเสียงท้ายประโยคดูน่ากลัวทำเอายามิวขนลุกซู่ผวาหันมามองร่างเล็กจิ๋วที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนลูกแก้ว  นัยน์ตาสีเขียวกลมวาวเป็นประกายแข็งกร้าวและเธอเพิ่งจะสังเกตเห็นในวินาทีนี้เองว่ามือที่กอดอกไว้แน่นนั้นรวบเกร็งกำเป็นหมัดแน่นจนเส้นเลือดและเอ็นขึ้นเด่นชัดอย่างพยายามสะกดกลั้นสติอารมณ์ที่เดือดพล่านอย่างถึงที่สุด
~Ж Ж=== ===Ж Ж~
เฟอร์โรเรนเงยหน้าขึ้นสบร่างเล็กที่นั่งหมิ่นๆ  ลงบนขอบโต็ะ  ตวัดขาไขว่กันด้วยมาดเนี้ยบสุดบรรยายพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกแล้วเพ่งมองมาที่เขาซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนหัวยุ่งมีเสื้อคลุมตัวใหญ่พันอยู่บนตัวอย่างพินิจ
“ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ”
หา   เมื่อกี้ถามว่าไรนะ   ข้าฟังผิดรึเปล่าเนี่ย
“ ข้าถามว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ”  เขาถามใหม่เมื่อเห็นคิ้วที่พันกันยุ่งพร้อมกับถอนหายใจเมื่อฉุกคิดอะไรขึ้นได้จึงคลายมือออกเล็กน้อยเพื่อให้ดูเป็นกันเองมากขึ้น    “ ท้องทะเลกว้างใหญ่นี้มีอะไรที่เจ้าต้องการหรือ  แล้วนี่ท่านซิริอัสไปไหน  ทำไมเขาถึงไม่มากับเจ้า ”
“ ข้าแค่มาเที่ยวทะเลกับเพื่อนมันผิดตรงไหน  แล้วสิงห์ซ้ายมาเกี่ยวอะไรกับข้า ”
“ แล้วถ้าข้าบอกว่าเฟอร์โรเรน  วีกส์ล่ะมันจะเกี่ยวกับเจ้าไหม ” เขาบอกเสียงเรียบอย่างพยายามสะกดอารมณ์ไว้เต็มที่  เฟอร์โรเรนถึงกับสะดุ้งเฮือกแต่ก็ยังคงรักษาท่าทีให้สงบเข้าไว้
“ เลิกเล่นละครได้แล้ว ”  เขาบอกขรึมๆ  “ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร... ”
เฟอร์โรเรนนิ่วหน้าแสร้งทำให้ดูทะเล้นเหมือนกับว่าร่างตรงหน้ากำลังพูดล้อเล่นพลางขบคิดอย่างว้าวุ่นในใจ  ชายคนนี้ไม่มีทีท่าว่าโกหกสักนิด  แววตาของเขานิ่งสนิทไม่วอกแวกและกลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องหลบสายตาที่มองมาด้วยกลัวว่าจะถูกอ่านออก 
เฟอร์โรเรนไม่ว่าอะไรอีกสิ่งเดียวที่เขาทำคือนิ่งเงียบและรอคอย  รอให้อีกฝ่ายบอกความต้องการของตัวเองดีกว่าอ้าปากเถียงแล้วโดนไล่ต้อนให้จนมุมเพราะดูทางเกมนี้แล้วเขาไปไม่รอดแน่  หมากมันตายตั้งแต่เลือกฝั่งแล้ว  ตายตั้งแต่วันที่เกิดมาเป็นสายเลือดต้องสาป
“ ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้สาวน้อย ”  ร่างเล็กพูดเมื่อเห็นเขาเงียบไปนาน  “ แล้วข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรอกหรือว่ายินดีตอบทุกคำถามและเพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจข้าจะปลดเปลื้องอาวุธออกทุกชิ้น ”
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างยิ่งกว่าเก่าพร้อมกับจับคอเสื้อคลุมตรงหน้าแล้วยกขึ้นดูเต็มตาเป็นครั้งแรก  ทั้งมีดสั้นและอาวุธลับอยู่ในนี้ครบ  แต่   มันจะใช่ทั้งหมดหรือเปล่า   นั่นแหละปัญหา
“ ถ้ายังไม่พอใจจะเอาเป็นแก้ผ้านอนคุยกันก็ได้นะ ” เขาบอกเสียงเรียบหากนิ้วมือเลื่อนไปแกะกระดุมเม็ดบนเรียบร้อยแล้ว
“ เชื่อ   เชื่อแล้ว ”  เฟอร์โรเรนรีบละล่ำละลักบอก  “ ข้าเชื่อใจท่าน   มีอะไรก็รีบว่ามาเลยดีกว่านะ นะคะ ”  หยอดคำหวานตบท้ายไปอีกนิด
“ ข้าต้องการรู้ธุระที่แท้จริงของเจ้า ”  เขาบอก
“ ข้าบอกท่านไปแล้ว ”  เฟอร์โรเรนเลือกที่จะโกหกต่อ  “ ข้าแค่มาเดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ  ของข้า  จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วพลัดมาเจอท่านมันก็เท่านั้น ”
ร่างเล็กกระชับวงแขนพร้อมกับหยักยิ้มกวนมุมปาก “ ถ้าเจ้าต้องการจะเล่นสงครามประสาทกับข้าล่ะก็ได้เลย  ถ้าคิดว่าตัวเองประสาทแข็งพอล่ะก็นะ ”
“ เด็กสาวตัวเล็กๆ  อย่างข้ามีหรือจะไปหาญกล้าเล่นลิ้นกับท่าน ” เฟอร์โรเรนเล่นสำนวน ประสาทแข็งหรือเปล่าน่ะไม่รู้  รู้แต่เรื่องมารยาพันหมื่นเล่มเกวียนโกหกตลบตะแลงที่ถึงจะไม่ช่ำชองนักแต่ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นรองใครหรอกนะ  “ มีแต่ท่านสิที่กำลังรังแกข้า ”
“ ฮึ ”  ร่างเล็กหัวเราะในลำคอ  “ ตกลงว่าจะเล่นกันแบบนี้สินะ ”  เขาผละจากโต๊ะแล้วเริ่มเดินวนไปรอบๆ  เตียงด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเป็นที่สุด  “ ขอคิดก่อนนะ   อืม   เฟอร์โรเรน  วีกส์สายเลือดต้องสาปผู้เกิดแก่เฟอร์รัน  วีกส์สิงห์ขวาแห่งฟีเลเซีย  ทายาทพ่อมดคนสุดท้ายของตระกูลวีกส์ ”
“ กรุณาอย่าเอาเรื่องทางบ้านข้ามาพัวพัน ” เฟอร์โรเรนพูดเรียบๆ  “ ข้าก็คือข้าไม่เกี่ยวกับใคร ”
