ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เมื่อการเดินทางเริ่มต้น
๑๖  ปีต่อมา
   
“ นั่นไงมันอยู่ทางนั้น ”  เสียงหนึ่งตะโกนบอกพลางชี้มือชี้ไม้เป็นพัลวัน  พาให้คนที่เหลือมองตามปลายนิ้ว  พลันทุกสายตาก็ดูราวจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเมื่อทุกคู่หยุดลงตรงเป้าหมายเดียวกันที่วิ่งไวไวเห็นชายเสื้อคลุมสีดำมอซอโบกะบัดหายลับไประหว่างซอกตึกที่อยู่ถัดออกไปสองตรอก “ เร็วเข้าอย่าให้มันหนีไปได้ ”
ก่อนจะสิ้นเสียงเสียอีกที่ร่างกำยำหลายร่างเผ่นแผล็วตามไปอย่างรวดเร็วด้วยกระหายในการไล่ล่าทิ้งให้ร่างเล็กบางกว่าที่ติดตามมาเพียงเพื่อให้ได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดยืนคว้างไปชั่วครู่ก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัวแล้ววิ่งตามไปบ้าง
กลุ่มที่วิ่งตามทั้งหมดล้วนดูเคร่งเครียดเห็นได้ชัดเจนจากเส้นประสาทบริเวณขมับที่ปูดโปนขึ้นเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยสีแดงอมเขียว  ในขณะที่ร่างผอมบางของผู้ถูกไล่ล่าสั่นสะท้านจากการพยายามกลั้นเสียงหัวเราะด้วยความขบขันไว้เต็มเหนี่ยวจนริมฝีปากบางเป็นรอยแดงช้ำจากการขบเม้ม  “ แน่จริงก็ไล่ให้ทันสิ ” ไม่วายที่จะหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กลุ่มตามที่หมดแรงหอบจนตัวโยนแต่ยังคงความแน่วแน่ที่จะจับตัวร่างตรงหน้าเสียให้อยู่หมัด  จนกระทั่งวิ่งเลี้ยวมุมออกมาโผล่ตรงพื้นที่โล่งกว้างความตั้งใจนั้นจึงต้องมีอันล้มเลิกไปด้วยว่าเป้าหมายได้หายลับไปเสียแล้ว  เหลือไว้เพียงอากาศธาตุกับต้นไม้สูงที่ขึ้นอยู่ประปรายติดกับพื้นที่ที่ผู้คนพากันเรียกว่าแหล่งซ่องสุม  ทั้งที่ตามติดกระชั้นชิดจนเกือบจะแน่ใจว่าจะคว้าตัวได้เพียงแค่ยื่นมือออกไป
ร่างบางเป่าปากอย่างอารมณ์ดีก่อนโหนตัวลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่หลังจากรอจนแน่ใจว่าไม่มีพวกสอดรู้คนใดหลงเหลืออยู่  “ นึกว่าจะแน่  ...แค่นี้ก็เผ่นแน่บแล้วแฮะ ” ว่าพลางหันกลับมองข้ามไหล่ไปยังตึกเก่าโทรมด้านหลัง  ...อันที่จริงตึกรามนับสิบหลังที่ครอบครองพื้นที่ด้านตะวันตกของเมืองนี้ก็น่ากลัวสมตามคำร่ำลือจริงๆ  นั่นแหละ  อาคารสูงๆ  ต่ำๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเพราะเจ้าของเดิมที่เป็นภูตสไปรท์ประสบปัญหาการลักลอบค้าพรายปิศาจจนต้องหอบข้าวของกลับเข้าป่าไปจึงกลายเป็นแหล่งส่องสุมอย่างดีของพวกติดยา  ประกอบกับเป็นย่านโรงแรมม่านรูดและคาสิโนครบวงจร  และมีข่าวลือหนาหูว่าเป็นที่ซ่อนของพวกสัตว์ประหลาด แถมบรรยากาศยังเป็นใจให้แสงแดดสาดส่องลงมาไม่ค่อยถึงทำให้อาณาบริเวณนี้มืดทึบทึมเหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับทุกข่าวลือที่เล่ามา จนทำให้ผู้คนขยาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ 
ดูเผินๆ  แล้วจะเห็นว่าร่างเล็กนั้นเป็นเพียงเด็กสาวน่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้นเมื่อดูจากร่างกายที่ผอมบางเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง  ผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำยาวเคลียบ่ายุ่งฟูเป็นกระเซิงจากการวิ่ง  เธอสวมเสื้อคลุมตัวยาวที่เก่าขาดลุ่ยตรงชายทั้งยังมอมไปด้วยคราบสิ่งสกปรก  แต่เมื่อเธอหมุนตัวกลับพลางยกมือขึ้นเสยผมม้าที่ยาวทิ่มตาออกไปก่อนจะใช้นิ้วมือสางให้เข้าที่ต่างหวีแล้วรวบขึ้นมัดลวกๆ  ไว้ที่ด้านหลังก็เหมือนมีมนตร์วิเศษมาเสกให้เธอกลายเป็นชายในบัดดล  ซึ่งความจริงก็ควรเป็นเช่นนั้น
นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำเพ่งมองไปยังหลังมือที่เห็นเป็นรอยยาวมีเลือดไหลซิบเพราะถูกกิ่งไม้ข่วนตอนผลุนผันกระโจนขึ้นไปอย่างไม่ชอบใจนัก  ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดหรือกลัวว่าผิวขาวเนียนละเอียดนั้นจะเป็นรอย  แต่ประกายแสงระยิบสีทองที่เต้นอยู่รอบแผลนั่นต่างหากล่ะที่เป็นที่มาของความหงุดหงิด  เมื่อปากแผลเริ่มสมานตัวเองช้าๆ
เด็กหนุ่มยกหลังมือขึ้นเป่าเบาๆ  จุดแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นในแววตาครู่หนึ่งก่อนจะหายไปพร้อมกับประกายแสงสีทอง  เขายิ้มอย่างพอใจก่อนจะก้มลงเลียบาดแผลเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น  แล้วจึงเดินดุ่มตรงไปยังซากตึกเก่าโทรมมีตะไคร่น้ำจับที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหลังในสุด  โดยไม่ใยดีกับสายตาไม่ประสงค์ดีที่ส่องประกายวาบวับดูน่ากลัวมาจากเงามืดที่อยู่ตามซอกหลืบของอาคารเก่าคร่ำคร่า
“ ให้ตายสิเสียอีกจนได้ ” เสียงดังลอดออกมาจากหลังบานประตูไม้ทำเอาเด็กหนุ่มชะงักมือที่ยื่นออกไปแล้วเบียดกายแทรกหลบหลังบานประตูที่เปิดผลัวะออกตามแรงโทสะของคนผลักที่บ่นอุบอิบไปตลอดทางเฉกเช่นเดียวกันกับร่างอีกนับสิบของหลากเผ่าพันธุ์ที่เดินเรียงแถวกันออกมา
เขารอให้ประตูเหวี่ยงปิดลงจึงแง้มมันเปิดออกอีกครั้งด้วยท่าทีรื่นเริง “ กลับมาแล้วฮะ ”  เขาตะโกนบอกชายร่างสูงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะปูผ้ากำมะหยี่สีแดงสดซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการกวาดของมีค่าทั้งเหรียญเงิน  เหรียญทองและเพชรนิลจินดาเก็บลงกล่อง  เด็กหนุ่มกวาดตามองจนแน่ใจว่าอยู่เพียงลำพังสองคนจึงก้าวเข้าไปหาและพูดต่อจนจบประโยคที่ค้างไว้  “ ท่านพ่อ ” 
ชายผู้ถูกเรียกว่า “ พ่อ ” ยืดตัวขึ้นพร้อมกับถอดแว่นขาเดียวที่สวมไว้ที่ตาซ้ายเพื่อพรางหน้าออกก่อนจะยิ้มมีนัยมาให้อย่างอารมณ์ดี  ไฟดวงเล็กที่จุดไว้ในตะเกียงแขวนห้อยลงจากเพดานส่องกระทบให้เห็นดวงหน้าเพียงครึ่งเดียว  แต่นั่นก็มากเกินพอแล้วที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาเห็นจะสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าชายผู้นี้ไม่มีทางเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเด็กหนุ่มได้
ซิริอัส  เกรซัสนั้นมีใบหน้าคมเข้มเยี่ยงชายชาตรีในขณะที่บุตรชายมีใบหน้าหวานเหมือนผู้หญิง  ผมสีดำสนิทตัดสั้น  แม้อายุจะล่วงเลยวัยหนุ่มมาพอควรแต่ร่างสูงนั้นยังคงความกำยำสมส่วนมีมัดกล้ามไว้ได้อย่างเหนียวแน่นสมกับเป็นอดีตสิงห์ซ้ายแห่งฟีเลเซียที่ผ่านการคัดสรรสู่ตำแหน่งด้วยวัยเพียงยี่สิบปีและภายหลังที่ได้จับดาบฝึกฝนไม่ถึงห้าปีดีเสียด้วยซ้ำ  เห็นได้ชัดว่าเฟอร์รันนั้นช่างมีสายตาเฉียบคมนักที่เล็งเห็นพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มกำพร้าที่ยังชีพด้วยมิจฉาวิธี  ด้วยถูกชะตาจึงผูกมิตรและสอนวิชาดาบให้  ทีแรกเฟอร์รันก็ไม่คิดอะไรกับความสามารถที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วแต่ใครเล่าจะรู้ว่าเด็กเสเพลคนนั้นจะสามารถก้าวเข้ามายืนเทียบเคียงบ่าสิงห์ขวาคู่กับเขาได้อย่างสมภาคภูมิ  นับเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงการดาบโดยแท้จริง
