Loki Trickster
ดู Blog ทั้งหมด

สาระดีๆ

เขียนโดย Loki Trickster
ช่วงนี้เข้าทุกวัน เพราะมีอะไรให้สาระเยอะ แถมอันนี้ยังเกี่ยวกับเหนือๆ(ตามแบบฉบับที่เราชอบอีก หุหุ)

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4718490/Y4718490.html

กำเนิดแห่งผืนน้ำ


ณ ดินแดนแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ดินแดนที่ทวยเทพและมนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกัน ผู้คนอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่เรียกว่า "รูน เทอร่า" (Rune Terra) และทวยเทพเจ้า อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ที่เรียกกันว่า
"เกฟเฟเนีย" (Geffenia) เทพเจ้าสามารถปลอมตัวลงมายังโลกมนุษย์และมนุษย์สามารถอธิษฐานวิงวอนต่อพวกเทพได้อย่างอิสระ

บนแผ่นดินเกฟเฟเนีย มีสวนแห่งทวยเทพตั้งตระหง่านอยู่ ใจกลางของสวนนี้มีมหาพฤกษาแห่งชีวิต
"เมลอา" (Melah) ยืนต้นตระหง่านอยู่เคียงข้างกับบ่อน้ำพุแห่งชีวิต สวนรุกขชาติแห่งนี้ ถูกปกครองโดยเทพนามว่า "เฟียร์" (Fear) เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาสวนรุกขชาติ และปกป้องมหาพฤกษาเมลอามิให้ถูกทำลาย


กล่าวถึงมหาพฤกษาเมลอา คือต้นไม้แห่งชีวิตที่คอยให้กำเนิดจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตบนโลก กล่าวคือ เมื่อต้นผลิดอก นั่นหมายถึงการกำเนิดของมนุษย์ในรูน เทอร่า ยามใดที่ดอกของมหาพฤกษาเบ่งบาน เมื่อนั้น ก็หมายถึงการย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว และยามใดที่ดอกของมหาพฤกษาเหี่ยวแห้งลง นั่นหมายความว่ามีสิ่งมีชีวิตในรูน เทอร่า สิ้นสุดบทบาทของตนบ

แต่ทว่า ผลของมหาพฤกษาเมลอานั้นมีสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งคอยกัดกิน ชื่อของพวกมันคือ "ปักษาฟีบรอส" (Phoebross)
ยามใดที่ผลแห่งมหาพฤกษาสุกงอม ฝูงปักษาเหล่านี้จะพากันมาจิกกิน สร้างความหนักใจให้กับเทพเฟียร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากยามเมื่อผลที่ถูกทำลายได้ร่วงลงสู่น้ำพุแห่งชีวิตแล้ว มันจะไม่สามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตใดๆได้อีก เทพเฟียร์จึงได้ประทานพรอย่างหนึ่งแก่พฤกษาเมลอา "หากแม้นว่าผลของเจ้าถูกฟีบรอสกัดกินเมื่อใด ผลที่ถูกจิกกินเล็กน้อยจะกำเนิดมนุษย์ที่มีรูปร่างพิกลพิกาล ผลที่ถูกทำลายมากจะก่อกำเนิดสัตว์อสูรแห่งท้องทะเล และเปลือกของเจ้าที่ร่วงหล่น จะก่อกำเนิดผืนดิน"

...นับแต่นั้นมาแผ่นดินรูน เทอร่า ก็เกิดสมดุลแห่งสิ่งมีชีวิต...…

เนื่องจากเฟเฟเนีย และรูน เทอร่า สามารถติดต่อกันได้อย่างอิสระ ครั้งหนึ่ง เทฟเฟียร์ได้ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มรูปงามลงมายังโลกมนุษย์ และได้พบกับ "เอเลน" (Ellen) ความงดงามของเธอทำให้เทพเจ้าเฟียร์หลงรักในครั้งแรกที่เจอ เทพเจ้าเฟียร์พาเธอขึ้นไปอยู่บนเกฟเฟเนีย แรกๆ เอเลนก็รู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ในวังของเทพเฟียร์ แต่ทว่าไม่นานเธอก็เกิดความรู้สึกเบื่อ เนื่องจากเทพมิสามารถละทิ้งหน้าที่ได้เป็นเวลานาน เทพเฟียร์จึงไม่สามารถมีเวลาให้เธอได้อย่างที่ตั้งใจ เธอจึงแอบหนีลงมายังรูน เทอร่าอีกครั้ง

