ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #55 : ตอนที่ 50 เธอยังมีฉัน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 48.73K
      164
      11 ก.ย. 54












    ตอนที่
    50 เธอยังมีฉัน






     

    เมื่อคืนกว่าผมจะง้อไอ้ภูมิสำเร็จ ผมก็เสร็จ เอ๊ย ก็ใช้เวลานานพอสมควร ไม่รู้จะโกรธจะงอนอะไรนักหนาแม่งทำยังกับกูเป็นตุ๊กตายาง(เอ่อ ผมเปรียบเทียบล่อแหลมไปมั้ยครับ) แถมวันนี้ผมยังมีเรียนเช้าอีก ผมก็ต้องลากสังขารมาเล่ามาเรียน เฮ้อออ

     




    ตกเย็นว่าจะรีบกลับบ้านไปนอน ก็อย่างที่รู้กันว่า ทุกๆวันหยุดสุดสัปดาห์ผมกับภูมิจะแยกย้ายกันกลับไปนอนบ้านใครบ้านมัน เดี๋ยวคุณนายปุ้ยจะน้อยจายยยยย^o^

     



    เย็นนี้นอกจากผมจะไม่ได้กลับไปจิบลาเต้หอมๆ แล้วนอนพักผ่อนที่บ้าน ผมยังต้องมานั่งเฝ้าไอ้ไอร่อนแมน ไอ้มนุษย์เหล็กอย่างไอ้ภูมิซ้อมบาสอีก ไม่รู้มันไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน ซ้อมตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนจะสองทุ่มอยู่แล้ว สาดดดด

     




    กูรู้ว่าอาทิตย์หน้าพวกมึงจะแข่งนัดแรก แต่มึงช่วยเห็นใจกูบ้างได้มั้ย กูง่วง กูเหนื่อย กูเพลีย T_T กูอยากกลับบ้านโว้ยยย

     



    สุดท้ายคนอย่างผมก็ได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ และกลิ้งเกลือกไปกับพื้นคอร์ดของสนามบาส รอไอ้ภูมิกับไอ้คลื่นซ้อมมหาโหดต่อไป จะสองทุ่มแล้วแม่งยังไม่เลิกซ้อมอีก มันจะแข่งบาสมหาลัยหรือจะไปชิงแชมป์โลกว่ะ

     



    “ถ้าจะขนาดนั้น ก็มุดเข้าไปนอนใต้สแตนเลยไป” เสียงพูดติดขำดังขึ้นพร้อมกับผ้าขนหนูเย็นๆที่โยนลงมาบนหัวผมพอดิบพอดี มึงชู๊ตบาสมันไม่พอใช่มั้ย เลยมาฝึกโยนผ้าขนหนูใส่กะบาลกูด้วยเนี่ยห๊ะ เชี่ยคลื่น



    ผมหันไปมองมันเซ็งๆ ไอ้ผู้ชายตัวสูงใส่กางเกงบาสกับเสื้อยืดคอวีสีเทาที่ชุ่มเหงื่อจนเหมือนใส่เสื้อเปียก มันยักคิ้วข้างหนึ่งและยิ้มใจดีให้ผมเหมือนทุกครั้ง

     



    “มีที่ดีๆกว่านี้แนะนำมั้ย กูง่วงมากมึง”



    “แล้วทำไมไม่กลับไปนอน อ่อ รอไอ้นั่นล่ะสิ” มันนั่งเหยียดขาอยู่ข้างๆผม และหันไปทางภูมิที่ยังวิ่งอยู่ในสนามกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ เชี่ยคลื่นมันอู้ครับ

     


    “เออ แม่งบ้า กูไม่ได้ซ้อมด้วยยังจะกักขังหน่วงเหนี่ยวกูไว้ทำส้นตีนไรไม่รู้”



    “ก็เอาไว้เป็นกำลังใจ วิ่งเหนื่อยๆเห็นหน้ามึงแล้วหาย” บุ่ย กูไม่ใช่กระทิงแดงแรงเยอร์นะเฟ้ย


     

    “เออ  สรรพคุณคล้ายๆเครื่องดื่มชูกำลังเลยกู เสียเหงื่อมองหน้ากูแล้วช่วยได้ ฮ่าๆ” ไอ้คลื่นยิ้มส่ายหน้า พลางยื่นขามาทางผม



    “ไรของมึง”




    “นวดให้หน่อย ปวด” แน่นอนว่าผมต้องส่ายหัวทันที ฮ่าๆ มึงใช้ผิดคนแล้วว่ะ ไอ้คลื่นถึงกับมองผมด้วยแววตามืดหม่นแบบตัดพ้อได้ตอแหลมากกกกก “เอ้อ เพื่อนกันมันก็ดูตรงนี้แหละ กูมันไม่สำคัญนี่หว่า ก็แค่คนพิเศษ ” หึ มีทวงๆ กูนวดให้ก็ได้ว๊ะ




     

    “เออๆ ขาไหน” ผมขยับเข้าไปใกล้ๆขายาวๆของเชี่ยคลื่น

    “หึหึ กูพูดเล่น มึงนี่ก็ใจดีไปทั่ว ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะพีม”


    “อ้าววว ลองใจกูเหรอ สาดดดดด”



    “โอ๊ย พีม เชี่ยกูเจ็บ” กำปั้นครับทุบหน้าขาแม่ง บังอาจหลอกลวงกูได้นะ “ถ้าขากูหักแล้วลงแข่งไม่ได้นะ มึงต้องชดใช้”


     

    “มึงอย่าสำออยคลื่น แค่เนี้ยนะขาหัก ถุย” ไอ้คลื่นหัวเราะพลางยื่นเท้างามๆที่สวมร้องเท้าบาสมาเขี่ยเอวผม

     





    ฟึ่บบบบบบบบบบบบบบ



     

