คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ ๒ ซองปริศนา
๒
ซองปริศนา
“กรุงเทพฯ จะมีหน้าหนาวก็คราวนี้ คนที่เกลียดงานครัวถึงได้ลุกขึ้นมาสวมผ้ากันเปื้อน เอ...หรือไปเจอใครที่ทำให้หลานสาวป้านึกอยากจะเป็นแม่ศรีเรือนกับเขามั่งแล้ว หนุ่มๆ ที่ทำงานหรือลูกค้ากันจ๊ะ”
ปิ่นมณีเย้าอย่างร่าเริงกึ่งประหลาดใจ เมื่อตื่นมาพบว่าหลานสาวสุดที่รักสวมผ้ากันเปื้อน ยกข้าวต้มทรงเครื่องมาเสิร์ฟจนถึงโต๊ะด้วยตัวเอง
“ป้าปิ่นก็ ผู้หญิงจะทำกับข้าวจำเป็นต้องทำเพื่อผู้ชายด้วยเหรอคะ อินแค่อยากลองเข้าครัวซักครั้งไม่เห็นแปลก” อินทุภาว่าพลางถอดผ้ากันเปื้อนส่งให้นางนุ่ม แม่ครัวมือฉมังประจำบ้าน ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามผู้เป็นป้า ตรงหน้าของเธอมีข้าวต้มอีกชามวางอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่แปลกเหรอ?” ผู้เป็นป้าเลิกคิ้วสูง มองหลานสาวด้วยสายตาล้อเลียน
หญิงสาวยกมือยอมแพ้ “ก็ได้ค่ะ แปลกนิดหน่อย แต่อินอยากทำอะไรให้ป้าปิ่นบ้าง ตั้งแต่เล็กจนโตอินก็มีแต่ป้าปิ่นคนเดียว กว่าจะรู้ตัวว่าไม่เคยทำอะไรให้ป้าปิ่นเลยก็อายุยี่สิบสามเข้าไปแล้ว ได้ไปงานศพคุณน้าแสงจันทร์ทำให้อินได้คิดค่ะ ว่าควรทำดีกับคนที่เรารักในวันที่ยังมีโอกาส”
ปิ่นมณีอมยิ้ม มองหลานสาวด้วยแววตาเอื้อเอ็นดู “ใครบอกว่าอินไม่เคยทำอะไรให้ป้า อินเชื่อฟังคำสั่งสอนของป้า เป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน แค่นี้ป้าก็ชื่นใจมากแล้ว แต่เรื่องอาหารการกินน่ะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่นุ่มไปเถอะ สงสารป้าหน่อย แก่แล้วท้องไส้ไม่ค่อยดี”
อินทุภาย่นจมูกกับประโยคตอนท้ายของผู้เป็นป้า หญิงสาวรู้ตัวดีว่าเธอกับห้องครัวเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันอย่างแรง เก่งที่สุดก็แค่ใช้ไมโครเวฟเป็น ข้าวต้มชามแรกในชีวิตจึงฟังดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ แต่เธอก็ตั้งใจทำจริงๆ จึงการันตีขึงขัง
“แม่นุ่มสอนอินทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ไม่คลาดสายตาเลยค่ะ รับรองว่ากินได้ ท้องไม่เสียแน่นอน”
“จริงค่ะ คุณอินหัวไว สอนนิดสอนหน่อยก็ทำได้แล้ว” นางนุ่มช่วยรับประกันอีกเสียง
“เอาละ จะยอมเป็นหนูทดลองให้ก็ได้ แต่ถ้าป้าท้องเสียขึ้นมา ต้องมีคนรับผิดชอบนะ”
หญิงสาวอมยิ้มอย่างมั่นใจ รู้ว่าข้าวต้มชามนี้กินได้และรสชาติก็ไม่ได้ห่วยแตกด้วย เธอชิมแล้วเรียบร้อย ประเภทกล้าๆ กลัวๆ กับการเข้าครัวครั้งแรกแล้วไม่ยอมชิม แต่กล้าตักมาเสิร์ฟให้เสี่ยงต่อการขายหน้าตัวเองในภายหลังน่ะ ไม่ใช่อินทุภาแน่นอน
ปิ่นมณีชิมอาหารฝีมือหลานสาวแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ใช้ได้นี่ อ๊ะ ไม่ใช่สิ สำหรับครั้งแรกจัดว่าเยี่ยมเลยแหละ”