ทันทีที่เธอแอบมายังโลก เธอก็ได้พบกับ "เจ้าชายเอริค" (Eric)แห่งอาณาจักร "ฟรอนเตร่า"(Frontera) ทั้งสองเกิดชอบพอกันและกัน ในที่สุด เอเลนก็ตามเอริคกลับไปยังอาณาจักรและแต่งงานกัน
3 วันหลังจากที่เอเลนหนีลงมายังโลก เทพเฟียร์กลับมายังวังของตน เขาเรียกหาเอเลนอยู่นานแต่ไม่พบ เทพเฟียร์สงสัยจึงมองลงมายังโลกมนุษย์ เห็นเอเลนอยู่ในพิธีแต่งงานคู่กับเอริค ทำให้เทพเฟียร์โกรธแค้น เขาจึงลงมายังโลกมนุษย์เพื่อขัดขวางพิธีแต่งงาน เทพเฟียร์อ้างสิทธิ์ของเขาในตัวเอเลน แต่นางกลับตัดพ้อต่อว่าที่เทพเฟียร์ไม่มีเวลาให้เธอเพียงพอ และไม่สามารถให้ความสุขกับเธอได้เท่าที่ต้องการ ต่างจากเอริคที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน ย่อมจะให้เธอได้ดีกว่า ทำให้เทพเฟียร์โกรธแค้น หวังจะทำลายเมืองฟรอนเตร่าทิ้ง

แต่ทว่ายามเมื่อเทพเจ้าลงมาในโลกมนุษย์ จะเหลือพลังเทียบเท่ามนุษย์ธรรมดา จึงไม่สามารถต่อกรกับกองกำลังแห่งฟรอนเตร่าได้ อีกทั้งฟรอนเตร่ายังเป็นเมืองที่มีเทพเจ้าประจำเมืองคือ "อารีเอล" (Ariel) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ทำให้เทพเฟียร์ต้องหนีกลับมาตั้งหลักที่วังของตน

ด้วยความโกรธแค้นและความอับอายที่ได้จากเอเลนและเอริค ทำให้เทพเฟียร์คิดจะทำลายอาณาจักร
ฟรอนเตร่าทิ้งเสีย พระองค์ทรงเด็ดผลไม้แห่งชีวิตมาจำนวนหนึ่ง ร่ายคำสาปใส่ลงไปในนั้น และโยนให้ฝูงปักษาฟีบรอสกิน ทันใดนั้นพวกมันก็ต้องคำสาป เปลี่ยนร่างเป็นวิหคอสูรสีดำขนาดมหึมาเป็นจำนวนมาก เทพเฟียร์ยังได้โยนผลไม้ต้องสาปลงไปยังบ่อน้ำพุแห่งชีวิต มันได้ให้กำเนิดอสูรร้ายน่ากลัวเป็นจำนวนมาก
กล่าวถึงเจ้าชายเอริค พระองค์รู้ดีว่าสงครามครั้งใหญ่จะต้องมาถึง พระองค์ได้เกณฑ์ทหารจำนวนมากทั้งในอาณาจักรฟรอนเตร่า และจากบรรดาเมืองขึ้นทั้งหลาย อันประกอบไปด้วยกองเรือรบมหึมา พลทหารเดินเท้า และนักรบรับจ้างมากมายเพื่อเตรียมทำสงครามกับเทพเฟียร์
เมื่อกองทัพอสูรพร้อมแล้ว เทพเฟียร์ได้นำกองทัพอสูรฟีบรอส จำนวนมากลงมายังโลกมนุษย์ มาสมทบกับอสูรทะเลของพระองค์ บุกโจมตีอาณาจักรฟรอนเตร่าทันที กองเรือต่างๆที่เจ้าชายเอริคเรียกระดมพลมาได้ถูกอสูรร้ายแห่งท้องทะเลทำลายจนราบคาบ บรรดาเกาะใหญ่น้อยถูกคลื่นยักษ์ซัดจนหมู่บ้านถูกทำลายจนหมดสิ้น ครั้งนี้ทั้งกองทัพมนุษย์และกองทัพอสูรล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
เจ้าชายเอริคเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จึงอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากเทพอารีเอล ซึ่งเทพอารีเอลก็ตอบคำอธิษฐาน แต่ทว่า… แทนที่เทพอารีเอลจะใช้เหตุผลเข้าเจรจากับเทพเฟียร์ เทพอารีเอลกลับใช้กองทัพ
"เอนเฮไรม์" (Einherime) ซึ่งเป็นกองทัพขนาดย่อมของตัวเทพอารีเอลเองต่อกรกับกองทัพอสูร สงครามกินเวลายาวนาน โลกรูน เทอร่าถูกทำลายไปหลายส่วน ทั้งมนุษย์และอสูร หรือแม้แต่เอนเฮไรม์ก็ตายในสงครามครั้งนี้ไปมิใช่น้อย

