ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BTS | Night after night — sf/os kookga, etc.

    ลำดับตอนที่ #4 : A Hundred Year of Solitude (1/2) | monv

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 225
      18
      14 มิ.ย. 62



    A Hundred Year of Solitude

    monv / au,drama / 11417 words

     

     

    bgm : Yiruma - The day after ...

    (https://www.youtube.com/watch?v=PylCtwLhFrU&feature=youtu.be )

     


     

    ไอหมอกสีเทาแผ่กว้างปกคลุมไปทั่วบริเวณจนแทบมองอะไรไม่เห็น บรรยากาศของความสิ้นหวังและว่างเปล่าเป็นลักษณะปกติของสถานที่แห่งนี้

     

    ...ที่นี่คือโลกหลังความตาย

     

    วิญญาณทุกดวงจะต้องมาที่นี่เพื่อรับฟังคำพิพากษา ก่อนจะเดินทางไปในที่ที่ควรไป อาจเป็นสรวงสวรรค์เบื้องบนหรือขุมนรก ก็ตามแต่ความดีความชั่วที่เคยกระทำไว้ยามมีชีวิตอยู่ บางครั้งอาจมาเพียงเพื่อรับชีวิตไปเกิดใหม่ และบางครั้งอาจต้องกลายเป็นผู้นำทางให้ดวงวิญญาณที่เรียกว่า ยมทูตวิญญาณบาปที่เกิดจากการฆ่าตัวตาย ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ลงนรกก็ไม่ได้ แม้แต่จะไปเกิดใหม่ยังไม่ได้รับอนุญาต ต้องชดใช้บาปนั้นด้วยการรับหน้าที่เป็นยมทูตถึงหนึ่งร้อยปี จึงจะสามารถรับชีวิตเพื่อไปเกิดใหม่ได้อีกครั้ง

     

    วิญญาณทุกดวงเป็นอมตะ และไม่มีวันถูกทำลาย ความตายเป็นเพียงการเดินทางรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เหมือนการเปิดประตูเข้าไปสู่อีกห้องหนึ่ง ใช้เวลาอยู่สักพัก ก่อนจะเดินทางสู่ห้องถัดไป บางครั้งกลับมาที่เดิม บางครั้งเจอที่ใหม่ ดวงวิญญาณต่างเดินทางวนเวียนเช่นนี้เป็นนิรันดร์

     

     

    ตายเพื่อเกิดใหม่

     

    ..และเกิดใหม่เพื่อตายอีกครั้งหนึ่ง

     

    - A hundred year of solitude -

     

    ระเบียงดาดฟ้าของตึกสูงห้าชั้นถูกจับจองด้วยร่างที่สวมชุดคลุมยาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนมองไม่เห็นรูปร่างที่อยู่ใต้ผืนผ้า อาวุธประจำตัวถูกเก็บซ่อนไว้เมื่อยังไม่ถึงเวลาใช้งาน ไม่มีใครมองเห็นเขาเลยแม้แต่คนเดียว นัยน์ตาที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสะท้อนเพียงความเฉยชา ยามมองดูเหล่าผู้คนที่เดินสัญจรกันไปมาบนท้องถนน เกล็ดหิมะโปรยปรายจากท้องฟ้าลงสู่ผืนดินย้อมให้ทุกพื้นผิวกลายเป็นสีขาว บทเพลงเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสดังมาจากทุกหนทุกแห่ง

     

    ใครเลยจะรู้...ท่ามกลางความยินดี กลับมีบางคนต้องเอ่ยคำลา และเขาคือผู้ที่รับหน้าที่นั้น

     

    วันนี้ไม่มีงานหรือไง

     

    คริสต์มาสที่ไหนไม่มีคนตายล่ะ ยุนกิ

     

    นัมจุนไม่ได้หันไปมองผู้มาใหม่ที่นั่งลงข้างเขา เทศกาลเฉลิมฉลองของมนุษย์ไม่ใช่อะไรที่น่าสนุกสำหรับเหล่ายมทูตเลย วิญญาณที่ต้องมารับจะมีมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว แม้ยมทูตจะมีจำนวนมากก็ยังไม่เพียงพอ

     

    ถามนายกับเจ้าพวกเด็กใหม่นี่ต่างกันลิบลับเลยแฮะ

     

    นัมจุนยักไหล่อย่างไม่เห็นว่าคำตอบนั่นจะแปลกตรงไหน เขาไม่ได้เพิ่งทำงานครั้งแรกเมื่อไหร่ เจอเรื่องเดิมๆ มาตลอดเก้าสิบปี จะมามัวสะเทือนใจที่ต้องพรากชีวิตของมนุษย์ก็คงไม่ใช่แล้ว นัมจุนเลยจุดนั้นมานานมากพอที่จะวางเฉยกับทุกสิ่ง เพียงแค่ทำตามหน้าที่ เฝ้ารอวันที่จะหลุดพ้น

     

    “แล้วนี่ว่างหรือไง

     

    คนถูกถามถอนหายใจ อยากจะตอบประโยคเดิมที่อีกคนพูดไว้ก็ขี้เกียจเถียงให้ยืดยาว ยุนกิหยิบสมุดบันทึกปกหนังสีน้ำตาลเล่มเล็กขนาดพอดีมือออกมาจากใต้ผ้าคลุม หน้ากระดาษที่ถูกริบบิ้นสีทองคั่นกลางไว้มีรายชื่อพร้อมสถานที่ และเวลาที่ต้องไปรับสามรายชื่อ บรรทัดแรกสุดเพิ่งจะถูกขีดฆ่าไปเมื่อครู่

     

    “เหลืออีกสอง ห้าทุ่มคน ตีสองอีกคน นายล่ะ?

     

    นัมจุนมองดูบันทึกที่ยุนกิเก็บเข้าที่อย่างเงียบๆ เขาไม่มีสมุดจดอะไรแบบนั้นหรอก อาจเพราะเขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อนอย่างยุนกิ นัมจุนพอใจที่จะจำแค่ตอนมารับ และปล่อยให้มันหายไปหลังส่งวิญญาณดวงนั้นๆ เสร็จแล้วมากกว่า ไม่ผูกพัน ไม่รับรู้ จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอารมณ์ความรู้สึกของวิญญาณพวกนั้น

     

    “คนเดียวที่โรงพยาบาล สามทุ่ม” ปลายนิ้วชี้ไปทางตึกใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก สถานที่ที่เหล่ายมทูตคุ้นเคยกันดี ...ก็มนุษย์จะเสียชีวิตที่ไหนมากสุดกันเล่า

     

    “ไปด้วยกันนะ”

     

    นายอย่าสายแล้วกัน”

     

    นัมจุนรู้นิสัยยุนกิดี เป็นยมทูตมากี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยน ยมทูตส่วนใหญ่มักจะรับและส่งวิญญาณอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก ปฏิบัติหน้าที่อย่างเย็นชา ไม่สนหรอกว่ามนุษย์ผู้นั้นจะทำใจยอมรับ ความตายได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลา...ยังไงก็ต้องไป เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ยุนกิไม่ใช่ อีกฝ่ายชอบทำเกินหน้าที่ ยื่นมือช่วยเหลือดวงวิญญาณจนกว่าจะหมดห่วงอยู่เรื่อย น้อยครั้งที่จะส่งวิญญาณได้ตรงเวลา ทั้งยังไม่ชอบอยู่โดดเดี่ยวทั้งที่ยมทูตเกือบทั้งหมดเป็นแบบนั้น ไม่ต้องพูดคุยอะไรก็ได้ แค่อยู่เป็นเพื่อนกันก็พอ แล้วคนที่โดนบ่อยที่สุดก็หนีไม่พ้นเขานี่แหละ

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    อุณหภูมิในช่วงค่ำติดลบ หิมะยังโปรยปรายลงมาไม่หยุด ไม่แปลกเลยที่จะเห็นผู้คนสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาราวกับอยู่ขั้วโลกเหนือ เว้นก็แต่ชายหนุ่มสองคนที่เดินปะปนไปกับผู้คน หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เดินทะลุผู้คนไปโดยที่ไม่มีใครมองเห็น ผ้าคลุมศีรษะเลื่อนลงมาอยู่ที่ต้นคอ สิ่งที่อยู่ใต้ผ้าคลุมไม่ใช่โครงกระดูกเปลือยเปล่าอย่างที่มนุษย์ทุกคนจินตนาการไว้ แม้ว่าโครงกระดูกนั้นจะเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง แต่ยมทูตมักใช้ร่างมนุษย์ของตนไปรับวิญญาณมากกว่า มันสะดวกกว่าตรงที่มนุษย์จะไม่หวาดกลัวมากจนเกินไป แต่ขึ้นชื่อว่ายมทูตแล้ว ไม่มีมนุษย์ที่ไหนอยากเจอหรอก

     

    “หนาว” นัมจุนบ่นพลางเอี้ยวตัวหลบหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งปั่นจักรยานผ่านเขาไป ทั้งที่ควรปล่อยให้ทะลุไปเฉยๆ แต่บางครั้งก็เผลอหลบตามสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ยังหลงเหลือ

     

    “ตลก รู้สึกที่ไหน” ยุนกิแค่นหัวเราะ ยมทูตไม่มีความรู้สึกอะไรหรอก จะร้อน จะหนาว ก็ไม่ต่างกันทั้งนั้น มีแต่พวกมนุษย์เท่านั้นแหละที่รู้สึกได้

     

    ไม่รู้สึกเหรอ เวลาใช้ร่างมนุษย์มันหนาวจริงๆ นะ ลองคิดดูสินัมจุนพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนจะโกรธที่อีกคนไม่เชื่อ แต่ยุนกิรู้ดี นัมจุนก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ตลกหน้าตาย ไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ บางทียุนกิก็นึกสงสัยว่านัมจุนเคยยิ้มบ้างไหม...ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง

     

    ฉันจำไม่ได้แล้วว่าความหนาวมันเป็นยังไง ไหนอธิบายซิยุนกิเอามือกอดอก ถ้าอีกฝ่ายจำได้จริง เขาก็อยากรู้เหมือนกัน ...ตอนแรกๆ ยมทูตทุกตนก็จำสัมผัสในโลกมนุษย์ได้อยู่หรอก แต่พอผ่านไปสิบปี น้อยยิ่งกว่าน้อยที่จดจำความรู้สึกพวกนั้นได้

     

    จำไม่ได้เหมือนกัน ฉันอยู่มานานกว่านายอีก จำได้ก็แปลก

     

    แล้วไหนว่ารู้สึก

     

    ลองพูดดูเฉยๆ เหมือนมนุษย์ดี

     

    นายนี่มัน...

