ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #38 : ตอนที่ 35 ในวันที่เราต้องไกล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 50.35K
      187
      31 พ.ค. 54







    ตอนที่
     35 ในวันที่เราต้องไกล



     
    ผ่านไปสองอาทิตย์กว่าๆแล้วที่ผมกลับมาอยู่เชียงใหม่ และก็เป็นสองอาทิตย์กว่าที่ภูมิไปอิตาลี จะว่าไปก็ไม่เคยห่างกันไกลๆแบบนี้เลยแฮะ รู้สึกโหวงๆหวิวๆเหมือนกัน


     
    จริงๆแล้วผมก็อยากไปกับภูมินะ แต่ไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรไปบอกพ่อกับแม่ เพราะปีที่แล้วผมก็เพิ่งไปมา พ่อพาทัวร์ยกครอบครัว แห่กันไปรั่วมาสามพ่อแม่ลูก
     

    ท่านนายพลฯก็สปีคอิ้งลิชเทพมวาก ฮ่าๆ ผมชอบประเทศอิตาลีมาก  หลายๆอย่างเหมือนมีมนต์เสน่ห์ให้อยากกลับไปที่นั่นอีก สำหรับผมอิตาลีก็เหมือนจุดกำเนิดของศิลปิน นครแห่งศิลปะ 
     


    ปิดเทอมผมก็กลับบ้านที่เชียงใหม่อย่างทุกปี อาปุ้ยก็บ่นๆว่าทำไมไม่อยู่ช่วยดูแลร้าน ที่จริงไม่ใช่อะไรหรอก ลูกน้องลากลับบ้านแล้วนางจะไปช้อปที่ฮ่องกง ไม่มีคนรดน้ำต้นไม้ให้ ฮ่าๆ ปีนี้พีมรู้ทันแล้วครับอา
     


    ซัมเมอร์นี้บรรดาเพื่อนๆของผม ก็พากันอพยพออกนอกประเทศกันหลายตัว ไอ้แทนกับไอ้ฟ่างก็หอบกันไปทัวร์รอบโลก คงโซนยุโรปแหละ พอกลับมาไอ้แทนมันก็รับจ๊อบ พระเอกโฆษณาบ้าง พระเอกเอ็มวีบ้าง วีเจ ดีเจบ้าง ได้ข่าวว่าข้าวฟ่างวิดีโอลิ้งมาควบคุมพฤติกรรมด้วย ฮ่าๆ ของเค้าแรงจริงๆ
     

    ไอ้น้องแมทธิวมันก็ไปอยู่กับพ่อมันที่อิตาลี ไปไฟล์เดียวกับภูมิ ไอ้มิคก็ไปเรียนภาษาอังกฤษคอร์สแม่บังคับที่ออสเตรเลีย
     

    ส่วนคนที่สบายสุดๆน่าจะเป็นไอ้เต้ย มันอยู่เฉยๆเกาะพ่อเกาะแม่กิน(เหมือนผม อิอิ) แต่ได้ข่าวว่ามันเดินสายประกวดเต้นบีบอย เล่นกีฬาเอ็กตรีมของมัน โดยมีใครบางคนตามคุมไม่ห่างเลยล่ะ คนที่คุณก็รู้ว่าใคร หรือใครไม่รู้ครับ หึหึ
     


    ส่วนไอ้ปันก็ออกค่ายอาสาอย่างเดียว กับพรรคพวกรัฐศาสตร์เพื่อมวลชนของมัน ขึ้นเหนือล่องใต้ไปช่วยเหลือพี่น้องทุกภูมิภาค คุณชายเบียร์ก็ออกค่ายเหมือนกันแต่เป็นค่ายติวน้องที่อยากเรียนนิติ อันนี้ก็มีสาระกันไป
     


    ไอ้เชนกับเชี่ยคิวก็ถูกท่านพ่อของพวกมันเรียกไปช่วยงานธุรกิจของใครของมัน  แต่ไอ้คิวมันแข็งข้อ ขนาดว่าพ่อเอาฮาเล่ย์เดวิสันมาล่อมันยังไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้รีสอร์ทเลย
     

