ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Last Wizard

    ลำดับตอนที่ #6 : สานสัมพันธ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 71
      0
      2 เม.ย. 48

    “ อย่างนี้นี่เอง ” เฟอร์โรเรนพยักหน้าเข้าใจเมื่อเอลาเทลอธิบายให้เขาฟังว่าที่พรายไม่มีชื่อสกุลเพราะถือว่าทุกตนเป็นพี่น้อง   เป็นวงศ์วานเดียวกันจึงไม่จำเป็นต้องมีชื่อสกุลมาแบ่งแยก  ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งรอบกองไฟเพื่อพักผ่อนนอนหลับเมื่อราตรีกาลมาเยือน “ แล้วเรื่องที่เมื่อก่อนพวกท่านมีเวทมนตร์ล่ะ  ”



    เอลาเทลพยักหน้า  “ ก็เหมือนกับจอมเวทย์ทั่วๆ ไปเพียงแต่ทำได้ไม่ดีเท่า  และหลังจากที่เราแลกมันกับอำนาจที่จะซ่อนตัวจากสายมนุษย์ชั่วนิรันดร์   เราก็ยังมีความสามารถพิเศษเล็กๆ น้อยๆ  อย่างพลังในการรักษา  การขับขานบทเพลงเพื่อให้ฤดูกาลผลัดเปลี่ยน  การพูดกับธรรมชาติและการแปลง...  ”



    “ เลิกโม้ได้แล้ว ” ซิริอัสพูดแทรกขึ้นด้วยความหงุดหงิด  ดูเหมือนว่าเขาจะถูกลืมและจนป่านนี้เขาก็ยังไม่ได้เห็นหน้าค่าตาพรายหนุ่มที่ตามติดมาเลย   ทุกอย่างที่เขาทำไปบนเรือเกิดจากสัญชาติญาณล้วนๆ  “ เรน! เจ้าไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้จะได้มีแรง ”



    “ แต่ข้ายังไม่ง่วงนี่ ”



    “ ถ้าใครง่วงก็เชิญเอนหลังตามสบายเลย ”  เอลาเทลพูดเรื่อยๆ  “ ท่านเฟอร์โรเรนต้องเข้าใจนะว่ามนุษย์เมื่อแก่ตัวแล้วก็จะเป็นแบบนี้...  ขี้ระแวง...  จู้จี้ขี้บ่น...  เข้านอนแต่หัววัน... ”



      ซิริอัสใช้หัวนิ้วโป้งสะกิดดาบออกจากฝักเล็กน้อยอวดคมมีดวาววับ  “ ข้าเตือนท่านแล้วใช่ไหม ”



    “ ข้าแค่พูดความจริง ”  พรายหนุ่มเถียงไม่ลดละ “ มนุษย์น่ะแก่ง่ายตายไว มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ทั้งอย่างนั้นก็ยังเป็นพวกบ้าอำนาจคลั่งสงคราม...  ว่างเข้าหน่อยก็ส่งแม่ทัพตัวดีไปตีเมืองโน้นเมืองนี้   ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ  ว่าภายใต้ชื่อเสียงจอมปลอมที่ได้มานั้นต้องแลกด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปกี่คน ”



    “ แม่ทัพที่ท่านว่ามันรวมถึงเฟอร์รันด้วยนะ ”



    “ ท่านเฟอร์รันไม่ฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น ” เอลาเทลว่า  “ ท่านก็รู้ขนาดดาบศัตรูจ่อคอหอยเขายังไม่ใช้เวทมนตร์เลย...   หัวใจเขาบริสุทธิ์ผิดกับมนุษย์อย่างท่าน ”



    “ แล้วพรายโอหังที่ถือดีว่าตัวเองวิเศษหนักหนาล่ะต่างจากมนุษย์ตรงไหน ”   ซิริอัสยันกายลุกขึ้นยืนนิ้วมือทั้งห้ากุมรอบด้ามดาบแน่น   อยากจะดึงมันออกมาใจแทบขาด “ ...ความจริงก็แค่เจ็บใจว่าวันๆ  ได้แต่ทำตัวเขียวไปเขียวมา  ไร้น้ำยา  ไร้ความสามารถเลยมาพาลกับชาวเราที่แข็งแกร่งกว่า!  องอาจกว่า!! ”



    “ ท่านว่าใครทำตัวเขียวไปเขียวมาไปวันๆ ” เอลาเทลลุกขึ้นยืนเลือดเริ่มขึ้นหน้าแล้ว



    “ ก็ลองเถียงมาสิว่าตัวเจ้าไม่ได้เป็นสีเขียวอี๋น่าเกลียดน่ะ  ”



    “ ใช่! ” เอลาเทลพูดได้เท่านั้นเพราะฉับพลันพื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือนรุนแรง



    เฟอร์โรเรนที่ยกมือขึ้นอุดหูเอาไว้คลายมือลงยันตัวไว้ไม่ให้ล้ม  “ แผ่นดินมาไหวอะไรกันตอนนี้เนี่ย !  ”  เขาอุทาน



    “ ไม่ใช่! ” เสียงของเอลาเทลเครือต่ำเหมือนกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง  “ มันไม่ใช่แค่แผ่นดินไหวธรรมดา... อะไรบางอย่างกำลังมา...  บางอย่างที่ชั่วร้าย ”



    “ ท่านว่าอะไรนะ ” ซิริอัสถามซ้ำแต่แล้วคำตอบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า  ดวงตากลมวาวที่ม่านตาเป็นขีดสีดำสะท้อนแสงจันทร์อยู่ในเงามืดตามสุมทุมพุ่มไม้รอบตัว  ดาบยาวถูกชักออกจากฝักรัวเร็วพร้อมกับมีดสั้นข้างเอวที่โยนให้เฟอร์โรเรน “ เอาไว้ป้องกันตัว...   แต่ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็ถล่มมันไปเลย  ”  เฟอร์โรเรนพยักหน้าเข้าใจ



    สัตว์สี่เท้าฝูงหนึ่งก้าวออกมาจากเงามืด  มันดูเหมือนหมาป่าทั่วไปเพียงแต่ร่างกายนั้นสูงไม่น้อยกว่าสองเมตร  และโปร่งแสงเป็นสีขาวมันวาวราวไข่มุก   นัยน์ตาเป็นสีเหลืองอำพัน  เขี้ยวเล็กบางคมกริบเหมือนใบมีดงอกยาวลงมาถึงคอที่มีปลอกเหล็กหนาเป็นหนามสวมอยู่  พวกมันกระโจนเข้าใส่พวกเขาในทันที



