ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Inazuma: Short Story

    ลำดับตอนที่ #1 : {Shuu}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.92K
      18
      4 ส.ค. 56

     

     

    ในความฝัน ตัวผมอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่ง

     

    บนเก้าอี้ยาวทั้งสองทางมีแขกสวมชุดสีขาวสะอาดเรียบ

     

    ใครบางคนยืนรออยู่ที่ปลายสุดของทางเดินตรงนั้น

     

    แสงที่สาดสะท้อนย้อนทางมาทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเท่าไหร่นัก

     

    แต่เงาที่คุ้นเคยนั่นกำลังเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง

     

    บาทหลวงผู้ซึ่งยืนถัดจากคนๆนั้นกำลังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาทางผม

     

    ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง

     

    อย่าบอกนะว่านี่เป็น

     

    .

     

    .

     

    .

     

    .

     

    .

     

    พิธีแต่งงาน?...

     

     

     

    พรึ่บ!

     

    ร่างเล็กเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหงื่อที่ไหลชโลมกาย  นัยน์ตาสีนิลที่ฉายแววตื่นตระหนกค่อยๆสงบลงก่อนผ่อนลมหายใจแผ่วเบาออกมาเมื่อรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน

     

    “เฮ้อ

     

    ดวงตาคู่สวยเหลือบเห็นคนที่นอนอุตุข้างกาย  ใบหน้าหล่อเหลายามนอนหลับชั่งดูน่ารักในสายตาของชู ปอยผมสีขาวที่คลอเคลียใบหน้าทำให้เด็กหนุ่มหน้าหวานอดเอื้อมมือไปปัดมันออกไม่ได้

     

    “ดันฝันแปลกๆซะได้สิเรา” ชูบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเกลี่ยปอยผมหน้าของฮาคุริวออก

     

    พิธีแต่งงานงั้นเหรอ

     

    พลันภาพในความฝันปรากฏขึ้นอีกครั้ง  ตัวโบสถ์โออ่าสวยงามวิจิตรถูกประดับตกแต่งเรียบๆไม่หวือหวาโดยช่อดอกไม้ขาวสลับสีช่อสีชมพูหวานตามแท่นพิธี  พรมแดงถูกปูจากหน้าโบสถ์ไปยังที่ปลายสุดของทางเดิน  กับดอกไม้ร่วงโรยจากเบื้องบนโดยฝีมือเด็กสาวเด็กชายทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง

     

    แขกผู้มาร่วมงานต่างยิ้มแย้มแสดงความยินดี  ทุกคนต่างยินดี  ในมือของตนกุมดอกลิลลี่สีขาวสะอาดดั่งชุดเจ้าสาวที่กำลังสวมอยู่ ภาพทุกอย่างถ่ายทอดผ่านผ้าคลุมสีขาวสะอาดที่มีเพียงบุคคลเดียวที่สามารถเปิดได้

     

    อ่าเขารู้ว่ามันแปลกที่มาจินตนาการตัวเองในชุดเจ้าสาว

     

    รอยยิ้มของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่เมื่อได้นึกถึงก็อดที่จะใจเต้นขึ้นมาไม่ได้  มันเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก…….เหมือนรอยยิ้มของฮาคุริว

     

    “ชุดเจ้าสาว งานพิธี แหวน จูบสาบาน”  ชั่งเป็นเรื่องที่โรแมนติกเกินกว่าที่เด็กชายอย่างเขาควรจะฝันถึง

     

    “อือ” เสียงครางแผ่วเบาจากเจ้าตัวทำเอาชูหลุดจากห้วงความคิด  รีบดึงมือที่เล่นปอยผมหน้าของอีกฝ่ายกลับอย่างว่องไวก่อนเจ้าของนัยน์ตาสีสว่างจะทันรู้ตัว

     

    นัยน์ตาสีส้มเริ่มปรือขึ้นอย่างงัวเงีย  ฮาคุริวขยี้ตาตัวเองเบาๆก่อนยกมือขึ้นบังปากที่หาววอดๆของตัวเอง  ชูมองคนข้างตัวด้วยแววยิ้มก่อนทักทายเสียงใส

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

    “อือหิวน้ำจัง” ฮาคุริวพึมพำเบาๆ ก่อนเอ่ยทักทายเสียงแผ่ว “อรุณสวัสดิ์ชู”