“ ข้าแค่เกริ่นให้ฟังเป็นที่เข้าใจตรงกัน ”  เขาว่า  “ แต่จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ถูกหรอกนะก็เจ้าใช้นามสกุลเขาอยู่ทนโท่นี่นา   ”  ไม่วายหันมาทำหน้าทะเล้นใส่  “ หรือไม่จริง! ”
ยังมีหน้ามาย้อนถามอีกแน่ะ
“ แล้วยังเป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถ ‘ถอด’ สิงห์ซ้ายออกจากบัลลังก์ได้ด้วยวัยเพียงสามวัน ”  เขายังไม่หยุดพล่าม  “ ข้าไม่คิดจะตอกย้ำเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเจ้าแต่อยากจะถามสักนิดว่าเจ้าคิดยังไงถึงได้กักตัวเขาไว้แบบนี้   เก็บเพชรแท้แห่งวงการดาบของฟีเลเซียไว้กับตัวเองทั้งที่ถ้าเขายังอยู่พวกปิศาจนั่นคงไม่กล้ากำเริบทำการอุกอาจแบบนี้   ในเมื่อสิงห์ซ้ายยังอยู่และสิงห์ขวาไม่ได้จบชีวิตลงอย่างหน้าสังเวชแบบนั้น ”
“ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร!!! ”  เฟอร์โรเรนตะโกนขึ้นอย่างโกรธจัดนัยน์ตากลมเบิกกว้างสองมือกำจิกเสื้อคลุมในมือแน่น 
“ เจ้าฆ่าเฟอร์รันและทรมานซิริอัสทั้งเป็นด้วยการทำลายความฝันที่เขาลงแรงสร้างขึ้นมาด้วยชีวิต ทำไมเจ้าถึงไม่ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากพันธะสัญญาบ้าๆ  นั่นทั้งที่มีเพียงเจ้าเท่านั้นแท้ๆ  ที่สามารถทำได้   แต่เจ้าก็ไม่ทำ!!   เจ้ามันเห็นแก่ตัว!!   เก็บเขาเอาไว้เพียงเพื่อคุ้มกะลาหัวตัวเอง!!! ”
“ พอสักทีเถอะ!!! ”  เฟอร์โรเรนไม่อาจทนอีกต่อไปแล้ว  เขากระโดดลุกขึ้นจากเตียงโผเข้าใส่ร่างเล็กที่ไม่ทันตั้งตัวล้มกระแทกขอบโต๊ะข้าวของล้มระเนระนาดส่งเสียงโครมครามดังสนั่น 
ร่างเล็กขบริมฝีปากแน่นขอบโต๊ะเจาะหลังเขาเป็นแผลลึกแน่แท้แม้จะไม่รู้สึกเจ็บหากชาไปทั้งตัว  เขาผงกศีรษะขึ้นมองร่างบางที่ทาบทับอยู่บนหน้าอกช้าๆ สองมือเกาะกุมปกเสื้อไว้แน่น  คาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาอะไรสักอย่างที่ส่อเค้าถึงความอาฆาตแค้นหรือเจตนาทำร้าย 
หากผิดคาดสิ่งที่สะท้อนในแววตาสีดำด้านนั้นทำให้เขาเข่าแทบอ่อนและนึกอยากจะเตะตัวเองแรงๆ  สักทีที่ล้อเล่นกันแรงเกินไปแล้ว  เขาคิดไม่ถึงจริงๆ  ว่าสายเลือดต้องสาปผู้ชั่วช้าตามคำล่ำลือจะอ่อนไหวได้ง่ายดายแบบนี้   อ่อนไหวกับเรื่องที่เขาคิดว่าหัวใจหินแข็งกระด้างนั้นคงชาชินจนไม่รู้สึกรู้สาสำนึกกับความผิดของตัวเองแล้วกระมัง
“ ข้ารู้ว่าข้าผิด ”  เสียงของเฟอร์โรเรนเครือต่ำผ่านริมฝีปากออกมาเนิบช้า  “ ข้ารู้   เพราะข้า   ข้าเองที่ผิด ที่รั้งเขาไว้   ข้าไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้เขาไปจากข้า   ไปตามความฝันกลับคืนมา   ข้าหวงเขาไว้กับตัวเองเพราะข้ารักเขามากเกินไป ข้า...  ข้า...  ”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความพิศวงครู่หนึ่งจึงคลายออก 
เขานี่ช่างโง่จริงๆ  คนอย่างซิริอัสน่ะหรือจะบอกเรื่องสำคัญที่เดิมพันด้วยชีวิตทั้งชีวิตให้เด็กคนนี้ฟัง  ช่างน่าขำจริงๆ  ที่คิดเข้าไปได้!!   เขาน่าจะรู้ดีอยู่เต็มอกนี่นาว่าคนประเภทนั้นยังไงๆ  ก็ต้องขอยอมเอาชีวิตเข้าแลกแล้วปล่อยความลับให้ยังคงเป็นความลับไปชั่วนิรันดร์ตายตามร่างไร้วิญญาณไปนั่นแหละ...
“ พอเถอะสาวน้อย ”  เขาพูดเบาๆ  พลางช้อนดวงหน้าที่ก้มลงต่ำให้เงยขึ้น  “ ข้าขอโทษ   ข้ามิได้มีเจตนาจะทำร้ายหัวใจเจ้า   ข้าเพียงแต่คะนองปากมากไปหน่อยเมื่อถูกเจ้ายั่วเอาแสบๆ  ก็เลยคิดเอาคืนบ้างก็เท่านั้น   มาเข้าเรื่องจริงๆ  ของเรากันดีกว่า ”  เขาค่อยประคองไหล่ร่างบางให้นั่งลงกับเตียง  “ นามของข้าคือสแปร์โรว์  ฮอร์คีอัส เป็นเจ้าของเรือโพไซดอนลำนี้ และข้าขอยืนยันเป็นครั้งที่สามว่ามิได้มีเจตนาร้ายแต่ข้าก็ไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าข้าต้องการอะไรจากเจ้าจนกว่าเจ้าจะตอบคำถามข้าว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่และท่านซิริอัสหายไปไหนในเวลาสำคัญแบบนี้ ”
เฟอร์โรเรนขบริมฝีปากแน่น  เนิ่นนานทีเดียวที่เขาไม่พูดอะไรหากร่างเล็กก็ยังคงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อและที่ไม่มีทีท่าเร่งรีบหรือรำคาญแต่อย่างใด  อย่างน้อยเขาก็อยากฟังเรื่องจริงจากปากของเจ้าตัวด้วยความเต็มใจ  การบังคับใจอิสตรี(?)ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษอย่างเขาอยู่แล้ว 
เมื่อร่างบางตรงหน้ายกมือขึ้นเสยผมช้าๆ  แล้วค้างเอาไว้อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่  รอยยิ้มจึงผุดพรายขึ้นบนมุมปากของเขาเล็กน้อยและยังคงนิ่งคอย
“ ท่านรู้เรื่องคัมภีร์สันติภาพหรือเปล่า ” 
สแปร์โรว์พยักหน้ารับ  “ สายจากวงในบอกข้าว่าคัมภีร์แตกสลายไปแล้วและบัดนี้เลโอเรียนองค์ใหม่ก็กำลังออกเดินทางเพื่ออัญเชิญกลับมา  เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดมีแต่ขุนนางชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เพราะส่วนใหญ่...  ตายไปแล้ว... ” 