อินทุภายิ้มรับคำชมอย่างภาคภูมิใจ ไร้แววเคอะเขิน จะมัวแต่ถ่อมตัวเหนียมอายเหมือนนางเอกละครไทยสมัยเมื่อยี่สิบปีก่อนเธอคงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่อังกฤษได้นานถึงสิบสามปี
คนทั่วไปอาจมองเป็นเรื่องแปลกที่ปิ่นมณีส่งเธอไปอยู่โรงเรียนประจำในอังกฤษตั้งแต่อายุสิบขวบ แต่อินทุภาไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้มานานแล้ว หญิงสาวใช้ชีวิตตลอดสิบสามปีที่อังกฤษและประเทศแถบยุโรปโดยไม่ได้กลับเมืองไทยเลย
ช่วงปิดเทอมก็ลงเรียนซัมเมอร์ เวลาที่เหลือนอกจากนั้นคือการท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปตามสถานที่ต่างๆ และเรียนอะไรก็ได้ที่เธอสนใจ แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือการเรียนภาษาไทย ปิ่นมณีอนุมัติงบไม่อั้นและบินไปเยี่ยมเธอเสมอปีละสองถึงสามหน
หญิงสาวไม่รู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงเป็นใครและมีหน้าตาอย่างไร รู้แค่ว่าทั้งสองคนเป็นคนหาเช้ากินค่ำ อาศัยอยู่บ้านเช่าในแหล่งชุมชนแออัดของกรุงเทพฯ และเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างธรรมดาที่สุด เธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว เรื่องนี้ไม่ได้เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำ และเธอก็ไม่มีญาติที่ไหนอีกจึงถูกเจ้าหน้าที่ส่งตัวไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง จนเมื่ออายุสี่ขวบปิ่นมณีจึงรับเธอมาเลี้ยงดู
อินทุภาแทบไม่หลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่ที่เธออยู่มาจนสี่ขวบ ตอนนั้นเธอยังเล็กมาก ความทรงจำส่วนใหญ่จึงบรรจุเรื่องราวชีวิตใหม่ที่แสนสุขสบายราวกับเจ้าหญิงในบ้านหลังใหญ่ที่พรั่งพร้อมด้วยความสะดวกครบครัน กับคุณป้าสาวโสดผู้สวยสง่า เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและมีความรักให้เธออย่างล้นเหลือ และเรื่องราวในประเทศอังกฤษกับโรงเรียนประจำ ที่นั่นนับเป็นสถานที่หล่อหลอมให้เธอเติบโตมาอย่างแท้จริง
แต่แม้จะอยู่ห่างป้าคนละทวีป เธอกลับรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับปิ่นมณีราวกับว่าได้อยู่ด้วยกันตลอด นั่นอาจเป็นเพราะความสามารถพิเศษในการล้วงความลับของป้าปิ่น ถึงไม่ได้พูดคุยกันทุกวัน แต่เมื่อไรที่ผู้เป็นป้าอยากรู้ความเป็นไปในชีวิตเธออย่างละเอียด ท่านก็มีวิธี ‘ซัก’ ที่ทำให้เธอต้อง ‘คาย’ ทุกอย่างออกมาจนหมดไส้หมดพุง และป้าปิ่นก็มีวิธีเล่าถึงความเป็นไปของตัวเองให้เธอรับรู้ได้อย่างสนุกสนานที่สุด จนเธอแทบไม่รู้สึกถึงความห่างไกล
ระหว่างเรียนด้านการออกแบบภูมิทัศน์ที่อังกฤษ อินทุภาก็ศึกษาเรื่องการถ่ายรูปและยังเรียนวาดรูปไปด้วย เนื่องจากชื่นชอบเป็นการส่วนตัว หลังเรียนจบเธอทำงานหาประสบการณ์อีกสองปีก่อนกลับเมืองไทย หญิงสาวเริ่มทำงานที่บริษัทออกแบบตกแต่งภายในแห่งหนึ่งเมื่อสามเดือนก่อน แต่งานหลักของเธอคือออกแบบภูมิทัศน์กลางแจ้ง