    “ ตัวอะไรฟะเนี่ย ! ”  ซิริอัสคำรามลอดไรฟันเมื่อเขี้ยวยาวของมันรับสิงห์ซ้ายได้อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วผลักเขากระเด็น



    “ หมาป่าวิญาณ ” เอลาเทลที่กำลังกระโดดถอยหลังหลบกรงเล็บยาวที่ตะปบหมายขยุ้มให้อยู่มือช่วยไขข้อข้องใจให้  “ หมาป่าปิศาจ...  มันเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของเจ้าชายดำ ”



    “ อ้อ! ”  ซิริอัสว่า  “ ขอบใจนะ...  ช่วยได้มากเลย ” หมาป่าวิญญาณที่ขึ้นคร่อมตัวเขาไว้ทำน้ำลายไหลย้อยใส่เสื้อคลุมด้านหน้าแหมะๆ  ซิริอัสร้อง “ ยี้ !! ” ด้วยความขยะแขยงเต็มทนก่อนจะตวัดดาบเดียวฟันคอขาดกระเด็น  ลำตัวของมันบิดเบี้ยวแล้วเสี้ยววินาทีต่อมาก็สลายกลายเป็นกลุ่มควันจางที่พัดหายไปกับสายลม



    “ แล้ว...  มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ” เฟอร์โรเรนพูดลอดไรฟัน  เขากำลังพยายามใช้สองมือและสองเท้ายันอกหมาป่าวิญญาณที่คร่อมร่างไว้ออกไป  ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ  เฟอร์โรเรนถีบตัวลุกขึ้นยืนและกระโดดถอยหลังไปสองก้าวเพื่อให้พ้นระยะการโจมตี  แต่เมื่อลงพื้นปลายเท้าของเขาสัมผัสพื้นดินได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น  เขาเหลือบตาลงมอง



    แผ่นดินแยกออกเป็นเหวลึกดูราวกับไร้ที่สิ้นสุดเพราะก้อนหินที่เขี่ยตกลงไปไม่ส่งแม้เสียงกระทบเล็กๆ  กลับขึ้นมา



    เฟอร์โรเรนผวาตัวกลับ  จึงโดนกรงเล็บที่เงื้อรออยู่แล้วถากเข้าที่หัวไหล่  เลือดสดๆ  สาดกระเซ็นเปรอะเสื้อคลุมเป็นทางยาว  เขาเบี่ยงตัวหลบและยกมือขวาขึ้น “ ไปตายซะไป๊ !! ”  เปลวไฟสีแดงสดลุกโชนขึ้นในอุ้งมือและพุ่งตรงเข้าใส่หมาป่าวิญญาณในทันที  

    อะไรบางอย่างที่เล็กแหลมปักเข้าที่ท้ายทอย  รู้สึกเจ็บจี๊ดไปชั่วครู่แล้วร่างของเขาก็กระตุกเกร็งสองขาหมดแรงเอาดื้อๆ  และทรุดฮวบลงกับพื้น  เมื่อป่าวิญญาณตัวที่โดนไฟลวกกระโจนเข้าใส่อีกครั้ง



    “ เรน !! ”  ซิริอัสโถมตัวเข้าขวางร่างที่ล้มลงแน่นิ่งจึงถูกตะปบเข้าที่หน้าอกแล้วล้มกลิ้งไปด้วยกัน  กรงเล็บแหลมกรีดลึกลงในผิวเนื้อ  มันกำลังจะปลิดชีพเขาได้อยู่แล้วเมื่อมีดสั้นเล่มหนึ่งลอยมาปักเข้าที่ตาขวา   หมาป่าส่งเสียงร้องโหยหวนและผละหนีไป

    มือหนึ่งที่มองไม่เห็นฉุดให้ลุกขึ้นยืน  “ ระวังหน่อยสิ  ”



    ดวงตาของซิริอัสเบิกกว้าง  คิ้วขมวดมุ่นเมื่อรู้ว่าพลาดไปแล้ว  ทันใดนั้นเขาก็พลิกดาบหันออกนอกลำตัวแล้วตวัดวาดไปข้างหน้าในท่าฟันศอก   คมดาบนั้นเฉียดหน้าร่างที่มองไม่เห็นไปนิดเดียวแต่กลับถูกคอหมาป่าตัวหนึ่งเข้าจังๆ  “ ระวังหน่อยสิ ” เขาว่าและกระตุกมุมปากยิ้มกวนๆ  ก่อนจะเหลือบมองร่างไร้สติทางหางตารู้ในทันทีว่าต้องหาทางล่อพวกมันออกมาให้ไกลที่สุด “ มันจะลำบากไหมถ้าจะแสดงตัวให้ข้าเห็น ...มองไปเห็นแต่อากาศแบบนี้ถ้าโดนลูกหลงเข้าก็อย่ามาโทษแล้วกัน ” เหวี่ยงดาบกลับหลังแทงเข้าที่หน้าอกหมาป่าอีกตัวที่พุ่งเข้ามาด้วยท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  “ ...แต่ถ้าจะให้ดีก็ช่วยหลบไปไกลๆ  อย่าเข้ามาขวางทางดาบนะครับท่านพรายอ่อนหัด ”



    “ ท่านว่าใคร ”



    “ ตัวเล็กนิดเดียวแขนก็ผอมกะหร่องไม่มีเรี่ยวแรงแบบนั้นจะทำอะไรได้... ”



    เสียงคำรามที่รายล้อมเข้ามาทำให้การโต้เถียงยุติลงเพียงเท่านั้น  



    “ พักรบชั่วคราว ” ซิริอัสบอกพร้อมกับหมุนดาบกลับมาถือในท่าเตรียมจู่โจม  “ มาร่วมมือกันก่อนดีไหม ”



    เอลาเทลไม่ว่าอะไรแต่เมื่อสายตาสบเข้ากับปริมาณที่มากเกินกว่าจะรับมือเขาก็เปลี่ยนใจ “ ก็ได้ ”



    แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาซิริอัสเป็นครั้งแรก   เขาอึ้งไปชั่วครู่และประจักษ์แก่ใจทันทีถึงน้ำเสียงตื่นเต้นระคนชื่นชมในความงามของเฟอร์โรเรน   จนต้องหันมาเหลียวมองซ้ำอีกหลายๆ  ครั้งให้แน่ใจ