     

    ยุนกิส่ายหน้า อยากจะด่าตัวเองที่หลงเชื่ออีกฝ่ายไปครู่หนึ่ง ถ้าเป็นคนอื่นคงหัวเราะร่วนกันไปแล้ว แต่เพราะนี่คือนัมจุน จึงมีเพียงสองมือที่ขยับไปมาเหมือนเต้นรำแทนการบอกว่าอีกฝ่ายสนุกแค่ไหนที่แกล้งเขาสำเร็จ

     

    ไม่นานหลังจากนั้น ยมทูตทั้งสองตนก็มาถึงโรงพยาบาล ท่อนขาที่เลือนรางเดินผ่านแผนกฉุกเฉินที่ค่อนข้างวุ่นวายเนื่องจากแพทย์และพยาบาลมีจำนวนน้อยผกผันกับจำนวนคนไข้ แต่ที่นี่จะไม่มีใครตายในคืนนี้ทั้งนั้น นอกจากชายชราวัย แปดสิบเจ็ดปีในห้องหมายเลข 406 เป้าหมายของนัมจุน

     

    รอนี่นะ

     

    ยุนกิยืนรออยู่ข้างนอก ในขณะที่นัมจุนดึงผ้าคลุมศีรษะตามเดิม เขายื่นแขนไปข้างหน้าแล้วแบฝ่ามือออก เคียวสีเงินค่อยๆ ปรากฏขึ้นไล่จากด้ามจับไปสิ้นสุดที่ปลายแหลมโค้งของคมมีด ก่อนยมทูตหนุ่มจะเดินผ่านประตูห้องหมายเลข 406 เข้าไปข้างใน

     

    บนเตียงขาวสะอาดมีร่างของชายชราที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางจากเครื่องจักรที่ใช้เหนี่ยวรั้งชีวิตเอาไว้ เปลือกตาของชายชราดูอ่อนล้า แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะลืมตาเอาไว้ ญาติพี่น้องนั่งรายล้อมรอบเตียง หญิงสาวคนที่กุมมือ ชายชราไว้เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ นัมจุนได้ยินเสียงนี้มาเป็นหมื่นๆ ครั้งจนชินชาต่อการร้องไห้ของมนุษย์ไปเสียแล้ว

     

    ...ไม่มีใครมองเห็นเขา ไม่มีใครได้ยินเสียงของเขา นอกจากคนที่ใกล้ตาย, คนที่มีสัมผัสที่หก หรือไม่ก็คนที่เขาตั้งใจให้เห็นเองโดยการเพิ่มพลังวิญญาณ ซึ่งก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรให้ต้องทำแบบนั้น

     

    ยมทูตหนุ่มก้าวไปยืนอยู่ที่ปลายเตียง ชายชราคล้ายจะรับรู้การมาถึงของแขกไม่ได้รับเชิญ ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาอย่างสงบนิ่ง ไม่หวาดกลัว

     

    ผมมารับคุณนัมจุนบอกชายชราที่หลับตาลงแทนการพยักหน้า เหลือเวลาให้บอกลาได้อีกนิดหน่อย ยมทูตหนุ่มจึงไม่ได้รีบร้อน ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ชายชราไม่มีเรี่ยวแรงจะเอ่ยคำใด ทำได้แค่บีบมือของหญิงสาวคนที่ร้องไห้อย่างหนักไว้แน่น ก่อนจะหลับตาลงเป็นครั้งสุดท้าย

     

    ยมทูตหนุ่มชูเคียวอันใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะ หมุนเป็นวงกลมในอากาศตัดเส้นชีวิตให้ขาดสะบั้น ตัดดวงวิญญาณให้ขาดจากกายเนื้อ ประกายแสงสีเงินสว่างวาบเพียงครู่เดียว ก่อนจะจางหายไปพร้อมกับเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ส่งเสียงกรีดร้องน่าหดหู่ แพทย์และพยาบาลต่างวิ่งกรูเข้ามาในห้องอย่างรีบเร่ง ผ่านยมทูตหนุ่มที่รับดวงวิญญาณของชายชราไปเรียบร้อยแล้ว

     

    ตรงเวลาเสมอเลยนะ

     

    ยุนกิก้มดูนาฬิกาเรือนสีเงินที่ยมทูตทุกตนมีเป็นของตัวเอง ทันทีที่เห็นอีกคนออกมาพร้อมกับดวงวิญญาณที่ลอยล่องอยู่ตรงปลายเคียว เวลาที่นัมจุนรับวิญญาณมักตรงกับเวลาที่กำหนดไว้พอดี ไม่เคยขาด ไม่เคยเกิน นัมจุนยักคิ้วน้อยๆ เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

     

    จะยืดเวลาไปทำไมล่ะ ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดีเขาเองก็ไม่เข้าใจคนที่ชอบยื้อเวลาให้มนุษย์อย่างยุนกิหรอก จะทำเพื่อมนุษย์พวกนั้นไปทำไม เมื่อสุดท้ายแล้วก็ต้องรับเอาดวงวิญญาณไปอยู่ดี

     

    ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย

     

    นัมจุนคงจะเดินตามยุนกิไปแล้ว ถ้าไม่บังเอิญสะดุดตาเด็กน้อยตัวผอมในชุดปอนๆ ที่ยืนอยู่หน้าห้องพักคนไข้ที่อยู่เยื้องกัน เขาเผลอสบตากับเด็กคนนั้นอยู่พักใหญ่จนยุนกิต้องมาสะกิดเรียก แต่ดวงตาเรียวเล็กของเด็กน้อยยังจ้องมองมาที่เขาไม่ไปไหน ก่อนที่ประโยคน่าตกใจจากเด็กน้อยตรงหน้าจะทำเอาสองยมทูตหนุ่มนิ่งค้างไปเลย

     

    คุณเป็น...ยมทูต?”

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    ซักให้หมด ไม่หมดไม่สะอาด แกห้ามนอน!!

     

    หญิงสาวสูงวัยตะโกนลั่น ก่อนจะผลักเด็กน้อยวัยสิบขวบที่ดูตัวเล็กกว่าอายุจริงไปที่ลานซักล้างหลังบ้าน พื้นที่กว้างกลางแจ้งเปิดโล่งมีกะละมังพลาสติกใบใหญ่วางเรียงกันสามใบ และกองเสื้อผ้าที่สุมรวมกันสูงกว่าความสูงของเด็กน้อยเสียอีก

     

    ตะ..แต่ว่า คุณป้าฮะ ข้างนอกมัน...

     

    เด็กน้อยพยายามจะขอร้อง แต่สีหน้าหงุดหงิดและเสียงที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างน่ากลัวก็ทำเด็กน้อยพูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าทำตามที่ป้าของเขาต้องการ

     

    อากาศข้างนอกหนาวเหน็บขนาดที่ทำให้เด็กน้อยตัวสั่น เพียงแค่เอามือจุ่มลงไปในน้ำก็ชักมือกลับแทบไม่ทัน นิ้วมือที่มีแต่รอยแผลแสบไปหมดเมื่อสัมผัสกับน้ำเย็นจัด ผ้าที่ถูกใช้ให้ซักก็มีแต่ขนาดที่ใหญ่เกินตัวทั้งสิ้น ทั้งผ้าปูที่นอน ผ้าคลุมเตียง ผ้าเช็ดตัวผืนหนา งานเหล่านี้สำหรับผู้ใหญ่ยังว่าหนัก นับประสาอะไรกับเด็กอายุแค่สิบขวบ

     

    เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาใครคนหนึ่งตลอดเวลา... นัมจุนเคยคิดว่าตัวเองชินชากับเสียงร้องไห้ของมนุษย์แล้วเสียอีก แต่เสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้ทั้งที่น้ำตาไหลอาบสองแก้มทำเขาสงสารเด็กน้อยตรงหน้าจับใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงคนนั้นกล้าใช้ให้เด็กตัวแค่นี้ทำงานหนักขนาดนี้ได้อย่างไร แค่รับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ เพราะพ่อแม่ของเด็กน้อยเสียชีวิตจนหมดแล้ว ไม่ได้ทำให้เธอมีสิทธิใช้งานใครเหมือนทาสแบบนี้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กน้อยถูกสั่งให้ทำงานหนักเกินตัว

     

    ยมทูตหนุ่มเฝ้าดูเด็กคนนี้มาหลายวันแล้วหลังจากพบกันที่โรงพยาบาล วันนั้นยุนกิรู้สึกตัวก่อนถึงได้ลากเขาออกมาโดยไม่ได้ตอบคำถามกลับไป ระหว่างทางไปรับดวงวิญญาณ พวกเขาก็คุยกันถึงเรื่องนี้ ตอนที่รู้ว่าเด็กคนนี้มองเห็นเขา นัมจุนก็รีบดูอายุขัยของเด็กน้อยทันที ตัวเลขแสดงให้เห็นว่าชีวิตของเด็กคนนี้ยังอีกยาวไกล สัมผัสที่หกก็ไม่มี เพราะถ้ามีก็ควรจะมองเห็นยุนกิที่มาด้วย เด็กน้อยใช้คำว่า คุณไม่ใช่ พวกคุณแต่นัมจุนเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังวิญญาณเพื่อให้มนุษย์มองเห็นเหมือนกัน แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงมองเห็นเขาได้

     

    ...ความอยากรู้พายมทูตหนุ่มมาที่นี่ อยากพิสูจน์ทั้งที่ไม่จำเป็น การเห็นครั้งแรกอาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่สามารถลืมแววตาที่โดดเดี่ยวอ้างว้างของเด็กน้อยได้เลย

     

    สองชั่วโมงผ่านไป ผ้าที่กองสุมอยู่หายไปได้เกินครึ่ง แต่ก็ต้องแลกกับสองมือที่ขาวซีด ชาจนแทบไม่มีความรู้สึก ทั้งยังเปียกปอนไปทั้งตัว เด็กน้อยมัวแต่มองกองผ้าที่เหลืออย่างท้อใจ ไม่ทันรู้สึกว่ามีคนเดินมาข้างหลัง

     

    “ทำไมยังไม่เสร็จ” เด็กน้อยหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเสียงตวาดอย่างเอาเรื่องจากป้าของเขา

     

    “ขอโทษฮะ”

     

    “แล้วนี่อะไร! บอกแล้วใช่ไหมว่าซักให้สะอาด!” คนเป็นป้ากระชากผ้าปูที่นอนที่เด็กน้อยเพิ่งเอาไปตากไม่นานลงมา ชี้ให้ดูรอยเปื้อนเล็กๆ ของอะไรสักอย่าง ก่อนจะทิ้งมันลงกับพื้นเหยียบย่ำกับดินให้สกปรกยิ่งกว่าเดิม

     

    “ขะ..ขอโทษฮะ แต่คุณป้า ผม..” คำว่า ทำไม่ไหว ขอทำต่อพรุ่งนี้แทน ถูกกลืนลงคอทันทีที่เห็นสายตาเกรี้ยวกราดของผู้เป็นป้า

     

    “ว่าไงนะ!”

     

    “ขอโทษครับ ผมจะรีบทำให้เสร็จครับ”

     

    “แกนี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ นี่ฉันรับแกมาทำไมก็ไม่รู้ พวกพ่อแม่แกมันก็แย่ พากันไปตายแล้วทิ้งแกเป็นภาระให้ฉัน สมบัติอะไรก็ไม่มีสักอย่าง ที่ต้องลำบากอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะแกนี่แหละ หัดทำตัวให้มีประโยชน์ซะบ้าง งานง่ายๆ แค่นี้ทำไม่ได้รึไง ไม่ได้เรื่อง...”

