ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังแสงแสนฟิคของผึ้ง (Naruto , KNY , Magi, JJK etc.) X Reader

    ลำดับตอนที่ #14 : เปิดคลัง :: The Last Gift

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 343
      17
      5 เม.ย. 62







    คุณเคยไม่ชอบใครซักคนบ้างมั้ย?


    ถ้าจำไม่ผิด...เขามีเพื่อนสมัยเด็กอยู่คนหนึ่งที่สอบจูนินตามเขาเป็นคนแรกตั้งแต่อายุห้าขวบ..

    นิสัยกวนประสาท วันๆ เอาแต่แสร้งยิ้มให้กับพวกผู้ใหญ่เบื้องบนเพื่อให้กลายเป็นที่ชิ้นชอบ...


    “แหม ลูกของอาจารย์นายเนี่ยที่ซนจริงๆเลยนะ..”


    แถมยังตายยากแบบเป็นที่สุด...


    คนๆ คือ..ยัยมนุษย์น่ารำคาญ..นาโอมิ..


    ไม่รู้ว่าถูกหมอผีที่ไหนจุดธูปเรียกกันแน่ จู่ๆ ยัยมนุษย์น่ารำคาญที่น่าจะไปทำภารกิจทั้งวี่ทั้งวันก็ปรากฏตัวมาข้างๆ แถมจงใจมาในจังหวะที่เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ประจำเวลาเดิมข้างต้นไม้ตัวสูงท่ามกลางสวนสาธารณะในยามเย็น แต่ใช้ว่าเขาไม่ได้อ่านจริงๆ หรอก เขาแค่รู้สึกว่าเจ้าเปี๊ยกนั่นทำลายสมาธิเขามาได้พักใหญ่ๆ แล้ว แต่นั่นก็พอจะให้อภัยเพราะเป็นถึงลูกชายของอาจารย์มินาโตะ


     แต่ทว่ายัยคนๆ นี้..เป็นข้อยกเว้นที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไร


    “มาทางไหน กลับไปทางนั้นเลยนะ”

              เขาพูดเสียงชัดด้วยสีหน้าหงุดหงิดก่อนที่จะก้าวขาออกไปห่างๆ ถึงเพื่อนร่วมชั้นเกะนินนั่งโต๊ะข้างๆ กันมาตั้งแต่อยู่สมัยเรียนคนนี้จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนไมโตะ ไก เพราะตอนนี้เพื่อนๆ ทุกคนก็ใกล้สู่วัยของผู้ใหญ่กันแล้ว จึงทำให้เวลาที่จะได้เจอกันยากมากขึ้น 


    แต่ยัยนี่มักจะโผล่มาในช่วงเวลาที่ดีๆ ทั้งนั้น...


    ครั้งแรก..เธอโผล่มาในวันตายของพ่อ 

    ครั้งที่สองคือวันตายของโอบิโตะเพื่อนรักของเขา..


    และเร็วๆ มานี้...



    คือวันตายของโนฮาระ ริน...



    หึ ช่างเรื่องพวกนั้นเถอะ ถึงวันนี้จะไม่มีเหตุร้ายอะไรให้หงุดหงิด แต่ใช่ว่าเขาอยากจะเจอยัยนี่ซักที่ไหน...


    “อะไรกัน ไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายปี แค่ทักก็ไล่เลยเหรอ กลัวหลงเสน่ห์ฉันหรือไง?” สาวเจ้าพูดแกมตลกกับท่าทีเหินห่างที่ไม่เคยเปลี่ยนไปของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ดูมีขอบตาคล้ำเล็กน้อยมองอีกคนที่พยายามขยับตัวหนี แล้วเท้าเอวเรียก "เฮ้ อยู่คุยกันก่อนซิ เกลียดขี้หน้ากันขนาดนั้นเชียว"


    "คิดว่าฉันว่างมากงั้นเหรอ?" เขาถามประชด "แล้วไง คนที่คนชั้นสูงต้องการนักหนา ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ไม่ทราบ"


    "ก็ไม่ต้องเดาให้ยากหรอก.."เสียงเล็กตอบแล้วหัวเราะ "ฉันป่วยน่ะ"


    “โกหกสินะ” 


                  เขาพูดดักอย่างรู้ทัน ถึงเขาจะเป็นคนเรื่อยเปื่อยยังไง แต่เรื่องงานเขาก็จริงจังเสมอ ผิดกับยัยขี้โรคนี่ที่วันไหนไม่สบายนิดหน่อยก็ขอลาหยุดไปซะดื้อๆ ทั้งๆ ที่นี่ไม่ได้เลวร้ายเท่ากับสงครามนินจาครั้งที่สาม แต่ก็ลาหยุดเป็นว่าเล่นจนทุกคนพากันระอาไปหมด ขนาดท่านรุ่นที่สามในตอนนี้ก็แค่เออออห่อหมกส่งๆ คงไม่ต้องพูดหรอกนะว่ายัยนี่กลายเป็นประเด็นให้คนอื่นๆ พากันนินทาเสียๆ หายๆ กันระดับไหน..


    ซึ่งเขาก็แค่เดินผ่านไปได้ยินเท่านั้นล่ะ..ไม่ได้คิดจะยกหยิบมาคิดให้รกสมองหรอก


    เขาไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น..


    ก็แค่ผีที่บทจะมาก็มา..บทจะหายก็หาย..


    “พูดมันก็ง่ายนะซี้ มันก็อยากให้เป็นจริงอยู่หรอก ถ้าไม่มีไอ้กระดาษน่ารำคาญนี่ส่งมาละก็นะ..”


               เจ้าหล่อนยักไหล่สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรนัก ก่อนที่จะหยิบเอกสารที่เหน็บบนมือข้างหนึ่งขึ้นมาโชว์ด้วยอารมณ์ประหนึ่งใบแจ้งหนี้ แล้วเก็บมันเข้าสาบเสื้อดังเดิม ใบหน้าที่ดูอ่อนล้าสบตาเขาราวกับจับผิดเล็กน้อย 


    "..ได้ข่าวว่านาย ฆ่าคนในภารกิจอีกแล้ว"


    "แหม..ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่หมู่บ้านแต่หูตากว้างไม่เปลี่ยน”  


    นินจาหน่วยลับกรอกสายตาไปทางอื่นทันทีที่ได้ยินคำนั้น “แล้วทำไม..มีธุระอะไรกับไอ้ฆาตรกรคนนี้ไม่ทราบ”


    “โอ้ยตาย ด่าแบบนั้นแล้วมันจะสนุกหรือไง--แคก แคก!” 


    ยัยนั่นพูดติดหัวเราะอีกครั้ง มือเล็กหันข้างไปสำลักไอสองสามครั้ง แล้วหันมาพูดสีหน้าจริงจัง  


    "นี่พ่อคุณ ขอพูดอะไรหน่อยเถอะ..อย่างน้อยก็เห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่ากันบ้างซี่ ถ้ายังแบบนี้ต่อไป นายจะ--"


    "งั้นฉันจะพูดทวนความจริงให้คนแบบเธอสมองกระจ่างขึ้น" คนที่ทำเป็นไม่ได้ยินมาได้พักใหญ่พูดแทรกด้วยโทสะ ปิดหนังสือเสียงดัง "ฉันเป็นโจนินก่อนเธอ ฉะนั้นเธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนฉัน อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมามีสิทธิ์พูดอะไรด้วยซ้ำ แล้วเพื่อนเก่า?...ฉันไปนับเธอด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่?"


    "..."


    "ที่ฉันรู้..เธอมันก็แค่คนน่ารำคาญที่ไม่มีใครอยากคบ.."


