ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 คนที่ใช่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 46.51K
      306
      19 มิ.ย. 55

     
                                                                 




     
                                                                 ตอนที่ 7
     
     


     
    แม้เหตุการณ์ระทึกขวัญเขย่าระบบประสาท ชวนสยองหลอนสภาพจิตใจของผมได้ผ่านไปซักพักใหญ่ๆแล้ว แต่ไอ้หัวใจตอแหลมันยังคงเต้นจังหวะแปลกๆอยู่เลยทำให้ผมตาแข็งหลับไม่ลงสงสัยจะได้ออกอัลบั้ม sleepless society รวมพลคนนอนไม่หลับ
     


    โว๊ยยย นี่ผมเป็นห่านไรวะเนี่ย หงุดหงิดมากๆเข้าก็จิก ดึง ทึ้งหัวตัวเอง พลิกซ้ายก็แล้ว พลิกขวาก็แล้วก็ยังนอนไม่หลับ ผมเลิกนับแกะมานับหมีแพนด้าก็ไม่ทีท่าว่าหนังตาบนกับหนังตาล่างมันจะสมานฉันท์กันสักที ก็ใครมันจะหลับลง


    อ่ะสมมุตินะคุณลองคิดว่าคุณเป็นผมนะครับ กาลครั้งหนึ่งคุณถูกคนคนหนึ่งกดขี่ข่มเหงทางเพศ เฮ้ย ไม่ใช่ ผมหมายถึงแค่กดขี่ข่มเหงเฉยๆ หึหึ แต่มันเข้าขั้นทารุณกรรม จิกหัวใช้ แบล็กเมล์ แกล้งนู่นนั่นนี่สารพัดสารเพสารเลวที่จะเจอ แม้นิสัยคุณจะเป็นคนที่ไม่อะไรกับใครเป็นคนยังไงก็ได้ ชิลล์ๆ



    แต่คุณก็กล้ายืดอกรับเลยว่าคุณเกลียดมันมากถึงมากที่สุดแต่อยู่มาวันหนึ่งคุณจับไต๋ตัวเองได้ว่าคุณใจเต้นเมื่อได้รับสัมผัสจากคนคนนั้นที่สำคัญเสรือกเป็นเพศเดียวกันซะด้วย เหอๆถ้าไม่เครียดจนหัวแทบปริเหมือนผมในตอนนี้ยอมให้เหยียบหน้าเลยครับ เฮ้อ


    ผมอาการหนักขนาดนี้อยากรู้จังว่าไอ้เวรหน้าหล่อนั่นมันจะรู้สึกยังไงบ้าง เอ๊ะแล้วผมจะไปสนใจมันทำไมวะว่ามันรู้สึกยังไง โอยเอาอีกแล้วมึงไอ้พีมคิดในทางผิดผีอีกแล้ว เมียมึงต้องเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย โอเค ผู้หญิง ผู้หญิง ผู้หญิง ผู้
    แม้มันจะเลือนลางแต่ผมก็พอจะจำได้เลาๆว่าหลับไปพร้อมกับการย้ำบอกตัวเองด้วยคำเพี้ยนๆ


     
    “เตี้ย ไอ้เตี้ย ไอ่เตี้ยโว๊ยยย ตื่น” เหมือนมีเงามืดๆมายืนบดบังแสงและมีแรงเขย่าผ้าห่ม

    “อืออออ” กูจะนอนใครแมร่งขัดวะ


    “ขี้เซายังกับหมา ตื่นซักทีสิวะ กูหิว”

    “อื้ออออ” ใครมาหิวตอนนี้ ไปไกลๆได้มั้ย
    ผมหรี่ตามองพยายามปรับสายตาแข่งกับแสง สิ่งแรกที่ผมเห็นคือสิ่งมีชีวิตหนึ่งตัวยืนค้ำหัวอยู่ แค่เห็นหน้าใสๆของมันใจผมก็สบัดตัวเองรัวจังหวะจนแทบลืมความง่วงเป็นปลิดทิ้ง
     

    ผมรีบคว้าโตโต้เอ๊ะรึซาตินวะ เออนั่นแหละซาตินลายหมีพูห์ผืนโตขึ้นคลุมหัวขดตัวอยู่บนโซฟา แม้มันจะมืดอึดอัดอากาศที่ใช้หายใจมีน้อยผมก็จะอดทน ไม่อยากมองไม่อยากเห็นหน้าไอ้ภูมิ ทำไมกูต้องทำเหมือนเสียตัวให้มันแล้วละเนี่ย


    “อ้าวเฮ้ย ตื่นแล้วก็ลุกดิวะแล้วนั่นมึงจะมุดลงไปเล่นผีผ้าห่มรึไง”

    “เออ” พ่องดิเล่นผีผ้าห่มคนเดียว

    “มึงอย่าลีลาไอ้เตี้ย ลุก
    !!!”คราวนี้มันมันใช้อะไรบางอย่างยันๆแถวขาผม จากการตั้งสมมุติฐานสิ่งนั้นน่าจะเป็นฝ่าตีน

    “กูง่วงงงงงงง ขอนอนต่ออีกนิดนะ”

    “กล้าต่อรองหรอมึง จะลุกไม่ลุก ไม่งั้นกูปล้ำ
    !!