     

    “หิวน้ำเหรอ?เดี๋ยวฉันไปหาให้นะ” ชูรีบอาสาอย่างรวดเร็วพลางทำท่าลุกจากเตียงนอนที่ค่อนข้างแคบเกินไปสำหรับคนสองคน  อาจเป็นเพราะชูตัวบางร่างน้อยหรือปัจจัยอื่นก็ตามแต่มันไม่ได้ทำให้ฮาคุริวไม่รู้สึกอึดอัดเวลานอนนัก

     

    กิ๊งก่อง กิ๊งก่อง

     

    เสียงออดที่ดังแต่เช้าของวันทำให้ชูที่กำลังเดินไปทางห้องครัวชะงักแล้วหันไปมองทางฮาคุริวเป็นเชิงถามว่าควรเปิดประตูต้อนรับหรือแกล้งเนียนทำเป็นไม่อยู่แทนดี

     

    กิ๊งก่องๆๆๆๆๆๆๆ

     

    แต่เหมือนอีกฝ่ายที่อยู่นอกประตูจะรู้ไต๋ทัน กดออดรัวกระหน่ำโดยไร้ซึ่งความเกรงใจเจ้าบ้านและเพื่อนบ้านระแหวกใกล้เคียง  ฮาคุริวคิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกรำคาญ หากเขาไม่ออกไปต้อนรับแขกคนนี้มีหวังได้รับคำบ่นจากเพื่อนบ้านจนหูชาเป็นแน่

     

    “อารู้แล้วน่า!” ฮาคุริวตะโกนตอบแขกผู้มาเยือนยามเช้า “น่ารำคาญจริงเชียว” บ่นอีกครั้งก่อนเลิกผ้าห่มขึ้นไปเปิดประตูด้วยตัวเอง  ชูเห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาน้ำให้ฮาคุริวดื่มและแน่นอน….สำหรับแขกอีกคนด้วย

     

    …………………. เสียงคุยจากทางประตูหน้าทำให้ชูอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฮาคุริวถึงไม่เชิญแขกเข้ามาข้างใน  เด็กหนุ่มจึงแอบหลบมองสถานการณ์จากภายในบ้าน  แขกที่มาเช้าวันนี้คือสึรุงิ เคียวสึเกะ

     

    ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะเป็นเพื่อนสนิทฮาคุริวนี่นา

     

    ….ฉันไม่เป็นไร นายเลิกเซ้าซี้เถอะน่า” แม้จะมองไม่เห็นหน้าของฮาคุริวในตอนนี้ แต่น้ำเสียงติดรำคาญนั่นบ่งบอกได้ร้อยเปอร์เซนว่าฮาคุริวนั้นใกล้ถึงจุดหมดความอดทน  สึรุงิพูดอะไรตอบกลับสองสามคำซึ่งเขาไม่ได้ยินและนั่นทำให้ฮาคุริวเหลืออดออกมาจริงๆ

     

     “กลับไปซะ!!” เสียงตวาดลั่นทำเอาชูสะดุ้งโหยงเกือบทำถาดแก้วน้ำในมือหล่น  บางทีเขาควรจะจัดการกับมันก่อนที่จะสร้างเรื่องให้ฮาคุริวอารมณ์เสียมากขึ้นกว่าเดิม

     

    คิดแบบนั้นชูก็รีบนำถาดกลับไปวางไว้ในห้องครัวที่เดิมแล้วเดินกลับออกมาประตูหน้าใหม่  คราวนี้เสียงกระแทกประตูปิดเสียงดัง ปัง! เหมือนจงใจทำใส่คนอารมณ์เย็นที่ยืนอยู่นอกประตูบานนั้น

     

    “มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ชูถามอย่างกังวล ฮาคุริวไม่ตอบเพียงเดินผ่านไปอย่างหงุดหงิดราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา “ฮาคุริว

     

    นัยน์ตาสีนิลได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยแววเศร้าก่อนถอนหายใจเบาๆ

     

    สงสัยต้องรอให้อารมณ์เย็นลงกว่านี้

     

    ……………………………………………………

     

    ……………………………..

     

    …………

     

    ….

