คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ ๓ จดหมายจากคนตาย
๓
จดหมายจากคนตาย
หลังแล้วเสร็จจากงานศพของมารดา ภูริชก็ตัดสินใจจะย้ายไปอยู่เรือนแสงจันทร์ แม่แสงจันทร์พักที่นั่นหลังพ่อจากไปด้วยโรคหัวใจเมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มขอให้ปณาลี ซึ่งเป็นเลขาฯ ของแม่ แต่ตอนนี้เป็นเลขาฯ ของเขา จัดการเป็นธุระแทน ป่านนี้ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่กลับจากตัวเมืองชายหนุ่มจึงไปที่ฟร้อนต์เพื่อสอบถามให้แน่ใจ แต่ใบหน้าเหลอหลา กอปรกับอาการผวาและคอยแต่จะหลบตาของดอกแคร์ทำให้เขาต้องยิงคำถามเดิมซ้ำ
“ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยดอกแคร์ ฉันไม่ใช่ยักษ์ซักหน่อย มีอะไรก็รีบๆ พูดมา โทษหนักจะได้เป็นเบา” เขาแกล้งขู่เพราะรู้ว่าเธอกลัว
ดอกแคร์เป็นเด็กสาวที่แม่แสงจันทร์เอ็นดูมากจึงรับเข้าทำงานที่นี่ เพื่อแลกกับรายได้ที่จะนำไปจุนเจือครอบครัว ซึ่งมีสมาชิกเพียงสองคนคือเธอกับคุณยาย หลังจากมารดาเสียไปภูริชจึงอยากสานต่อเจตนารมณ์ของแม่ และอันที่จริงเขาก็นึกเอ็นดูเด็กคนนี้เป็นทุนอยู่แล้ว
“คุณภูจะย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนแสงจันทร์เหรอคะ”
เขาขมวดคิ้ว “ใช่ มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
ดอกแคร์ที่หน้าเหี่ยวอยู่แล้วยิ่งเหี่ยวแห้งลงกว่าเดิมอีกหลายเท่า หันไปมองพนักงานคนอื่นอย่างขอความช่วยเหลือ พอเขามองตาม พนักงานเหล่านั้นต่างพร้อมใจกันหลบตาเป็นแนวเดียว
นี่แปลว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ภูแสงจันทร์ใช่ไหม?
“คุณภูคะ” ดอกแคร์เรียกเสียงอ่อย สีหน้าจ๋อยจืด
ชายหนุ่มเลิกคิ้วแทนคำถาม
เธอยิ้มแห้งๆ แล้วพูดต่อด้วยท่าทีเจี๋ยมเจี้ยม “ว่ากันว่าคนที่ไม่รู้ย่อมไม่ผิดใช่ไหมคะ”
ภูริชจ้องหน้าดอกแคร์แล้วส่ายหัว “รีบสารภาพบาปมาดอกแคร์ ไม่ต้องยึกยัก”
เธอก้มหน้า อ้อมแอ้มบอกเสียงเบา “ขอโทษค่ะคุณภู ดอกแคร์ไม่รู้ว่าคุณภูจะย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนแสงจันทร์ แล้ววันนี้คุณน้ำก็ลางานด้วย ดอกแคร์ไม่รู้จริงๆ นะคะ”
“เอาเนื้อๆ ดอกแคร์” ชายหนุ่มขัดเสียงเรียบ
“แบบว่า...มีแขกเข้าพักที่เรือนหลังนั้นแล้วค่ะ”
ภูริชจ้องหน้าดอกแคร์เขม็ง ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบหลบตาเหมือนนกรู้ เขาพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ก่อนจะเม้มปากและถามว่า
“กี่วัน แขกจะพักอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่?”