“ แล้วสายของท่านได้ข่าวล่าสุดมาว่ายังไง ”  เฟอร์โรเรนถามช้าๆ  กลัวคำตอบจับขั้วหัวใจ 
“ นิทราในฝันถูกแผ่นดินไหวถล่มเสียราบ ” เขาบอก “ แล้วเลโอเรียนก็...  ข้าภาวนาขอให้พวกเขาพลาด...  แม้จะมีโอกาสแค่หนึ่งในล้าน...  ไม่มีใครเห็นเลโอเลียนกลับออกมา  ในวันนั้นมีเพียงพญาอินทรีสามสี่ตัวบินผ่านท้องฟ้าไปอย่างรีบเร่งเท่านั้น”
“ ก่อนที่มันจะถล่มข้าอยู่ที่นั่น ”  เฟอร์โรเรนพูดช้าๆ  ค่อยๆ  ปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ห้วงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดพร้อมกับปล่อยมือออกจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวเคลียบ่าแล้วเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาดำด้านตรงหน้า “ พร้อมกับเขา   องค์ชายลิมินท์ยู   กับควอร์ซิสแม่ทัพแห่งโลกปิศาจ   และตอนที่มันกำลังถล่มลงมา   ข้าหนีออกมาได้   พร้อมกับ ”  เขาค่อยแก้ผ้าที่พันลำแขนซ้ายไว้ออกช้าๆ  เผยให้เห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน 
นันย์ตาดำด้านเบิกกว้างขึ้นทุกทีตามจำนวนทบของผ้าที่ถูกดึงออก  ลวดลายดุจหมึกสีดำสนิทเลื้อยพันเกลียวรอบลำแขนบอบบางดูน่ากลัวตั้งแต่ต้นแขนไปจนถึงหลังมือที่เส้นสายทั้งหมดมาหลอมรวมกันที่
“ ศิลาปฐพี!! ”  สแปร์โรว์อุทานออกมาหากไม่ดังนักอย่างที่ควรจะเป็น  อาจเป็นเพราะความตระหนกระคนแปลกใจนั้นมันถูกดูดกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอแห้งผาก  จนต้องกลืนน้ำลายลงคอซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อเค้นคำพูดออกมาอย่างยากเย็นอีกครั้ง        “ ทำไมมันถึง   มาอยู่บนหลังมือของเจ้าแบบนี้ ”
“ ไม่ใช่แค่อยู่ ”  เฟอร์โรเรนบอก  “ หากมันหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับมือของข้าซึ่งข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม  ...และก็ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าจำเป็นต้องรับภาระอัญเชิญคัมภีร์กลับคืนมาให้ครบก่อนที่ฮิวเมริจจะชิงเอาไปทำลายเสียก่อน  มิเช่นนั้นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ดังเช่นในอดีตจะต้องบังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง   ฟีเลเซียจะถูกแผดเผาทำลายจนพินาศรวมทั้งอาณาจักรน้อยใหญ่อื่นๆ  ด้วย ” 
เขาเงียบไปอีกพักหนึ่งก่อนจะตอบคำถามที่สอง  “ ส่วนท่านพ่อ   ซิริอัส  เกรซัสนั้นเท่าที่จำได้...  ข้าเห็นเขาถูกหมาป่าวิญญาณตัวหนึ่งคาบเอาไปตอนฮิวเมริจล่าทัพ   แล้วควอร์ซิสก็บอกกับข้าตอนเจอกันที่นิทราในฝันว่าได้ฆ่าเขาไปแล้วแต่ข้าไม่คิดว่านั่นจะเป็นความจริงหรอกนะ ”
“ เจ้าคิดถูกแล้วล่ะ ”  สแปร์โรว์บอก  “ ถ้าคนอย่างซิริอัสตายง่ายๆ  เขาก็ไม่สมควรได้รับตำแหน่งสิงห์ซ้ายตั้งแต่อายุยี่สิบหลังจากห้ำหั่นอยู่กับเพอร์เซสนานถึงสามวันสามคืนในการประลองรอบสุดท้ายหรอก อีกอย่าง   ข้าไม่คิดว่าพวกรอบจัดอย่างควอร์ซิสหรือฮิจเมริจจะลงทุนหอบหิ้วเอาตัวเขาไปเพื่อฆ่าทิ้งลับหลังหรอกนะ   คิดดูสิ!   สู้ฆ่าให้ตายต่อหน้าเจ้า   ต่อหน้าทุกๆ  คนให้เห็นเป็นประจักษ์พยานกันจะๆ  ตากันไปเลยว่าสิงห์ซ้ายสิ้นลายแล้วจริงๆ  ไม่ดีกว่าเหรอ...  อย่างนั้นคงจะสะใจกว่ากันเยอะ ” เขาออกความเห็น  “ มันคงกะยั่วเจ้าเล่น   แต่ตอนนี้สภานภาพของเขาก็อาจไม่ต่างจากตายทั้งเป็นก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็มั่นใจว่าเขายังไม่ตายแน่ๆ  ไม่ว่าจะด้วยฝีมือหรือแม้แต่พยานวัตถุอย่างสิงห์ซ้ายที่ยังไม่ยอมรับนายใหม่นั่นก็คงชี้ชัดได้อย่างดี  สิงห์ซ้ายจะไม่ยอมรับนายใหม่หากมันยังไม่สิ้นศรัทธาในตัวเจ้าของเดิม ”  เขาเสริมตอนท้ายเมื่อเห็นคิ้วที่เริ่มขมวดมุ่นของร่างตรงหน้า 
“ สิงห์ทั้งสองไม่ใช่ดาบธรรมดามันกับเจ้าของสามารถสื่อจิตถึงกันได้  ยิ่งกรำศึก  ยิ่งผูกพันกันเท่าใด ‘จิต’ ยิ่งกล้าแข็ง  มันเป็น ‘สายใย’ ที่เชื่อมระหว่างทั้งสองไว้ด้วยกัน  ตราบใดที่มันยังสัมผัสได้ถึงจิตของเจ้าของสิงห์จะไม่มีวันละทิ้งไปมีนายใหม่  มันอาจยอมตกอยู่ในมือคนอื่นแต่นั่นก็เป็นการชั่วคราวเพียงเพื่อใช้คนๆ  นั้นเป็นบันไดพาตัวเองกลับสู่อุ้งมือนายของมันก็เท่านั้น ”
“ จริงเหรอฮะ ”  เฟอร์โรเรนพูดอย่างทึ่งจัด  เพราะอย่างนี้สินะซิริอัสถึงได้สิงห์ซ้ายติดมือมาด้วยทั้งที่พ้นจากตำแหน่งมานานนับปีแล้ว
นัยน์ตาดำด้านหรี่ลงด้วยความสงสัยอีกครั้งเช่นเดียวกับคิ้วที่ขมวดมุ่น  “ นี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ   ในเมื่อสิงห์ขวาก็อยู่กับเจ้าแท้ๆ  ” 