    คนที่ยืนพิงต้นไม้ฟังคำพูดทิ่มแทงพวกนั้นแล้วถอนหายใจระอา 


    "ฆ่าคนอื่นเป็นผััักเป็นปลายังจะมาดราม่าควีนอีกนะ"


    "ฉันบอกว่า..หุบปาก" คาคาชิขบกรามแน่น ความโมโหพุ่งพล่านที่เหนือการควบคุมของสมองสั่งให้มือเข้าไปกระชากยูกัตตะแพงๆ ของคนน่ารำคาญมาพูดเสียงต่ำ "..ถ้าว่างมายุ่งกับเรื่องชาวบ้านมาก ก็กลับ---"




    “นาโอมิจวังงง~ วันนี้ชุดสวยเชียวนะจ๊ะ~จะย้ายไปข้างนอกทำไมไม่บอกกันล่ะ~"


    "ไม่ต้องไปยุ่งกับหมอนั่นหรอกน่า~อยู่ไปเธอก็ไม่มีความสุขหรอก!! ไหนๆ ก็วันสุดท้ายแล้วนี่นา!~ เดี๋ยวพวกเราจะทำให้เธอมาความสุขเอง!!"



    เสียงเฮฮาของบรรดารุ่นพี่นินจาพวกนั้นทำให้ฮาตาเคะ คาคาชิที่กำลังเดือดดาลในตอนนั้น..หยุดชะงักไปในทันที...


    อะไรนะ...วันสุดท้าย?


    พวกนั้น..พูดเรื่องออะไรกัน?


    “ขอบคุณที่ชวนน้า~แต่หนูมีธุระแล้วล่ะ~”


    นาโอมิในชุดยูกัตตะผู้ดีโบกมือให้พวกรุ่นพี่ตรงหน้าก่อนที่จะมองอีกคนขี้โมโหที่พยายามจะกระชากคอเสื้อของเธอตอนนี้ จู่ๆ ก็ปล่อยเธอแล้วเดินหนีไปไกลเรียบร้อยแล้ว เธอมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าก่อนที่จะคลี่ยิ้มขึ้นอีกครั้ง แล้วรีบเดินปรี่เข้าไปข้างๆ พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่หยิบถุงผ้าขนาดย่อมที่แอบวางไว้ที่พุ่มต้นไม้เล็กๆ 


    คนถูกรบกวนขมวดคิ้วใส่ทันที.. "ไหนบอกว่ามีธุระ.."


    "นี่ไงธุระ" เสียงหวานตอบก่อนที่จะพูดต่อ "อ้อ! เมื่อกี้ยังพูดไม่จบสินะ พอดีว่าฉันจะไปรักษาตัวที่แคว้นคิรินาคุเระ อาจจะไม่ได้มาที่นี่อีกพักใหญ่ๆ เลยล่ะ อย่างต่ำก็คงซักสี่ห้าเดือน..แต่ถ้าอาการหนักกว่าเดิมก็คงไม่น่าจะได้กลับ...เห้อ ดูคำพูดของท่านรุ่นสามซี่ น่าหงุดหงิดชะมัด..”


    “..”คนที่มองคำบ่นพวกนั้น..รักษา..งั้นก็ไม่ใช่ภารกิจงั้นเหรอ?


    หญิงสาวที่มองสิ่งของที่ได้มอบให้แล้วคลี่ยิ้มออกมาเล็กๆ "ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก..แค่จะมาบอกว่า สุขสันต์วันเกิดนะ.."


    คนฟังเงียบไปพักใหญ่...เขากระพริบตาถี่ๆ แล้วมองของบนมือตัวเอง..


    วันนี้ไม่ใช่วันเกิดเขานี่...อีกตั้งสองสามวันแท้ๆ...


    แถม..ยัยตัวดีที่ไม่เคยจะให้ของขวัญที่มีประโยชน์กับเขาซักอย่าง..ทำไมครั้งนี้มันดูแปลก...



    แปลกมากๆ...



    "ท่านนาโอมิครับ.."

                เสียงของคนในชุดเกราะที่ไม่ใช่นินจาในหมู่บ้าน แต่กลับเป็นคนจากวังหลวงเดินตรงเข้ามายังหญิงสาวที่คอยเดินไล่ตามเขาจนถึงตอนนี้ นาโอมิถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ เธอพยักหน้าให้กับคนพวกนั้นก่อนที่จะหันกลับมายังเขาที่ยังคงทำหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามประโยคอะไร..


    เรื่องทั้งหมดที่พูดมาเมื่อกี้...อย่าบอกนะว่า...


    "เอาล่ะ ดูเหมือนฉันจะหมดเวลาแล้วล่ะนะ" ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้านั้นพูดติดเสียดายก่อนที่จะเคลื่อนมาวางบนไหล่ของเขา "พอดีฉันสัญญากับพ่อนายเอาไว้ว่าจะให้ของขวัญนายทุกปี มาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ แต่ปีนี้ขอโทษนะ.."


    "..."


    ทำไมจู่ๆ..ถึงพูดความลับที่เขาไม่อยากรู้...


    “ถ้าทำให้นายรำคาญเหมือนทุกครั้ง ฉันขอโทษนะ” 


    ทำไมคนที่ไม่เคยขอโทษใครจริงๆ จังๆ ซักครั้ง ถึงพูดออกมาอย่างง่ายดาย...ถึงสองครั้ง...


    ทำไม..


              คาคาชิมองแผ่นหลังเล็กที่กำลังเดินออกไปกับบรรดาพวกคนในวัง และเต็มไปด้วยคำถาม ที่ผ่านมาเขากับผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ว่าจะลงเอยได้ดีเลยซักครั้ง เธอเป็นผู้หญิงที่เขาไม่ชอบและไม่อยากจะอยู่ใกล้ด้วยมากที่สุด ในตอนนี้ทำไมถึงกลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง..


    ..เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่แค่..เอาของขวัญวันเกิดมาให้ในวันที่ยังไม่ใช่วันเกิดของเขา...


    หรือว่า..เธอจะไปวันนี้..เป็นไปไม่ได้ เธอคือนาโอมิเชียวนะ...


    เรื่องของผู้หญิงคนนี้ เขาจำรายละเอียดได้มากกว่าใครๆ เพราะเธอเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายในสงคราม รู้จักกันมาตั้งแต่ช่วงหลังๆ ที่เขาเรียนเกะนินอยู่ในโรงเรียนเพราะเป็นลูกศิษย์ของครูคุชินะภรรยาของอาจารย์ของเขาที่ตอนนั้นยังเป็นโฮคาเงะรุ่นที่สี่ ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าเขาตั้งหลายปีแต่กลับสอบจูนินผ่านในรอบหลังซึ่งห่างจากรอบที่เขาสอบได้ภายในสองเดือนต่อมา..แถมยังถูกส่งไปหน่วยลับตามหลังเขาไปติดๆ อีก..


    เรียกได้ว่าถ้าเขาย่างกรายไปที่ไหน..ชื่อของผู้หญิงคนนี้ก็จะปรากฏแทบทุกที่...


    ในหมู่บ้านตอนนี้ คนที่มีความสามารถชนิดที่ยี่สิบปีจะมีนินจาที่โดดเด่นมาครั้งหนึ่ง ก็มีเขาเป็นหนึ่งในนั้น..แต่ถ้าให้พูดถึงฝีมือของนาโอมิแล้ว เธอเคยผ่านสงครามมาก่อนที่จะเรียนเกะนินซะอีก จึงถือว่ามีประสบการณ์ที่หาได้ยากมาก แต่ทว่ามีข้อเสียอย่างเดียวนอกจากมีนิสัยเสียที่แก้ยาก...ที่เขาเพิ่งจะรู้ไม่นานมานี้...