    แล้วมันทำอะไรน่ะเหรอ ถ้าไม่นับการไปเฝ้าเด็กเต้น ตอนกลางวันมันก็หอบกล้อง หอบกระดาษเดินทางหาที่วาดรูป ถ่ายรูปไปเรื่อย ตกเย็นก็ไปเล่นดนตรีที่ผับ และก็มีคนที่คุณก็รู้ว่าใครไปเฝ้าทุกคืน
     


    ส่วนผมตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านก็ไม่เคยได้อยู่บ้านจริงๆจังๆซักที เพราะต้องไปงานเลี้ยงรุ่น เลี้ยงลูกน้องของพ่อ อะไรไม่รู้เยอะแยะ



    พ่อก็หนีบผมกับแม่ไปออกงานด้วยตลอด เพื่อนพ่อ ลูกน้องพ่อก็ชม ลูกชายท่านนายพลหล่อเหมือนพ่อเลยนะครับ ไอ้ตอนนั้นพ่อก็ยิ้มรับ แต่พอขึ้นรถกลับแล้วอยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละ
     


    “กูหน้าตาทุเรศแบบมึงหรอแมว” จุกมากอะไรมาก อายศลูกน้องคนสนิทของพ่อและก็เป็นคนขับรถ ก็ขำใหญ่ บอก คุณพีมหล่อสู้ท่านไม่ได้หรอก ใช่ซี้


    กับคนอื่นพ่อจะดูเกรงขาม น่ากลัว เพราะหน้าพ่อนิ่งๆ บุคลิกพ่อก็นะ ไม่น่าเข้าใกล้เท่าไร แต่พออยู่กับลูกกับเมียนี่คนละเรื่อง
     


    “มึงมีแฟนรึยังแมว”

    “ให้เดา”


    “จะตอบดีๆหรือต้องเจอตีนก่อน”
    อย่าคิดว่าพ่อไม่กล้านะครับ เหอๆ ทำไมชีวิตผมต้องเจอแต่คนโหดๆด้วยฟระ


    “มีแล้ว หล่อด้วย”
    ผมยักคิ้วให้พ่อ


    “ถึงว่า หน้าอย่างมึงสาวไม่มอง ต้องอาศัยพวกเดียวกัน” พ่อขำหึและผลักหัวผมเบาๆ ท่านคงคิดว่าผมพูดเล่น ผมยิ้มหัวเราะให้พ่อ แต่ลึกๆแล้วผมก็อยากขอโทษ ขอโทษที่ลูกชายคนนี้ทำให้ผิดหวัง


    พ่อครับพีมรักพ่อนะ แต่มันคงน่าภูมิใจพิลึกถ้ามีใครรู้ว่า ลูกชายคนเดียวของท่านผู้บัญชาการมีแฟนเป็นผู้ชาย
     



    แต่ก็ขอให้รู้ไว้เถอะว่าผู้ชายคนนั้นมันก็รักผมไม่น้อยไปกว่าใครหรอกครับ
     





    …………………………………
     







    ผมโผล่หัวออกมาจากห้องนอน ก็ไม่เจอใคร รู้แค่ว่าพ่อไปต้อนรับท่านรัฐมนตรีอะไรซักอย่างที่มาประชุม ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว



    “พี่กิ่ง แม่ไปไหนเหรอครับ”



    “อยู่ในครัวน่ะคะ คนงานในไร่เอาส้มกับแอปเปิ้ลมาให้เมื่อเช้า น้าลินก็เลยทำพาย” พี่กิ่งบอกผมด้วยรอยยิ้มสดใส พี่กิ่งเป็นแม่บ้านก็จริงอยู่ แต่ผมก็นับถือพี่กิ่งเหมือนญาติคนนึง รวมถึงน้าสงบคนขับรถก็ด้วย 
     


     “อ้าวตื่นแล้วก่าพ่อลูกจาย แม่กำลังจะออกไปตังนอกพอดี ไปก่อ”


    “ไปไหนอ่ะแม่”