     

    เด็กน้อยก้มหน้าก้มตารับฟังถ้อยคำที่เสียดแทงใจอย่างเงียบๆ ได้แต่อดทนรอจนคนเป็นป้าแล้วพอใจเลิกด่าไปเอง เธอเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไฟปิดลงทีละดวงจนมืดสนิท ไม่เว้นแม้แต่ไฟที่ลานซักล้าง ทิ้งเด็กน้อยไว้กับความมืดที่เงียบงันเพียงลำพัง มือเล็กลากเอาผ้าปูที่นอนผืนนั้นมาซักใหม่ รวบเอาผ้าที่เหลือใส่กะละมัง นั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะกลั้นใจแล้วเริ่มซักผ้าพวกนั้นต่อ

     

    ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว อีกนิดเดียวเสียงอู้อี้พึมพำคล้ายจะปลอบใจตัวเอง แต่คำด่าที่รุนแรงดังซ้ำไปซ้ำมาในความคิดจนน้ำตาซึมอีกครั้ง จะมีใครสักคนไหมที่สังเกตเห็นเขาเหมือนยมทูตตนนั้น

     

    ที่โรงพยาบาลวันนั้น ป้าไปเยี่ยมเพื่อนที่เป็นคนไข้ ไม่ได้ตั้งใจพาเขาไปด้วยหรอก แค่จะหาคนเฝ้าของ เด็กน้อยเลยถูกสั่งให้ยืนรอหน้าห้องพักคนไข้เป็นชั่วโมงๆ ป้าคงคุยเพลินจนลืมไปแล้วว่าพาใครมาด้วย ทางเดินมีคนผ่านไปมามากมาย แต่ไม่มีใครสนใจเขาเลยสักคน ต่างคนต่างจดจ่ออยู่แต่กับงานของตัวเองเท่านั้น

     

    ถึงจะปวดขามากแค่ไหนแต่เด็กน้อยก็ไม่กล้านั่ง เพราะกลัวป้าออกมาเจอแล้วจะถูกดุอีก เลยได้แต่มองสำรวจคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแก้เบื่อ จนสังเกตเห็น ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าดูลึกลับ ผู้ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน ในมือถือเคียวสีเงินเด่นสะดุดตาเดินทะลุเข้าไปในห้องพักคนไข้ฝั่งตรงข้าม

     

    เด็กน้อยมองซ้ายมองขวามีคนยืนอยู่เยอะแยะ แต่ไม่มีใครเห็นผู้ชายคนนั้นเลยสักคน ห้านาทีหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงสัญญาณอะไรสักอย่าง ก่อนที่แพทย์และพยาบาลจะวิ่งตรงเข้าไปในห้องนั้น ขณะที่ชายหนุ่มคนเดิมก้าวสวนออกมา ยามที่ดวงตาสบประสานกันเหมือนความเดียวดายที่มีจะเลือนหาย แต่แล้วยมทูตหนุ่มก็จากไปโดยไม่ได้ตอบคำถามของเขา และความบังเอิญนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

     

     

     

    เกล็ดหิมะสีขาวเริ่มโปรยปราย ทำให้อากาศที่เย็นอยู่แล้วหนาวจับใจยิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่มองท้องฟ้าของเด็กน้อยดูสิ้นหวังเสียจนนัมจุนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมแพ้ความตั้งใจแรกที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ร่างในเสื้อคลุมสีดำเดินทะลุรั้วอิฐเข้ามาภายในบ้านอย่างเงียบๆ แต่เด็กน้อยที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่กลับรู้สึกได้ เด็กคนนั้นเงยหน้ามองเขา เอาแขนเสื้อปาดน้ำตาออก หรี่ตามองคล้ายจะดูให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด นัมจุนคิดว่าตัวเองควรจะยิ้มสักนิดให้เด็กน้อยรู้ว่าเขาเป็นมิตรดีไหม แต่เขาลืมวิธีการยิ้มไปแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่นั่งยองๆ โบกมือให้แทน

     

    “คุณยมทูต!?” เสียงเล็กร้องอย่างแปลกใจตอนที่เห็นนัมจุน แต่เมื่อเห็นตัวเองอยู่ในสภาพไม่น่ามองเท่าไหร่ ก็รีบแต่งตัว มือหนึ่งขยี้ผมเปียกชื้นให้เป็นทรง อีกมือก็จับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ถึงผลที่ได้จะไม่ต่างกับตอนแรกเท่าไหร่ก็เถอะ เด็กน้อยวิ่งมาหาเขาอย่างเร่งรีบ ไม่มีความกลัวสักนิด ดูดีใจด้วยซ้ำที่เจอเขา ...ปกติมีใครที่ไหนเห็นยมทูตแล้ววิ่งเข้าใส่บ้างล่ะ

     

    “ชื่ออะไร” ยมทูตหนุ่มวางมือลงบนศีรษะเล็ก แล้วนัมจุนก็พบเรื่องช็อกที่สองในชีวิตยมทูตของเขา นอกจากจะมองเห็นแล้ว เด็กคนนี้ยังสัมผัสเขาได้!

     

    “แทฮยองฮะ” เด็กน้อยบอกชื่อตัวเองอย่างว่าง่ายและกระตือรือร้น ชวนให้นัมจุนนึกสงสัยที่เด็กน้อยไม่กลัวเขาบ้างเลย ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นอะไร

     

    “ไม่กลัวเหรอ?”

     

    “คุณยมทูตไม่ใช่คนไม่ดีหรอก แทฮยองรู้นะ” เด็กน้อยยิ้มกว้างอย่างน่าเอ็นดู แต่พอสังเกตเห็นว่าร่างเล็กตัวสั่น นัมจุนถึงนึกเหตุผลที่ตัวเองยอมปรากฏตัวออก เขาจับมือที่ซีดขาวและมีแต่รอยแผลแห้งแตกผสมกันเต็มไปหมด ลูบวนไปมาอย่างแผ่วเบา

     

    แทฮยองดูนี่นะนัมจุนจับร่างเล็กหันกลับไปยังกองผ้าที่แช่อยู่ในกะละมัง เด็กน้อยมองภาพตรงหน้าตาโต เมื่อในกะละมังนั้นเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังซักคราบสกปรก ล้างน้ำในกะละมังที่สองและสาม ก่อนจะลอยไปตากที่ราวแขวนด้วยตัวเองจนหมด พอเสร็จเรียบร้อยกะละมังทั้งหมดก็ยกคว่ำลงด้วยตัวเอง ทุกอย่างเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงสิบนาที

     

    ขอบคุณครับ

     

    ของขวัญสำหรับเด็กดียมทูตหนุ่มกระซิบ แต่ไม่ได้บอกว่าในระยะเวลาเก้าสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีมนุษย์ที่น่าช่วยเหลือแค่ไหน นัมจุนก็ไม่เคยทำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พลังเพื่อช่วยมนุษย์ ...ถ้ายุนกิมาเห็นว่าเขาทำอะไรลงไป คงไม่เชื่อสายตาตัวเองแน่ บางทีอาจจะอยากดึงหัวกะโหลกของตัวเองออกมาเช็ดเบ้าตาแล้วลองดูใหม่ก็เป็นได้

     

    จะไปแล้วเหรอครับ

     

    ได้ทำตามที่ต้องการแล้วนัมจุนก็เตรียมตัวกลับ โลกหลังความตายมีกฎเกณฑ์บัญญัติไว้ชัดเจน ยมทูตไม่ควรข้องเกี่ยวกับมนุษย์ แม้แต่มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณที่รับผิดชอบ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ก็ไม่ควรปรากฏตัวให้เห็น ยิ่งเป็นมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะไม่มีบทลงโทษ แต่เมื่อเป็นกฎ เขาก็คิดว่าควรจะรักษามันไว้

     

    มาหาอีกได้ไหมครับ

     

    นัมจุนตั้งใจจะปฏิเสธ แค่นี้เขาก็ทำผิดความตั้งใจเดิมที่จะมาแอบดูเฉยๆ อยู่แล้ว แต่ดวงตาไร้เดียงสาคู่นั้นทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง โดยเฉพาะตอนที่เห็นภาพของตัวเองสะท้อนในดวงตาคู่นั้น ยมทูตหนุ่มเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะจากไป

     

    “แล้วจะมาอีก”

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    ไม่อยู่เหรอ

     

    สองวันต่อมา ยมทูตหนุ่มมาตามสัญญา แต่ไม่ว่าจะเดินไปส่วนไหนของบ้านก็ไม่เจอเด็กน้อยของเขาเลย ในเมื่อคนเป็นป้าดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น แทฮยองก็ไม่น่าออกไปไหนได้ เหลืออยู่ที่เดียวที่เขาไม่ได้คิดจะไปหาก็คือห้องเก็บของ มันไม่ควรจะเป็นที่นั่น แต่สิ่งที่นัมจุนคิดไว้ไม่ผิดเลย

     

    ภายในห้องเก็บของที่แปรสภาพเป็นห้องนอนขนาดย่อม ถึงจะดูเก่าและซอมซ่อ แต่ก็สะอาด ของทุกอย่างจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบบ่งบอกนิสัยเจ้าของห้อง เตียงอยู่ฝั่งทางซ้ายติดผนังที่มีหน้าต่าง อีกด้านเป็นราวไม้แขวนเสื้อผ้าที่มีจำนวนไม่มากนัก นัมจุนนั่งลงตรงปลายเตียงวางมือแตะไหล่ร่างเล็กที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม สัมผัสที่ปลุกให้แทฮยองรู้สึกตัว

     

    คุณยมทูต!

     

    ชู่ว เบาๆ สินัมจุนเอานิ้วชี้แตะปากตัวเอง เหมือนที่แทฮยองเองก็รู้ตัวว่าเสียงดังไปหน่อย สองมือถึงได้ปิดปากตัวเองไว้แน่น รอสักพักจนแน่ใจว่าป้าของเขาไม่ได้ยินก็เอามือลง

     

    เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้ว ยมทูตก็มีชื่อนะ เรียก พี่นัมจุนสิยมทูตหนุ่มเอ็ดด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก ไม่แน่ใจหรอกว่าบอกให้เด็กมนุษย์รู้จะดีหรือเปล่า แต่ขืนปล่อยให้เรียกอย่างนั้น เดี๋ยวยมทูตตนอื่นมาได้ยินเข้ามันจะยุ่ง

     

    พี่...นัมจุนแววตาของแทฮยองส่อแววประหลาดใจทีเดียว คงไม่คิดว่ายมทูตจะมีชื่อเรียกล่ะมั้ง ยมทูตทุกตนต่างเคยเป็นมนุษย์มาก่อนทั้งนั้น ก็ใช้ชื่อในชาติก่อนจะตายนั้นแหละเรียกกัน

     

    นั่นล่ะดีมาก

     

    พี่มาจริงๆ ด้วย แค่ก.แค่กแทฮยองพูดไม่ทันจบประโยคดีก็ต้องหันไปไอเสียก่อน ไข้หวัดที่เล่นงานเด็กน้อยเป็นผลพวงจากการซักผ้าตากลมตากหิมะในคืนที่หนาวเหน็บนั่น

     

    ไม่สบายเหรอ?”