    “ หน้าข้ามีอะไรติดอยู่งั้นรึ ” พรายหนุ่มกระชากเสียงถามเพื่อซ่อนความรู้สึกแปลกๆ  ที่เกิดขึ้นในอก  ...เป็นครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวให้มนุษย์เห็น



    “ ไม่มีอะไร ”  ซิริอัสกระซิบแล้วหันหลังเข้ากระแทกเพื่อระวังหลังให้แก่กัน  ...กลิ่นหอมอ่อนจางลอยมาแตะจมูก  เขากระชับดาบในมือถึงจะดูอ่อนหัดแต่ลึกๆ  ในหัวใจแล้วเขารู้ว่าวางใจได้

    -------------------------------------------------------------------------

    “ อืม... ” เฟอร์โรเรนครางลอดไรฟันในหัวปวดตุบจนแทบระเบิด  และยังเจ็บจี๊ดที่ท้ายทอยไม่หาย  เขายันตัวลุกขึ้นช้าๆ  พยายามกระพริบตาเพื่อปรับให้รับภาพตรงหน้าได้ชัดเจน “ ที่นี่ที่ไหน ” เขารำพึงเมื่อแน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่ที่ที่เขาล้มลง

      

    ตอนนี้เขานั่งอยู่บนทางลูกรังแคบๆ  ที่ร้อนระอุราวกับถูกแดดแผดเผาตลอดเวลา  สองข้างทางเป็นหน้าผาสูงขึ้นไปไกลสุดสายตามองเห็นเส้นขอบฟ้าสีออกแดงลางๆ กับขีดเสี้ยวสีเหลืองของพระจันทร์  “ พ่อฮะ...   เอลาเทล... ”  เขาลองตะโกนออกไปแต่เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงสะท้อนของตัวเองที่ดังซ้ำไปซ้ำมาจนปวดแก้วหู  

        

    เฟอร์โรเรนลุกขึ้นยืนพลางปัดฝุ่นสีแดงอมส้มออกจากเสื้อคลุม  ชำเลืองมองกำแพงธรรมชาติที่มีต้นหญ้าแห้งเหี่ยวขึ้นแซมอยู่ตามซอกหินก่อนตัดสินใจเอาหัวโขกเต็มแรง  “ โอ๊ย!!  ” เขาโซเซซบหน้าผาสองมือยกขึ้นกุมหน้าผากที่ปูดนูนขึ้นมา  



    ...สงสัยจะไม่ใช่ความฝันแฮะ... เขากวาดตามองไปรอบๆ  ทางเดินที่ทอดยาวสุดสายตาอีกครั้งก่อนตัดสินใจออกเดิน

        

    ยิ่งเดินหมอกก็ยิ่งลงหนา   จากสายหมอกอ่อนๆ  ตอนนี้มันบดบังทัศนียภาพตรงจนหมดสิ้นแม้แต่มือตัวเองยังเห็นเพียงเงาลางๆ  เฟอร์โรเรนสะบัดมือเบาๆ  ครั้งหนึ่ง  ลูกไฟสีส้มจางพุ่งออกมาแล้วลอยอ้อยอิ่งนำหน้าไป  

        

    ลมเย็นยะเยือกจนถึงไขสันหลังพัดมาวูบหนึ่ง  สายหมอกคลายตัวออกทำให้เห็นประตูบานคู่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างเสาสูงสองต้นที่เหมือนทำมาจากงาช้างที่ใหญ่โตกว่าธรรมดาราวยี่สิบเท่า   ถัดออกไปไม่ไกลนักเงาลางเลือนของร่างหนึ่งยืนอยู่ริมขอบหินที่แตกระแหงลึกลงไปเป็นหุบเหว

        

    “ สวัสดีครับ ” เขาร้องทักพลางเคลื่อนกายเข้าใกล้ยินดีนักที่ได้พบใครสักคน



    ลมเย็นพัดมาอีกครั้งคราวนี้แรงกว่าครั้งก่อนเหมือนกับเป็นลมเตือนก่อนที่พายุร้ายจะมา  ประตูเหวี่ยงเปิดออกช้าๆ  ตอนที่เขาตัดผ่าน  ลมดูดรุนแรงพัดหมุนออกมาจากข้างใน  เฟอร์โรเรนยกสองแขนขึ้นป้องหน้า และใช้ปลายเท้าจิกยันพื้นไว้แน่นเมื่อลูกไฟที่เขาเสกขึ้นถูกดูดหายลับเข้าไป  เกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะเบาๆ  เมื่อมันแตกออก



    ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะขยับเข้าหา   เฟอร์โรเรนหรี่ตาลงและเพ่งมองฝ่าออกไป  รู้สึกคุ้นเคยอย่างไรพิกลแต่ก่อนที่จะนึกออกร่างของเขาก็ถูกลมยกลอยขึ้นจากพื้นแล้วหอบเข้าไปยังความมืดมิดด้านหลังประตู  ทิ้งให้เงาร่างนั้นยืนโดดเดี่ยวมองดูบานประตูที่เหวี่ยงปิดสนิทอีกครั้ง

    -------------------------------------------------------------------------------------



    กลางป่าบนดินแดนมนุษย์ใกล้เมืองเบอร์เรียน่า



    “ เกิดอะไรขึ้นกับเขา ” ซิริอัสถามเสียงแผ่วหลังจากแนบแก้มเข้ากับจมูกของร่างที่นอนนิ่ง  เกือบสัมผัสไม่ได้ถึงลมอุ่นๆ ที่ผ่านออกมา



    เอลาเทลคลำพบเศษผงบางอย่างที่หลังคอ  เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยมันอย่างพิจารณาก่อนจะโรยลงบนพื้นแล้วหันไปมองพื้นดินที่แตกออกเป็นทางยาว  “ ใครบางคนพยายามส่งวิญญาณเขาไปที่เมืองปิศาจ ”



    “ ท่านว่าอะไรนะ ”



    “ มนุษย์นี่หูไม่ดีรึไงถึงต้องให้พูดซ้ำอยู่เรื่อย ” เอลาเทลบ่นพลางกระชากสายสร้อยออกจากคอเอาจี้ยัดใส่มือร่างที่นอนนิ่งกุมมือทับลงไปแล้วพึมพำอะไรในลำคอ  เกิดแสงสว่างออกมาจากมือที่กุมไว้และเมื่อมันจางหายไปร่างของพรายหนุ่มก็ล้มลง

