ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    my favorite place in the world is next to you. | minno & cusno

    ลำดับตอนที่ #2 : 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 300
      35
      2 ต.ค. 62

    ตอนที่ 2




    2










     

    จูโน่จำไม่ได้แล้วว่าได้พบแจมินครั้งแรกเมื่อไหร่


    อาจจะเป็นวันรายงานตัวก่อนเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ อาจเป็นวันที่มาสอบเข้า หรือไม่ก็อาจเป็นตอนเดินสวนกันที่ระเบียงตอนเปลี่ยนคาบเรียน ไม่ว่าพยายามนึกเท่าไหร่จูโน่ก็มีคำตอบเดียวว่าจำไม่ได้สักนิด


    อินจุนมักจะพูดถึงเพื่อนต่างห้องคนนี้ให้พวกเขาฟังอยู่บ่อย ๆ จูโน่รับรู้เพียงว่า ‘แจมิน’ เข้ามาด้วยโควตานักกีฬา มีตำแหน่งเป็นหนึ่งในทีมบาสของโรงเรียน เวลากีฬาสีก็เป็นอันรู้กันว่ามีแจมินในสีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง 


    อินจุนพูดถึงทีหนึ่งจูโน่ก็พยักหน้าทีหนึ่ง คล้ายฟังคล้ายไม่ฟัง เหมือนว่าอินจุนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศอย่างไรอย่างนั้น


    ในปีหนึ่ง ลีจูโน่ได้ยินชื่อเพื่อนต่างห้องคนนั้นบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะเก็บมาใส่ใจ

     

    ในปีสอง ลีจูโน่ได้ยินชื่อเพื่อนต่างห้องคนนั้นบ่อยขึ้น แต่ยังคงไม่คิดจะใส่ใจ

     

    จนกระทั่งในฤดูใบไม้ร่วง ปีสองเทอมสองเขายังคงได้ยินชื่อเพื่อนต่างห้องคนนั้น..และมีอะไรเปลี่ยนไปโดยไม่ทันตั้งตัว

     

    เพราะเขาเผลอแค่แวบเดียว...แวบเดียวเท่านั้น


    พระอาทิตย์ดวงนั้นก็แทรกแซงเข้ามาในหัวใจซะแล้ว

     









     

    แน่นอนว่าหากถามในตอนนี้ จูโน่ก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าเขาจำครั้งแรกที่เจอกับแจมินไม่ได้ แต่หากถามว่าเขาจำความรู้สึกแรกยามที่สบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นได้หรือไม่ จูโน่จะตอบพร้อมรอยยิ้มเต็มแก้มว่า ‘จำได้’

     

    ในฤดูใบไม้ร่วงของปีสอง ทั่วโรงเรียนถูกปกคลุมไปด้วยสีส้ม ๆ เหลือง ๆ จากต้นไม้ที่อยู่ทั่วทุกมุมของโรงเรียน สายลมอ่อนเย็นสบายพัดโชยมาพาให้ใบไม้หลากสีสันที่พึ่งปลิดตนออกจากขั้วลอยละล่องมาหยุดที่ฝ่าเท้าของแฝดคนน้อง 


    คนที่ตอนนี้อารมณ์ขุ่น ๆ มัว ๆ ได้ที่จนแปลงร่างเป็นอันธพาลจูหรี่ตามองใบไม้บนพื้น ก่อนทำนิสัยเกเรเตะมันออกไปเพื่อระบายความอารมณ์เหงาหงอย แต่ใบไม้สีส้มกลับปลิวกลับมาตกที่ฝ่าเท้าตามเดิมทำให้คนที่หงอยอยู่ถึงกับถลึงตาใส่ใบไม้ระบายอารมณ์ออกมา


    แม้แต่ใบไม้ก็ยังจะดื้อกับจู!

     

    ยิ่งกีฬาสีใกล้เข้ามาเจโน่ที่ (โดนบังคับ) ลงแข่งฟุตบอลยิ่งต้องอยู่ซ้อมเย็นขึ้นเรื่อย ๆ พอคนน้องจะขอลงกีฬาอย่างฟุตบอลหรือบาสเกตบอลที่ว่างอยู่บ้าง กลับถูกโยนตัวไปประจำตำแหน่งสวัสดิการสี 


    ฮึ่ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน่าโมโห อารมณ์เดือดปุด ๆ จนต้องสวมบทบาทเป็นอันธพาลอีกครั้ง จูโน่เตะใบไม้ให้ปลิวว่อนไปในอากาศก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่คนเดียวเมื่อคิดว่าพี่ชายคงต้องดุแน่ ๆ หากมาเห็นภาพนี้ 


