คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ ๔ เพื่อนรุ่นน้อง
๔
เพื่อนรุ่นน้อง
สัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านริมหน้าต่างเข้ามา อินทุภาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเพราะได้นอนหลับเต็มอิ่ม เธอบิดขี้เกียจยืดหยุ่นกล้ามเนื้ออยู่ครู่หนึ่งแล้วลองขยับเท้าดู พบว่ามันไม่ค่อยปวดแล้วจึงค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังไปเปิดม่านรับแสงอรุณ
หญิงสาวกวาดสายตาไปทั่วภูแสงจันทร์ที่ถูกอาบไล้ด้วยแสงตะวันยามเช้า แสงแดดอ่อนทั้งอบอุ่นและให้ความรู้สึกมั่นคงกับเธอได้เสมอ
มองพระอาทิตย์ขึ้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้รับพลังในการต่อสู้กับทุกปัญหาที่รออยู่ ส่วนพระอาทิตย์ตกดินก็ทำให้รู้สึกว่าในความเศร้าหมองยังมีความสวยงามซ่อนอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองในแง่ไหน
อินทุภาดื่มด่ำกับบรรยากาศอันอบอุ่นนี้ไปจนแสงแดดเริ่มจัดจ้าจึงตัดสินใจเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการออกไปหาอะไรรองท้องที่ห้องอาหาร พบมุมน่าสบายที่สามารถมองเห็นต้นส้มนับพันแข่งกันออกผลสีทองอร่ามเหมือนดอกไม้บานสะพรั่งต้อนรับหน้าหนาว เธอเลยยึดไว้เป็นมุมส่วนตัว นั่งจิบกาแฟ แทะขนมปังปิ้งทาเนยโดยมีหนังสือพิมพ์เป็นกับแกล้มเพิ่มความอร่อยให้มื้อเช้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ ขอนั่งด้วยคนนะ”
ความสงบของเธอถูกรบกวนด้วยเสียงนุ่มทุ้มของใครคนหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบดวงตาคมดำกำลังจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น อุ่น...ไม่ต่างจากแสงแรกของดวงตะวันเลย
“เชิญค่ะ” หญิงสาวรู้สึกขัดเขินอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสบตากับเขานานๆ นั่นทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งความใจดีของเขาและความเปิ่นของตัวเอง
“ข้อเท้าเป็นยังไงบ้าง” เขาถามและยิ้มให้เธออย่างเป็นกันเอง
อินทุภาก้มมองข้อเท้านิดหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มสดใสให้เขา “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ เราไม่ใช่คนอื่น”
ต้องบอกว่าเธอแปลกใจที่ได้ยินเขาพูดอย่างนั้น เมื่อคืนเขาใจดีและเอื้อเฟื้อต่อเธอมากก็จริง แต่สรรพนามของเขาก็ยังห่างเหิน ไม่ชิดเชื้อเท่าวันแรกที่เจอกัน เธอไวต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง ภูริชไม่มีทางหลอกเธอได้สำเร็จ
“คุณพูดถึงเรือนแสงจันทร์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มีอะไรรึเปล่าคะ”
นั่นเป็นคำถามที่เขาไม่ยอมตอบและเธอก็มีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่าจึงละเลยไป แต่อินทุภาไม่ใช่คนลืมง่าย
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
เขาตัดบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนละมุนที่อาจทำให้สาวๆ ไขว้เขว แต่ไม่ใช่กับอินทุภา แม้จะยอมรับว่ายิ้มของภูริชชวนมอง แต่เธอไม่หลงประเด็นง่ายๆ หรอก
“เข้าใจผิดยังไงคะ” หญิงสาวรุกต่ออย่างมุ่งมั่น อาจเป็นเพราะรู้มาจากดอกแคร์ว่าเรือนหลังนั้นเคยเป็นที่พักของมารดาเขาก็ได้ เธอจึงรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่นอน
เขานิ่วหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้น “รู้มั้ย ‘อินทุภา’ แปลว่าอะไร”
นอกจากไม่ยอมตอบคำถามง่ายๆ แล้ว เขายังสร้างความสับสนให้เธอด้วยคำถามใหม่กับสายตาคล้ายซ่อนความลับบางอย่างไว้และเชิญชวนให้เธอค้นหา
หญิงสาวขมวดคิ้ว ยอมรับว่าสนใจอยู่เหมือนกัน “คุณรู้เหรอคะ”
ภูริชหัวเราะน้อยๆ อย่างน่ามอง เธอพบว่าเวลายิ้มเขาดูดีกว่าเวลาทำหน้าเคร่งขรึมหลายเท่านัก
“อินทุภาแปลว่าแสงจันทร์ มีความหมายเดียวกับเรือนหลังนั้น เรือนแสงจันทร์”
เธอชะงัก มองหน้าเขาอย่างนึกทึ่ง ไม่เคยรู้ว่าชื่อตัวเองมีความหมายว่าอะไร ไม่เคยสนใจมาก่อนด้วยซ้ำ
“บังเอิญจังเลยนะคะ”
“คิดแบบนั้นเหรอ?”
เธอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่เขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกครั้งอย่างแยบยล
“ไปให้หมอดูข้อเท้าหน่อยไหมอิน”
คราวนี้ชายหนุ่มเรียกชื่อเล่นของเธอด้วยเสียงอุ่นนุ่ม และอินทุภาก็พบว่ามันน่าฟังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินใครเรียกมาเลย หญิงสาวหลบตา ลองขยับเท้าไปมาเบาๆ
“คงไม่เป็นไรแล้วละค่ะ เดินได้สบายมาก ขอบคุณสำหรับน้ำแข็งกับยานะคะคุณภู”
“เรียก ‘พี่’ สิ เหมือนที่อินเรียกตอนแรกไง”
อินทุภาหันไปสบตาเขาแวบหนึ่ง อันที่จริงตั้งใจจะเรียกแบบนั้นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ภูริชเองนั่นแหละที่มาเรียกเธอว่า ‘คุณ’ ก่อน ทำให้เธอเปลี่ยนความคิด แต่ความเป็นมิตรที่ถ่ายทอดออกมาทางดวงตาคมในตอนนี้ก็ทำให้หญิงสาวยิ้มรับอย่างเต็มใจ
“ตกลงค่ะ พี่ภู”
“ช่วงเช้าพี่มีงานต้องเคลียร์นิดหน่อย” เขาว่าพลางพลิกข้อมือที่สวมนาฬิกาขึ้นดูเวลา
“พี่ภูไปทำงานเถอะค่ะ อินอยู่ได้สบายมาก”
“งั้นตอนเที่ยงรอกินข้าวกับพี่นะ จะพาไปเลี้ยงต้อนรับที่อินมาเยือนภูแสงจันทร์ครั้งแรก”
เธอแปลกใจไม่น้อยและคิดว่าตัวเองคงทำสีหน้าประหลาดอยู่แน่ๆ เพราะเห็นเขาอมยิ้มคล้ายกำลังขันอะไรบางอย่าง พอรู้ตัวก็รีบปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“อย่าลำบากเลยค่ะ อินแค่เอาของมาส่งแล้วถือโอกาสหนีเที่ยวด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนพี่ภูเลย”
“พี่เต็มใจจะถูกรบกวน ตกลงเที่ยงนี้รอพี่นะ เสร็จงานแล้วจะไปรับ”
ภูริชเดินจากไปแล้ว เขาไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธเลย อินทุภาได้แต่ย่นจมูก
“แอบเอาแต่ใจเหมือนกันนะอีตาพี่ภูเนี่ย!”
ตอนที่เสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้น อินทุภายังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมกาแฟสุดโปรด เธอกลับไปเอาหนังสืออ่านเล่นที่เรือนแสงจันทร์ ซึ่งพกมาจากกรุงเทพฯ ด้วย แล้วกลับมานั่งอ่านที่นี่ เพราะข้อจำกัดของข้อเท้าที่บาดเจ็บและเพิ่งจะดีขึ้นเลยไม่อยากออกไปตะลอนข้างนอกให้มันเจ็บหรือบวมขึ้นมาอีก เดี๋ยววันลาที่เหลือจะอดเที่ยวไปเปล่าๆ
เบอร์ที่โชว์บนหน้าจอไม่คุ้นเคยเลย แต่เธอก็กดรับสายอย่างไม่รีรอ “สวัสดีค่ะ”
“พี่เองนะ อินอยู่ไหน ตอนนี้พี่อยู่หน้าเรือนแสงจันทร์แล้ว”
หญิงสาวอดรู้สึกผิดไม่ได้เลยตอบเสียงอ่อย “อินอยู่ที่ห้องอาหารค่ะ มุมเดียวกับตอนเช้า อ่านหนังสือเพลินไปหน่อย”
“งั้นรอที่นั่นแหละ เดี๋ยวพี่ไปรับ”
พูดจบเขาก็ตัดสายทันที เป็นอีกครั้งที่อินทุภาต้องย่นจมูกกับโทรศัพท์ เธอคิดว่ารู้จักเขามากขึ้นอีกนิดแล้ว นอกจากเอาแต่ใจ ภูริชยังเป็นคนชอบออกคำสั่งอีกด้วย
ไม่นานคนที่เธอแอบนินทาในใจก็ปรากฏตัว ตอนนั้นหญิงสาวยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้พนักสูง นั่งในท่าชันเข่าและเกือบจะจมลงไปกับเบาะนุ่มแสนสบายอยู่รอมร่อ
“หิวหรือยัง”
เธอรีบเอาขาลงจากเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นสบตาคนถามด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เลยค่ะ”
“ดี เพราะร้านที่พี่จะพาอินไปชิมอยู่ในเมือง ต้องนั่งรถอีกพักใหญ่เลย”
หญิงสาวยิ้มกว้าง “ไม่ต้องเข้าเมืองก็ได้นะคะ กินที่นี่ก็สะดวกดี อินไม่เรื่องมากเท่าไหร่หรอก”
เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ กำลังจะพูดบางอย่างแต่ก็มีเสียงเรียกขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“พี่ภูคะ!”