เฟอร์โรเรนเหลือบดาบลงมองปลายฝักดาบสีดำที่โผล่พ้นชายเสื้อคลุม  “ ดาบศักดิ์สิทธิ์จักแสดงฤทธาเมื่ออยู่ในมือที่เหมาะสม ”  เขาพูดช้าๆ  “ เรื่องนั้นข้าทราบฮะแต่คิดไม่ถึงว่า ”
“ ไม่ใช่เรื่องนั้น! ”  สแปร์โรว์แทรกขึ้น  “ ข้าหมายถึงเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าทำไมเจ้าภูตจิ๋วถึงได้ดูเหม็นขี้หน้าเจ้านัก ”
“ เขาแค่รังเกียจที่ข้าเป็นสายเลือดต้องสาปก็เท่านั้น ”
สแปร์โรว์ขัดใจกับตัวเองเป็นครั้งที่สองเมื่อตกลงกับตัวเองได้ในที่สุดว่า ‘เงียบ’เอาไว้ดีกว่า  แล้วรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม  รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงที่เด็กสาวคนนี้จะต้องเรียนรู้ด้วยตัวและหัวใจของตนเอง      
“ แล้วนี่เจ้าคิดจะเอายังไงต่อ...  การอัญเชิญคัมภีร์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...  ข้าไม่ได้พูดถึงพวกปิศาจหรืออุปสรรคเพราะนั่นมันของตาย  ข้าหมายถึง...  เอ่อ...  สายเลือดของเจ้า... ” 
“ ผู้อัญเชิญคัมภีร์ต้องมีสายเลือดบริสุทธิ์ ” เฟอร์โรเรนบอก  “ เรื่องนั้นข้าทราบฮะ ”
คิ้วของสแปร์โรว์ขมวดมุ่น “ เรื่องนั้นข้าไม่รู้นะ  แต่เท่าที่ข้ารู้มาผู้อัญเชิญคัมภีร์จะต้องเป็นผู้ลงนามครั้งล่าสุดหรือไม่ก็สายเลือดโดยตรงเท่านั้น...  ถ้าเช่นนั้น...  ”
“ ร่างกายของข้าแทบแหลกสลายเมื่อสัมผัสมัน...  แต่ไม่ต้องห่วงหรอกฮะข้าทนได้...  ถึงต้องตายข้าก็จะทำ ”
“ เจ้าไม่ต้องทนฝืนแบกรับภาระใหญ่หลวงนั้นไว้ก็ได้...  มันไม่ใช่โชคชะตาที่เจ้าควรเผชิญด้วยซ้ำ ”
“ แล้วอะไรล่ะฮะคือโชคชะตาของข้า... ” เฟอร์โรเรนโพล่งออกมาเสียงดังราวกับตะโกน “ ...นั่งรอให้คนมาฆ่า  นอนรอโทษตายให้สาสมกับสายเลือดอย่างนั้นน่ะเหรอ...  ไม่มีทาง! ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง “ ...และข้าก็สาบานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าจะต้องรวบรวมคัมภีร์สันติภาพกลับคืนมาให้ได้... ”
“ ทำไม... ” สแปร์โรว์ถามและไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้ยื่นมือไปเกลี่ยน้ำใสออกจากขอบตาร่างบางได้และวินาทีนี้เองที่เขารู้สึกยอมรับสายเลือดต้องสาปนี้จากใจจริง...  จะมีสักกี่คนกันนะ...  ไม่ใช่สิ!  จะมีหรือเปล่าคนที่ยอมทนตายเพื่อสิ่งที่มองว่าคนๆ  นั้นมีค่ายิ่งกว่าติดลบ  “ ทั้งที่แผ่นดินนี้ไม่มีพื้นที่ให้เจ้ายืนด้วยซ้ำ...  ทำไมเจ้าต้องทนทำเพื่อคนที่เกลียดเจ้า ”
เฟอร์โรเรนเบือนหน้าหลบสายตาช้าๆ “ เปล่า...  ข้าไม่ได้ทำเพื่อคนที่เกลียด ”
“ เพื่อคนที่รัก... ”
“ ข้าไม่รู้...  ข้ารู้แต่ว่าต้องทำให้สำเร็จ ”
“ ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะถามเจ้าอีก...  วันนี้เจ้าจงพักผ่อนให้สบาย  เมื่ออยู่บนเรือของข้าจะไม่มีภัยใดมากล้ำกรายเจ้าได้เว้นแต่ใจเจ้าเอง...  ว่าแต่เจ้าต้องการจะขึ้นท่าที่ไหนข้าจะได้ให้ลูกน้องเตรียมหันหัวเรือ ”
เฟอร์โรเรนส่ายหน้า “ ข้าไม่รู้...  อันที่จริงข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  ข้ากับเพื่อนมาถึงที่นี่ได้ด้วยเวทย์เคลื่อนย้าย...  เอ่อ...  ถ้าท่านไม่ว่าอะไรข้าขอยืมแผนที่หน่อยจะได้ไหมเพราะของข้าคงเปียกน้ำจนใช้การไม่ได้แล้ว ” เขาบอกพร้อมกับล้วงแผ่นกระดาษฉ่ำน้ำจนเละออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมที่ราวครึ่งชั่วโมงก่อนยังเป็นแผนที่อย่างดีอยู่เลย
“ ไม่มีปัญหาแต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะไปเปลี่ยนชุดซะก่อน  มิเช่นนั้นเจ้าคงจะปอดบวมตายเสียก่อนจบภารกิจ ”
~Ж Ж=== ===Ж Ж~
อ้าวๆ  เพิ่งเจอะเจอกันแป๊บเดียวไว้ใจเค้าซะแล้ว...  เฮ้อแล้วทีนี้มันจะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย
ช่วยเมนท์กันด้วยนะค้าไม่งั้นจะไม่อัพแล้ว(ล้อเล่นค่า^_^)
สำหรับเดอะ ลาสต์ตอนนี้เราเปิดตัวละครใหม่ไปเรียบร้อยแล้วและคิดว่า(แค่คิดนะคะ)อาจจะเป็นตัวละครตัวสุดท้ายแล้ว
ก็ลองมาดูกันนะคะว่า สแปร์โรว์  ฮอร์คีอัสคนนี้เป็นใครมาจากไหนแล้วจะมาสร้างความป่วนให้นาวเอกเอ๊ย! พระเอกของเราได้แค่ไหน
ปล.สำหรับคนที่ได้อ่านฉบับเต็มไปแล้วกรุณาอุบไว้ก่อนนะเพราะที่จะเอาลงเราอาจจะเซ็นเซอร์ก็ได้(อย่าเพิ่งผิดหวังนะโลกิจางจ๋า^ v^) 
พล่ามมานานแล้วขอเชิญทุกท่านอ่านกันดีกว่าค่ะ
**************************************************************************************
“ ใจคอเจ้าจะปล่อยเรนไปแบบนั้นน่ะเหรอนิมฟ์ ” ยามิวเครือลอดไรฟันพลางพยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์จากมือใหญ่ยักษ์ที่จับข้อมือทั้งสองบิดไพล่หลังไว้แน่น