หลังจากที่ความแน่วแน่ของซิริอัสเอาชนะใจสิบผู้คุมกฎได้  เขาก็ลาออกจากตำแหน่งและพาเฟอร์โรเรน  วีกส์สายเลือดต้องสาปอันเกิดจากผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนรักและพี่ชายร่วมสาบานเดินทางพเนจรไปเรื่อยเพื่อหนีให้พ้นจากการถูกตามล่า  ปกปิดตนเองและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความสามารถพิเศษที่ใช้หาเลี้ยงชีพก่อนจะหันมาจับดาบ     
นัยน์ตาคมสีดำสนิทเพ่งพิศร่างตรงหน้าเพียงอึดใจ  สายตาตวัดมองรอยแผลที่หลังมือเร็วๆ  ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ “ เรน ”
“ ฮะ ” เด็กหนุ่มตอบรับพลางเหล่มองเหยือกน้ำในตู้เก็บของทางหางตา
“ เกิดอะไรขึ้นที่ตลาด ”
ผู้ถูกถามสะดุ้งเฮือก  ถึงจะผ่านมาสิบหกปีแล้วแต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับสายตาคมดั่งมีดที่เหมือนมองทะลุถึงก้นบึ้งของหัวใจนั้นเสียที  และทุกครั้งที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นก็เป็นอันแน่ใจได้เลยว่าไม่มีประโยชน์ใดที่จะโกหกเพราะความเฉียบขาดนั้นแน่ชัดเสียยิ่งกว่าเครื่องจับเท็จเสียอีก  “ เรื่องเดิมๆ ฮะ ” ตอบสบายๆ  เหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ  “ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครกันที่บังเอิ๊ญ...  บังเอิญจำหน้าข้าได้แล้วเที่ยวบอกใครต่อใครไปว่าข้าเป็นอะไร...  ”  ยักไหล่อีกครั้ง  สมัยเป็นเด็กเขาควบคุมพลังได้ไม่ดีนัก  ...คงไม่แปลกหรอกที่ผู้รอดชีวิตจากการระเบิดพลังนั้นจะจำหน้าเขาได้ติดตา  “ ข้าเลยได้วิ่งชมเมืองสักสองรอบครึ่งได้มั้ง ”
ซิริอัสถอนหายใจ  “ ทำไมไม่สู้ ”  เขาถามช้าๆ  อย่างระอาเต็มทน  การที่เฟอร์โรเรนไว้ผมยาวเข้ากับหน้าหวานเพื่อไว้ปลอมตัวหนีการตามล่า  และเลือกใช้คำลงท้ายว่า‘ฮะ’จนติดปากนั้นยังพอรับได้อยู่แต่การที่เขาวิ่งหนีเหมือนพวกหมาขี้แพ้อย่างนี้สำหรับเขาแล้วมันสุดทนจริงๆ  “ ทั้งๆ  ที่ข้าก็สอนเจ้าจนหมดแล้วแท้ๆ  ไม่ว่าการสู้ด้วยมือเปล่าหรือการใช้อาวุธทุกชนิดเท่าที่ข้าจะจินตนาการได้ในโลกนี้ ...สารภาพมาซิ 
ตอนนี้เจ้าหมดข้อแก้ตัวแล้วนะ ...อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัว ”
“ อย่างข้าเนี่ยนะ!! ”  เฟอร์โรเรนเบ้ปาก  “ ข้าไม่สู้ก็เพราะไม่อยากสู้  ...เลี่ยงได้ก็เลยเลี่ยง ...ถ้าไม่สู้ข้าก็เจ็บ  ...ถ้าข้าสู้เขาก็เจ็บ  ...แต่ถ้าข้าวิ่งอย่างมากก็แค่เหนื่อยทั้งสองฝ่าย  เหตุผลมันก็มีเท่านี้แหละฮะ ”
“ เจ้าไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย ”
“ ก็... ” เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเล่าออกไป “ ท่านพ่อจำเรื่องสักเมื่อสี่  ซ้า  ห้า  หก  เจ็ดปีที่แล้วได้ไหมฮะ ”
“ ไม่ต้องมาเล่นสำนวน ”
“ ตอนอยู่ที่สตาร์คัส  ...บ้านหลังสุดท้ายของเราก่อนต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่ ” เฟอร์โรเรนรวบรัด  “ ท่านพ่อคงจำคืนนั้นได้  ...คืนที่ข้าถูกพวกชาวบ้านตามล่าไปจนมุมในตรอกแคบข้างกองขยะ ” เล่าพลางความทรงจำเมื่อครั้งเก่าก็หวนกลับคืนมาในห้วงความคิด  “ ตอนนั้นข้ากลัวมาก มองไปทางไหนก็มีแต่ศัตรู...  ถือมีด  ถือดาบกลุ้มรุมเข้ามาหมายจะฆ่าข้าให้ตาย...  ถ้าตอนนั้นท่านหาข้าไม่พบ  ข้าคงตายไปแล้วไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้...  ” สบดวงตาดำนิ่งครู่หนึ่งและเลื่อนลงยังฝ่ามือแข็งแรงที่รวบประสานไว้ตรงหน้า  “ ถ้าไม่มีมือคู่นี้ที่กวัดแกว่งดาบบุกตะลุยเข้ามา  และฉุดข้าให้ลุกขึ้นยืน... ”
“ ข้าเองก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวนั่น ”  ซิริอัสเอ่ยเบาๆ “ แต่เมื่อมองเข้าไปในแววตาข้ากลับพบกับอีกสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไป... ” หันมาสบตาตอบ  “ มันไม่ใช่ความกลัว...  แต่เป็น...  ” เขาเว้นวรรคเนิ่นนานจนเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง  “ แล้วมันเกี่ยวกับคำถามแรกตรงไหน!!  ”  น้ำเสียงนั้นเฉียบขาดคาดคั้น
“ ท่าน...  จำไม่ได้หรือว่าสาเหตุของการตามล่านั้นเกิดจากอะไร ” เฟอร์โรเรนยังคงพูดต่อ “ สาเหตุที่ไม่ได้มาจาก...  สายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ของข้า ”
“ จำได้ ”  ซิริอัสตอบอย่างเสียไม่ได้  แต่ครู่หนึ่งดวงตาคมกลับเบิกโพลงด้วยตระหนักถึงคำตอบที่ซุกซ่อนอยู่
“ ข้าสวนกลับเด็กคนหนึ่งที่มาแกล้งข้า...  แค่หมัดเดียว...  หมัดเดียวที่ส่งผลอย่างร้ายกาจ... ข้าไม่ต้องการให้คนที่ข้ารักต้องลำบากไปมากกว่านี้ท่านพ่อ...  ”  เขาสรุปตอนท้ายรัวเร็ว  “ แค่สองชีวิตกับวิถีแห่งสิงห์ซ้ายนั้นก็มากเกินกว่าชั่วชีวิตข้าจะชดใช้ได้  แล้วยังชีวิตของ... ” ปากเม้มสนิทครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงเพื่อนเพียงคนเดียวในวัยเยาว์ที่พลอยโดนลูกหลงไปด้วย  “ ...เพราะฉะนั้นชีวิตที่เหลืออยู่  คนที่จะเจ็บก็ขอให้มีเพียงข้าเถอะท่านพ่อ ” ประกายในแววตาสีน้ำตาลสั่นไหว  และขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าว 
“ อย่ามาทำซึ้งกับข้านะ ”  ซิริอัสยกมือขึ้นเท้าคางเพื่อซ่อนอารมณ์ที่เริ่มหวั่นไหวแต่นั่นมันกลับทำให้เขาหันไปจ๊ะเอ๋เข้าพอดีกับเหยือกน้ำที่ลอยอ้อยอิ่งข้ามห้องมาหานิ้วมือเรียวยาวที่อ้ารออยู่แล้ว  “ เรน ” มือที่เท้าคางอยู่ตบลงบนโต๊ะเสียงดังปัง!!  ทำเอาเฟอร์โรเรนมือสั่นด้วยความตกใจทำน้ำในเหยือกหกไปเกือบครึ่ง “ ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าห้ามใช้เวทมนตร์!! ”
“ ข้าก็ทำแค่เฉพาะต่อหน้าท่านแหละน่า ”
“ นั่นก็ไม่ได้ ” คราวนี้ซิริอัสเริ่มขึ้นเสียงให้กับความทะเล้นไม่เลือกเวลาของเจ้าลูกตัวแสบ “ เจ้าไม่รู้สถานะตัวเองดีพอรึไง ”
เฟอร์โรเรนหน้าหม่นลงไปถนัดตา  เขาก้มหน้านิ่งด้วยไม่กล้าสบสายตาอีกฝ่าย  และเมื่อทำเช่นนั้นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำคำว่า ‘สถานะ’ ที่ซิริอัสพูดถึงให้ชัดเจนขึ้นในหัว
...ตัวการของความพินาศแห่งพงศ์พันธุ์พ่อมด  ยังสมบูรณ์ดีพร้อมด้วยเวทมนตร์ที่กล้าแข็ง...
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากนั้นเลวร้ายและสั่นสะเทือนวงการพ่อมดอย่างไม่มีใครคาดคิด  ที่ประชุมกฎอันประกอบไปด้วยทอร์เรออนหัวหน้าสิบผู้คุมกฎพ่อมด      เลโอเรียน  เฟเฮอร์  เอ.  ฟีเลโดเรีย กษัตริย์แห่งฟีเลเซีย  อีรียาเจ้าแห่งพรายจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์  และเซนต์แอนน์แมวขนฟูสีมอซอตัวแทนสัตว์วิเศษ
การประชุมกำลังเคร่งเครียดถึงขีดสุดด้วยว่าเลือดต้องสาปที่เพิ่งถือกำเนิดนั้นได้รับเวทย์คุ้มครองที่ไม่มีมนตร์บทใดจะแก้ได้  “ มนตร์มอบชีวิต ” ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสรรหาบุคคลผู้ที่มีความเหมาะสมอย่างที่สุดเพื่อมารับเลี้ยงดูทารกน้อยสายเลือดผสมคนนี้  และที่ประชุมก็มีมติแล้วว่าให้เป็นหน้าที่ของท่านอีรียาซึ่งยินดีรับด้วยความเต็มใจเพราะเป็นมิตรเก่าแก่มานานกับเฟอร์รัน  อีกทั้งพรายก็รักสันติและปลีกตัวออกห่างจากมนุษย์ไปหลบลี้อยู่ไกลแสนไกลจึงแน่ใจได้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ถูกหาพบ  ...โดยไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามตินั้นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง...
