ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    No Limit คู่หูต่างขั่ว รั่วกำลังสอง

    ลำดับตอนที่ #28 : บทที่สิบสอง บอกกับข้า...ว่ามันเป็นเรื่องโหก!![100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 186
      0
      30 ส.ค. 56


     

     

    บทที่12

    บอกกับข้า...ว่ามันเป็นเรื่องโหก!!

    “เฮ้อ”

                    นับเป็นครั้งที่ร้อยกว่าๆกับการถอนหายใจทิ้งของข้าหลังจากที่จดหมายเวทย์ของอลาวคลายไป ข้าถึงกับนั่งไม่ติคคิดไม่ตกกับสิ่งที่อลาวบอกมา เจอเขาครั้งหน้าอย่าเข้าใกล้เขางั้นเหรอ...

    “ข้า-ทำ-ไม่-ได้!!!

                    ข้าเน้นเสียงก่อนจะกระแทกมือลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างโมโห อลาวบ้า อลาวไร้เหตุผล อลาวใจร้าย!!! ว่าเข้าไปนั่นถ้าเกิดอลาวได้ยินคงจะฆ่าข้าตายแน่ๆ เหอะๆก็หวังให้เขามาฆ่าข้าไวๆล่ะนะ  ข้ามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจหายเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่มีวันอีกแล้วที่ข้าจะได้ยินเสียงบ่นที่น่ารำคาญนั่น เหมือนมันจะไม่มีอีกแล้วกับการที่ต้องคอยรับมือกับอารมณ์แปรปรวน เหมือนมันจะไม่มีอีกแล้วกับการที่เราจะอยู่ด้วยกัน

    “ข้าคิดถึงเจ้ากลับมาเถอะนะไม่ว่าจะยังไง...”

                    ข้าเอื่อมมือไปปิดไฟก่อนถอนหายใจแผ่ว หลับตาลงและหวังว่าค่ำคืนนี้ข้าจะสามารถหลับได้โดยไม่ฝันร้ายใดๆ

     

    “หายไปไหน???”

                    ร่างสูงบ่นกับตัวเองงึมงัมๆพลางเดินหาไปทั่วปราสาทกับสิ่งที่เขาหาอยู่ ไม่ว่าจะซอกเหลือบไหนๆก็ดูเหมือนว่าจะหาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย ป้องปากตะโกนเรียกก็แล้วอะไรก็แล้วมันก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาสิน่า

    “นี่! เจ้าเห็นนัวร์บ้างไหม??”

                    บลังซ์เอ่ยถามกับองค์รักษ์นายหนึ่งที่เดินผ่านมาแต่ร่างนั้นกลับส่ายหัวบ่งบอกถึงว่าตนเองไม่รู้เลยว่าคนที่เจ้านายกล่าวนั้นอยู่ไหน บลังซ์ยกมือขึ้นโบกไล่องค์รักษ์รายนั้นไปก่อนจะถอนหายใจยาวพรืดพลางยกมือขึ้นเสยผมสีขาวที่ลงมาปรกใบหน้า

    “อะไรของมัน?”

                    ร่างสูงบ่นก่อนนึกถึงใบหน้าคนที่บ่นถึง นี่ก็นับเป็นเวลากว่าครึ่งปีที่นัวร์มางุงิๆอยู่กับเขาก่อนจะยึดหนึ่งในห้องของปราสาทเป็นที่พักของตนเองโดยที่ไม่ได้ขออนุญาติเขาแมแต่น้อย แต่ที่แปลกคือเขาไม่คิดจะไล่อีกฝ่ายไปไหนต่างหากเล่า แต่นี่จู่ๆก็มาหายไปเสียดื้อๆตอนแรกเจ้าของบ้านก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไปหาอะไรเล่นแต่นี่มันสองวันแล้วนะที่เขาตื่นมาแล้วพบว่าไม่มีตัวอะไรมานั่งจ้องหน้าเขาน่ะ

    “เฮ้!นัวร์ ถ้าเจ้าอยู่แถวนี้ก็ตอบหน่อยสิ เฮ้ๆเจ้างั่ง!

                    ไร้เสียงตอบรับสักเสียงมีเพียงเสียงของตนเองที่ดังก้องในปราสาท....

     

    “ทำไมข้าต้องทำ???”

                                    เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเรียบเฉยอย่างที่หาได้ยากในตัวคนคนนี้ ดวงตาสีแดงตวัดไล่มองร่างที่นั่งอยู่กับพื้นกว่าสิบร่างที่แทบจะคำนับเขาอยู่แล้ว

    “ท่านนัวร์...อย่าทำเป็นไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร”

    “ก็ถ้าข้าไม่รู้แล้วใครจะทำไม??”