“ เจ้านั่นไม่ตายง่ายๆ  หรอกน่า ”  มันพูดอย่างสบายอารมณ์
“ ใจร้าย ”  เธอว่า  “ เรนเค้าก็เป็นเพื่อนเจ้าไม่ใช่เหรอ   แล้วเจ้าไม่คิดจะช่วยเค้าเลยเหรอ ”
“ ไม่คิด ”
นิมฟ์ตอบทันควันแบบไม่คิดหน้าคิดหลังจริงๆ ทำเอาหญิงสาวถึงกับสติขาดผึง  ริมฝีปากบางถูกขบเม้มแน่น  ขอบตาแดงก่ำร้อนผะผ่าว  ไม่เคยคิดฝันมาก่อนแม้สักนิดว่าคน(ภูต)อะไรจะใจจืดใจดำได้ขนาดนี้  เพื่อนถูกจับไปทั้งคนยังทำนิ่งเฉยเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น  ทำเหมือนไม่รู้จักกัน
“ โกรธข้าอยู่เหรอไง ” นิมฟ์ถามเบาๆ อย่างรู้ทันโดยไม่แม้จะหันมามองสักนิด  มือทั้งสองยังคงยกขึ้นกอดอกไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดออกไปถ้าเผลอปล่อยมันออกมา
หญิงสาวหันมามองตาขวางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ ไม่ต้องมาพูด!! ”
“ ก็ไม่ได้อยากพูดนักหรอกนะ ”  นิมฟ์ตอบเซ็งๆ “ บอกตามตรง  ข้าเองก็ไม่ใช่พวกเหยียดเผ่าหรือเลือดบริสุทธิ์นิยมอะไรหรอกนะ   แต่กับเจ้าหนูนี่พูดได้คำเดียวว่าไม่ได้มีความถูกชะตาสักนิด   จะเรียกว่าเกลียดเลยก็ว่าได้   แต่ก็ไม่ถึงกับอยากให้ตายไปให้พ้นๆ  หน้าหรอกนะ   ”
“ แล้วเจ้าจะมาพล่ามให้ข้าฟังทำไม ”
“ ก็แค่อยากให้รู้ไว้ก็เท่านั้น   ”  นิมฟ์ยังคงพูดต่อ  “ แค่อยากให้รู้ไว้ว่าถึงอย่างนั้น   และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม   ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเจ้าหนูนั่นได้แม้แต่ปลายเล็บ ” 
มันเน้นน้ำเสียงท้ายประโยคดูน่ากลัวทำเอายามิวขนลุกซู่ผวาหันมามองร่างเล็กจิ๋วที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนลูกแก้ว  นัยน์ตาสีเขียวกลมวาวเป็นประกายแข็งกร้าวและเธอเพิ่งจะสังเกตเห็นในวินาทีนี้เองว่ามือที่กอดอกไว้แน่นนั้นรวบเกร็งกำเป็นหมัดแน่นจนเส้นเลือดและเอ็นขึ้นเด่นชัดอย่างพยายามสะกดกลั้นสติอารมณ์ที่เดือดพล่านอย่างถึงที่สุด
~Ж Ж=== ===Ж Ж~
เฟอร์โรเรนเงยหน้าขึ้นสบร่างเล็กที่นั่งหมิ่นๆ  ลงบนขอบโต็ะ  ตวัดขาไขว่กันด้วยมาดเนี้ยบสุดบรรยายพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกแล้วเพ่งมองมาที่เขาซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนหัวยุ่งมีเสื้อคลุมตัวใหญ่พันอยู่บนตัวอย่างพินิจ
“ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ”
หา   เมื่อกี้ถามว่าไรนะ   ข้าฟังผิดรึเปล่าเนี่ย
“ ข้าถามว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ”  เขาถามใหม่เมื่อเห็นคิ้วที่พันกันยุ่งพร้อมกับถอนหายใจเมื่อฉุกคิดอะไรขึ้นได้จึงคลายมือออกเล็กน้อยเพื่อให้ดูเป็นกันเองมากขึ้น    “ ท้องทะเลกว้างใหญ่นี้มีอะไรที่เจ้าต้องการหรือ  แล้วนี่ท่านซิริอัสไปไหน  ทำไมเขาถึงไม่มากับเจ้า ”
“ ข้าแค่มาเที่ยวทะเลกับเพื่อนมันผิดตรงไหน  แล้วสิงห์ซ้ายมาเกี่ยวอะไรกับข้า ”
“ แล้วถ้าข้าบอกว่าเฟอร์โรเรน  วีกส์ล่ะมันจะเกี่ยวกับเจ้าไหม ” เขาบอกเสียงเรียบอย่างพยายามสะกดอารมณ์ไว้เต็มที่  เฟอร์โรเรนถึงกับสะดุ้งเฮือกแต่ก็ยังคงรักษาท่าทีให้สงบเข้าไว้
“ เลิกเล่นละครได้แล้ว ”  เขาบอกขรึมๆ  “ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร... ”
เฟอร์โรเรนนิ่วหน้าแสร้งทำให้ดูทะเล้นเหมือนกับว่าร่างตรงหน้ากำลังพูดล้อเล่นพลางขบคิดอย่างว้าวุ่นในใจ  ชายคนนี้ไม่มีทีท่าว่าโกหกสักนิด  แววตาของเขานิ่งสนิทไม่วอกแวกและกลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องหลบสายตาที่มองมาด้วยกลัวว่าจะถูกอ่านออก 
เฟอร์โรเรนไม่ว่าอะไรอีกสิ่งเดียวที่เขาทำคือนิ่งเงียบและรอคอย  รอให้อีกฝ่ายบอกความต้องการของตัวเองดีกว่าอ้าปากเถียงแล้วโดนไล่ต้อนให้จนมุมเพราะดูทางเกมนี้แล้วเขาไปไม่รอดแน่  หมากมันตายตั้งแต่เลือกฝั่งแล้ว  ตายตั้งแต่วันที่เกิดมาเป็นสายเลือดต้องสาป
“ ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้สาวน้อย ”  ร่างเล็กพูดเมื่อเห็นเขาเงียบไปนาน  “ แล้วข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรอกหรือว่ายินดีตอบทุกคำถามและเพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจข้าจะปลดเปลื้องอาวุธออกทุกชิ้น ”
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างยิ่งกว่าเก่าพร้อมกับจับคอเสื้อคลุมตรงหน้าแล้วยกขึ้นดูเต็มตาเป็นครั้งแรก  ทั้งมีดสั้นและอาวุธลับอยู่ในนี้ครบ  แต่   มันจะใช่ทั้งหมดหรือเปล่า   นั่นแหละปัญหา
“ ถ้ายังไม่พอใจจะเอาเป็นแก้ผ้านอนคุยกันก็ได้นะ ” เขาบอกเสียงเรียบหากนิ้วมือเลื่อนไปแกะกระดุมเม็ดบนเรียบร้อยแล้ว