     

    “ถ้าได้กินหม้อไฟ ฮาคุริวต้องกลับมาร่าเริงแน่”

     

    เป็นการคาดการณ์ของชู หนุ่มน้อยจากชนบทผู้รักการทำอาหารยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด  ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่กับฮาคุริวเมื่อสองเดือนก่อนก็ได้รับหน้าที่อันแสนสำคัญยิ่งอย่าง “แม่บ้าน” แทนค่าที่พักอาศัย ซึ่งแน่นอนว่าคนรักการทำงานบ้านอย่างชูไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธข้อเสนอดีๆแบบนี้

     

    ถ้าหายอารมณ์เสียไวๆก็ดีสิ

     

    ก่อนจะออกมาซื้อวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นเขาได้ชวนฮาคุริวออกมาจ่ายตลาดด้วยกันแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังทำเป็นเมินตัวตนของเขาเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิด

     

    เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเด็กๆได้สักทีนะ  รู้ไหมว่าการถูกเมินน่ะมันน่าน้อยใจแค่ไหน!

     

    คิดไปคิดมาก็แอบโกรธนิดๆ เผลอกำถือถุงซุปเปอร์มาเก็ตในมือซะแน่นโดยไม่รู้ตัว  ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่ทำไมถึงต้องมาโดนฮาคุริวพาลโกรธใส่ด้วยล่ะ!

     

    แกร๊ก

     

    “กลับมาแล้ว” ชูร้องบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจางๆ ถ้าฮาคุริวรู้ว่ามื้อเย็นวันนี้เป็นอะไรต้องดีใจจนโผเข้ามากอดเขาแน่

     

    “ฮาคุริว ทายซิว่าเย็นวันนี้เราจะกินอะไรกัน” ร่างบางตะโกนถามขณะจัดการวางรองเท้าของตัวเองให้เรียบร้อย

     

    เมื่อเดินเข้าไปเขาหวังจะได้เห็นใบหน้ากึ่งเซ็งของเจ้าของบ้านที่กำลังดูทีวีแก้เซ็งบนโซฟาสีเลือดหมูในห้องนั่งเล่น แต่ผิดคาดเมื่อภายในห้องนั้นไร้ซึ่งวี่แววของคน

     

    “ฮาคุริว?” ชูร้องเรียกด้วยความสงสัย วางวัตถุดิบมื้อเย็นไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นก่อนเดินเข้าไปดูในห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล รวมถึงห้องครัวและห้องนอนที่อยู่ลึกสุด แต่ก็ไร้วี่แววของคนที่กำลังตามหา

     

    หรือจะออกไปข้างนอกนะ?

     

    คิดได้แบบนั้นสองเท้าก็เดินวกกลับไปที่ระเบียงทางเดินอีกครั้งและหยุดลงตรงหน้าเครื่องโทรศัพท์ประจำบ้านที่แปะโน้ตสั้นๆของเจ้าบ้านเอาไว้ว่า

     

    ออกไปกินมื้อเย็นกับพวกเทนมะ

     

    …………………

     

    ความเงียบปกคลุมรอบด้าน ชูมองโน้ตกระดาษแผ่นนั้นด้วยดวงตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ความรู้สึก  ไม่รู้ว่านานขนาดไหนที่เขาเอาแต่จ้องโน้ตแผ่นนั้นราวกับต้องการคาดคั้นบางอย่างจากมัน  แต่ถึงจ้องไปมากกว่านั้นก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี

     

    มือที่ถือแผ่นโน้ตวางมันทิ้งลงที่เดิมพร้อมเสียงถอนหายใจแผ่วเบา  ชูเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่ม ดวงตาจับจ้องไปยังถุงซุปเปอร์มาเก็ตที่กองรวมกันบนโต๊ะเล็กตรงหน้าแล้วถอนหายใจแผ่วเบาอีกที

     

    หม้อไฟวันนี้คงต้องเลื่อนไปเป็นวันอื่น

     

     

     

     

     

     

    ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

     

    เสียงนาฬิกาแขวนบนผนังบอกเวลาตีหนึ่งตรงเด๊ะ เป็นเวลาค่ำเกินกว่าเด็กอายุสิบห้าจะออกไปข้างนอก  ชูละสายตาจากนาฬิกาเรือนนั้นกลับไปยังหน้าจอทีวีที่นั่งจ้องมันมานานหลายชั่วโมงเพื่อฆ่าเวลารอเจ้าบ้านกลับมา