    นั่นคือสุขภาพ...มัน ทรุดโทรมลงเร็วมาก..


    ถึงจะดีใจที่ว่าคงจะไม่ได้เจอมนุษย์นาโอมิมากวนใจอีก..แต่สำหรับเรื่องที่ว่าจะไม่ได้เจออีกเลย..


    เขา...ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกสำหรับเวลาในตอนนั้นอย่างไร...


    โดยเฉพาะการได้รู้ไอ้ความจริงพวกนั้น....



    “อะไรนะ!? ยัยนั่นป่วยอีกแล้ว..คราวนี้ไปที่วังด้วย!”


                ไมโตะ ไกโวยวายเสียงดังเมื่อรู้ข่าวนี้จากเขา ในตอนนี้พวกเขาก็นั่งกันอยู่ที่ร้านดังโงะพร้อมๆ เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ที่รวมตัวมากินของหวานด้วยเพื่อรำลึกความเก่ากันตามประสา แต่ขาดคนๆ หนึ่ง ที่กลายเป็นเพียงคนในบทสนทนาในตอนนี้ และได้เดินทางไปข้างนอกหมู่บ้านแล้ว..


    “สอบโจนินได้เร็วพอๆ กับคาคาชิแท้ๆ พวกผู้ใหญ่นี่คิดอะไรอยู่กันนะ”


    “ฉันว่านาโอมิไม่ได้ป่วยเหมือนทุกครั้งละมั้ง ไดเมียวน่ะง้อเธอตลอดทุกครั้งที่ไปประชุมกับท่านชิคาคุ ก็ดันเกิดมาหน้าตาสวยแถมศีลเสมอกันแบบนั้นล่ะนะ..”อาซึมะออกความเห็นของตัวพลางถอนหายใจอ่อนๆ ก่อนที่จะชำเลืองสายตามองไปยังคาคาชิที่อ่านหนังสือเงียบๆ กับห่อผ้าที่ตัวเองยังไม่ได้เก็บกลับบ้านแล้วอมยิ้มเล็กๆ 


    "ไม่มีคนชวนทะเลาะแบบนี้ เหงาละซิ”


    “เปล่าซักหน่อย.”เจ้าตัวพูดเสียงแผ่วแล้วมองมือเล็กของคุเรไนที่วางบนไหล่ของเขา..นั่นล่ะที่ทำให้เขาสะดุ้ง..


    เพราะนาโอมิ..วางมือบนไหล่ของเขาข้างนี้...


    “ถ้าเทียบกับไกที่เป็นคู่ปรับตลอดกาล...นาโอมิก็คงเป็นคู่กัดตลอดกาลของนายสินะ”เพื่อนสาวพูดอย่างเห็นใจก่อนที่จะขยิบตาให้อาซึมะที่พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ "หลายวันมานี้เห็นยัยนั่นถือห่อผ้านั่นสีหน้าเครียดเชียวนะ คงกลัวว่าจะโดนนายดุละมั้ง.."


    คนที่ทำหน้าเบื่อโลกอยู่แล้ว..เริ่มเบื่อหนักกว่าเดิมไปอีก...


    “ยัยนั่นเนี่ยนะ?.."


    "ฮ่าๆ นี่นายไม่รู้จริงๆ เหรอ ยัยนั่นน่ะขี้กลัวจะตาย! พอทะเลาะกับนายทีไรก็แอบไปร้องไห้ทุกที!"


    "ดูท่าจะไม่รู้นะเนี่ย.." เก็นมะพึมพำ "จริงๆ แล้ว..ยัยนั่นน่ะ กับนายแล้ว---.."


    "แต่นี่ไม่ใช่เวลามาซึมนะสหาย!!" ไมโตะ ไกพูดแทรกกลางโต๊ะเพื่อเรียกบรรยากาศครึกครื้นอีกครั้ง "ท่านหมอหลวงที่นั่นเก่งมากเลยนะ เดี๋ยวก็กลับมาเองละน่า พวกเรามาอวยพรยัยนั่นกันเถอะ!!"




    '..ฉันเข้าใจนะว่านายอาจจะไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่ก็อยากพูดให้เข้าใจก่อน ตอนแรกฉันก็คิดว่าอาการคงจะไม่มีอะไรมากกกว่าเดิมและสงสัยว่าเค้าจะหาข้ออ้างไม่ให้ฉันอู้งานเหมือนทุกครั้งนั่นล่ะ...แต่มันดันไม่ตลกตรงที่พอเห็นเอกสารนั้นเข้า ซึ้งใจชิบเป๋งเลยวุ้ย เอ้อ! ต่อจากนี้ฉันอาศัยอยู่ที่วังนะ หมอหลวงที่นั่นเค้าฝีมือดีมากๆ ฝากบอกตาแก่รุ่นสามด้วยว่าเลิกเเช่งฉันซักทีเถอะ ให้ตาย!'


    หึ...ยังกับมีเสียงยัยนั่นลอดเข้ามาในหัวเลยแฮะ..


    เมื่อเขากลับมายังบ้าน เขาได้เปิดจดหมายที่แนบภายในถุงผ้าบรรจุแล้วสะดุดหัวเราะโง่ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเคลื่อนสายตาไปมองยังกระดาษพับใส่ในขวดโหลแก้วขนาดใหญ่ ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเวลาที่คนบ้านั่นถูกสั่งให้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลถึงไม่ค่อยแอบหนีออกมาแวะเวียนหาเขา..แต่กลับนั่งทำอะไรซักอย่าง...


    ..ที่แท้ก็เอาเวลาไปพับของที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ทั้งนั้น...


    เขาวางมันลงบนหัวเตียงก่อนที่จะมองสิ่งสุดท้าย ที่ถูกวางเอาไว้ในกล่อง...


    หนังสือเล่มหนา..เรื่อง ‘อาดัม และ อีวา’


    “แต่งเสร็จตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย..”


    เขาพึมพำก่อนที่จะนั่งลงบนเตียงนอน แล้วเปิดโคมเพื่อให้ทุกอย่างสว่างขึ้น เขาจำเรื่องนี้ได้..ยัยนั่นเคยเอามาเล่าให้ฟังสมัยยังเรียนอยู่เลย นี่มันจวนจะผ่านมาเกือบสิบกว่าปีแล้ว แถมยังหวงนักหนาบอกว่าจะให้เขาต่อเมื่อตัวเองใกล้ตาย เพราะจะทำทำให้เขาไล่ไปขอลายเซ็นต์ไม่ทัน เป็นเหตุผลงี่เง่าที่เขาคิดว่ามีเอาไว้ฝึกเขียนจดหมายรักหาพวกหนุ่มๆ ตระกูลอุจิวะซะอีก...


    ทุกอย่าง..มันไม่ใช่แบบที่เขาคิดอีกแล้ว..


    เขาคิดและมองภาพด้านหลังที่เป็นประวัติผู้เขียน..


    แรงบัลดาลใจในการเขียน :: รักแรกพบ..และอาจจะเป็นแค่รักข้างเดียวก็ได้ 


    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เพื่อนในทีมของเขาเสียชีวิตไป ช่วงเวลาที่เขาเคว้งอยู่ช่วงนั้น..เขายอมรับว่าช่วงนั้นเขากีดกันคนรอบข้างมาโดยตลอด เพราะความเด็กและความเศร้าที่ทำร้ายเขาจนไม่เหลือชิ้นดี จนบางครั้ง..มันทำร้ายแม้แต่เธอคนนั้น..