    “ไปฝึกสมองไงจ๊ะลูกจ๋า ไปกับแม่ก่อ ถ้าบ่ไป๋ก็อยู่บ้านคนเดียวเน้อ”


    “แม่อ่ะ ไหนบอกว่ากึ๊ดเติงหาลูกไง พอปิ๊กมาหากะบ่าอยู่กับลูกหรอก”


    “แหม เวลาแม่อยู่โต้ย กะหันพีมเอาแต่อู้โทรศัพท์ก่าแฟน”
    แม่ทำหน้าล้อเลียนผมด้วยอ่ะ


    “แม่ฮู้ได๊จะไดว่าพีมอู้โทรศัพท์กับแฟน” ชักจะเทพเกินไปแล้วแม่ผม ฮ่าๆๆ
     


    “ถ้าไม่รู้แล้วชั้นจะเป็นแม่แกได้เหรอย๊ะ บอกว่าให้พามาดูตัวก็ไม่พามา แม่ก็อยากเจอหน้าลูกสะใภ้เหมือนกันนะ”


    ปกติผมกับแม่ไม่ค่อยพูดคำเมืองหรอกครับ นานๆถึงจะพูดเพราะผมก็พูดไม่ค่อยได้ แม่บอกว่าผมพูดแล้วเสียสถาบันคำเมือง ไทยคำเหนือคำ แต่ผมฟังออกหมดนะอย่าแอบมาด่าแล้วกัน คึ
     


    “หึหึ สวยสะเด็ดเลยแม่”
    หน้าไอ้ภูมิห่างไกลคำว่าสวยไปหลายร้อยโยชน์
     
    “ไม่สวยเท่าชั้นห้ามพาเข้าบ้านนะพีม”

    ชมตัวเองเสร็จแม่ผมก็ขำคิกๆคักๆอยู่คนเดียว ผมกับพี่กิ่งได้แต่ยิ้มแหะๆ แม่กูบ้าป่ะวะ “นี่พีม แม่ให้เงินกินหนมห้าร้อย แล้วถ้าพ่อแกโทรมาช่วยบอกว่าแม่ไปทำผมนะจ๊ะลูกจ๋า”
     บ้านไหนไม่เคยเห็นก็รีบมาดูซะนะครับ แม่สอนให้ลูกโกหกเนี่ย


    “แม่คร้าบบบ ทำอย่างกับพ่อโง่ ยังไงพ่อก็รู้อยู่ดีอ่ะว่าแม่ไปไหน”


    “น่า เจื่อแม่แล้วจะดีเอง กิ่งจ้วยดูขนมหื้อน้าโต้ยเน้อ ถ้าเสร็จแล้วก่อเอามากิ๋นกับเจ้าพีมนั่นแหละ ไปแล้วนะจ๊ะ”
     


    “อยากทำโล่แม่ดีเด่นให้คุณนายลินลดาจริงๆเล้ย สอนลูกได้เยี่ยมมากพี่กิ่งว่ามั้ย” ผมก็ได้รอยฝ่ามือเป็นของฝากจากแม่ ก่อนที่คุณนายท่านจะออกไปลัลล้าข้างนอก ปล่อยให้ลูกชายผู้หล่อเหลาอย่างผมอยู่บ้านเพียงลำพัง


    “น้องพีมจะทานข้าวเลยมั้ยคะ พี่จะได้จัดโต๊ะ”


    “อืมม ไม่เป็นไรครับ พีมรอกินพายแอปเปิ้ลพร้อมพี่กิ่งดีกว่า” พี่กิ่งยิ้มให้ผมก่อนจะเดินเข้าครัวไป อยู่คนเดียวแล้วสิเรา เฮ้อ อยากโทรหาภูมิจังแต่ที่อิตาลีคงเพิ่งตีสามตีสี่ ภูมิคงนอนอยู่มั้ง
     


    แล้วผมก็ต้องหักห้ามใจแม้ว่าจะคิดถึง หรืออยากได้ยินเสียงแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากโทรไปกวนเวลาพักผ่อนของมัน เลยเดินโต๋เต๋ออกมานั่งศาลาในสวนหน้าบ้าน
     