     

    “ง่วงจัง” ริมฝีปากพึมพำเสียงแผ่วก่อนยกมือขึ้นป้องปากหาวแล้วยกมือขึ้นกดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์

     

    มัวไปอยู่ไหนของเขานะ

     

    ชูคิด ใกล้สัปหงกหัวคว่ำโต๊ะลงทุกที การรอมันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรอเพราะฮาคุริวไม่ได้บอกว่าจะไปค้างที่อื่น แต่เวลานี้มันก็….

     

    บางทีอาจจะไปค้างบ้านเทนมะคุง

     

    ในเวลานี้สิ่งที่คิดได้ก็มีเพียงอย่างเดียว อันที่จริงเขาสมควรคิดได้ตั้งแต่สามหรือสี่ชั่วโมงก่อน  ชูยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกครั้งก่อนกดปิดทีวีจากรีโมตแล้วลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งแช่ราวๆเจ็ดชั่วโมง

     

    อย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันมั่ง!

     

    นี่เขาติดนิสัยขี้โมโหมาจากฮาคุริวแล้วหรือยังไงกันนะถึงได้เอาแต่พาลคิดโมโหใส่ฮาคุริวอยู่เรื่อย ไม่สิเพราะฮาคุริวทำตัวแปลกไปต่างหากเขาถึงได้ต้องมาคอยกังวลแบบนี้! เรื่องที่เมินเมื่อเช้ายังพอทำใจรับได้ แต่เรื่องที่ปล่อยให้เขารอเจ็ดชั่วโมงนี่มันออกจะเกินขอบเขตไปสักหน่อย หรือฮาคุริวจะเกลียดเขาแล้ว?

     

    …………………

     

    ให้ตายหวังว่ามันเป็นแค่อาการคิดมากของเขาเพียงคนเดียวนะ

     

    ชูแอบภาวนาในใจก่อนเปิดประตูห้องนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน  ร่างบางทิ้งตัวลงนอนฟุบกับเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง ความง่วงเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วโดยไม่รอช้าทำให้สมองที่กำลังฟุ้งซ่านเริ่มสงบลง

     

    ไม่หรอก จริงๆก็พอสังเกตได้มาพักหนึ่งแล้วว่าฮาคุริวทำตัวแปลกไป

     

    เสียงหนึ่งในใจเอ่ยกระซิบบอก เตือนให้เลิกหวังอะไรลมๆแล้งๆกับสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ

     

    เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?

     

    ดวงตาสีนิลเหม่อมองเพดานสีขาว นึกย้อนไปยังภาพอดีตเพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่สงสัยแต่ภาพทุกอย่างเริ่มขาดตอน เลือนลางลงเหลือเพียงสีขาวที่ว่างเปล่า  เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งมากขึ้นทุกทีจนเริ่มเคลิ้มหลับ

     

    คงไม่ใช่ว่าเขาเผลอทำอะไรให้ฮาคุริวไม่พอใจหรอกนะ?

     

    คือสิ่งสุดท้ายที่ชูคิดก่อนสติสัมปชัญญะจะดับวูบ หลุดเข้าห้วงฝันอันแสนยาวนานของค่ำคืนนี้

     

    ……………………………………………

     

    ……………………………..

     

    …………

     

    ….

     

    “อือ” เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นจากลำคอก่อนร่างที่นอนสะลึมสะลือใต้ผ้าห่มหนาจะลุกขึ้นเพราะเสียงพูดคุยที่ดังออกมาจากทางประตูหน้า

     

    ...เมาแอ๋เลย ชูลุกขึ้นจากเตียงได้ไม่ทันไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเทนมะและสึรุงิที่ช่วยประคองฮาคุริวเข้ามาภายใน

     

    “หนักจังแฮะ” เทนมะบ่น ก่อนวางตัวคนเมาที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ลงบนเตียง  พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลหันมาสบกับนัยน์ตาสีนิลของเขาเข้าโดยบังเอิญ

     

    “ขอโทษนะชูฉันดันพาฮาคุริวไปเมาอีกแล้ว”

     