    เหมือนมีอะไรซักอย่างลอยผ่านหน้าผมไปแบบเฉียดปลายจมูก ผมกับไอ้คลื่นหันไปมองทางซ้าย  เห็นลูกบาสกลมๆหมุนติ้วๆอยู่ พอหันกลับมามองทางขวาก็เห็น ชะอุ๊ย ไอ้หล่อยืนทำหน้าโหด เหงื่อซ่กเลยเว้ย

     





    “โทษที พอดีบอลมันหลุดมือ”



    ไอ้ภูมิเหยียดยิ้มก่อนจะเดินลงสนามไปซ้อมต่อ ไอ้เชี่ยแม่งกวนตีน นี่แค่หลุดมือยังเฉียดดั้งกูแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วถ้าแม่งตั้งใจจมูกกูไม่ยุบเลยเหรอห๊ะ ผมมะเหงกตามหลังไอ้ภูมิด้วยความหมั่นไส้ ได้ยินเสียงคลื่นขำหึ ก่อนจะลุกไปเก็บลูกบาสที่ไอ้ผู้ชายใส่เสื้อกล้ามสีดำมันทำหลุดมือ

     




    “กูไปซ้อมต่อก่อนนะพีม อยู่นานๆกลัวลูกบาสลอยมากระแทกหน้าแบบไม่ทันตั้งตัว หึหึ”

     







    มึงจะไปก็ไป ไม่ต้องมาผลักหัวกู ฮึ่ย

     

     

     

     




    ………………………………………

     




    สายๆของวันเสาร์พวกเราก็ยกโขยง มาที่สยามพารากอน เพื่อมาเชียร์ไอ้เชี่ยน้องเต้ยแข่งบีบอยครับ วันนี้เป็นรอบคัดเลือกของภาคกลางเพื่อหาสามทีมที่เจ๋งที่สุดไปแข่งระดับประเทศ ทีมที่ชนะจะได้ไปแข่งที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย


    ^-^

     


    ระหว่างรอแข่งตอนบ่าย ผมเลยพากันมาถล่ม MK Gold หรืออีกชื่อหนึ่งคือ สุกี้สีทอง กร้ากก เชี่ยมิคพาเรียก และที่สำคัญวันนี้มีเจ้าภาพเลี้ยงด้วยครับ ฮู้วววววว ปรบมือ บราโว่ๆๆ



    ไอ้คนที่หน้าใหญ่ใจโตกล้าเลี้ยงพวกผม มันเป็นถึงลูกชายคนเล็กแห่งบ้านยศวาทินเลยนะครับ ฮ่าๆ ถูกต้องนะคร้าบบบบ เชี่ยคิวนั่นเองที่เป็นคนเลี้ยง



    แต่จะบอกว่าเลี้ยงก็คงไม่ถูกนักเพราะมันเป่ายิงฉุบแพ้ไอ้เชน พวกผมเล่นโอน้อยออกกันเพื่อเฟ้นหาผู้โชคดีที่จะเป็นคนจ่ายเงินสำหรับสุกี้มื้อนี้ ซึ่งไอ้คิวก็ดวงดีได้รับเกียรตินั้นไป ฮ่าๆ




    กูสะใจจนยากจะหาคำมาเปรียบเปรย กร๊ากกกกก โดนซะมั่งเถอะเมิ้งงงง กูจะสั่งจนพนักงานขนมาไม่ทันเลยคอยดู นานๆทีจะมีโอกาสทองแบบนี้ มึงไม่รอดแน่ไอ้คิว หึหึ

     






    พวกผมส่งเสียงล้งเล้ง แย่งอาหารกันจนร้านสุกี้ทองอร่ามของเค้าแทบไม่เหลือความเป็นผู้ดี เชี่ยปันจะพูดอะไรแต่ละทีต้องเคาะหม้อ เคาะชามก่อน แม่งกระเบื้องนะมึง แตกขึ้นมาใครจะจ่ายวะ

     

    “เต้ย ทีมมึงมีกี่คนวะ” ไอ้แทนหักตะเกียบส่งให้ฟ่างเสร็จก็หันไปถามไอ้เต้ย

    “เก้าคนอ่ะเฮีย พี่คิว แซลมอนของเต้ยนะ”

    “ของมึงเหี้ยไร ของกู”

    “ของเต้ย”

    “เออแม่ง เอาไปๆเป่าก่อนล่ะ” สุดท้ายไอ้เต้ยก็ได้แซลมอนหวานๆไปเคี้ยวตุ้ยๆทั้งที่อันนั้นน่ะ ของไอ้คิวแท๊แท้

    “แล้วมึงแยกมากับพวกกู เพื่อนมึงไม่ว่าอะไรเหรอ” สุภาพบุรุษคุณชายเบียร์เขาเป็นห่วงสภาพจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนครับ แหม ไอ้พ่อพระ ได้ข่าวเมื่อกี้มึงเป็นคนวางแผนนัดแนะพวกกู ให้ล็อบบี้หักหลังไอ้คิวนะ



    “ฮื่อ ไม่ว่าหรอกเฮีย พวกมันก็ไปกินข้าวกับแฟนเหมือนกัน”



    “น้องเมีย เป็นไรครับนั่งหน้าหงิกหน้างอ หึหึ” ไอ้แทนแกล้งเรียกไอ้ภูมิ เลยได้ค้อนจากตาขวางๆของไอ้หล่อไปอันเบ้อเร่อ

     



    “กูไม่อยากกินสุกี้ ไม่ชอบ ร้อน” ใช่ครับ มันไม่อยากกิน แต่ทุกคนอยากกิน กลุ่มพวกเรามันประชาธิปไตย(หมายเหตุ ก็ต่อเมื่อไอ้ฟ่างไม่เข้ามาแทรกแซงนะครับ เหอๆ เพราะนั่นถือเป็นสิทธิ์ขาดแม้จะเป็นเพียงเสียงเดียวก็ตาม) ไอ้ภูมิที่ร่ำๆอยากกินสปาเก็ตตี้คาโบนาล่าที่วานิลลาเลยเอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับ ไม่ยอมแตะอาหารอะไรเลย