                    ร่างสูงว่าเสียงเรียบแต่กวนแประสาทสิ้นดี ดวงตาสีแดงขุ่นมัวเล็กๆกับการโดนพาตัวมาอย่างไม่มีคำเชิญ นึกห่วงคนอีกคนที่เป็นเจ้าของปราสาท เขาหายมาตั้งสองวันแล้วไม่รู้ว่าทางนั้จะโวยวายขนาดไหน...แต่ไม่มั้ง...เขาแทบไม่สำคัญกับอีกกฝ่ายคงเป็นไปได้ยากที่คนคนนั้นจะวุ่นวายเพราะเขาคนเดียว

    “แล้วพวกเจ้าจะทำสงครามทำไม??”

                    ร่างสูงถามคำถามจี้จุดดังฉึกแทงใจดำพวกคนที่คำนับอยู่กับพื้น...แต่จะเรียกว่าคนคงไม่ถูกนัก

    “พวกเราชาวนรกทนไม่ไหวกับการกระทำของพวกชาวสวรรค์ ท่านก็รู้คนพวกนั้นหยิ่งผยองจนน่าหมั่นไส้”

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนอย่างข้าเล่า!!

                    ร่างสูงเกิดอาการ”ล้มโต๊ะ”ดังโครมจนพวกชาวนรกที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือสะดุ้งเฮือกกับอารมณ์ที่แปรปรวนแบบสุดขั้วของร่างสีดำ ดวงตาสีแดงฉายแววไม่พอใจอย่างมากถึงมากที่สุดของที่สุดออกมา ดวงตาสีเลือดฉายมองไปรอบๆห้องอย่างสำรวจก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งกับเก้าอี้พลางยกขาขึ้นไคว่ห้างเพียงแค่นั้นความน่าเกรงขามก็เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ

    “ท่านนัวร์”

                    เสียงทุ้มนุ้มลึกเอ่ยเรียกเจ้าของชื่ออย่างนิ่งเรียบก่อนจะปรากฎกายออกมาจากความมืดมิด เส้นผมสีม่วงเข้มเหลือบดำพริ้วอ่อนๆไปกับสายลมปริศนา ดวงตาสีแดงนิ่งเรียบจนน่าเกรงขาม นัวร์สะดุ้งเฮือกก่อนค่อยๆหันไปมองร่างที่ปรากฎออกมาใบหน้าหล่อค่อยๆขยับขึ้นย้มแหยๆก่อนจะหุบยิ้มฉับแล้วล้มโต๊ะใหม่อีกรอบหนึ่ง

    “อแลงเซ่!!! ฝีมือท่านเองสินะเจ้าคนช่างยุ อยู่ดีไม่ว่าดีทำไมถึงชอบทำให้เกิดสงครมนักนะ!!

    “ท่านนัวร์...เสียงดัง”

                    นัวร์อ้าปากพะงามๆได้แต่จิ้มนิ่วกับอากาศกับความนิ่งเรียบน่าหมั่นไส้ของราชานรกองค์ปัจจุบัน นัวร์ยกมือขึ้นลูบหน้าลามไปถึงการเสยผมสีดำที่ลงมาปรกหน้าก่อนถอนหายใจทิ้ง

    “ท่นต้องการอะไร?”

                    ร่างสูงอีกร่างเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งไม่แพ้อีกร่าง ดวงตาสีโลหิตจับจ้องกัน อีกร่างหนึ่งรอคำตอบส่วนอีกร่างคิดคำตอบ

    “ข้าอยากให่ท่านช่วยสนับสนุนพวกเรา ท่านจอมเวทย์”

    “ไม่”

    “ถ้าท่านไม่ทำ...ในสงครามท่านจะไม่มีทางอยู่รอด ทางสวรรค์คงไม่รับคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขคนที่ถูกไล่ลงมาหรอกนะ”

                    นัวร์กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนับว่าเป็นความจริง เขาไม่มีทางเลือกใดๆเลยสินะ

    “ได้...ข้าจะทำก็ได้ ในเมื่อท่านต้องการ”

    “ขอบคุณ”

    “ไม่ต้องเฟ้ย!! จำไว้ว่าข้าไม่ได้เต็มใจ ข้าจะช่วยต่อเมื่อกองกำลังของเจ้าเหลือต่ำกว่าห้าสิบเปอร์เซนเท่านั้น!