    คอยดูนะ พอส่งของพวกนี้ให้พวกนักบาสเสร็จ จูก็จะกลับไปลากเจโน่กลับบ้าน ไม่สนใจใครทั้งสิ้นเลย

     

    พอเล่นจนพอใจก็กระชับอ้อมแขนยึดกระติกน้ำแข็งขนาดใหญ่ให้มั่น ในนี้ยัดแน่นไปด้วยผ้าเย็น และสารพัดน้ำดื่มสำหรับนักกีฬาประจำสี จูโน่สาวเท้าไว ๆ จนกลายเป็นวิ่งตรงไปทางโรงยิม วันนี้ทีมบาสสีเหลืองของจูโน่ไปซ้อมอยู่กับทีมสีส้มเพราะนักกีฬาสองสีครึ่งหนึ่งก็อยู่ชมรมเดียวกัน พอจะซ้อมก็ซ้อมด้วยกันหน้าตาเฉยไม่สนใจประธานฝั่งกีฬาที่เส้นเลือดขึ้นหน้าตุบ ๆ ยืนยันหนักแน่นว่าไม่ควรเผยไต๋ให้คู่ต่อสู้รู้

     

    เมื่อก้าวเข้ามาในโรงยิมเสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นก็ดังก้องให้ได้ยินเป็นอย่างแรก ตามมาด้วยเสียงลูกบาสกระทบพื้นที่ทำให้จิตใจคนอยากลงกีฬาอย่างอันธพาลลีพลันฮึกเหิมขึ้นมา ร่างเล็กยืนมองเกมด้วยตาแวววาว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะน้ำหนักของกระติกในอ้อมแขน 


    ปีนี้ได้เป็นแค่สวัสดิการ แต่ปีหน้าลีจูโน่จะโลดแล่นในวงการฟุตบอลให้ได้เลยคอยดู! 


    เขานำกระติกวางลงข้างกระเป๋าเพื่อนในห้องด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ แอบหันไปมองเหล่านักกีฬาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยริมฝีปากเบะคว่ำ เมื่อเช็คความเรียบร้อยเสร็จก็รีบวิ่งออกจากโรงยิมทันที คอยดูเถอะ! ถ้าเจอเจโน่เมื่อไหร่จูจะโยนงานทิ้งแล้วลากเจโน่กลับบ้านด้วยกันเลย!


    “ระวัง!!”


    ฉับพลันเสียงเอะอะดังขึ้นจากสนามบาสขัดความคิดให้หยุดลง จูโน่ที่หยุดวิ่งกะทันหันยังไม่ทันยืนให้มั่นคงก็ต้องล้มลงไปนอนกองกับพื้นอย่างหมดสภาพเพราะแรงกระแทกที่ศีรษะ 


    คนโดนประทุษร้ายครางฮือในลำคออย่างเจ็บปวด เมื่อครู่ไม่ได้ระวังให้ดีมือเขาไปครูดกับอะไรไม่รู้แสบเป็นบ้า คนน้องหลับตาปี๋กองอยู่กับพื้น เขาแน่ใจว่าต้องถูกจับจ้องจากสายตาของคนทั้งสนามแน่นอน...ฮือ ไม่เห็นมีใครบอกเขาเลยสักคนว่าสวัสดิการอาจเจ็บตัวได้

     

    ท่ามกลางเสียงเอะอะของคนในสนามที่ฟังไม่ได้ศัพท์ พลันมีมือปริศนาสอดมาข้างกายเพื่อพยุงตัวเขาขึ้นช้า ๆ ทำให้คนน้องที่กำลังโวยวายกับตัวเองในใจยอมลืมตาขึ้นมาแม้จะยังก้มหน้างุด เจ้าของมือปริศนาคว้าลูกบาสที่กลิ้งอยู่ขว้างกลับไปทางสนาม

     

    “ลุกไหวมั้ย?”


    จูโน่พยักหน้าหงึกหงัก มึนหัวจนอยากครางฮือออกมาดัง ๆ หรือไม่ก็วิ่งไปซุกเจโน่ให้รู้แล้วรู้รอด จูเงยหน้ามองคนที่กำลังวุ่นวายกับพลิกกายเขาไปมาด้วยความรู้สึกพิกล นี่เขากำลังโดนตรวจหารอยแผลอยู่ใช่มั้ย?