จากโพรไฟล์และประสบการณ์การทำงานในอังกฤษ เธอจึงได้รับมอบหมายงานใหญ่ตั้งแต่ชิ้นแรก และหญิงสาวก็ทำได้ดีเป็นที่พอใจของลูกค้าจึงได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายให้รับผิดชอบงานใหม่อีกสองชิ้น นับเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลย
ชีวิตของอินทุภาตอนนี้จะเรียกว่าไม่ขาดอะไรเลยก็ไม่ผิดนัก ในด้านสิ่งของเธอมีทุกอย่างและอาจจะมีมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยผู้ที่ไม่ใช่ญาติแท้ๆ แต่ในด้านความรู้สึก...เธอไม่คิดว่าปิ่นมณีเป็นคนอื่น และคิดว่าผู้เป็นป้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“มีเอกสารถึงคุณปิ่นค่ะ”
เสียงใครบางคนดังขึ้น ปลุกอินทุภาให้ตื่นจากภวังค์ เธอหันไปมอง ก้อยกำลังส่งซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับป้าของเธอ ปิ่นมณีรับไปดู สีหน้าคล้ายจะตกใจและเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง
“มีอะไรรึเปล่าคะป้าปิ่น”
“อ้อ นี่เหรอ ไม่รู้สิ เดี๋ยวค่อยเปิดละกัน กินต่อเถอะ” ผู้เป็นป้าตอบแล้ววางซองนั้นลงบนโต๊ะ จัดการกับข้าวต้มในชามต่อโดยไม่พูดอะไรเกี่ยวกับซองปริศนานั่นอีก
แม้จะแอบสงสัยกับท่าทางประหลาดของปิ่นมณีในเช้านั้น แต่อินทุภาก็พยายามปัดความคิดเกี่ยวกับเอกสารปริศนาออกไปเพราะเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ
จนกระทั่งสองวันให้หลังก็มีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งแปะไว้ที่หน้าห้องอินทุภา
‘อินหลานรัก...
ป้าฝากอินไปส่งเอกสารในซองสีน้ำตาลนี้ให้ตาภูที่ภูแสงจันทร์ทีนะจ๊ะ ป้าต้องรีบไปชอปปิงที่ฮ่องกงอย่างด่วนก่อนจะหมดหน้าหนาว บังเอิญได้รางวัลที่พักฟรีจากสปาที่ป้าเป็นลูกค้าประจำ โทษทีที่ต้องกวนอินนะจ๊ะ แต่เอกสารนี้สำคัญมาก ส่งให้ภูก่อนวันศุกร์นี้นะ ขอบใจมากจ้ะ
อ้อ...ต้องส่งให้ภูกับมือด้วยนะจ๊ะหลานรัก
รัก...
ป้าปิ่นเอ๊ง...’
“ป้าปิ่นเอาอีกแล้ว!” อินทุภากัดฟันคำรามพลางเดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด
เธอพยายามอ่านทวนโน้ตแผ่นนี้กว่าสิบรอบด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าอาจมีความหมายในเนื้อหามากกว่าตัวอักษรบนหน้ากระดาษ แต่ก็ไม่พบอะไรมากกว่าข้อความที่ป้าปิ่นทิ้งไว้
และหากมันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นก็แปลว่าเธอต้องเดินทางไปที่ภูแสงจันทร์เพื่อเอา ’เจ้าซองนี้’ ไปส่งให้ ‘ภูริช’ ประเด็นจริงๆ ก็คือเธอมีเวลาอีกสองวันก่อนจะถึงวันศุกร์
หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า จิกตามองกระดาษโน้ตด้วยความรู้สึกหมั่นไส้คนเขียนตงิดๆ
นี่แหละ ป้าปิ่นของเธอละ ไม่เหมือนใครและไม่เคยหยุดทำให้เธอแปลกใจได้เลย!