“จนถึงวันอาทิตย์ค่ะ”
“วันอาทิตย์?” ชายหนุ่มทวนด้วยเสียงที่สูงขึ้น เข้มขึ้น เสียงอ่อยๆ และหน้าจ๋อยๆ ของดอกแคร์ไม่ช่วยอะไรเลย
“ให้แขกย้ายห้องพักได้ไหม ฉันไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามในเรือนแสงจันทร์ ที่นั่นไม่ใช่เรือนพักสำหรับแขก”
“เราไม่มีห้องพักเหลือเลยค่ะ นี่เป็นช่วงไฮซีซั่น ขืนให้แขกย้ายออกไปตอนนี้รับรองว่าหาที่พักไม่ได้แน่ๆ รีสอร์ตหรือโรงแรมส่วนใหญ่ก็เต็มหมดแล้วค่ะ” กลีบบัวชี้แจง
หญิงสาวเป็นลูกของเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้วของป้าแสงดาว ท่านสงสารจึงได้รับมาอุปการะ เรื่องนี้ภูริชทราบจากคนที่นี่ เพราะชายหนุ่มถูกส่งไปอยู่กรุงเทพฯ กับคุณปู่คุณย่าตั้งแต่อายุห้าขวบ เขากลับมาที่ภูแสงจันทร์อีกครั้งเมื่อเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ตอนนั้นกลีบบัวยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อยู่เลย พวกเขาสองคนเติบโตมาด้วยกันเหมือนพี่น้อง เขาจึงไม่เคยคิดว่าหญิงสาวเป็นคนอื่น
เหตุผลของกลีบบัวทำให้ชายหนุ่มใจเย็นลงมาก ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่อย่างปลงตก ก่อนจะได้ยินเสียงดอกแคร์บอกเบาๆ
“แขกคนนี้ชื่ออินทุภาค่ะคุณภู เธอบอกว่าเป็นหลานสาวของคุณปิ่นมณีด้วยนะคะ”
เขาหันไปจ้องหน้าดอกแคร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ก้มหลบจนคางแทบจะชิดอกอยู่แล้ว
“เงยหน้าขึ้นมาดอกแคร์” ภูริชสั่ง
ดอกแคร์เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแห้งๆ
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?”
“แขกคนนั้นชื่อคุณอินทุภาค่ะ”
เกือบสี่ทุ่มแล้วที่ภูริชมายืนทำตัวเป็นพวกถ้ำมองอยู่หน้าเรือนแสงจันทร์ เขาไม่รังเกียจที่จะให้อินทุภาพักเรือนหลังนี้ แต่ชายหนุ่มคิดเสมอว่าที่นี่คือ ‘บ้าน’ จึงอยากให้เธอย้ายไปพักที่ห้องรับรองแขกในบ้านหลังใหญ่ อย่างไรเสียอินทุภาก็เป็นหลานสาวของปิ่นมณี เขาหวังว่าจะตกลงกับเธอได้
แต่ปัญหาอยู่ที่ตอนนี้ภายในเรือนแสงจันทร์มืดสนิท เขาไม่แน่ใจว่าคนที่เข้าพักหลับไปแล้ว หรือยังไม่กลับเข้ามากันแน่ ชายหนุ่มตัดสินใจอยู่นานเพราะลังเลว่าควรเคาะเรียก หรือปล่อยให้หญิงสาวพักผ่อนที่นี่สักคืนก่อนค่อยขอให้ย้ายออกในวันรุ่งขึ้น ตอนนี้มันก็ออกจะดึกไปสักหน่อยสำหรับการย้ายห้องพัก
“โอ๊ะ!”
ภูริชได้ยินเสียงอุทานดังมาจากด้านหลังจึงหันกลับไปด้วยความแปลกใจ เห็นร่างของใครบางคนล้มไม่เป็นท่าอยู่ที่ทางเดินจึงรีบรุดเข้าไปดู เผื่อเธออาจต้องการความช่วยเหลือ เขายื่นมือไปให้แต่โดนอีกฝ่ายปัดทิ้งทันทีก่อนจะส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาพร้อมเสียงขู่ฟ่อ
“ถอยไปนะ คุณมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านพักคนอื่นทำไม ฉันโทร. แจ้งเจ้าของรีสอร์ตแล้วว่ามีคนไม่น่าไว้ใจอยู่ที่นี่ อีกไม่นานพวกเขาจะแห่กันมาเป็นโขยง ถ้าฉลาดก็รีบไปตอนนี้ดีกว่า”
เธอตั้งท่าจะลุก แต่เจ็บจี๊ดที่ข้อเท้าจึงเสียหลักล้มลงไปกองอยู่กับพื้นในท่าเดิมด้วยสีหน้าเหยเก
“งั้นเหรอ แล้วทำไมผมไม่รู้ล่ะว่ามีคนแจ้งไปอย่างที่คุณบอก” เขาถามยิ้มๆ รู้สึกขบขันกับท่าทีระวังตัวของเธอมากกว่าจะโมโห
หญิงสาวตวัดตาจ้องมองเขา แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับอ้าปากค้างตกตะลึง เมื่อแสงสีเหลืองนวลจากเสาไฟหน้าเรือนจับต้องใบหน้าเสี้ยวหนึ่งของชายหนุ่ม
เขาก็คือเหตุผลที่ทำให้เธอมาที่นี่...ภูริช!