ข่าวเรื่องสงครามรู้ไปถึงมหาเทพ "เอลโดรัส" (Eldoras) เมื่อทราบเรื่อง ก็รีบลงมายังรูน เทอร่าทันที เมื่อเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นก็สั่งให้เทพเฟียร์และเทพอารีเอลยุติสงคราม มหาเทพเอลโดรัสสั่งให้นำตัวเทพเฟียร์ไปคุมขังไว้ในใจกลางของมหาสมุทรโอเชียเนีย ที่นั่นเหมือนกับเป็นการประหารไปในตัว เพราะยามใดที่น้ำขึ้นสูง มันจะเกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "แมรีสเบิร์ก" (Marysberg) ดูดกลืนทุกสิ่งให้จมลงสู่ห้วงสมุทร เทพเฟียร์รู้ถึงชะตากรรมของตนเองจึงได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายร่ายคำสาปเพื่อทำลายรูนเทอร่าดังนี้

"ถึงแม้ว่าข้าจะสิ้นชีวิตไป หากแต่คำสาปข้าจะยังยืนยง ยามใดที่ข้าสิ้น ทุกๆวันน็อกซ์ (Nox) ระดับของน้ำในมหาสมุทรจงเพิ่มขึ้นเทียบเท่ากับความสูงของหอคอยเงา (หอคอยที่ใช้สักการะเทพเฟียร์ มีความสูงประมาน 10 เมตร) และมหาพฤกษาเมลอาจงให้กำเนิดแต่อสูรร้ายที่สิงสู่ในห้วงน้ำ คอยทำลายเหล่ามนุษย์ที่โง่เขลาสืบไป"

... จากนั้นเทพเฟียร์ก็ถูกกระแสน้ำแมรีสเบิร์กดูดจมลงสู่มหาสมุทรและตายทันที...

ส่วนเจ้าชายเอริค เมื่อสงครามจบลงก็ออกตามหาตัวเอเลน พระองค์เกณฑ์กองทัพออกหาทั่วทั้งอาณาจักร แต่ทว่า เอเลนรับไม่ได้กับสงครามที่ตัวเองเป็นต้นเหตุได้กระโดดลงทะเลท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรตั้งแต่ช่วงสงคราม สิ่งที่ทหารค้นพบมีเพียงอย่างเดียวคือ รองเท้าที่ทำจากแก้วผลึกอันเป็นของขวัญในวันแต่งงานเท่านั้น เมื่อเจ้าชายเอริคกลับมาถึงเมืองก็พบกับความโกลาหล เมื่อระดับน้ำขึ้นมาสูงเทียบเท่ากำแพงวัง บ้านเมืองกว่าครึ่งต้องจมไปทำให้พระองค์ตัดสินใจใช้กริชสังหารตัวเองตายตามคนรัก
แต่ทว่าคำสาปแช่งยังคงดำเนินต่อไป เทพอารีเอลถูกตัดสินให้ไปช่วยมนุษย์ ซ่อมแซมรูน มิดการ์ด แต่ทว่าเมื่อลงมาถึง กลับพบว่าระดับน้ำทะเลขึ้นสูงมาก อีกทั้งยังถูกโจมตีจากบรรดาสัตว์อสูรเป็นจำนวนมาก เทพอารีเอลจึงตัดสินใจหาสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เทพอารีเอลเดินทางไปเรื่อยๆเพื่อสำรวจดู และพบว่าระดับน้ำทะเลจะขึ้นสูงทุกๆ 7 วัน เทพอารีเอลไม่รอช้า รีบขึ้นมารายงานเทพเอลโดรัสทันที


ทันทีที่เทพเอลโดรัสทราบเรื่อง พระองค์รีบเสด็จลงมายังรูน เทอร่า เพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพบว่าโลกถูกปกคลุมด้วยพื้นน้ำไปเป็นจำนวนมาก และได้เห็นบรรดาสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากที่เข้าทำร้ายผู้คน เทพเอลโดรัสทรงนึกถึงพฤกษาเมลอาได้จึงย้อนกลับไปที่นั่น ทันทีที่เทพเอลโดรัสและคณะเทพมาถึง พระองค์ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ สวนแห่งชีวิตได้รกร้างและกลายเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงฟีบรอสเป็นจำนวนมาก แม้แต่น้ำพุแห่งชีวิตก็เน่าเหม็น พระองค์จึงมีคำสั่งให้เหล่าเทพร่วมกันฟื้นฟูสวนแห่งชีวิต