     

    “เจ็บ”

     

    คนน้องขมวดคิ้ว หลุดเสียงออกมาทันทีที่อีกฝ่ายจับมือข้างที่ครูดกับบางอย่างเข้าตอนล้มเมื่อครู่ อีกฝ่ายพึมพำขอโทษเสียงแผ่วแต่จูโน่แทบไม่ได้สนใจฟังเพราะความคิดวนเวียนอยู่แต่ความเจ็บปวดที่มือ เมื่อคนที่อยู่ในชุดบาสพลิกหลังมือเขาให้หงายขึ้นจูโน่ก็ตาโตทันที พอรู้ตัวอยู่บ้างว่ามือต้องเป็นแผลแน่ ๆ แต่ไม่ได้คิดเผื่อว่าถ้าเลือดออกจะทำยังไง 


    คนตัวเล็กกะพริบตาปริบ ๆ ตอนนี้เขาเริ่มคิดอยากวิ่งไปหาเจโน่ขึ้นมาจริง ๆ แล้ว 


    แผลที่ลากเป็นทางยาวตั้งแต่โคนนิ้วก้อยถึงข้อมือทำให้เขาลอบพยักหน้าแน่วแน่ให้ความคิดตัวเองหนหนึ่ง ใช่แล้ว สมควรเอาบาสลูกนั้นไปโยนลงบ่อน้ำหลังโรงเรียนด้วย

               

    จูโน่โดนเจ้าของมือปริศนาลากถู่ลู่ถู่กังไปทางห้องอาบน้ำของโรงยิม ที่นี่แบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนเมื่อเข้าประตูมาทางซ้ายมือจะเป็นโซนตู้ล็อกเกอร์ที่ตั้งเรียงรายเป็นแถว ๆ อยู่ ส่วนทางขวามือก็เป็นประตูแยกไปส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำชาย ส่วนห้องสำหรับผู้หญิงจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงยิมเลย

     

    ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้จูโน่ยังไม่ทันได้มองหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ สักหนเพราะมัวแต่ตกใจกับแผลตัวเอง คนน้องถูกทิ้งไว้ในห้องล็อกเกอร์ เขามองไล่หลังนักบาสฝั่งศัตรูที่เอาเขามาทิ้งไว้ตรงนี้แล้วหายไปหน้าตาเฉย หันซ้ายหันขวาอยู่ครู่เดียวก็ค่อยเดินมานั่งคร่อมม้านั่งยาวที่ตั้งคั่นระหว่างล็อกเกอร์เก็บของ 

     

    จูโน่มองแผลตัวเองแล้วก็เบะปากคว่ำ ดวงตาโค้งตกลง ขณะที่ร้องโวยวายอยู่ในใจยกใหญ่ ลูกบาสลูกนั้นแค่โยนทิ้งเฉย ๆ คงไม่ได้แล้ว ต้องปล่อยลมออกมาด้วยถึงจะถูก ไม่ก็เอาไปทิ้งที่โรงพยาบาลสัตว์ให้พวกหมาตัวใหญ่เล่นหรือกัดให้เต็มที่


    พอคิดได้แบบนี้บนแก้มก็ค่อย ๆ มีรอยบุ๋มลึกสองรอยจากรอยยิ้มซุกซนที่มีให้กับความคิดชั่วร้ายตัวเอง


    “นี่” 


    จูโน่สะดุ้งโหยง ดวงตาที่เมื่อครู่ยังโค้งลงเปลี่ยนเป็นกลมโตตามความตกใจ เขาหลุดจากภวังค์ทันทีที่มีมือใหญ่โบกไปมาตรงหน้า จูโน่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ ตั้งใจจะเอ่ยตอบกลับไปแต่ริมฝีปากกลับปิดลงทันทีที่สบตากับอีกฝ่าย

     

    มันเย็นมากแล้ว เย็นจนพระอาทิตย์คล้อยต่ำสาดแสงสีทองรดพื้นดินและเผื่อแผ่มาถึงในนี้


    ผมสีน้ำตาลเข้มของคนตัวสูงดูสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อโดนแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดจากหน้าต่างตกกระทบ แสงสีเหลืองอมส้มอาบเสี้ยวหน้าของเขาให้เด่นชัดในดวงตาของลีจูโน่ 


    อีกฝ่ายมีขนตายาวเป็นแพชวนให้รู้สึกไม่อาจละสายไปจากเขาได้ ดวงตาของเขาถูกแสงอาบไว้เสี้ยวหนึ่งจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน เปล่งประกายยากบรรยาย รอยยิ้มสดใส ทุกอย่างนั้นสลักลงในหัวใจจูโน่อย่างไม่ทันตั้งตัว

     

    จูโน่หลงคิดไปว่า เขาคงโดนแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์มอมเมาเข้าให้แล้ว

     