    “มันก็ยังดีกว่าท่านไม่ช่วย”

     

                    ข้าเปิดเปลือกตาขึ้นเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นกร่ายหน้าผากตัวเองอย่างคิดไม่ตก ข้าบอกแล้วไงว่าไม่อยากฝัน แล้วทำไมนี่ยังฝันอยู่อีกล่ะ?? ถ้าเดาไม่ผิดนั่นมันคือเรื่องราวก่อนการเกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่มีจุดดจบเป็นความตายของข้าและอลาว แต่ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าชาวสวรรค์อย่างพวกข้าเคยไล่ตระกูลนัวร์ลงมาจากสวรรค์ด้วย นี่เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ นี่มันมีอะไรเกี่ยวกับการกระทำบ้าๆของสวรรค์ที่ข้าต้องมาโง่รับรู้เองอีกไหม?

    “นายท่าน”

                    เสียง? เสียงใครกันหว่า ข้ายังไม่อยากหายเครียดด้วยการโดนผีหลอกนะเออ...

    “ข้าคือจิตวิญาณที่อยู่ในแหวนของท่าน อย่าอยากมาเตือน”

    “เรื่องอะไร??”

                    ข้าส่งเสียงถามออกไปท่ามกลางความมืดมิด แหวนที่มือค่อยๆเรืองแสงขึ้นมาเล็กน้อย

    “ข้าเองอยู่ในแหวนนี้มาตั้งแต่บลังซ์ถือกำเนิด เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาข้าต่างได้เห็นและจดบันทึกไว้และแน่นอนจิตวิญญาณที่อยู่ในแหวนของนัวร์เองก็เช่นกัน เขาๆด้ฝากความทรงจำของนัวร์ไว้ที่ข้าเพราะในตอนนี้เขาไม่มีกำลังพอที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้”

    “อ้าว...ทำไมกันล่ะ ครั้งก่อนข้ายังได้ยินเสียงเขาอยู่เลย?”

    “ในยามที่แหวนห่างนายดั่งร่างที่ไร้วิญญาณ ความรู้สึกนึกคิดจะค่อยๆหายไป ตอนนี้ท่านอลาวกับแหวนห่างกันมากเกินขีดจำกัดแล้ว”

                    ข้าพยักหน้าทำความเข้าใจกับแหวนนั้นถึงจะไม่รู้ว่ามันจะเห็นว่าข้าพยักหน้าหรือเปล่าก็ตาม ข้าเงียบมันก็เงียบ เราทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบก่อนที่มันจะเป็นผู้เริ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

    “นายท่าน ข้าอยากเอ่ยเตือน”

    “หื้ม???”

    “เวลาไม่มีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างที่ข้าบิกมันเป็นผลพวงมาจากเรื่องราวของชาติที่แล้ว ห่างท่านไม่รีบท่านอลาวจะจากท่านไป...ตลอดกาล”

    “อย่ามาตลก”

                    ข้าที่รับฟังมาเป็นอย่างดีเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำโห อย่ามาพูดเรื่องอะไรที่ขำไม่ออกหน่อยเลย ข้าไม่คิดจะขำด้วยหรอกนะ เหอะ!

    “ไม่ใช่ ท่านฟรานข้าไม่ได้ตลก เวลาที่มีมันเหลือน้อยเต็มที ท่านก็รู้นี่ อีกอย่างท่านอลังซ์ก็มาเตือนท่านแล้ว”

                    อลังซ์??? นั่นมันปู่ของอลาวนี่ เดี๋ยวนะท่านปู่ของอลาวมาเตือนข้าตอนไหน???

    “กลิ่นหอมที่ท่านได้กลิ่นเมื่อกลางวันนั่นคือกลิ่นของท่านอลังซ์ เรื่องราวทั้งหมดคนที่รู้ทุกอย่างก็ไม่พ้นเขา”

                    ห๊ะ?? ว่าไงนะ!?

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                    เดม่อนทอดสายตามองไปยังฝืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มในยามค่ำคืน ความเงียบสงัดเริ่มขึ้นหลังเสียงโวยวายของฟรานจบลง เขาฟังไม่ชัดว่าอีกฝ่ายโวยวายอะไรแต่คิดว่าคงเป็นเพียงการโวยวายตามปกติที่เป็นอยู่ทุกวัน ดวงตาสีแดงสดสลดลงจากที่เคยเป็น เมื่อนึกถึงวินาทีที่ตนต้องเลือกระหว่างคนสำคัญทั้งสอง

    “ไม่...ข้าไม่ใช่คนที่นี่อีกแล้ว ข้าเลือกท่านอลาวนั่นถือว่าถูกต้องแล้ว”

                    เดม่อนพึมพัมก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อฝ่ามือเย็นๆแตะลงบนไหล่ของเขา

    “เป็นอะไร??”