บานประตูถูกผลักออก  ชายหน้าตาหล่อเหลาห่อหุ้มกายด้วยเสื้อคลุมคอปกตั้งสีดำก้าวเข้ามา  เขามองไปรอบๆ  และฉีกยิ้มที่ไม่อาจบอกอารมณ์ได้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์  “ ข้า...  เจ้าชายฮิวเมริจแห่งอาณาจักรเฮเดสคาร์...  ท่านกิเกลฟ์พ่อของข้ามีอาการไม่สู้ดีนักข้าจึงอาสามาแทน  ” เขายิ้มอีกครั้ง  เขี้ยวเล็กเรียวแหลมจิกลงบน    ริมฝีปากอย่างมุ่งร้าย  นัยน์ตาสีทองที่ม่านตาเป็นขีดเหมือนตาสัตว์เปล่งประกายวิบวับ  “ พวกท่านคงได้มติเรื่องสิทธิ์ผู้เลี้ยงดูแล้วสินะ...  มติที่ได้มาโดยไม่มีข้า...  ไม่ว่ากันเพราะข้ามาสายเอง  แต่ดูเหมือนว่าพวกท่านจะยังหาข้อสรุปเกี่ยวกับบทลงโทษไม่ได้สินะ ”  เขาเดินวนไปรอบๆ  ห้องก่อนจะหยุดลงข้างภูตตัวจิ๋วที่ทำหน้าที่จดบันทึกอยู่ที่มุมห้องมันกระพือปีกถอยห่างด้วยความหวาดผวาทันทีที่ฮิวเมริจก้มลงใกล้
เจ้าชายดำอ่านบันทึกอย่างรวดเร็ว  เขาแสร้งทำสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดเหมือนเพิ่งรับทราบเรื่องราวทั้งหมดทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกรวมทั้งข้อเสนอที่เตรียมมาพร้อมสรรพ  เขายืดตัวขึ้นช้าๆ  มีสีหน้าครุ่นคิด  “ เท่าที่ประสบการณ์อันน้อยนิดของข้ามีข้าใคร่ขอเสนอความเห็น ”
“ เชิญท่านพูดมา ” ทอร์เรออนค้อมศีรษะน้อมรับ
“ ข้าคิดว่ามันกำหนดไว้ชัดเจนดีอยู่แล้วอย่างชัดเจนในบทบัญญัติที่  ๙  โทษตายสถานเดียวว่าด้วยเรื่องการยกเว้น ...” เขาฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีก  “ ...เป็นหน้าที่ของทุกชีวิตที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิด  และไม่อาจลงโทษได้จบสิ้น  ...โทษข้อนี้ข้าคิดว่ารู้จักดีเชียวล่ะท่านทอร์เรออน  ...โทษเดียวกับที่เผ่าพันธุ์ของท่านเสนอต่อท่านปู่ของข้า  ...ห้ามย่างกรายเข้าดินแดนมนุษย์หนึ่งพันปีด้วยโทษที่เสพสมกับพราย ” 
อีรียาถึงกับสะดุ้งเฮือก  พรายไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะไม่อยากมาเหยียบดินแดนมนุษย์อยู่แล้ว 
“ เอ่ยข้อเสนอของท่านมาอย่ามัวชักช้าอยู่เลย ” เซนต์แอนน์บอก
“ แหม!  ท่านเหมียวนี่ใจร้อนจริง ...ข้อเสนอของข้าคือ  ถอดถอนอำนาจเวทมนตร์ของพ่อมดทุกคนบนแผ่นดินนี้ ”
“ มันไม่หนักหนาไปหน่อยรึ  ” เฟเฮอร์ท้วง  “ ถอดเวทมนตร์พ่อมดก็ไม่ต่างจากตัดแขนขาพวกเขา ”
“ พวกข้าเองที่ถูกตัดขาดจากอาหารโปรดยังอยู่รอดมาได้เลย ” ฮิวเมริจพูดเบาๆ  อย่างหมั่นไส้ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันดัง  “ ตราชั่งแห่งความยุติธรรมเที่ยงตรงเสมอท่านกษัตริย์มนุษย์  ตามสายตาข้ามันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ”
“ หนึ่งร้อยปี ” เซนต์แอนน์พูดแทรกเบาๆ  “ ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองฝ่ายจะยอมรับได้หรือไม่ ”
“ เป็นตามนั้น ” เฟเฮอร์กล่าวเบาๆ  อย่างยอมจำนน
“ ขอให้เสียงของข้าเป็นไปตามท่านทอร์เรออน ”  อีรียากล่าวแผ่วเบา
ฮิวเมริจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนแย้มปากตอบ “ ก็ดี...  ถึงจะน้อย  ผิดกับที่ข้าคาดไว้ไปหน่อยแต่ก็พอยอมรับได้  ” ยักไหล่ครั้งหนึ่ง
เซนต์แอนน์พยักหน้าและหันไปหาชายชราที่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน “ แล้วท่านล่ะ... ”
ทอร์เรออนเก็บซ่อนความปวดร้าวไว้ภายใต้ท่าทีที่สงบนิ่ง  เขาลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือออกไปยังกลางโต๊ะกลม  “ ที่ประชุมมีมติแล้ว ” แสงสีรุ้งปรากฏขึ้นจางๆ  ก่อนจะตามด้วยแสงเจิดจ้าแล้วคัมภีร์สันติภาพก็เคลื่อนตัวออกมาจากแสงสว่าง  ทอร์เรออนวางมือเหนือคัมภีร์ที่ลอยอ้อยอิ่งและหลับตาลง
หน้าคัมภีร์เหวี่ยงตัวเองเปิดออกช้าๆ  ลำแสงสีทองเปล่งประกายอาบไล้ทั่วทั้งที่ประชุม  ร่างของทอร์เรออนเรืองแสงสีจางก่อนที่แสงนั้นจะรวมเป็นลำแล้วพุ่งเข้าสู่หน้าคัมภีร์แสงเฉกเช่นเดียวกับลำแสงหลากสีนับร้อยนับพันที่แผ่พุ่งมาจากทั่วสารทิศ
ฮิวเมริจค้อมศีรษะอย่างชอบใจ  เขาสะบัดเสื้อคลุมเบาๆ  แล้วถอยหลังกลับออกไป 
...หากแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่ามีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น...  ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งลงโทษพรายปิศาจ...
“ เหตุผลนี้ดีพอที่พวกเขาจะยอมแหกกฎมนตร์มอบชีวิตเชียวนะ ”  ซิริอัสว่าพลางลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้น  เฟอร์โรเรนหลับตาแน่นเตรียมใจรอรับแรงกระแทก แต่ร่างสูงทำเพียงกำหมัดหลวมๆ  เคาะลงกลางกระหม่อมร่างเล็กที่ไหล่ลู่ลงอย่างหดหู่โป๊กใหญ่ๆ  เท่านั้น 
“ โอ๊ย !! ” เฟอร์โรเรนยกมือขึ้นคลำหัวป้อย ชั่วขณะที่เงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงงสายตาก็สบเข้ากับร่างสูงที่ยืนเท้าเอว  มือข้างที่วางเหนือศีรษะคลายออกลูบเบาๆ  อย่างแสนรักก่อนจะขยี้ให้ยุ่งขึ้นด้วยความเอ็นดู
“ คนผิดน่ะข้าต่างหาก ”  ซิริอัสทำหน้าทะเล้นแยกเขี้ยวใส่ทีนึงก่อนตีหน้าขรึมตามเดิม  “ ทั้งหมดข้าสอนเจ้าเอง...  ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทั้งในและนอกตำรา...  ทั้งภาษาพรายที่ทำให้เจ้าสามารถเรียนรู้ตำราเวทย์ที่พ่อเจ้าทิ้งไว้ให้...  ทั้งยังแนะนำและฝึกปรือเจ้าด้วยตนเอง...  ข้าสอนให้เจ้าใช้เวทมนตร์เป็น  ทั้งที่ถ้าเงียบไว้เจ้าก็อาจไม่รู้จักมันเลยชั่วชีวิต... เจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ ”
เฟอร์โรเรนสะท้านในแววตาและรอยยิ้มอบอุ่นนั้นจนเกือบจะก้มหน้าหนี “ ...เพื่อ  ...ไว้ให้ข้าใช้จัดการพวกที่กล้ามาแหยมล่ะมั้งฮะ ”  พยายามตอบให้ติดตลกแต่เจ้าของคำถามกลับพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ
“ ข้าแค่จะเตือนให้เจ้าระวังตัวให้มากเพราะตอนนี้พวกพ่อมดเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อไปตระเตรียมงานที่วังหลวงต่างหาก ”  ซิริอัสขยิบตาให้ลูกชาย  “ เจ้าไม่อยากให้ข้าลำบากไม่ใช่หรือไง ”  พูดจบก็ฉวยกล่องใส่สมบัติแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
เฟอร์โรเรนวางเหยือกน้ำลงก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองแผ่วเบาเหมือนกับจะซึมทราบความอบอุ่นจากอุ้งมือหยาบกร้านเมื่อครู่นี้ไว้
                                                                              ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
“ ที่วังเขาจะมีงานอะไรกันหรือฮะ ” เฟอร์โรเรนถามเสียงแผ่วด้วยว่าไม่อยากรบกวนชายที่นอนใช้สองมือหนุนต่างหมอนที่อยู่บนเตียงข้างกัน  ในขณะที่ตนเองนอนคว่ำใช้สองมือเท้าคางก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเรื่อง “ ประวัติของเอลฟ์ ”  ที่อ่านไปได้กว่าค่อนเล่มแล้ว
“ พิธีลงนามรับรองพันธะสัญญาเลือด ” 
“ รับรอง ” เฟอร์โรเรนถามซ้ำให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด  “ ทำไปทำไมฮะ ” 
