ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Last Wizard

    ลำดับตอนที่ #9 : พิธีเลือด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 95
      0
      14 ก.พ. 48

    “ จากที่นี่ถึงวังหลวงใช้เวลานั่งรถม้าประมาณห้าชั่วโมง ”  ลิมินท์ยูบอกระหว่างที่พาเฟอร์โรเรนเดินไปตามแถวรถม้าที่จอดเรียงรายราวสิบคัน



    “ แล้วถ้าขี่ไปล่ะ ”



    “ ถ้าฝีเท้าดีหน่อยคงไม่เกินสามชั่วโมง ”  ลิมินท์ยูชะงักและหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า  “ ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ”

    เฟอร์โรเรนยิ้มมุมปาก “ ก็ดี...  เพราะข้าอยากให้ท่านนำม้าตัวที่ว่ามาให้ ”



    “ อย่าคิดนะว่าจะได้...  เจ้ายังไม่เห็นว่าตอนนี้เมืองหลวงวุ่นวายแค่ไหนแล้ว... ” พยักพเยิดไปทางทหารที่เดินตามเป็นพรวน “ ต่อให้มีปีกยังหนีไม่พ้นเลย ”



    แต่อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งคู่ก็ควบม้าตะบึงไปตามถนนลัดเลาะแนวไม้  และขบวนรถที่มุ่งตรงสู่ประตูเมือง โดยไม่สนใจเสียงโหวกเหวกและเสียงเรียกที่ตามติดมาเป็นระยะและจางหายไปในที่สุด



    “ เจ้านี่แน่จริงๆ ”  ลิมินท์ยูตะโกนฝ่าเสียงฝีเท้าม้า  “ เห็นตัวแค่นี้ประมาทไม่ได้เลย   ”



    “ ท่านยิ่งกว่าข้าอีก ” เฟอร์โรเรนบอก “ ควบม้าฝ่าด่านทหารรักษาพระองค์...  บ้าดีเดือดจริงๆ ”  



    “ ช่วยไม่ได้...  พวกนั้นมองแผนหนีข้าออกจนพรุนแล้ว ”



    เฟอร์โรเรนจุ๊ปาก  ...องค์รัชทายาทแห่งฟีเลเซียนี่เหลือร้ายจริงๆ

                                                                               ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    กำแพงเมืองสีขาวสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน  สลับด้วยป้อมทรงกลมยอดแหลมประดับธงเป็นระยะ   ทหารยามในชุดเกราะสีเงินยืนยามเฝ้าระวังแข็งขัน  ทุกนายล้วนถือหอกประดับพู่สีแดงและเหน็บดาบยาวไว้ที่ข้างเอว   แม้จะยังไม่ผ่านประตูเหล็กที่ลงรักสีทองเฟอร์โรเรนก็สามารถได้ยินสรรพเสียงที่อยู่ด้านหลังชัดเจน  เมื่อเงยหน้าขึ้นและทอดสายตามองข้ามแนวกำแพงยาว  ก็จะเห็นยอดแหลมของหอระฆังที่ตั้งอยู่กลางพระราชวัง  ตราอาร์มที่สลักลงบนระฆังทองเป็นประกายระยิบระยับล้อแสงแดด



    ลิมินท์ยูพาเขาขี่ม้าอ้อมไปอีกด้านซึ่งเป็นประตูเล็กที่ใช้ขนส่งของเข้าสู่วังหลวง วิ่งเลียบแม่น้ำที่เปรียบเสมือนสายโลหิตหล่อเลี้ยงชาวฟีเลเซีย  หลบเลี่ยงไปตามซอกตึก  ควบฝ่าฝูงชนที่อื้ออึงและกระโดดข้ามครอบครัวคนแคระที่กำลังวุ่นวายกับการนับว่าสมาชิกอยู่ครบหรือไม่   และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย



    ประตูวังเปิดออก  บรรดาทหารกุลีกุจอมาตั้งแถวรับในทันทีที่เห็นผู้มาถึง  ทั้งสองส่งม้าให้ทหารแล้วลิมินท์ยูจึงเดินลิ่วนำเขาไปเพื่อหนีให้พ้นจากการตามของนางสนมและองครักษ์ที่ร้องเรียกไม่หยุด



    “ องค์ชาย...   องค์ชายเพคะ...  รอพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ ”



    “ ท่านนี่ใจร้ายจัง ”  เฟอร์โรเรนกระซิบเมื่อลิมินท์ยูดึงตัวเขาหลบหลังรูปปั้นตรงทางเดิน  ปล่อยให้นางข้าหลวงที่ถกกระโปรงฟูฟ่องวิ่งผ่านเลยไป



    “ ไม่หรอก...  พวกเนี้ยตามเก่งยิ่งกว่าอะไร  ถ้าขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่นะข้าจะส่งไปเกณฑ์ทหารให้หมดเลย  แล้วฟีเลเซียก็จะหมดปัญหาเรื่องผู้ร้ายหนีคดี ”



    “ มีคนตามเพราะรักดีกว่าตามเพราะเกลียดนะ ”



    ลิมินท์ยูเหลียวมามองเขา “ เจ้ามีอะไรในใจรึเปล่า ”



    เฟอร์โรเรนยักไหล่

                                                                              ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ อีกไกลไหมองค์ชายกว่าจะถึง ” เฟอร์โรเรนถามหลังจากลิมินท์ยูพาเขาเดินมาเกือบชั่วโมง



    “ คุกหลวงถูกแยกไว้ทางตะวันตกของปราสาท ” ลิมินท์ยูบอก “ แล้วใช่ว่าไปถึงจะหาเจอ...  มันยังถูกแบ่งย่อยออกเป็นชั้นเป็นห้องอีกนับร้อย...  มีทหารยามเข้าเวรคุ้มกันแน่นหนาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  แต่เจ้าไม่ต้องกังวลหรอกเพราะข้ามีวิธี ” เขากระโดดหลบไปหลังเกราะเหล็กที่ยืนเรียงรายเป็นแถว  ค่อยๆ  ใช้เล็บแงะภาพวาดประดับที่อยู่ด้านหลังขึ้น  ผลักมันออกไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วพื้นหลังเกราะเหล็กตัวหนึ่งก็เลื่อนเปิดออกให้เห็นบันไดแคบๆ  ที่ทอดยาวลงสู่ความมืดมิด “ ตัดตรงถึงใจกลางคุกเลยล่ะ ” พร้อมกับเดินนำลงไป



    “ ท่านรู้หรือว่าลุงข้าถูกขังไว้คุกไหน ” เฟอร์โรเรนถามเมื่อนึกขึ้นได้



    “ ดูจากข้อหาแล้วเป็นคุกที่แปดไม่ผิดแน่และต้องเป็นห้องแรกด้วย... ”