หากจะรอให้ผู้เป็นป้ากลับจากฮ่องกงก่อนค่อยถาม ก็หมายความว่าเธอมีสิทธิ์พลาดวันศุกร์ที่กำลังจะมาถึงนี้สูงมาก ปิ่นมณีชอบไปเที่ยวโดยไม่มีกำหนดกลับแน่นอน การโทรศัพท์ทางไกลไปสอบถามไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในเมื่อท่านโน้ตบอกเป็นลายลักษณ์อักษรก็น่าจะหมายความว่าระหว่างนี้ไม่สะดวกรับสาย และเธอควรทำตามโดยไม่มีข้อสงสัย เพราะไม่เช่นนั้นท่านคงจะบอกเองหรือโทรศัพท์บอกเธอ แทนที่จะทิ้งโน้ตบอกอย่างที่เห็น
ถ้าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในการกระทำแปลกๆ ของป้าปิ่นละก็ สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือรีบโทรศัพท์ไปลางาน
อินทุภายิ้มกริ่ม แหงอยู่แล้ว ขึ้นเหนือคราวนี้เธอต้องเที่ยวให้คุ้มค่าตั๋วซะหน่อย พอเริ่มทำงานแล้วเวลาส่วนตัวก็น้อยลงด้วย ถ้าได้นอนตากไอเย็นและท่องเที่ยวในที่ที่อยากไปอย่างอิสรเสรี แล้วจะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกล่ะ
อินทุภาโทรศัพท์ลางานตามแผน โดนเจ้านายบ่นนิดหน่อย เพราะเพิ่งลาไปงานศพแสงจันทร์เมื่ออาทิตย์ก่อนแต่ก็คุ้มค่ากับวันลายาวราวได้หยุดพักร้อน เมื่อจับเที่ยวบินด่วนมาถึงเชียงรายในบ่ายวันนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือโทรศัพท์ไปสอบถามที่รีสอร์ตภูแสงจันทร์ว่ามีห้องพักว่างหรือไม่ ฤดูหนาวถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวภาคเหนือ เธอเคยได้ยินว่าปกติต้องจองที่พักล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เลยด้วยซ้ำ นับเป็นโชคดีอย่างเหมาะเจาะ มีเรือนพักว่างอยู่หนึ่งหลัง
หญิงสาวสอบถามข้อมูลการเดินทางก่อนวางสาย สี่สิบห้านาทีต่อมาเธอก็ถึงจุดหมายปลายทาง ภูแสงจันทร์เป็นรีสอร์ตท่ามกลางขุนเขาเขียวขจี คำนวณจากสายตาน่าจะกินพื้นที่นับร้อยไร่ ตึกไม้สองชั้นทอดตัวบนเนินสูงมองเห็นเด่นชัด แต่ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบข้าง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นดอกลีลาวดีสีขาวพราวเต็มต้นทุกหนแห่ง
เธอตามพนักงานต้อนรับหน้าตาแฉล้มสดใสไปบนสะพานไม้ที่คดโค้งครู่ใหญ่ก็ถึงที่พัก หญิงสาวคิดว่าตนหลงรักเรือนไทยสีเปลือกไม้เข้มหลังกะทัดรัดนี้เข้าแล้ว
แปลก...ทั้งที่ตั้งอยู่ในทำเลสะดุดตากว่าเรือนหลังอื่น น่าจะเป็นหลังแรกที่เตะตานักท่องเที่ยว แต่นี่กลับเป็นเรือนหลังเดียวที่ยังว่าง
“เรือนหลังนี้มีห้องพักห้องเดียว ห้องน้ำในตัว ด้านนอกตัวเรือนเป็นระเบียงโล่ง จะนอนชมวิวหรืออ่านหนังสือก็ได้นะคะ บรรยากาศเงียบสงบ แสนสบาย และเป็นส่วนตัวที่สุดเลยค่ะ”