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าใต้แสงจันทร์ของหญิงสาวถนัดขึ้น เขาจำดวงตาสุกใสเหมือนลูกแก้วคู่นั้นได้ เธอก็คืออินทุภา หลานสาวของปิ่นมณี และเป็นคนที่เขาต้องการพบนั่นเอง
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ อินใช่ไหม”
อินทุภาพยักหน้าน้อยๆ หลบตาเขาเป็นการใหญ่ เธอไม่มีทางลืมใบหน้าของภูริชได้ และตอนนี้ก็รู้สึกอับอายกับความเปิ่นของตัวเองเหลือรับ
ก็มีอย่างหรือ กล่าวหาว่าเขาเป็นคนไม่น่าไว้ใจยังไม่พอ มีหน้าไปไล่เจ้าของภูแสงจันทร์อีก ไม่ถูกเขาจับโยนออกไปก็บุญโข
“อินพักที่เรือนแสงจันทร์ใช่ไหม” ภูริชชวนคุยสร้างความคุ้นเคย แม้จะแปลกใจที่เห็นเธอมาอยู่นี่ เนื่องจากอินทุภาไม่เคยโผล่มาที่ภูแสงจันทร์เลยทั้งที่ปิ่นมณีมาทุกปี แต่เขาก็ไม่ถามถึงเหตุผล เพราะนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ
หญิงสาวทำหน้างงแล้วหันไปมองเรือนที่พัก ก่อนจะหันกลับมามองหน้าเขาแทนคำถาม
“ผมหมายถึงเรือนหลังนั้นแหละ ชื่อเรือนแสงจันทร์”
เธอพยักหน้าอีกครั้ง “ค่ะ อินพักที่เรือนหลังนี้ มีปัญหาอะไรเหรอคะ”
“ผมว่าคุณลุกขึ้นก่อนดีกว่านะ เท้าเจ็บใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดไปคนละเรื่องเมื่อเห็นใบหน้าใสๆ นั้นดูจะงุนงงอยู่ไม่หาย
อินทุภาพยายามทรงตัวลุก แต่แล้วก็นิ่วหน้าเพราะเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ท่าทางยักแย่ยักยันของเธอคงขวางหูขวางตาเขาหรืออย่างไรไม่ทราบ ชายหนุ่มเลยเอื้อมมือมาคว้าต้นแขนของเธอไว้ แล้วช่วยประคองให้ลุกขึ้นโดยไม่เว้นจังหวะให้ปฏิเสธ
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นบอกเสียงเบาเมื่อยืนได้มั่นคงแล้ว นัยน์ตาคมที่มองตอบมากับความอบอุ่นจากมือเขาแผ่ซ่านรอบต้นแขน ทำให้ใจเธอเต้นผิดจังหวะจนต้องรีบหลบตา
“ผมว่าคุณเข้าไปข้างในก่อนดีกว่า” เขาบอกโดยไม่ยอมปล่อยมือ เพราะท่าทางเธอไม่อยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือตัวเองได้
ภูริชประคองหญิงสาวเข้าไปในเรือนแสงจันทร์แล้วพาไปนั่งที่โซฟาเบดสีเทาอย่างไม่ลังเล ชายหนุ่มคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมของเรือนหลังนี้เป็นอย่างดี เพราะมันเป็นที่เดียวที่เขามักจะเข้ามาอาศัยอ้อมกอดอบอุ่นของแม่เป็นที่พักใจในยามเหนื่อยล้า
“ขอบคุณมากนะคะ อินเห็นคุณยืนอยู่หน้าเรือนหลังนี้ตั้งนาน มีปัญหาอะไรรึเปล่า” เธอยังไม่หายข้องใจกับเรื่องที่เขาเอ่ยถึงในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับทำท่าเหมือนไม่อยากพูดถึง
เขามองใบหน้าใสๆ ดูไร้พิษภัยของอินทุภาแล้วก็พูดไม่ออก อุตส่าห์ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดีแล้ว จะให้บอกเธอได้ยังไงว่าเขามาที่นี่เพื่อจะขอให้เธอย้ายออกไปจากเรือนแสงจันทร์
“ข้อเท้าคุณคงจะเคล็ด ต้องประคบน้ำแข็งหน่อยนะ” เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถาม ก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วเอ่ยอีกว่า “ตอนนี้พนักงานคงเหลือกันไม่กี่คนแล้ว ผมจะไปเอาน้ำแข็งมาประคบข้อเท้าให้ รออยู่เฉยๆ นะครับ”
แล้วเขาก็เดินออกไปจากเรือนแสงจันทร์ทันทีโดยไม่ใส่ใจจะถามความเห็นของคนเจ็บ
หญิงสาวมุ่ยหน้า แต่ตอนนี้ไม่มีปัญญาจะตามไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา เพราะปวดที่ข้อเท้าอย่างจริงจังเลยได้แต่นั่งรอเฉยๆ ตามใบสั่งของคนเพิ่งรู้จัก
ภูริชกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าขาวห่อน้ำแข็ง อินทุภาไม่ได้ล็อกประตูเพราะขาเจ็บเลยเดินไปทำเองไม่ไหว ชายหนุ่มเคาะให้สัญญาณก่อนจะผลักประตูเข้ามา หญิงสาวยังนั่งตาแป๋วอยู่ที่เดิม เขาเดินมาคุกเข่าลงหน้าโซฟา แตะข้อเท้าเธอเบาๆ แต่อีกฝ่ายก็สะดุ้งและถอยหนี
“เจ็บเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้นถาม
เธอนิ่วหน้า น้ำตาคลอ ผงกศีรษะรับ
เจ็บและตกใจด้วย ไม่นึกว่าเขาจะทำแบบนี้...