    ช้า...เขามันช้าไปหมดทุกอย่าง..


    มันคิดไม่ออกจริงๆ..ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเสียงน่ารำคาญนั่น..


    เมฆวันนี้สวยนะ มัวแต่ก้มแบบนั้นเมฆก็เสียใจหมดซิ อีวาพยายามพูดกล่อมอาดัม ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองคงไม่ได้ทำให้อาดัมสนใจเธอขึ้นมา..เธอจึงพยายามทุกอย่างเพื่ออยู่เคียงข้างอาดัม’


    ‘ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจ ข้าเองก็เสียใจไม่แพ้เจ้าเช่นกัน..หากข้าดูแลผมของข้าให้สวย..อาดัมจะดีใจขึ้นหรือเปล่า..หรือว่าข้า..ต้องทำอะไรเพื่อให้อาดัมได้หายเศร้า..’


    ‘หน้าตาก็ไม่ได้สวยอะไร ยังทำตัวยังกับตัวเองน่าสนใจมากขนาดนั้น..’


    'คิดว่าจะเอาหน้าตาทุเรศนั่น..มาทำให้ฉันหลงเหมือนเจ้าพวกนั้นได้เชียวล่ะ ยัยขี้เหร่'


    ‘เธอไม่มีสิทธิ์มาพูดจาแบบนี้กับฉัน ไปไหนก็ไป.. ’


    อา...คำพูดที่พูดในตอนนั้นนี่...


    เขามองตัวอักษรที่เรียงเป็นแถวตั้งที่เป็นเรื่องราวของเด็กทั้งสองคนในสวนที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา...เมื่อยามที่เขาอ่านลึกลงไปเรื่อยๆ..ความทรงจำที่เคยปิดตายมาหลายครั้งก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาเป็นภาพจากเทปบันทึกที่กำลังเล่นย้อนกลับ..ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน..หากอ่านต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะเป็นจินตนาการของผู้แต่ง...การผจญภัยที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน...และโดดเดี่ยวของอีวา...ความเศร้าของอาดัม...


    พร้อมกับจดหมายที่แนบข้างท้ายเอาไว้.. 


              ‘ที่จริงฉันคิดจะอดทนรอจนถึงวันเกิดของนาย แต่มันดันพังซะงั้น..ใช้ชีวิตวัยยี่สิบให้คุ้มแล้วกันล่ะ อย่าคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวอีก นายมีคนที่รักนายอยู่ข้างๆ เสมอนั่นล่ะ อย่าลืมเรื่องนี้นะ เพราะทำไมนะเหรอ?’


    'เพราะหนึ่งในนั้น คือฉันเอง~เซอพร๊าย~'


    "..เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงเกลียดนัก.." ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบาก่อนหายใจเข้าลึกๆ 



    ไม่รู้ว่าทำไม..เขาคิดว่าตัวเองมันแค่ไอ้โง่คนหนึ่ง...


    ไม่รู้เลย..ว่าทำไม น้ำตามันถึงได้ไหลไปกับประโยคซ้ำซากพวกนั้น..





    “ฉันไปที่วังมานะ...ว่าจะไปทักยัยนั่นซักหน่อย แต่กลับโดนไดเมียวดุให้กลับซะงั้น”

              เป็นเวลาที่ผ่านไปนานเกือบเดือนกว่าๆ  อาซึมะ เพื่อนร่วมชั้นที่ในตอนนี้ได้กลายเป็นถึงสิบสองนินจาองคารักษ์และในตอนนี้ได้กลับมาาเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ณ สถานที่รวมตัวที่เก่า เขาพูดขึ้นแล้วมองเพื่อนๆ ที่ยังคงรอคอยข่าวดีจากวังหลวง..แม้คราวนี้คาคาชิจะไม่เป็นฝ่ายเมินหน้าเดินหนีแล้วมานั่งกินนั่งดื่มกันเงียบๆ ก็ตามทีเถอะ...


    คุเรไนเปรยตาไปมองคาคาชิที่ยังคงนั่งนิ่งแล้วหันกลับมาแฟนหนุ่ม..


    “แล้วคราวนี้..ได้เห็นนาโอมิมั้ย?”


    “เห็นซิ สภาพยัยนั่นแย่สุดๆ เลยละ...หมอหลวงที่นั่นบอกว่าอาการทรุด แบบว่า..ทรุดหนักมาก”


              ร่างสูงพูดด้วยเสียงสงสารคนที่กำลังกล่าวถึง สายตาของเขาหันไปชายผมสีเทาที่นั่งนิ่งๆ อยู่มุมโต๊ะ ที่กำหมัดของตัวเองแน่นทั้งๆ ที่ดวงตายังรักษาระดับของอารมณ์ของตัวเองไว้อยู่หมัดเพราะรู้ตัวว่ากำลังถูกมองอยู่ ก่อนที่จะพูดต่อเสียงเบา "แถมยังบอกต่อว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสามเดือนก็หมดหวังแล้วละ เธอคงไม่ได้ทำงานอีกแล้ว"


    “เธอป่วยมาตลอดก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้” ไกพึมพำด้วยสีหน้าเจ็บใจ


    “มันเป็นโรคอะไรกันแน่ นายพอรู้มั้ย?”เก็นมะถามขึ้นบ้าง 


    “ก็..มันเป็นความลับของทางการนะ ฉันถามได้แค่นี้” 


    อาซึมะตอบก่อนที่จะทำหน้านึกรายละเอียดเมื่อสองวันก่อนให้ชัดๆ 


    “แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เห็นหน้ายัยนั่นหรอกนะ ฉันเห็นครั้งแรกก็ตกใจเลยล่ะ ผมยัยนั่นกลายเป็นสีขาวเกือบหมด..แถมตอนไปฉันจำได้ว่ายัยนั่นกำลังจะเตรียมการรักษาครั้งต่อไปอยู่..แต่ก็ได้ยินเสียงยัยนั่นเถียงกับพวกหมอหลวงเสียงเจื้อยแจ้วเลยละ ฉันดีใจที่เธอไม่ได้ซึมเศร้าไปซะก่อน...เป็นคนที่น่านับถือจริงๆ”


    "เธอเป็นแบบนี้ตลอดนี่นะ.."คุเรไนพึมพำ "จำตอนที่พวกเราแกล้งเธอครั้งแรกได้มั้ย ทั้งๆ ที่พวกเราไม่ชอบเธอเพราะเป็นคนนอก ถึงจะชอบทะเลาะวิวาทกับพวกอันธพาล แต่เธอก็ใจดีกับพวกเราในแบบของเธอ.."


    "ฉันแอบเคยชอบยัยนั่นมาหลายปี..เพราะแบบนั้นนั่นล่ะ" เก็นมะพูดแล้วอมยิ้มเล็กๆ แต่ก็ต้องหุบลงเพราะข่าวร้ายที่ได้ยินในวันนี้ มันไม่เคยเป็นข่าวดีซักครั้ง 


    "สวรรค์บางครั้งก็ไม่ยุติธรรมจริงๆ  แต่ยกเว้นอารมณ์ของหล่อนนี่ล่ะ คนบ้าอะไรอารมณ์ดีได้ทุกสถานการณ์จริงๆ พับผ่าซิ”ไกพูดแล้วมองคู่ปรับตลอดกาลที่นั่งข้างๆ ที่ยังคงนั่งเงียบไม่พูดอะไร “เฮ้ เป็นอะไรของแกวะคาคาชิ นายเองก็อยู่ในรายชื่อของคนเลื่อนขั้นไม่ใช่เหรอ? ควรจะแฮปปี้สิ!”