    --------------------------------------------------------------------------------------

    เฟอร์โรเรนตกลงมาในทุ่งดอกไม้กว้างไกลสุดสายตา  อีกครั้งที่เขาผวาลุกขึ้นจากพื้นแล้วกวาดตามองไปรอบๆ  ด้วยความพิศวง  “ ฝัน...  เหรอ...  ” ถอนหายใจออกเต็มเหยียดเมื่อรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะหลอกตัวเอง  ถึงทิวทัศน์ที่ปรากฏตรงหน้าจะสวยงามชวนให้เคลิบเคลิ้มสักเพียงใดแต่ก็ไม่อาจคลายความหวาดวิตกที่เต็มล้นขึ้นในหัวใจได้  ด้วยความจริงที่ว่าเขาพลัดหลงมาในที่ที่ไม่รู้จักเพียงลำพัง

      

    ผีเสื้อตัวน้อยบินหยอกเย้าผ่านเขาไปก่อนจะบินวนมาเกาะลงบนยอดจมูก นัยน์ตาสีน้ำตาลดำเคลื่อนเข้าหากันเพื่อมองดูเจ้าแมลงปีกสวยตัวจิ๋ว  



    “ อย่ากังวลไปเลย... ”



    เสียงหนึ่งที่หวานปานน้ำผึ้งดังขึ้นทางด้านหลัง  เฟอร์โรเรนสะดุ้งสุดตัวจนผีเสื้อบินผละไป  เขาหันไปตามเสียงและสบเข้ากับร่างหนึ่งที่สวยจนชวนตะลึง



    เฟอร์เรนมองไล่ตั้งแต่เรือนผมสีทองสว่าง  เรื่อยไปที่ดวงหน้าหวานรูปไข่  นัยน์ตากลมโตสีเขียวใสซุกซนน่ารัก  ริมฝีปากบางอมชมพูระเรื่อ  ลำคอยาวระหง  ร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมภายใต้อาภรณ์บางเบาสีชมพูแซมเขียวอ่อนจาง  



    “ เจ้าว่าอะไรนะ... ”



    ร่างนั้นหัวเราะคิกด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู “ ข้าเห็นเจ้ายืนหน้ามุ่ยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว  กังวลเรื่องอะไรอยู่หรือคะ  ...ถ้าอย่างไรให้ข้าช่วยผ่อนคลายเอาไหม ”  



    “ ไม่ดีกว่านะ...  อืม...  ก่อนอื่นข้าอยาก...  ”



    ร่างเล็กล้วงเอาขวดแก้วใสเจียระไนออกมาจากสาบเสื้อแล้วดึงจุกเปิดออก   ละอองไอสีรุ้งกรุ่นกลิ่นหอมแผ่กำจายมากระทบจมูกฉุดเอาความคิดสับสนออกจากสมอง  และดึงรั้งสติให้ผ่อนเคลิ้มไปกับเสียงเพลงบรรเลงกล่อมที่แว่วขึ้นในหู   เธอเคลื่อนกายเข้ามาช้าๆ  ราวกับลอยมา  ฝ่ามือเนียนนุ่มแนบประคองเข้าที่สองแก้ม  “ ทำใจให้สบายนะคะ ”  กดร่างให้ล้มตัวลงนอนช้าๆ  มือหนึ่งลูบไล้อย่างซุกซนไปตามเสื้อคลุมและซอกซอนเข้าไปคลึงเคล้าบนแผ่นอกเรียบ  ในขณะที่อีกมือถือขวดแก้วชูไว้เหนือจมูก



    “ ข้า...  ”  ภายใต้สติที่เริ่มเลือนราง เฟอร์โรเรนปัดขวดออกจากจมูก  “ ...ที่นี่ที่ไหน ”



    “ จะสนใจไปทำไม ”  มือเรียวแตะลงบนริมฝีปาก  และไล้เบาๆ  เธอก้มหน้าลงใกล้ทุกทีๆ  จนเส้นผมอ่อนนุ่มร่วงลงระแก้ม  ขวดแก้วที่อยู่อีกมือค่อยเอียงลงช้าๆ  เทสารกึ่งแข็งกึ่งเหลวลงบนจมูกและปาก  ฝ่ามือไล้เลื่อนลงไปเรื่อยจนถึงขอบกางเกง        “ ทำใจให้สบายนะคะ...  

    แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ”



    “ อือ... ”  นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ลงช้าๆ  ปากเผยออ้าออกรับสารที่พร่างพรูลงมาเป็นสาย



    ...อย่าหลับนะ...



    เสียงหนึ่งที่เหมือนจะคุ้นเคยดังขึ้นในหัว



    ...ลืมตาขึ้น   เปิดตาให้กว้างเข้าไว้แล้วมองดูให้ดีๆ  ใช้ใจมองผ่านดวงตา...



    “ หา...  ว่าไงนะ...  ”



    “ ปล่อยใจให้สบายค่ะ...  หลับตาลงนะคะ...   นั่นแหละค่ะ...  ”  



    ...ลืมตาขึ้น...



    เสียงนั้นดังจนเกือบเหมือนตวาด  นัยน์ตาของเฟอร์โรเรนเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ  จุดแสงสีน้ำเงินเต้นระยิบขึ้นบนพื้นสีน้ำตาลเข้ม



    ร่างเล็กผงะถอยออกไปเล็กน้อยก่อนจะโน้มลงมาใหม่  สารในขวดสาดกระจายเต็มหน้า  เขายกแขนขึ้นค้ำร่างเธอไว้แล้วบิดตัวสำลักเอาของเหลวร้อนแสบคอออกมา  เลือดไหลหยดเกาะที่มุมปาก   ฝ่ามือที่ทาบทับอยู่ให้สัมผัสที่แตกต่างจากเมื่อครู่



    “ อย่าดื้อสิคะ ”  เธอกระซิบ



    เฟอร์โรเรนผลักเธอออกไปตอนนี้เขาได้สติกลับคืนมาครบถ้วนแล้ว   สองมือยกขึ้นเตรียมร่ายคาถาแต่ก็ไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมาจากลำคอที่ร้อนผ่าวเลย  เขาพยายามกลืนน้ำลายแต่แล้วก็ต้องขย้อนมันกลับออกมา   รูจมูกแสบคันจนหายใจไม่ออก