     



    ผมลงทุนคีบเป็ดใส่ปากมันยังไม่สนใจ คนอื่นเขากินกันอย่างมีความสุข กูต้องมาปลอบไอ้บ้านี่อยู่คนเดียว แต่ด้วยความสามารถขั้นสูงสุด ผมเลยทำให้ไอ้ภูมิยอมกินได้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าผมต้องคอยตักทุกอย่างให้มัน ที่สำคัญคุณชายกินเผ็ดไม่ได้ อย่าลืมครับอย่าลืม

     



    “ใช่ กูก็ไม่อยากกิน กูอยากกินขนมจีนบุฟเฟ่ต์ แมทน้องรักเขี่ยสาหร่ายทรงเครื่องมาให้พี่ซิ ไอ้เอ่นอากแอกเอยเอาะ” เชี่ยปัน หลักฐานคาปากขนาดนี้มึงยังจะบอกว่าไม่อยากกินอีกเหรอ

     


    “มึงๆ มึงว่าผู้ชายสองคนนั้นเป็นไรกันวะ สิบเอ็ดนาฬิกานะ” พวกผมก็ค่อยๆชำเลืองมองตำแหน่งที่ไอ้มิคบอก ก็เห็นผู้ชายสองคนน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผม เดินโอบกันมา โอบเอวอ่ะครับ อืม แต่ถึงผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายก็ใช่ว่าผมจะสามารถมีญานหยั่งรู้ ดูออกว่าใครเป็นไม่เป็น กูคงตอบมึงไม่ได้ว่ะมิค

     


     “กูว่าเพื่อนว่ะ” ไอ้เบียร์ลงความเห็น




    “กูเคยโอบเอวมึงมะ”ไอ้คิวหันไปถามไอ้เบียร์





    “กูกับไอ้ภูมิโอบกันออกจะบ่อย ใช่มั้ยภูมิ”




    “เออ ไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมมองไอ้เบียร์กับไอ้ภูมิเหมือนมีดาวอยู่หางตา มันไปโอบกันตอนไหนวะ




    “มองไรพีม อย่าคิดอะไรอุบาทๆนะมึง”


    “กูลงหมดตัวเลย ผัวเมียกัน” นี่ครับ เซียนแทนของเรา


    “มึงรู้ได้ไง” ไอ้เชนหรี่ตาถาม


    “หึ มันดูไม่ยากหรอกเชน ถ้ามึงเห็นผู้ชายเดินโอบกันโดยที่มืออยู่ต่ำกว่าเอวลงไปนะ มึงสันนิษฐานไว้ได้เลยว่ามันไม่ใช่เพื่อนกัน”







     

    เหมือนที่มึงชอบโอบเอวข้าวฟ่างใช่มั้ยแทน หึหึ

     

     




     

    “มึงกูอยากเต้นบีบอย ฮิพฮอพแบบไอ้เต้ยมั่งว่ะ สาวคงปลื้มมมม” ไอ้มิคครับ มันเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองอีกแล้วครับ



    “กูว่ามึงอย่าเลยมิค แค่มึงเดินเฉยๆได้กูว่าก็เก่งแล้วนะ อย่าถึงกับลุกมาเต้นเลยเพื่อน” ฮ่าๆๆๆ ถูกใจให้สิบดาวเลยเชน ไอ้มิคล้วงก้อนน้ำแข็งในแก้วไอ้แทนใส่หัวไอ้เชน กร๊ากกก แล้วไอ้แทนมันจะกล้าดื่มต่อมั้ย



    “เออ แต่บีบอยกับฮิพฮอพนี่มันต่างกันยังไงว่ะเต้ย”



    “ฮิพฮอพมันเป็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของวัยรุ่นอเมริกาอ่ะเฮีย มันก็จะมีหลายกลุ่ม บีบอยก็เป็นกลุ่มย่อยของฮิพฮอพ แต่เมืองไทยแม่งก็เหมารวมหมดบางทีเต้ยยังงงๆเลยว่าตัวเองแนวไหนระหว่างบีบอยกับฮิพฮอพ”



    “มึงอาจจะเป็นแนวถูกบอยหอบก็ได้นะเต้ย ฮ่าๆ” เชี่ยคิว มึงก็คิดได้นะ ไอ้เต้ยถึงกับงงๆเขินๆเลยทีเดียว


    “แล้วอย่างเฮียเป็นบีบอยเป็นฮิพฮอพได้มะเต้ย” ไอ้มิคมันยังไม่ล่ะความพยายามครับ



    “เอ่อ…..ของแบบนี้มันก็อยู่ที่ความชอบอ่ะเฮียมิค”แต่หน้าไอ้เต้ยนี่ประมาน เฮียอย่าแม้แต่จะคิดเชียว



    “มิค” เสียงเรียกจากเชี่ยปันครับ เอาแล้ว กูว่าแล้ว


    “ว่าไงมายดูโอ้”


    “มึงอยากเป็นฮิพฮอพเหรอ เดี๋ยวกูช่วย”


    “หึ ไอ้มิคมันอยากเป็นบีบอยไม่ใช่ลิเกนะปัน” ไอ้ฟ่างผลักหัวไอ้ปัน


    “เออน่า มามิคเดี๋ยวป๋าปันเทรนให้” มันวางตะเกียบแล้วครับ “จดนะ ข้อแรกมึงต้องไปหาเสื้อไซส์XXXL มาใส่ ใหญ่ได้เท่าไรยิ่งดี เอาแบบใส่มึงได้สามคนเลยนะ” กร๊ากกกกกกกก พวกผมสำลักกันเป็นแถบๆ



    “โอเค ข้อสองอะมึง”