     

    แทฮยองพยักหน้าก่อนจะไอซ้ำอีกรอบ พอมองดูดีๆ นัมจุนถึงได้เห็นว่าจมูกก็แดงช้ำ สีหน้าก็ดูซีดขาว ความจริงแล้ววันนี้เขาไม่มีงานไปจนถึงช่วงบ่ายของอีกวัน ตั้งใจจะมาอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้แทฮยองสักหน่อย เห็นทีคงต้องพับแผนเก็บซะแล้ว มนุษย์ตอนป่วยต้องได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เขาไม่อยากรบกวนคนป่วยหรอก ยังมีเวลาอีกเยอะแยะ วันนี้จะกลับไปก่อนแล้วกัน

     

    ถ้างั้นก็นอนพักเถอะ จะได้หายไวๆนัมจุนดึงเอาผ้าห่มมาคลุมร่างเล็ก จัดผ้าห่มให้เข้าที่จนแน่ใจว่าความหนาวเย็นจะไม่ทำให้อาการป่วยของเด็กน้อยแย่ลง อากาศในค่ำคืนนี้หนาวกว่าคืนนั้นเสียอีก ยมทูตอย่างเขาไม่รู้สึกหรอก แต่สังเกตเอาจากผู้คนที่ต้องเดินถนนในสภาพอากาศเช่นนี้ บางทีก็ดูเอาจากตัววัดอุณหภูมิตามสถานที่ต่างๆ

     

    พี่นัมจุนอยู่กับแทฮยองได้ไหม

     

    เด็กน้อยจับชายเสื้อคลุมไว้ก่อนที่ยมทูตหนุ่มจะลุกออกไป แล้วก็ขยับตัวไปติดผนังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับอีกคน นัมจุนแทรกตัวลง ไปนอน สอดแขนเข้าไปใต้ศีรษะเล็กดึงให้แนบชิดกับตัวเขามากกว่าผนังห้อง คนป่วยซุกใบหน้าแนบลงกับหน้าอก ไม่มีเสียงหัวใจเต้น เพราะยมทูตไม่มีหัวใจ แต่แทฮยองก็คิดว่ามันเงียบสงบดี

     

    อยู่แบบนี้สักพักได้ไหมครับ มันอุ่นดี

     

    นัมจุนรู้ดีว่าความจริงมันไม่ช่วยอะไร ยมทูตก็เหมือนความว่างเปล่า ต่อให้ใช้ร่างกายของมนุษย์ก็ไม่ทำให้มีความรู้สึกขึ้นมาหรอก แต่เพราะแทฮยองบอกว่ามันอุ่น เขาก็เลยไม่อยากปล่อย มีแต่จะกอดให้แน่นกว่าเดิม

     

    พี่เคยไปสวรรค์ไหมครับ มันเป็นยังไง สวยเหมือนที่นิทานพวกนั้นเขียนไว้หรือเปล่า

     

    คนป่วยควรจะพักผ่อน แต่แทฮยองกลับไม่ยอมนอน เด็กน้อยไม่อยากเสียเวลามีค่าที่มีใครสักคนอยู่ข้างๆ ไปเลยแม้แต่นาทีเดียว เรื่องราวสารพัดจึงถูกหยิบยกขึ้นมาคุยเท่าที่เด็กน้อยจะนึกออก

     

    สวรรค์เหรอ... พี่เข้าไปไม่ได้หรอก

     

    เพราะยมทูตเป็นวิญญาณบาปที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านประตูบานนั้น ใกล้มากสุดที่เคยไปก็ตอนไปส่งดวงวิญญาณที่หน้าประตูเชื่อมระหว่างโลกแห่งความตายกับสวรรค์เบื้องบน แสงสีทองส่องอร่ามยามที่ประตูบานนั้นเปิดกว้างเพื่อต้อนรับเหล่าดวงวิญญาณเจิดจ้าเสียจนยมทูตทุกตนต้องหันหลังให้ ไม่มีโอกาสจะได้ยลโฉมสรวงสวรรค์ที่เล่าลือกันหนักหนาถึงความงดงาม

     

    พี่นัมจุนเบื่อหรือเปล่า แทฮยองพูดมากน่าดูเลย ขอโทษครับเด็กน้อยกลัวว่ายมทูตหนุ่มจะรำคาญ แทฮยองจับอารมณ์ที่แปลกไปของนัมจุนได้ เพิ่งรู้ตัวว่าชวนอีกฝ่ายคุยมาเกือบสองชั่วโมงแล้วก็ตอนนาฬิกาตีตอนเที่ยงคืน เพลินจนลืมเวลาไปเลย

     

    ไม่เบื่อหรอก แต่นอนเถอะ ดึกแล้ว พี่อยากให้เราหายป่วยไวๆ นะ พี่ไม่ไปไหนหรอก จะอยู่ด้วยถึงเช้าเลยนัมจุนดูออกว่าแทฮยองง่วงมากจนตาจะปิดอยู่หลายครั้ง แต่คงไม่อยากให้เขาไปไหนก็เลยชวนคุยไปเรื่อยๆ

     

    นอนก็ได้ แต่ขออีกคำถามได้ไหมฮะ แทฮยองอยากรู้ว่าโลกที่พี่อยู่มันเป็นยังไง

     

    ก็มืด สงบ น่าเบื่อ แล้วก็...เหงา

     

    โลกหลังความตาย มืดมิดด้วยบรรยากาศ อึดอัดด้วยไอหมอกที่หนาแน่น นอกจากวิญญาณที่ต้องรับผิดชอบแล้วก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีก เพราะแบบนี้ยมทูตส่วนใหญ่จึงมักอยู่ในโลกมนุษย์มากกว่าโลกหลังความตายที่เป็นเหมือนบ้าน

     

    ถ้ามาหาแทฮยองบ่อยๆ พี่นัมจุนจะไม่เหงานะ สัญญาเลยแทฮยองยื่นนิ้วก้อยมาให้ ค้างรอให้ยมทูตหนุ่มตัดสินใจ นัมจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมยื่นมือไปเกี่ยวก้อยกับเด็กน้อยในที่สุด

     

    ช่วงเวลาที่คนตัวเล็กนอนหลับ นัมจุนมีเวลาสำรวจภายในห้องอย่างละเอียด มันเป็นห้องที่เล็กขนาดว่าถ้ามีผู้ใหญ่สักสองคนเข้ามาก็เต็มแล้ว เสื้อผ้าที่แขวนอยู่มีไม่กี่ชุด หลายชิ้นผ่านการซักมาหลายครั้งจนสีซีดเก่าและเบาบาง แม้แต่ตัวที่เด็กน้อยสวมนอนอยู่ตอนนี้ก็บางจนไม่น่าจะอุ่นเท่าไหร่ แล้วบางแค่นี้ออกไปเจออากาศหนาวแบบนั้น จะทนไหวได้ยังไง ถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันหนาวแค่ไหนก็เถอะ แต่คงทรมานน่าดู นัมจุนค่อยๆ ดึงตัวเองออกมา แกะมือแทฮยองที่กำเสื้อคลุมของเขาออกเบาๆ พยายามไม่ให้เด็กน้อยรู้สึกตัวตื่น นัยน์ตาจ้องมองร่างเล็กอีกครั้ง ก่อนจะหายตัวไป

     

     

     

    เช้าวันรุ่งขึ้น พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แม้จะยังงัวเงียแต่เด็กน้อยก็มองหายมทูตหนุ่มเป็นอย่างแรก พอเห็นคนที่นึกว่าจะหายตัวไปยังนอนอยู่ข้างๆ เหมือนเดิมก็โล่งใจ แต่ก็ยังคิดว่าความฝันเมื่อคืนที่นัมจุนไม่อยู่อาจจะจริงก็ได้

     

    เมื่อคืนพี่ไปไหนหรือเปล่าฮะ

     

    ไปเอานี่มาให้นัมจุนโน้มตัวลงหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมา ข้างในเป็นเสื้อโค้ทกันหนาวสีดำสนิทที่พับไว้อย่างเรียบร้อย เนื้อผ้านุ่มนิ่ม แม้จะหนาแต่ก็เบาสบาย

     

    พี่ให้แทฮยองเหรอ จริงๆ เหรอเด็กน้อยตื่นเต้นมากที่ได้รับของขวัญ มือเล็กลูบไปตามเนื้อผ้าอย่างมีความสุข คนได้รับดีใจจนคนให้รู้สึกเหมือนความรู้สึกบางอย่างจะล้นทะลักออกมา

     

    จริงสิ ไหนใส่ให้พี่ดูหน่อยซิเสื้อโค้ทตัวใหม่หลวมมากพอดู เพราะยมทูตหนุ่มเผื่อขนาดไว้ตอนโต ถึงจะใหญ่ไปหน่อยแต่แทฮยองก็ชอบมากทีเดียว ร่างเล็กก้าวลงจากเตียงไปอยู่กลางห้อง หมุนตัวให้นัมจุนดู สีดำที่มืดหม่นอาจจะไม่เหมาะกับเด็กวัยนี้เท่าไหร่ แต่ให้ยมทูตอย่างเขาเลือกก็คงเป็นสีอื่นไม่ได้ นัมจุนหยิบเอาผ้าพันคอไหมพรมสีครีมขาว และหมวกไหมพรมสีเดียวกันมาสวมให้

     

    จะใส่บ่อยๆ นะครับแทฮยองยิ้มกว้าง ยมทูตหนุ่มยื่นมือข้างหนึ่งไปประคองใบหน้าร่างเล็กไว้ รอยยิ้มเหมาะกับเด็กน้อยมากกว่าน้ำตาพวกนั้นเยอะเลย น่ารักน่าเอ็นดูจนอดทำตามไม่ได้ ภาพสะท้อนในดวงตาของเด็กน้อยดูตื่นตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มของนัมจุน ทั้งที่ยมทูตหนุ่มลืมวิธียิ้มไปแล้วแท้ๆ

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    นัมจุนยังคาใจเรื่องที่แทฮยองมองเห็นและสัมผัสเขาได้อยู่ มันไม่มีเหตุผลเลย หรือถ้าจะมีก็คงต้องลองค้นหาดู มีที่เดียวที่น่าจะให้คำตอบเขาได้ แต่ถ้าอยากรู้ก็จำเป็นต้องมีข้อแลกเปลี่ยน...

    สิ่งที่มีค่าที่สุดของยมทูตคืออายุงานที่ทำหน้าที่เป็นยมทูตมา ในโลกหลังความตายมักใช้สิ่งนี้แทนเสมือนเป็นเงินในโลกมนุษย์ แต่หากเปรียบเป็นเงิน...เศรษฐกิจในโลกหลังความตายก็ซบเซามากทีเดียว ยมทูตทุกตนไม่เคยใช้จ่ายเลยสักครั้ง นัมจุนเองก็เช่นกัน โชคดีที่เขามีอย่างอื่นที่ใช้แทนกันได้

     

    “ยุนกิ ไปหอขาวด้วยกันหน่อยสิ เจ้าของชื่อขมวดคิ้วก่อนจะละสายตาจากสมุดบันทึก เงยหน้ามองนัมจุนที่หายหน้าไปหลายวัน พอเจอกันก็ตั้งท่าจะลากไป หอขาว ไม่ถามกันสักคำว่าอยากไปด้วยหรือเปล่า แล้วไม่คิดจะอธิบายให้ฟังเลยหรือไงว่าหายไปไหน ไปทำอะไรมา และชื่อสถานที่ก็ทำยุนกิปฏิเสธในที่สุด แค่ได้ยินก็หงุดหงิดแล้ว ยิ่งนึกถึงยมทูตที่อยู่ที่นั่น ก็ยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิมหลายเท่า นึกคาดโทษคนที่กล้าชวนเขาไปที่นั่น

     

    “ไม่ไปเหรอ?” นัมจุนเลิกคิ้วถาม สองแขนยกขึ้นกอดอก น้ำเสียงเริ่มจริงจัง แต่อีกคนก็ยังปฏิเสธเสียงแข็ง

     

    ไม่! ยังไงก็ไม่! ไม่เด็ดขาด!