    แต่เมื่อไปถึงห้องที่ว่ากลับว่างเปล่ามีเพียงฟางหญ้าปูอยู่ที่มุมหนึ่งเท่านั้น



    “ ทางโน้นก็ไม่มี ” เฟอร์โรเรนพูดอย่างร้อนรนหลังจากที่ช่วยกันวิ่งดูจนทั่วเป็นเวลาหลายชั่วโมง  “ ไม่ใช่ว่าเขาเอาตัวไปลานประหารแล้วหรอกหรือ ”



    “ คดีของลุงเจ้าไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น  ถึงเป็นจริงก็ไม่ใช่วันนี้ ” ชายหนุ่มพูดพลางใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผาก



    “ อะไรทำให้ท่านมั่นใจถึงขนาดนั้น ”



    ลิมินท์ยูเลิกคิ้ว “ วันนี้เป็นวันทำพิธีลงนาม การประหารจะทำให้พิธีมีมลทิน ”  เขายกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิดเมื่อร่างหนึ่งเดินอ้อมมุมมาด้วยท่วงท่าราวกับแม่เสือที่พร้อมจะกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อทันทีที่วิ่งหนี  คิ้วขมวดมุ่นด้วยความโกรธและเมื่อเอ่ยปากน้ำเสียงทรงอำนาจนั้นก็ทำเอาทั้งสองสะดุ้งกลัวจนไม่กล้าขยับหนี



    “ องค์ชายเพคะ!! ” พาร์เน็ตก้าวฉับๆ  ตรงมาในมือถือตะเกียงมาด้วย  “ ข้านึกแล้วว่าท่านต้องมาที่นี่...  นึกยังไงเพคะฝ่าบาทถึงทำเรื่องบ้าระห่ำแบบนั้นถ้าทรงเป็นอะไรไปหม่อนฉันจะรู้สึกยังไง...  ชาวเมืองจะเป็นยังไงท่านสนใจบ้างสิเพคะ ”  



    “ คือ... ” เฟอร์โรเรนพูดเบาๆ  อย่างรู้สึกผิด “ เป็นความผิดข้าเองแหละฮะท่านพาร์เน็ต  ข้า... ”



    “ ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก ” เธอหันมาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ ข้าเลี้ยงองค์ชายมาตั้งแต่เกิด  ข้ารู้นิสัยเขาดีต่อให้เจ้าไม่ออกปากเขาก็จะรั้นวางแผนให้เสร็จสรรพ...  แล้วข้าก็พอจะรู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบก่อเรื่องให้ใครเดือดร้อน ”



    “ ข้าเสียใจพาร์เน็ต ”  ลิมินท์ยูกล่าวเสียงอ่อย



    พาร์เน็ตยกมือขึ้นสัมผัสบ่ากว้าง “ ข้าจัดการให้ท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ ” ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ ท่านจูลิโอให้เขาไปพบเป็นการส่วนตัวที่หอคอยทางใต้ ”



    “ ไปทำอะไรหรือฮะ ”



    “ เรื่องนี้เกินความสามารถข้าขอโทษด้วย...  แต่เท่าที่รู้ท่านจูลิโอไม่มีท่าทีจะลงโทษเขาสักนิด  เหมือนกับมีแผนการอะไรมากกว่า ”



    “ แผน... ”  ลิมินท์ยูทวน



    “ ค่ะ...  พอจบเรื่องแล้วก็ออกเดินทางไปเลย  บอกว่ามีธุระด่วนต้องไปทำ...  แต่เรื่องนี้ช่วยพักไว้ก่อนได้ไหมเพคะท่านต้องไปเตรียมตัวเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อนะเพคะ” หันมาหาเฟอร์โรเรน “ เจ้าด้วย... ข้าให้นางข้าหลวงเตรียมชุดไว้แล้ว”



    ลิมินท์ยูย่นคิ้วด้วยความเบื่อหน่ายแทบจะในทันทีแต่ก็แอบยิ้มที่มุมปากในความรู้ใจของพาร์เน็ต  แล้วทั้งสองก็เดินตามหลังเธอออกไป

                                                                             ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ ได้โปรดท่านพาร์เน็ต...  อย่าให้ข้าออกไปเลย ” เฟอร์โรเรนแทบจะคุกเข่าขอร้องเมื่อพาร์เน็ตดันหลังให้เขาผ่านม่านออกไปยังท้องพระโรง



    “ จะอายอะไรเล่าสาวน้อย ” พาร์เน็ตยิ้มกริ่มพลางมองสำรวจร่างบางในชุดกระโปรงสีน้ำเงินขลิบชายลูกไม้ที่เกาะเสาไว้แน่น



    “ ก็...  ก็... ” เฟอร์โรเรนพยายามหาเหตุผล  ยังไงเขาก็ไม่ยอมออกไปในสภาพนี้เด็ดขาด “ พ่อมด...  มีพ่อมดมาร่วมงานตั้งเยอะ  ท่านคงไม่คิดส่งท่านไปตายหรอกใช่ไหมฮะ ”  



    “ ก็จริงของเจ้า”  พาร์เน็ตมีทีท่าคล้อยตาม “ แต่คนที่ตายจะเป็นข้าถ้าเจ้าไม่ออกไป ” ว่าแล้วก็แกะตัวเฟอร์โรเรนที่เกาะเสาแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกโยนผ่านผ้าม่านออกไปได้สำเร็จ



    “ เดินให้มันดีๆ หน่อย  ” เธอกระซิบเมื่อเห็นเขาเดินก้มหน้างุด “ แล้วอย่าลืมนะว่า ‘เพคะ’ ไม่ใช่ ‘ฮะ’ ”



    ...ถึงจะหน้าเหมือนผู้หญิงแต่ข้าก็ไม่เคยนุ่งกระโปรงเดินไปเดินมาอย่างนี้นี่นา...  เฟอร์โรเรนคิดและพยายามไม่ก้มลงมองสารรูปตัวเอง



    ท้องพระโรงที่ว่ากว้างใหญ่นั้นดูแคบไปถนัดตา  โคมไฟระย้าส่องสว่างอยู่บนเพดานที่เป็นภาพปูนเปียกรูปผู้สร้างคัมภีร์สันติภาพทั้งห้า  ผนังแต่ละด้านห้อยธงผืนยาวปักดิ้นตราประจำราชวงศ์  ร่างหลากพันธุ์ในชุดหรูหราประจำเผ่าจับกลุ่มสนทนากันอย่างออกรส  และที่หน้าบัลลังก์ทอง   โต๊ะสูงตัวหนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าวางชามอ่างแก้วคริสตัลใสใบใหญ่ไว้คู่กับกริชเวทย์ที่ทำจากเงินแท้ทั้งเล่ม  



    “ มาแล้วรึ ” ร่างหนึ่งกระซิบที่ข้างหูทางด้านหลัง  เฟอร์โรเรนหับขวับไปอย่างรวดเร็ว  และเซหงายหลังเพราะลืมไปว่าตอนนี้ตนเองยืนอยู่บนรองเท้าส้นแหลมสูง



    ลิมินท์ยูสอดมือเข้าประคองที่เอวอย่างว่องไว  “ อุตส่าห์แต่งตัวสวยทั้งทีทำตัวให้เรียบร้อยหน่อยสิ ”



    “ ฮะ... เอ๊ย! พะยะค่ะ...  เพคะ!! เพคะองค์ชาย ”



    “ ทำตัวตามสบาย...  ไม่ต้องเกร็ง ”



    “ ก็อยากอ่ะนะแต่ท่านกอดข้าไว้นี่ ” เหล่ตามองมือที่จับไว้แน่น “ หม่อนฉันไม่อยากถูกสาวๆ  แถวนี้หรือพระคู่หมั้นส่งคนมาฆ่าเสียก่อนจะได้พบลุงนะเพคะ”  สะบัดหน้าใส่อย่างอนๆ  ...แบบนี้ก็สนุกดีไปอีกแบบแฮะ...  แต่ถึงยังไงข้าก็เป็นผู้ชายนะ...