    “ข้อสองมึงต้องใส่กางเกงตัวใหญ่ๆแต่หลุดตูด แม้เสื้อมึงจะใหญ่จนปิดหัวกางเกงมึงก็ต้องใส่ให้มันหลุดๆรุ่ยๆ และที่ลืมไม่ได้เลยคือมึงต้องพับขากางเกงขึ้นมาข้างนึง”


    “ซ้ายหรือขาว”



    “ซ้าย”



    “ทำไมวะ”



    “มันผ่านตลอด”



    พรวดดดดด ไอ้เต้ยน้ำออกจมูกเลยครับ ซ้าย ผ่านตลอด เย็สแม่ม ไอ้ภูมิกับผมนี่นั่งหัวเราะจนกินอะไรไม่ได้แล้ว





    “การพับขากางเกงขึ้นหนึ่งข้างจะทำให้มึงเสียสมดุล มึงเคยเห็นพวกบีบอยฮิพฮอพมันเดินมะ มันจะเดิน โยกๆเอียงๆ นั่นแหละ เพราะขากางเกงมันไม่เท่ากัน” กูรู้สึกสงสารพวกฮิพฮอพบีบอยจริงๆจะรู้มั้ยว่าแนวชีวิตของพวกมันถูกไอ้ปันปู้ยี่ปู้ยำเสียหายแค่ไหน



    “ต่อไปผ้าเช็ดหน้า มึงต้องมีผ้าเช็ดหน้าอย่างน้อยๆสามผืน แต่ต้องผืนใหญ่ๆ เอาซัก….เท่าๆผ้าเช็ดตัวได้ยิ่งดี ผืนที่หนึ่งมึงต้องเอาไปมัดหัว มึงจะหาซื้อตามตลาดนัดก็ได้ ลายส้นตีนอะไรตามใจ ไม่ต้องเน้นยี่ห้อเพราะยังไงมึงก็ใส่หมวกทับอยู่ดี




    อ้อ แล้วการใส่หมวกมึงห้ามใส่ตรงๆ ควรเอียงแล้วก็ดึงมาปิดตามึงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันจะทำให้วิสัยการมองของมึงเปลี่ยนเว้ย หน้ามึงจะแหงนขึ้นเองแบบอัตโนมัติเพราะมึงจะมองไม่ค่อยเห็น สายตามึงจะแลดูเหมือนว่ามึงเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก



    ส่วนอีกผืนกูแนะนำว่าควรมีคลาสนิดนึงเพราะมึงต้องเอาเหน็บตูดตรงกระเป๋ากางเกง จุดนี้สำคัญมากเพราะคนจะเห็นถึงรสนิยมของมึง อีกผืนเอาไว้พันข้อมือเสมอเหมือนมือมึงซ้นจากการเต้น แม้จะไม่ได้เจ็บเลยก็ตาม”





    “ฮ่าๆๆ แม่ง เชี่ยปัน กูไม่ไหวแล้ว สาดดดด”ไอ้คิวกับไอ้แทนกุมท้องหมอบไปกับโต๊ะเรียบร้อยแล้วครับ




    “แต่กูไหว ต่อเลยเพื่อน” มึงนี่ก็เหลือเกินนะมิค


    “อีกสิ่งที่สำคัญคือแนวเพลงที่มึงฟัง ศิริพร ตั๊กแตน ไผ่ ฮิพฮอพเขาไม่นิยม” กร๊ากกกก พ่อมึงสิ ฮิพฮอพฟังตั๊กแตน “มึงต้องไปหาเพลงฝรั่งที่แม้แต่ฝรั่งด้วยกันแม่งยังฟังไม่ออกมาฟัง”



    “แล้วกูจะเข้าใจเหรอว่ะ”



    “มึงตอแหลทางสีหน้าได้ เพื่อให้เข้าพวก แค่มึงโยกๆและทำมือเป็นตัวเอ็ม”


    “ทำไงวะ”


    “เอานิ้วโป้งกดนิ้วก้อยไว้ เออนั่นและ แล้วคว่ำมือลง หรือจะเอียงข้างก็ได้ แล้วแต่ว่าเพื่อนมึงยืนตรงไหนอย่าได้ทิ่มตากันเป็นพอ” ฮ่าๆๆๆๆๆ กูปวดท้อง ไอ้เชี่ยปันปัน




    “อีกอย่างของการมีชีวิตแบบบีบอยหรือฮิพฮอพมึงต้องมีกระป๋องสเปรย์เป็นของตัวเองพกไว้เหมือนเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย เอาไว้ฉีดด่าชื่อพ่อ ชื่อสถาบันของตัวเอง


    อ้อ สิ่งสุดท้ายมึงจะลืมไม่ได้ เวลาทักทายกับเพื่อนมึงต้องแอ่นอกกระโดนใส่กัน ห้ามพนมมือไหว้กันเด็ดขาดเพราะจะทำให้มึงดูดรอปทันที แค่นี้มึงก็ก้าวสู่ชีวิตบีบอยฮิพฮอพแล้วเพื่อน สู้ๆนะ โย่ว วอท ซับ เมี้ยนนนน”





     

    กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

     





     

     

     

    ……………………………………..





     

    หลังจากดูไอ้เต้ยแข่งบีบอยเสร็จ (และพาเชี่ยปันไปบำบัด)ซึ่งมันก็ไม่ทำให้พวกผมผิดหวัง ทีมของไอ้เต้ยติดหนึ่งในสามได้เป็นตัวแทนภาคเข้าชิงรอบต่อไป ไอ้คิวนี่ยิ้มหน้าบาน อย่างกับมันเป็นคนชนะซะเอง




     

    ภูมิมันก็ลากผมกลับบ้านมันด้วย ภูมิขับผมนั่งคู่ มีไอ้ฟ่างนอนยาวเหยียดอยู่เบาะหลัง กำลังคุยโทรศัพท์กับใครซักคนที่พวกเราต่างก็รู้จักดี

     




