ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    No Limit คู่หูต่างขั่ว รั่วกำลังสอง

    ลำดับตอนที่ #23 : บทที่เจ็ด คนที่สำคัญและคนที่จำเป็น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 298
      0
      30 ส.ค. 56


     

    บทที่เจ็ด

    คนที่สำคัญและคนที่จำเป็น

                    อย่างน้อยนี่ก็เป็นเวลาไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ที่ร่างของหัวหน้าไม่มาปรากฎตรงหน้าให้เขาเห็น เป็นอาทิตย์แล้วที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดีขนาดไหนบ้าง ใจได้เพียงแค่เป็นห่วงและภาวนาให้คนที่กำลังไปตามร่างนั้นกลับมาทำสำเร็จ จัสตินถอนหายใจยาวจนคนด้านข้างหันมองอีกครั้ง ฝ่ามืออุ่นๆแตะที่หน้าผากเบาๆ

    “ป่วย?”

    “ใครเขาสั่งเขาสอนว่าถอนหายใจแปลว่าป่วย เดฟ?”

                    เจ้าของชื่อเสรนัยน์ตามองด้านบนอย่างครุ่นคิด เท่าที่จำความได้ทั้งตอนก่อนตายและหลังจากตายแล้วก็ไม่ได้มีใครสอนเขานี่ เขาเป็นแบบนี้มาแต่แรกอยู่แล้ว แต่เหมือนทุกอย่างมันจะแสดงออกมาทางสีหน้ามึนๆของเขาหรือคนข้างๆมันประสาทสัมผัสดีไม่รู้จึงได้ชิงตัดสินใจถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะตอบ  จัสตินลุกขึ้นยืนพลางส่ายหัวเบาๆก่อนจะเดินออกมาจากโต๊ะกลางร้านอาหารในตัวเมืองวิญญาณ

    “อลาวน่ะไม่เป็นไรหรอก เชื่อสิ”

                    เสียงที่ติดมึนๆอยู่ตลอดเวลาบอกกลับมาด้วยความเรียบเฉยแต่ก็สร้างรอยยิ้มให้คนฟังไม่น้อย บางครั้งการแกล้งทำเป็นไม่รู้นั่นเพื่อให้คนอื่นได้สบายใจหรือเปล่า แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้คิดอะไรแต่กลับคิดไปก่อนล่วงหน้า แบบนั้นน่ะมันคือคนที่นั่งหมุนรูบิคมั่วๆอยู่ข้างหลังเขาหรือเปล่า? จัสตินได้แต่ยิ้มรับกับตนเองก่อนจะเดินไปจัดการหน้าที่ตัวเองให้เสร็จเผื่ออะไรหลายๆอย่าง

     

                    เดฟมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยรอยยิ้มบางๆที่นานทีปีหนจะปรากฎขึ้นบนใบหน้าเขา เขาเข้าใจดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยต้องบอกว่าเขารู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก รู้ตั้งแต่เห็นอลาวมีอาการแบบนั้นเพราะในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่เขาเป็นถึงลูกขุนนางไม่แปลกเท่าไหร่ที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น แน่นอนสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็ด้วย เขาศึกษามาหมดทั้งเรื่องของบลังซ์และนัวร์ เรื่องราวการพบกันของทั้งคู่ที่ถูกบันทึกเอาไว้ทั้งในบันทึกประจำวันที่ทั้งคู่เขียน รวมทั้งเรื่องการวิ่งตามบลังซ์ของนัวร์

    “ไม่แน่ถ้าเกิดบลังซ์เกิดใหม่เขาอาจจะต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามนัวร์ก็ได้นะขอรับอาจารย์”

                    เขาในวัยเด็กเอ่ยปากบอกกับผู้สอน ชายหนุ่มเพียงเผยยิ้มออกเบาๆบนใบหน้าเรียบเนียน

    “มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ทั้งคู่ได้ใช้ชื่อบลังซ์และนัวร์ครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ การไล่ตามนัวร์ของบลังซ์น่ะ”

                    รูบิคถูกวางลงเบาๆ เดฟเข้าใจในทันทีว่าที่อาจารย์พูดหมายถึงการสลายไปของนัวร์ เขาได้รับรู้ถึงสัญญาที่ว่าที่เจ้าสวรรค์และว่าที่เจ้านรกสัญญากับทั้งคู่ไว้เรื่องทำให้ทั้งคู่เป็นลูกหลานของตนและเมื่อเขาได้เจออลาวดี้เขายิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเป็นนัวร์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ทั้งคู่ให้ความรู้สึกเหมือนกันตรงที่ไม่ต้องเอ่ยอะไรก็ทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด เขาไม่เคยพบนัวร์แต่ในการตามอ่านในหนังสือกว่าพันเล่มเขาแน่ใจว่านัวร์เป็นแบบนั้น