    ลิมินท์ยูคลายวงแขนออกแต่กลายเป็นว่าเฟอร์โรเรนเป็นฝ่ายเกาะเกี่ยวแขนเขาไว้เสียเองเมื่อรองเท้าเริ่มกัดอย่างไม่ปราณี



    “ มีอะไรรึ ”



    “ เปล่านี่ ” เขากระพริบตาถี่ๆ  ด้วยความรำคาญครีมที่เคลือบขนตาจนหนัก  และนึกสงสัยหน่อยๆ  ว่าลิมินท์ยูหน้าแดงเพราะอะไร



    เมื่อวงดนตรีหยุดบรรเลงผู้ที่อยู่ในฟลอร์ก็โค้งให้คู่ของตนแล้วจูงมือกันออกไป  องค์กษัตริย์เฟเฮอร์ปล่อยมือที่กุมพระมเหสีแล้วก้าวลงจากบัลลังก์ทองมายืนตรงกลางท้องพระโรง  



    “ บัดนี้ก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว ” เฟเฮอร์กล่าวด้วยเสียงอันดังแต่สุขุมทรงอำนาจ “ ข้าใคร่ขอเชิญตัวแทนเผ่าพันธุ์ทั้งห้าให้ก้าวออกมายืนตรงหน้าเพื่อร่วมกันทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาพยานทุกผู้นามทั้งในท้องพระโรงแห่งนี้และชาวเมืองที่เฝ้ารอสันติภาพอยู่ภาย

    นอก ”



    หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามา  หากดวงตาคมวาวสุขุมนั้นสะท้อนให้เห็นวันเวลาที่ผ่านโลกมานานนับร้อยปี  ผมสีซีดของนางที่แบ่งครึ่งหนึ่งถักเป็นเปียไว้ข้างแก้มยาวถึงสะโพก  นางประดับร่างกายด้วยเชือกและด้ายหลากสี   ไม่เว้นแม้ที่ลำคอซึ่งห้อยกระพรวนทองหากคลุมกายด้วยเสื้อคลุมสีมอซอ



    เสียงประกาศนามทำให้เฟอร์โรเรนรู้ว่านางคือ เซนต์แอนน์ตัวแทนสัตว์วิเศษ



    เมื่อร่างในชุดเสื้อคลุมสีขาวสว่างก้าวออกมา  เฟอร์โรเรนขยับตัวหลบหลัง       ลิมินท์ยูทันทีตามสัญชาติญาณและเขาก็คิดถูกแล้วที่ทำเช่นนั้นเมื่อทหารประกาศว่า       “ ตัวแทนพ่อมด...หัวหน้าสภาพ่อมดและที่ปรึกราชการแผ่นดิน...  ท่านทอร์เรออน ”



    อีกร่างในชุดสีม่วงเปลือกมังคุดจับจีบกระโปรงเหมือนกลีบดอกไม้แตะปลายเท้าอย่างแผ่วเบาลงบนพื้นก่อนจะหุบปีกบางใสลง  บนศีรษะประดับด้วยหมวกที่เหมือนขั้วดอกไม้นัยน์ตากลมโตสีเขียวใสและไม่มีคิ้ว  เป็นตัวแทนเอลฟ์



    เฟอร์โรเรนเกือบจะร้อง “ เฮ้ย!! ”  ออกมาดังๆ  ...แล้วเอลาเทลไปอยู่ที่ไหน...



    “ และ...  องค์รัชทายาทแห่งเฮเดสคาร์  ท่านฮิวเมริจ  ตัวแทนปิศาจ... ”



    ฮิวเมริจก้าวออกมาอย่างวางมาดเช่นเคย   เฟอร์โรเรนแอบสังเกตเห็นว่าเขาได้เสียงปรบมือจากสาวๆ  ไปไม่น้อย  ก่อนจะเหลือบมองผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้าง ...ถ้าให้เลือก...   เขาว่าเขาชอบแบบนี้มากกว่านะ...



    ทั้งห้าเดินตรงไปที่โต๊ะสูง  ภูตจิ๋วตนหนึ่งทำหน้าที่ส่งต่อกริชให้ผู้ทำพิธีโดยมีภูตจิ๋วอีกสองตนช่วยกันประคองชามอ่างลงมารอรับหยดเลือด  เนื่องจากเป็นแค่การลงนามรับรองจึงไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อริมหัวใจ



    เมื่อเวียนจนครบ  กริชและชามอ่างที่มีเลือดสีข้นก็ถูกยกไปวางที่เดิม  พระราชาให้สัญญาณแล้วนายทหารที่ซ่อนอยู่หลังม่านก็กุลีกุจอช่วยกันขยับฟันเฟืองของกลไกให้เพดานท้องพระโรงเลื่อนเปิดออกช้าๆ  เพื่อให้แสงจันทร์สาดส่องลงมา  



    แสงสีเหลืองนวลต้องผิวของเหลวสีเข้มแล้วทอประกายระยิบขึ้นมาเหนือชามอ่าง  ครู่หนึ่งลำแสงสีรุ้งก็ทอประกายกล้าขึ้นแล้วคัมภีร์สันติภาพก็ปรากฏ



    ภูตจิ๋วตักเลือดที่ผสมจนเข้ากันใส่ในถ้วยที่ทำจากเขายูนิคอร์นถ้วยละนิด โรยใบ เปปเปอร์มินต์ที่ซอยเป็นเส้นบางแล้วส่งให้ตัวแทนแต่ละคน  

    ผู้อัญเชิญคัมภีร์ก้าวเข้ามา   เขาห่อร่างกายมิดชิดด้วยชุดเสื้อคลุมสีเงินขลิบทอง  เมื่อเขายื่นมือทั้งสองออกมาด้านหน้าคัมภีร์ก็ลอยลงมาอยู่

    เหนือมือของเขาก่อนจะเหวี่ยงหน้าปกเปิดออกช้าๆ   ในขณะที่ภูตจิ๋วนำถ้วยบรรจุเลือดที่เหลือลงมารอ  



    ตัวแทนทั้งห้ายกถ้วยขึ้นชูพร้อมกับกล่าวคำสาบานที่ปรากฏอยู่บนหน้าแรกของคัมภีร์ดังๆ  เพื่อให้ได้ยินโดยทั่วกัน  ก่อนจะยกขึ้นดื่มรวดเดียวและเลือดที่เหลือในถ้วยก็ค่อยๆ  แห้งเหือดไปหากแต่ไม่ปรากฏรอยจารึกขึ้นบนหน้าคัมภีร์อย่างที่ควรจะเป็น  



    “ เกิดอะไรขึ้น ” เฟเฮอร์กระซิบถามเสียงแผ่วค่อย



    ทอร์เรออนหันไปมองเซนแอนน์อย่างขอความเห็น  เมื่อฮิวเมริจดูดปากเสียงดังจ๊วบ!!  