    “ทำไมมึงเข้าใจอะไรยากนักวะแทน ห๊ะ มันจะตายให้ได้เลยใช่มั้ยแค่กูกลับมานอนบ้านตัวเองเนี่ยพรุ่งนี้ก็กลับแล้วเออ…..หึ ไอ่สัส อย่ามาน้ำเน่า…..ไม่เอา พูดอะไรเล๊า” พอถึงตรงนี้ผมแอบหันกลับไปเหล่ ไอ้ฟ่างก็มองมาที่พวกผมเหมือนกัน หึหึ “อืม คิด” มันกระซิบใส่โทรศัพท์ เชี่ยฟ่างอายเป็นด้วยเว้ย ไอ้ภูมิมองพี่มันผ่านกระจกมองหลัง ส่ายหน้าพลางยิ้มเลวๆ “….ก็มึงถามว่าคิดไรล่ะ ก็บอกว่าคิดไง….เออ คิดถึงเหมือนกัน พอใจยัง ไปตายซะไป”

     




    “หึหึ” ผมกับภูมิขำพร้อมกัน ไอ้ฟ่างหันมามองตาขวางเลย



    “พวกมึงขำไรกัน”




    “ป๊าว แค่คิดว่ามึงใจร้ายกับเพื่อนกูเกินไป มึงหัดทำตัวหวานๆกับไอ้แทนมั่งเหอะฟ่าง”



    “เพื่อนมึงมันบ้า ทำไมกูต้องบ้าตามมัน”

     


    “ระวังมันน้อยใจไปบ้าใส่คนอื่นล่ะกัน”




    “ถ้ามึงรู้ว่ามันจะไปเมื่อไรก็มาบอกกูด้วยนะ จะได้ต่อโลงไว้รอเดี๋ยวแกะลายรดน้ำให้ด้วย” พูดจบมันก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

     



    “ฮ้าวววว ภูมิ พ่อกลับจากปักกิ่งแล้วนะ” ฟ่างหาวก่อนจะเรียกน้องชาย ไอ้ภูมิมองกระจกมองหลังคุยกับพี่มัน



    “พ่อโทรหาฟ่างเหรอ”

     

    “อืม พ่อโทรหาตัว แต่ตัวไม่รับ”



    “โทรมาเมื่อไหร่ ทำไมเค้าไม่เห็น”

     

    “จะเห็นอะไร ก็ตัวเอาแต่กกไอ้แคระนี่” อ้าว วนมาลงที่กูซะงั้น พี่น้องคู่นี้เวลาอยู่ตามลำพังมันจะพูดกันเพราะๆแบบนี้แหละครับ



    วันนี้ผมจะได้เจอคุณพ่อของภูมิแล้ว ความรู้สึกยิ่งกว่าตอนไปเจอคุณแม่อีก  ถึงคุณแม่จะบอกว่าพ่ออยากเจอผมเพราะแม่ไปคุยไว้เยอะว่าเพื่อนน้องภูมิเก่งอย่างนู้น อย่างนี้ก็เถอะ แต่มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้จริงๆครับ




    ตั้งแต่วันที่ภูมิพาผมไปไหว้แม่คราวก่อน ผมก็มีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กับท่านบ่อยๆ และก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่า ที่ตอนนี้แม่กำลังหาครูสอนศิลปะให้ ”มูลนิธิชื่อมูลนิธิบ้านน้องภูมิ” ที่แม่ก่อตั้ง ท่านเลยมาปรึกษาผมเพราะท่านคงจำได้ว่าผมเรียนทางด้านนี้พอดี แม่เลยอยากให้ผมไปช่วยสอนเด็กๆในระหว่างที่หาคุณครูคนใหม่มาแทน

     



    แม่บอกว่าที่ยังหาคนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะค่าตอบแทน แต่ท่านอยากได้คนที่มีใจรักที่จะอุทิศตัวทำเพื่อเด็กจริงๆเรื่องค่าตอบแทนมันไม่ใช่ปัญหาเลย และนับตั้งแต่วันนั้นผมก็เข้าออกบ้านภูมิบ่อยขึ้น




    วันนั้นแม่บอกกับผมว่า “ที่แม่ตั้งชื่อมูลนิธิว่า “บ้านน้องภูมิ” ทุกคนที่นี่ก็คือน้องของภูมิ ก็ถือว่าเป็นลูกของแม่เหมือนกัน ที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ มันเกินสิ่งที่จำเป็น มันเกินความต้องการ แม่พอแล้ว เลยอยากให้โอกาสกับคนอื่นบ้าง”

     




    ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสวยทั้งรูปกาย และจิตใจ ผมดีใจที่ได้รู้จักกับครอบครัวนี้ ผมชื่นชมท่านมาก แม่ทำให้ผมได้คิดว่า ถึงแม้จะเป็นเศรษฐีหมื่นล้านร้อยล้านแต่ถ้าไม่รู้จักพอ สิ่งที่มีอยู่มันก็ไร้ความหมาย แต่ถ้าหากคนเรา คนธรรมดาแม้จะมีเพียงไม่กี่หมื่นกี่พัน แต่เมื่อรู้จักพอ ชีวิตก็มีความสุขมีคุณค่าแล้ว



     

    “แม่คร้าบบบบบบบบบ” ไอ้ฟ่างไอ้ภูมิแหกปากวิ่งเข้าบ้าน ไปกอดแม่ที่เดินออกมารับพอดี



    “แม่สวัสดีครับ”


    “อ้าวน้องพีม มาด้วยเหรอลูก ดีเลยๆแม่กำลังอยากคุยเรื่องสอนศิลปะน้องๆพอดี วันนี้ลูกชายคุณแม่กลับบ้านด้วยกันทั้งคู่ แถมลูกพีมก็มา แม่ว่าจัดงานฉลองซักหน่อยดีมั้ย” ไอ้ภูมิหันมายิ้มให้ผม และก็เดินโอบแม่เข้าบ้านไป