    “อีกแล้ว?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “หมายความว่ายังไงเทนมะคุง”

     

    แต่เทนมะไม่ได้ตอบเอาแต่ก้มหน้าเงียบจนกระทั่งสึรุงิสะกิด คนตัวเล็กถึงได้รู้สึกตัวในที่สุด “พวกฉันกลับก่อนล่ะ”  และทิ้งให้ชูรับมือกับคนเมาเพียงลำพังโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ

     

    ซ่า ซ่า ซ่า

     

    นี่พวกเราพึ่งจะสิบห้าเองนะ!ไอ้เรื่องแอลกอฮอล์นี่ไม่สมควรแตะเลยสักนิด!!

     

    น้ำจากก๊อกถูกเติมเต็มถังสีเหลืองอ่อนอย่างรวดเร็ว  ชูเอื้อมมือปิดก๊อกน้ำก่อนหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ใกล้ๆโยนลงในถังใบเล็กเพื่อชุบน้ำให้ชุ่ม แล้วบิดให้หมาดสำหรับเช็ดตัวคนที่เมาหมดสภาพอยู่บนเตียง

     

    ตื่นเมื่อไหร่จะลงโทษให้เข็ดเลยคอยดู!!

     

    ชูกระแทกถังน้ำลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียงจนน้ำกระเซ็นออกมาจากถังเปื้อนใบหน้าของคนนอน เรียกสติอันเลือนรางให้กลับมาเล็กน้อย

     

    ใคร?” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถาม  ดวงตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้มาพยายามฝืนมองใบหน้าของบุคคลตรงหน้า

     

    “จะใครซะอีกล่ะ” ชูบ่น ถลกแขนเสื้อนอนของตัวเองขึ้นแล้วปลดกระดุมของอีกฝ่าย ไร้ซึ่งความอายอย่างที่เหล่าเคะสมควรจะมี

     

    “อืออออ” ฮาคุริวครางต่ำเมื่อสัมผัสเปียกชื้นจากผ้าค่อยๆเลื่อนผ่านร่างกาย  ชูแอบเบ้หน้าเล็กน้อยกับกลิ่นเหล้าที่ลอยมาเตะจมูก

     

    ทำไมถึงปล่อยให้กินลงไปได้นะ ไม่สิที่สำคัญกว่าคือทำไมบ้านเทนมะคุงถึงมีเหล้าได้ต่างหาก!

     

    ระหว่างเช็ดตัวไปชูก็บ่นในใจบ้าง หลุดปากบ่นออกมาบ้าง จับฮาคุริวพลิกตัวแล้วเช็ดหลังและเปลี่ยนเสื้อให้สรรพเสร็จ

     

    “ฮึก” เสียงสะอื้นแผ่วเบาทำให้ชูที่กำลังจะยกถังน้ำไปทำความสะอาดชะงัก หันกลับไปมองทางต้นเสียงแล้วต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

     

    !!!

     

    หยาดน้ำตาที่ไหลรินลงอาบแก้มทำให้ชูถึงกับทำอะไรไม่ถูก  ถึงเขาจะสนิทกับฮาคุริวมากก็จริง ถึงจะเคยได้เห็นหลายด้านของคนๆนี้มามากแล้วก็จริง แต่การที่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นตลอดสามปีที่รู้จักกันมา

     

    ...ชู...” เจ้าของชื่อถึงกับมือไม้อ่อนเกือบเผลอทำถังน้ำในมือหล่น  นัยน์ตาสีดำขลับสะท้อนภาพใบหน้าของฮาคุริวที่กำลังร้องไห้ราวกับกำลังสูญเสียสิ่งสำคัญไป

     

    นายร้องไห้ทำไมฮาคุริว?