    “ อร่อยจังเลือดสดๆ  เนี่ย ”  เขาแลบลิ้นเลียเขี้ยวคู่สวยอย่างไม่เกรงใจใคร



    “ ท่านไม่ควรทำเช่นนั้น ” ตัวแทนเอลฟ์เตือน



    “ ทำไมจะไม่ได้ ”  ฮิวเมริจว่า “ ก็ข้าชอบ...  โดยเฉพาะหัวใจมนุษย์ที่ยังเต้นตุบๆ  นี่ของโปรดข้าเลยแล้วคืนนี้ข้าก็มาเพื่อลิ้มลองให้หายอยาก ” ว่าแล้วก็ดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนจะเงื้อมือที่แผ่กรงเล็บออกเต็มเหยียดจ้วงเข้าใส่อกราชามนุษย์ท่ามกลางเสียงกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว



    “ ท่านพ่อ ” ลิมินท์ยูร้องเสียงดังพร้อมกับวิ่งลงมา



    ในเสี้ยววินาทีระทึกนั้นผู้อัญเชิญเหวี่ยงคัมภีร์ปิดแล้วทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด  เขาชักดาบออกรวดเร็วและเข้าขวางปิศาจหนุ่ม  ตัวแทนเอลฟ์เข้ามาประคองเฟเฮอร์ที่สะดุดล้มลงให้ลุกขึ้นยืน   ทหารองครักษ์วิ่งเข้ามาล้อมสองร่างที่ประลองกำลังกันอยู่  หอกแหลมพุ่งชี้ไปข้างหน้าพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ



    ฮิวเมริจกรีดยิ้มอย่างสุขสม  “ ดี...  ดี...มากันให้เยอะๆ  เลย ” ทันทีที่พูดจบร่างใหญ่ยักษ์ที่มาพร้อมกับลมแรงดังพายุพัดโหมกระหน่ำก็ปรากฏกายขึ้นตรงช่องเพดาน



    มังกรสามหัวตัวโตเต็มวัยผิวหนังเป็นเกล็ดสีดำสนิทร่อนลงพื้นช้าๆ  หัวเรียวแหลมที่มีเขายาวสะบัดไปมาแล้วอ้าปากคำรามขู่   เปลวเพลิงลุกโชติช่วงกวาดทุกอย่างตรงหน้าให้ราบเป็นหน้ากลองพร้อมกับที่ร่างโปร่งใสสีขาวราวมุกโจนทะยานออกมา  



    หมาป่าวิญญาณไล่จับเหยื่อไปรอบๆ  อย่างหิวกระหาย  โดยไม่มีสิ่งใดจะมาหยุดยั้งกรงเล็บและคมเขี้ยวของมันได้  



    เสียงกรีดร้องระงมที่ดังแว่วมาจากทั่วสารทิศทำให้รู้ว่าภายนอกพระราชวังนั้นก็กำลังประสบกับชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน



    “ ทำไมพวกมันถึงต้านคำสาปได้ ” เฟเฮอร์ชักดาบออกมาป้องกันตนเองในขณะที่องครักษ์ตีวงอารักขาเพื่อพาเสด็จไปยังที่ปลอดภัย



    “ เจ้าปิศาจน้อยนั่นกล้าสละถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ ” เซนต์แอนน์พูดเสียงแผ่วแต่ดูนางไม่มีทีท่าว่าตกใจสักนิด



    “ สละ! ” ทอร์เรออนร้องอย่างตระหนก “ หรือว่าท่านกิเกลฟ์... ”



    “ ท่านเข้าใจถูกแล้วท่านทอร์เรออน!! ” ฮิวเมริจร้องขึ้นเมื่อได้ยินบทสนทนานั้น “ ผู้นำฉลาดย่อมเลือกตัดขาที่ใช้การทิ้งไม่ได้เพื่อรักษาชีวิต...  เพียงเท่านี้พันธะเฮงซวยนั่นก็หมดน้ำยา และอีกไม่นานข้าก็จะฉีกคัมภีร์อุบาทว์นั่นทิ้งแล้วกระทืบให้สะใจเลย ”



    “ คิดหรือว่าจะทำได้ ” ร่างตรงหน้ากระซิบเสียงแผ่ว



    “ ดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งเดียวที่สามารถต่อกรลูกๆ ข้าได้อย่างสูสี... เล่มหนึ่งสูญหายและอีกเล่มไร้ผู้ครอบครอง  พ่อมดก็หมดอำนาจ  ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะเอาอะไรมาสู้  ”



    “ ก็ดาบเล่มที่เจ้าว่าไง ” ร่างสูงถอนดาบกลับแล้วตวัดเข้าใส่เต็มแรง  กรงเล็บของฮิวเมริจแตกละเอียดลงในพริบตา   เขากุมมือชุ่มเลือดไว้แล้วกระโดดถอยหลัง  นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความแค้น



    “ สิงห์ซ้ายงั้นรึ ”ฮิวเมริจคำรามลอดไรฟัน“ นี่เจ้ายังไม่ตายอีกรึซิริอัส เกรซัส”



    “ ต่อให้เป็นวิญญาณข้าก็ฆ่าเจ้าได้ ” ทันทีที่เสื้อคลุมถูกดึงออกร่างสูงในชุดพร้อมรบทะมัดทะแมงก็ก้าวเท้าเข้าใส่ทันที  เมื่อร่างหนึ่งในชุดแม่ทัพโลกปิศาจเต็มยศก้าวเข้ามาขวาง



    “ ควอร์ซิสแย่งคัมภีร์มาให้ได้ ”  ฮิวเมริจสั่งก่อนจะหันกลับไปหาเป้าหมายเดิม



    องครักษ์ส่วนพระองค์ถูกสังหารในพริบตา  ลิมินท์ยูโดนกรงเล็บปัดกระเด็นไปติดผนัง  และอึดใจต่อมาหัวใจของพระราชาก็ถูกควักออกมา  ทิ้งให้ร่างไร้วิญญาณล้มลงพื้นอย่างน่าสังเวช