จากนั้นเทพเอลโดรัสจึงแต่งตั้งให้เทพอารีเอลทำหน้าที่ดูแลสวนนั้น แต่ทว่าผลแห่งคำสาปยังดำเนินต่อไป เทพเอลโดรัสคิดได้ว่า นี่อาจจะเป็นผลมาจากเทพเฟียร์ จึงไปที่พฤกษาเมลอา เด็ดผลไม้แห่งชีวิตมาหนึ่งผล และโยนลงไปในสระน้ำ ทันทีที่ผลไม้แตะต้องผิวน้ำ ในมหาสมุทรก็บังเกิดมังกรทะเลขึ้นหนึ่งตัว เทพเอลโดรัสรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นคำสาปแช่งของเทพเฟียร์ จึงทรงเรียกประชุมเหล่าเทพพร้อมกับกล่าวว่า "มหาสงครามวิปโยคครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แม้ว่าเทพเฟียร์จะตายไปแล้ว แต่คำสาปของเขาแรงกล้ายิ่งนัก พลังของเรามีเหลือไม่มากพอจะแก้คำสาปนี้ บัดนี้เหลือเวลาไม่มากก่อนที่น้ำจะท่วมแผ่นดินโลก เราจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ มาเถิดเทพทั้งหลาย จงลงไปให้พรมนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเราจะปิดทวารเข้าออกระหว่างเกฟเฟเนียและ รูน เทอร่าตลอดไป"

บรรดาเทพเจ้าได้ลงไปยังโลกมนุษย์และสอนวิธีดำเนินชีวิตท่ามกลางมหาสมุทร เทพเอลโดรัสมาที่สวนแห่งชีวิตพร้อมกับกล่าวแก่ต้นเมลอาว่า "เทพเฟียร์เอ๋ย คำสาปของเจ้าสัมฤทธิ์ผลแล้ว ถึงเราจะถอนคำสาปเจ้าไม่ได้ แต่จะทำให้มันเบาลง เพื่อบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ต่อไปนี้ผลที่ดีจะให้กำเนิดมนุษย์ และผลที่ถูกจิกกินจะให้กำเนิดสัตว์ร้ายดังที่เคยเป็นแต่ก่อนมาและระดับน้ำในมหาสมุทร
แม้เราไม่สามารถทำให้หยุดเพิ่มได้ แต่สามารถประวิงเวลาไว้ได้ จากที่เจ้าเคยเพิ่ม ทุกๆ 7 วัน จงเพิ่มทุกๆ 10 วันแทน"
กล่าวเสร็จก็กลับมายังที่ประชุม ก็พบว่ามีเทพองค์หนึ่งมิได้ลงไปยังรูน เทอร่า เทพองค์นั้นคือ เทพแห่งท้องทะเล"กาเลน" (Galen) เทพกาเลนกล่าวว่า "ถึงแม้พระองค์จะประวิงเวลาไว้ได้ แต่ระดับน้ำยังคงเพิ่มต่อไป ข้าพระองค์ขออาสาลงไปยังก้นสมุทรอันเป็นที่ประทับของข้าพระองค์และคอยดื่มกินน้ำมิให้เพิ่มปริมาณมากไปกว่านี้" ซึ่งเทพเอลโดรัสก็ทรงอนุญาติ ทันทีที่เทพกาเลนลงไปแล้ว และบรรดาทวยเทพองค์อื่นๆขึ้มากันครบพระองค์ก็ทรงปิดทวารเชื่อมต่อระหว่างเกฟเฟเนียและรูน เทอร่าเสีย
ตั้งแต่นั้นมารูนเทอร่าก็ถูกปกคลุมด้วยผืนน้ำถึง 9 ส่วน ผู้คนอาศัยอยู่ในผืนน้ำมากกว่าบนผืนดิน ผู้คนเริ่มต้นที่จะใช้ชีวิตใหม่ท่ามกลางผืนน้ำที่ไร้ที่สิ้นสุด ผู้คนบางกลุ่มหวังจะสร้างตำนานของตนเองออกค้นหาดินแดนแห่งสุดท้ายที่เชื่อกันว่าหลงเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่งในท้องทะเลอันไกลโพ้น ตั้งแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างเทพและมนุษย์จึงเหลือเพียงความศรัทธาเท่านั้น….

ณ ที่นี้เองการเดินทางได้เริ่มต้นขึ้น บุรุษหนุ่มที่ต้องการสร้างตำนานของตนเองพร้อมกับการผจญภัยอันกล้าหาญ สู่การค้นหาดินแดนแห่งตำนานที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ใด

หุหุ

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น