                    คนถามยู่หน้าย่างสงสัยก่อนจะเปลี่ยนไปมองท้องฟ้าในยามราตรีบ้างเมื่ออีกฝ่ายเงียบเฉย ซีโร่ถอนหายใจก่อนจะเปลี่ยนมากอดอกหันหลังพิงระเบียงห้องแทน ดวงตาจ้องไปยังคนที่เอาคางก่ายกับระเบียงไว้ ไม่ว่ามองมุมไหนก็รู้แน่ว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจ

    “เจ้าไปเจออะไรมาระหว่างที่หายไป จะบอกกันหน่อยไม่ได้หรือไง??”

                    ซีโร่ถามขึ้นเสียงสูง ใช้ดวงตาสีสวยจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย ยมทูตผมน้ำเงินจึงค่อยๆเสรนัยน์ตามองช้าๆซึ่งมันดูแล้วสยองขวัญพิลึก

    “ทำไมข้าต้องรายงานท่านทุกเรื่อง???”

    “เอ๊า! เจ้าบ้านี่นิ! ปกติก็ไม่เคยเห็นมีปัญหาจู่ๆจะมาสงสัยบ้าอะไรเนี่ย อยู่ในวัยต่อต้านหรือไงเจ้าน่ะ เจ้ามันเลยวัยต่อต้านมาเป็นร้อยพี่แล้วนะ!!”ว่าจบก็ยกมือขึ้นเคาะมะเหงกอีกฝ่ายไปทีก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้ม

    “คนมันเป็นห่วงนะเว้ย”

    “หา? เมื่อครู่เจ้าว่ายังไงนะ??”

    “ก็คนมันเป็นห่วงไงเล่าเจ้าบ้า ได้ยินหรือยัง ข้า-เป็น-ห่วง จบ!

                    ซีโร่เน้นย้ำทุกถอยคำก่อนจะสะบัดหน้าพรึบหันหนีอย่างไม่พอเจ้าเล็กๆ

                    แปะ!

    “ตัวก็ไม่ร้อนนี่ หรือท่านกินอะไรผิดสำแดงมาน่ะเห้อ?”

                    ปรึด!

    “ไอ้บ้าเดม่อน!!!

                    ซีโร่ชักอยากจะฆ่ายมทูตผมน้ำเงินนี่ขึ้นมาเสียดื้อๆ คนเขาเป็นห่วงจริงๆก็มาหาว่าไม่สบายอีก อะไรอีกเนี่ยมันน่าหงุดหงิดแท้...

    “เจ้าบ้าๆๆๆ”

    “ข้าไปเจอเมลลาเวียร์มา”

    “เจ้า....ห๊ะ??”

                    ซีโร่หยุดลงมือประทุษร้ายเดม่อนด้วยหมอนก่อนจะลดมันลงข้างตัว สีหน้าฉายแววตกตะลึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไปเจอคนคนนั้นเข้า

    “แล้วเจ้า..?”

    “เขาไม่ยอมคืนท่านอลาวให้เรา”

    “ก็แหงล่ะสิ ดูท่าที่ริมธารก็น่าจะรู้แล้วนะว่าอะไรคืออะไรแล้วนี่เจ้าทำยังไงกัน?”

    “ข้าเลือกท่านอลาว”

    “เจ้าบ้าแต่นั่นมัน....”

    “เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าอีกแล้วซีโร่”

                    น้ำเสียงเย็นเฉียบเอ่ยอย่างแผ่วเบาดูน่าขนลุก ซีโร่ชะงักไปครู่เดียวก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกหน

    “เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกปฏิเสธแบบนั้นสักที? ความจริงมันคือความจริงต่อให้เจ้าหนีไปสุดล่าฟ้าเขียวมันก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ แต่กลับกันเรื่องโกหกต่อให้ตรอกย้ำเป็นล้านครั้งมันก็ยังคงเป็นเรื่องโกหกอยู่วันยันค่ำ เลิกหนีความจริงแล้วหันหน้ามาเผชิญกับมันได้แล้ว”

    “ต่อให้ความจริงที่ว่านั่นมันทำร้ายใจเจ้าเองน่ะเหรอ???”

    “ใช่...ต่อให้มันทำร้ายเจ้าขนาดไหนก็ตามแต่ เพราะถ้าเจ้าเผชิญมันจนชินชาความจริงบ้าๆนั่นมันจะทำอะไรเจ้าไม่ได้อีก”ซีโร่ว่าเสียงเรียบก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง เอาหลังพิงไว้กับขอบเตียง

    “เล่าให้ข้าฟังทีว่าเจ้าเจอกับท่านอลาวได้ไง?”