    “ลูกสะใภ้บ้านนี้ดีเนาะ ยังไม่ทันได้แต่งก็มาช่วยงานในครอบครัว หึหึ” เชี่ยฟ่าง ปากหมาตลอดเวนะมึง



    “พี่ฟ่างไปทำอะไรมาผมยาวจนแม่ตกใจ” นั่งลงในห้องรับแขกปุ๊บ แม่ก็ถามไอ้ฟ่างทันที แต่ลูกชายคนเล็กดันชิงตอบซะก่อน


    “ฟ่างมันติสอ่ะแม่ หล่อสู้ภูมิไม่ได้”

    “หล่อตาย”

    “พี่ฟ่าง ทำไมพูดกับน้องแบบนั้น” เห็นได้ชัดว่าสปอยใคร ฮ่าๆ

    “แม่โอ๋มัน”


    “พี่ฟ่าง อย่าเรียกน้องว่ามัน” ไอ้ภูมิแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชาย เฮ้ออออ เด็กได้อีก

     

    “พี่ฟ่าง ไปเรียกคุณพ่อที่ห้องหนังสือหน่อยเร็ว แม่จะได้บอกให้ป้าจันทร์จัดโต๊ะ….อ้าวนั่นไงคุณพ่อลงมาพอดี”


    “พ่อครับ”



    “ว่าไงลูกชาย” ฟ่างเข้าไปกอดพ่อและพากันมานั่งที่โซฟาอีกตัว แต่ภูมิยังนั่งอยู่กับแม่

    “พ่อครับ นี่พีม เพื่อนพวกเรา” และก็เป็นฟ่างที่แนะนำผม




    “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ ซึ่งคุณพ่อก็รับไหว้และยิ้มให้



     

    “อืม นี่เหรอพีม  พ่อได้ยินแม่เค้าพูดถึง จะมาช่วยสอนศิลปะที่มูลนิธิใช่มั้ย”




     

    “ครับ” ผมโคตรเกร็ง คุณพ่อดูเป็นคนน่าเกรงขามมาก ผมจำได้ว่าเคยเห็นท่านในทีวี แล้วก็ตามนิตยาสาร หนังสือพิมพ์หลายครั้ง

     




    ท่านเหมือนจะใจดีแต่ก็ดูเข้าถึงยาก ดูภูมิฐานแบบนักธุรกิจที่มีความเป็นผู้นำมากๆ แต่เวลาพูดกับลูกก็ดูผ่อนคลายนะ พ่อหันมามองภูมิเหมือนจะเรียกให้เข้าไปหา และมันเองก็เดินไปนั่งกับพ่อ ท่านลูบหัวภูมิเบาๆ



    “น้องภูมิ เรียนเป็นไงมั่ง”


    “ก็ดีครับ แต่ช่วงนี้ภูมิต้องซ้อมบาสมหาลัย เลยเหนื่อยหน่อย”

     

    “เหรอ แข่งวันไหนบอกพ่อด้วยนะ แล้วได้คุยกับพี่โอ๊ตบ้างไหม”



    “คุยครับโอ๊ตโทรหาภูมิทุกวัน”

     


    “อืม แล้วฟ่างล่ะ”



    “เรื่องเรียนเหรอครับ ก็เรื่อยๆฟ่างเก่ง หัวดี”



    “หึหึ พ่อไม่สนใจคนเก่งนะ แต่พ่อชื่นชมคนขยัน วันอังคารหน้าพ่อต้องไปเป็นประธานเปิดงานผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของอาเกียรติ พ่ออยากให้ฟ่างกับภูมิไปด้วย” ผมเห็นหน้าฟ่างสลดลงไปนิด ก่อนจะยิ้มให้พ่ออีกครั้ง


     

    “ได้ครับ แต่น้องอาจจะไม่ว่าง ภูมิรายงานเยอะแล้วก็แข่งบาส ฟ่างไปกับพ่อคนเดียวได้ครับ” ถ้าเป็นคนอื่นผมคงคิดว่าเป็นพี่ที่ชอบประจบพ่อแม่ให้รักตัวเอง แต่สำหรับครอบครัวนี้ ในฐานะที่ผมเป็นเพื่อนกับฟ่าง ผมรู้ว่ามันกำลังเสียสละเพื่อภูมิ




     

    “เอางั้นเหรอ ก็ได้ แล้วพีมเป็นไง เรียนหนักไหม”

     

    “ก็ไม่ค่อยหนักครับ”



    “อืม ตั้งใจเรียนกันนะทุกคน อีกปีสองปีก็จบแล้ว”

    “ครับ”


    “อ้าวคุณยังไม่ได้เตรียมตัวอีกเหรอ” พ่อหันไปถามแม่ ทำให้ไอ้พี่น้องสบตากันเหมือนเข้าใจอะไรซักอย่าง ที่คนนอกอย่างผมไม่รู้เรื่อง



    “คุณคะฉันว่าเราทานข้าวกับลูกก่อนออกไปดีมั้ย”



    “แต่มันใกล้เวลาแล้ว”

    “แต่ฉันว่า……….


    “เอาไว้กลับจากสโมสรค่อยมาทานกับลูกก็ได้”



    “แม่ไปกับพ่อเถอะ เพราะวันนี้ภูมิจะให้พีมค้างด้วย แม่กลับมาก็ยังเจอพวกเรา” คุณแม่ดูลำบากใจ ก่อนจะออกจากบ้านก็เข้าไปกอดไปหอมลูกชายทั้งสองคน พอคล้อยหลังพ่อกับแม่ภูมิก็จูงมือผมขึ้นห้องมันทันที ตลอดเวลาที่เดินขึ้นมาผมรู้สึกว่าภูมิมันเงียบไป เงียบจนน่าใจหาย เข้ามาในห้องมันก็นั่งลงที่ปลายเตียง ผมเลยเข้าไปนั่งใกล้ๆ