“ เชื่อ   เชื่อแล้ว ”  เฟอร์โรเรนรีบละล่ำละลักบอก  “ ข้าเชื่อใจท่าน   มีอะไรก็รีบว่ามาเลยดีกว่านะ นะคะ ”  หยอดคำหวานตบท้ายไปอีกนิด
“ ข้าต้องการรู้ธุระที่แท้จริงของเจ้า ”  เขาบอก
“ ข้าบอกท่านไปแล้ว ”  เฟอร์โรเรนเลือกที่จะโกหกต่อ  “ ข้าแค่มาเดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ  ของข้า  จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วพลัดมาเจอท่านมันก็เท่านั้น ”
ร่างเล็กกระชับวงแขนพร้อมกับหยักยิ้มกวนมุมปาก “ ถ้าเจ้าต้องการจะเล่นสงครามประสาทกับข้าล่ะก็ได้เลย  ถ้าคิดว่าตัวเองประสาทแข็งพอล่ะก็นะ ”
“ เด็กสาวตัวเล็กๆ  อย่างข้ามีหรือจะไปหาญกล้าเล่นลิ้นกับท่าน ” เฟอร์โรเรนเล่นสำนวน ประสาทแข็งหรือเปล่าน่ะไม่รู้  รู้แต่เรื่องมารยาพันหมื่นเล่มเกวียนโกหกตลบตะแลงที่ถึงจะไม่ช่ำชองนักแต่ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นรองใครหรอกนะ  “ มีแต่ท่านสิที่กำลังรังแกข้า ”
“ ฮึ ”  ร่างเล็กหัวเราะในลำคอ  “ ตกลงว่าจะเล่นกันแบบนี้สินะ ”  เขาผละจากโต๊ะแล้วเริ่มเดินวนไปรอบๆ  เตียงด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเป็นที่สุด  “ ขอคิดก่อนนะ   อืม   เฟอร์โรเรน  วีกส์สายเลือดต้องสาปผู้เกิดแก่เฟอร์รัน  วีกส์สิงห์ขวาแห่งฟีเลเซีย  ทายาทพ่อมดคนสุดท้ายของตระกูลวีกส์ ”
“ กรุณาอย่าเอาเรื่องทางบ้านข้ามาพัวพัน ” เฟอร์โรเรนพูดเรียบๆ  “ ข้าก็คือข้าไม่เกี่ยวกับใคร ”
“ ข้าแค่เกริ่นให้ฟังเป็นที่เข้าใจตรงกัน ”  เขาว่า  “ แต่จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ถูกหรอกนะก็เจ้าใช้นามสกุลเขาอยู่ทนโท่นี่นา   ”  ไม่วายหันมาทำหน้าทะเล้นใส่  “ หรือไม่จริง! ”
ยังมีหน้ามาย้อนถามอีกแน่ะ
“ แล้วยังเป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถ ‘ถอด’ สิงห์ซ้ายออกจากบัลลังก์ได้ด้วยวัยเพียงสามวัน ”  เขายังไม่หยุดพล่าม  “ ข้าไม่คิดจะตอกย้ำเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเจ้าแต่อยากจะถามสักนิดว่าเจ้าคิดยังไงถึงได้กักตัวเขาไว้แบบนี้   เก็บเพชรแท้แห่งวงการดาบของฟีเลเซียไว้กับตัวเองทั้งที่ถ้าเขายังอยู่พวกปิศาจนั่นคงไม่กล้ากำเริบทำการอุกอาจแบบนี้   ในเมื่อสิงห์ซ้ายยังอยู่และสิงห์ขวาไม่ได้จบชีวิตลงอย่างหน้าสังเวชแบบนั้น ”
“ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร!!! ”  เฟอร์โรเรนตะโกนขึ้นอย่างโกรธจัดนัยน์ตากลมเบิกกว้างสองมือกำจิกเสื้อคลุมในมือแน่น 
“ เจ้าฆ่าเฟอร์รันและทรมานซิริอัสทั้งเป็นด้วยการทำลายความฝันที่เขาลงแรงสร้างขึ้นมาด้วยชีวิต ทำไมเจ้าถึงไม่ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากพันธะสัญญาบ้าๆ  นั่นทั้งที่มีเพียงเจ้าเท่านั้นแท้ๆ  ที่สามารถทำได้   แต่เจ้าก็ไม่ทำ!!   เจ้ามันเห็นแก่ตัว!!   เก็บเขาเอาไว้เพียงเพื่อคุ้มกะลาหัวตัวเอง!!! ”
“ พอสักทีเถอะ!!! ”  เฟอร์โรเรนไม่อาจทนอีกต่อไปแล้ว  เขากระโดดลุกขึ้นจากเตียงโผเข้าใส่ร่างเล็กที่ไม่ทันตั้งตัวล้มกระแทกขอบโต๊ะข้าวของล้มระเนระนาดส่งเสียงโครมครามดังสนั่น 
ร่างเล็กขบริมฝีปากแน่นขอบโต๊ะเจาะหลังเขาเป็นแผลลึกแน่แท้แม้จะไม่รู้สึกเจ็บหากชาไปทั้งตัว  เขาผงกศีรษะขึ้นมองร่างบางที่ทาบทับอยู่บนหน้าอกช้าๆ สองมือเกาะกุมปกเสื้อไว้แน่น  คาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาอะไรสักอย่างที่ส่อเค้าถึงความอาฆาตแค้นหรือเจตนาทำร้าย 
หากผิดคาดสิ่งที่สะท้อนในแววตาสีดำด้านนั้นทำให้เขาเข่าแทบอ่อนและนึกอยากจะเตะตัวเองแรงๆ  สักทีที่ล้อเล่นกันแรงเกินไปแล้ว  เขาคิดไม่ถึงจริงๆ  ว่าสายเลือดต้องสาปผู้ชั่วช้าตามคำล่ำลือจะอ่อนไหวได้ง่ายดายแบบนี้   อ่อนไหวกับเรื่องที่เขาคิดว่าหัวใจหินแข็งกระด้างนั้นคงชาชินจนไม่รู้สึกรู้สาสำนึกกับความผิดของตัวเองแล้วกระมัง
“ ข้ารู้ว่าข้าผิด ”  เสียงของเฟอร์โรเรนเครือต่ำผ่านริมฝีปากออกมาเนิบช้า  “ ข้ารู้   เพราะข้า   ข้าเองที่ผิด ที่รั้งเขาไว้   ข้าไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้เขาไปจากข้า   ไปตามความฝันกลับคืนมา   ข้าหวงเขาไว้กับตัวเองเพราะข้ารักเขามากเกินไป ข้า...  ข้า...  ”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความพิศวงครู่หนึ่งจึงคลายออก 
เขานี่ช่างโง่จริงๆ  คนอย่างซิริอัสน่ะหรือจะบอกเรื่องสำคัญที่เดิมพันด้วยชีวิตทั้งชีวิตให้เด็กคนนี้ฟัง  ช่างน่าขำจริงๆ  ที่คิดเข้าไปได้!!   เขาน่าจะรู้ดีอยู่เต็มอกนี่นาว่าคนประเภทนั้นยังไงๆ  ก็ต้องขอยอมเอาชีวิตเข้าแลกแล้วปล่อยความลับให้ยังคงเป็นความลับไปชั่วนิรันดร์ตายตามร่างไร้วิญญาณไปนั่นแหละ...