    “หา??”

    “เล่าเร็วๆข้าอยากรู้”

     

                    มืด...มองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเองด้วยซ้ำ

                    หนาว...ความหนาวมันกัดกินเข้าไปในใจ

                    เจ็บปวด....และทรมาน ทำไมเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย?

    จะไปไหนก็ไปซะ ทีนี้ไม่ต้องการคนอย่างเจ้าอีก เดม่อน!’

                    สุรเสียงเด็ดขาดเน้นย้ำในหัวทีมึนชาของเขา ดวงตาสีแดงสดหม่นหมองและไร้แวว ทั้งเจ็บปวดจนหัวใจด้านชาและมันกลับไม่ชินขึ้นมาสักนิด ขาทั้งสองที่ก้าวอยู่ท่ามกลางหิมะหยุดกึกลงก่อนร่างทั้งร่างจะเซล้มลงไปบนกองหิมะที่ขาวสะอาด พยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่เหมือนร่างกายมันต่อต้านจนไม่ขยับสักนิด

    แม้แต่ตัวข้าเองยังทรยศข้าเลย แล้วเช่นนี้ข้าจะไว้ใจสิ่งไหนได้ แม้แต่เงาที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่เกิดยังทิ้งข้าให้อยู่คนเดียวในความมืดมิด แบบนี้ข้าจะไว้ใจใครได้อีกเล่า?

    “เฮ้ เจ้าน่ะ!!

                    เสียง...เสียงของใครกัน??

    “ทหาร พาเขากลับไปด้วยที”

    “แต่...”

    “อย่ามาแต่...ช่วยเขาเถอะนะ เขาดูจะไม่ไหว ได้โปรด”

    “แต่องค์หญิง เขาเป็นปีศาจแล้วนะขอรับ”

    “ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดได้และเจ็บเป็นไม่ใช่หรือไง”

     

                    อุ่นแหะ....

    “ฟื้นแล้วหรอ ไข้เจ้าสูงน่าดูชมเลยนะ”

                    เสียงใสๆที่ได้ยินก่อนสติดับพล่าดังขึ้นมา เดม่อนลุกพรวดก่อนจะทรุดลงอย่างหน้ามืด เด็กน้อยได้แต่ขำสนุกอยู่ข้างเตียง ฝ่ามืออุ่นๆยกขึ้นทาบกับหน้าผากคนตรงหน้า

    “ไข้เหมือนจะลดแล้วนะ กินยาซะหน่อยก็ดีจะได้หายไวๆ เข้าใจนะ...เจ้าชื่ออะไร??”

    “ข้าชื่อเดม่อน ท่านช่วยคนที่ตนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อมาได้ยังไงกันน่ะ”

    “ถึงไม่รู้จักชื่อแต่เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิต เอาล่ะข้าชื่ออลาวดี้นะ เซนส์ดิเฮลเลอร์ อลาวดี้ เป็นรัชทายาทอันดับที่สามของที่นี่ จำชื่อข้าไว้ดีๆล่ะ”

                    ร่างเด็กบอกก่อนจะหมุนตัวจนกระโปรงที่ใส่อยู่บานออกเล็กน้อย

    “ท่านเป็นเจ้าหญิงนรก?”

                    อลาวชะงัก มือบางจับประตูอยู่แต่ก็หันหน้ากลับมายิ้มสดใสงดงามให้เดม่อน

    “ถ้าเป็นไปได้อย่าเรียกข้าว่าเจ้าหญิงด้วย...ถ้าเจ้ายังไม่อยากไปรายงานตัวกับพ่อข้าในเร็ววัน”

                    ว่าจบประตูไม้สีน้ำตาลก็ปิดลงเบาๆ ทิ้งไว้เพียงความประหลาดใจของเดม่อนเท่านั้น ประหลาดใจในหลายๆความหมาย ประหลาดใจที่อีกฝ่ายมาเอาใจใส่ตัวเขาเองและประหลาดใจกับการทที่อีกฝ่ายห้ามเขาไม่ให้เรียกว่าเจ้าหญิงอีกด้วย

                    แต่เมื่ออีกฝ่ายจากไปและเหลือเพียงเขากับความเงียบงัน ไม่ต่างไปจากตอนที่อยู่ตัวคนเดียวแม้แต่น้อย

    “จากมาตั้งนาน ห่างกันก็ไกล...แต่ทำไมไม่ชินเสียที?”