“ เพื่อให้แน่ใจไง  ว่าพวกปิศาจจะไม่มารังควาญดินแดนมนุษย์อีกเป็นครั้งที่สอง ”  ซิริอัสตอบ  “ พวกมันจะพ้นโทษที่ว่าด้วยบัญญัติข้อ ๙ กรณีเดียวกับเจ้าในวันที่ ๓๑  ตุลา ”
“ อ้อ ”  เฟอร์โรเรนก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ  พลันนึกอะไรขึ้นได้จึงผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น  ปลุกซิริอัสที่สัมผัสไวเป็นพิเศษให้กระโดดลุกขึ้นพร้อมกับชักดาบออกมาถือในท่าเตรียมพร้อม  “ พรายจะออกจากป่า ” เหลียวมองไปที่เตียงข้างๆ  อย่างตื่นๆ  เมื่อเห็นคมดาบวาวในมืออีกฝ่าย  “ ขอโทษฮะท่านพ่อ... ข้าตื่นเต้นไปหน่อย ”
ซิริอัสเก็บดาบเข้าฝักสีดำที่สลักเสลามาอย่างวิจิตรประดับพลอยรูปดาบ  มันเป็นอาวุธคู่กายและเป็นสัญลักษณ์ของสิงห์ซ้าย  ความจริงเขาควรส่งมอบดาบเล่มนี้คืนวังหลวงภายหลังพ้นจากตำแหน่ง  แต่เขาก็ไม่อาจทำได้ด้วยว่ามันรบเคียงบ่าเขามาแรมปีและสิงห์ซ้ายเองก็เลือกเขาเป็นนายด้วยความเต็มใจมิฉะนั้นเขาคงไม่อาจใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้คล่องมือทั้งที่ผ่านพ้นหน้าที่นี้แล้ว  “  อะไรของเจ้า  ”
“ ข้าแค่ดีใจนิดหน่อยน่ะครับว่าอาจจะได้เห็นพรายตัวเป็นๆ  สักครั้งในชีวิต ” ว่าพลางยกหนังสือเก่าคร่ำคร่าที่ยืมมาจากห้องสมุดประจำเมืองให้ดูภาพวาดสี่สีเป็นรูปพรายหนุ่มตนหนึ่งในอาภรณ์สีเขียวใบไม้สดแซมน้ำตาล  บนหน้าผากประดับจี้ใสรูปหยดน้ำเห็นใบไม้เล็กจิ๋วข้างใน  “  ว่ากันว่าพรายสวยสง่าจนชวนตะลึงให้ใหลหลงอีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการรักษาที่พลังอำนาจใดก็เทียบไม่ติด  ”  ดวงตาโตเป็นประกายวับอย่างชื่นชมหนักหนาจนผู้ที่นิ่งฟังอยู่หมั่นไส้  “ ขนาดพวกครึ่งปิศาจที่ข้าเคยเห็นตามร้านเหล้ายังสวยซะขนาดนั้น  ท่านพ่อลองคิดดูสิว่าพวกสายเลือดบริสุทธิ์จะขนาดไหน  ...แล้วคนนี้นะท่านพ่อต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าหน้าสวยๆ  อย่างนี้น่ะนะจะ...  ”
“ ยกพวกไปถล่มพวกปิศาจเสียราบไปทั้งโขยง ”  ซิริอัสต่อให้  “ หัวหน้ากองทัพจอมโหดและซาดิสต์จอมพรายรีเกล  แห่งดินแดนเถื่อนเซโรไอรี่ ”
เฟอร์โรเรนขมวดคิ้วให้กับประวัติศาสตร์ของซิริอัส  “ ในนี้บอกว่าเขาเป็นจอมพรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เอลฟ์เคยมี...  องอาจ...  สง่างาม...  เชี่ยวชาญในการรบและมีจิตใจเมตตาบริสุทธิ์นะฮะท่านพ่อ  ท่านเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ”
“ ข้าขอยืนยันด้วยความสัตย์จริง ”  ซิริอัสยกสามนิ้วขึ้นทีเล่นทีจริง  “ เจ้าอย่าได้ริหลงเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเชียวนะ  ...เจ้าพวกเนี้ยอาจจะดีก็จริงแต่ก็เฉพาะกับพวกพ้องเท่านั้นแหละ  เจ้าไม่รู้หรือไงว่าพวกเขาน่ะเดียดฉันท์มนุษย์แค่ไหน  ถึงกับยอมแลกเวทมนตร์ทั้งหมดที่มีกับการหนีให้พ้นจากสายตาเชียวนะ  ...เป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยเจ้าคิดเจ้าแค้นฝังใจขนาดหนักเลยนะนั่น...  แล้วถ้าเจ้าไม่รู้ข้าก็จะบอกให้  ว่าพวกนั้นน่ะไม่โผล่หัวมาหรอก  ขนาดพิธีลงนามเมื่อครั้งท่านเฟเฮอร์ขึ้นครองราชย์พวกเรายังต้องถ่อสังขารไปทำพิธีกันกลางป่า  วางชามอ่างคริสตัลกับกริชเวทย์ทิ้งไว้แล้วกลับไป  เช้าวันรุ่งขึ้นถึงเข้ามาเอาชามที่มีเศษเลือดและก้อนเนื้อเล็กๆ ติดก้น...  นี่แค่พิธีลงนามรับรองพวกเขาไม่ถ่อสังขารอันเป็นนิรันดร์โผล่หัวเขียวๆ  มาให้เจ้าเห็นหรอก  ...พูดถึงชีวิต    นิรันดร์  เจ้าพวกนี้น่ะถือดีว่าตัวเองเป็นอมตะเลยเที่ยวเหยียดหยามว่ามนุษย์อายุสั้นไม่อยากคบค้าข้องเกี่ยวด้วยอย่างออกนอกหน้าตั้งแต่สมัยยังอยู่ร่วมกันแล้ว  ...สำหรับพวกเขาเราก็เหมือนยุงที่อยู่ได้  ๑๔ วันก็ตายนั่นแหละ ”
“ ขนาดนั้นเลยหรือฮะ ”
“ ช่าย...  แล้วก็นะ ...  ”
“ ข้าหมายถึงท่านฮะ ”  เฟอร์โรเรนพูดแทรกทำเอาซิริอัสหน้าเหลอ  “ ท่านพ่อเกลียดพรายขนาดหนักเลยนะฮะเนี่ย  ”
ซิริอัสยักไหล่  “ เปล่าสักหน่อย  ข้าก็แค่พูดความจริงไม่งั้นพวกพ่อมดจะเอาไปพูดกันติดปากจนกลายเป็นศัพท์สำนวนใหม่ไปแล้วเหรอว่า  ...ให้พรายชอบมนุษย์เถอะ...  น่ะ  มันหมายถึงอะไรก็ตามที่แม้แต่ปาฏิหาริย์ยังไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้  ...และข้าขอสาบานเลยว่ามันไม่เกิดขึ้นแน่  ”
“  ข้าว่าท่านฝังใจเรื่องข้าล่ะไม่ว่า ” เฟอร์โรเรนขยิบตาให้ “ ...ศึกชิงตัวเด็กต้องสาปที่ท่านเคยเล่าให้ฟังไงฮะ  นี่...  ท่านพ่อบอกข้าหน่อยสิว่าท่านอีรียาน่ะสวยตามที่เขาลือรึเปล่า ”
“ ใครว่าข้าเคยเห็นหน้าเจ้าพวกตัวเขียวนั่นกัน  เท่าที่ข้าจำได้ก็มีแต่สิบผู้คุมกฎที่รุมโทรมข้าจนสลบไปสามวันนั่นแหละ  โดยเฉพาะตาแก่ทอร์เรออนนั่นจำฝังใจฝังกระดูกเลย ”
“ ก็ใครใช้ให้ท่านพ่อไปควงดาบใส่พ่อมดกันเล่า ”
“ ถ้าข้าจำไม่ผิด...  ทั้งหมดนั่นเพื่อเจ้านะ  จะเข้าข้างกันหน่อยไม่ได้รึไง ”        ซิริอัสยกมือขึ้นกอดอกอย่างงอนๆ  “ รู้งี้ปล่อยไปตามเวรตามกรรมซะก็ดีหรอกไม่น่าเก็บมาเล้ย ”
“ ก็ใช่น่ะสิท่านพ่อ ” เฟอร์โรเรนตบตักผาง  “ ป่านนี้ข้าก็จะได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับพรายผู้สูงศักดิ์ไปแล้ว  ไม่ใช่รังโจรกับโทรลล์ยักษ์สูงสามเมตรแบบนี้หรอก... ”  เฟอร์โรเรนยังพูดต่อไปไม่ทันได้สังเกตเห็นความน้อยใจที่ไหววาบขึ้นในดวงตาดำขลับ  แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ร่างบางโถมเข้าใส่จากทางด้านหลังจนซิริอัสที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบล้มฟุบลงกับเตียง  “ แต่คงไม่มีความสุขแบบนี้
หรอก... ”  สองแขนโอบรอบคอ  เอาคางวางเกยบนเรือนผมสีดำแล้วโคลงตัวเบาๆ  นึกเขินเหมือนกันที่จู่ๆ  ก็ทำตัวเป็นเด็กๆ  แต่อารมณ์อยากกอดพ่อขึ้นมาดื้อๆ  นี่มันห้ามไม่อยู่จริงๆ  “ ...เนอะ  ท่านพ่อ! ”
“ คงงั้นมั้ง...  ” ขนาดซิริอัสที่ปกติชอบเก๊กวางมาดขรึมใส่ยังอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นยีหัวร่างที่เกาะเกี่ยวตนไว้  หัวใจแข็งกร้าวตระหนักได้ทันทีถึงความรักมากมายของผู้เป็นพ่อที่เพิ่มพูนขึ้นในอกทุกวันๆ ...  และในวินาทีนั้นเองที่หัวใจคิดถึงใครบางคนที่เขามาแทนที่ในอ้อมกอดนี้  ดวงตาหรี่ปรืออย่างเจ้าเล่ห์ขึ้นทันทีที่คิดแผนเด็ดได้  ...ไหนๆ  ก็ต้องย้ายบ้านแล้วโฉบไปหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน “ เราไปเยี่ยมพ่อเจ้ากันไหม ”  เขาถาม
                                                                            ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
   
“ นั่นไงมันอยู่ทางนั้น ”  เสียงหนึ่งตะโกนบอกพลางชี้มือชี้ไม้เป็นพัลวัน  พาให้คนที่เหลือมองตามปลายนิ้ว  พลันทุกสายตาก็ดูราวจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเมื่อทุกคู่หยุดลงตรงเป้าหมายเดียวกันที่วิ่งไวไวเห็นชายเสื้อคลุมสีดำมอซอโบกะบัดหายลับไประหว่างซอกตึกที่อยู่ถัดออกไปสองตรอก “ เร็วเข้าอย่าให้มันหนีไปได้ ”