อินทุภาส่งยิ้มให้พนักงานในชุดไทยล้านนาสีงาช้าง เพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายเกล้าผมเป็นมวยต่ำแซมดอกลีลาวดีสีขาวนวล ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูกลมกลืนกับสถานที่ไปเสียหมด กระทั่งรอยยิ้มอ่อนหวานของพนักงานก็ไม่เว้น
ฝ่ายนั้นไขกุญแจเปิดประตูเรือนก่อนจะส่งให้ลูกค้าพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน “กุญแจห้องพักค่ะ หากต้องการอะไรเพิ่มก็โทร. ไปที่ฟร้อนต์ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ” เธอรับกุญแจห้องมา นึกได้ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไมก็รีบถาม ก่อนที่เด็กสาวคนนั้นจะจากไป “ขอโทษนะ รู้มั้ยว่าฉันจะพบคุณภูได้ยังไง”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “คุณภู...คุณภูริชที่เป็นเจ้าของรีสอร์ตภูแสงจันทร์รึเปล่าคะ”
หญิงสาวพยักหน้าเร็วๆ แทนคำตอบ
“ต้องไปติดต่อกับคุณปณาลี เลขาฯ คุณภูที่ส่วนของออฟฟิศโน่นค่ะ”
“ขอบใจมากจ้ะ” อินทุภาส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะผลักประตูที่พักเข้าไปแล้วก็ต้องชะงักกับคำถาม
“เอ่อ...คุณมีธุระอะไรกับคุณภูเหรอคะ ด่วนมั้ยคะ”
หญิงสาวหันกลับ “ฉันมีเอกสารจากคุณปิ่นมณีมาส่งเขาน่ะ ก็ค่อนข้างด่วนนะ”
“คุณปิ่นมณีที่สวยๆ แล้วก็อารมณ์ดีๆ ที่ชอบมาที่นี่ทุกปีรึเปล่าคะ”
“ใช่จ้ะ คุณปิ่นมณีคนนั้นเลย” อินทุภายิ้มอย่างโล่งใจ
เรตติ้งดี ไม่เสียแรงที่หนีมาเที่ยวภูแสงจันทร์ทุกปีนะเนี่ยป้าปิ่น...
“ใครๆ ก็รู้ว่าคุณปิ่นเป็นเพื่อนรักของคุณแสงจันทร์ค่ะ” ฝ่ายนั้นเจื้อยแจ้วต่อ “เธอมาที่นี่ทุกปี ถ้าเป็นพนักงานเก่าๆ ก็จะรู้จักคุณปิ่นดี ไม่ทราบว่าคุณอินทุภาเป็นอะไรกับคุณปิ่นเหรอคะ”
อินทุภาไม่แปลกใจสักนิด “ฉันเป็นหลานสาวป้าปิ่นจ้ะ เอ่อ...เรียกฉันว่า ‘อิน’ ก็ได้นะ ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นหรอก”
พนักงานวัยละอ่อนยิ้มอย่างกระตือรือร้น เริ่มชวนคุยอย่างเป็นกันเองและแทนตัวด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทใจ “ได้ค่ะคุณอิน คุณอินน่าจะบอกดอกแคร์ว่าเป็นหลานคุณปิ่นนะคะ ดอกแคร์จะได้อำนวยความสะดวกให้คุณอินเต็มที่ รู้มั้ยคะ ที่จริงเรือนหลังนี้เคยเป็นที่พักของคุณแสงจันทร์ก่อนท่านจะเสีย อุ๊ย! ขอโทษนะคะ คุณอินกลัวผีรึเปล่า”
ดอกแคร์มีสีหน้าจืดเจื่อนลง รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอย่างไว
หญิงสาวอมยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างนึกขำ “ไม่หรอก ว่าแต่เธอชื่อ ‘ดอก-แค’ ใช่มั้ย ฉันจะได้เรียกถูก”
เด็กสาวยิ้มอย่างโล่งใจ “ใช่ค่ะ”
“งั้นก็ขอบใจมากนะจ๊ะ ว่าแต่ ‘ดอกแค’ นี่เป็นชื่อดอกไม้เหรอ เป็นดอกยังไงนะ ฉันนึกไม่ออก” เธอถามอย่างสงสัย เหมือนจะเคยได้ยินชื่อแบบนี้ผ่านหูมาก่อน แต่ค้นภาพในหน่วยความจำของสมองไม่เจอเลย
ดอกแคร์ยิ้มกว้าง อธิบายถึงที่มาที่ไปของชื่อตัวเองด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “แคเป็นชื่อต้นไม้พื้นบ้านชนิดหนึ่งค่ะ ดอกของมันนำมาทำอาหารได้ แต่ชื่อดอกแคร์ไม่ได้แปลว่าดอกของต้นแคนะคะ เป็นคำพ้องเสียงเฉยๆ ค่ะ มาจากคำว่า care ในภาษาอังกฤษที่แปลว่าเอาใจใส่น่ะค่ะ แม่เป็นคนตั้งให้ เอ่อ...ถ้ามีอะไรคุณอินเรียกดอกแคร์ได้ตลอดเวลานะคะ”
อินทุภาพยักหน้า ทำความเข้าใจกับที่มาที่ไปของชื่อดอกแคร์ ก่อนชมว่า “เข้าใจตั้งมากเลย ขอบใจมากจ้ะ ว่าแต่ดอกแคร์เป็นพนักงานที่นี่มานานแล้วใช่มั้ย ถึงได้รู้จักป้าปิ่น”
“สี่ปีนี้ค่ะ” ดอกแคร์ชูนิ้วประกอบ
“เรียนจบมาสามสี่ปีแล้วเหรอ หน้าตายังดูเด็กอยู่เลยนะ” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ มองจากภายนอกแล้วดอกแคร์ยังดูเหมือนเด็กปีหนึ่งมากกว่า
อีกฝ่ายยิ้มกว้างพลางส่ายหน้ารัวๆ “เปล่าค่ะ ดอกแคร์อยู่มอหกแล้ว แต่คุณแสงจันทร์ใจดีให้ดอกแคร์มาทำงานที่นี่ได้ตั้งแต่อยู่มอสามแล้วค่ะ”
“อ๋อ อย่างนี้เอง งั้นไปทำงานเถอะ ถ้ามีอะไรฉันจะเรียกดอกแคร์นะ ขอบใจมาก”
เด็กสาวถอยกลับไป อินทุภาจึงปิดประตูลงแล้วหันมาสำรวจรายละเอียดยิบย่อยภายในตัวเรือน
ดอกแคร์บอกว่าเรือนหลังนี้เคยเป็นที่พักของคุณน้าแสงจันทร์ มิน่า ถึงได้กว้างและอยู่ใจกลางรีสอร์ตแบบนี้ พอเข้ามาด้านในก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันอบอุ่นที่ตลบอบอวลทั่วเรือนทั้งหลัง เธอไม่สงสัยเลยว่าคุณน้าแสงจันทร์ต้องเป็นคนรักความสงบและรักธรรมชาติมากแน่ๆ
หญิงสาวหยุดยืนริมหน้าต่างบานกว้าง เมื่อมองออกไปข้างนอกก็เห็นทัศนียภาพรอบด้านได้อย่างเต็มตา เธอคิดว่าจุดนี้คงเป็นมุมที่ดีที่สุดในการชื่นชมความงามของรีสอร์ตภูแสงจันทร์
หลังจากสำรวจที่พักจนพอใจแล้วอินทุภาก็ออกมาเดินเล่นในสวน นั่งลงที่ม้านั่งสีขาว มองพระอาทิตย์ดวงโตที่เคลื่อนต่ำและกำลังจะลับเหลี่ยมเขาท่ามกลางดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกของที่นี่จนมืดค่ำ อากาศค่อนข้างเย็นจัดแต่มันกลับยิ่งดึงดูดให้หญิงสาวนั่งรับลมหนาวต่อไปอีกนาน
อินทุภาชอบฤดูหนาว เพราะมันเป็นฤดูที่เธอคุ้นเคย...
ความคิดเห็น