     

    หอขาวเป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ที่ยุนกิเกลียด แค่ต้องไปรับรายชื่อดวงวิญญาณที่รับผิดชอบทุกเดือนก็น่าเบื่อพออยู่แล้ว ทำไมยังต้องไปในเวลาอื่นอีกเล่า ยุนกิโมโหที่นัมจุนก็รู้ว่าเขาไม่อยากไป ทำไมยังชวน แล้วมีเหตุผลอะไรต้องไปที่นั่นด้วย

     

    “ก็ได้ตามใจ” นัมจุนตอบกลับสั้นๆ แต่เรียบนิ่ง ไม่มีเค้าลางการยอมให้อย่างที่พูด คนดื้อรั้นที่เสียงแข็งมาตลอดอ่อนลงทันที เมื่ออีกฝ่ายเงียบเสียจนน่ากลัว ใครใช้ให้เขามีเพื่อนสนิทที่สุดแค่คนเดียวล่ะ

     

    “นายจะไปที่นั่นทำไม วิญญาณที่นายรับผิดชอบมีปัญหาหรือไง” คนถูกถามส่ายหน้าไม่ยอมพูดด้วย ไม่บอกเหตุผลที่ต้องไปอีกต่างหาก สายตาที่มองมาสื่อความหมายว่าถ้าอยากรู้ยุนกิจะต้องตอบตกลงเดี๋ยวนี้

     

    “เออๆ ไปก็ไปสิ ทำโกรธไปได้เรื่องแค่นี้ จะให้ทำอะไรก็บอกมา!” ยุนกิยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก แต่นัมจุนไม่สนใจหรอก การไปที่นั่น เขาจำเป็นต้องลากเพื่อนสนิทไปให้ได้จริงๆ คนได้เปรียบเผลอยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว

     

    “นัมจุน นี่นายยิ้มเหรอ?” ยุนกิเบิกตากว้าง ก่อนจะกะพริบตามองชัดๆ ให้แน่ใจ ถึงยมทูตจะไม่มีปัญหาเรื่องตาฝาดก็เถอะ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของอีกคนไม่ใช่สิ่งที่มีใครเคยเห็น โดยเฉพาะคนที่บอกว่าตัวเองลืมวิธีการยิ้มไปแล้วด้วยนั่น

     

    “มีคนสอนมา” คนถูกทักยิ้มกว้างกว่าเดิม

     

    “หรือว่า...เด็กคนนั้น เดี๋ยวนะ! หรือที่จะไปหอขาวนี่ก็” นัมจุนพยักหน้า ดวงตาของอีกคนเบิกกว้างหนักกว่าเดิม นึกปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด ทั้งสาเหตุที่อีกคนหายไปเป็นอาทิตย์ และเหตุจำเป็นที่ต้องไปลากเขาไปหอขาวด้วยอย่างนี้

     

    “อยากดูบันทึกประวัตินิดหน่อย แค่ดูเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย สาบาน”

     

    “นัมจุน! ไหนนายบอกว่ายมทูตอย่างเราไม่ควรเกี่ยวข้องกับมนุษย์ไง แล้วยิ่งมนุษย์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิญญาณที่รับผิดชอบเลยเนี่ยนะ” น้ำเสียงยุนกิเริ่มกลับมาแข็งจนนัมจุนต้องรีบอธิบายเหตุผลเพื่อให้อีกคนใจอ่อน

     

    “ช่วยหน่อยเถอะยุนกิ เด็กคนนั้นไม่ใช่แค่มองเห็นนะ เขายังสัมผัสฉันได้ด้วย ไม่แปลกเหรอทั้งที่ฉันไม่ได้เพิ่มพลังวิญญาณเพื่อทำอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันอยากรู้ว่าทำไมเราถึงได้พบกัน มันควรมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ”

     

    ยุนกิชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ หอขาวคือสถานที่เก็บทะเบียนรายชื่อและประวัติของดวงวิญญาณทุกดวงในทุกชาติภพ มียมทูตบรรณารักษ์คอยเฝ้าอยู่หนึ่งตน โดยปกติไม่อนุญาตให้ยมทูตตนใดเข้ามา นอกจากมารับหรือส่งรายชื่อดวงวิญญาณ เว้นแต่จะจ่ายสินบนให้แก่ยมทูตบรรณารักษ์เป็นอายุงาน ซึ่งไม่ค่อยมียมทูตตนไหนยอมจ่าย ส่วนใหญ่มักติดสินบนด้วยอย่างอื่นแทน...ในกรณีนี้ สิ่งอื่นที่ว่าคือ ยุนกิ

     

    “ให้แค่สิบนาทีนะ” คนที่ต้องกลายเป็นสินบนแบบจำยอมถอนหายใจ พอไม่มีข้อโต้แย้ง นัมจุนก็ลากยุนกิที่ยังไม่ทันทำใจเสร็จดีตรงดิ่งไปยังหอขาวที่ว่าทันที

     

     

     

    หอขาวมีลักษณะเป็นปราสาทขนาดมโหฬาร ภายในมีห้องเก็บประวัติดวงวิญญาณนับพันๆ ห้อง แต่ละห้องจะมีภูตวิญญาณคอยเฝ้าดูแล และเขียนประวัติของวิญญาณเมื่อการเดินทางเริ่มต้น ทางเข้าเป็นบันไดโค้งลงไปที่ชั้นใต้ดิน มีแสงจากคบเพลิงเป็นระยะบอกทาง ปราสาทหลังนี้เป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกหลังความตายที่มีแสงสว่าง และไม่ถูกปกคลุมด้วยไอหมอก นั่นคือเหตุผลที่มันถูกเรียกว่า หอขาว

     

    “สวัสดีนัมจุน มาทำอะไรที่นี่” ยมทูตบรรณารักษ์ส่งเสียงทักทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากการคัดลอกรายชื่อดวงวิญญาณสำหรับแจกจ่ายให้ยมทูตตนอื่นๆ ไปรับผิดชอบ จำนวนที่มากมายในแต่ละเดือนทำให้บรรณารักษ์หนุ่มงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่จำเป็นจะไม่หยุดมือ แต่ธุระที่ทำให้นัมจุนมาถึงที่นี่ ทำให้อีกฝ่ายต้องละสายตาจากงานที่ทำค้างไว้ มือที่ขยับเป็นระวิงก็นิ่งสนิทไปเลย

     

    “ขอดูประวัติวิญญาณดวงหนึ่งหน่อยสิ” จุดประสงค์ของนัมจุนทำให้ยมทูตบรรณารักษ์ต้องหรี่ตามองอย่างนึกสงสัย ไม่แปลกกับการขอดู แต่แปลกที่เป็นนัมจุน ยมทูตที่ขึ้นชื่อว่าเคร่งครัดในกฎระเบียบและตรงต่อเวลามากที่สุด หากเรื่องเหตุผลไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ควรใส่ใจ

     

    “จะจ่ายด้วยอะไร ปกติเห็นหวงอายุงานจะตาย”

     

    “ก็...ยืนอยู่นั่นไง” นัมจุนเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้เห็นยุนกิที่แอบอยู่ข้างหลัง เมื่อเห็นสินบนที่ว่ายืนหน้าบูด บรรณารักษ์หนุ่มก็เผยยิ้มแฝงเลศนัย ให้นัมจุนต้องรีบฉวยโอกาสไว้ “ถ้าถูกใจ...ก็ขอหมายเลขห้อง ชั้นวาง แถว แล้วก็ลำดับด้วย”

     

    การหาวิญญาณที่ต้องการจากนับล้านๆ ดวงไม่ใช่เรื่องง่าย มีแต่ผู้ดูแลเท่านั้นถึงจะรู้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าสินบนที่ให้จะทำให้อีกฝ่ายพอใจมากแค่ไหน พอใจมากก็บอกละเอียด พอใจน้อยก็บอกไม่ชัดให้ไปหาเอาเอง

     

    “มีง่ายกว่านั้นนะ” ยมทูตบรรณารักษ์ดีดนิ้วสองครั้งก็ปรากฏลูกไฟสีเหลืองทองที่ลอยไปหานัมจุน มันคล้ายกับดวงวิญญาณของมนุษย์ แต่ขนาดเล็กกว่า แล้วก็ค่อนข้างอยู่ไม่สุขทีเดียว

     

    “พอเข้าไปข้างในแล้ว นึกถึงดวงวิญญาณที่ต้องการไว้ เดี๋ยวเจ้าหนูนี่ก็พาไปเอง”

     

    “ขอบใจ เดี๋ยวมานะ” นัมจุนยักคิ้วให้ยุนกิก่อนเดินผ่านบานประตูสีทองเข้าไป ทิ้งเพื่อนไว้กับยมทูตบรรณารักษ์รูปหล่อจอมฉวยโอกาสที่ยุนกิไม่เคยอยากมาเจอสักที

     

    “ไงครับ ที่รัก” แค่เสียงทักทายกับสรรพนามเรียกก็ชวนคิ้วกระตุกเสียแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่นัมจุนนะ ฝันไปเถอะว่าจะยอมอยู่เฉยๆ ให้หมอนี่แทะโลมน่ะ!

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    “เกลียดหมอนั่นเป็นบ้าเลย ให้ตายสิ!

     

    เป็นยมทูตประสาอะไรมือไวปากก็ไว

     

    นัมจุน! นี่นายฟังฉันอยู่หรือเปล่า!”

     

    ...ก็มีแต่ยมทูตบรรณารักษ์ตนนั้นนั่นแหละที่ทำยุนกิสติแตกได้ขนาดนี้ สารภาพตรงๆ ว่าเขาแทบไม่ได้ฟังยุนกิเลย ในเมื่อทุกครั้งที่ต้องไปหอขาวก็เป็นแบบนี้ทุกที เขาน่ะฟังคำบ่นจนชินแล้ว แต่ยุนกิสิไม่ชินสักที นี่ขนาดเขาใช้เวลาแค่สิบนาทีตามสั่งเลยนะ ตอนเขาออกมายมทูตบรรณารักษ์ยังบ่นเสียดายอยู่เลย

     

    “ฟังอยู่ แต่ว่านะ นายไม่อยากรู้เหรอว่าฉันไปเจออะไรมา” นัมจุนรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อมีโอกาส ก็คิดจะรอให้ยุนกิบ่นเสร็จหรอกนะ แต่ถ้าไม่ขัดไว้ วันนี้ทั้งวันอาจจะยังไม่จบ

     

    “อยากสิ เล่ามาเร็วๆ เลย” พอนึกสาเหตุออก ยุนกิก็รีบรบเร้าถาม ในขณะที่นัมจุนต้องเรียบเรียงเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง เนื่องจากเอกสารบันทึกประวัติวิญญาณถูกห้ามไม่ให้เอาออกมานอกหอขาวไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งยังห้ามมิให้ยมทูตตนใดคัดลอก นอกจากยมทูตบรรณารักษ์แค่ตนเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับการเดินทางของดวงวิญญาณ การอ่านประวัติจึงต้องใช้วิธีจดจำด้วยตนเอง

     

    “ตอนแรกฉันตั้งใจจะดูแค่ว่าวิญญาณของเด็กคนนั้นเป็นใคร มีความพิเศษยังไง เคยเป็นบุคคลสำคัญมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งทั้งหมดนั่น...ไม่มี ทุกอย่างปกติเหมือนดวงวิญญาณทั่วไป แต่ปีที่เด็กคนนั้นเกิดและตายในโลกมนุษย์แต่ละครั้งมันคุ้นๆ ฉันเลยแอบไปดูบันทึกประวัติของตัวเอง”

     

    ยมทูตไม่มีความทรงจำตอนตาย การแอบดูบันทึกประวัติของตัวเองเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเคยทำ อย่างน้อยก็เขาคนหนึ่งล่ะที่ทำไปแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ยมทูตทุกตนอยากรู้เหตุผลที่ตัวเองฆ่าตัวตายกันทั้งนั้น แต่ในเมื่อไม่มีความทรงจำ อ่านไปก็ไม่มีความรู้สึก เหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

     

    “รู้สาเหตุที่มองเห็นนายแล้วเหรอ?