                    ยมทูตหน้ามึนเริ่มจับตามองการไล่ตามนัวร์ของบลังซ์ในร่างของอลาวดี้และฟราน เขาเฝ้ามองทุกเหตุการณ์อย่างอยากรู้ ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานมากพอจะยืนยันแต่เขากลับมั่นใจว่ายังไงบลังซ์และนัวร์คือทั้งคู่เป็นแน่ และหากความรู้สึกเขาไม่ผิดพลาดเขาคิดว่าการไล่ตามคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ แล้วเขาก็คิดถูกอลาวดี้สลายไปอีกหนท่ามกลางสายตานับสิบคู่รวมถึงเขา ยอมรับว่าใจหายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อคนที่จะทำได้มีแต่ฟรานเท่านั้น คงต้องปล่อยให้เจ้ากรรมนายเวรเขาเล่นกันไป เดฟคิดแบบยิ้มๆ

    “หายากแหะเดฟยิ้มเนี่ย”

    “นั่นสิยากแหะ”

                    สองเสียงที่คุนหูดังขึ้นข้างๆ เดฟที่สติไม่อยู่กับตัวอยู่แล้วเลยตกใจหงายหลังตกจากเก้าอี้เหล็กลายสวยที่นั่งอยู่ ร่างนั้นค้างขาเอาไว้บนเก้าอี้โดยไม่คิดจะเอาลงหรือคิดจะลุกขึ้นเลยด้วยซ้ำเพราะตอนนี้เขากำลังมึนจากการที่หัวกระแทกพื้นอย่างมาก

    “ขอโทษ!!”สองเสียงประสานกันก่อนจะช่วยกันพยุงตัวยมทูตหน้ามึนผู้มึนหนักไปเข้าไปอีก

    “ปกติเดฟไม่เคยเห็นจะเหม่อหนักนี่”ซัมวันว่าเสียงอ่อน

    “นั้นสิ เป็นอะไรหรือเปล่า?”ชิลลี่เสริมอย่างนึกเป็นห่วงอย่างน้อยเพื่อร่วมงานเกือบสิบสองปีของพวกเขาก็ไม่เคยเหม่อจนไม่รู้สึกตัว ถึงหน้าจะชอบมึนๆแต่เจ้าตัวก็รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา

    “เปล่า”เดฟตอบสั้นๆพลางปัดเนื้อปัดตัว

    “หรือจะห่วงอลาว?”

    “ห่วงอลาวใช่ป่ะ?”

                    เดฟมองหน้าคนถามทั้งสองคนที่ดูเป็นห่วงเขา ชิลลี่กับซันที่ร้องไห้แทบตายหลังจากออกจากห้องนั้น ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรือกรอกหูเดฟก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดีก็ในเมื่อมันคือความรู้สึกเดียวกัน เดฟวางมือลงบนหัวทั้งคู่เบาๆ

    “ใครบ้างที่จะไม่ห่วง”เสียงเรียบฟังดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

    “เดฟ...”

                    สองเสียงร้องพร้อมกันก่อนจะถลาเข้ากอดร่างสูงจนล้มหงายหลัง ใบหน้าชิดกับอกยมทูตผมส้มแถมยังนั่งทับอยู่บนตัวอีก มันหนักนะเนี่ยกับร่างผู้ชายสองร่างน่ะ เดฟได้เพียงส่ายหัวเบาๆพลางแตะที่หัวสีประหลาดทั้งสองเสียงร้องไห้พอมีรอดออกมาให้ได้ยินบ้างเป็นระยะๆจะมีก็แต่มือที่กำผ้าคลุมยมทูตของเขาจนยับนี่แหละ

    “อลาวดี้น่ะยังไงก็ปลอดภัย ไว้ใจในตัวท่านฟรานเถอะน่า”

                    ไม่บ่อยนักที่เขาจะพูดสิ่งที่ขัดกับบุคลิกของเขา ครั้งนี้ทั้งสองคนที่ร้องไห้อยู่คงไม่ทันสังเกตเห็นหรอกนะ ซัมวันกับชิลลี่สูดจมูกเสียงดังอย่างไม่อายใครก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นพลางดึงร่างของเดฟขึ้นเช่นกัน

    “ขอโทษนะ”

    “ไม่เป็นไร...อย่าทำแบบนี้ให้อลาวรู้พอ”

                    ความหมายคือถ้าอลาวรู้เขาจะเป็นห่วงเอา สองคู่หูคู่เพี้ยนเข้าใจดีและรู้ว่าถึงตัวเองจะทำนิสัยเด็กแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาจากใจจริงสักครั้ง หลายครั้งที่แกล้งร้องไห้เรียกความสนใจแต่ครั้งนี้ไม่ใช่...แต่ก็อยากเรียกความสนใจอยู่หรอก เผื่อทำแล้วอลาวสนใจจะกลับมา สองหน่อหัวแปลกคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะขอตัวเดินออกไปนอกร้านเพื่อไปเดินเล่นให้ผ่อนคลายลง