    “เฮ้ยเชี่ย” ใจลอยอยู่ดีๆ บีบีในมือผมก็แผดเสียงลั่น สาดดดด ตกใจหมด แต่พอเห็นชื่อคนโทรมาแค่นั้นแหละ นิ้วผมยังกับโปรแกรมกดรับอัตโนมัติ


     “ภูมิ”


    (หึหึ ทำไมต้องทำเสียงดีใจขนาดนั้น) ก็กูดีใจ มึงจะให้กูร้องไห้ใส่โทรศัพท์รึไง ไอ่ฟายยยย



    ….....…….” งอนครับ งอนมัน


    (อ้าวเงียบซะงั้น พีม พีมครับ)


    ……………………….


    (นี่คุณเตี้ยครับ ค่าโทรศัพท์มันแพงรู้มั้ย กูขอโทษก็ได้อ่ะ พูดหน่อยเร็วอยากได้ยินเสียง)


    “เออ”


    (หึหึ ถ้าอยู่ใกล้มึงเสร็จแน่ไอ้เตี้ย)


    “อยู่ไกลก็เสร็จได้มึง หึหึ”


    (ปากดี แล้วทำอะไรอยู่)
    เสียงไอ้ภูมิฟังดูงัวเงีย น่ารักดี


    “ไม่ได้ทำอะไร แต่ตอนเย็นจะไปเก็บแอปเปิ้ลที่ไร่คุณตา”


    (หรอ น่าสนุกเนอะ อยากไปด้วยจัง)

    “มาสิ เดี๋ยวรอ” เราสองคนหัวเราะ ไม่รู้ว่าเพราะระยะทาง เพราะความห่างไกลหรือเปล่าเลยทำให้ผมกับภูมิเหมือนจะอ้อนๆกันยังไงไม่รู้เวลาคุยโทรศัพท์


    (กินข้าวยัง)


    “ยัง แต่กินนมไปแล้ว แล้วมึงกินยัง”


    (ที่นี่ตีสี่นะพีม)


    “เออว่ะ แหะๆกูก็ลืม ภูมิมึงโทรเวลากลางวันของที่นั่นก็ได้นะ” ผมสงสารมัน ตั้งนาฬิกาไว้ลุกขึ้นมาโทรหาผม แบบนี้ก็ไม่ได้พักผ่อนกันพอดี
     


    (สมองอ่อนๆอย่างมึงเอาไว้คิดถึงกูก็พอ ไม่ต้องสะเออะคิดมาก)  ถูกมันด่าแต่ว่าผมรู้สึกเหมือนกำลังอมยิ้ม “คิดถึงกูมั้ยลิง” พ่อเรียกแมว เพื่อนเรียกแคระ ผัว เอ๊ยแฟนเรียกลิง ผมนี่เป็นสัตว์หลายสายพันธุ์จริงๆ


    (ว่าไงคิดถึงกูมั้ย)


    “ก็นิดหน่อย”



    (เหรอออออ) ลากเสียงยาวทำไมวะ ไม่เชื่อรึไง กูคิดถึงมึงนิดเดียวจริงๆ คิดถึงแค่ตอนกินข้าว ตอนนั่ง ตอนนอน ตอนตื่น แค่นั้นเอ๊ง


    “แล้วเจอไอ้แมทบ้างมั้ย”


    (ไม่เจอ แมทมันอยู่โรม กูอยู่ฟลอเรนซ์ แต่ฟ่างว่าจะนัดมันไปเที่ยวพรุ่งนี้มั้ง)


    “เหรอ
    ก็ดีแล้ว มึงจะได้ไม่เหงา”
     


    (ไม่มีมึงกูก็เหงาอยู่ดี
    ….มึงเหงาหรอพีม) เสียงภูมิดูเป็นห่วง ผมไม่อยากให้มันกังวล ถามว่าเหงามั้ย มันก็เหงาบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากเท่าความคิดถึง บางทีการที่เราอยู่ห่างกันไกลๆนานๆ มันก็ทำให้เรารู้ว่าคนคนนั้นสำคัญมากแค่ไหน
     