“ลัน...” ชายหนุ่มครางแผ่ว สีหน้าเคร่งขรึมลงทันที
อินทุภาหันไปทางต้นเสียง จดจำผู้หญิงคนนี้ได้ทันใด สาวสวยที่ยืนข้างภูริชในวันเผาศพของมารดา เธอยังคิดเลยว่าน่าจะเป็นคนรักของเขา นึกมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกใจแป้วแปลกๆ เธอลืมไปได้ยังไงกันว่าภูริชมีแฟนแล้ว สวยมากซะด้วย
ผู้มาใหม่นั่งลงข้างเจ้าของรีสอร์ตด้วยท่าทีเชิดๆ โดยไม่รอให้ใครเชื้อเชิญ เขม้นจ้องผู้หญิงอีกคนอย่างไม่เป็นมิตร
“นี่เหรอคะธุระสำคัญของพี่ภู”
อินทุภานึกฉุนขึ้นมาเหมือนกันกับน้ำเสียงสะบัดและสายตาจับผิดที่อีกฝ่ายใช้มองเธอ แต่ยังสงวนท่าทีเอาไว้ เพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ภูริช มีแฟนขี้หึงก็แย่พออยู่แล้ว เธอไม่อยากซ้ำเติมเขาอีก
“อินเป็นหลานสาวของป้าปิ่น จำได้ไหมที่เจอกันวันงานเผาศพคุณแม่” เขาบอกหญิงสาวอีกคนด้วยสีหน้าเรียบขรึม แล้วหันไปทางอินทุภา แนะนำว่า “ลันเป็นเพื่อนรุ่นน้องของพี่”
“สวัสดีค่ะคุณลัน” อินทุภายิ้มแย้มทักทาย
‘ลัลนา’ เชิดหน้าด้วยท่าทีหยิ่งๆ ไหวไหล่อย่างถือตัว ตอบรับโดยไม่มองหน้าอินทุภาด้วยซ้ำ “ค่ะ”
หญิงสาวรู้สึกได้ชัดถึงความไม่เป็นมิตรของสาวสวยจึงพยายามพูดให้น้อยเข้าไว้ ปล่อยให้ภูริชจัดการกับคนของเขาเอง นั่นไม่ใช่หน้าที่เธอ
“ไหนพี่ภูบอกว่ามีธุระสำคัญเลยไปกินข้าวกับลันไม่ได้ไงคะ ถ้าลันไม่มาดูให้เห็นกับตา คงไม่รู้ว่าธุระของพี่ภูเป็นผู้หญิง” สาวสวยทำเสียงเง้างอน มองอินทุภาตาขวาง
“ลัน” ชายหนุ่มปรามพร้อมใช้สายตาตำหนิ
“ทำไมคะ ลันพูดผิดตรงไหน” เธอสวนฉับไว ความน้อยใจพุ่งปรี๊ด
“อินขอตัวก่อนดีกว่านะคะ ท่าทางพี่ภูมีเรื่องต้องเคลียร์” คนที่รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินรีบหาทางชิ่ง เพราะอึดอัดกับสถานการณ์พิพักพิพ่วนนี้จะแย่
“ดูเหมือน ‘ธุระสำคัญของพี่ภู’ จะไม่ได้ต้องการพี่ภูเหมือนที่ลันต้องการนะคะ ไปกับลันดีกว่า ลันไม่มีเพื่อนกินข้าว” อีกฝ่ายเร่งเร้าด้วยการเขย่าแขนชายหนุ่มไปมาเหมือนเด็กๆ
“ไม่ได้หรอกลัน พี่นัดกับอินก่อนแล้วจะผิดนัดไปกับลันได้ยังไง” ภูริชทำเสียงเข้มขึ้น บอกให้รู้ว่าเขามีจุดยืนที่มั่นคงและเริ่มไม่พอใจกับสิ่งที่เธอทำแล้ว
ลัลนากัดริมฝีปาก สีหน้าสลดลงนิด แต่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทำเสียงอ้อนว่า “ไม่ใช่เรื่องงานนี่คะ งั้นให้ลันกินคนด้วยนะ ลันเหงา กินข้าวคนเดียวไม่อร่อย”
“อันที่จริงเราก็แค่จะกินมื้อเที่ยงเท่านั้น อินว่ากินที่นี่เถอะค่ะ อินเห็นมีต้มยำยอดมะพร้าวอ่อนกับปลาเก๋าผัดพริกไทยดำ ดูในเมนูแล้วน่ากินมากเลย อินอยากลอง” อินทุภาช่วยคลี่คลายสถานการณ์