    “อา..”เขาครางตอบไปส่งๆ แทน...


    “แต่ถ้านายหยุดบ้างก็น่าจะไปเยี่ยมเธอนะ...เธอถามถึงนายตลอดเลย” อาซึมะพูดพลางถอนหายใจเล็กน้อย ในตอนนี้คาคาชิเองมีอำนาจพอจะรู้เรื่องแบบนี้ก่อนเขาอยู่แล้ว เค้าคงจะไปตามสืบมาจากหน่วยแพทย์ว่าโรคประจำตัวของนาโอมิกำเริบหลังจากพักหลังๆ มานี้ หลังจากที่ผ่านสงครามนินจาครั้งที่สองมาอย่างฉิวเฉียด อาการก็ทรุดลงจนน่าใจหายขนาดไหน..


    แต่นาโอมิก็ยังทำตัวเป็นปกติเหมือนทุกอย่างก็เลยไม่มีใครรู้เลย.. 


    ไม่รู้เลยว่านั่นคือครั้งสุดท้าย...


    “ยัยนั่นจะเป็นอะไร..ก็ช่างซิ”เขาพูดเสียงเบาก่อนที่จะลุกขึ้น..แต่กลับถูกไกรั้งแขนของเขาเอาไว้...


    “ฉันรู้นะว่าแกไม่ชอบยัยนั่นตลอด แต่แกก็ไม่ใช่คนโง่ ยัยนั่นมีความหวังจนถึงป่านนี้ได้ก็ใช่ว่าจะเป็นเสมอไปนะเว้ย แกควรจะไปหา ไม่ซิ แกควรไปขอโทษยัยนั่นบ้าง!!”ไกพูดเสียงเข้มก่อนที่จะมองเพื่อนร่างสูงที่กลับมานั่งอีกครั้ง ดวงตาที่ว่างเปล่าดูสั่นระริกเข้าทุกทีที่ได้ยินคำพูดสุดท้าย ทำเอาบรรดาเพื่อนร่วมวงบนโต๊ะถึงกับหันไปมองด้วยสีหน้าที่พูดไม่ออก..


    "ถ้าไปแล้วจะทำให้ทุกอย่างหนักกว่าเดิม.." ชายหนุ่มสะบัดแขนออก "..ขอโทษไปให้มันได้อะไร.."


    “ไม่ต้องบังคับคาคาชิมันหรอกน่า..ปล่อยมันไปเถอะ”อาซึมะพูดเสียงปรามแล้วเท้าแขนมองเพื่อนที่ลุกขึ้นเดินออกไป..ท่ามกลางความเงียบบนโต๊ะสนทนา...


    "ไม่นึกเลยว่าคนที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดที่สุด..จะเป็นหมอนั่น"เก็นมะพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา "ความลับนั่น ไม่จำเป็นต้องบอกก็คงรู้สินะ.."


    "อา..ไม่ต้องหรอก.."คุเรไนพยักหน้า "นี่คงเป็น..สิ่งที่นาโอมิต้องการมาตั้งแต่แรกแล้ว.."




    นี่คงเป็นเวลาร่วมสามเดือนที่นาโอมิมาอยู่ที่วัง..


    เธอลุกขึ้นมาจากเตียงนอนแล้วมองออกไปยังบรรยากาศอันแสนสงบยามเช้า ถึงในวังแห่งนี้จะไม่ได้เงียบเพราะเสียงคนในวังที่เดินเผ่นผ่านไปมา แต่สำหรับเธอแล้วมันก็คงเหงาไม่ต่างอะไรกับทุกๆ วัน เธออยากเจอเพื่อน อยากเจอใครซักคนหนึ่งที่พอที่จะระบายความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเอาออกจากร่างกายได้...


    เธอไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว..จนถึงเวลาสุดท้าย..


    ช่างเรื่องนั้นเถอะ..เขียนจดหมายต่อดีกว่า!


    ร่างเล็กค่อยๆ ขยับมานั่งยังเก้าดี้ไม้ที่ไม่ไกลจากเตียง..มือข้างหนึ่งคว้าม้วนกระดาษขึ้นมาเพื่อเขียนจดหมายต่อ..


    แกรก..


    "หมึกจางแล้ว.."

    เสียงแหบเล็กพึมพำอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์แล้วมองแท่งปากกาบนมือที่เริ่มหักจากการใช้งานที่หนักหน่วงจนเกินไป จดหมายที่ตัวเองกำลังเขียนต่อจากเมื่อครั้งก่อนก็จวนจะจบอยู่แล้ว ถึงมันจะไม่ได้ถูกส่งกลับมาซักฉบับ..การได้เขียนอะไรให้คนๆ นั้นรู้ว่าเธอยังมีความสุขดีอยู่ก็คงจะเป็นสิ่งที่เธอทำได้เพียงแค่เรื่่องเดียวนอกจากนอนรอการรักษาจากท่านหมอหลวง...


    ต้องรออีกกี่วันนะ ถึงจะได้แท่งใหม่แล้วไม่ถูกเจ้าไดเมียวบ้านั่นจับได้...น่าเบื่อชะมัดยาก..


    เธอคิดกับตัวเองก่อนที่จะมองออกไปยังสระน้ำกว้างที่เต็มไปด้วยปลาคาร์ฟสีสวย สะพานสีแดงสดที่มีรูปร่างเอกลักษณ์ และบรรดาเป็ดน้อยๆ ที่กำลังว่ายวนไปมา ภาพชวนสงบแบบนี้ก็ช่วยพอทำให้เธอลืมเรื่องเจ็บปวดที่คุณหมอได้พูดให้เธอทำใจเรื่องอาการของเธอ อาจจะไม่สามารถกลับหมู่บ้านได้อีกเลย แต่นั่นก็ช่างปะไร...


    เธออยากกลับโคโนฮะ...


    อยากเจอ..ผู้ชายที่ชื่อว่าฮาตาเคะ คาคาชิ...




    ผ่านไปสองปี...



    “นาโอมิ มีคนมาหาเจ้าแหนะ..” 


    “ถ้าเป็นกอลิร่าอาซึมะหนูไม่คุยด้วยหรอกนะ"

               เสียงของท่านไดเมียวเดินเข้ามาในตำหนักเล็กๆ ซึ่งอยูใจกลางวังหลวง เรียกหาเจ้าตัวตำหนักที่อยู่ด้านหลังของตำหนัก เจ้าหล่อนหันไปพูดลอดออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด ก่อนที่จะเปิดม่านมู่ลี่ออกมาเล็กน้อย พอรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือนายเหนือหัวของแคว้นคิริงาคะเระ บรรดาคนใช้ที่คอยดูแลเจ้าของตำหนักอยู่ห่างๆ ก็สะดุ้งตัวแล้วรีบเดินเข้าไปพยุงร่างของเธอที่กำลังฝืนร่างกายลุกขึ้นยืนโดยปราศจากความช่วยเหลือทันที..


    ทำเอาท่านไดเมียวที่เห็นสภาพนั้นเค้าอดห่วงไม่ได้..  “เมื่อวานเจ้าก็เดินแทบไม่ได้เลยนะ..อย่าฝืนตัวเองน่า”


    "แค่นี้เอง..ไม่เป็นอะไรหรอก อ๊ะ.."คนที่พยายามเดินมายังที่ห้องรับแจกพูดก่อนที่จะสะดุดเมื่อตัวเองได้ชนกับบางอย่างเข้าจังๆ 


    หมับ..


    แขนแกร่งจากใครซักคนหนึ่งรีบเคลื่อนเข้ามาคว้าร่างของเธอเอาไว้..ก่อนที่จะเรียกชื่อของเธอ...