     

    นี่เป็นเรื่องที่ยุนกิสงสัยมาก ถ้าแค่มองเห็นก็ยังพออ้างเหตุผลอื่นได้หรอก แต่ที่สัมผัสได้ด้วยนี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ

     

    ช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์กับเวลาของฉันมันตรงกัน เราเคยพบกัน ก่อนหน้านี้ นานกว่านี้ หลายครั้งหลายชาติภพ วิญญาณของเราเกี่ยวพันกัน ถึงเราจะจำกันไม่ได้ แต่ส่วนลึกของจิตวิญญาณยังจำได้ ฉันคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่แทฮยองมองเห็นฉัน” นัมจุนคาดเดาเอาเองจากข้อมูลที่มีอยู่ ความผูกพันของดวงวิญญาณควรจะทำให้พวกเขาได้พบกันทุกชาติ ความผิดพลาดเกิดเพราะการฆ่าตัวตายของเขา

     

    เข้าใจแล้ว ตัดปัญหาคาใจไปได้เรื่อง แต่นัมจุน ถามจริงๆ นะ คิดดีแล้วเหรอที่จะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ขนาดนี้ นายกับเด็กคนนั้นอาจจะเคยผูกพันกันก็จริง แต่ตอนนี้อยู่กันคนละโลก นายเคยเตือนฉันไม่ให้ยุ่งเรื่องของมนุษย์มากเกินไป แต่นี่นายเล่นเอาตัวลงไปอยู่ด้วยเลยเนี่ยนะ”


    คนถูกถามไม่ตอบ...เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    “ไปขโมยใครมา! เอามาจากไหน!”

     

    เจ้าของเสียงตะโกนพยายามแย่งผ้าพันคอผืนใหม่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนจากเด็กน้อย แค่ดูผ่านๆ ตายังรู้ว่าเป็นของดีมีราคา

     

    “มีคนให้แทฮยองมา คุณป้าอย่าเอาไปเลยนะฮะ” เด็กน้อยขืนตัวหนีจาก ผู้เป็นป้า จะวิ่งกลับเข้าห้องตัวเอง แต่ก็หนีไม่ทันเงื้อมมือที่ดึงกระชากเส้นผมจนล้มลงกับพื้น

     

    “ของดีๆ อย่างนี้ไม่เหมาะกับแกหรอก เอามา!” หญิงวัยกลางคนทั้งดึงทั้งกระชากพยายามแย่งผ้าพันคอผืนนั้น เมื่อไม่สำเร็จก็หันมาทำร้ายเด็กน้อยแทน

     

    “ขอร้องนะครับ อย่าเอาไปเลย” แทฮยองนึกโทษตัวเองที่ลืมถอดผ้าพันคอก่อนออกจากห้อง รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกถามแต่ไม่คิดว่าป้าจะใจร้ายกับเขาขนาดนี้

     

    “เจ้าเด็กนี่! คิดไหมว่าที่มีที่ซุกหัวนอน มีกินอยู่ทุกวันนี้เพราะใคร ไอ้เด็กเนรคุณ! ทำไมแกไม่ตายตามพ่อแม่แกไปสักที” ถ้อยคำด่าทอไม่หนักหน่วงเท่ากับ ฝ่ามือที่ฟาดลงมาไม่หยุด ปลายเล็บคมจิกผิวเนื้อจนถลอก แต่เด็กน้อยก็ยังกอดผ้าพันคอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

     

     

     

    นัมจุนแวะมาที่บ้านแทฮยองตอนหัวค่ำ เพราะเขามีงานตอนเที่ยงคืน เลยตั้งใจแวะมาดูเฉยๆ แล้วกลับเลย นึกแปลกใจที่ป้าของเด็กน้อยไม่อยู่บ้าน ไฟก็ปิดสนิท มีแต่แสงสลัวๆ จากห้องเก็บของ

     

    “ทำไมเป็นแบบนี้!”

     

    นัมจุนคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อยที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนเตียง เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำ บางจุดเป็นแผลถลอกเลือดไหลซึม ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเป็นฝีมือใคร ยิ่งรู้สาเหตุว่าเป็นเพราะของที่เขาให้ไว้ก็ยิ่งโมโห

     

    “ผู้หญิงคนนั้นนี่มัน..” ยมทูตหนุ่มโกรธจนพูดไม่ออก คนที่มีจิตใจหยาบกระด้างอย่างป้าของเด็กน้อย เขาเคยเก็บดวงวิญญาณมานักต่อนักแล้ว บอกได้เลยว่าปลายทางของผู้หญิงคนนั้นคงหนีไม่พ้นขุมนรกเป็นแน่ “แทฮยองเองก็เหมือนกัน แค่ผ้าพันคอ พี่หามาให้ใหม่ก็ได้ แค่ของภายนอก ไม่เห็นต้องยอมเจ็บตัวแบบนี้เลย”

     

    นัมจุนหงุดหงิดมาก ไม่ชอบใจเลยที่เห็นเด็กน้อยของเขาต้องเจ็บตัวอย่างนี้ ถึงจะบ่นไม่เลิก แต่มือก็ยังทายาบนรอยช้ำไม่หยุด

     

    “แต่พี่เป็นคนให้นี่ แทฮยองไม่อยากให้ป้าเอาไปพอเห็นเด็กน้อยร้องไห้ซ้ำอีกรอบ ก็เพิ่งคิดได้ว่าดุมากเกินไปหน่อย ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของแทฮยองเลยสักนิด สองแขนรวบร่างเล็กเข้ามากอดปลอบ มือก็ลูบหลังเด็กน้อยที่สะอื้นร้องไห้จนตัวสั่น

     

    ไม่เอา ไม่ร้อง พี่ขอโทษ ไม่ร้องนะ

     

    คำถามของยุนกิ นัมจุนมีคำตอบให้แล้ว ...จะให้เลิกยุ่งแล้วปล่อยมือไป เขาทำไม่ได้จริงๆ ในเมื่อเอาตัวเข้ามายุ่งขนาดนี้แล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด

     

    นัมจุนตัดสินใจแล้ว เขาจะดูแล จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเด็กน้อยของเขาได้อีก

     

    “หิวไหม กินอะไรหรือยัง”

     

    มือที่ประคองใบหน้าปาดน้ำตาออกจนหมด แทฮยองส่ายหน้า แน่ล่ะ ทะเลาะกันขนาดนี้ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใจดีพอจะทำอะไรไว้ให้ทานหรอก

     

    “อยากกินอะไร ไหนบอกพี่ซิ” ยมทูตหนุ่มอยากเอาใจ อยากจะแก้ตัวที่ทำให้ร้องไห้ ดวงตาที่ชุ่มด้วยหยาดน้ำตาช้อนขึ้นมองเขาอย่างไม่แน่ใจ

     

    “อะไรก็ได้เหรอฮะ” เด็กน้อยทำท่าคิดอยู่พักใหญ่ พอนึกได้ก็ดูลังเลจน นัมจุนต้องย้ำอีกครั้งว่าอะไรก็ที่แทฮยองอยากทาน

     

    “เนื้อซี่โครงย่าง...ได้ไหมฮะ?” แทฮยองเอ่ยอย่างลังเล ไม่ใช่ว่าไม่หิวหรอก แต่เพราะเกรงใจ กลัวนั่นห่วงนี่ไปหมด ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เด็กวัยนี้ควรเป็นเลย ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ แต่นัมจุนก็อยากให้แทฮยองเอาแต่ใจซะบ้าง แล้วเขาจะเป็นคนตามใจให้เอง

     

    “ของหวานเอาเป็นอะไรดีล่ะ ขนมปังปลาดีไหม ชอบไส้ครีมหรือถั่วแดง” อันหลังนี้ยมทูตหนุ่มเดาเอาเอง แต่ก็จำได้ว่าเคยเห็นเด็กน้อยมองร้านขายขนมปังปลาตาละห้อยตอนคนเป็นป้าพาออกไปข้างนอก อาหารและขนมมากมายในมือที่ถูกใช้ให้ถือ ไม่ใช่ของเด็กน้อยเลยสักชิ้น

     

    “ไส้ครีม..ฮะ” แทฮยองเอียงคออย่างน่ารักจนยมทูตหนุ่มอดใจไม่ไหวต้องก้มลงไปขโมยหอมแก้มนิ่มเสียหนึ่งที

     

    “รอก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”

     

     

     

    ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงยมทูตหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับเตาย่างเนื้อ เนื้อซี่โครง แล้วก็ขนมปังปลาไส้ครีมตามสั่ง แถมยังมีขนมสีสันแปลกตาอีกถุงใหญ่ เรียกว่าถือมาเต็มไม้เต็มมือจนคนสั่งแอบรู้สึกผิด ทั้งที่คนเอามาให้ยินดีสุดๆ นัมจุนตั้งเตาไว้กลางห้อง จุดไฟย่างเนื้อกันสนุกสนาน เหมือนมีปาร์ตี้เล็กๆ แต่เพราะยมทูตไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มก็เลยได้แต่นั่งดูเฉยๆ นัมจุนไม่เคยรู้ว่าการนั่งมองใครสักคนนั้นไม่ได้น่าเบื่อเลย

     

    สิ่งนี้เรียกว่า 'ความสุข' หรือเปล่านะ ?

     

    หลังจากวันนั้น ขอแค่แทฮยองบอกมาเถอะว่าชอบอะไร อยากได้อะไร นัมจุนจะหามาให้เกือบทุกวัน ยมทูตเวลาไม่มีงานก็ว่างจะตายอยู่แล้ว หลังๆ ยุนกิก็มาเป็นเพื่อนบ้าง แต่ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อยๆ ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่มันอธิบายยาก เอาเป็นว่าซื้อมาได้แล้วกัน

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    บ้านของแทฮยองกลายเป็นสถานที่ประจำของนัมจุนแทนตึกสูงๆ ที่เคยชอบไปนั่งมองผู้คน ถ้าหากไม่มีงาน แล้วหานัมจุนไม่เจอล่ะก็ ยุนกิขอพนันด้วยอายุงานทั้งหมดที่มีเลยว่าอีกคนจะต้องอยู่ที่นี่

     

    “นัมจุน ตอนบ่ายไปรับวิญญาณด้วยกันหน่อย” ยุนกิค่อยๆ ลอยตัวลงมานั่งลงบนหลังคาข้างนัมจุนที่นอนเล่นอยู่ก่อนแล้ว

     

    “ที่ไหนล่ะ” แสงแดดสว่างจ้าที่มาพร้อมไอร้อน ไม่ได้ทำให้สองยมทูตสะทกสะท้านเพราะมันเทียบไม่ได้กับประกายเจิดจ้าของสรวงสวรรค์สักนิด

     

    “โรงละครแห่งชาติ วันนี้จะมีคนสะดุดส้นสูงตกเวทีหน้าทิ่มตาย” นัมจุนมั่นใจมากว่ายุนกิพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะในชะตากรรมอันน่าสงสารของนักแสดงเวทีสาวผู้โชคร้าย แม้จะเป็นการตายที่น่าขบขัน แต่ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าชีวิตของมนุษย์บางทีก็สั้นเกินกว่าใครจะคาดคิด หากในหัวของยมทูตหนุ่มกลับคิดไปอีกเรื่อง

     

    “ดีๆ แถวนั้นมีร้านอาหารอิตาเลี่ยนอร่อยนี่ จะได้เอามาฝากแทฮยองด้วย”

     

    นัมจุนเพิ่งชอบความเป็นยมทูตของตัวเองก็ตอนนี้ เขาอาจจะรับรู้รสชาติไม่ได้ และยมทูตไม่จำเป็นต้องกินอาหาร แต่เขาอยากให้แทฮยองได้ทานของอร่อย ก็เลยเลือกเอาร้านที่มีชื่อเสียง ร้านที่มนุษย์ทั่วไปมักพูดถึง และเล่าลือกันว่ารสชาติอร่อย เอามาฝากเด็กน้อยของเขาเสมอ จะไกลแค่ไหน ตราบใดที่ยังอยู่ในเกาหลีก็ไม่เกินความสามารถของเขาหรอก แต่ถ้านอกประเทศเมื่อไหร่...เดี๋ยวจะลองคุยกับยมทูตของประเทศนั้นดูอีกที

     

    “ตามใจน้องมากไปป่ะ”

     