                    ร่างสูงปิดเปลือกตาลงเบาๆก่อนจะเปิดมันขึ้น มองดูมือตัวเองที่ยังมีเลือดเนื้ออุ่นๆอยู่ เขาควรจะตายๆไปซะให้มันจบๆและ...เซนส์ดิเฮลเลอร์ อลาวดี้มาช่วยเขาไว้ท่ามกลางความหนาวเหน็บ เขาควรออกไปแล้วหาที่ตายดีๆสักที่ดีมั๊ยนะ?? แต่คิดดูดีๆที่นี่ก็อุ่นดีอยู่ต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน...

     

    “เดม่อน นี่ เดม่อน!!!

                    ร่างสูงเปิดเปลือกตาขึ้นตามเสียงเรียก พบเด็กหญิงคนเดิมในชุดใหม่ยืนเท้าเอวอยู่ข้างเตียงพร้อมนางกำนันสองสามคนอยู่ด้านหลัง

    “องค์หญิงท่านไม่ควร...”

    “ออกไปได้แล้วน่า”

                    อลาวดี้เอ่ยไล่นางกำนันตั้งแต่ยังพูดไม่ทันขาดคำ นางกำนันหน้าเหรอไปพักหนึ่งก่อนจะเลิกลั่กพูดขึ้นใหม่

    “ตะ..แต่องค์หญิงเพคะ ท่านไม่ควรอยู่กับปีศาจตนนี้”

    “ออกไปเหอะน่าข้าจะอยู่กับคนของข้า!

    “องค์หญิ๊งงงงงงงงงงงง”

    “ออกไปเลย!

                    อลาวดี้เอ่ยไล่พลางชี้นิ้วไปที่ประตู นางกำนันทั้งหลายค่อยๆผงกหัวแล้วเดินออกไปช้าๆ

    “อะไรของพวกนั้นนะ”

                    ร่างเล็กว่าพลางกระแทกก้นลงบนเก้าอี้ สองมือยกขึ้นกอดอกก่อนจะเพิ่งสังเกตได้ว่าถูกมองอยู่

    “เจ้ามองอะไรของเจ้า?”

    “ท่านอลาวดี้...ท่านรู้หรือไม่คนของข้ามันแปลว่าอะไร?”เดม่อนเอ่ยยิ้มๆ

    “หา?...ก็ไม่รู้สิ คนสำคัญล่ะมั้ง”

    “มันแปลได้อีกนัยว่าคนรักขอรับ...แต่เมื่อครู่ท่านตีความหมายว่ายังไงนะขอรับ? คนสำคัญ??”

                    อลาวดี้ตีหน้านิ่วคอ้วขมวดครู่หนึ่งก่อนจะยกมือลูบคางตัวเองอย่างคนเพิ่งนึกได้

    “อย่างนี้นี่เอง ข้าก็เข้าใจว่าหมายความว่าคนสำคัญอยู่ตั้งนาน แต่ช่างเหอะข้าก็จะใช้มันว่าคนสำคัญนั่นล่ะ แปลกหรือเปล่า??”

                    มีการหันมาถามความคิดเห็นเดม่อนอีกแน่ะ...

    “มันก็ไม่แปกลขอรับ แต่เมื่อครู่ท่านก็เรียกข้าว่าคนของท่าน?”

    “อ่าใช่ ไม่ได้หรือไงกัน??”

                    แปลก...แปลกมากๆเลยคนคนนี้ ทั้งที่เพิ่งเจอเขาได้ไม่ถึงวันก็ยกให้เขาเป็นคนสำคัญ ทั้งดูแลทั้งเอาใจใส่ มันคือสิ่งที่เขาไม่ได้เจอมาเป็นร้อยปีแล้ว

    “เออ...ข้าว่าจะมาคุยเรื่องนี้กับเจ้าพอดี เมื่อครู่ตอนเจ้าหลับอยู่ข้าให้หมอหลวงเข้ามาเอาเลือดเจ้าไปตรวจ ผลออกมาว่าเจ้าเป็นปีศาจ อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี...แถมยังไม่ใช่ปีศาจระดับล่างอีก บอกมาว่าเจ้าไปนอนเล่นอยู่กลางหิมะได้ไง?”

                    เดม่อนนิ่งชะงั่ก ดวงตาสีแดงสดจ้องมองสำรวจอลาวดี้ รู้สึกหวั่นใจแปลกๆกับสายตาของอลาวดี้ แม้จะยังเป็นเด็กแต่ยังไงก็คือรัชทายาทของเมืองนรก ยังไงเชื้อก็ไม่ทิ้งแถว...

    “ข้าโดนไล่ออกจากปราสาทของจักรพรรดิปีศาจเมื่อร้อยปีก่อน....โดยไม่มีใครช่วยข้าแม้แต่น้อยทั้งๆที่ข้าโดนใส่ร้าย แม้แต่คนที่ข้ารักและไว้ใจสุดท้าย...เขาก็ไม่แม้แต่ปรากฎตัวออกมา ข้าอยู่คนเดียวมาร้อยปี เดินทางไปทั่วอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย....”