    “นาโอมิ..”


    เสียงของมัน..ดูเศร้าเหลือเกิน


    ร่างในชุดหน่วยลับเอ่ยเรียกชื่อนั้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา ดวงตาที่ซุกซ่อนในหน้ากากเซรามิกสีขาวซีดมองร่างกายของหญิงสาวตรงหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด..เธอซูบผอมลงไปมาก ผิวพรรณจากที่เคยมีสีอ่อนสวยตอนนี้ซีดขางไม่ต่างอะไรกับกระดาษ รวมไปถึงผมยาวที่เปลี่ยนไปเป็นสีขาว..มันบางลงอย่างน่าใจหาย..


    ยิ่งเห็นแล้วหัวใจมันราวกับถูกบีบอัด จนรู้สึกหายใจไม่ออก..


    มือหนาเอื้อมเข้ามาวางบนไหล่เล็กก่อนที่จะพยุงให้ร่างที่ไม่ต่างจากแก้วที่กำลังร้าวให้นั่งลงบนเก้าอี้แทนที่จะฝืนยืนต่อไป..


    “เสียงแบบนั้น? คุ้นจังแฮะ ใครเหรอ?” ดวงตาสีขุ่นหันไปมองต้นเสียงของลมหายใจถี่ด้วยความประหม่านั้นอยู่ไม่ไกลจากหูของเธอแล้วขมวดคิ้วอย่างสงสัย 


    "..."และท่าทางนั้นทำให้คนที่มองอยู่ใกล้แค่ลมหายใจ..แทบหยุดนิ่ง..


    เธอ..มองไม่เห็นเขาแล้ว...


    “ตาของเธอเริ่มมองไม่เห็นแล้ว ให้เธอสัมผัสหน้าคุณดีกว่านะ”คนใช้คนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าเศร้าก่อนที่จะขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวเพื่อคว้ามือขึ้นมา “ท่านนาโอมิคะ แขกอยู่ตรงหน้าแล้วนะคะ”


    “นี่..ฉันบอกกี่ครั้งว่าอย่าพูดเกินไปไง”เสียงขุ่นพูดแล้วยิ้มขำ “ฉันก็แค่เกือบตาบอดเท่านั้นเอง~”


    จนคนรับใช้ถึงกับปวดหัวกับสีหน้าแบบนั้น "ท่านนาโอมิ..หยุดล้อเล้นซักทีซิคะ!"


    “ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ.." เสียงทุ้มพูดขึ้นก่อนที่จะเคลื่อนหน้ากากสีขาวของตัวเองออก..เขาเอื้อมมือไปยังมือเล็กที่ไม่นิ่มเหมือนเมื่อก่อนมายังใบหน้าของเขา ปล่อยให้นิ้วเล็กเลื่อนเข้ามาสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างไม่คิดรังเกียจอะไรเลยแม้แต่น้อย..ก่อนที่จะยิ้มเล็กๆ "เป็นไง..จำฉันได้หรือเปล่า.."


    ดวงตาสีทองครามจะปรือขึ้นมาอย่างตกใจ “น นาย”


    “งั้นฉันจะปล่อยให้พวกเธอคุยกันหน่อยนะ ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมนาโอมินานมากแล้ว ช่วยอยู่ดูแลเธอซักพักนะจ๊ะ คาคาชิจัง.”


    ท่านไดเมียวที่เห็นว่าธุระของตนเองจบแล้ว เขาเดินหายไปกับบรรดาคนรับใช้ทันที..



    "ฮ เฮ้ ..นายมาได้ยังไง?"

               คนที่ถูกทิ้งเอาไว้ตามลำพังถามร่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจก่อนที่จะมองไปรอบๆ เมื่อเสียงทั้งหมดหายไปแล้ว เหลือเพียงคนตรงหน้าที่เธอไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ภาพมันพร่าไปหมดจนเธอแยกอะไรไม่ออก เธอหรี่ตามองหาอย่างสุดกำลัง..แต่ก็ทำได้แค่ยอมแพ้ 


    “เอาล่ะ อย่าแกล้งคนตาบอดเลยน่า..นายอยู่ที่ไหน?”


    “ฉัน อยู่ทางนี้..”คนที่ยังยืนตรงหน้าไม่ขยับไปไหนพูดแล้วพยายามหายใจเข้าลึกๆ..เมื่อมือเล็กเลื่อนเข้ามาสัมผัสร่างของเขาเพียงครู่หนึ่งแล้วเธอก็ละออกไป..


    เสียงหัวใจของเขาเริ่มเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใบหน้าซีดขาวนั้นคลี่ยิ้มออกมา..


    “ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจังนะ..เสียงนายเปลี่ยนไป แถมยังตัวสูงขึ้นเยอะแน่เลย..”เธอพูดด้วยความตื่นเต้น..แค่ได้ยินเสียงอีกคนเพียงเท่านั้นก็ทำให้เธอรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก.. 


    “อือ..สูงกว่าเดิมยี่สิบสองเซ็น..เพิ่มเป็นดอกเห็ดเลยละ” มุขตลกที่ดูจะพัฒนาขึ้นถูกปล่อยออกมาแล้วหลุบตาลง แม้จะรู้ดีว่าตอนนี้เธอคงไม่เห็นใบหน้าของเขาในตอนนี้แล้ว  นี่มันคงจะผ่านมาสองปีแล้วสินะ เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะกล้าบากหน้ามาที่นี่เลยด้วยซ้ำ กลัวเหลือเกินว่าอีกคนจะอาการทรุดลงเพราะเขา และที่กลัวกว่านั้น..คือทุกๆ อย่างมันกำลังจะหายไป..


    แต่เขา..จะทำอะไรได้บ้าง..ขอโทษไปแล้วอีกคนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเหรอ..

    อย่าโง่นักเลย คาคาชิ...


    “โห ตอนนี้ฉันกลายเป็นยัยแคระแล้วสินะ ร่างกายคนเรานี่น่ากลัวจังแฮะ.." เธอทำหน้าตกใจ ก่อนที่จะวางมือบนไหล่ของตัวเองที่รู้สึกชาๆ ขึ้นมาซะดื้อๆ ทั้งๆ ที่บรรยากาศก็ไม่ได้หนาวอะไร..คงเป็นเพราะเสียงหัวใจของเธอที่ไม่ได้เต้นบ่อยแบบนี้่บ่อยๆ นอกจากตอนที่คุณหมอปล่อยให้เธอเขียนจดหมาย ถึงมันจะนานเอาเรื่องจนร่างกายเธอชาไปหมด แต่สมองของเธอก็จำได้ดีเสมอว่ามันมีความสุขขนาดไหน..


    แหมะ..ไม่ฝันไปจริงๆ ด้วยแฮะ..


    "..."


    “ว่าแต่นายคงไม่ได้มาเสียเที่ยวหรอกใช่มั้ยละ? มีคำสั่งจากตาแก่ฮิวรุเซ็นเหรอ?”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรเธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อนแล้วหันไปยังอากาศหนาวที่เข้ามาจากหน้าต่างกว้าง “นั่นสินะ~สองสามวันก่อนยังอุ่นอยู่เลย คงจะหาคนชงชาถูกปากไม่เจออีกแน่ๆ..อากาศเริ่มหนาวแบบนี้ นี่มันเดือนกันยาแล้วสินะ..เค้าบ่นอะไรใส่นายหรือเปล่า?”


    "ฉัน..มาทำธุระน่ะ"เขาพูดแล้วหลุบตาลง “ท่านรุ่นสาม..ก็เลยให้มาแบบเงียบๆ.."