ก่อนจะสิ้นเสียงเสียอีกที่ร่างกำยำหลายร่างเผ่นแผล็วตามไปอย่างรวดเร็วด้วยกระหายในการไล่ล่าทิ้งให้ร่างเล็กบางกว่าที่ติดตามมาเพียงเพื่อให้ได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดยืนคว้างไปชั่วครู่ก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัวแล้ววิ่งตามไปบ้าง
กลุ่มที่วิ่งตามทั้งหมดล้วนดูเคร่งเครียดเห็นได้ชัดเจนจากเส้นประสาทบริเวณขมับที่ปูดโปนขึ้นเห็นเป็นเส้นเลือดฝอยสีแดงอมเขียว  ในขณะที่ร่างผอมบางของผู้ถูกไล่ล่าสั่นสะท้านจากการพยายามกลั้นเสียงหัวเราะด้วยความขบขันไว้เต็มเหนี่ยวจนริมฝีปากบางเป็นรอยแดงช้ำจากการขบเม้ม  “ แน่จริงก็ไล่ให้ทันสิ ” ไม่วายที่จะหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กลุ่มตามที่หมดแรงหอบจนตัวโยนแต่ยังคงความแน่วแน่ที่จะจับตัวร่างตรงหน้าเสียให้อยู่หมัด  จนกระทั่งวิ่งเลี้ยวมุมออกมาโผล่ตรงพื้นที่โล่งกว้างความตั้งใจนั้นจึงต้องมีอันล้มเลิกไปด้วยว่าเป้าหมายได้หายลับไปเสียแล้ว  เหลือไว้เพียงอากาศธาตุกับต้นไม้สูงที่ขึ้นอยู่ประปรายติดกับพื้นที่ที่ผู้คนพากันเรียกว่าแหล่งซ่องสุม  ทั้งที่ตามติดกระชั้นชิดจนเกือบจะแน่ใจว่าจะคว้าตัวได้เพียงแค่ยื่นมือออกไป
ร่างบางเป่าปากอย่างอารมณ์ดีก่อนโหนตัวลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่หลังจากรอจนแน่ใจว่าไม่มีพวกสอดรู้คนใดหลงเหลืออยู่  “ นึกว่าจะแน่  ...แค่นี้ก็เผ่นแน่บแล้วแฮะ ” ว่าพลางหันกลับมองข้ามไหล่ไปยังตึกเก่าโทรมด้านหลัง  ...อันที่จริงตึกรามนับสิบหลังที่ครอบครองพื้นที่ด้านตะวันตกของเมืองนี้ก็น่ากลัวสมตามคำร่ำลือจริงๆ  นั่นแหละ  อาคารสูงๆ  ต่ำๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเพราะเจ้าของเดิมที่เป็นภูตสไปรท์ประสบปัญหาการลักลอบค้าพรายปิศาจจนต้องหอบข้าวของกลับเข้าป่าไปจึงกลายเป็นแหล่งส่องสุมอย่างดีของพวกติดยา  ประกอบกับเป็นย่านโรงแรมม่านรูดและคาสิโนครบวงจร  และมีข่าวลือหนาหูว่าเป็นที่ซ่อนของพวกสัตว์ประหลาด แถมบรรยากาศยังเป็นใจให้แสงแดดสาดส่องลงมาไม่ค่อยถึงทำให้อาณาบริเวณนี้มืดทึบทึมเหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับทุกข่าวลือที่เล่ามา จนทำให้ผู้คนขยาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ 
ดูเผินๆ  แล้วจะเห็นว่าร่างเล็กนั้นเป็นเพียงเด็กสาวน่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้นเมื่อดูจากร่างกายที่ผอมบางเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง  ผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำยาวเคลียบ่ายุ่งฟูเป็นกระเซิงจากการวิ่ง  เธอสวมเสื้อคลุมตัวยาวที่เก่าขาดลุ่ยตรงชายทั้งยังมอมไปด้วยคราบสิ่งสกปรก  แต่เมื่อเธอหมุนตัวกลับพลางยกมือขึ้นเสยผมม้าที่ยาวทิ่มตาออกไปก่อนจะใช้นิ้วมือสางให้เข้าที่ต่างหวีแล้วรวบขึ้นมัดลวกๆ  ไว้ที่ด้านหลังก็เหมือนมีมนตร์วิเศษมาเสกให้เธอกลายเป็นชายในบัดดล  ซึ่งความจริงก็ควรเป็นเช่นนั้น
นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำเพ่งมองไปยังหลังมือที่เห็นเป็นรอยยาวมีเลือดไหลซิบเพราะถูกกิ่งไม้ข่วนตอนผลุนผันกระโจนขึ้นไปอย่างไม่ชอบใจนัก  ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดหรือกลัวว่าผิวขาวเนียนละเอียดนั้นจะเป็นรอย  แต่ประกายแสงระยิบสีทองที่เต้นอยู่รอบแผลนั่นต่างหากล่ะที่เป็นที่มาของความหงุดหงิด  เมื่อปากแผลเริ่มสมานตัวเองช้าๆ
เด็กหนุ่มยกหลังมือขึ้นเป่าเบาๆ  จุดแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นในแววตาครู่หนึ่งก่อนจะหายไปพร้อมกับประกายแสงสีทอง  เขายิ้มอย่างพอใจก่อนจะก้มลงเลียบาดแผลเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น  แล้วจึงเดินดุ่มตรงไปยังซากตึกเก่าโทรมมีตะไคร่น้ำจับที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหลังในสุด  โดยไม่ใยดีกับสายตาไม่ประสงค์ดีที่ส่องประกายวาบวับดูน่ากลัวมาจากเงามืดที่อยู่ตามซอกหลืบของอาคารเก่าคร่ำคร่า
“ ให้ตายสิเสียอีกจนได้ ” เสียงดังลอดออกมาจากหลังบานประตูไม้ทำเอาเด็กหนุ่มชะงักมือที่ยื่นออกไปแล้วเบียดกายแทรกหลบหลังบานประตูที่เปิดผลัวะออกตามแรงโทสะของคนผลักที่บ่นอุบอิบไปตลอดทางเฉกเช่นเดียวกันกับร่างอีกนับสิบของหลากเผ่าพันธุ์ที่เดินเรียงแถวกันออกมา
เขารอให้ประตูเหวี่ยงปิดลงจึงแง้มมันเปิดออกอีกครั้งด้วยท่าทีรื่นเริง “ กลับมาแล้วฮะ ”  เขาตะโกนบอกชายร่างสูงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะปูผ้ากำมะหยี่สีแดงสดซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการกวาดของมีค่าทั้งเหรียญเงิน  เหรียญทองและเพชรนิลจินดาเก็บลงกล่อง  เด็กหนุ่มกวาดตามองจนแน่ใจว่าอยู่เพียงลำพังสองคนจึงก้าวเข้าไปหาและพูดต่อจนจบประโยคที่ค้างไว้  “ ท่านพ่อ ” 
ชายผู้ถูกเรียกว่า “ พ่อ ” ยืดตัวขึ้นพร้อมกับถอดแว่นขาเดียวที่สวมไว้ที่ตาซ้ายเพื่อพรางหน้าออกก่อนจะยิ้มมีนัยมาให้อย่างอารมณ์ดี  ไฟดวงเล็กที่จุดไว้ในตะเกียงแขวนห้อยลงจากเพดานส่องกระทบให้เห็นดวงหน้าเพียงครึ่งเดียว  แต่นั่นก็มากเกินพอแล้วที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาเห็นจะสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าชายผู้นี้ไม่มีทางเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเด็กหนุ่มได้
ซิริอัส  เกรซัสนั้นมีใบหน้าคมเข้มเยี่ยงชายชาตรีในขณะที่บุตรชายมีใบหน้าหวานเหมือนผู้หญิง  ผมสีดำสนิทตัดสั้น  แม้อายุจะล่วงเลยวัยหนุ่มมาพอควรแต่ร่างสูงนั้นยังคงความกำยำสมส่วนมีมัดกล้ามไว้ได้อย่างเหนียวแน่นสมกับเป็นอดีตสิงห์ซ้ายแห่งฟีเลเซียที่ผ่านการคัดสรรสู่ตำแหน่งด้วยวัยเพียงยี่สิบปีและภายหลังที่ได้จับดาบฝึกฝนไม่ถึงห้าปีดีเสียด้วยซ้ำ  เห็นได้ชัดว่าเฟอร์รันนั้นช่างมีสายตาเฉียบคมนักที่เล็งเห็นพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มกำพร้าที่ยังชีพด้วยมิจฉาวิธี  ด้วยถูกชะตาจึงผูกมิตรและสอนวิชาดาบให้  ทีแรกเฟอร์รันก็ไม่คิดอะไรกับความสามารถที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วแต่ใครเล่าจะรู้ว่าเด็กเสเพลคนนั้นจะสามารถก้าวเข้ามายืนเทียบเคียงบ่าสิงห์ขวาคู่กับเขาได้อย่างสมภาคภูมิ  นับเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงการดาบโดยแท้จริง
หลังจากที่ความแน่วแน่ของซิริอัสเอาชนะใจสิบผู้คุมกฎได้  เขาก็ลาออกจากตำแหน่งและพาเฟอร์โรเรน  วีกส์สายเลือดต้องสาปอันเกิดจากผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนรักและพี่ชายร่วมสาบานเดินทางพเนจรไปเรื่อยเพื่อหนีให้พ้นจากการถูกตามล่า  ปกปิดตนเองและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความสามารถพิเศษที่ใช้หาเลี้ยงชีพก่อนจะหันมาจับดาบ     