    ตอนแรกยุนกิเป็นห่วงที่นัมจุนตัดสินใจอย่างนี้ แต่ตัวเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะเขาเองก็เป็นยมทูตที่ไม่สามารถปล่อยให้ดวงวิญญาณไปแบบไม่หมดห่วงได้ แต่พอเห็นนัมจุนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็ค่อนข้างสบายใจ ส่วนตอนนี้ก็เริ่มจะหมั่นไส้ขึ้นมาล่ะ... นัมจุนนะ ไม่ใช่แทฮยอง

     

    “ไม่เห็นเป็นไร”

     

    “เออๆ มีความสุขมันก็ดี อย่าลืมคิดเผื่ออนาคตบ้างนะ อีกสิบปีอายุงานนายก็ครบแล้ว” ยุนกิพยายามเตือนเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่นัมจุนชอบบอกปัด และทำเป็นลืมมันไปอยู่เรื่อย ทั้งที่สักวันเรื่องนี้จะต้องกลายเป็นปัญหาที่นัมจุนคิดไม่ตก

     

    “ไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิดอีกทีแล้วกัน”

     

    นัมจุนนึกว่าสักวันตัวเองจะแก้ปัญหานี้ได้ ถึงจะยังไม่รู้ว่าทางออกจะเป็นยังไง รู้แต่ว่าตอนนี้เขามีความสุขจนไม่อยากคิดถึงการจากลา ยมทูตหนุ่มไม่เคยรู้เลยว่าวันเวลาเหล่านั้นจะเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน การเป็นยมทูตที่เคยอยู่แต่กับความเคว้งคว้างว่างเปล่า ในช่วงเวลาที่เชื่องช้าและน่าเบื่อหน่ายอันแสนยาวนาน เมื่อมีมนุษย์มาคั่นกลาง เวลาเหล่านั้นกลับเริ่มเดินหน้า เผลอแค่พักเดียวก็ผ่านไปเป็นปีๆ แล้ว

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    9 ปีต่อมา

     

    มหาวิทยาลัยในช่วงเริ่มการสอบปลายภาคดูเงียบกว่าปกติ นักศึกษาหลายคนใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดที่เปิดตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงคืน บางคนวุ่นอยู่กับการทำรายงานส่งให้ทันก่อนจะปิดเทอม นาฬิกาส่งเสียงดังบอกหมดเวลาของการสอบวิชาสุดท้ายของวัน หน้าห้องสอบวุ่นวายมากเมื่อนักศึกษาแต่ละคนยังคุยกันถึงข้อสอบที่เพิ่งทำไป บางคนก็เตรียมอ่านสอบวิชาต่อไปในวันรุ่งขึ้น เว้นก็แต่เด็กหนุ่มร่างผอมที่สวมโค้ทสีดำทับด้วยผ้าพันคอสีครีมที่เก็บของใส่กระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ก็เดินแทรกผ่านคนกลุ่มนั้นออกมา

     

    “แทฮยองทำได้หรือเปล่า”

     

    ฝีเท้าที่เดินอย่างสม่ำเสมอนิ่งลงเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง หันไปก็เจอเพื่อนร่วมคณะที่สนิทกันเพิ่งเดินออกจากห้องสอบ แม้จะเป็นวิชาเดียวกัน แต่จำนวนนักศึกษาที่ลงเรียนมีจำนวนมากจนต้องแบ่งสอบหลายห้อง เลขที่ของทั้งสองคนไกลกัน จึงไม่มีวิชาไหนสอบห้องเดียวกันเลย

     

    “พอได้นะ จีมินล่ะเป็นไง”

     

    “พอไหวมั้ง ไม่รู้สิ แล้ววันนี้จะไปทำงานหรือเปล่า แต่ช่วงนี้สอบน่าจะพักหน่อยนะ” แทฮยองส่ายหน้า ไม่ได้รู้สึกว่ามันลำบากหรอกนะที่ต้องทำงานพิเศษตลอด แม้จะเป็นช่วงสอบก็ตามที แต่เห็นเพื่อนเป็นห่วงก็เข้าใจได้

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ทำแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แล้วนี่จะกลับเลยไหม”

     

    ไม่ล่ะ เดี๋ยวจะไปห้องสมุด วิชามะรืนถ้าไม่อ่าน พี่สาวต้องฆ่าตายแน่ๆ นั่นไง พูดถึงก็มาเลย ไปก่อนนะจีมินบอกลาอย่างเร่งรีบเมื่อเห็นพี่สาวที่เป็นทั้งอาจารย์ในคณะ และเจ้าของวิชาที่จะสอบวันมะรืนนี้เดินผ่านมา แทฮยองโบกมือไล่หลังไปอย่างขำขันกับท่าทางของเพื่อนสนิทที่มีเพียงคนเดียว เพราะแทฮยองต้องยุ่งอยู่กับการทำงานพิเศษตลอด แม้การได้รับทุนการศึกษาจะลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนไปได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้รวมถึงพวกค่าใช้จ่ายทั่วไปด้วย

     

    ตั้งแต่สอบติดมหาวิทยาลัย แทฮยองก็ย้ายออกจากบ้านป้ามาอยู่คอนโดที่อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยแค่สองป้ายรถเมล์ แต่ส่วนใหญ่ก็ชอบเดินไปกลับมากกว่า เงินที่จ่ายค่าห้องเป็นเงินส่วนที่พ่อแม่เหลือไว้ให้ แทฮยองได้มาตอนที่ไปลาป้าก่อนจะออกมา ก็หลงดีใจว่าผู้ปกครองคนเดียวของเขาจะกลับตัวได้ เพิ่งรู้ว่ามันเป็นบัญชีที่พ่อแม่จดไว้เป็นชื่อเขา ป้าถึงไม่สามารถเอามาใช้ได้

     

    พอได้ที่พักแล้วก็หางานพิเศษทำต่อ อายุขนาดเขามีงานพาร์ทไทม์ให้เลือกทำเต็มไปหมด ค่าตอบแทนก็ค่อนข้างดีทีเดียว แทฮยองทำงานอยู่ที่คาเฟ่ตรงข้ามทางเข้ามหาวิทยาลัยที่เปิดตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงสามทุ่ม แบ่งเวลาเข้างานเป็นสองกะ แทฮยองเลือกทำกะดึกเพราะทำงานแค่สี่ชั่วโมงแต่ได้ค่าตอบแทนสูงกว่าช่วงกลางวันที่คนจะน้อย แต่ก็ต้องแลกกับจำนวนลูกค้าที่มักจะเข้ามาพร้อมๆ กันจนต้องวิ่งวุ่นกันทีเดียว

     

    ในช่วงสอบจะไม่ค่อยมีลูกค้านั่งในร้าน ส่วนใหญ่จะซื้อกลับไปมากกว่า ที่นั่งอ่านหนังสือในร้านก็มีอยู่บ้าง แต่แทฮยองคิดว่าอ่านในที่ที่มีเสียงเพลง เสียงคนคุยกันอย่างนี้คงไม่มีสมาธิเท่าไหร่หรอก

     

    “แทฮยอง ถ้าเสร็จงานแล้วกลับเลยก็ได้นะจ้ะ ไม่ต้องอยู่รอจนปิดร้านหรอก เริ่มสอบแล้วรีบกลับไปอ่านหนังสือเถอะ” แคชเชียร์สาวพ่วงตำแหน่งลูกสาวเจ้าของร้านบอกอนุญาตอย่างใจดี เมื่อลูกค้ากลุ่มสุดท้ายเพิ่งออกจากร้าน

     

    ขอบคุณนะครับแทฮยองยิ้มรับอย่างเกรงใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะงานในส่วนของตัวเองเสร็จหมดแล้ว แต่แทนที่จะคิดเรื่องอ่านหนังสือ เด็กหนุ่มกลับคิดถึงใครอีกคนมากกว่า

     

    แทฮยองดึงกระชับเสื้อโค้ทตัวเดิมที่ใครบางคนให้เมื่อลมหนาวพัดมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาตัวเล็กหรือเสื้อตัวใหญ่ไปกันแน่ แต่ตอนนี้ก็ยังใส่ได้พอดี

     

    วันนี้จะมาไหมนะ

     

    ช่วงนี้ยมทูตหนุ่มมีงานเยอะมากจนไม่ค่อยได้มาหาเลย จากเมื่อก่อนที่มาทุกวัน ก็เริ่มทิ้งช่วงห่างเป็นสองวันบ้าง สามวันบ้าง หรือบางทีมาได้ครู่เดียวก็ต้องออกไปอีกแล้ว เข้าใจหรอกนะว่าเป็นงาน แต่พออีกฝ่ายไม่อยู่มันเหงามากจริงๆ แถมคราวนี้ยังกินเวลานานกว่าทุกครั้ง ถ้ารวมวันนี้ก็ครบสัปดาห์พอดีที่ไม่เจอกัน

     

    เหลือแค่ข้ามถนนไปก็ถึงคอนโดแล้ว แทฮยองตั้งใจจะแวะร้านสะดวกซื้อสำหรับมื้อเย็นก่อนขึ้นห้องสักหน่อย แต่พอเงยหน้าไปเห็นว่าห้องตัวเองที่ควรจะมืดกลับสว่างด้วยแสงไฟที่เปิดทิ้งไว้ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า พอสัญญาณไฟคนข้ามเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็รีบวิ่งข้ามไปทันที ปลายทางไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อข้างคอนโดอีกต่อไป พอไขประตูเข้าไปได้ ก็วิ่งไปกอดคนที่ยืนอยู่กลางห้องเต็มแรง

     

    พี่นัมจุน! คิดถึงจังเลยเสียงเล็กงุ้งงิ้งอยู่ข้างหูคาดโทษคนที่หายไปนานกว่าทุกครั้งโดยไม่บอกอะไรสักคำ แต่แค่ได้เจอกัน ได้ยินเสียง ความคิดน้อยใจตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็หายไปในชั่วพริบตา

     

    “พี่ก็คิดถึง สอบเป็นไงบ้าง

     

    “ทำได้อยู่แล้ว นี่แทฮยองนะครับผม นักศึกษาทุนเรียนดีของคณะยืนยันความมั่นใจด้วยรอยยิ้มกว้าง

     

    “เก่งมาก แล้วนี่ทานอะไรหรือยัง พอเด็กหนุ่มส่ายหน้า นัมจุนก็เดินนำไปนั่งที่โซนห้องครัว บนโต๊ะอาหารมีไก่ทอดกล่องใหญ่ที่ยังมีไอร้อนกรุ่นน่ากิน ข้างกันมีขนมปังปลาไส้ครีมที่ไส้เยอะจนล้นทะลักออกมาแบบที่เจ้าของห้องชอบ นัมจุนใช้นิ้วชี้ที่แก้มของตนราวกับจะขอรางวัล แทฮยองเขย่งปลายเท้าไปประทับริมฝีปากนุ่มที่แก้มตามคำขออย่างขัดเขิน ก่อนจะไปทานมื้อเย็นเสียที

     

    หลังจากทานเสร็จ ทั้งสองคนก็ย้ายไปนอนเล่นที่เตียงในห้องนอน ห้องของแทฮยองไม่มีทีวี เพราะเขาคิดว่าตัวเองคงไม่มีเวลาดูเท่าไหร่ จะซื้อก็ดูสิ้นเปลืองเกินไปด้วย ถึงนัมจุนจะทำเหมือนอยากเอามาให้ก็เถอะ อาจจะกลัวเขาเหงาเวลาตัวเองไม่อยู่ก็ได้มั้ง แต่ว่าสำหรับแทฮยองแล้ว...แค่มีนัมจุนอยู่ก็พอ อย่างอื่นอะไรเขาไม่ต้องการหรอก

     