    “ ท่านพ่อ!! ”  ลิมินท์ยูร้องเสียงดังปานจะขาดใจ แล้วเขาก็แทบจะขาดใจจริงๆ  เมื่อฮิวเมริจหันไปปลิดชีพองค์ราชินี  “ ท่านแม่ !!... ”



    “ องค์ชายหนีเร็วเพคะ ” พาร์เน็ตวิ่งเข้ามาประคองแต่ลิมินท์ยูสะบัดหลุดแล้ววิ่งเข้าใส่ฮิวเมริจที่กำลังแทะกินหัวใจอย่างหิวกระหาย



    “ ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึไง ” เฟอร์โรเรนเข้ามาขวางและผลักเขากลับสู่อุ้งมือพาร์เน็ต  “ ฟีเลียเซียต้องมีผู้ปกครองท่านจะไปตายไม่ได้ ”



    “ แต่ว่า... ”  ลิมินท์ยูดึงร่างตรงหน้าหลบเมื่อหมาป่าวิญญาณพุ่งเข้าใส่



    หากแต่เฟอร์โรเรนไม่หลบเขาแย่งดาบจากมือองค์ชายแล้วหันไปประจันหน้าอย่างไม่กลัวเกรง  “ ท่านพาร์เน็ตพาเขาไปเร็วๆ ฮะ”



    “ ได้โปรดเชื่อเด็กคนนี้องค์ชาย ”  ซิริอัสพุ่งเข้ามาและชิงสังหารหมาป่าวิญญาณเสียก่อนที่มันจะถึงตัวร่างบางในชุดกระโปรงยาวลูกไม้ฟูฟ่องที่เขาเกือบจะจำไม่ได้ว่าเป็นใครทั้งที่เห็นหน้ากันจนเบื่อไปข้างตลอดระยะเวลาสิบหกปี  



    ลิมินท์ยูจ้องมองร่างตรงหน้าราวไม่เชื่อสายตา  ประกายแห่งความหวังและยินดีทอประกายกล้าขึ้นในดวงตา  “ อาจารย์...  ท่าน... ”



    ซิริอัสยกมือขึ้นแตะริมฝีปากและยัดคัมภีร์ใส่มือองค์รัชทายาทรวดเร็ว “ เวลานี้มีเพียงสายเลือดโดยตรงของผู้ทำสัญญาเท่านั้นจะรักษาไว้ได้...  อนาคตของเราอยู่ในมือท่านแล้วโปรดถนอมพระองค์ด้วย ”  หันไปมองร่างบางในชุดกระโปรงกรุยกราย  สีหน้าเคร่งเครียดเกือบระเบิดหัวเราะออกมา “ เรน... เจ้า... ”  เมื่อเฟอร์โรเรนแยกเขี้ยวใส่นั่นล่ะซิริอัสจึงยอมเข้าเรื่อง  “ ข้าจะไม่บอกให้เจ้าหนีไปเพราะรู้ว่าเจ้าคงไม่ทำ  ...และข้าก็จะไม่ขอให้เจ้าจับดาบสู้เพื่อคนที่เคยทำร้ายเจ้า...  ทุกอย่างล้วนแล้วขึ้นกับใจเจ้า   ...เรน ”



    “ ข้าอยู่ทุกที่ที่มีท่าน ” เขาตอบแทบจะในทันที



    ซิริอัสยิ้มมุมปาก “ แต่หลังข้าไม่ต้องการการระวัง  เจ้าไปกับองค์ชายและข้าขอบังคับให้เจ้าสาบานว่าถ้าข้าไม่กลับมาเจ้าจะทำทุกอย่างตามที่เอลาเทลบอก ” เฟอร์โรเรนทำหน้าเหมือนจะถาม  แต่เมื่อเห็นสายตาวิงวอนแกมบังคับจึงพยักหน้ารับแม้จะไม่ค่อยเข้าใจและเต็มใจนัก   ซิริอัสยิ้มกว้างแล้วรวบตัวเขาเข้ามากอดเร็วๆ พร้อมกับกระซิบที่ข้างหู “ ข้ารักเจ้า...  ลูกพ่อ ” ผลักออกจากวงแขน “ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดเพราะนั่นคือสิ่งที่ข้าและพ่อของเจ้าต้องการ ” สายตาเหลือบมองสตรีที่อยู่ถัดออกไปด้วยความอาวรณ์เล็กน้อย  เขากำลังจะผละไปแต่แล้วก็หมุนตัวกลับ  ยกมือประคองแก้มพาร์เน็ตแล้วประทับริมฝีปากเบาๆ  อย่างโหยหา  “ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้าไม่เคยเปลี่ยน ” แล้ววิ่งไปหาควอร์ซิสที่กำลังฟาดฟันดาบใส่อากาศอย่างรวดเร็ว



    พาร์เน็ตยกมือขึ้นไล้ริมฝีปาก  สีหน้าดูหงุดหงิดแต่ประกายในแววตากลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป

    ..................................................................................................................



    “ ท่านมาสาย ” เอลาเทลว่าพร้อมกับปรากฏตัว  



    “ โทษที ”  ซิริอัสบอกแล้วเข้าขวางระหว่างเอลาเทลกับควอร์ซิส  



    “ พรายลดตัวมาคลุกคลีกับมนุษย์แล้วหรือนี่ ”



    “ ข้าต่างหากที่ลดตัวไปคบกับพราย ”



    เอลาเทลมองตาขวาง  ...อุตส่าห์ถ่วงเวลาให้แท้ๆ...  แต่ตอนนี้เขาก็รู้จักซิริอัสดีพอเกินกว่าจะมามัวคิดมากกับคำพูดจิกกัดนั้น

    ...................................................................................................ง



    ราวสองชั่วโมงก่อน  ณ  ห้องหนึ่งในปราสาท  



    ซิริอัสกำลังเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้อัญเชิญคัมภีร์ตามแผนการของจูลิโอ  เมื่อร่างหนึ่งผลุบเข้ามาทางหน้าต่างแล้วเผยตัวให้เห็น



    “ เจ้าว่าฮิวเมริจจะลงมือไหม ”  เขาถามพลางครุ่นคิด



    พรายหนุ่มทอดสายตามองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า  มันเป็นสีม่วงอมแดงเลือดเหมือนเป็นสัญญาณบอกอันตราย “ ดูจากที่พวกมันโจมตีเราในป่า...  ข้าก็ไม่มีความคิดเป็นอื่นอีกแล้ว ” เอลาเทลถอนสายตากลับมายังร่างสูงที่นั่งค้อมหลังอยู่บนเก้าอี้ “ ท่านกลัวหรือ... ” คำพูดเหมือนถากถางหากน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย



    ซิริอัสหันมามองหน้าเอลาเทลที่เตรียมใจรับคำพูดแสบๆ และหาคำโต้ไว้เรียบร้อยแต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ใช้มัน