    “เดี๋ยวเราทำแผลให้” คนตัวสูงในชุดบาสนั่งคร่อมกับเก้าอี้ตัวยาว วางกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลคั่นกลางระหว่างพวกเขาทั้งคู่ มือใหญ่ยื่นมาทางคนน้องอย่างเก้ ๆ กัง ๆ จูโน่หลุดออกจากภวังค์ คนน้องหัวเราะเก้อ ๆ มองฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาให้แล้วก็พลันรู้สึกว่าแผลที่มือก็ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นแล้ว

     

    “เราทำเองก็ได้ ขอบคุณนะ คุณกลับไปซ้อมต่อเถอะ เราโอเคมาก” จูโน่ที่กำลังจะยกมือขึ้นมาทำนิ้วโอเคอวดอีกฝ่ายต้องร้องซี๊ดขึ้นมาทันทีเพราะมือเจ้ากรรมดันกระแทกกับกล่องเครื่องมือ 


    คนตัวเล็กก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเก้อของตัวเองทันที เขาเม้มริมฝีปากแน่น ตะโกนโวยวายดังก้องอยู่ในใจ


    ฮือ วันนี้ไม่ใช่วันของจูจริง ๆ เสียฟอร์มไปตั้งสองรอบแล้วนะ! ตั้งสองรอบ!

     

    “อื้อ โอเคจริง ๆ ด้วย” คนทำแผลว่าด้วยรอยยิ้มขัน คว้ามือที่เลือดไหลซิบ ๆ ไปด้วยท่าทีระมัดระวังจนเจ้าของมือไม่กล้าปฏิเสธ 


    จูโน่มองตามมือตัวเองแล้วเลื่อนสายตาไปที่มืออีกฝ่าย ทำไมพอเทียบกันแล้วขนาดต่างกันขนาดนี้ก็ไม่รู้ จูโน่เคยเทียบมือกับแม่ยังโอ้อวดอย่างภูมิใจได้ว่าใหญ่กว่าแม่หน่อยนึง พอมาเจอมืออีกฝ่ายแล้วเขาแทบอยากหดมือแคบ ๆ ของตัวเองกลับเข้าแขนเสื้อทันที

     

    สำลีหนาหลายก้อนที่ถูกชุบแอลกอฮอล์วางอยู่ในถาดสเตนเลสอันเล็ก เมื่อเขาหยิบสำลีมาทำท่าจะเช็ดบาดแผลจูโน่ก็เผลอหดมือกลับเข้าตัวทันที พอรู้สึกตัวก็เงยหน้าขึ้นไปส่งเสียงแหะ ๆ ให้คนทำแผลจำเป็น 


    อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตาเขา บนใบหน้ามีรอยยิ้มใจดีขณะที่เขาพึมพำบอก 


    “ไม่เป็นไรนะ ไม่เจ็บแน่ ๆ ครับ สัญญา”


    ก็เพราะแบบนี้ ก็เลยยอมให้เขาทำแผลง่าย ๆ เลย


    สำลีชุบแอลกอฮอลล์ถูกเช็ดรอบบาดแผลช้า ๆ เมื่อจูโน่เผลอกระตุกมืออีกหน มือใหญ่ก็เปลี่ยนมากุมส่วนที่ไม่เป็นแผลไว้อย่างแน่นหนา ชั่วขณะนั้นเหมือนกระแสไฟอ่อน ๆ แล่นฉิ่วตรงเข้าสู่ขั้วหัวใจ จูโน่เม้มริมฝีปากแน่น กลัวว่าตัวเองจะเผลอแสดงท่าทีแปลก ๆ ออกมาให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ


    แอลกอฮอลล์แผ่ความเย็นออกมาบนผิวเนื้อ แต่จูโน่กลับรู้สึกถึงความอุ่นร้อนจากฝ่ามือของอีกฝ่ายที่กำลังไหลซึมเข้าสู่หัวใจเท่านั้น


    คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงสายตาของจูโน่ ต่างฝ่ายต่างไม่หลบเลี่ยง เจ้าของมือใหญ่ยิ้มอ่อนโยนให้จูโน่ก่อนจะก้มหน้าไปทำแผลให้ต่อ สายตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายพาให้จูโน่มึนเมา คนน้องกะพริบตาช้า ๆ เขาอยากแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านสายตาของอีกฝ่ายผิดไป มันอ่อนโยนเหมือนกับมือใหญ่ที่กำลังกอบกุมเขาไว้อยู่ 


    ทุก ๆ คราที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตาเขาจูโน่ยิ่งรู้สึกว่าเขาคงไม่มีวันพบดวงตาที่สวยและอ่อนโยนได้เท่านี้อีกแล้ว