    “จะไปไหนก็เรื่องของเจ้าเดม่อน! ต่อไปนี้เจ้าห้ามมาเหยีบแผ่นดินนี้อีกเป็นครั้งที่สอง!!!

    “แต่ข้าไม่ผิด! เมลลาเวียร์ก็รู้”

    “แล้วมันอยู่ไหน?? มันมายืนยันให้เจ้าไหม?? แม้แต่มันยังไม่สนใจเจ้า อย่าได้ยืดเยื้อต่อไปเดม่อน จงเดินออกไปจากแดนปีศาจดีๆเถอะ”

    “แม้มันจะผ่านมานานแต่ความเจ็บปวดข้าไม่เคยสิ้นสุดและคงไม่มีวันจางหาย ไม่รู้ว่าข้าต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะรักษาแผลนี้ แผลจากการโดนทรยศด้วยคนที่ไว้ใจ บางทีข้าอาจจะต้องอยู่แบบนี้ไปชั่วชีวิต”

    “งั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง”

    “ขอรับ??”

                    เดม่อนที่ก้มหน้าก้มตาเล่าเรื่องราวอยู่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขาวที่นิ่งเรียบ ไม่ได้มีความล้อเล่นฉายอยู่ในแววตาแม้แต่น้อย

    “แต่มันก็ต้องมีข้อแม้ในการช่วยให้เจ้าฟื้นตัวจากแผลบ้าๆนั่น...แผลจากการโดนทอดทิ้ง”

                    ดวงตาสีเทาหม่นแสงลงไปเล็กน้อยในท้ายประโยค มารู้เอาก็ภายหลังว่าอีกฝ่ายเองก็เพิ่งเจ็บปวดมาไม่น้อย...

    “ข้อแม้อะไรขอรับ?”

                    อลาวดี้ถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเอ่ยถามกลับมาก่อนจะระบายยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าหวาน

    “เชื่อใจข้า”

    “หา??”

    “เชื่อใจข้าและรับข้าเป็นายเจ้า จงมาเป็นลูกน้องที่จงรักภักดิ์ดีของข้า ผู้ซึ่งจะไม่ทอดทิ้งข้าไปไหน หากเป็นเช่นนั้นข้าเองก็ให้สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหน เชื่อใจข้าแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ข้าจะฉุดเจ้าขึ้นจะความเจ็บปวดนั้นเอง เดม่อน....”

                    มือเล็กยื่นสู่ร่างบนเตียง ดวงตาสีเทาดูน่าเชื่อถือและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มบนใบหน้าดูอ่อนโยนและอบอุ่นหัวใจ แม้ใจตอนนั้นจะยังคงลังเลและกลัวความเจ็บปวดซ้ำๆแต่สุดท้าย...ก็ยื่นมือออกไปตอบรับมือเล็กๆนั่นและก้าวเดินไปพร้อมๆกัน

     

    “หลังจากนั้นข้าก็ออกมาพบเจ้าอยู่ที่ห้องโถงใหญ่นั่นล่ะ”

    “อ๋อ....อย่างนั้นเองสินะ”

                    ซีโร่ว่าแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น คนเล่าแอบหัวเราะเบาๆอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ให้พวกสิบคนที่อยู่ที่นั่นดูจริงๆว่าคุณพ่อของพวกเขามันเด็กแค่ไหน ฟังเรื่องเล่าแค่นี้ก็จะหลับเสียแล้ว...

                    เพล้ง!!!!

                    ซีโร่ที่เคลิ้มหลับสะดุ้งตัวสุดตัวก่อนจะหันมองไปที่เดม่อน ทางด้านคุณพ่อบ้านตัวอย่างก็มองที่ซีโร่อย่างต้องการคำตอบเช่นกัน

    “เสียงดังมาจากห้อง...”
    “ท่านพี่
    !!!!!!!!!

     

                    ข้าทุบประตูห้องท่านพี่อยู่พักใหญ่ก่อนพวกเดม่อนจะตามออกมาสมทบพร้อมๆกับเรย์ที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก ในใจภาวนาให้แค่ท่านพี่เดินไปสะดุดล้มหัวฝาดกระจกหน้าต่างแตกเหอะน่า ก็อยู่ดีๆในระหว่างที่ข้าคุยกับแหวนอยู่ จู่ๆเสียงกระจกแตกก็ดังมาจากห้องท่านพี่ ข้าที่ใกล้กว่าก็พุ่งออกมาก่อนแต่ปรากฎว่าท่านพี่กลับล็อกห้องเสียงอย่างนั้น

    “ท่านพี่ๆ ท่านเปิดประตูให้ข้าทีเซ่!!! ปัดโถ่เว้ย!!!