                    เดฟกลับมานั่งเพียงลำพังอีกหน ในนาทีที่ทั้งอลาวดี้และซีโร่ไม่อยู่ คนที่ว่างพอและสนใจพอจะปลอบสองคนนั้นได้ก็คงเป็นเขา อาจจะไม่ปล่อยนักที่ทั้งสองคนจะงอแงในเวลาที่อลาวและซีโร่ไม่อยู่พร้อมกัน แต่ทุกครั้งที่ไม่บ่อยนั่นหน้าที่ปลอบก็ตกเป็นของเขา ยังไงคนอย่างสตาร์คงไม่คิดจะปลอบใจใครเขาหรอก นั่นแหละที่เดฟแสนมึนคิดได้

    “นินทราในใจเหรอไอ้หัวส้ม?”

    “ได้ยินแปลว่าไม่นินทรา”

                    คำตอบฟังเผินๆเหมือนจะคนละเรื่องแต่ความจริงมันคือเรื่องเดียวกัน สมายด์ที่เดินตามสตาร์มาด้วยได้แต่หัวเราะคิกๆอยู่ข้างคนผมสีเขียวทะเลที่กำลังอ้าปากพูดไม่ออกเพราะไม่คิดว่าเดฟจะสวนกลับมาเร็วขนาดนี้ ร่างสูงสองร่างย่อนก้นลงที่เก้าอี้เหล็กดัดสีขาวสองตัวที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้แต่แรก พวกนี้ว่างกันนักหรือไง?เดฟคิด การว่างงานมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาแต่ยมทูตห้าคนรวมสองคนด้านหน้านี่ไม่ใช่

    “เราแค่มาผ่อนคลายน่าเดฟ ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยแบบนั้นหรอก”สมายด์ตอบ

    “ก็ตามที่เจ้านี่บอกนั่นแหละ ไม่มีคนคอยมากวนใจให้เนียนพักก็เลยต้องอู้เองทั้งคู่”

                    สตาร์เสริม ดวงแววตาที่หม่นแสงลงไปเล็กน้อย จะกี่คนกี่คนก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนกันหมดสินะ เดฟถอนหายใจยาวอย่าไม่รู้ตัวเป็นเหตุให้ผู้มาใหม่ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่กบวกช่วยกันคลำหัวคลำตัวยมทูตผมส้มอย่างเอาจริงเอาจัง เดฟทำได้เพียงยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างยอมให้ทั้งสองยมทูตแตะต้องได้ตามใจชอบเพราะไม่รู้ว่าสองหน่อนี้คิดบ้าอะไรอยู่

    “เจ้าไม่ได้ป่วยอะไรใช่ไหม?”สตาร์ถามเสียงตระหนก

    “ใช่ ถ้าเป็นอะไรล่ะก็ให้สตาร์รักษาให้ก็ได้นะ”สมายด์เสริมอย่างจริงจังด้วยรอยยิ้มเครียด

    “ข้า? ข้าเป็นอะไร?”

    “ก็เจ้าถอนหายใจ!”สองเสียงตอบแทบจะพร้อมๆกันแถมยังจริงจังมากเสียด้วย

                    ถอนหายใจ...แปลว่าไม่สบายจริงๆด้วย เขาไม่ได้เข้าใจผิดเสียหน่อยแล้วทำไมจัสตินถึงได้บ่นเขาแบบนั้นเล่า? ก็เข้าใจถูกแล้วนี่มีอะไรที่มันทำให้คุณยมทูตสายข่าวต้องทำหน้าปลงๆบวกถอนหายใจอีก เดฟคิดพลางขมวดคิ้วขึ้นสองคนยมทูตเลยแทบจะช่วยกันแบกร่างยมทูตหน้ามึนไปยังห้องพยาบาลซะเดี๋ยวนั้น

    “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”สตาร์ถามอย่างไม่แน่ใจอีกหน

    “พวกเจ้าต่างหากที่เป็นอะไร?”เดฟย้อน

    “พวกข้า? พวกข้าจะเป็นอะไร?”

                    สมายด์ขมวดคิ้วทั้งรอยยิ้ม หัวหน้าหน่วยเจ็ดมองอยู่พักหนึ่งก่อนเบือนหน้าออกคล้ายไม่สนใจหรือราวกับลืมไปแล้ว่าตนเองถามอะไรไป สตาร์กับสมายด์มองหน้ากันแล้วยิ้มยังปลงๆ เพราะเขาคิดว่าเดฟคงกลับไปมึนแบบเดิมแล้ว

    “อู้กันหรือไงเนี่ย?”เสียงนุ่มดังมาพร้อมเจ้าตัวที่เดินลั้นล้าปาจิงโกะไม่เข้าสถานณะการณ์

    “ที่นี่มันมีฟีโรโมนเรียกตัววุ่นวายหรือไงกัน?”