นัยน์ตาคมสีดำสนิทเพ่งพิศร่างตรงหน้าเพียงอึดใจ  สายตาตวัดมองรอยแผลที่หลังมือเร็วๆ  ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ “ เรน ”
“ ฮะ ” เด็กหนุ่มตอบรับพลางเหล่มองเหยือกน้ำในตู้เก็บของทางหางตา
“ เกิดอะไรขึ้นที่ตลาด ”
ผู้ถูกถามสะดุ้งเฮือก  ถึงจะผ่านมาสิบหกปีแล้วแต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับสายตาคมดั่งมีดที่เหมือนมองทะลุถึงก้นบึ้งของหัวใจนั้นเสียที  และทุกครั้งที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นก็เป็นอันแน่ใจได้เลยว่าไม่มีประโยชน์ใดที่จะโกหกเพราะความเฉียบขาดนั้นแน่ชัดเสียยิ่งกว่าเครื่องจับเท็จเสียอีก  “ เรื่องเดิมๆ ฮะ ” ตอบสบายๆ  เหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ  “ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครกันที่บังเอิ๊ญ...  บังเอิญจำหน้าข้าได้แล้วเที่ยวบอกใครต่อใครไปว่าข้าเป็นอะไร...  ”  ยักไหล่อีกครั้ง  สมัยเป็นเด็กเขาควบคุมพลังได้ไม่ดีนัก  ...คงไม่แปลกหรอกที่ผู้รอดชีวิตจากการระเบิดพลังนั้นจะจำหน้าเขาได้ติดตา  “ ข้าเลยได้วิ่งชมเมืองสักสองรอบครึ่งได้มั้ง ”
ซิริอัสถอนหายใจ  “ ทำไมไม่สู้ ”  เขาถามช้าๆ  อย่างระอาเต็มทน  การที่เฟอร์โรเรนไว้ผมยาวเข้ากับหน้าหวานเพื่อไว้ปลอมตัวหนีการตามล่า  และเลือกใช้คำลงท้ายว่า‘ฮะ’จนติดปากนั้นยังพอรับได้อยู่แต่การที่เขาวิ่งหนีเหมือนพวกหมาขี้แพ้อย่างนี้สำหรับเขาแล้วมันสุดทนจริงๆ  “ ทั้งๆ  ที่ข้าก็สอนเจ้าจนหมดแล้วแท้ๆ  ไม่ว่าการสู้ด้วยมือเปล่าหรือการใช้อาวุธทุกชนิดเท่าที่ข้าจะจินตนาการได้ในโลกนี้ ...สารภาพมาซิ 
ตอนนี้เจ้าหมดข้อแก้ตัวแล้วนะ ...อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัว ”
“ อย่างข้าเนี่ยนะ!! ”  เฟอร์โรเรนเบ้ปาก  “ ข้าไม่สู้ก็เพราะไม่อยากสู้  ...เลี่ยงได้ก็เลยเลี่ยง ...ถ้าไม่สู้ข้าก็เจ็บ  ...ถ้าข้าสู้เขาก็เจ็บ  ...แต่ถ้าข้าวิ่งอย่างมากก็แค่เหนื่อยทั้งสองฝ่าย  เหตุผลมันก็มีเท่านี้แหละฮะ ”
“ เจ้าไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย ”
“ ก็... ” เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเล่าออกไป “ ท่านพ่อจำเรื่องสักเมื่อสี่  ซ้า  ห้า  หก  เจ็ดปีที่แล้วได้ไหมฮะ ”
“ ไม่ต้องมาเล่นสำนวน ”
“ ตอนอยู่ที่สตาร์คัส  ...บ้านหลังสุดท้ายของเราก่อนต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่ ” เฟอร์โรเรนรวบรัด  “ ท่านพ่อคงจำคืนนั้นได้  ...คืนที่ข้าถูกพวกชาวบ้านตามล่าไปจนมุมในตรอกแคบข้างกองขยะ ” เล่าพลางความทรงจำเมื่อครั้งเก่าก็หวนกลับคืนมาในห้วงความคิด  “ ตอนนั้นข้ากลัวมาก มองไปทางไหนก็มีแต่ศัตรู...  ถือมีด  ถือดาบกลุ้มรุมเข้ามาหมายจะฆ่าข้าให้ตาย...  ถ้าตอนนั้นท่านหาข้าไม่พบ  ข้าคงตายไปแล้วไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้...  ” สบดวงตาดำนิ่งครู่หนึ่งและเลื่อนลงยังฝ่ามือแข็งแรงที่รวบประสานไว้ตรงหน้า  “ ถ้าไม่มีมือคู่นี้ที่กวัดแกว่งดาบบุกตะลุยเข้ามา  และฉุดข้าให้ลุกขึ้นยืน... ”
“ ข้าเองก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวนั่น ”  ซิริอัสเอ่ยเบาๆ “ แต่เมื่อมองเข้าไปในแววตาข้ากลับพบกับอีกสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไป... ” หันมาสบตาตอบ  “ มันไม่ใช่ความกลัว...  แต่เป็น...  ” เขาเว้นวรรคเนิ่นนานจนเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง  “ แล้วมันเกี่ยวกับคำถามแรกตรงไหน!!  ”  น้ำเสียงนั้นเฉียบขาดคาดคั้น
“ ท่าน...  จำไม่ได้หรือว่าสาเหตุของการตามล่านั้นเกิดจากอะไร ” เฟอร์โรเรนยังคงพูดต่อ “ สาเหตุที่ไม่ได้มาจาก...  สายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ของข้า ”
“ จำได้ ”  ซิริอัสตอบอย่างเสียไม่ได้  แต่ครู่หนึ่งดวงตาคมกลับเบิกโพลงด้วยตระหนักถึงคำตอบที่ซุกซ่อนอยู่
“ ข้าสวนกลับเด็กคนหนึ่งที่มาแกล้งข้า...  แค่หมัดเดียว...  หมัดเดียวที่ส่งผลอย่างร้ายกาจ... ข้าไม่ต้องการให้คนที่ข้ารักต้องลำบากไปมากกว่านี้ท่านพ่อ...  ”  เขาสรุปตอนท้ายรัวเร็ว  “ แค่สองชีวิตกับวิถีแห่งสิงห์ซ้ายนั้นก็มากเกินกว่าชั่วชีวิตข้าจะชดใช้ได้  แล้วยังชีวิตของ... ” ปากเม้มสนิทครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงเพื่อนเพียงคนเดียวในวัยเยาว์ที่พลอยโดนลูกหลงไปด้วย  “ ...เพราะฉะนั้นชีวิตที่เหลืออยู่  คนที่จะเจ็บก็ขอให้มีเพียงข้าเถอะท่านพ่อ ” ประกายในแววตาสีน้ำตาลสั่นไหว  และขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าว 
“ อย่ามาทำซึ้งกับข้านะ ”  ซิริอัสยกมือขึ้นเท้าคางเพื่อซ่อนอารมณ์ที่เริ่มหวั่นไหวแต่นั่นมันกลับทำให้เขาหันไปจ๊ะเอ๋เข้าพอดีกับเหยือกน้ำที่ลอยอ้อยอิ่งข้ามห้องมาหานิ้วมือเรียวยาวที่อ้ารออยู่แล้ว  “ เรน ” มือที่เท้าคางอยู่ตบลงบนโต๊ะเสียงดังปัง!!  ทำเอาเฟอร์โรเรนมือสั่นด้วยความตกใจทำน้ำในเหยือกหกไปเกือบครึ่ง “ ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าห้ามใช้เวทมนตร์!! ”
“ ข้าก็ทำแค่เฉพาะต่อหน้าท่านแหละน่า ”
“ นั่นก็ไม่ได้ ” คราวนี้ซิริอัสเริ่มขึ้นเสียงให้กับความทะเล้นไม่เลือกเวลาของเจ้าลูกตัวแสบ “ เจ้าไม่รู้สถานะตัวเองดีพอรึไง ”
เฟอร์โรเรนหน้าหม่นลงไปถนัดตา  เขาก้มหน้านิ่งด้วยไม่กล้าสบสายตาอีกฝ่าย  และเมื่อทำเช่นนั้นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำคำว่า ‘สถานะ’ ที่ซิริอัสพูดถึงให้ชัดเจนขึ้นในหัว
...ตัวการของความพินาศแห่งพงศ์พันธุ์พ่อมด  ยังสมบูรณ์ดีพร้อมด้วยเวทมนตร์ที่กล้าแข็ง...
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากนั้นเลวร้ายและสั่นสะเทือนวงการพ่อมดอย่างไม่มีใครคาดคิด  ที่ประชุมกฎอันประกอบไปด้วยทอร์เรออนหัวหน้าสิบผู้คุมกฎพ่อมด      เลโอเรียน  เฟเฮอร์  เอ.  ฟีเลโดเรีย กษัตริย์แห่งฟีเลเซีย  อีรียาเจ้าแห่งพรายจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์  และเซนต์แอนน์แมวขนฟูสีมอซอตัวแทนสัตว์วิเศษ
การประชุมกำลังเคร่งเครียดถึงขีดสุดด้วยว่าเลือดต้องสาปที่เพิ่งถือกำเนิดนั้นได้รับเวทย์คุ้มครองที่ไม่มีมนตร์บทใดจะแก้ได้  “ มนตร์มอบชีวิต ” ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสรรหาบุคคลผู้ที่มีความเหมาะสมอย่างที่สุดเพื่อมารับเลี้ยงดูทารกน้อยสายเลือดผสมคนนี้  และที่ประชุมก็มีมติแล้วว่าให้เป็นหน้าที่ของท่านอีรียาซึ่งยินดีรับด้วยความเต็มใจเพราะเป็นมิตรเก่าแก่มานานกับเฟอร์รัน  อีกทั้งพรายก็รักสันติและปลีกตัวออกห่างจากมนุษย์ไปหลบลี้อยู่ไกลแสนไกลจึงแน่ใจได้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ถูกหาพบ  ...โดยไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามตินั้นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง...