“ข้อเท้าเคล็ด ถ้าไม่ประคบน้ำแข็งไว้พรุ่งนี้มันอาจบวมและปวดมาก” ชายหนุ่มว่าแล้วเอาผ้าขาวห่อน้ำแข็งประคบที่ข้อเท้าของเธออย่างเบามือ
อินทุภาสะดุ้งน้อยๆ กับสัมผัสของคนที่อาจเรียกได้ว่าแปลกหน้า บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไรที่เขามาดูแลเอาใจใส่เธอถึงเพียงนี้ แต่สักพักหญิงสาวก็เริ่มผ่อนคลายกับสัมผัสอันอ่อนโยนนั้น
“มาเที่ยวเหรอ”
คำถามของภูริชทำให้เธอเบิกตากว้าง เพิ่งนึกถึงธุระของตัวเอง
“ป้าปิ่นฝากของมาให้คุณค่ะ บอกว่าสำคัญมาก ต้องส่งให้ถึงมือ ตอนนี้ป้าปิ่นบินไปลั้ลลาที่ฮ่องกงแล้วก็ไม่ได้ทิ้งเบอร์คุณไว้ให้อิน อินก็เลยมาหาคุณที่นี่โดยไม่ได้บอกล่วงหน้า โชคดีจังค่ะที่เจอคุณวันนี้”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ของสำคัญ?”
“ค่ะ” เธอพยักหน้า ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่แล้วก็ทรุดฮวบลงที่เดิมเพราะอาการเจ็บจี๊ดที่แล่นพล่านไปทุกรูขุมขน ก่อนจะยิ้มแหยให้เขาพลางบอกเสียงอ่อย “มันอยู่ในกระเป๋าเดินทางของอินค่ะ ในตู้”
เธอชี้มือข้ามไหล่เขาไปที่ตู้เสื้อผ้า ชายหนุ่มลุกไปเปิดตู้ ดูเหมือนเธอยังไม่ได้จัดของ เขาจึงหิ้วกระเป๋าทั้งใบมาให้โดยไม่ถือวิสาสะเปิดเอง
อินทุภาเปิดกระเป๋า หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาส่งให้เขา “นี่ค่ะ”
ภูริชรับมาถือไว้ ขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความสงสัยแล้วเงยหน้าขึ้นถาม “เป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”
เธองงในทีแรก แต่สักพักก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรจึงพยักหน้า “ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แต่ว่า...อินต้องประคบไว้แบบนี้ทั้งคืนรึเปล่า”
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความยุ่งยากใจของเธอและมันก็ทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ “ซักยี่สิบนาทีก็พอ ไม่ถึงกับต้องทำทั้งคืนหรอก”
เขาส่งยาให้เธอสองเม็ด แต่เห็นหญิงสาวทำหน้างงเลยต้องอธิบายเพิ่ม
“ยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบน่ะ กลางคืนจะได้ไม่ปวดมาก ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้น ผมจะพาไปหาหมอนะ”
เธอจ้องเขาตาปริบๆ ไม่ยอมส่งมือไปรับยา
“รับไปสิ”
“ไม่ต้องกินยาไม่ได้เหรอคะ”
ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างรู้ทัน “ไม่ชอบกินยาละสิ ไม่กินก็ได้ แต่อาจจะปวดข้อเท้าทั้งคืนจนนอนไม่หลับ”
อินทุภาคงไม่ชอบกินยาเหมือนผู้หญิงอีกคนที่เขารู้จักดี เธอทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ แต่ก็ยื่นมือมารับอย่างเสียไม่ได้ เขาโคลงศีรษะ นึกขำกับสีหน้าลำบากใจของหญิงสาว เธอทำราวกับว่าการกินยาเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่อยากทำ
“ขอบคุณนะที่เอาไอ้นี่มาให้” เขาชูซองสีน้ำตาลในมือขึ้น “ถ้ามีอะไรก็...ขอยืมมือถือคุณหน่อยสิ”
ภูริชยื่นมือไปข้างหน้า ซึ่งเธอก็ยอมล้วงมือลงไปค้นในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือให้เขา ชายหนุ่มใช้มือถือของเธอยิงเข้าเครื่องตัวเองแล้วส่งคืน
“โทร. หาผมก็แล้วกัน”
หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นเต็มไปด้วยคำขอบคุณที่ไม่ต้องตีความอีก
ในที่สุดเขาก็พูดไม่ออก...