                    เดฟบ่นเบาๆพอไม่ให้สองยมทูตที่หันไปสนใจคอรัสได้ยินก่อนจะตีหน้ามึนมองเจ้าพ่อเสียงเพลงอีกหน คอรัสยิ้มแป้นก่อนวิ่งดุ๊กๆมานั่งข้างๆเดฟ เจ้าตัวท้าวแขนลงกับโต๊ะตัวกลมพร้อมจ้องหน้าเดฟราวกับเป็นสิ่งหายากติดลำดับแรกๆของนรก

    “เดฟ~

    “คลื่นไส้ว่ะ มาเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่นี้ ก้อนน้ำแข็งเดินได้พี่เจ้าไปไหนซะล่ะ?”สตาร์อดแขวะคนติดพี่เสียไม่ได้

                    คอรัสมุ่ยหน้าลงอย่างไม่พอใจ ทั้งมาแขวะใส่ทั้งมาเรียกพี่เขาว่าพี่เขาเป็นก้อนน้ำแข็งเดินได้ เดี๋ยวพ่อก็เอาเคียวเจาะหัวเสียนี่...

    “พวกเจ้าจะมานั่งเสนอหน้าอะไรตรงนี้?? ข้าจะคุยธุระส่วนตัวกับเดฟไปไหนก็ไปไป๊!! ชิ่วๆ”

                    คอรัสโบกมือไล่สองยมทูตที่นั่งอยู่ก่อนหน้า สมายด์เพียงร้องเอ้าอย่างงงๆแต่ทางสตาร์ดูจะไม่

    “เจ้าจะบ้าหรือไง?!! เห็นชัดๆว่าพวกข้ามานั่งก่อนน่ะ จะมาไล่กันได้ยังไงน่ะห๊ะ??”สตาร์โวยเสียงดัง คนทั้งร้านกว่าสิบโต๊ะหันมามอง สมายด์ได้แต่ผงกหัวเป็นการขอโทษ แค่การที่มีหัวหน้าหน่วยยมทูตเข้ามาที่ร้านนี่พวกวิญญาณธรรมดาแทบจะไม่มาเป็นลูกค้าแล้ว ยิ่งเสียงดังแบบนี้ก็จะกลายเป็นไล่ลูกค้าเขาอีกหรอก

    “มาก่อนมาหลังไม่สำคัญ แต่ข้าต้องการคุยกับเดฟ!!

    “พวกเจ้า...เสียงดัง”เดฟว่าเรียบๆ

    “ก็แล้วไง?”สองยมทูตตอบพร้อมกัน

    “ข้าไม่ชอบ”

    “.........”

    “และอลาวคงไม่ชอบที่ทะเลาะกัน”

    “.....”

    “เงิบเลยเหรอ?”

                    เดฟมองยมทูตสามคนที่หันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียง จะว่าไงดีเล่า ก็ในเมื่อเขาไม่ชอบจริงๆนี่นา

    “โอเค ถ้าเจ้าไม่ชอบ พวกข้าไปก่อนก็ได้แล้วจะทำอะไรก็ทำไป”สตาร์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนจะเดินออกไปพร้อมๆกับสมายด์

    “แล้วเจ้า?”

    “ไม่มีอะไรหรอก”

                    จู่ๆคอรัสก็ตัดบทฉึบจนเดฟหน้าเอ๋อหนักไปอีก คอรัสฟุบหัวลงกับโต๊ะเบาๆ เดฟอยากจะถามอยู่

    หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรแต่ดูท่าว่าอาจจะไม่พร้อมตอบอะไรตอนนี้แน่ๆ

    “ร้องเพลงสักเพลงสิ”

                    คอรัสเงยหน้ามองพลางร้องหาเสียงดัง เขาไม่เข้าใจ....ไม่เข้าใจอย่างแรง

    “ร้องเพลง”เดฟทวนอีกหนเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน

    “แล้วจะให้ร้องเพลงอะไร?”

    “ตามใจ”

                    ยมทูตผมดำรู้สึกได้ว่าคำว่า”ตามใจ”ของเดฟมันมีความหมายอื่นที่แฝงไว้ ไม่ใช่ตามใจแบบที่อยากร้องอะไรก็ร้องแต่เป็นตามใจแบบที่กลั่นออกมาตามความรู้สึกของหัวใจ แล้วทำไมเขาถึงคิดแบบนั้นเล่า? คอรัสคิดอย่างงงๆ ทั้งๆที่ลักษณะการพูดก็แค่เรียบผิดจากชาวบ้านเท่านั้นไม่ได้มีอะไรที่มันพิเศษพอจะให้เขาคิดแบบนี้ แล้วทำไมกัน...

    “ไม่อยากร้องหรอ?”