บานประตูถูกผลักออก  ชายหน้าตาหล่อเหลาห่อหุ้มกายด้วยเสื้อคลุมคอปกตั้งสีดำก้าวเข้ามา  เขามองไปรอบๆ  และฉีกยิ้มที่ไม่อาจบอกอารมณ์ได้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์  “ ข้า...  เจ้าชายฮิวเมริจแห่งอาณาจักรเฮเดสคาร์...  ท่านกิเกลฟ์พ่อของข้ามีอาการไม่สู้ดีนักข้าจึงอาสามาแทน  ” เขายิ้มอีกครั้ง  เขี้ยวเล็กเรียวแหลมจิกลงบน    ริมฝีปากอย่างมุ่งร้าย  นัยน์ตาสีทองที่ม่านตาเป็นขีดเหมือนตาสัตว์เปล่งประกายวิบวับ  “ พวกท่านคงได้มติเรื่องสิทธิ์ผู้เลี้ยงดูแล้วสินะ...  มติที่ได้มาโดยไม่มีข้า...  ไม่ว่ากันเพราะข้ามาสายเอง  แต่ดูเหมือนว่าพวกท่านจะยังหาข้อสรุปเกี่ยวกับบทลงโทษไม่ได้สินะ ”  เขาเดินวนไปรอบๆ  ห้องก่อนจะหยุดลงข้างภูตตัวจิ๋วที่ทำหน้าที่จดบันทึกอยู่ที่มุมห้องมันกระพือปีกถอยห่างด้วยความหวาดผวาทันทีที่ฮิวเมริจก้มลงใกล้
เจ้าชายดำอ่านบันทึกอย่างรวดเร็ว  เขาแสร้งทำสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดเหมือนเพิ่งรับทราบเรื่องราวทั้งหมดทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกรวมทั้งข้อเสนอที่เตรียมมาพร้อมสรรพ  เขายืดตัวขึ้นช้าๆ  มีสีหน้าครุ่นคิด  “ เท่าที่ประสบการณ์อันน้อยนิดของข้ามีข้าใคร่ขอเสนอความเห็น ”
“ เชิญท่านพูดมา ” ทอร์เรออนค้อมศีรษะน้อมรับ
“ ข้าคิดว่ามันกำหนดไว้ชัดเจนดีอยู่แล้วอย่างชัดเจนในบทบัญญัติที่  ๙  โทษตายสถานเดียวว่าด้วยเรื่องการยกเว้น ...” เขาฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีก  “ ...เป็นหน้าที่ของทุกชีวิตที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิด  และไม่อาจลงโทษได้จบสิ้น  ...โทษข้อนี้ข้าคิดว่ารู้จักดีเชียวล่ะท่านทอร์เรออน  ...โทษเดียวกับที่เผ่าพันธุ์ของท่านเสนอต่อท่านปู่ของข้า  ...ห้ามย่างกรายเข้าดินแดนมนุษย์หนึ่งพันปีด้วยโทษที่เสพสมกับพราย ” 
อีรียาถึงกับสะดุ้งเฮือก  พรายไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะไม่อยากมาเหยียบดินแดนมนุษย์อยู่แล้ว 
“ เอ่ยข้อเสนอของท่านมาอย่ามัวชักช้าอยู่เลย ” เซนต์แอนน์บอก
“ แหม!  ท่านเหมียวนี่ใจร้อนจริง ...ข้อเสนอของข้าคือ  ถอดถอนอำนาจเวทมนตร์ของพ่อมดทุกคนบนแผ่นดินนี้ ”
“ มันไม่หนักหนาไปหน่อยรึ  ” เฟเฮอร์ท้วง  “ ถอดเวทมนตร์พ่อมดก็ไม่ต่างจากตัดแขนขาพวกเขา ”
“ พวกข้าเองที่ถูกตัดขาดจากอาหารโปรดยังอยู่รอดมาได้เลย ” ฮิวเมริจพูดเบาๆ  อย่างหมั่นไส้ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันดัง  “ ตราชั่งแห่งความยุติธรรมเที่ยงตรงเสมอท่านกษัตริย์มนุษย์  ตามสายตาข้ามันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ”
“ หนึ่งร้อยปี ” เซนต์แอนน์พูดแทรกเบาๆ  “ ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองฝ่ายจะยอมรับได้หรือไม่ ”
“ เป็นตามนั้น ” เฟเฮอร์กล่าวเบาๆ  อย่างยอมจำนน
“ ขอให้เสียงของข้าเป็นไปตามท่านทอร์เรออน ”  อีรียากล่าวแผ่วเบา
ฮิวเมริจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนแย้มปากตอบ “ ก็ดี...  ถึงจะน้อย  ผิดกับที่ข้าคาดไว้ไปหน่อยแต่ก็พอยอมรับได้  ” ยักไหล่ครั้งหนึ่ง
เซนต์แอนน์พยักหน้าและหันไปหาชายชราที่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน “ แล้วท่านล่ะ... ”
ทอร์เรออนเก็บซ่อนความปวดร้าวไว้ภายใต้ท่าทีที่สงบนิ่ง  เขาลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือออกไปยังกลางโต๊ะกลม  “ ที่ประชุมมีมติแล้ว ” แสงสีรุ้งปรากฏขึ้นจางๆ  ก่อนจะตามด้วยแสงเจิดจ้าแล้วคัมภีร์สันติภาพก็เคลื่อนตัวออกมาจากแสงสว่าง  ทอร์เรออนวางมือเหนือคัมภีร์ที่ลอยอ้อยอิ่งและหลับตาลง
หน้าคัมภีร์เหวี่ยงตัวเองเปิดออกช้าๆ  ลำแสงสีทองเปล่งประกายอาบไล้ทั่วทั้งที่ประชุม  ร่างของทอร์เรออนเรืองแสงสีจางก่อนที่แสงนั้นจะรวมเป็นลำแล้วพุ่งเข้าสู่หน้าคัมภีร์แสงเฉกเช่นเดียวกับลำแสงหลากสีนับร้อยนับพันที่แผ่พุ่งมาจากทั่วสารทิศ
ฮิวเมริจค้อมศีรษะอย่างชอบใจ  เขาสะบัดเสื้อคลุมเบาๆ  แล้วถอยหลังกลับออกไป 
...หากแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่ามีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น...  ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งลงโทษพรายปิศาจ...
“ เหตุผลนี้ดีพอที่พวกเขาจะยอมแหกกฎมนตร์มอบชีวิตเชียวนะ ”  ซิริอัสว่าพลางลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้น  เฟอร์โรเรนหลับตาแน่นเตรียมใจรอรับแรงกระแทก แต่ร่างสูงทำเพียงกำหมัดหลวมๆ  เคาะลงกลางกระหม่อมร่างเล็กที่ไหล่ลู่ลงอย่างหดหู่โป๊กใหญ่ๆ  เท่านั้น 
“ โอ๊ย !! ” เฟอร์โรเรนยกมือขึ้นคลำหัวป้อย ชั่วขณะที่เงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงงสายตาก็สบเข้ากับร่างสูงที่ยืนเท้าเอว  มือข้างที่วางเหนือศีรษะคลายออกลูบเบาๆ  อย่างแสนรักก่อนจะขยี้ให้ยุ่งขึ้นด้วยความเอ็นดู
“ คนผิดน่ะข้าต่างหาก ”  ซิริอัสทำหน้าทะเล้นแยกเขี้ยวใส่ทีนึงก่อนตีหน้าขรึมตามเดิม  “ ทั้งหมดข้าสอนเจ้าเอง...  ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทั้งในและนอกตำรา...  ทั้งภาษาพรายที่ทำให้เจ้าสามารถเรียนรู้ตำราเวทย์ที่พ่อเจ้าทิ้งไว้ให้...  ทั้งยังแนะนำและฝึกปรือเจ้าด้วยตนเอง...  ข้าสอนให้เจ้าใช้เวทมนตร์เป็น  ทั้งที่ถ้าเงียบไว้เจ้าก็อาจไม่รู้จักมันเลยชั่วชีวิต... เจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ ”
เฟอร์โรเรนสะท้านในแววตาและรอยยิ้มอบอุ่นนั้นจนเกือบจะก้มหน้าหนี “ ...เพื่อ  ...ไว้ให้ข้าใช้จัดการพวกที่กล้ามาแหยมล่ะมั้งฮะ ”  พยายามตอบให้ติดตลกแต่เจ้าของคำถามกลับพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ
“ ข้าแค่จะเตือนให้เจ้าระวังตัวให้มากเพราะตอนนี้พวกพ่อมดเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อไปตระเตรียมงานที่วังหลวงต่างหาก ”  ซิริอัสขยิบตาให้ลูกชาย  “ เจ้าไม่อยากให้ข้าลำบากไม่ใช่หรือไง ”  พูดจบก็ฉวยกล่องใส่สมบัติแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
เฟอร์โรเรนวางเหยือกน้ำลงก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองแผ่วเบาเหมือนกับจะซึมทราบความอบอุ่นจากอุ้งมือหยาบกร้านเมื่อครู่นี้ไว้
                                                                              ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
“ ที่วังเขาจะมีงานอะไรกันหรือฮะ ” เฟอร์โรเรนถามเสียงแผ่วด้วยว่าไม่อยากรบกวนชายที่นอนใช้สองมือหนุนต่างหมอนที่อยู่บนเตียงข้างกัน  ในขณะที่ตนเองนอนคว่ำใช้สองมือเท้าคางก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเรื่อง “ ประวัติของเอลฟ์ ”  ที่อ่านไปได้กว่าค่อนเล่มแล้ว