    “ ทำนองนั้น ” ซิริอัสพูดเรียบๆ  “ ข้ากลัวตาย...  กลัวมาก... ถ้าไม่มีข้าแล้วใครจะดูแลเรน ”



    “ ท่านก็ไม่ต้องตายสิ ”



    ร่างสูงหันขวับมาในทันที  เมื่อเอลาเทลก้าวเข้ามายืนตรงหน้า “ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท่านต้องรอดชีวิตกลับมาให้ได้ ”



    “ นั่นถือเป็นคำขอรึเปล่า ” เขาพูดยิ้มๆ



    “ ข้าบังคับให้ท่านสาบาน ”



    ซิริอัสเอียงคอเล็กน้อยอย่างฉงน  ดวงตาสีเข้มสบตาสีน้ำตาลอ่อนอยู่เนิ่นนานจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ ได้! ” เขาลุกขึ้นยืน “ ถ้าเจ้าจะช่วยอยู่เงียบๆ  บนนี้เพราะจะไปกีดมือขวางเท้าข้าเปล่าๆ ”



    เอลาเทลกระตุกมุมปากขึ้นย่างนึกเคือง  เขากำลังจะอ้าปากเถียงเมื่อฝ่ามือแข็งกร้านบีบเข้าที่ไหล่  ซิริอัสเหยียดลำแขนออกจนสุดแล้วก้มหน้าลง “ ล้อเล่นน่ะ...  เจ้าเข้าใจใช่ไหม... ”



    พรายหนุ่มหัวเราะในความปากแข็งของอีกฝ่าย “ ท่านพูดอะไรข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย ” ร่างสูงผงกหัวขึ้นมองเล็กน้อย “ ข้าล้อเล่นน่ะ...  ท่านเข้าใจใช่ไหม  ” เอลาเทลขยิบตาพลางยกมือขึ้นพยายามจะจับไหล่อีกฝ่ายแต่ก็สัมผัสได้แค่บริเวณเหนือข้อศอกเท่านั้น “ ข้าจะไม่ให้ท่านคลาดสายตาเลย... สัญญา ”



    “ ขอบคุณ ” ซิริอัสปลดมือเอลาเทลออกจากแขนรวบนิ้วเรียวให้กำเข้าแล้วยกขึ้นแตะที่ข้างแก้ม  พรายหนุ่มเอียงคอนิดๆ  เป็นเชิงถาม “ ข้าจะยอมให้เจ้าต่อย...  ถือว่าแทนคำขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ข้าทำกับเจ้าเพราะข้าจะไม่พูดว่าขอโทษเด็ดขาด ”



    “ ท่านพูดไปสองแล้วนะ ” เอลาเทลคลายมือออกแล้วตบเบาๆ  เข้าที่แก้มสาก



    เสียงแตรสัญญาณดังแว่วมาบอกให้รู้ว่าพิธีได้เริ่มขึ้นแล้ว



    “ ต้องไปล่ะ...  ให้ตายสิข้าอยากได้เครื่องรางช่วยให้รอดจังจะได้กลับมาเขกกบาลพรายเล่นสักทีสองที ”



    “ ถ้าอยากได้มีดประดับที่กลางหน้าผากก็เชิญเลย ”



    ซิริอัสแลบลิ้น  เขาเดินไปถึงประตูแล้วเมื่อเห็นพรายหนุ่มทำอะไรบางอย่างกับเส้นผม “ นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ ”



    เอลาเทลคว้ามือซิริอัสแล้วพันเส้นผมสีทองนุ่มลื่นดุจไหมที่ดึงออกมาเข้าที่นิ้วก้อยซ้ายก่อนจะผูกเก็บปลายเรียบร้อย  แล้วเงยหน้าขึ้นสบตา “ ท่านอยากได้เครื่องรางไม่ใช่เหรอ...  ข้าก็ให้ท่านได้เท่านี้แหละ ” พร้อมกับเอื้อมมือดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะร่างสูง



    ซิริอัสไม่ว่าอะไรเพียงแต่ยิ้มกว้าง

    ................................................................................................................



    “ ...เพราะข้าถือว่าเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ ”



    คำพูดของซิริอัสโดนใจเอลาเทลเข้าอย่างจัง  ...แต่เขาจะไม่มีวันได้รู้หรอก...



    “ งั้นก็ตายพร้อมกันเลยเป็นไง ” ควอร์ซิสตวัดดาบเข้าใส่



    “ ไม่รังเกียจ... ” ซิริอัสยกดาบขึ้นตั้งรับ “ แต่ต้องทีหลังเจ้านะ ”

    ...............................................................................................................



    “ อย่ายุ่งกับเขา ” พาร์เน็ตพูดเสียงดังพร้อมกับชักดาบที่ซ่อนไว้ออกมา  เมื่อร่างในชุดสีดำขี่หลังหมาป่าวิญญาณมาหยุดลงตรงหน้า



    “ อะไรกัน...  องค์รัชทายาทหลบงุดๆ  อยู่หลังชายกระโปรงผู้หญิงเหรอนี่ ”  ฮิวเมริจกลั้วหัวเราะ



    “ ท่านพาร์เน็ตกรุณาหลบไป ” ลิมินท์ยูก้าวออกมาอย่างไม่กลัวเกรง  ความโกรธเกลียดฉายขึ้นแจ่มชัดในดวงตาสีดำขลับ “ ข้าจะจัดการมันด้วยมือของข้า ”



    “ ข้าจะกลัวดีไหมเนี่ย ”  ฮิวเมริจทำหน้าทะเล้น  หมาป่าก้าวถอยหลัง  ทันใดนั้นหัวหนึ่งของมังกรก็พุ่งเข้าใส่



    “ องค์ชายระวัง!! ” เฟอร์โรเรนร้องเตือนพร้อมกับกระโดดผลักให้พ้นทาง    ลิมินท์ยูล้มกลิ้งหลบไปได้ฉิวเฉียดแต่ตัวเองกลับถูกเขี้ยวพิษยาวงับเข้ากลางตัวแล้วยกลอยขึ้นในอากาศ  “ อ๊ากกก......!! ” เลือดก้อนใหญ่พุ่งขึ้นมาตามลำคอที่ร้อนผ่าวและแสบระบม  เขาสำลักมันออกมา



    “ เรน!! ” ลิมินท์ยูลุกพรวดขึ้น  



    พาร์เน็ตเข้ามาช่วยประคองแต่ก็ถูกหางยาวมีแพหนามตวัดกระเด็นลอยไปติดกำแพง  ร่างบางไหลลงมากองกับพื้นแล้วแน่นิ่งไป  เลือดสีแดงไหลซึมผ่านเส้นผมดำขลับลงมาตามลำคอ  และเสี้ยววินาทีที่ลิมินท์ยูเหลียวไปมองหัวมังกรอีกหัวก็พุ่งเข้างับกลางลำตัวแล้วชูสะบัดขึ้นในอากาศ  ดาบหลุดลอยจากมือไปปักบนผนังที่อยู่สูงเกินเอื้อม   เขาพยายามต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต  มังกรเพียงแค่งับหยอกๆ แต่อีกร่างที่อยู่

    ห่างออกไปเขี้ยวขาวฝังจมเกือบครึ่ง  เลือดสีเข้มไหลอาบจนชุ่มหน้าอก



    นัยน์ตากลมโตหรี่ลงทุกขณะที่เลือดในกายค่อยๆ  ไหลรินออกจากร่าง  เฟอร์โรเรนรับรู้ได้ทันทีถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต  ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย   ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวและมืดลงทุกที...   ทุกที...