    “  ผงสนธยา ” ร่างเล็กกรีดกรายอวดขวดแก้วในมือที่ยังเหลือสารอยู่ครึ่งหนึ่ง  “ ให้ความสุขสมได้ก็ฆ่าให้ตายได้...  ” เธอเทสารใส่มือแล้วเป่าเบาๆ  ใส่หน้าเขาที่ยกสองแขนขึ้นป้อง...  ทั้งกลั้นหายใจ...  ปิดปาก...  ปิดตาให้สนิทที่สุดแต่ละอองของมันก็สามารถชำแรกผ่านเข้ามาได้



    น้ำใสเอ่อขึ้นอาบขอบตาที่ปวดแสบจนลืมไม่ขึ้น  เขาพยายามใช้แขนเสื้อเช็ดมันออกไปแต่กลับทำให้ความเจ็บแสบแผ่ขยายเป็นวงกว้าง  อีกครั้งที่เขาพยายามร่ายเวทมนตร์แต่มันก็ไม่เกิดผล



    “ อย่าพยายามเลย  ผงสนธยากัดกร่อนทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่เวทมนตร์หรือวิญญาณ ”  ร่างเล็กขยับเข้าใกล้ช้าๆ  เธอจับแขนของเขาแยกออกแล้วโอบสองแขนรัดรอบคอ  ทั้งที่ไม่ได้เกาะเกี่ยวแน่นหนาอะไรแต่ดิ้นรนเท่าไหร่ก็ไม่อาจหลุดแถมยังรู้สึกอึดอัดแน่นเข้าทุกที  เธอซุกไซ้หน้าลงกับซอกคอจูบเบาๆ  ก่อนจะแลบลิ้นเลียทำความสะอาด  เฟอร์โรเรนขยับหนีด้วยความขยะแขยงแต่ก็ถูกฝ่ามือทรงพลังยึดไว้   นิ้วเรียวหมุนเกี่ยวผมเล่นอย่างมันมือ เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เผยออ้าออกเล็กน้อยอวดฟันเขี้ยวซี่เล็กวาววับที่โผล่พ้นมุมปาก  ต้องการลิ้มรสเหยื่ออันโอชะจนแทบอดใจไม่ไหว  ปากอ้าออกกว้างขึ้นแล้วงับลงบนซอกคอ



    ฝ่ามือเรียวจิกเข้าที่เรือนผมสีทองแล้วกระชากออกสุดแรง   ร่างเล็กกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเหมือนโดนไฟเผา  เธอผละออกจากเฟอร์โรเรนที่ยินดีนักเมื่อเห็นผู้มาช่วย



    พรายหนุ่มหอบจนตัวโยนด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการออกแรงวิ่ง  เหงื่อกาฬเม็ดโตผุดพราวขึ้นเต็มหน้าที่เปื้อนเลือดเป็นรอยยาว  สีหน้าหวาดวิตกแต่แววตาสีน้ำตาลอ่อนคลายความกังวลลงอย่างเห็นได้ชัด  



    ทิวทัศน์รอบตัวแปรเปลี่ยนไปในทันที  สุสานโครงกระดูกปรากฏขึ้นแทนที่ในสายตา  ซากร่างไร้วิญญาณเกรอะกรังด้วยคราบเลือดกองเต็มใต้ฝ่าเท้า  ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท  ร่างเล็กยืดยาวออกและล่ำสันขึ้น  ผิวกายเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง  ฝ่ามือหดเกร็งเห็นเส้นเลือด  ปีกเป็นพังผืดน่าเกลียดงอกยาวออกมาจากกลางหลัง  เช่นเดียวกับหางโล้นเลี่ยนที่สะบัดอย่างไม่สบอารมณ์  และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมันก็ไม่ได้สวยงามอีกต่อไปแล้ว  แต่บิดเบี้ยวน่าเกลียดด้วยเขี้ยวที่งอกยาว เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งตกสะเก็ดอย่างกระหายเมื่อเห็นเหยื่อรายใหม่ก่อนจะกางปีกออกแล้วพุ่งเข้าใส่



    เอลาเทลฉุดมือให้ออกวิ่ง  เขาอยากสู้แต่ไม่มีอาวุธติดตัวสักชิ้นเดียว  ...มันถูกทิ้งไว้กับร่างเนื้อที่จากมา  กองกระดูกทำให้พวกเขาช้าลงแต่อีกไม่ไกลก็จะไปถึงบานประตูหนา  เกิดเสียงดังกร๊อบ!  กร๊อบ! ตามติดทุกฝีก้าวเมื่อกระดูกแตกละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า



    ฝ่ามือที่มีกรงเล็บยาวสีดำสนิทโฉบรัดเข้าที่ด้านหลังและดึงลอยขึ้นไปในอากาศ เอลาเทลพยายามดิ้นรนแต่ฝ่ามือยิ่งบีบแน่นเข้า

    เฟอร์โรเรนถูกอะไรบางอย่างดึงให้ล้มลงตรงหน้าประตูพอดี  หน้าทิ่มไถลไปกับซากเละที่เลือดยังไม่แห้งดี  เขาก้มลงมองและเห็นมือแห้งเหี่ยวโผล่ขึ้นมาจากกองกระดูกกำรอบข้อเท้าของเขาไว้แน่น  เฟอร์โรเรนทั้งถีบทั้งสะบัดแต่มันก็ไม่หลุดออกง่ายๆ  สูงขึ้นไปเอลาเทลกำลังดิ้นรนสุดชีวิตให้พ้นจากเงื้อมมือมัจจุราช



    เฟอร์โรเรนเขยิบเข้าใกล้ประตูและพยายามเปิดมันออกแต่มันก็ไม่ขยับสักนิดเดียว  ฝ่ามือเริ่มไต่ขึ้นมาตามท่อนขามันทั้งจิกทั้งข่วนทิ้งรอยถลอกมีเลือดซิบเป็นทางยาว  เขาลองอีกครั้ง  จ้องเขม็งไปที่มือนั่นและทำทุกวิถีทางเพื่อให้คาถาหลุดออกมาจากลำคอแต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม



    ฉับพลันบานประตูก็เปิดแง้มออก  แสงสว่างจางๆ  ส่องผ่านเข้ามา  และเฟอร์โรเรนแน่ใจว่าเขาเห็นร่างหนึ่งหลังบานประตูนั่น