    เป็นความประทับใจอย่างซื่อตรงและมากล้นที่จูโน่ไม่เคยมีให้ใคร


    สำลีที่ชุ่มด้วยน้ำสีฟ้าใสเช็ดทำความรอบสะอาดบาดแผลอย่างแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่ถึงจะเบามือแค่ไหนจูโน่ก็ยังเผลอกัดริมฝีปากและกระชับมือใหญ่ไว้แน่นอย่างลืมตัวอยู่ดี เลือดที่แห้งกรังถูกเช็ดไปจนบาดแผลสะอาด เผยให้เห็นรอยโดนข่วนที่ไม่ลึกไม่ตื้น

     

    “เราขอโทษนะ เพราะเราแท้ ๆ เลย”

     

    เสียงทุ้มนุ่มหูทำให้จูโน่ส่ายหน้าหวือ เขายืนยันกับอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษเพราะแผลแค่นี้เล็กน้อยมาก แม้ในใจของเขาจะคิดวิธีกำจัดลูกบาสนั้นไว้ในใจแล้ว (ข้อนี้จูโน่ไม่มีวันบอกอีกฝ่ายอย่างแน่นอน) แต่เขาก็ไม่คิดโทษคนตัวสูงสักนิด

     

    เมื่ออีกคนทำแผลเสร็จเรียบร้อยก็จัดการขั้นตอนสุดท้ายด้วยการแปะผ้าก็อตปิดแผล จูโน่เตรียมจะดึงมือออกแต่อีกฝ่ายกลับกระชับฝ่ามือเขาเอาไว้แล้วพึมพำบอกว่ายังไม่เสร็จ 


    เขาลุกไปค้นบางอย่างจากล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านในสุด และกลับมาพร้อมผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนหนึ่ง มันถูกพับเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วผูกปิดผ้าก็อตไว้อีกชั้น จูโน่มองปมของผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ระหว่างนิ้วชี้และโป้ง ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตด้วยความสงสัย

     

    “แปะโป้งไว้ก่อน ไว้หลังกีฬาสีเราจะเลี้ยงไอติมขอโทษ”

     

    จูโน่เม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดกำลัง ดวงตาสวย ๆ และรอยยิ้มของอีกฝ่ายทำเอาแก้มร้อนขึ้นมาอย่างประหลาด เขากำลังจะสุกแล้วล่ะ รอยยิ้มของคนตัวสูงทำให้ลีจูโน่ร้อนจนจะสุกอยู่แล้ว หรือไม่ก็เพราะพระอาทิตย์แน่นอนที่ทำให้จูโน่มึนเมาขาดสติได้ถึงขนาดนี้

     

    “เราไม่เป็นอะไรจริงๆ” จูโน่เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย ตั้งใจจะปั้นสีหน้าเคร่งขรึมอย่างจริงจัง แต่พอเจอดวงตาแวววาวของเขาก็ต้องก้มหน้าลงรวบรวมสติอีกหน “คุณกลับไปซ้อมเถอะ ไว้เราจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาคืน”

     

    อีกฝ่ายไม่ตอบรับอะไร เพียงแค่คว้ามือที่มีผ้าเช็ดหน้าพันอยู่ไปจับ ๆ บีบ ๆ อยู่สองสามหน จูโน่อ้าปากหวอมองอีกฝ่าย ไม่รู้ควรดุที่มาบีบแผลเขาดี หรือควรจะรีบซ่อนเสียงหัวใจของตัวเองก่อนดี

     

    “ยังเจ็บอยู่ใช่มั้ยล่ะ” จูโน่พยักหน้าหงึกหงัก “ถ้าเจ็บวันหลังก็ต้องให้คนทำไถ่โทษสิ”

     

    คนน้องเลิ่กคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนหลุดหัวเราะจนตาหยีเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ บนแก้มกลมก็มีรอยพับเล็ก ๆ ที่ดูไม่ต่างอะไรกับหนวดแมวปรากฏขึ้น 


    ทฤษฎีแบบนี้เหมือนเขาจะพึ่งเคยได้ยินครั้งแรกนะ? แต่พอจะอ้าปากค้าน คนตัวสูงกลับลุกขึ้นยืนแล้วฉุดมือข้างที่ไม่มีบาดแผลของเขาให้ลุกขึ้นตาม จูโน่มองช่วงขาที่ยาวกว่าตัวเองก็ได้แต่ลอบถอนหายใจน้อย ๆ อีกฝ่ายซอยเท้าถี่จนเขาต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแล้ว 

     

    “แจมินโว้ยยย ไม่เล่นมันแล้วใช่มั้ยบาสเนี้ย” 

    “แจมิน กลับมาทำแต้มให้เพื่อนได้แล้วโว้ย!”