เธอไม่หวังอาหารเลิศรสในมื้อนี้ แค่หวังว่ามันจะจบลงด้วยดีและโดยเร็วที่สุดก็พอ เพราะดูท่าแล้วภูริชจะไม่ยอมผิดนัดกับเธอแน่ๆ เช่นนั้นก็มีทางออกเดียวคือกินด้วยกันทั้งสามคนนี่แหละ
ชายหนุ่มจำต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอของหญิงสาว สถานการณ์นี้ผูกมัดเขาจนแทบกระดิกตัวไม่ได้
“งั้นตามใจอินก็แล้วกัน”
ถ้อยคำที่แสดงให้เห็นว่าอินทุภาสำคัญกว่า ทำให้ลัลนาไม่พอใจ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้พูดโพล่งห้วนๆ ออกมาอีก เพราะเริ่มรู้ตัวว่ายิ่งเอาแต่ใจก็ยิ่งทำให้ภูริชไม่พอใจมากขึ้น
อินทุภาเริ่มหายใจได้ทั่วท้องหน่อยที่ไม่ถูกจิกกัดด้วยสายตาอีก หญิงสาวดูเมนูอย่างสนใจ ก่อนจะหันไปบอกพนักงานรับออร์เดอร์ “ปลาเก๋าผัดพริกไทยดำ ต้มยำยอดมะพร้าวอ่อน ยำเห็ดรสเด็ด แล้วก็...ไข่เจียวกุ้งสับค่ะ”
ภูริชสั่งข้าวเปล่ากับน้ำดื่มและไม่ลืมถามลัลนาด้วยว่าจะสั่งอะไรเพิ่ม เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ ทั้งโต๊ะเลยเงียบกริบเมื่อพนักงานรับออร์เดอร์เดินจากไป เขาไม่อยากให้บรรยากาศเลวร้ายกว่าที่เป็นจึงชวนอินทุภาคุยเรื่องปิ่นมณี สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะจะคุยเรื่องอื่น ดูเหมือนหญิงสาวก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
อินทุภาให้ความร่วมมือกับภูริชด้วยดีจนกระทั่งอาหารทยอยมาเสิร์ฟครบทุกจาน เมื่อเริ่มกินมื้อเที่ยงทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันด้วยเรื่องของสาวใหญ่ผู้มีนิสัยเปรี้ยวเกินวัยอย่างออกรส นั่นทำให้รู้ว่าปิ่นมณีคือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกันตลอดมา
เสียงช้อนส้อมกระแทกจานดังขัดจังหวะ ลัลนาลุกพรวดขึ้นแล้วบอกห้วนๆ “ลันกลับก่อนนะคะ กินไม่ลง”
พูดจบก็สะบัดบ๊อบเดินหนีไปเลย ไม่รอให้ใครเหนี่ยวรั้ง
“ตามไปง้อหน่อยสิคะพี่ภู ไม่ต้องห่วงอินหรอก อินเข้าใจค่ะ” อินทุภารีบบอก
เธอตกใจกับปฏิกิริยาของลัลนาพอควร เนื่องจากไม่ค่อยได้เห็นใครที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้มากนัก ถ้าเป็นเธอเองคงจะเก็บความไม่พอใจไว้แล้วหาโอกาสเลี่ยงในครั้งต่อไปมากกว่า แต่นี่ลัลนากลับเดินหนีไปเฉย ช่างเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองจนน่าทึ่ง
เขาสบตาเธอพร้อมรอยยิ้มเสียใจ “พี่ขอโทษแทนลันด้วยนะ คงหงุดหงิดมาจากบ้านน่ะ งั้นพี่ขอตัวแป๊บนึง”