    คนที่ได้ยินประโยคนั้นขมวดคิ้ว "แน่ใจนะว่านั่นคือธุระ?"


    "ใช่.." เขาพยักหน้า มือหนาที่ถือกล่องบางอย่างออกมาจากด้านหลังสั่นเพราะอาการประหม่าก่อนที่จะเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น  "เพราะวันนี้..เป็นวันที่วิเศษมาก"


    "..."


    "..วันเกิดของเธอ.."


    ร่างเล็กที่ยืนนิ่งอยู่นั้นเบิกตากว้างอีกครั้ง ก่อนที่จะหัวเราะขำ “อ้าว จริงเหรอ?..”


    “นี่เธอ..ไม่เคยดูปฏิธินบ้างเลยหรือไง..”เขาถามเสียหงุดหงิด...แต่มันก็จริง เธอตาบอดไปแล้ว..


    พูดอะไรของเรากันนะ...


    “อันที่จริง ก็ฉันชอบนับแค่วันเกิดนายนี่นะ..”


    “…”


    "เหอะ..แล้วทีนายล่ะ ให้ฉันเดานะ นายใส่ชุดหน่วยลับมาใช่มั้ย? ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้วว่าเลิกซักที! เจ้าแก่ดันโซนั่นตามเจื๋อนนายไม่เลิกแน่! แถมในวังนี่อีก..มันไม่ใช่ร้านเช่าหนังสือโป๊ที่จะเข้ามาง่ายๆ นะ ไอ้บ้าเอ้ย"


    คนตัวเล็กกว่าพูดอย่างหงุดหงิดแล้วหยิกแก้มของเขา..แต่ถึงจะเป็นแค่การวางมือลงบนแก้มตามประสาคนธรรมดาก็ตาม แรงตอนนี้ของเธอน้อยยิ่งกว่าเด็กเสียอีก..


    "..."คนที่ถูกโวยวายเสียเองเงียบไม่ตอบอะไร เขายังปล่อยให้เธอทำโทษเขาเงียบๆ แบบไม่ขัดขืนอะไร


    นาโอมิถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้ง "แล้ว..มาทำอะไรที่นี่กันแน่.."


    “ฉัน..ไม่รู้ว่าเธออยากได้อะไร ก็เลย..”เขาพูดเสียเบา ความอัดอั้นเปลี่ยนคำพูดของเขาให้กลายเป็นแค่เสียงลมเปล่าๆ จนกลืนคำพูดที่เตรียมมาระหว่างเดินทางมาที่นี่จนเกือบหมด...ไม่สิ..มันหายไปตั้งแต่เขาเห็นสภาพของอีกคนที่มันเป็นมากกว่าที่อาซึมะพูด...


            มือเล็กที่เย็นเฉียบตรงหน้าที่เคลื่อนเข้ามาจับใบหน้าของเขา ในเวลาตอนนี้เขายังไม่สามารถรับสภาพของอีกคนในตอนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงคนนี้คือผู้หญิงคนเดียวกับที่เขาไม่กล้าสู้หน้ามาตลอดสองปีจริงๆ งั้นเหรอ เธอบอบบางและอ่อนแอมาก เห็นแค่นี้...หัวใจแทบจะร่วงลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว...


    ทำไมเธอถึงไม่พูดเรื่องนี้กับเขาเลย..


    ทำไม..เธอถึงไม่ยอมไปรักษา ทำไมถึงยังดึงดันจนถึงตอนนี้...


    ยัยคนดื้อ..


    คนดื้อๆ แบบนี้...กำลังจะ...จากเขาไป จริงๆเหรอ..


    “อืม รู้สึกว่าจะไม่มีนะ..ช่วงนี้คิดอะไรไม่ค่อยออกซะด้วย” เจ้าของวันเกิดที่เพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเองยักไหล่ก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ ราวกับได้ยินเรื่องผิดหูเข้าเมื่อครู่ “น่าแปลกจังนะ นายไม่ค่อยชอบนิสัยเอาแต่ใจของฉันเลยนี่...ถามแบบนี้ชวนขนหัวลุกหมดแล้ว บรื้อ..”


    “อย่าเรื่องมากได้ไหม..แค่พูดมา..”เขาพูดเสียงเข้มเหมือนกับที่ต้องการทำเหมือนปกติ แต่ตอนนี้มันกล้าแย่ไปหมด..


    ใบหน้าของเธอยังคงยิ้ม..แม้ว่าเขาจะพูดอะไร..


    ยัยโง่..จะทำให้เขารู้สึกผิดไปถึงไหน...


    “ทุกๆ วันที่นี่มันก็น่าเบื่อนั่นละ...แต่มันจะทำอะไรได้ นายจะให้ฉันมาเครียดทุกวันงั้นเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันลงโลงไปก่อนที่จะใครจะรู้ตัวซะอีกละมั้ง”เธอถอนหายใจก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปแตะหัวไหล่โล่งๆ ของอีกคน “ต่อให้ใส่ชุดหน่วยลับมาคนอื่นก็ยังจำนายได้ กลับไปซะ มันไม่ดีต่อหมู่บ้านนะ ฉันกลายเป็นคนของไดเมียวแล้ว.."


    ร่างสูงสะดุ้งตัวก่อนที่จะหลุบตาลง "..ตอนเธอโดนฉันไล่ มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ.."


    "คาคาชิ..นี่นายไม่เคยคิดจะฟังฉันเลยใช่-.."


    หมับ..

            คนที่พยายามอธิบายสถานะในปัจจุบันเงียบลงชะงักเมื่อร่างที่ยังคงอยู่ตรงหน้าเคลื่อนแขนเข้ามากอดเธอ..ถึงมันจะไม่ใช่กอดที่แนบแน่นมากนัก แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกถึงเสียงหัวใจของเขาที่เต้นถี่เสียงดัง..


    มันเป็นภาพที่นาโอมิมักจะเห็นแค่ในฝัน..ทำได้แค่เก็บมันไว้ในส่วนลึกและไม่เคยคาดหวังที่จะได้รับ..


    ฝัน..ต้องเป็นฝันแน่ๆ...


    "ทำไมถึงไม่บอกฉัน.." เสียงทุ้มเล็กๆ พูดข้างหูเธอ..ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสะอื้น.. “ทำไม..”


    ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใครเลยซักคน...


    "คาคาชิ..เพื่อหมู่บ้าน ปล่อยฉัน..ไดเมียวได้ฆ่านายแน่ๆ..”คนที่ไม่มีแรงขัดขืนพูดเตือนเสียงเบา 


    "นั่นซิ.."เสียงอุดอู้ในจมูกพูดเสียงเบา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะติดตลก "ถ้าหมอนั่นรู้ว่าฉันเป็นต้นเหตุ ไอ้แก่นั่นก็คงจะฆ่าฉันไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้วละมั้ง.."


    "..."คนป่วยที่ได้ยินคำพูดนั้นถอนหายใจออกมา “นี่ ฉันจวนจะไม่มีแรงมาเถียงนายแล้วนะ เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่บอกนายน่ะ..เลิกไอ้ความคิดงี่เง่ากับนิสัยบ้าๆ แบบนี้ อ้อ..นายถามฉันเองนี่ว่าอยากได้อะไรไม่ใช่เหรอ"


    "..."คนที่มาด้วยธุระนี้สะดุ้งตัวเล็กน้อย "..มันก็ใช่"


    "งั้น..ฉันขอให้นายลืมเรื่องของฉันทั้งหมดแล้วกลับหมู่บ้านไปซะ


    "ไม่" เขาปฏิิเสธคำขอนั้นแทบจะทันที "ไล่ไปตายยังง่ายกว่านะ..ยัยบ้า"


    ..แต่นั่นทำให้คนพูดถึงกับไปไม่ถูก...