    “ร้องดิร้อง”

                    คอรัสตอบทันทีก่อนหลับตาปรับอารมณ์ตนเอง พลางนึกถึงเนื้อเพลงและท้วงทำนองที่จะกลั่นออกมาจากใจ

    ก็เข้าใจในทุกสิ่งแล้ว ก็รู้แล้วว่าเป็นแบบไหน

    พอเข้าใจว่าในวันที่เจ้าไป มันอ้างหว้างเท่าไร

    เสียงที่เคยคุ้น ไออุ่นที่เคยสัมผัสกลายเป็นเพียงอดีต

    ไม่มีทำนองที่เราเคยร้องคู่กัน

    เหลือเพียงความทรงจำที่มีคุณค่าและความหมาย

    กลับมาเถอะ มายืนตรงที่เดิม

    ไม่จำเป็นต้องดีเลิศกว่าใครใคร

    ขอแค่ใจเจ้ายังเป็นใจเจ้าแบบที่ข้าเคยพบทุกวัน

    ข้าจะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน

    ข้าสัญญา

                    เสียงปรบมือดังกราวให้แก่บทเพลงสั้นๆที่ถูกขับร้อง เพียงแต่คนร้องกลับก้มหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น อะไรที่มันออกมาจากใจเขามันคือความรู้สึกและความนึกคิดจริงๆของเขา เขาอยากให้อลาวกลับมา..ไม่ใช่แค่เขาทุกคนก็ด้วย

    “งั้นจำสัญญาตัวเองให้ดีแล้วกัน”

                    เดฟแตะไหล่คอรัสหลังจากยืดตัวขึ้นแล้วก่อนเจ้าของคำพูดจะหมุนตัวเดินออกจากร้านเพราะรับรู้ได้ว่าการที่อยู่ตรงนี้มันทำให้เขาเจอแต่เรื่องวุ่นวาย

    “ขอบใจ”

    “ไม่เป็นไร”

                    น้ำเสียงเย็นเฉียบเอ่ยขึ้นทันทีที่เขาก้าวขาออกจากร้าน นัยน์ตาสีอัมพันมองตามร่างของเจลาโต้ที่สวนเข้าไปด้านใน คนที่บอกให้คอรัสมาหาเขาก็คงจะหมอนี่สินะ เพราะเจลาโต้คงรู้ว่าคนที่ว่างพอและใส่ใจพอคงเหลือแค่เขาคนเดียวในวินาทีที่คนสำคัญไม่อยู่

     

    “ท่านเดฟ!!

                    ยมทูตระดับสูงรองจากเขาเอ่ยเรียกหลังจากที่ย่างกายเข้าสู่ส่วนทำการหน่วยยมทูตได้ไม่นาน เดฟหันไปมองด้วยใบหน้าเดิมๆจนยมทูตคนนั้นเริ่มคิดลังเล

    “ว่า?”

    “เอ่อ...ช่วยเอานี้ไปให้ท่านเบลเฟ่หน่อยได้ไหมขอรับ คือข้าไม่กล้าเข้าไป”

                    เดฟมองแฟ้มสีดำสนิทในมือยมทูตตนนั้นก่อนจะมองหน้ายมทูตแล้วมองสลับไปมาอย่างนี้ห้ารอบจนยมทูตรู้สึกอึดอัด

    “ได้”    

                    เดฟตอบสั้นๆก่อนจะหยิบเอกสารนั้นไปท่ามกลางอาการงุนงงของยมทูตระดับสูง หัวหน้ายมทูตแต่ละคนจะธรรมดาๆกันหน่อยได้ไหมเนี่ย?

                    ก๊อกๆ

                    เดฟเคาะพอเป็นพิธีก่อนจะเปิดเข้าไปยังห้อง...ที่ไม่แน่ใจว่าใช่ห้อง มันก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ที่เขาจะมาเข้าห้องของหัวหน้าหน่วยกองวิทยาการ มันดูอึมคึมจนเดฟพาลนึกไปถึงอีกคน...หัวหน้าหน่วยลับ แบล็ก..

    “ใครใช้ให้เข้าห้องข้าแล้วนึกถึงไอ้วิญญาณอาฆาตรกัน??”

                    เดฟสะดุ้งเป็นครั้งแรกในรอบปี พอเห็นสภาพเบลเฟ่ที่โพล่ออกมาจากกองเอกสารก็ทำเอาตกใจได้เหมือนกัน ร่างสูงเดินไปวางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะที่บัดนี้เต็มไปด้วยสิ่งของไม่ทราบที่มาทั้งหลาย เบลเฟ่เหลือบตามองก่อนจะก้มลงทำงานแบบเดิม

    “มีคนฝากมาให้”

                    พูดจบเดฟก็หมุนตัวออกจากตรงนั้น เขาไม่มีธุระมากพอจะอยู่ที่ตรงนี้และเจ้าของที่ดูจะไม่ค่อยต้อนรับด้วย

    “เดฟ...”