หญิงสาวไม่ค่อยเชื่อนักว่าลัลนาหงุดหงิดมาจากบ้าน คิดว่าสาวเจ้าหงุดหงิดที่ภูริชเอาใจใส่เธอมากกว่า เห็นชัดเลยว่าลัลนาไม่ใช่แค่เพื่อนรุ่นน้องธรรมดาแน่ อย่างน้อยสาวสวยผู้นั้นก็ไม่ได้คิดเช่นนั้นกับชายหนุ่ม
เธอมองจนร่างสูงลับตาไปแล้วค่อยหันกลับมาสนใจอาหารรสเด็ดตรงหน้า ใจหนึ่งแอบอยากรู้ว่าเขาตามไปพูดอะไรกับผู้หญิงอีกคน แต่อีกใจก็เตือนตัวเองว่าไม่ใช่ธุระของเธอ อย่าหาเรื่องใส่ตัว อีกไม่กี่วันเธอก็จะกลับกรุงเทพฯ แล้ว ให้ภูแสงจันทร์เป็นเพียงสถานที่ในความทรงจำจะดีกว่า
เมื่อภูริชกลับมา หญิงสาวยังกินได้ไม่เท่าไหร่ ที่พร่องไปเยอะกว่าอย่างอื่นหนีไม่พ้นไข่เจียวกุ้งสับ เขาสังเกตเห็นทันที พอนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมจึงเอ่ยถาม
“รสชาติอาหารที่นี่ค่อนข้างไทยแท้ แต่ดูเหมือนอินจะกินรสจัดไม่ค่อยได้นะ”
เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา “คุณลันล่ะคะ”
“กลับไปแล้ว บ้านลันก็ไร่ส้มที่อินเห็นอยู่นี่ไง พ่อลันเป็นเจ้าของไร่แสงตะวัน”
หญิงสาวทำตาโต “ดีจังค่ะ อินอยากมีไร่ส้มแบบนี้บ้างจัง วันหลังอินเข้าไปดูได้มั้ยคะ”
“เอาสิ แต่อินจะไปเมื่อไหร่ต้องบอกพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปด้วย แล้วยังไงล่ะ เรื่องอาหารน่ะ อินยังไม่ตอบพี่เลย” เขาไม่ยอมให้เธอเฉไฉ
อินทุภายิ้มเจื่อน สารภาพเสียงอ่อย “อินไม่ค่อยได้กินอาหารรสจัดค่ะ ที่บ้านมีแต่คนกินจืด ที่โรงเรียนประจำก็...เอ่อ...แบบว่าอินเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็กแล้วเลยไม่ค่อยได้กินอาหารไทย”
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ เพิ่งนึกออกว่าอินทุภาถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก สักพักรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏบนใบหน้าคม แววตาอ่อนโยนจ้องมองเธออย่างเข้าใจถึงความรู้สึกอ้างว้างลึกๆ ของเด็กนักเรียนประจำที่หญิงสาวแอบซุกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของความคิด
“มิน่า ถึงอยากลองชิมอาหารไทยรสจัด แต่พี่ว่าทีหลังต้องสั่งพิเศษแล้วนะ ขอรสกลางๆ ดีกว่า แบบนี้อินกินไม่ได้หรอก เดี๋ยวกระเพาะจะพังเอา”
น้ำเสียงของเขาเหมือนพี่ชายอบรมน้องสาวหัวดื้อไม่มีผิด เธอหัวเราะแหะๆ แต่ก็ไม่เถียง
ไม่นึกเลยว่าการที่มีใครสักคนมาคอย ‘บ่น’ ด้วยความปรารถนาดี จะให้ความรู้สึกดีขนาดนี้ ที่สำคัญ สายตาที่เขามองมาทำให้เธอรู้สึกว่า ภูริชเข้าใจความรู้สึกของเธอจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดตามมารยาทเท่านั้น
แปลกจังที่เธอรู้สึกใกล้ชิดกับผู้ชายที่เพิ่งพบหน้ากันได้มากขนาดนี้...
ความคิดเห็น