    “ก็
    ….อืม แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมของฝากนะเว้ย”


    (ทวงทำไมทุกวัน)


    “ภูมิ
    ….จะกลับเมื่อไร” ได้ยินเสียงมันหัวเราะ


    (เพิ่งมาไม่กี่วันจะให้กลับแล้วเหรอ ไหนบอกไม่คิดถึงไง)


    “ก็
    ……..” ก็อะไรไม่รู้ กูถามออกไปได้ยังไงยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เป็นเอามากแล้วไอ้พีม

    “ก็อะไร”



    "ก็
    …… กอ ก่อ ก้อ ก๊อ ก๋อ"


    (ฮ่าๆๆๆ ไอ้เตี้ยเอ๊ย)
     

    “ฮ่าๆ ไงล่ะ แฟนมึงเทพป่ะ คิดจะต้อนพี่ไว้ชาติหน้าเย็นๆนะน้อง”


    (ครับพี่เตี้ย ไปกินข้าวได้แล้วไป)
     


    “เออๆงั้นแค่นี้นะ มึงก็ไปนอนต่อเหอะ เดี๋ยวกลับมาจากบ้านตาจะโทรหา”
     


    (ครับ คิดถึงนะ)
     


    “อื้อ คิดถึงเหมือนกัน แค่นี้นะ บ๊ายบาย” เฮ้อ ได้คุยกันมันก็ดีอยู่หรอกแต่มันยิ่งทำให้คิดถึงกว่าเดิมนี่สิ
     
     



    ยิ่งนึกถึงวันก่อนที่มันจะบินไปอิตาลี ยิ่งทำให้ผมยิ้ม วันนั้นมันบอกว่าจะไปดูของแต่งรถ ไม่ให้ไปด้วย ผมก็ว่าง่าย ไม่ให้ไปก็ไม่ไปถึงจะแอบแปลกใจนิดๆก็เถอะ เพราะปกติไอ้ภูมิมันไม่ให้ผมห่างจากมันเกินสามก้าวเรียกว่าตัวติดกันเกือบตลอดเวลา
     

     
    วันนั้นผมก็นั่งๆนอนๆรอมันที่ห้อง รอจนห้าทุ่ม ตอนนั้นก็เริ่มโมโหแล้ว เพราะมันไปตั้งแต่ห้าโมงเย็น อยู่ไหน จะกลับหรือไม่กลับก็ไม่โทรมาบอก แถมโทรไปก็ไม่รับ ถ่างตารอจนจะเที่ยงคืน ผมก็นอนก่อน ไม่รอแม่งแล้ว
     


    มารู้สึกตัวก็ตอนที่อะไรไม่รู้นุ่มๆมาเขี่ยแก้ม
     



    “เตี้ย ตื่นเร็ว”
     
    “อือออ”


    “พีม ตื่นๆ”
     


    “อื้อออ เฮ้ย ปีศาจบุกห้อง” ผมลุกพรวดด้วยความตกใจ ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไง เป็นคุณจะตกใจมั้ยครับถ้าลืมตาขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นสัตว์ประหลาดสีครีมตัวเบ้อเร่ออยู่ตรงหน้า
     


    “เดี๋ยวชกปากแตก ตุ๊กตาหมีโว้ย ไม่ใช่ปีศาจซะหน่อย” ผมขยี้ตาดูอีกที เออว่ะ ตุ๊กตาหมีจริงๆด้วย แต่มันใหญ่ไปมั้ย แบบว่าตัวอย่างกับควายมากครับ น่าจะสองคนโอบ



    ผมเงยหน้ามองไอ้ภูมิที่อุ้มตุ๊กตาหมียักษ์ คือลืมเรื่องที่โกรธมันไปแล้ว เหลือแค่ความสงสัยว่าหอบไอ้หมีนี่มานั่งทับกูทำไม หนักมากขอบอก
     

    “อะไรของมึงว่ะภูมิ”
     


    “ตุ๊กตาหมีไง เอาไว้กอดตอนคิดถึงกู”
     


    “ห๊ะ”
     