    ...แม้ชีวาข้าสูญสลายเหลือเพียงเถ้าธุลี   วิญญาณเจ้าจักดำรงจนถึงกาลดับสูญ...  



    เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัว



    ...เฟอร์โรเรน  ลืมตาขึ้นสิ...



    เขาปรือตาขึ้นช้าๆ  และพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืด  ร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก  เฟอร์โรเรนก้าวเท้าเข้าไปหาช้าๆ  เหมือนต้องมนตร์สะกด



    ...ข้าตายแล้วใช่ไหม...  



    ...เวลานั้นยังไม่มาถึง  และเจ้าต้องกลับไป...



    เขาส่ายหน้า  



    ...เปล่าประโยชน์  ข้าสู้พวกมันไม่ได้หรอก  กลับไปก็ตายอยู่ดี...



    ...แล้วเจ้าจะปล่อยให้พวกเขาตายหรือ...  คนที่เจ้ารัก...  ทั้งองค์ชาย   เอลาเทลและ...  ซิริอัส...



    ...ไม่...  เขาตอบเสียงดัง



    ...งั้นก็กลับไปสิ  และก่อนจะไปข้าขอให้เจ้านำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย...   ร่างนั้นแบมือออกช้าๆ   เผยให้เห็นลูกแก้วกลมใสขนาดเท่าผลวอลนัตลอยอ้อยอิ่งอยู่ในมือ  



    เฟอร์โรเรนรับมันไปถือไว้  เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกไป   ...ขอให้ข้าเห็นหน้าท่านได้ไหม...



    ...ไม่ต้องรีบร้อน...



    เขาหลับตาลงอีกครั้งและรู้สึกได้ถึงแสงสว่างอบอุ่นอ่อนโยนที่ห่อหุ้มร่างกาย   นัยน์ตากลมหรี่ปรือขึ้นช้าๆ  ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องเขม็งมาที่เขา   ความเจ็บปวดร้าวระบมกลับมาอีกครั้งมันแผ่ซ่านไปถึงปลายนิ้วที่เริ่มแข็งชาเพราะเสียเลือด



    ...ท่าทางจะเป็นนิมิตก่อนใกล้ตาย...  เฟอร์โรเรนคิดในใจเมื่อรู้สึกถึงของบางสิ่งที่กำแน่นอยู่ในมือ   เขาเหลือบตาลงมอง  ...เรื่องจริงหรือนี่...  รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนเรียวปาก  คำพูดสุดท้ายของร่างนั้นดังซ้ำขึ้นในหัว...  ถึงจะแผ่วค่อย  แต่เขากลับได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ



    ...โชคดีนะ  เจ้าลูกชาย...

    ......................................................................................................................งง



    “ ส่งคัมภีร์ให้ข้าองค์ชายแล้วท่านจะได้ตายสบายตามพ่อแม่ของท่านไป ”    ฮิวเมริจตะโกนบอก



    “ ไม่!! ”



    “ ตอบได้ดีองค์ชาย ” ซิริอัสทิ้งเอลาเทลให้รับมือควอร์ซิสแล้วกระโจนขึ้นหลังมังกรพลางก้มหลบอีกหัวที่ไล่งับไปรอบๆ  ก่อนจะหาจังหวะฟันฉับทีเดียวขาดกระเด็นไปดิ้นเร่าๆ  อยู่บนพื้น  เลือดสีน้ำเงินข้นคลั่กสาดกระเซ็นไปทั่วเมื่อมังกรสะบัดตัวดิ้นไปรอบๆ  ด้วยความเจ็บปวด  



    ลำแสงสีดำพุ่งออกจากมือฮิวเมริจเข้าพันรัดรอบลำคอ  ฉุดให้ร่างสูงหงายหลังร่วงลงจากหลังมังกร  แล้วตรึงยึดไว้กับพื้น  เอลาเทลเสียจังหวะหันมามองจึงถูกดาบถากเข้าที่ไหล่  เขาหันหลังให้แม่ทัพปิศาจแล้วพุ่งตัวราบกับพื้นกระชากร่างซิริอัสหลบฝ่าเท้ามหึมาที่กระทืบลงเต็มแรงจน

    พื้นยุบเป็นหลุมกว้าง  แผ่นหินอ่อนปูพื้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ  ปลิวว่อน



    ฮิวเมริจปล่อยให้เป็นหน้าที่มังกรแล้วหันไปหาลิมินท์ยูที่ถูกทิ้งลงกับพื้น  เขากระโดดลงจากหลังหมาป่าพร้อมกับแผ่กางกรงเล็บเข้ากำรอบคอร่างอ่อนเปลี้ยที่ยังเกาะกุมคัมภีร์ไว้แน่น  “ ส่งมันให้ข้า ”  เล็บยาวจิกเข้าที่คอโดยเลี่ยงจุดสำคัญเพื่อยื้อให้ตายอย่างทรมานที่สุด  



    ลิมินท์ยูไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ  เขายอมตายแทนที่จะส่งสิ่งสำคัญให้ปิศาจ  ...จะไม่ร้องขอ  ...ไม่แสดงความเจ็บปวด  ...ไม่เสียดายชีวิต  ...ถ้าจะต้องเสียใจก็คงมีเพียงเรื่องเดียว   ...ที่ไม่อาจปกป้องคนสำคัญไว้ได้...



    หยาดโลหิตสีเข้มไหลออกจากรอยกรงเล็บไม่ขาดสายอาบลำคอหนาและแผ่นอกกว้างให้เป็นสีแดงฉาน   ลมหายใจสุดท้ายของผู้สืบสายเลือดกษัตริย์แห่งมวลมนุษย์กำลังใกล้เข้ามาทุกที...  ทุกที...  