“ พอเถอะสาวน้อย ”  เขาพูดเบาๆ  พลางช้อนดวงหน้าที่ก้มลงต่ำให้เงยขึ้น  “ ข้าขอโทษ   ข้ามิได้มีเจตนาจะทำร้ายหัวใจเจ้า   ข้าเพียงแต่คะนองปากมากไปหน่อยเมื่อถูกเจ้ายั่วเอาแสบๆ  ก็เลยคิดเอาคืนบ้างก็เท่านั้น   มาเข้าเรื่องจริงๆ  ของเรากันดีกว่า ”  เขาค่อยประคองไหล่ร่างบางให้นั่งลงกับเตียง  “ นามของข้าคือสแปร์โรว์  ฮอร์คีอัส เป็นเจ้าของเรือโพไซดอนลำนี้ และข้าขอยืนยันเป็นครั้งที่สามว่ามิได้มีเจตนาร้ายแต่ข้าก็ไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าข้าต้องการอะไรจากเจ้าจนกว่าเจ้าจะตอบคำถามข้าว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่และท่านซิริอัสหายไปไหนในเวลาสำคัญแบบนี้ ”
เฟอร์โรเรนขบริมฝีปากแน่น  เนิ่นนานทีเดียวที่เขาไม่พูดอะไรหากร่างเล็กก็ยังคงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อและที่ไม่มีทีท่าเร่งรีบหรือรำคาญแต่อย่างใด  อย่างน้อยเขาก็อยากฟังเรื่องจริงจากปากของเจ้าตัวด้วยความเต็มใจ  การบังคับใจอิสตรี(?)ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษอย่างเขาอยู่แล้ว 
เมื่อร่างบางตรงหน้ายกมือขึ้นเสยผมช้าๆ  แล้วค้างเอาไว้อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่  รอยยิ้มจึงผุดพรายขึ้นบนมุมปากของเขาเล็กน้อยและยังคงนิ่งคอย
“ ท่านรู้เรื่องคัมภีร์สันติภาพหรือเปล่า ” 
สแปร์โรว์พยักหน้ารับ  “ สายจากวงในบอกข้าว่าคัมภีร์แตกสลายไปแล้วและบัดนี้เลโอเรียนองค์ใหม่ก็กำลังออกเดินทางเพื่ออัญเชิญกลับมา  เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดมีแต่ขุนนางชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เพราะส่วนใหญ่...  ตายไปแล้ว... ” 
“ แล้วสายของท่านได้ข่าวล่าสุดมาว่ายังไง ”  เฟอร์โรเรนถามช้าๆ  กลัวคำตอบจับขั้วหัวใจ 
“ นิทราในฝันถูกแผ่นดินไหวถล่มเสียราบ ” เขาบอก “ แล้วเลโอเรียนก็...  ข้าภาวนาขอให้พวกเขาพลาด...  แม้จะมีโอกาสแค่หนึ่งในล้าน...  ไม่มีใครเห็นเลโอเลียนกลับออกมา  ในวันนั้นมีเพียงพญาอินทรีสามสี่ตัวบินผ่านท้องฟ้าไปอย่างรีบเร่งเท่านั้น”
“ ก่อนที่มันจะถล่มข้าอยู่ที่นั่น ”  เฟอร์โรเรนพูดช้าๆ  ค่อยๆ  ปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ห้วงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดพร้อมกับปล่อยมือออกจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวเคลียบ่าแล้วเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาดำด้านตรงหน้า “ พร้อมกับเขา   องค์ชายลิมินท์ยู   กับควอร์ซิสแม่ทัพแห่งโลกปิศาจ   และตอนที่มันกำลังถล่มลงมา   ข้าหนีออกมาได้   พร้อมกับ ”  เขาค่อยแก้ผ้าที่พันลำแขนซ้ายไว้ออกช้าๆ  เผยให้เห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน 
นันย์ตาดำด้านเบิกกว้างขึ้นทุกทีตามจำนวนทบของผ้าที่ถูกดึงออก  ลวดลายดุจหมึกสีดำสนิทเลื้อยพันเกลียวรอบลำแขนบอบบางดูน่ากลัวตั้งแต่ต้นแขนไปจนถึงหลังมือที่เส้นสายทั้งหมดมาหลอมรวมกันที่
“ ศิลาปฐพี!! ”  สแปร์โรว์อุทานออกมาหากไม่ดังนักอย่างที่ควรจะเป็น  อาจเป็นเพราะความตระหนกระคนแปลกใจนั้นมันถูกดูดกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอแห้งผาก  จนต้องกลืนน้ำลายลงคอซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อเค้นคำพูดออกมาอย่างยากเย็นอีกครั้ง        “ ทำไมมันถึง   มาอยู่บนหลังมือของเจ้าแบบนี้ ”
“ ไม่ใช่แค่อยู่ ”  เฟอร์โรเรนบอก  “ หากมันหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับมือของข้าซึ่งข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม  ...และก็ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าจำเป็นต้องรับภาระอัญเชิญคัมภีร์กลับคืนมาให้ครบก่อนที่ฮิวเมริจจะชิงเอาไปทำลายเสียก่อน  มิเช่นนั้นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ดังเช่นในอดีตจะต้องบังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง   ฟีเลเซียจะถูกแผดเผาทำลายจนพินาศรวมทั้งอาณาจักรน้อยใหญ่อื่นๆ  ด้วย ” 
เขาเงียบไปอีกพักหนึ่งก่อนจะตอบคำถามที่สอง  “ ส่วนท่านพ่อ   ซิริอัส  เกรซัสนั้นเท่าที่จำได้...  ข้าเห็นเขาถูกหมาป่าวิญญาณตัวหนึ่งคาบเอาไปตอนฮิวเมริจล่าทัพ   แล้วควอร์ซิสก็บอกกับข้าตอนเจอกันที่นิทราในฝันว่าได้ฆ่าเขาไปแล้วแต่ข้าไม่คิดว่านั่นจะเป็นความจริงหรอกนะ ”
“ เจ้าคิดถูกแล้วล่ะ ”  สแปร์โรว์บอก  “ ถ้าคนอย่างซิริอัสตายง่ายๆ  เขาก็ไม่สมควรได้รับตำแหน่งสิงห์ซ้ายตั้งแต่อายุยี่สิบหลังจากห้ำหั่นอยู่กับเพอร์เซสนานถึงสามวันสามคืนในการประลองรอบสุดท้ายหรอก อีกอย่าง   ข้าไม่คิดว่าพวกรอบจัดอย่างควอร์ซิสหรือฮิจเมริจจะลงทุนหอบหิ้วเอาตัวเขาไปเพื่อฆ่าทิ้งลับหลังหรอกนะ   คิดดูสิ!   สู้ฆ่าให้ตายต่อหน้าเจ้า   ต่อหน้าทุกๆ  คนให้เห็นเป็นประจักษ์พยานกันจะๆ  ตากันไปเลยว่าสิงห์ซ้ายสิ้นลายแล้วจริงๆ  ไม่ดีกว่าเหรอ...  อย่างนั้นคงจะสะใจกว่ากันเยอะ ” เขาออกความเห็น  “ มันคงกะยั่วเจ้าเล่น   แต่ตอนนี้สภานภาพของเขาก็อาจไม่ต่างจากตายทั้งเป็นก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็มั่นใจว่าเขายังไม่ตายแน่ๆ  ไม่ว่าจะด้วยฝีมือหรือแม้แต่พยานวัตถุอย่างสิงห์ซ้ายที่ยังไม่ยอมรับนายใหม่นั่นก็คงชี้ชัดได้อย่างดี  สิงห์ซ้ายจะไม่ยอมรับนายใหม่หากมันยังไม่สิ้นศรัทธาในตัวเจ้าของเดิม ”  เขาเสริมตอนท้ายเมื่อเห็นคิ้วที่เริ่มขมวดมุ่นของร่างตรงหน้า 