“ พิธีลงนามรับรองพันธะสัญญาเลือด ” 
“ รับรอง ” เฟอร์โรเรนถามซ้ำให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด  “ ทำไปทำไมฮะ ” 
“ เพื่อให้แน่ใจไง  ว่าพวกปิศาจจะไม่มารังควาญดินแดนมนุษย์อีกเป็นครั้งที่สอง ”  ซิริอัสตอบ  “ พวกมันจะพ้นโทษที่ว่าด้วยบัญญัติข้อ ๙ กรณีเดียวกับเจ้าในวันที่ ๓๑  ตุลา ”
“ อ้อ ”  เฟอร์โรเรนก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ  พลันนึกอะไรขึ้นได้จึงผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น  ปลุกซิริอัสที่สัมผัสไวเป็นพิเศษให้กระโดดลุกขึ้นพร้อมกับชักดาบออกมาถือในท่าเตรียมพร้อม  “ พรายจะออกจากป่า ” เหลียวมองไปที่เตียงข้างๆ  อย่างตื่นๆ  เมื่อเห็นคมดาบวาวในมืออีกฝ่าย  “ ขอโทษฮะท่านพ่อ... ข้าตื่นเต้นไปหน่อย ”
ซิริอัสเก็บดาบเข้าฝักสีดำที่สลักเสลามาอย่างวิจิตรประดับพลอยรูปดาบ  มันเป็นอาวุธคู่กายและเป็นสัญลักษณ์ของสิงห์ซ้าย  ความจริงเขาควรส่งมอบดาบเล่มนี้คืนวังหลวงภายหลังพ้นจากตำแหน่ง  แต่เขาก็ไม่อาจทำได้ด้วยว่ามันรบเคียงบ่าเขามาแรมปีและสิงห์ซ้ายเองก็เลือกเขาเป็นนายด้วยความเต็มใจมิฉะนั้นเขาคงไม่อาจใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้คล่องมือทั้งที่ผ่านพ้นหน้าที่นี้แล้ว  “  อะไรของเจ้า  ”
“ ข้าแค่ดีใจนิดหน่อยน่ะครับว่าอาจจะได้เห็นพรายตัวเป็นๆ  สักครั้งในชีวิต ” ว่าพลางยกหนังสือเก่าคร่ำคร่าที่ยืมมาจากห้องสมุดประจำเมืองให้ดูภาพวาดสี่สีเป็นรูปพรายหนุ่มตนหนึ่งในอาภรณ์สีเขียวใบไม้สดแซมน้ำตาล  บนหน้าผากประดับจี้ใสรูปหยดน้ำเห็นใบไม้เล็กจิ๋วข้างใน  “  ว่ากันว่าพรายสวยสง่าจนชวนตะลึงให้ใหลหลงอีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการรักษาที่พลังอำนาจใดก็เทียบไม่ติด  ”  ดวงตาโตเป็นประกายวับอย่างชื่นชมหนักหนาจนผู้ที่นิ่งฟังอยู่หมั่นไส้  “ ขนาดพวกครึ่งปิศาจที่ข้าเคยเห็นตามร้านเหล้ายังสวยซะขนาดนั้น  ท่านพ่อลองคิดดูสิว่าพวกสายเลือดบริสุทธิ์จะขนาดไหน  ...แล้วคนนี้นะท่านพ่อต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าหน้าสวยๆ  อย่างนี้น่ะนะจะ...  ”
“ ยกพวกไปถล่มพวกปิศาจเสียราบไปทั้งโขยง ”  ซิริอัสต่อให้  “ หัวหน้ากองทัพจอมโหดและซาดิสต์จอมพรายรีเกล  แห่งดินแดนเถื่อนเซโรไอรี่ ”
เฟอร์โรเรนขมวดคิ้วให้กับประวัติศาสตร์ของซิริอัส  “ ในนี้บอกว่าเขาเป็นจอมพรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เอลฟ์เคยมี...  องอาจ...  สง่างาม...  เชี่ยวชาญในการรบและมีจิตใจเมตตาบริสุทธิ์นะฮะท่านพ่อ  ท่านเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ”
“ ข้าขอยืนยันด้วยความสัตย์จริง ”  ซิริอัสยกสามนิ้วขึ้นทีเล่นทีจริง  “ เจ้าอย่าได้ริหลงเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเชียวนะ  ...เจ้าพวกเนี้ยอาจจะดีก็จริงแต่ก็เฉพาะกับพวกพ้องเท่านั้นแหละ  เจ้าไม่รู้หรือไงว่าพวกเขาน่ะเดียดฉันท์มนุษย์แค่ไหน  ถึงกับยอมแลกเวทมนตร์ทั้งหมดที่มีกับการหนีให้พ้นจากสายตาเชียวนะ  ...เป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยเจ้าคิดเจ้าแค้นฝังใจขนาดหนักเลยนะนั่น...  แล้วถ้าเจ้าไม่รู้ข้าก็จะบอกให้  ว่าพวกนั้นน่ะไม่โผล่หัวมาหรอก  ขนาดพิธีลงนามเมื่อครั้งท่านเฟเฮอร์ขึ้นครองราชย์พวกเรายังต้องถ่อสังขารไปทำพิธีกันกลางป่า  วางชามอ่างคริสตัลกับกริชเวทย์ทิ้งไว้แล้วกลับไป  เช้าวันรุ่งขึ้นถึงเข้ามาเอาชามที่มีเศษเลือดและก้อนเนื้อเล็กๆ ติดก้น...  นี่แค่พิธีลงนามรับรองพวกเขาไม่ถ่อสังขารอันเป็นนิรันดร์โผล่หัวเขียวๆ  มาให้เจ้าเห็นหรอก  ...พูดถึงชีวิต    นิรันดร์  เจ้าพวกนี้น่ะถือดีว่าตัวเองเป็นอมตะเลยเที่ยวเหยียดหยามว่ามนุษย์อายุสั้นไม่อยากคบค้าข้องเกี่ยวด้วยอย่างออกนอกหน้าตั้งแต่สมัยยังอยู่ร่วมกันแล้ว  ...สำหรับพวกเขาเราก็เหมือนยุงที่อยู่ได้  ๑๔ วันก็ตายนั่นแหละ ”
“ ขนาดนั้นเลยหรือฮะ ”
“ ช่าย...  แล้วก็นะ ...  ”
“ ข้าหมายถึงท่านฮะ ”  เฟอร์โรเรนพูดแทรกทำเอาซิริอัสหน้าเหลอ  “ ท่านพ่อเกลียดพรายขนาดหนักเลยนะฮะเนี่ย  ”
ซิริอัสยักไหล่  “ เปล่าสักหน่อย  ข้าก็แค่พูดความจริงไม่งั้นพวกพ่อมดจะเอาไปพูดกันติดปากจนกลายเป็นศัพท์สำนวนใหม่ไปแล้วเหรอว่า  ...ให้พรายชอบมนุษย์เถอะ...  น่ะ  มันหมายถึงอะไรก็ตามที่แม้แต่ปาฏิหาริย์ยังไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้  ...และข้าขอสาบานเลยว่ามันไม่เกิดขึ้นแน่  ”
“  ข้าว่าท่านฝังใจเรื่องข้าล่ะไม่ว่า ” เฟอร์โรเรนขยิบตาให้ “ ...ศึกชิงตัวเด็กต้องสาปที่ท่านเคยเล่าให้ฟังไงฮะ  นี่...  ท่านพ่อบอกข้าหน่อยสิว่าท่านอีรียาน่ะสวยตามที่เขาลือรึเปล่า ”
“ ใครว่าข้าเคยเห็นหน้าเจ้าพวกตัวเขียวนั่นกัน  เท่าที่ข้าจำได้ก็มีแต่สิบผู้คุมกฎที่รุมโทรมข้าจนสลบไปสามวันนั่นแหละ  โดยเฉพาะตาแก่ทอร์เรออนนั่นจำฝังใจฝังกระดูกเลย ”
“ ก็ใครใช้ให้ท่านพ่อไปควงดาบใส่พ่อมดกันเล่า ”
“ ถ้าข้าจำไม่ผิด...  ทั้งหมดนั่นเพื่อเจ้านะ  จะเข้าข้างกันหน่อยไม่ได้รึไง ”        ซิริอัสยกมือขึ้นกอดอกอย่างงอนๆ  “ รู้งี้ปล่อยไปตามเวรตามกรรมซะก็ดีหรอกไม่น่าเก็บมาเล้ย ”
“ ก็ใช่น่ะสิท่านพ่อ ” เฟอร์โรเรนตบตักผาง  “ ป่านนี้ข้าก็จะได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับพรายผู้สูงศักดิ์ไปแล้ว  ไม่ใช่รังโจรกับโทรลล์ยักษ์สูงสามเมตรแบบนี้หรอก... ”  เฟอร์โรเรนยังพูดต่อไปไม่ทันได้สังเกตเห็นความน้อยใจที่ไหววาบขึ้นในดวงตาดำขลับ  แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ร่างบางโถมเข้าใส่จากทางด้านหลังจนซิริอัสที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบล้มฟุบลงกับเตียง  “ แต่คงไม่มีความสุขแบบนี้
หรอก... ”  สองแขนโอบรอบคอ  เอาคางวางเกยบนเรือนผมสีดำแล้วโคลงตัวเบาๆ  นึกเขินเหมือนกันที่จู่ๆ  ก็ทำตัวเป็นเด็กๆ  แต่อารมณ์อยากกอดพ่อขึ้นมาดื้อๆ  นี่มันห้ามไม่อยู่จริงๆ  “ ...เนอะ  ท่านพ่อ! ”
“ คงงั้นมั้ง...  ” ขนาดซิริอัสที่ปกติชอบเก๊กวางมาดขรึมใส่ยังอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นยีหัวร่างที่เกาะเกี่ยวตนไว้  หัวใจแข็งกร้าวตระหนักได้ทันทีถึงความรักมากมายของผู้เป็นพ่อที่เพิ่มพูนขึ้นในอกทุกวันๆ ...  และในวินาทีนั้นเองที่หัวใจคิดถึงใครบางคนที่เขามาแทนที่ในอ้อมกอดนี้  ดวงตาหรี่ปรืออย่างเจ้าเล่ห์ขึ้นทันทีที่คิดแผนเด็ดได้  ...ไหนๆ  ก็ต้องย้ายบ้านแล้วโฉบไปหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน “ เราไปเยี่ยมพ่อเจ้ากันไหม ”  เขาถาม
                                                                            ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น