    “โอ้โห้ ได้ทีมันเอาใหญ่”

    “เห้ยแจมิน นั้นเด็กสีกู!”

     

    พอเดินพ้นประตูก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกจากกลางสนามต้อนรับก่อนเป็นอย่างแรก คนโดนกล่าวหาเพียงแค่หัวเราะหึหึแล้วลอยหน้าลอยตาลากคนน้องไปถึงประตูโรงยิมอย่างไม่หวั่นไหวกับเสียงโห่แซว กลับเป็นจูโน่ที่ก้มหน้างุดซ่อนแก้มที่เริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ

     

    “อย่าลืมนะ”

     

    คนตัวสูงพูดย้ำอีกหนก่อนเดินจากไป ส่วนจูโน่ก็พยักหน้ารับไปทั้งที่แทบจะจับใจความอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ตัวเขาในตอนนี้เหมือนการประมวลผลจะล้มเหลวไปแล้วล่ะ

     

    เมื่อก้มมองผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตบนมือตัวเองอีกหน คนน้องก็หลุดยิ้มออกมาเต็มแก้มอย่างไม่ปิดบัง ความเจ็บปวดโดนเป่าหายไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แม้แต่หัวที่ยังปวดตุบ ๆ อยู่ก็ยังไม่ทำให้เขารู้สึกรำคาญเลย

     

                สิ่งเดียวที่ติดอยู่ในหัวจูโน่คือรอยยิ้มที่สดใสเหมือนกับพระอาทิตย์ ดวงตาสวยสีน้ำตาลอ่อน มือใหญ่ที่กุมข้อมือเขาไว้มิดได้อย่างสบาย ๆ และชื่อของอีกฝ่าย

     

                ‘แจมิน’

     








     




    จูโน่ไม่เคยแตะต้องเรื่องจำพวกรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่างจริงจังเลย เขาไม่รู้ว่าไออาการใจเต้นเพราะใครคนหนึ่งเป็นยังไง จูโน่เคยใจเต้นตอนได้จักรยานสีเหลืองคันแรกมา เคยใจเต้นตอนต้องออกไปอ่านเรียงความหน้าชั้นเรียน เคยใจเต้นตอนสอบเข้าม.ปลาย แต่เขายังไม่เคยรู้สึกใจเต้นเพราะชอบใครเลยสักครั้งเดียว

     

    ยามที่ได้สบตากับแจมินตอนนั้นหัวใจเขาจูโน่นิ่งสงบ มันไม่ได้เต้นเร้าเพื่อบอกให้เขารู้ว่านี่คือรักแรกพบหรืออะไรก็ตามแต่ หัวใจเขาเพียงนิ่งสงบและเก็บทุกภาพของแจมินเอาไว้ จดจำความอบอุ่นที่ฝ่ามือไว้ จดจำสายตาและน้ำเสียงของแจมินไว้


    สายตาของลีจูโน่ถูกตรึงไว้ที่เขาคนเดียวตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาที่มีรอยยิ้มสดใสจนต้องแอบคลี่ยิ้มตามเสมอ เขาที่ใจดีจนรู้ตัวอีกทีก็แทรกซึมเข้ามาในหัวใจจูโน่อย่างง่ายดาย


    เป็นเขา 


    เป็นนาแจมินที่ทำให้จูโน่แอบมองเข้าไปในห้องซีทุกครั้งที่เดินผ่าน เป็นคนที่ทำให้จูโน่ที่ไม่ได้สนใจบาสยอมเข้าโรงยิมไปดูการแข่งขันบ่อย ๆ เพื่อจะได้เห็นแจมินแค่ไม่กี่นาที

    ‘แจ’ แปลว่าสดใส 


    ไม่ว่าจะมองทางไหน จูโน่ก็รู้สึกว่าแจมินเหมือนพระอาทิตย์จริง ๆ รอยยิ้มของเขามาพร้อมความอบอุ่นที่ทำให้คนแอบรักไม่สามารถถอนสายตาไปได้ ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางคนมากมายแค่ไหน จูโน่ก็ยังคงมองเห็นพระอาทิตย์ดวงนี้เสมอ


    หากถามว่าสุดท้ายแล้วแจมินได้พาจูโน่ไปเลี้ยงไอติมจริง ๆ ไหม คงต้องสารภาพตามตรงว่าหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีก พอเจโน่รู้ว่าเขาไปได้แผลมาจากการส่งเสบียง แฝดพี่ก็ใช้เส้นสายส่งเขาไปอยู่ที่แผนกอื่นที่งานเบากว่าแทน (ตอนนั้นจูโน่ถึงได้รู้ว่าพี่ชายของเขาน่ากลัวชะมัด! เส้นสายน่ากลัวชะมัด!)