    “พี่นัมจุน วันนี้นอนด้วยกันได้ไหม ยมทูตหนุ่มคลี่ยิ้มบางให้เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนตัก นัยน์ตาเรียวที่ช้อนขึ้นมองอย่างอ้อนๆ ถึงจะโตเป็นหนุ่มแล้วแต่ก็ยังทำตัวเป็นเด็กน้อยอายุสิบขวบเหมือนเดิม

     

    แต่ถ้าพี่มีงานก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมแค่เหงานิดหน่อย พี่เล่นหายไปเป็นอาทิตย์เลยพอเห็นนัมจุนไม่พูดอะไรก็คิดว่าคงไม่สะดวก เขาไม่อยากให้อีกคนลำบากใจเลยตัดปัญหาเสียเอง เรื่องจะงอนจะงอแงอะไรพรรค์นั้นไม่มีในหัวหรอก อาจเป็นเพราะอยู่กับยมทูตมานาน จนรู้สึกว่าไม่ควรเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนั้น

     

    ...ชีวิตมันก็สั้นแค่นี้เอง

     

    “คืนนี้ไม่มีหรอก พี่ก็กะจะมานอนด้วยอยู่แล้ว

     

    จริงนะคำตอบทำแทฮยองยิ้มแก้มปริอย่างน่าเอ็นดู นัมจุนโน้มตัวลงไปเอาปลายจมูกแตะแก้มใสทั้งสองข้างแกล้งให้คนตัวเล็กหัวเราะคิกคัก

     

    “แล้วนี่นอกจากเจ้าหนูจีมสนิทกับใครบ้างหรือยัง

     

    “มีแต่คนเดิมแหละฮะ ทำงานตลอดจะไปสนิทกับใครได้ แทฮยองรู้ว่าที่นัมจุนถามเพราะห่วงที่เขาไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันเลยนอกจากจีมิน ยมทูตหนุ่มเคยหยิบเรื่องนี้มาพูดหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ

     

    “แทฮยอง”

     

    “ครับ?” อยู่ๆ นัมจุนก็เรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง รอยยิ้มบนใบหน้าอีกคนเหือดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

     

    ถ้าวันหนึ่งไม่มีพี่ แทฮยองจะอยู่คนเดียวได้ไหม

     

    “ทำไมพี่ถามแบบนี้ พี่จะไปไหนแทฮยองลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าอีกคนทันที นัยน์ตาสบประสานราวกับจะค้นหาความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ น้ำเสียงเจือความหวาดกลัวที่ไม่คิดเก็บซ่อน ...ทั้งที่เป็นแค่คำถามสมมติ แต่แค่ได้ยินก็ใจหายแล้ว แววตาวูบไหวจนเกือบจะกลายเป็นน้ำตา

     

    “ก็แค่ลองถามดู อย่าซีเรียสนักสิ ตัวแสบ เห็นนัมจุนยังคงยิ้มและหัวเราะ แทฮยองเลยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

     

    อย่าถามแบบนี้อีกนะฮะ พี่ทำผมใจหายหมดเลยแทฮยองถอนหายใจอย่างโล่งอก ยมทูตหนุ่มยิ้มกว้างทั้งที่ในใจตรงกันข้ามกัน

     

    รู้แล้ว นอนเถอะนัมจุนดันตัวเด็กหนุ่มลงไปนอนตามเดิม แทฮยองหลับตาลง แต่ยังไม่นอน คำถามเมื่อครู่ยังคงติดอยู่ในใจเขา คล้ายเป็นลางบางอย่างที่แทฮยองต้องบอกตัวเองซ้ำๆ ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก

     

    “พี่นัมจุน ผมรู้นะว่าควรอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง แต่...ผมอยากให้พี่อยู่ด้วย ได้โปรดอย่าไปไหนเลยนะครับ อยู่ตรงนี้กับผมนะ”

     

    ยมทูตหนุ่มทำได้แค่ตอบรับเสียงเบาในลำคอ มือก็ลูบผมเด็กหนุ่มไปมาจนอีกฝ่ายหลับสนิท แทฮยองคงไม่รู้หรอก คนที่ใจหายไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่ยังหมายรวมถึงคนพูด

     

    ความจริงแล้ว นัมจุนไม่ได้มีงานเยอะขึ้นอย่างที่บอกแทฮยองไปหรอก ดวงวิญญาณที่ต้องไปรับก็ไม่มากไปกว่าเดิมถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล แต่ที่โกหกไปแบบนั้น เพราะเขาอยากให้แทฮยองเตรียมใจไว้ นี่จะเป็นปีสุดท้ายของการเป็นยมทูตแล้ว นัมจุนอยากให้แทฮยองอยู่ได้แม้จะไม่มีเขา อยู่ได้โดยที่ไม่เสียใจ ไม่เอาแต่คิดถึงเขา การเป็นยมทูตสอนอะไรเขาหลายอย่าง

     

    หนึ่งในนั้นคือ...ความคิดถึงที่ทำให้มนุษย์ตายทั้งเป็น

     

    นัมจุนไม่รู้ว่าจะบอกแทฮยองยังไงดี เขาไม่อยากทำให้เสียใจ เชื่อเถอะว่า การทำให้แทฮยองร้องไห้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะทำ ถึงแม้ว่าสักวันจะต้องจากไป แต่นัมจุนก็อยากอยู่ตรงนี้ อยากจะอยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย แต่แล้วความคิดของยมทูตหนุ่มก็ถูกขัดด้วยเสียงพึมพำปนกับเสียงสะอื้น

     

    “อย่า..ป แม่ อย่า..ทิ้ง ผ..ม..กลัว ฮึก...

     

    “แทฮยอง

     

    นัมจุนตกใจที่เห็นคนในอ้อมแขนร้องไห้หนักทั้งที่หลับสนิท เขารีบปลุกให้แทฮยองตื่น เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นด้วยดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำ สีหน้าซีดขาว ลมหอบหายใจสั่น สายตาที่มองเขาดูเลื่อนลอยก่อนจะโผกอดเขาแน่น

     

    “พี่..นัมจุน

     

    “ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่ มันเป็นแค่ฝัน ...แค่ฝันเท่านั้น

     

    ยมทูตหนุ่มปลอบอยู่นานกว่าแทฮยองจะหลับลงได้ แต่เพียงแค่พักเดียว เด็กหนุ่มก็กลับมาฝันร้ายอีก มันผิดปกติที่ฝันซ้ำสองในเรื่องเดิมๆ ราวกับมีคนจงใจทำนัมจุนถือเคียวยื่นออกไปข้างหน้า หลับตาลง เพ่งความรู้สึกค้นหาอะไรบางอย่าง

     

    ไม่นานก็ปรากฏกลุ่มควันสีดำที่ค่อยๆ รวมตัวกันจนกลายเป็นม้าสีดำสนิททั้งตัว แต่แผงคอและหางเป็นเปลวเพลิง นัมจุนรู้จักสิ่งนี้ มันคือ ไนท์แมร์ปีศาจที่ทำให้มนุษย์ฝันร้าย ยมทูตหนุ่มเหวี่ยงเคียวเข้าไปที่กลุ่มควันนั้น ใบมีดสีเงินตัดกลางตัวม้า ก่อนที่มันจะสลายไปอย่างช้าๆ

     

    “อย่ากลับมาที่นี่อีก” ยมทูตหนุ่มสั่งเสียงเข้มและจริงจัง ไม่มีวิธีใดกำจัด ไนท์แมร์ได้อย่างแน่นอน มันจะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ เขาทำได้แค่ไล่มันไปเท่านั้น นัมจุนรอจนแน่ใจว่าเจ้าอาชาฝันร้ายนั้นจากไปแล้วถึงกลับไปนอนเหมือนเดิม เสียงทุ้มอ่อนโยนกระซิบแผ่วเบา คนหลับสนิทที่ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

     

    “ฝันดีนะ แทฮยอง

     

     

    - A hundred year of solitude -

     

     

    นัมจุนยังติดใจเรื่องอาชานำฝันร้ายตัวนั้นอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เคยเจอสิ่งมีชีวิตนั้นมาก่อน แต่น่าแปลกที่เจอมันมาหาแทฮยองต่างหาก

     

    ไนท์แมร์เนี่ยนะ?” ยุนกิทวนคำเสียงตกใจระคนสงสัย ปกติไนท์แมร์จะอยู่กับมนุษย์ที่คิดไม่ดี หรือมีความผิดปกติ มันจะทำให้มนุษย์ผู้นั้นจมดิ่งอยู่ในฝันร้ายที่ตัวเองสร้างขึ้นจนเสียสติ แล้วจะเปลี่ยนไปหาเหยื่อรายใหม่อยู่เรื่อยๆ

     

    น่าแปลกใช่ไหมล่ะ

     

    “แปลกมาก แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อนนะ” ยุนกิพับเรื่องที่ดูสำคัญน้อยลงไปเลย เมื่อพูดถึงอีกเรื่องที่นัมจุนยังไม่ยอมบอก และยุนกิก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทางกล้าบอกจนถึงวันที่ครบกำหนดร้อยปีนั่นแหละ

     

    “ถ้าจะพูดเรื่องนั้นล่ะก็ หยุดเลยนะ” นัมจุนหันหลังหนี ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน ไม่พอใจที่อีกฝ่ายยกเรื่องนี้มาพูดซ้ำๆ ยุนกิถอนหายใจ ตัดสินใจแล้วว่าจะพูดอีกแค่ครั้งเดียวแล้วพอ

     

    “นัมจุน นายขอเวลามาตั้งแต่เก้าปีที่แล้ว ตอนนั้นนายก็บอกฉันว่าจะคิดดูให้ดี แล้วตอนนี้ล่ะ ฉันจะไม่พูดเรื่องที่ผ่านมา นายทำได้ดีแล้ว ดีมากด้วย แต่ถ้านายไม่ยอมบอก แล้วรอไปจนถึงวันที่นายต้องไปจริงๆ ไม่คิดเหรอว่าการที่นายไม่พูด มันทำร้ายน้องมากเกินไป ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว สักวันเด็กคนนั้นก็ต้องร้องไห้เพราะนายอยู่ดี มีเวลาให้เตรียมใจมันดีกว่าไม่รู้อะไรเลยนะ ...อย่างที่นายเคยพูด ฉันอยู่กับมนุษย์มานาน และเข้าใจดีว่าการเตรียมใจมันสำคัญแค่ไหน บางคนที่เตรียมใจแล้วยังรับไม่ไหว แล้วคนที่ไม่มีเวลาให้เตรียมใจเลย มันหนักหน่วงมากนะ แทฮยองจะเป็นยังไงลองคิดดูสิ”

     

    “ยุนกิ... ” ยมทูตหนุ่มยอมหันกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิท สีหน้าที่ทำอีกคนต้องถอนหายใจซ้ำสอง

     

    “ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่นายเถอะ ว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ยังไง”

     

    365 วันในหนึ่งปีเคยเป็นระยะเวลาที่ยาวนานในชีวิตยมทูต แต่ตอนนี้นัมจุนกลับรู้สึกว่ามันสั้นเหลือเกิน แต่เขายังคงยืนยันความคิดเดิมที่จะอยู่ด้วยกันไปจนวันสุดท้าย ถึงวันนั้นเขาจะปล่อยมือ และหวังว่าสักวันในชาติภพใดชาติภพหนึ่งภายภาคหน้าจะได้พบกันอีก

     

    สักวัน...

     

     

     

    To be con…




    lady's talk ;

    เรื่องยาวมากขอตัดแบ่งเป็น 2 พาร์ทนะคะ ;-;

    ปล. คุณยมทูตบรรณารักษ์เป็นใครให้ทาย :)

         
    Z y c l o n
         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×