    “ภูมิ” ภูมิหันมายิ้มให้ผม และดึงผมเข้าไปกอด มันกอดผมแน่น ทั้งถูหน้าไปกับบ่าของผม “เป็นไรไป หื้ม”





     

    “ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี พ่อก็ไม่เคยเปลี่ยน เวลาของพ่อไม่ได้มีไว้ให้ภูมิ”




    คนฟังอย่างผมยังจุกในอก น้ำเสียงของภูมิดูเหงาเหลือเกิน ผมรู้ว่าครอบครัวภูมิเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีแม่ที่แสนดี มีคุณพ่อที่เก่ง แต่สิ่งที่ผมเพิ่งรู้คืออาจจะมีเส้นใยบางอย่างที่กั้นพ่อและลูกให้ห่างกันและสิ่งนั้นอาจจะเป็น “เวลา”

     




    ผมไม่รู้ว่าภูมิกำลังรู้สึกยังไง ไม่รู้ว่าเจ็บหรือเสียใจมากแค่ไหน แต่ผมก็อยากจะกอดภูมิเอาไว้ อยากให้รู้ว่าผมเจ็บหนักๆหน่วงๆในหัวใจเช่นกัน ที่เห็นภูมิเป็นแบบนี้ ผมเคยสงสัยว่าทั้งที่ภูมิมีพร้อมทุกอย่าง เรียกว่าเป็นคนที่ชีวิตสมบูรณ์แบบทั้งรูปทรัพย์ รูปสมบัติ มีหลายคนอิจฉา อยากได้ และอยากเป็นแบบที่ภูมิเป็น

     




     

    แต่ภูมิกลับบอกเสมอว่า “เหงา” ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมภูมิถึงขี้เหงา




     

    ผมนอนกอดภูมิจนมันหลับไปแล้ว ผมค่อยๆยกแขนที่พาดอยู่บนเอวออก ภูมิขยับตัวนิดหน่อย ก่อนจะหายใจเข้าออกสม่ำเสมอตามเดิม ผมเผลอยิ้มเมื่อก้มมองใบหน้าหล่อๆที่นอนซุกอกผมอยู่




     

    ผมประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากของภูมิ เวลานี้มันดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆคนนึง ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเข้มแข็งอย่างที่คนภายนอกเห็น และผมก็ไม่ใช่คนที่แกร่งอะไรมากมาย แต่ผมเชื่อว่าถ้าเรายังอยู่ข้างๆกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เราจะประคองกันและกันให้ผ่านพ้นมันไปได้ 





     

    แค่เรายังมีกันก็พอ




     

    “กล่อมน้องกูหลับแล้วเหรอ” ผมสะดุ้ง หันไปมองที่ประตูก็เห็นฟ่างยืนยิ้มจางๆอยู่





    “อืม มึงมีไรจะคุยกับมันรึเปล่าฟ่าง”




    “เปล่า แค่เข้ามาดูเฉยๆ” ฟ่างเดินมานั่งบนโซฟา มันหันหลังให้ทีวีจอยักษ์ติดผนัง และเลือกที่จะมองคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ผมเลยมองตามสายตาของฟ่าง หึหึ หมาภูมิหลับลึกเชียว







     

     “แม่กูใจดีมั้ย”

     




    “อืม ท่านน่ารักมาก”



     

    “แม่ก็เป็นแบบนี้แหละ คอยเอาใจ ตามใจพวกเรา แม่รักภูมิมาก พวกเราทุกคนรักภูมิ แต่พวกเราก็ทำผิดต่อภูมิ น้องถึงได้เป็นคนขี้เหงา”





    “ทำผิด?



    “กูจำได้ว่าตอนนั้นโอ๊ตอยู่ป.6 กูเพิ่งจะเข้าอนุบาล ส่วนภูมิยังไม่เข้าโรงเรียน ภูมิมันติดกูมาก กูไปโรงเรียนมันก็ร้องไห้ตาม หึหึ” ฟ่างเล่าไป ตาก็ยังมองที่น้องชายด้วยรอยยิ้ม




     

    “จนพ่อต้องจ้างครูมาสอนกูที่บ้าน ตั้งแต่วันนั้นกูก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเลย มึงว่าไอ้เด็กนี่มันแสบมั้ยล่ะ หึหึ เวลากูเรียนภูมิก็ชอบเข้ามานั่งเรียนด้วย  บางครั้งก็ถือกระดาษ ถือดินสอมานอนวาดรูปอยู่ใกล้ๆ




     

    แต่พอจะให้เรียนด้วยก็ไม่เอา ผ่านไปเดือนกว่าๆแม่ก็มาถามว่ากูอยากไปอยู่กับปู่ที่อิตาลีมั้ย กูไม่รู้ว่าอิตาลีคือที่ไหน แม่บอกว่าเป็นที่ๆอยู่ไกลๆ กูถามแม่ว่าแล้วจะได้เจอพ่อกับแม่มั้ย จะได้อยู่กับโอ๊ต จะได้เล่นกับน้องรึเปล่า แล้วแม่ก็ร้องไห้ บอกว่า ไม่ได้เจอเพราะมันไกลมาก เป็นอันว่ากูปฏิเสธทันที



     

    อีกไม่กี่สัปดาห์แม่ก็บอกว่าน้องไปอยู่อิตาลีแล้ว กูร้องไห้บ้านแทบแตก ช่วงนั้นกูแทบไม่เจอพ่อเลย แม่ก็ผอมๆ บางครั้งก็ร้องไห้  โอ๊ตเองก็ซึมไปเหมือนกันเพราะมันหวงภูมิยิ่งกว่ากูหวงซะอีก



    แต่สุดท้ายกูกับโอ๊ตก็เหมือนพี่ที่เห็นแก่ตัว พวกกูไม่ต้องจากแม่ ไม่ต้องไปอยู่ไกลๆเพราะพวกกูปฏิเสธ แต่น้องยังเด็กมันไม่รู้เรื่อง ภูมิปฏิเสธไม่เป็น จะพูดให้ถูก น้องปฏิเสธไม่ได้ต่างหาก หลังจากที่ภูมิไปอยู่ที่นู่น โอ๊ตยังได้เรียนม
    .1ที่โรงเรียนเดิม ทั้งที่ค่าเทอมแพงลิ่ว กูเองก็เข้าเรียนอนุบาลในโรงเรียนเดียวกัน