     

    จูโน่ไม่ปฏิเสธว่าบางครั้งก็อยากให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มสดใสแล้วทวงสัญญาหรือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น  แต่ตอนนี้พวกเรากลายเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกันไปแล้ว จูโน่คิดขึ้นได้สองสามวันหลังจากนั้นว่าแจมินไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเขาด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นคงโทษแจมินไม่ได้หากอีกฝ่ายจะลืมเขาไป

     

    “พรุ่งนี้ห้ามลากเรามาด้วยแล้วนะ”

     

    จูโน่หันไปมองเจโน่ที่เดินตาปิดแล้วหัวเราะออกมาผะแผ่ว “เปิดเทอมมาเกือบอาทิตย์แล้วเรายังไม่เคยมาเช้าขนาดนี้กันเลย เปลี่ยนบรรยากาศไง”

     

    “ฮึ เรารู้หรอก จูมาแอบดูใครมากกว่าละมั้ง~”

     

    ถ้าเป็นสมัยปีหนึ่งปีสอง เราจะถึงโรงเรียนกันประมาณเจ็ดโมงครึ่ง บวกลบแล้วก็ไม่เกินสิบนาที แต่เพราะเมื่อวานอินจุนพูดให้เขาฟังว่าชมรมบาสจะซ้อมกันตั้งแต่หกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงครึ่งที่สนามกลางแจ้ง จูโน่เลยฉวยโอกาสทองนี้ไว้อย่างไม่ลังเล

     

    โอกาสที่จะได้มองแจมินอย่างเปิดเผยใช่จะมีบ่อย ๆ ที่ไหน จูโน่นำกระเป๋าวางไว้บนโต๊ะเรียนก่อนจะขยับกายมาที่หน้าต่างซึ่งฉายภาพด้านล่างอย่างชัดเจน จากมุมนี้จะเห็นสนามกลางแจ้งได้ทั้งหมด เรียกว่าหากห้องบีมีเรียนพละเมื่อไหร่จูโน่ก็จะมีอาการยุกยิกมองออกไปที่หน้าต่างเสมอ

     

    “ไม่มีคนเลยแฮะ”

     

    จูโน่หันไปตามเสียงพึมพำของเจโน่ที่เดินเข้ามาในห้องเอ เมื่อครู่แฝดพี่แยกเข้าห้องบีไปก่อนเพื่อเก็บกระเป๋าแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่

     

    “อื้อ สงสัยคนอื่นอยู่โรงอาหารหมด”

     

    เจโน่พยักหน้าหงึกหงักเหมือนไม่ได้สนใจฟังเขาเท่าไหร่ คนที่ตาจะปิดอยู่ร่อมร่อทรุดตัวนั่งที่ของแฝดน้องแล้วฟุบตัวลงกับโต๊ะ ส่งเสียงงัวเงียในลำคออย่างคนที่อยากจะนอนเต็มแก่

     

    “ลองทายซิว่าเมื่อกี้เราเจอใคร”

     

    “แจมิน?” จูโน่หรี่ตามองแฝดพี่อย่างไม่ค่อยเชื่อถือ

     

    “ลองมองไปข้างล่าง” นิ้วเจโน่ชี้จึก ๆ ไปทางหน้าต่าง แต่เจ้าของมือกลับหลับตาพร้อมจะนอนทุกเมื่อ “ถ้าจูทำเป็นอ่านหนังสือข้าง ๆ สนามตอนนี้ก็ยังทันนะ”

     

    ไม่ทันขาดคำ คุณพระอาทิตย์ของคนน้องก็วิ่งเดาะลูกบาสไปที่กลางสนาม จูโน่ยิ้มกว้างพลางหันไปบอกเจโน่ว่าจะขึ้นมาปลุกตอนเจ็ดโมงครึ่งให้เจ้าตัวนอนไปตามสบาย เขาหอบหิ้วหนังสือเรียนที่อ่านค้างไว้เมื่อคืนใส่อ้อมแขนไปที่โต๊ะม้าหินข้างสนามกลางแจ้งทันที

     

    เวลาเช้าขนาดนี้โต๊ะที่วางยาวสิบกว่าตัวก็มีคนมาจับจองกันมากกว่าครึ่งแล้ว การมาของจูโน่เลยไม่ได้โดดเด่นจนเกินไป เขาเลือกนั่งในมุมที่มองได้ถนัดที่สุดและหลบสายตาคนในสนามได้ 