                    ข้าเคาะประตูจนมือระบมก่อนเรย์จะดึงตัวข้าออกแล้วยกเท้าขึ้นถีบประตูดังโครม!! โห้ย...คนสวยแรงช้าง...

                    ภายในห้องมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรเพียงแต่ข้าเห็นเงาที่หน้าต่าง...ร่างสูงโปร่งกับเส้นผมยาวสีดำยืนอยู่บนกรอบหน้าต่าง สิ่งที่ชัดเจที่สุดบนใบหน้ามีเพียงดวงตาสีแดงสดที่เรืองรองท่ามกลางความมืดมิดก่อนร่างนั้นจะกระโจนออกไปทางหน้าต่าง ข้าพุ่งตามไปจะจับตัวแต่แล้วสิ่งหนึ่งที่ลอยเข้ามาทำให้ข้าชะงักตัวอยู่ที่ริมหน้าต่าง...กลิ่นคราวเลือด

                    พรึ่บ!

                    ไฟถูกเปิดขึ้นก่อนข้าจะค่อยๆหันไปมองบนเตียง...ที่เต็มไปด้วยสีแดงฉานของเลือด ท่านพี่นอนนิ่งอยู่บนนั้นพร้อมแผลที่แขนเพียงแห่งเดียว...มันเหมือนรอยเขี้ยว!

    “ท่านเฟรนด์”

                    เรย์ที่ได้สติไวที่สุดเอ่ยด้วยน้ำเสียบงเรียบเฉยที่แฝงความสั่นไหว ร่างนั้นพุ่งเพียงครั้งเดียวไปถึงร่างที่ไร้สติของท่านพี่ก่อนจะค่อยๆประครองตัวของท่านพี่ขึ้นมา

    “เสียเลือดมาก...เหมือนโดนกินเลือดไป”

                    เรย์ว่าเสียงเครียดก่อนจะทาบมือลงที่บากแผลของท่านพี่ เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอกก่อนจะตามมาด้วยการเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาติของพนักงาน

    “ทำไมพวกท่านไม่ดูแลระบบความปลอดภัยให้ดีกว่านี้”

                    นั่นคือคำแรกที่ข้ทักพวกเขา ใบหน้าของแต่ละตนต่างซีดเผือกไปทันทีที่เห็นสภาพภายใน

    “ท่านเราต้องขอโทษจริงๆขอรับ เราไม่คิดว่า...”
    “ไม่คิดว่า...พวกท่านเคยคิดอะไรได้มั่งในเมื่อพี่ข้าเป็นแบบนี้ยังจะไม่คิดอีกไหมล่ะ???”

    “ท่านฟรานใจเย็นๆขอรับ ช่วยเปลี่ยนห้องให้พวกเราด้วยขอรับไม่เช่นนั้นเรื่องคงไม่จบ”

                    ซีโร่หันไปเจรจาแทนข้าที่กำดังเดือดปุดๆก่อนจะจบลงด้วยคำขู่

    “ไม่ต้องมายุ่ง!

                    เสียงเรย์ดังผ่าปล้องออกมา ร่างนั้นยกมือขึ้นปัดการช่วยเหลือของพนักงานตนหนึ่งแม้ใบหน้าจะมีเหงื่อยซึมเพราะเหนื่อยจากการใช้พลังช่วยท่านพี่ เรย์เองคงหงุดหงิดที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบวกกับความเหนื่อยนั่นแหละ เดม่อนเองก็ดูน่ากลัวแปลกๆก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับพนักงานแล้วเดินตามพนักงานลงไปด้านล่าง ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ

                    ข้าถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง มองไปทางท่านพี่ที่ยังหลับอยู่ก่อนจะนึกไปถึงร่างที่เพิ่งเจอมา...ดวงตาสีแดงนั่นมันคุ้นจนข้าใจหาย ทั้งกลิ่นไอ ทั้งความรู้สึกแม้จะแตกต่างไปจากเดิมด้วยกลื่นไอความมืดเล็กน้อยแต่ข้าก็คุ้นไม่น้อย..มันเหมือนกลิ่นไอตอนที่อลาวจัดการจบสงครามกบฎ ถึงตอนนั้นสติข้าจะเลือนลางเต็มทนแต่ว่าข้าจำมันได้...กลิ่นไอของยมทูตปีศาจ...

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++TBC.+++++++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×