                    เสียงเรียกทำให้เจ้าของชื่อเลิกคิ้วสูง ปกติต้องไอ้เอ๋อหรือไอ้มึนไม่ใช่หรือไงกัน

    “เจ้าคิดว่าเราละเลยอลาวไปหรือเปล่า?”

                    เดฟหมุนตัวกลับมามองอย่างไม่เข้าใจ แสงจากที่รอดเข้ามาจากช่องผ้าม่านส่องให้เห็นสีหน้าอิดโรยของคนถาม

    “พวกเราวางใจเกินไปหรือเปล่าว่าอีกฝ่ายจะอยู่กับเราตลอดไปเลยไม่ทันได้เตรียมตัวในวันที่ไม่มีอลาว ข้าลองค้นดูแล้ว เวทย์เรียกตัวนั่นมันจะแสดงอาการออกมาก่อนเกือบเดือน การที่พวกเราไม่ทันได้สังเกตมันเป็นเพราะเราไม่ใส่ใจหรือเปล่า? ขนาดข้าที่เป็นตระกูลผู้ใช้เวทย์ยังมองไม่ออก”เบลเฟ่หยุดพักหายใจหลังจากพูดรัวออกมา”สิ่งสำคัญน่ะมันไม่มีทางจะเห็นค่าทั้งๆที่ยังอยู่ใกล้เลยงั้นหรือ? ต้องรอให้มันหายไปก่อนถึงจะรู้ค่าหรือไง?”

                    เจ้าของเรือนผมสีทองไม่ได้ต้องการคำตอบใดๆเขาเพียงแต่ต้องการระบายเท่านั้น และคนที่พอจะเป็นที่ระบายที่สมบูรณ์ได้คงจะมีแค่หมอนี่คนเดียว...แต่เขาคงคิดผิด

    “ข้าไม่เคยละเลยอลาว”

                    เบลเฟ่เงยหน้าขึ้นมองคนตอบอย่างไม่เชื่อหู เดฟยืนหันหลังให้เขาพลางใช้มือขวาท้าวไปที่โต๊ะทำงานซึ่งเขานั่งอยู่

    “ข้าไม่เคยละเลยอะไรเลย แต่ก็ไม่เคยแสดงออกว่าใส่ใจเกินไปให้อลาวลำคาญใจ อลาวไม่ชอบที่ใครมาเป็นห่วงเขาและมาวุ่นวายแต่ก็นั่นแหละ ข้าเองก็ไม่คิดว่าอลาวจะโดนเวทย์นั่นเรียกตัวไปมันไม่ใช่ความผิดพวกเราแม้สักคนมันถูกลิขิตมาแล้วเบลเฟ่ เจ้าโทษตัวเองไปก็เปล่าประโยชน์”เดฟยิ้มมุมปากก่นจะหันมามองหน้าน้องเล็กแห่ง

    สิบสามหน่วย

    “แล้วของสำคัญน่ะมันจะมีค่าที่สุดในตอนที่หายไปไม่ใช่หรือไง ก็ลองให้มันหายไปสักครั้งเราก็จะรู้เองแหละว่ามันสำคัญมากแค่ไหน แค่สมอง แค่หัวใจ แค่ลมหายใจ แค่ทั้งชีวิต หรือเป็นยิ่งกว่าทุกสิ่งที่เรามี ถ้ามันไม่เคยหายไปเลยเราก็อาจจะไม่รับรู้ถึงมัน แม้แต่คนที่เขารักกันก็ต้องมีวันที่ทะเลาะกันและหายไปจากชีวิตกันและกันแม้ชั่วคราวแต่ก็นานพอให้เห็นคุณค่าของคนที่หายไป คิดในแง่ดีพวกปีศาจพวกนั้นทำให้เราได้รู้ต่างหากว่าอลาวสำคัญมากขนาดไหน”

                    เบลเฟ่อ้าปากอย่างเหวอๆเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นพ่อคุณสุดมึนยิ้มออกมาแต่พอได้เห็นก็รู้ในทันที...ถ้าจัดอันดับหัวหน้าหน่วยที่ยิ้มสวยที่สุดหมอนี่ต้องเป็นที่หนึ่งแน่ถ้าไม่มีอลาว นี่สินะของดีมักหายากนานทีปีกว่า...ไม่สินี่เขาอญุ่มาเป็นิลบปีแล้วเพิ่งเคยเห้นเดฟยิ้มนี่แหละ

    “อย่าเครียดๆ”เดฟว่านิ่งพร้อมหน้าเอ๋อๆอีกหนมันทำให้คนมองเสียดายพอตัว

                    เดฟเดินออกจาห้องนั้นด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ เขาหลุดเผลอพูดอะไรผิดคาแร็กเตอร์ไปเยอะเลย แผน...นี่มันต้องเป็นแผนแน่ๆ เจ้าของเรือนผมสีส้มเดินจ้ำไปยังหน่วยที่อยู่ถัดไปอีกแค่หน่วยเดียว หน่วยลับหน่วยที่สาม!!