    ความหวังเริ่มพร่างพรูเข้ามา   เขาโน้มตัวลงและดึงมือนั้นสุดแรง  เลือดสาดกระเซ็นเป็นสายเมื่อมันหลุดติดมือขึ้นมา   เฟอร์โรเรนใช้เวลาเล็งเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะปามันใส่หน้าเจ้าตัวประหลาดมีปีก  และก็ไม่พลาดเป้าฝ่ามือนั่นจิกเข้าเต็มแรงที่ลูกตา  ร่างนั้นกรีดร้องโหยหวน  ปล่อยร่างพรายหนุ่มล่วงลงสู่พื้น  เขาโซเซลุกขึ้นยืน         เฟอร์โรเรนตะเกียกตะกายเข้าไปหาและฉุดมือดึงกันออกมาจากประตูก่อนจะใช้หลังดันมันปิดเข้าไปและทรุดกายพิงอยู่อย่างนั้น หมดเรี่ยวแรงที่จะไปต่อ



    “ ท่านปลอดภัยดีใช่ไหม ” เอลาเทลถามเสียงแผ่ว



    เฟอร์โรเรนพยักหน้าที่มีรอยแดงเป็นปื้นและคราบน้ำตาให้แทนคำตอบ



    “ ท่านคงโดนผงสนธยาเข้าไป...   ไม่ต้องห่วงหรอกอีกสักพักคงหาย ...มาเถอะเราต้องรีบ ”  ยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก



    เฟอร์โรเรนลุกขึ้นบ้าง  เขางงจนคิดอะไรไม่ออกและในเสี้ยววินาทีที่เหลียวกลับไปมองเขาก็เห็นร่างนั้นอีกครั้ง  มันดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาดจนเกือบจะแน่ใจว่ารู้จักพอๆ  กับที่ไม่รู้จัก  และเพราะเหตุใดไม่ทราบเขารู้สึกว่าร่างนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้



    “ มาเถอะ ” เอลาเทลเร่ง เฟอร์โรเรนหันไปพยักหน้ารับและเมื่อเขาหันกลับไปมองอีกครั้งเงาร่างนั้นก็หายไปเสียแล้ว

    --------------------------------------------------------------------------------------------------

    เปลือกตากระพริบเปิดขึ้นช้าๆ  เฟอร์โรเรนกำลังพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อร่างหนึ่งโถมเข้าใส่จนเกือบจะหงายหลังล้มไปอีกครั้ง  

    “ โล่งอกไปที ” ซิริอัสปล่อยเขาออกจากวงแขนพลางมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน   และถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นประกายแสงสีทองเต้นระยิบไปตามร่างกาย



    เฟอร์โรเรนมองข้ามไหล่ซิริอัสไปและเห็นเอลาเทลกำลังคล้องสายสร้อยเส้นหนึ่งลงรอบคอ  “ ท่านปลอดภัยใช่ไหม ” ในที่สุดเขาก็เค้นเสียงออกจากลำคอที่แสบร้อนจนได้



    เอลาเทลเลิกคิ้วพลางดึงคอเสื้อเปิดออกให้เห็นรอยช้ำจางๆ  ที่กำลังเลือนหายไป



    “ เห็นทีคืนนี้เราคงไม่ได้พักแล้วล่ะ ”  ซิริอัสบอกในขณะที่ช่วยฉุดมือ        เฟอร์โรเรนให้ลุกขึ้น  “  เราไล่เจ้าพวกนั้นไปได้แต่มันอาจกลับมา

    อีก...  แล้วข้าก็กลัวว่าเจ้าจะ...  ”  ยักไหล่พลางออกเดินนำไป



    หลังจากออกเดินไปได้ครู่เดียวซิริอัสก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอกแน่น  ร่างเอนไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนเซถอยหลังไปพิงกับต้นไม้และใช้มืออีกข้างค้ำพยุงตัวเองเอาไว้



    “ เจ็บตรงไหนเหรอฮะ ” เฟอร์โรเรนรีบเข้าไปช่วยประคอง



    “ ไม่...  เป็นไร... ”  ซิริอัสโบกมือไล่



    เอลาเทลส่ายหน้าช้าๆ  แต่ทิ้งสายตาให้สบไว้กับดวงตาดำขลับก่อนจะก้าวเข้ามาแทรกกลางแล้วกดให้นั่งลง



    “ ท่านจะทำอะไร... ”  ซิริอัสตะโกนก้องเมื่อพรายหนุ่มพยายามดึงเสื้อคลุมของเขาออกจากตัว  “ อึก!! ” เลือดก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นมาตามลำคอ

    เขายกมือขึ้นปิดปากแน่นแต่มันก็ยังซึมไหลออกมาตามร่องนิ้วมากมาย  



    “ จะตายแล้วยังปากแข็งอีก ”  เอลาเทลพูดพลางดึงเสื้อตัวในเลิกขึ้นจนถึงคอ



    เฟอร์โรเรนทรุดตัวลงนั่งสองมือประคองรับร่างสูงที่เอนลงเพราะความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าอก “ ท่านพ่อ...  แผลท่าน...  นี่ท่านทนมานานแล้วสิเนี่ย ”



    ซิริอัสใช้หลังมือปาดเช็ดเลือด  “ แค่หมากัดนิดๆ  หน่อยๆ  เองน่า ” ปากพูดดีแต่หน้าเริ่มซีดเป็นสีอมม่วง



    “ แต่บังเอิญว่าหมาที่ว่านั่นเป็นหมาป่าวิญญาณน่ะสิ ”  เอลาเทลถอดเสื้อคลุมออกแล้วใช้กดซับเลือดสีคล้ำที่ยังไหลไม่หยุด  “ เขี้ยวเล็บของมันมีพิษที่ยาใดก็ไม่อาจรักษาได้ ” เหมือนกับการแสดงสดประกอบคำบรรยายเมื่อหน้าของซิริอัสซีดลงทุกทีและตอนนี้ก็ออกเขียวแล้ว “ ถ้า

    ท่านไม่ตายเพราะพิษ  ท่านก็จะตายเพราะเสียเลือด  ...ปากแผลจะไม่ยอมสมานตัว ทางรักษาเดียวคือใช้เวทย์รักษา...  แต่ข้าเกรงว่าตอนนี้พิษจะลามจนเกินแก้เสียแล้ว  ”  



    “ แล้วมีทางอื่นอีกไหม ” เฟอร์โรเรนถามอย่างร้อนรนเมื่อลมหายใจของ         ซิริอัสเริ่มติดขัดและขาดห้วง