    จูโน่หยิบไฮไลท์ที่พกติดตัวมาด้วยแล้วเน้นข้อความสำคัญลงหนังสือสองสามครั้ง ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าสมาธิเขาโดนเจ้าลูกหนังสีส้มดึงดูดไปจนหมด คนน้องปิดหนังสือลง เปลี่ยนมานั่งเท้าคางมองเกมในสนาม บอกไม่ได้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่ได้เปรียบ เขารู้เพียงว่าแจมินดูสนุกกับมันมากจริง ๆ

     

    แสงอาทิตย์ค่อย ๆ อาบสนามอย่างเชื่องช้า ผมสีน้ำตาลเข้มของแจมินดูสว่างขึ้นกว่าเดิมเมื่ออยู่ภายใต้แสงสว่างจ้าของพระอาทิตย์ ภาพตรงหน้าพาลทำให้จูโน่คิดถึงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วที่เขาได้รอยยิ้มใจดีของแจมินเป็นคำปลอบใจ และได้ผ้าเช็ดหน้าเป็นคำสัญญา

     

    เขาจำความเจ็บปวดที่มือไม่ได้แล้ว จำได้เพียงรอยยิ้มใจดีของคน ๆ นี้

     

    จูโน่ไม่เคยหวังว่าตัวเองจะได้เข้าไปอยู่ในใจของแจมินเลย เรียกว่าไม่กล้าหวังคงถูกมากกว่า เขาไม่ใช่คนที่ทำให้ใครประทับใจไปเกินกว่าเพื่อนได้ เขากลัวว่าหากได้พบกับแจมินอีกครั้ง อาจทำลายความทรงจำที่มีร่วมกันเพียงอย่างเดียวของพวกเรา เพราะฉะนั้น..ก็อย่าดีกว่า อย่าพยายามไปแตะต้องมัน ปล่อยให้มันอยู่แค่ในใจของจูคนเดียวอย่างที่เป็นอยู่


    ที่สำคัญ...ใคร ๆ ก็รู้ว่าจีซองรุ่นน้องปีสองสนิทกับแจมินมากเท่าไหร่ พวกเขาไปกลับพร้อมกันแทบจะเสมอ ๆ แถมยังเป็นผู้จัดการชมรมบาสเกตบอลที่แจมินอยู่อีกด้วย สถานะของแจมินกับจีซองทำให้ลีจูโน่ย้ำกับตัวเองบ่อย ๆ ว่าเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ดีที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้แล้ว


    จูโน่โอบกอดหนังสือ นอนฟุบลงกับท่อนแขน ปลายนิ้วของมือข้างที่ว่างอยู่ไล่ไปตามจังหวะก้าวของแจมินอย่างเชื่องช้ากลางอากาศ มุมปากผุดรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นมา ความรักคงหน้าตาแบบนี้กระมัง แบบที่งี่เง่าและบางครั้งก็ไม่มีเหตุผลอย่างสุดโต่ง ลึก ๆ แล้วจูโน่รู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งขมฝาด แต่แค่เห็นรอยยิ้มของแจมินความรู้สึกเหล่านั้นก็ปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว

     

    เพียงครั้งนี้ แค่ครั้งนี้ และเวลานี้เท่านั้น 

    ขอแอบหวังได้มั้ยนะ...หวังได้มั้ยว่าอาจมีวันหนึ่งที่จะได้รับรอยยิ้มของแจมินอีกครั้ง?

     

     



     

     


    ♡ ♡ ♡




     

     


     รอยยิ้มของเธอแค่ครั้งเดียวทำฉันให้ลืมเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา

    ทำให้ได้รู้ว่าอะไรที่สำคัญกว่า สิ่งใดจะมาทดแทน

    เสียงของเธอแค่ครั้งเดียวทำฉันให้ลอยล่องไปไกลสุดสายตา

    มีอะไรมากกว่าที่เคยได้พบมา เกินกว่าคำบรรยาย

    #ฟิคข้างกัน




    note:

    เคยแอบชอบคนหนึ่ง เราชอบรอยยิ้มเขาแบบ no reason สุดๆ เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตเขาเลย จนวันหนึ่งเราเห็นเขายิ้ม พอรู้ตัวอีกทีเราก็เขินทุกครั้งที่เขายิ้มแล้ว มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ให้เรานะ แต่เรากลับชอบมองไปที่เขาบ่อยๆ ก็เลยพยายามถ่ายทอดความรู้สึกไร้เหตุผลแบบนี้ลงไปในตอนนี้ ความรักหน้าตามันก็จะงี่เง่าๆ แบบนั้นแหละ ไม่ค่อยมีเหตุผลจนเราเองยังอยากตีเลย



    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×