                ปัง!

    “แบล็ก!!

    “โอ๊ะโอ่ เดี๋ยวนี้เสียงดังนะเดฟ~ หึหึ”

                    มีด...ขวาน...จอบ..ดาบ...ตะปู...อะไรก็ได้ที่มันคมพอจะให้เขาเฉาะเข้าไปพิสูญจ์ว่าในสมองนี่มีอะไรอยู่...

    “เจ้าเป็นคนใช้ให้ลูกน้องวานข้าให้เอาแฟ้มไปให้เบลเฟ่ใช่ไหม?”

                    น้ำเสียงเรียบๆชวนขนลุกดังขึ้นพร้อมแผ่รังสีทมึนเต็มที่

    “หึหึ ฉลาดนะ แล้วไอ้บรรยากาศแบบนี้ค่อยเหมาะกับที่เก่งกว่าข้าหน่อย”

    “อย่านอกเรื่อง”

    “นั่นมันงานถนัดเจ้า”

                    เดฟถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ยังว่าง นัยน์ตาสีอำพันมองตามร่างของแบล็กที่เดินวนไปวนมาในห้องแลดูวุ่นวาย

    “เจ้านี่นะ”

    “อะไร?”แบล็กหันมามามองด้วยใบหน้าติดงงเล็กๆเมื่ออีกฝ่ายเผยยิ้ม

    “เจ้าน่ะ...ห่วงเบลเฟ่อยู่สินะ?”

    “เอาอะไรมาพูด”

    “ความจริง”

    “......”

    “เงิบเลยสิ หึหึ”

                    เดฟว่าพลางหัวเราะเลียนแบบอีกฝ่าย แต่แบล็กก็เงิบจริงๆนั่นแหละ ใครมันจะไปคิดว่าเดฟจะต่อปากต่อคำได้ดีขนาดนี้ เมื่อก่อนมันไม่ค่อยตอบเขาก็ได้ใจเซ่!!

    “ข้าแค่รู้สึกไม่สนุกที่มันไม่ยอมเถียงข้า ข้าก็เลย...”

    “เจ้าก็เลยส่งข้าไปให้เบลเฟ่ระบายเพื่อความสบายใจสินะ ช่างเป็นพี่ที่รักน้องดีจุงเบย”เดฟว่าพลางตบมือแปะๆ

    “อย่ามาใช้ภาษาประหลาดๆกับข้าน่า”

    แบล็กเบี่ยงประเด็น

    “ถึงจะประหลาดแต่มันก็เรื่องจริง”

    แล้วเดฟก็วกเข้าประเด็นจนได้...

    “หึ จะอะไรก็ช่างแต่เจ้าดูไม่ค่อยห่วงอลาวเลยนะ”

    “ว่าแต่ข้า เจ้าเองก็นิ่งดูดายพอกัน”

    “ก็พวกนั้นมันห่วงกันไปหมดแล้วนี่”

    “นั่นแหละเหตุผลข้า”

                    เดฟตอบเรียบๆ แบล็กก็พยักหน้ารับก็พอยอมรับได้ล่ะนะ ยังไงเดฟก็เหมาะจะเป็นหัวหน้าพ่อบ้านมากกว่าสตาร์แต่เพราะเจ้าตัวชอบทำเป็นเอ๋อบวกอายุก็อยู่ลำดับท้ายๆหลายคนเลยลงความเห็ยว่าวุฒธิภาวะน้อยกว่าทั้งๆที่ความจริงเดฟก็คือซี๊โร่เว่อร์ชั่นแกล้งเอ๋อดีๆนี่เอง

    “อะไรอีก?”

                    แบล็กถามกับคนที่จ้องหน้าเขา เดฟจ้องอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง

    “ข้างนอกคงเจริญหูเจริญตากว่านี้”

                    พูดจบเดฟก็ลุกขึ้นเดินนอกไป แบล็กกัดฟันกรอด มันว่าเขาไม่เจริญหูเจริญตา ใครว่าเขาก็ไม่รู้สึกอยากจะฆ่าเท่าเดฟจริงๆ ใครกันแน่ที่มันไม่เจริญหูเจริญตา!!

    “เดฟ..นี่แกจะ...”

    “ชู่ว~

                    แบล็กชะงักเมื่อเดหฟเอามือแนบปากตนเองแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ยอมเงียบ

    “เจ้าอลาวนั่นไม่ใช่ว่าแปรภักดิ์ไปแล้วงั้นรึ?”