    “  ตามปกติแล้วไม่... ”  เอลาเทลตอบเรื่อยๆ ราวกับไม่ใส่ใจร่างตรงหน้าที่พร้อมจะตายคามือเขาได้ทุกเมื่อพร้อมกับวางเสื้อคลุมชุ่มเลือดลง “ ...ตัวยาที่ชนิดเดียวที่รักษาได้ไม่มีเคยมีผู้ใดหาพบ  ...แต่ท่านโชคดีมากรู้ไหมเพราะตอนนี้ยาที่ว่านั่นอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ”  เฟอร์โรเรนกำลังจะอ้าปากถามว่าเขาหมายความว่าอะไรเมื่อพรายหนุ่มวางฝ่ามือทาบลงที่หน้าอกชุ่มเลือด ประกายแสงสีอ่อนจางระยิบขึ้นที่ปลายนิ้วก่อนจะเลื่อนไปตามบาดแผลและเริ่มทำหน้าที่ของมัน



    หลังจากการรักษาผ่านไปราวสิบห้านาทีพิษก็ถูกขับออกจนหมดและปากแผลปิดสนิท   เอลาเทลยืดตัวขึ้นช้าๆ  ไปยืนกอดอกมองดูอยู่ไม่ไกล  ในวินาทีนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีสัญญาณผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับพรายหนุ่มแม้แต่ตัวเขาเอง



    ซิริอัสสะบัดหัวไล่ความมึนงงออกไปแล้วยันตัวลุกขึ้นยืนบ้างโดยมีเฟอร์โรเรนช่วยประคอง  เขายกมือขึ้นปรามและขยับเดินไปรอบๆ  ด้วยตนเอง  รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ สุดยอด ” เขารำพึงในขณะที่กำลังหมุนข้อต่อเพื่อยืดเส้นยืดสาย “ เห็นทีข้าคงต้องมองท่าน... ”  พูดได้เพียงเท่านั้นเมื่อหมุนตัวหันกลับมาเห็นพรายหนุ่มโงนเงนล้มลงกับพื้นต่อหน้าต่อตา



    ซิริอัสถลาเข้าไปประคองศีรษะยกขึ้นและตบหน้าที่ซีดจนเป็นสีอมเขียวเบาๆ นัยน์ตาคมที่เคยมองอย่างแข็งกร้าวอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “ เอลาเทล...  ” ร่างโปร่งค่อยเลือนหายไปจากสายตาแต่สัมผัสในอ้อมแขนบอกเขาว่าพรายหนุ่มยังคงอยู่ตรงนั้น

    ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ เขาฟื้นแล้วฮะ ”  



    เสียงใบไม้กระจายข้างตัวทำให้พรายหนุ่มรู้ว่าใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้นและตอนนี้ก็กำลังขยับเปลี่ยนท่าเพื่อช่วยประคองให้เขาลุกขึ้นนั่ง



    เอลาเทลกวาดตามองไปรอบๆ  และตระหนักในทันทีว่ามันไม่ใช่ที่เดิม แต่ก่อนที่เขาจะอ้าปากถามผู้ที่อยู่เคียงข้างก็ช่วยไขข้อข้องใจให้เสร็จสรรพ  



    “ ตอนนี้เราอยู่ชายป่าแล้ว  เดินตัดออกไปราวครึ่งชั่วโมงก็จะเห็นตัวเมือง  ...อ้อ! ท่านหลับไปตั้งค่อนวันแน่ะ ”



    พรายหนุ่มเบิกตากว้างสบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ยิ้มร่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังเมฆ  ...ที่อยู่ตรงศีรษะเขาพอดี  เอลาเทลลดสายตาลงช้าๆ        



    “ แล้วข้า... ”



    เฟอร์โรเรนจุ๊ปากได้เวลาทูตสันถวไมตรีจำเป็นแล้ว  ( ...แอบหวังอยู่ในใจลึกๆ  เหมือนกันว่าจะไม่ทำให้เรื่องมันแย่ยิ่งกว่าเก่า...  พ่อของเขายิ่งปากแข็งอยู่ด้วย ) เขาตวัดสายตาไปทางร่างสูงที่ยืนพิงต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปเร็วๆ  พร้อมกับพยักพเยิดก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางทิ้งให้พรายหนุ่มนั่งงงอยู่คนเดียว



    “ เจ้าว่าจะสำเร็จไหม ” กระซิบถามเบาๆ  กับกระรอกป่าที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือหัว  มันผงกหัวสองสามครั้งแต่ดูเหมือนกำลังมองหาอาหารมากกว่า  นกกระจอกสีน้ำตาลแดงเกาะลงบนศีรษะและส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย “ ให้กำลังใจกันหน่อยดิ ” นกกระจอกเอียงคอและหลุบสายตาลงมอง  “ ข้ารู้...  แต่พวกเจ้าก็เห็นอย่างที่ข้าเห็นนี่นา... ว้า! อยู่ตรงนี้ไม่ได้ยินเลยแฮะ...  เอางี้ ” เขานั่งยองลงกับพื้น  ก้มๆ เงยๆ  อยู่พักหนึ่งก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วหันไปเกาะขอบต้นไม้แอบดูสองร่างที่อยู่ไกลออกไป    



    “ มีธุระอะไรกับข้ารึ ”  ซิริอัสยกมือขึ้นกอดอก และล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุม  



    เอลาเทลไม่ว่าอะไรเพราะเขาก็ไม่แน่ใจตนเองเหมือนกันว่าอะไรกันที่พาเขามายืนอยู่ตรงนี้  ฉับพลันคำถามหนึ่งที่นึกสงสัยมานานก็แล่นเข้ามาในหัว  เขาถามมันออกไปในทันที  “ ท่านรู้ได้ยังไงว่า... ”



    “ กลิ่น ”  ซิริอัสชิงตอบเสียก่อน



    “ กลิ่นอะไร...  นี่ท่านอย่ามาพาลหาว่าข้าเป็นไอ้ตัวเหม็นสีเขียวนะ แค่เรื่องร้ายๆ  เมื่อคืนข้าก็เหนื่อยจนไม่มีแรงจะเถียงกับท่านแล้ว ” เสียงของพรายหนุ่มดังจนทำให้นกที่เกาะอยู่บนต้นไม้บินหนีไป  จิ้งหรีด  ตั๊กแตนสายลับจำเป็นของเฟอร์โรเรนที่ซ่อนตัวอยู่ในกอหญ้ากระโดดหนีตายกันจ้าละหวั่นเพื่อหลบฝ่าเท้าที่บดขยี้ลงบนพื้นด้วยความคับข้องใจ