    “ก็เราต้องห่างกัน กูคงไม่ได้กอดมึง ก็คิดซะว่าไอ้นี่เป็นตัวแทนกูก็แล้วกัน”
     





    อย่าบอกนะว่าที่หายไปทั้งวันเพราะไปตามล่าไอ้หมีนี่มาให้กูอ่ะ
     



    “แล้วนี่อะไร” ผมชี้ไปที่ตุ๊กตาหมีอีกตัวบนหัวไอ้หมียักษ์ ที่ตัวทำกำปั้นได้มั้ง
     


    “ลูกมันไง มีพ่อก็ต้องมีลูก”
    พ่อ? ลูก? เย้สเข้ มิราเคิล วันเดอฟลูมั่กมาก ผมจะมีลูกแล้วครับ
     


    “แล้วทำไมมันตัวเล็กจังวะ”
     


    “เอ๊า ก็มันเป็นหมีทารก ก็ต้องตัวเล็กๆแบบนี้แหละ” ไอ้ภูมิยืนยิ้มเขินๆเกาท้ายทอย คือว่าพ่อหมีตัวใหญ่มากอย่างที่บอก เหมือนหมีควาย แล้วลูกมัน แม่งตัวกระจึ๋งนึง เอ่อ สงสัยจะเป็นโปลีโอหรือไม่ก็คลอดก่อนกำหนด



    พ่อกับลูกเลยไม่สมดุลกันเท่าไร
    ผมมองไอ้ภูมิและพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ แต่พอมันทำหน้าดุๆใส่กลบเกลื่อนความเขินเท่านั้นแหละ ผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นห้อง
     



    เชี่ย มึงน่ารักไปมั้ยภูมิ
     




    “หึหึ น่ารักเกินไปแล้วมึง มานี่ดิ๊”
     





    ผมก็เลยให้รางวัลมันแถมโบนัสก่อนจากให้อีกด้วย ก็ไม่รู้ว่าผมกับภูมิใครใจดีกว่ากัน เนอะ
    ^_^
     
     







    TBC >>>>>>>>>>>>
     
     





    ………………………….
     





    ตอบคำถามก่อนนะคะ เพื่อคลายความสงสัย



    พีมมันเป็นเด็กกรุงเทพโดยกำเนิดจ้า คุณพ่อเป็นคนเมืองกรุงแต่คุณแม่เป็นคนเชียงใหม่แล้วมาพบรักกัน อิอิ และด้วยความที่พ่อเป็นตำรวจ พอพ่อย้ายไปรับตำแหน่งพีมก็เลยย้ายไปอยู่เชียงใหม่ด้วยจนม
    .1 ก็ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพและได้เป็นเพื่อนกับพวกคิวพวกเชน



    พอพีมขึ้นม
    .5คุณแม่ก็อยากกลับไปอยู่บ้านเกิดคุณพ่อก็พาย้ายกลับ พีมเลยโดนทิ้ง ฮ่าๆ ทุกปิดเทอมพีมก็ต้องกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่ แต่บ้านเกิดพีมจริงๆก็กรุงเทพนั่นแหละจ้า หายงงกันมั้ยเอ่ย
     



    ก่อนอื่นต้องสวัสดีและยินดีต้อนรับคนอ่านหน้าใหม่ทุกคนนะจ๊ะ มาๆเร่เข้ามา ส่วนหน้าเก่าๆเนี่ยก็อย่าริคิดหนีไม่งั้นนางงามตาลจะตามไปสิงถึงบ้าน ฮ่าๆ


    ขอบคุณทุกคำชมและทุกกำลังใจนะจ๊ะ ขอโทษที่ให้รอนานๆ ไม่ได้อยากจะดองจริงๆคะ แต่เหมือนสมองเบลอๆ สงสัยต้องโด๊ปเด็กเป็นอาหารสมอง กระดูกอ่อนๆคงแคลเซียมเยอะเนอะ ฮี่ฮี่



    มีรูปน้องพีมตอนไปออกงานกับคุณพ่อมาให้ดูด้วยคะ แล้วก็รูปน้องหมียักษ์สื่อรักแทนใจ อิอิ








     

















     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×