    “เหอะ ข้าก้ว่างั้น เด็กที่ทำเป็นเก่งผยองลำพองตัวแบบนั้น อะไรที่ดีกว่าก็พุ่งเข้าใส่อยู่แล้ว”

    “นั่นสินะ ทำเป็นเก่งจัดการนู้นนี่นั่น ทำเป็นสั่ง แค่สงครามนั่นมันก็แค่ฟลุ๊คล่ะวะ!

    “หึ ถ้ามันจะทรยศเราก็มีหัวหน้าหน่วยไว้ต่อกรน่า พวกนั้นมันใช้งานจะตาย”

                    แบล็กยืนมองสองขุนนางแก่ด้วยใบหน้ากระตุกยิ้มก่อนจะพุ่งตามเดฟไปติดๆ

    “เฮ้ย!!

                    ทีแรกยมทูตสุดมืดมนเข้าใจว่าเดฟจะเข้าไปทำอะไรขุนนางแก่ทั้งสอง แต่ความจริงแล้วยมทูตผมส้มแค่เข้าไปห้ามสตาร์เท่านั้น หมัดขวาง้างอยู่กลางอากาศแต่เดฟกลับยกมือขึ้นกันไว้แม้หันหลังอยู่ ไม่รู้ว่าอะไรเล่นตลกแต่หัวหน้าหน่วยที่เหลืออยู่ต่างอยู่กันอย่างครบถ้วน

    “ข้าจะแก้ไขสิ่งที่ท่านเข้าใจผิดสักนิด”เดฟว่าเสียงเรียบ

    1.อลาวไม่เคยคิดทรยศและจะไม่คิดทรยศเด็ดขาด 2.ความสามารถของอลาวเป็นของจริงไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งจอมปลอม ถ้าทำได้ไม่เท่าอย่าสะเออะมาทำเป็นพูดดีและข้อสุดท้าย....”

                    เดฟลากเสียงยาวก่อนจะผุดยิ้มร้ายขึ้น

    “พวกข้าคือเหล่าสมุนผู้ซื่อสัตย์ต่ออลาวไม่ใช่ของเจ้า อย่ามาคิดว่าจะมาสั่งข้าง่ายๆหากอลาวไม่พูดไม่บอกเราก็ไม่ทำทั้งนั้น และถ้าหากอลาวคิดทรยศพวกเราก็จะทรยศไปกับด้วย ต่อให้อลาวสั่งให้พวกข้าทำลายนรกพวกข้าก็ทำได้ขอแค่อลาวสั่งไม่ว่าอะไรทั้งนั้น พวกเรายืนอยู่ข้างอลาวไม่ใช่ยืนอยู่ข้างนรก พวกเราจะไม่ปล่อยให้อลาวยืนอยู่เพียงลำพัง”

                    ขุนนางแก่ถึงกับหน้าเสีย ทั้งเรื่องที่โดนได้ยินการนินทรา เรื่องที่เกือบโดนสตาร์ต่อยและเรื่องที่เดฟพูด ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริงก็คงไม่มีอะไรมาหยุดพวกเขได้ นรกได้สลายเป็นแน่หากอลาวสั่ง ยมทูตเป็นพันคนก็ไม่เท่าหัวหน้าหน่วยเพียงคนเดียว พวกเขาคือปีศาจดีๆนี่เอง นี่เพียงแค่สิบคนนี้เท่านั้น ถ้านับอีกสองคนที่ไม่อยู่ด้วย...ทรยศกันจริงๆนรกคงไม่เหลือซาก

    “อลาวไม่ใช่เพียงจำเป็นต่อการเป็นอยู่ของพวกเราแต่สำคัญที่สุดถึงที่สุด เพราะพวกเราควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็น แม้ว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งไหรสำคัญมันก็สายแต่พวกเราก็รอและเชื่อใจว่าอีกฝ่ายต้องกลับมาให้เราให้ความสำคัญกับเขาอีกครั้ง ในเมื่อที่ตรงนี้อย่างน้อยก็มีไม่ตำกว่าสิบคนที่เห็นค่าของเขา อลาวรู้ตัวดีว่าที่ไหนคือที่ของเขาเอง”แบล็กยิ้มสยองให้

    “พวกเรามีหน้าที่รอให้อลาวกลับมา”เจลาโต้เสริม

    “พวกข้าก็ไม่ได้อยากจะมีเรื่องให้อลาวลำบากใจ แต่ถ้าพวกเจ้าเสนอพวกข้าก็ยินดีสนองนะ”สมายด์ว่าด้วยรอยยิ้ม

                    ...ก่อนทุกร่างจะแสยะยิ้มออกมพร้อมๆกันไม่เว้นแม้แต่เจลาโต้ แต่คงไม่น่าดูมากนักเพราะมันเป็นยิ้มของพวกกระหายเลือด..

                ....คิดผิดแล้ว...คิดผิดมากที่จะเป็นศัตตรูกับพวกนี้...คิดผิดคิดใหม่ตอนนี้น่าจะยังทัน...
    *****************************************TBC.**********************************************

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×