     

    กูมารู้ทีหลังว่าช่วงนั้นเศรษฐกิจตกต่ำ พ่อเกือบถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้แบงค์เกือบๆร้อยล้าน แทบจะไม่เหลืออะไรเลย การเลี้ยงลูกสามคนในเวลาแบบนั้นมันหนักเกินไปสำหรับคนที่เคยมีทุกอย่าง

     




    เพราะงั้นพ่อเลยเลือกที่จะให้ลูกคนใดคนหนึ่งไปอยู่ที่อิตาลี เพราะถ้าจะให้ไปหมดก็กลัวเป็นภาระของลุงๆทางโน้น พ่อเป็นคนเก่ง ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นพ่อมักจะแก้ไขเองเสมอ แต่ครั้งนั้นมันอาจจะหนักเกินไปพ่อถึงยอมขอความช่วยเหลือจากปู่  จนพ่อทำทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิม



     

    ธุรกิจของพ่อกลับมายิ่งใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่ปี่ และกลายมาเป็นอันดับต้นๆของประเทศอย่างวันนี้ แต่สิ่งที่พวกเราไม่มีวันได้กลับคืนมาคือความรู้สึกของภูมิ น้องกลายเป็นใครอีกคนตอนที่กลับจากอิตาลี ไม่ร่าเริง ไม่ยิ้ม ไม่สดใส……จนวันที่ภูมิได้เจอมึง”



     

    ……………….” ฟ่างหันมายิ้มให้ผม มันเดินเข้ามาแตะไหล่ผมเบาๆ ผมไม่แน่ใจว่าตาคมโตคู่นั้นไหวระริกด้วยน้ำตาหรือเปล่า

     



    “กูขอบคุณมึงจริงๆนะพีม ขอบคุณเพื่อนที่แสนดีอย่างมึง ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้ภูมิคนเดิมกลับมา ตั้งแต่มันรู้จักกับมึง ตั้งแต่พวกมึงรักกัน พ่อกับแม่ยังแปลกใจที่น้องเปลี่ยนไป

     



    ภูมิน่ะเป็นเหมือนดวงใจของแม่ เหมือนหัวใจของครอบครัวเรา มึงได้ครอบครองหัวใจของพวกกูแล้ว กูฝากดูแลภูมิด้วยนะ รักน้องกูให้มาก เพราะมันเองก็รักมึงมาก รู้ใช่มั้ย” ผมยิ้ม และพยักหน้าให้ฟ่าง มันหันไปลูบหัวภูมิและก้มลงจูบขมับภูมิเบาๆก่อนจะเดินออกไป








    ผมหันกลับมามองคนที่ยังนอนหลับฝันอยู่

     

     

     







     

    อย่าห่วงเลยฟ่าง เพราะกูก็รักน้องมึงมาก ไม่แพ้ใครเหมือนกัน

     

     

     









    TBC >>>>>>>>>>>>>>>>>

     





    ………………………………..






     - ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้รอ มัน…..ขอโทษจริงๆคะ ลงตั้งแต่สี่ทุ่ม นั่งกราบไหว้หน้าคอม แต่เหมือนมันไม่ได้เป็นที่เน็ตเพราะเข้าอย่างอื่นได้ แค่ล็อกอินไม่ได้ พอล็อกอินได้ก็วางไม่ได้ ส่วนที่เล้าแก้หัวทู้ไม่ได้ไม่รู้เป็นไร ต้องวิ่งไปห้องเพื่อน แต่ก็ลงไม่ได้  แล้วเชื่อมั้ยพอลงได้ตอนตีหนึ่ง พอกดเซฟ มันเน็ตหลุด ทุกอย่างหายหมดเลย เป็นการลงนิยายที่เจ็บมากที่สุดในชีวิตT_T ขอโทษอีกครั้งนะคะ แอบร้องไห้เพราะเจ็บใจหรือเพราะสงสารน้องภูมิก็ไม่รู้

     



    -และวันนี้น้องตาลคนงามที่สุดแห่งวงการวายก็มีอะไรดีๆเริ่ดๆมานำเหนอคะ ตอนนี้ We are มี Fanpage แล้วคร๊า จุดบั้งไฟ ฉลอง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



    เพราะฉะนั้นก็ขออันเชิญลุงๆป้าๆพี่ๆเพื่อนๆน้องๆชายหนุ่ม หญิงสาวทั้งหลายแหล่เข้าไปเม้าท์มอยฝอยแตกฟองกันได้นะจ๊ะ เพจนี้ได้น้องฝ้ายช่วยดูแลเพราะตาลไม่สันทัดด้านเทคโนโลยีต่ำ ฮ่าๆ แต่ก็จะเข้าไปเสวนาด้วยตะร๊อดๆนะคะ ในนั้นก็มีแฟนอาร์ตเริ่ดๆจากน้องๆ ที่ส่งมาให้ อย่าลืมเข้าไปกดไลค์นะคะ


     

    -และวันนี้ก็มีคลิปน่ารักๆที่พี่AhSa KA Larn Ideaทำมาฝากคะ ดูแล้วจะยิ้มมมมมมมมมมมมมมมเลยคะ ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจมาเสมอนะคะ จ๊วฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ เหม่งทุกคนนนนน

     



    -ปล มีคนถามเรื่อง 3P มันคืออะไรอ่า(ทำตาแบ๊ว) เหมือน 3G ป่ะ ฮ่าๆ ตาลเป็นปลาแซลม่อนไม่ตามกระแส เพราะเรายึดมั่นในทางของเรา อิอิ



     

     

     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×