    “อ อะไรของนายเนี่ย คนสวยๆ แบบฉันอยากให้นายมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขเชียวนะ หัดซาบซึ้งบ้างซิ.." เธอยิ้มแหยอย่างจนปัญญา แล้วหายใจเข้าลึกๆ "ฉันรู้ว่าสำหรับนายมันอาจจะงี่เง่า แต่บางที มันอาจจะเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายในชีวิตก็ได้ ได้จากนายก็คงจะดี.."


    "..."คาคาชิที่มองคำพูดนั้นแต่กำหมัดแน่น..เขามองกล่องไม้บนมือของตัวเองอย่างกดดัน..


    ...พูดไปซิ แกจะมัวรออะไรอยู่...


    “ว่ากันตามตรง การได้เจอนายอีกครั้ง...ก็พอใจแล้วล่ะ..”


    พูดไปซิ...ไอ้ขี้ขลาด...แกจะรอให้เธอจะไม่อยู่ให้แกพูดแล้วหรือไง..


    “นาโอมิ..ฉัน-”


    ตุ๊บ..

    มือเล็กที่วางบนไหล่ของเขานั้นไร้เรี่ยวแรงลงไปพร้อมๆ กับกายเล็กที่หล่นทับกายของเขาไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตาไร้ชีวิต..ใบหน้าของที่ไร้แม้แต่สตินั้นเย็นเชียบพร้อมกับลมหายที่หยุดลง..ชายหนุ่มที่ได้แต่มองภาพนั้น ไม่ขยับไปไหน..กล่องไม้ขนาดย่อมที่อยู่บนมือร่วงลงกับพื้นจนบรรดาซองกระดาษด้านในที่ถูกเรียบเรียงอย่างบรรจงเอาไว้กระจายออกมาเสียหมด...


    ...ไม่...


    คนใช้ที่คอยอยู่ด้านนอกเข้ามายังด้านในก่อนที่จะทำหน้าตกใจ


    “ท่านนาโอมิหมดสติอีกแล้วค่ะ!! ท่านหมอหลวงคะ!!”


              จดหมายที่ถูกเขียนจ่าหน้าถึงวังหลวง ทั้งหมดถูกฝ่าเท้าของบรรดาคนใช้ในวังเหยียบย่ำเพราะต้องการที่จะคว้าร่างของเจ้าของตำหนักกลับไปยังห้องนอนเพื่อรอหมอหลวงตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่ง..ร่างสูงมองซองกระดาษที่บิดเบี้ยวพวกนั้นแล้วก้มลงไปเก็บ..ทั้งๆ ที่เขาคิดว่ามันคือทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้...


    จดหมาย..ที่เขาเขียนครั้งแรก และครั้งสุดท้าย..

    เขาตัดสินใจทำ เพราะคิดว่าเธออาจจะยิ้มเพราะมันซักครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้..เธอเสียการมองเห็น.

    จึงทำให้เขารู้ว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดสิ้นดี...


    ...เธอจำครั้งแรกที่เราเจอหน้ากันได้ไหม ยิ้มของเธอสวยมาก มากจนฉันโดนเพื่อนล้อเลยล่ะ พอผมเธอยาวขึ้นมันเป็นตัวปัญหามากนะ..เพราะมันทำให้เก็นมะคิดแบบนั้น ทั้งๆ ที่ควรจะมีแค่ฉัน ฉันยังเด็ก..เลยคิดโกรธทั้งๆ แบบนั้น.

    ...ที่วังหลวง..มีคนทำโง่ๆ เหมือนที่ฉันทำไหม..ฉันจะจัดการพวกนั้นแน่..

    ...ขอบคุณสำหรับเรื่องหลายๆ เรื่องที่คอยตักเตือนฉันมาตลอด เธอให้ฉันมามากพอแล้ว..

    ...อย่าตกใจที่ฉันส่งมาล่ะ..ขอให้ฉันได้พูดความจริงกับเธออีกสักนิด..

    ...ตอนนี้..ความรู้สึกของฉันมันเปลี่ยนไปแล้ว..

    ...ฉันจะรีบไปหาเธอ แล้วถ้าถึงตอนนั้น....


    ...เธอช่วยรับความรู้สึกของไอ้โง่อย่างฉัน..เอาไว้จะได้มั้ย..



    'มาช้า..อีกแล้วสินะ'


    ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง..ที่ทำได้แค่เพียงมองเงาร่างๆ นั้นที่ค่อยๆ เลือนหายจากไป


    กับ ของขวัญสุดท้ายที่ไม่อาจจะส่งไปถึง..





    เพิ่มเติม :: ที่จริงเรื่องนี้ มีอีสเตอร์เอ๊ก ที่ ความลับของนาโอมิ ค่ะ


                    อันที่จริง การเขียนตอนพิเศษในนี้มันมีจุดบอดที่ว่า ผึ้งไม่ได้ย้อนดีตอะไร แถมยังเน้นความรู้สึกและเหตุการณ์ตรงหน้า จนมันกลบปมเล็กๆ ที่แอบสอดใส่ไว้ (พลาดเองค่ะ ;_;) ผึ้งพยายามแบ่งเวลาเพื่อพัฒนาบทบรรยายและเข้าใจอารมณ์ของตัวละครอยู่ ไม่ใช่แค่นางเอกนะคะ อารมณ์ความรู้สึกของทุกตัวละครในอนิเมะด้วย แรงบัลดาลใจของเรื่องนี้ เอามาจากรักแรกของผึ้งค่ะ ซึ่งมันจะดูงงๆ หน่อย..5555


                     ในส่วนของเรื่องหลักผึ้งเองก็มัวแต่เน้นเนื้อเรื่องจนลืมอารมณ์ของตัวละครไปในหลายจุด ตอนนี้กำลังตามแก้อย่างเงียบๆ ส่วนพล็อทเขียนจบแล้วค่ะ..ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะอำนวยมากแค่ไหน..((T_T))


                   กลับเข้าสู่เจ้าไข่อีสเตอร์ ในเรื่องนี้ดีกว่า..ผึ้งว่าน้อยคนคงจะอยากรู้..


                   ...ความลับของนาโอมิ... ในฟิคสั้นเรื่องนี้จะไม่ได้พูดถึงอะไร แค่เกริ่นๆ ไว้เท่านั้น...เราจะรู้แค่ว่านาโอมิต้องมาทำงานหนักให้กับคนใหญ่คนโตในแคว้น และพวกผู้ใหญ่ระดับสูงๆ ในหมู่บ้านจนแทบจะเจอกับพระเอกแค่ปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น สาเหตุเป็นเพราะว่า ในความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ไขคดีของเขี้ยวสีขาว ที่ปฏิบัติภารกิจล้มเหลวเมื่อหลายสิบปีก่อนด้วยตัวเองค่ะ เอ๊ สงสัยแล้วละซิ..ในตัวเรื่องหลัก(อนิเมะ) ก็ไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุในครั้งนั้นด้วย..เอาเป็นว่าผึ้งจะไม่อธิบายไปมากกว่านี้ แต่จะใส่มันไปในส่วนของเรื่องหลักดีกว่า...


                  ขอบคุณสำหรับนักอ่านน่ารักทุกคนที่ให้กำลังใจผึ้งนะคะ ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่..สัญญาว่าจะต่อเรื่องหลักแน่นอน ตอนนี้ผึ้งขอตัวเรียนก่อนนะคะ งื้อ T^T



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×