     

    “อย่าไปเลย” คำที่หลุดออกจากปากทำให้คนถูกรั้งนิ่งงัน  ร่างบางถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเดินกลับไปทรุดลงนั่งยังที่เดิม

     

    ไม่ไปไหนหรอก

     

    มือบางเข้าสอดประสานกับฝ่ามืออุ่นของร่างสูง  ความอบอุ่นที่ส่งผ่านทำให้สีหน้าของฮาคุริวดูผ่อนคลายลง

     

    ต่อให้นายไล่ ฉันก็ไม่ไปไหนหรอก

     

    “ชู” ริมฝีปากพึมพำชื่อนั้นอีกรอบ  เจ้าของชื่อเผลอกุมมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

     

    ฉันก็อยู่ตรงนี้แล้วไง

     

    ริมฝีปากบางคล้ายจะเอ่ยในสิ่งที่คิดออกไปให้ได้ยิน แต่ก็ต้องกลืนมันลงไปและเผยยิ้มข่มขื่นออกมาแทน ทำได้เพียงทอดสายตามองคนตรงหน้าด้วยแววเศร้า

     

    เมื่อไหร่นายจะเลิกเมินฉันสักที

     

     

     

     

     

     

    ในเช้าวันใหม่ชูตื่นขึ้นมาในสภาพที่นอนฟุบกับพื้น มือที่เคยกุมบางสิ่งไว้กลับว่างเปล่า  ร่างบางฝืนพยุงตัวขึ้นนั่งบนพื้น ความเจ็บแปล๊บจากหลังทำให้รู้ว่าการนอนบนพื้นแข็งๆนั้นไม่ส่งผลดีต่อร่างกายสักเท่าไหร่

     

    ยังง่วงอยู่เลยแฮะ

     

    ชูคิดพลางอ้าปากหาวเบาๆแต่เช้า รู้สึกเหมือนร่างกายมันหนักอึ้งจนแทบขยับไม่ไหว อาจเป็นเพราะการนอนบนพื้นแข็งๆ หรือเพราะเหตุอื่นก็ไม่อาจทราบ

     

    ดวงตาสีนิลเหลือบมองบนเตียงที่ว่างเปล่าก่อนพยุงร่างตัวเองขึ้นจากพื้นบิดขี้เกียจให้หายเมื่อยและพาตัวเองไปยังห้องน้ำที่อยู่ถัดไปไม่ไกล

     

    ซ่า ซ่า

     

    เสียงก๊อกน้ำจากอ่างล้างมือทำให้ชูหยุดฝีเท้าลง ฟังจากเสียงแล้วคาดว่าฮาคุริวคงกำลังแปรงฟันอยู่  พอคิดถึงเมื่อคืนที่ต้องนอนบนพื้นแข็งโดยไร้ซึ่งผ้าห่มหรือแม้แต่ความเห็นใจที่จะอุ้มขึ้นไปนอนบนที่นอนนุ่มๆทั้งๆที่เขาอุตส่าห์นั่งเฝ้าจนเกือบสว่าง ชูก็นึกฉุนขึ้นมาตงิดๆ

     

    “ฮาคุริวใจร้ายจังนะ ปล่อยให้ฉันนอนบนพื้นแข็งๆแบบนั้น” ชูเริ่มบทสนทนาตอนเช้าพลางเดินเข้าไปในห้องน้ำ

     

    ซ่า ซ่า

     

    ฮาคุริวทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด แปรงฟันและบ้วนปาก ไม่สนใจเขาที่ยืนอยู่ข้างหลัง คราวนี้ชูเริ่มจะเดือดขึ้นมาจริงๆ มือบางพุ่งหมายเข้ากระชากคนร่างสูงให้หันมาเผชิญหน้า

     

    “เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นเด็กซะ…!!!” แต่แทนที่จะแตะตัวได้ มือนั้นกลับทะลุผ่านไปเฉยๆราวกับเป็นธาตุอากาศ

     

    แกร๊ง

     

    แปรงสีฟันของฮาคุริวถูกวางลงบนแก้วใบเล็กพร้อมกับเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลงเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกบนใบหน้าออกให้หมดและนั่นทำให้ชูได้เห็นสิ่งที่ตื่นตะลึง

     

    ที่ตรงนั้นไม่มีเงาของเขา!!

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!?

     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

    ตอนแรกกะจะแต่งเป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบ แต่ไปๆมาๆไหงมันยาวขึ้นมาได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย!

    เพราะฉะนั้นแปะตอนแรกไว้ก่อนละกัน

    ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ก็รอติดตามด้วยล่ะ!

    Ps.ติชมกันหน่อย~  ขอบคุณ
     

    อัพ:26 ก.ค.56
     

    แก้ไขครั้งที่หนึ่ง: 04 ส.ค. 56

     

     

     


     

    Chill Chill

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×