“ สิงห์ทั้งสองไม่ใช่ดาบธรรมดามันกับเจ้าของสามารถสื่อจิตถึงกันได้  ยิ่งกรำศึก  ยิ่งผูกพันกันเท่าใด ‘จิต’ ยิ่งกล้าแข็ง  มันเป็น ‘สายใย’ ที่เชื่อมระหว่างทั้งสองไว้ด้วยกัน  ตราบใดที่มันยังสัมผัสได้ถึงจิตของเจ้าของสิงห์จะไม่มีวันละทิ้งไปมีนายใหม่  มันอาจยอมตกอยู่ในมือคนอื่นแต่นั่นก็เป็นการชั่วคราวเพียงเพื่อใช้คนๆ  นั้นเป็นบันไดพาตัวเองกลับสู่อุ้งมือนายของมันก็เท่านั้น ”
“ จริงเหรอฮะ ”  เฟอร์โรเรนพูดอย่างทึ่งจัด  เพราะอย่างนี้สินะซิริอัสถึงได้สิงห์ซ้ายติดมือมาด้วยทั้งที่พ้นจากตำแหน่งมานานนับปีแล้ว
นัยน์ตาดำด้านหรี่ลงด้วยความสงสัยอีกครั้งเช่นเดียวกับคิ้วที่ขมวดมุ่น  “ นี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ   ในเมื่อสิงห์ขวาก็อยู่กับเจ้าแท้ๆ  ” 
เฟอร์โรเรนเหลือบดาบลงมองปลายฝักดาบสีดำที่โผล่พ้นชายเสื้อคลุม  “ ดาบศักดิ์สิทธิ์จักแสดงฤทธาเมื่ออยู่ในมือที่เหมาะสม ”  เขาพูดช้าๆ  “ เรื่องนั้นข้าทราบฮะแต่คิดไม่ถึงว่า ”
“ ไม่ใช่เรื่องนั้น! ”  สแปร์โรว์แทรกขึ้น  “ ข้าหมายถึงเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าทำไมเจ้าภูตจิ๋วถึงได้ดูเหม็นขี้หน้าเจ้านัก ”
“ เขาแค่รังเกียจที่ข้าเป็นสายเลือดต้องสาปก็เท่านั้น ”
สแปร์โรว์ขัดใจกับตัวเองเป็นครั้งที่สองเมื่อตกลงกับตัวเองได้ในที่สุดว่า ‘เงียบ’เอาไว้ดีกว่า  แล้วรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม  รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงที่เด็กสาวคนนี้จะต้องเรียนรู้ด้วยตัวและหัวใจของตนเอง      
“ แล้วนี่เจ้าคิดจะเอายังไงต่อ...  การอัญเชิญคัมภีร์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...  ข้าไม่ได้พูดถึงพวกปิศาจหรืออุปสรรคเพราะนั่นมันของตาย  ข้าหมายถึง...  เอ่อ...  สายเลือดของเจ้า... ” 
“ ผู้อัญเชิญคัมภีร์ต้องมีสายเลือดบริสุทธิ์ ” เฟอร์โรเรนบอก  “ เรื่องนั้นข้าทราบฮะ ”
คิ้วของสแปร์โรว์ขมวดมุ่น “ เรื่องนั้นข้าไม่รู้นะ  แต่เท่าที่ข้ารู้มาผู้อัญเชิญคัมภีร์จะต้องเป็นผู้ลงนามครั้งล่าสุดหรือไม่ก็สายเลือดโดยตรงเท่านั้น...  ถ้าเช่นนั้น...  ”
“ ร่างกายของข้าแทบแหลกสลายเมื่อสัมผัสมัน...  แต่ไม่ต้องห่วงหรอกฮะข้าทนได้...  ถึงต้องตายข้าก็จะทำ ”
“ เจ้าไม่ต้องทนฝืนแบกรับภาระใหญ่หลวงนั้นไว้ก็ได้...  มันไม่ใช่โชคชะตาที่เจ้าควรเผชิญด้วยซ้ำ ”
“ แล้วอะไรล่ะฮะคือโชคชะตาของข้า... ” เฟอร์โรเรนโพล่งออกมาเสียงดังราวกับตะโกน “ ...นั่งรอให้คนมาฆ่า  นอนรอโทษตายให้สาสมกับสายเลือดอย่างนั้นน่ะเหรอ...  ไม่มีทาง! ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง “ ...และข้าก็สาบานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าจะต้องรวบรวมคัมภีร์สันติภาพกลับคืนมาให้ได้... ”
“ ทำไม... ” สแปร์โรว์ถามและไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้ยื่นมือไปเกลี่ยน้ำใสออกจากขอบตาร่างบางได้และวินาทีนี้เองที่เขารู้สึกยอมรับสายเลือดต้องสาปนี้จากใจจริง...  จะมีสักกี่คนกันนะ...  ไม่ใช่สิ!  จะมีหรือเปล่าคนที่ยอมทนตายเพื่อสิ่งที่มองว่าคนๆ  นั้นมีค่ายิ่งกว่าติดลบ  “ ทั้งที่แผ่นดินนี้ไม่มีพื้นที่ให้เจ้ายืนด้วยซ้ำ...  ทำไมเจ้าต้องทนทำเพื่อคนที่เกลียดเจ้า ”
เฟอร์โรเรนเบือนหน้าหลบสายตาช้าๆ “ เปล่า...  ข้าไม่ได้ทำเพื่อคนที่เกลียด ”
“ เพื่อคนที่รัก... ”
“ ข้าไม่รู้...  ข้ารู้แต่ว่าต้องทำให้สำเร็จ ”
“ ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะถามเจ้าอีก...  วันนี้เจ้าจงพักผ่อนให้สบาย  เมื่ออยู่บนเรือของข้าจะไม่มีภัยใดมากล้ำกรายเจ้าได้เว้นแต่ใจเจ้าเอง...  ว่าแต่เจ้าต้องการจะขึ้นท่าที่ไหนข้าจะได้ให้ลูกน้องเตรียมหันหัวเรือ ”
เฟอร์โรเรนส่ายหน้า “ ข้าไม่รู้...  อันที่จริงข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  ข้ากับเพื่อนมาถึงที่นี่ได้ด้วยเวทย์เคลื่อนย้าย...  เอ่อ...  ถ้าท่านไม่ว่าอะไรข้าขอยืมแผนที่หน่อยจะได้ไหมเพราะของข้าคงเปียกน้ำจนใช้การไม่ได้แล้ว ” เขาบอกพร้อมกับล้วงแผ่นกระดาษฉ่ำน้ำจนเละออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมที่ราวครึ่งชั่วโมงก่อนยังเป็นแผนที่อย่างดีอยู่เลย
“ ไม่มีปัญหาแต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะไปเปลี่ยนชุดซะก่อน  มิเช่นนั้นเจ้าคงจะปอดบวมตายเสียก่อนจบภารกิจ ”
~Ж Ж=== ===Ж Ж~
อ้าวๆ  เพิ่งเจอะเจอกันแป๊บเดียวไว้ใจเค้าซะแล้ว...  เฮ้อแล้วทีนี้มันจะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย
ช่วยเมนท์กันด้วยนะค้าไม่งั้นจะไม่อัพแล้ว(ล้อเล่นค่า^_^)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น