เอาเถอะ คงไม่กี่วันหรอก สำหรับอินทุภาถือว่าเป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน คราวนี้ดอกแคร์ก็รอดตัวไป
“อย่าลืมกินยาล่ะ” ชายหนุ่มทิ้งท้ายพร้อมหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาส่งให้เธอถึงมือ แต่ก่อนจะออกไปเขาก็หันมาบอกอีกว่า “เดี๋ยวผมล็อกประตูให้นะ”
อินทุภากล่าวขอบคุณเบาๆ พอเขาไปแล้วก็ก้มมองยาสองเม็ดในมืออย่างไม่ชอบใจ แต่สุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนมันลงคอ เพราะไม่อยากเจ็บป่วยในระหว่างการพักร้อน เสียเวลาเที่ยวเปล่าๆ
ภูริชมาที่ห้องทำงานพร้อมซองปริศนาที่อินทุภานำมาให้ เมื่อเปิดดูก็พบว่าในนั้นเป็นจดหมายสองฉบับ ปิ่นมณีเขียนกำกับไว้ด้วยว่าให้อ่านฉบับไหนก่อน
จดหมายฉบับแรกเป็นของป้าปิ่นถึงเขา...
‘ภูคงแปลกใจที่ป้าให้ยายอินเอาจดหมายขึ้นไปส่งถึงเชียงรายด้วยตัวเอง อย่าว่าแต่ภู ป้าเองก็แปลกใจไม่แพ้กันหลังจากที่อ่านจดหมายของแสงจันทร์จบลง
แสงจันทร์ฝากจดหมายถึงป้าก่อนจะจากเราไป แม่ของภูตระเตรียมเรื่องนี้ไว้ก่อนจะหมดเวลาบนโลก แสงจันทร์ให้ป้าเป็นคนตัดสินใจว่าเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่ ป้าเห็นว่าดีที่จะทำตามความต้องการสุดท้ายของแม่เรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องถามความสมัครใจของภูด้วย ป้าได้ส่งจดหมายที่แสงจันทร์เขียนถึงภูมาให้อีกฉบับ แต่จะทำตามความต้องการของแม่เราหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่ภูจะตัดสินใจเองนะจ๊ะ
สิ่งหนึ่งที่ป้าอยากจะบอกภูก็คือแสงจันทร์รักภูมากนะ การที่แสงจันทร์ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น ถ้าภูตกลงตามนี้ก็ขอให้รู้ด้วยว่าป้ากับแสงจันทร์จะดีใจและมีความสุขกับภูมากที่สุด
รักเสมอ...
ป้าปิ่น...’
เขาอ่านจดหมายของปิ่นมณีจบลงด้วยความข้องใจ อย่าว่าแต่ให้ทำอะไรเลย ต่อให้ต้องตายแทนแม่แสงจันทร์ หากทำได้เขาก็ยินดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะเปิดจดหมายฉบับที่สองออกอ่าน
จดหมายจากแม่แสงจันทร์ถึงเขา...
ภูริชไล่สายตาไปตามลายมือที่คุ้นเคยดี เห็นแล้วยิ่งคิดถึงมารดาจับใจ แต่ทุกตัวอักษรที่ผ่านสายตาไปทำให้เกิดข้อสงสัยมากมาย
สิ่งที่แม่ขอกับปิ่นมณีทำให้เขานั่งมึนอยู่เป็นนาน แต่เพราะรู้ว่าแม่ปรารถนาดีต่อเขาเสมอ แม่แสงจันทร์เป็นคนเดียวที่รักและอยู่เคียงข้างเขาตลอดมา และเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่จะคิดร้ายกับเขาได้ ดังนั้นความตั้งใจสุดท้ายก่อนจะม่อยหลับไปในคืนนั้นก็คือ...
ทำตามที่แม่แสงจันทร์ฝากฝังเอาไว้ทุกอย่าง!
ความคิดเห็น