    “ อะไรกัน...  แค่นี้เหนื่อยแล้วรึ ”  



    เอลาเทลกำลังจะสวนกลับว่า  “ แล้วไง ”  เมื่อซิริอัสพูดประโยคต่อมา  



    “ ...การรักษาคงทำให้เจ้าเสียพลังไปมากสินะ  ...ถ้ายังไงช่วยโผล่หัวเขียวๆ  ของท่านมาให้ข้าเห็นหน่อยได้ไหม  จะได้รู้ว่าอยู่ดีไม่ตายไปเสียก่อนนะท่านพราย...  อ่อนหัด ”



    ร่างโปร่งปรากฏในสายตาทันทีตามคำขอ  และดูเหมือนว่าจะได้ของฝากเป็นมีดสั้นวาววับในมือเสียด้วยสิ  “ ไหนท่านลองพูดใหม่ซิ ”



    ซิริอัสลดมือข้างหนึ่งลงปล่อยตามสบายในขณะที่มืออีกข้างยังอยู่ในเสื้อคลุมและขยับไปมาอยู่บริเวณเอว “ จะกี่ครั้งก็ได้... ”  ว่าพลางสาวเท้าเข้าใกล้  “ ว่าแต่คิดดีแล้วรึที่หันดาบใส่ข้า  หรือว่าลืมคำเตือนข้าเสียแล้ว ”



    เอลาเทลก้าวถอยหลังเขารู้ดีว่ามนุษย์ผู้นี้พูดจริงทำจริง  ยิ่งได้เห็นฝีมือตอนเผชิญหน้ากับหมาป่าวิญญาณยิ่งซาบซึ้งในความสามารถ  นั่นยังไม่นับรวมถึงสิงห์ซ้ายที่อยู่ข้างเอวด้วยนะ “ ข้ามิเคยลืม   แต่กล้าท้าออกไปเพราะมั่นใจว่าไม่เป็นรองท่าน ”



    “ พูดได้ดีนี่ท่านพราย...  แต่เห็นแค่หน้าอ่อนๆ  ของท่านข้าก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าฝีมือคงไม่ต่างกัน ”  ร่างสูงสืบเท้าประชิดขึ้นทุกทีและต้อนพรายหนุ่มไปติดต้นไม้   เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นพาดค้ำเหนือศีรษะแล้วก้มลงมองร่างที่สูงเพียงไหล่ด้วยรอยยิ้มขำขัน  นัยน์ตาเป็นประกายวิบวับ



    “ อย่าคิดนะข้าว่าจะกลัวการข่มขู่ของท่าน ”



    “ ก็ดี ”  ซิริอัสตอบกวนๆ  และขยับหน้าเข้าใกล้ขึ้นอีก  “ ข้าจะได้บอกให้รู้ไว้ว่า... ” สอดหน้าเข้าที่ข้างแก้มแล้วกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูเรียวแหลม “ ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้เอลาเทล ”



    นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงด้วยความสนเท่ห์  เขาหันกลับรวดเร็วจนแก้มนวลสีกับแก้มสากของอีกฝ่ายที่ยืดตัวขึ้นในทันทีที่พูดจบ “ ท่านว่าอะไรนะ ”



    “ ข้าไม่ชอบพูดซ้ำจำไว้ซะด้วย ”  ร่างสูงลดมือลงแล้วหมุนตัวกลับ “ อ้อ! ที่จริงแล้วตัวท่านก็ไม่ได้เป็นสีเขียวน่าเกลียดอะไรหรอกนะ...  ฝีมือก็พอถูๆ  ไถๆ ... ”



    ซิริอัสกำลังจะเดินจากไปเมื่อเอลาเทลตะโกนขึ้นว่า “ เมื่อครู่ท่านพูดว่าขอบคุณเหรอ ”  ซิริอัสสะดุ้งสุดตัวแล้วหันกลับมาคว้าตัวพรายหนุ่ม  มือหนึ่งโอบเข้าที่หลังเอว  อีกมือหนึ่งยกขึ้นปิดปากแน่น  



    แต่สายไปเสียแล้วเมื่อเสียงโห่ร้องอย่างยินดีดังแว่วมาจากด้านหลังต้นไม้ที่อยู่ถัดออกไป   “ สำเร็จ!  เย้!! ”



    “ ให้ตายสิเจ้านี่มันจริงๆ เลย ”  ซิริอัสซบหน้าลงกับบ่าลาดอย่างระอาใจ “ ได้ยินจนได้ ”  เอลาเทลหน้าเหลอไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจและอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเบาๆ  ซิริอัสปล่อยเขาออกจากวงแขน  “ นี่! บอกไว้ก่อนนะเอล่าถ้าเจ้าเปิดปากบอกเรนเรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าล่ะก็... ”  เคาะหลังมือเข้าที่กลางหน้าผากอย่างหมายหัวไว้ก่อน  แล้วจึงผละจากไปดื้อๆ



    “ นี่ท่าน!...  แล้วท่านถือดียังไงถึงมาเปลี่ยนสรรพนามแล้วเรียกข้าสั้นๆ  ห้วนๆ  แบบนั้น ”  เอลาเทลตะโกนไล่หลังไปพลางเก็บมีดใส่ซอง  ถึงจะรู้สึกเคืองอยู่บ้างแต่นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีแล้วไม่ใช่หรือถึงการยอมรับ  



    ...เอลาเทล...   นานแค่ไหนแล้วนะที่มันไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาแบบนี้...   สั้นๆ  ง่ายๆ  ไม่มีท่าน  ไม่มีพิธีรีตอง  และการโค้งคำนับ...  ธรรมดาแต่...  จริงใจ....  



    ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดเข้าโอบรัดรอบหัวใจ...  ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนานนับตั้งแต่ชายคนนั้น...  เพื่อนเพียงคนเดียว  จากไปอย่างไม่มีวันกลับ...    



    ...เพื่อน...

    ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    ถึงจะต่างเผ่าพันธุ์และเป็นศัตรูคู่อริกันมานานนับพันปี...   แต่ในวันนี้มันเกิดขึ้นแล้วแน่นอน   ...และจะไม่มีวันจางหายไปกับวันเวลารังแต่เพิ่มพูนขึ้นในหัวใจทุกวินาที  



    ...มิตรภาพ...

    ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×