    หยดสีเข้มพราวพร่างยามเมื่อต้องแสงกระทบจากคมดาบและเปลวไฟที่กำลังลามเลียทุกสิ่งให้มอดไหม้ร่วงหล่นลงสัมผัสหน้าคัมภีร์แตกกระจายเป็นฝอยพราวระยับ    ฉับพลันคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขนก็เปล่งแสงสว่างเรืองรองราวกับจะตอบรับสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แห่งฟีเลเซีย    ปิศาจหนุ่มพยายามเบิกตาสู้แสงพร้อมกับร่ายมนตร์เพื่อดึงเอามันออกจากลำแขนแข็งแรงที่ยังยึดไว้แน่นแม้อ่อนแรงล้าเต็มที  

    แฉกลำแสงสีรุ้งห้าลำแผ่ออกมาจากหน้าหนังสือ   ก่อนที่คัมภีร์สันติภาพจะเลื่อนหลุดจากมือลอยขึ้นในอากาศและแตกกระจายออกเป็นห้าส่วนลอยวนเป็นวงกลมแล้วพุ่งหลบหลีกกรงเล็บของฮิวเมริจที่เอื้อมไขว่คว้าอย่างอับจนหนทางหายลับออกไปจากท้องพระโรง  



    “ หนีงั้นรึ ” ฮิวเมริจคำรามลอดไรฟันด้วยความแค้น  “ ฆ่ามันให้หมด  อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!! ” เขาหันไปสั่งการแล้วกระชากมือออกเงื้อสุดแขนเตรียมแทงซ้ำ



    ในขณะเดียวกันเอลาเทลทั้งฉุดทั้งลากซิริอัสให้ลุกขึ้นจากพื้น  หลังจากพยายามตัดเชือกเวทย์อยู่เป็นนานแต่ไม่สำเร็จ  ควอร์ซิสพุ่งเข้ามา  พรายหนุ่มปล่อยมือจากร่างสูงแล้วยกดาบขึ้นตั้งรับ  แต่กำลังของทั้งคู่ต่างกันมาก   มือของเอลาเทลสั่นระริกในขณะที่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเท่า

    ที่มียันเอาไว้  เมื่อหมาป่าวิญญาณสามตัวพุ่งเข้าซ้ำราวกับนัดหมายกันมากับนายของมัน



    ซิริอัสกัดฟันกรอด  ...นี่เขาจะต้องทนเห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ช่วยไม่อาจช่วยอะไรได้อีกแล้วหรือ...  



    นิ้วยาวกำเข้าเป็นหมัดแน่นเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นชัดที่หลังมือและข้อ  ปากเม้มกัดฟันแน่นจนห้อเลือดเป็นสีเข้มจัดด้วยความโกรธแค้น...  และเหนือสิ่งอื่นใดคือความมุ่งมั่นที่อัดล้นอยู่ในหัวใจที่ไม่ยอมแพ้...  ไม่สนใจแม้หยาดของเหลวขุ่นข้นที่ไหลรินออกจากผิวเนื้อตามรอยกรีดของลำแสงย้อมเชือกเวทย์สีดำสนิทให้กลายเป็นสีแดงฉาน   ...ณ  วินาทีนี้ความเจ็บปวดทั้งปวงอยู่นอกเหนือความรู้สึก...



    เชือกเวทย์ขาดสะบั้นลงอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดได้ด้วยน้ำมือมนุษย์   ซิริอัส กระชับดาบในมือแล้วกระโจนเข้าใส่หมาป่าพร้อมกับกระชากตัวพรายหนุ่มเข้าหลบในอ้อมแขนเมื่อไม่อาจทนแรงต้านนั้นได้   ดาบของควอร์ซิสจึงฟันเข้าเต็มที่ที่กลางหลังลากยาวตั้งแต่หัวไหล่ถึงเอว



    “ ขอโทษที่มาช้า ”



    เอลาเทลกระพริบตาไล่หยดเลือดที่กระเซ็นอาบหน้า  “ ซิริอัส...  ท่าน... ”  พลางพยายามดิ้นออกจากวงแขนแข็งแรงที่โอบกระชับรอบตัว   และแผ่นอกกว้างแข็งแรงดั่งกำแพงหนาที่ปกป้องตนเอาไว้



    หมาป่าวิญญาณกระโดดเข้างับซ้ำที่หัวไหล่  ซิริอัสเหวี่ยงมันหลุดออกไปแล้วตวัดดาบอ้อมหลังแทงเข้าที่คอ  เปิดจังหวะให้ดาบของควอร์ซิสที่แทงสวนมาปักเข้ากลางหลังตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจ



    “ ซิริอัส !!  ”



    เฟอร์โรเรนปรือตาขึ้นมาทันเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าพอดี  ฝ่ามือที่เคยอ่อนแรงเกร็งรวบกำลูกแก้วแน่น  จุดแสงสีน้ำเงินเข้มสว่างวาบขึ้นในแววตาแล้วลำแสงเจิดจ้าก็ส่องประกายออกมาจากตัวตามติดด้วยเปลวไฟสีน้ำเงินแกมแดงที่ระเบิดออก  มันลามเลียไปตามตัวมังกรแล้วแผดเผาจนเกลี้ยงเหลือเพียงเถ้ากระดูกที่ปลิวหายไปกับสายลมแรงราวกับพายุรวมทั้งหมาป่าวิญญาณที่อยู่ในระยะร้อยเมตร  



    “ เจ้า!! ” ฮิวเมริจลดมือที่ยกขึ้นบังแสงลงและจ้องดูร่างที่ค่อยลอยลงพื้นนุ่มนวลอย่างไม่เชื่อสายตา  พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ  ท้องพระโรง  ...เปลวไฟสีน้ำเงินกำลังดับสลายเมื่อคาถาสิ้นสุด  หากกองกำลังปิศาจที่เคยมีอยู่มากมายนั้นมอดหายไปกว่าครึ่ง “ ควอร์ซิสถอยก่อน...   เรื่องคัมภีร์กับเจ้าเด็กนี่นอกเหนือแผนการเกินไป ” เขาทิ้งร่างลิมินท์ยูให้ล้มลงกับพื้น  หมดความสนใจอีกต่อไป  แล้วกระโดดขึ้นหลังหมาป่าวิญญาณพุ่งทะยานออกไป



    ควอร์ซิสชักดาบออกแล้วก้าวถอยหลัง  เมื่อเขายกมือขึ้นผิวปากหมาป่าวิญญาณตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามางับเอาร่างของซิริอัสไปโดยที่พรายหนุ่มไม่อาจช่วยเหลือได้  ในขณะที่แม่ทัพโลกปิศาจกระโดดขึ้นหลังแล้วควบออกไปโดยมีหมาป่าวิญญาณที่เหลือวิ่งตามไปติดๆ  



    “ ท่านพ่อ...  ”



    เฟอร์โรเรนเปล่งเสียงกระท่อนกระแท่นผ่านลำคอที่แหบแห้ง  พยายามจะวิ่งตามแต่สองขาของเขาก็ไม่อาจทานทนรับน้ำหนักตัวได้อีกแล้ว  พิษจากคมเขี้ยวมังกรเริ่มกระจายไปทั่วร่าง   เนื้อตัวกระตุกสั่นแล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป

                                                                                    ~Ж Ж=== ===Ж Ж~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×