    “เฮ้ยยย
    !!!”ผมดีดตัวเองออกจากผ้าห่มขึ้นมายืนบนโซฟา หน้ามืดแทบวูบเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันอีกอย่างสมองกำลังประมวลผลคำขู่เมื่อสักครู่ แว้กกกก มันจะปล้ำผม ผมแหกตาจ้องไอ้ภูมิมันยืนหัวเราะสะใจเหมือนกับว่าผมกำลังโชว์ฮาระดับเทพให้มันดู


    “หึหึ ดูหน้ามึงดิ คิดไรกับกูป่ะเนี่ย คิดว่ากูจะปล้ำมึงจริงๆรึไงสัด” ฆรวยยยยยควันออกหูหน้าก็ร้อนผมชูนิ้วกลางใส่หน้ามันก่อนรีบกระโดดข้ามโซฟา


    “เฮ้ย มึงจะไปไหน”


    “แดกน้ำ”


    “ครัวอยู่ทางโน้น ทางนั้นห้องน้ำ หึหึ” ผมเกือบสะดุดตีนตัวเองหัวคว่ำคะมำก่อนจะค่อยๆก้มหน้าเดินผ่านไอ้ภูมิด้วยความรู้สึกว่าตัวผมคงหดเล็กเท่าลูกกรอก ไอ่แสรดดดดดดดดดดด (ด่าทั้งมันและตัวเอง)
     

    ผมเปิดเอาขวดน้ำในตู้เย็นยกกินโดยไร้แก้ว อยากให้ความเย็นของน้ำช่วยดับความอับอายขายขี้หน้า แล้วไอ้ตัวก่อเรื่องยังมีหน้าเดินตามมานั่งมองผมตรงเคาเตอร์ที่กั้นครัวอันหรูหราออกจากห้องนั่งเล่นอันไฮโซ


    “กูหิว ทำไรให้กินหน่อย” ผมเลิกคิ้วมองมันผ่านขวดน้ำ
    ให้กู -ทำ -กับข้าว หึนรกดีๆนี่เอง
    “มึงจะกินไร”

    “มึงทำไรเป็นมั่ง”
    “ไม่เป็นซักอย่าง”

    “เยี่ยม”
    “เงินก็มีอยากแดกไรก็โทรสั่งดิ อย่าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับกูเลยวะ”ผมส่ายหัวปลงๆยังคงไม่กล้ามองหน้ามันตรงๆ

    “มึงทำไม่เป็นก็เรื่องของมึงแต่ภายในสิบนาทีกูต้องมีอาหารตกถึงท้อง โอเค๊” มันทำหน้าหยิ่งยโสสารคามขอนแก่นมากตอนออกคำสั่ง สงสัยมันมีความใฝ่ฝันอยากเป็นตำรวจจราจรถึงซ้อมแจกใบสั่งคนอื่นไปทั่ว

    ตั้งแต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มาจนครบยี่สิบปีบริบูรณ์ผมก็เพิ่งเคยพบเคยเจอผู้ชายเอาแต่ใจชนิดผู้หญิงยังอายก็มันนี่แหละรายแรก


    “เรื่องดิ ใครหิวก็โทรสั่งเองสิวะ กูจะกลับ”

    “จะกลับ
    ?เฮอะ สงสัยจะยังฝันอยู่สินะ” มันยักคิ้ว เท้าคาง เคาะนิ้วกับเคาเตอร์ ผมเหรอได้แต่ยืนกัดฟัดจนปวดฟันคุดแล้ว แมร่ง แพ้ทางเป็นยังไงกูเพิ่งซึ้งใจก็วันนี้ละวะ ผมเดินกลับไปกระชากตู้เย็นที่สูงใหญ่ยังกับตู้คอนเทนเนอร์อีกครั้ง แต่ข้างในแม่เจ้า!!!OoO


    เมื่อกี้มัวแต่จิตหลุดลืมดูว่าในตู้เย็นมีแต่สัตว์ป่านานาชนิดทั้งช้างเอย  สิงห์เอย ม้าวัวควายเต็มไปหมดมีทั้งแบบขวดแก้วแตกได้พาสเจอร์ไรส์ลดโลกร้อน แบบกระป๋องหยิบง่ายพกพาสะดวก รู้สึกจะเห็นช็อกโกแลตยี่ห้อดังอยู่สามสี่กล่อง


    ผมปิดตู้เย็นแรงๆจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแล้วหันมามองหน้ามันแบบกวนตีนไม่แพ้กันจะให้ผมทำกับข้าวแต่ไม่มีอะไรซักอย่าง ผมคงนิมิตขึ้นมาได้หรอก

    “งั้นกระผมขอแนะนำเมนูแกงลีโอ ต้มยำไฮนีเก่น ผัดเผ็ดสิงห์แล้วกันเนอะคุณชาย” มันทำท่ายกตัวยืดคอมองมายังตู้เย็น เชี่ยมึงคงเห็นหรอกกูปิดไปแล้ว

    “มึงก็ไปซื้อดิคาร์ฟูร์อยู่ใกล้ๆ”

    “ตลกหล่ะ กูยังไม่ได้อาบน้ำเสื้อผ้าจะเปลี่ยนก็ไม่มี”

    “แล้วไง”

     “ห๊ะ”คราวนี้ผมกล้ามองหน้าสบตามันตรงๆด้วยความตกตะลึงพรึงพรืด”แล้วไงงั้นหรอ มึงถามมาได้ว่าแล้วไงจะให้กูไปซื้อของสภาพเนี๊ยะ หึ เทศบาลได้หามกูส่งศรีธัญญา” มันมองเหมือนจะบอกว่าผมใส่อะไรก็เหมือนมาจากศรีธัญญา


    “ทำไม คนใส่ชุดนอนเดินซุปเปอร์ผิดตรงไหน มึงไม่แคร์ใครจะทำอะไรได้”

    “บังเอิญว่ากูแคร์วะ” บ้าสิให้ผมเดินโท่งๆลงไปคาร์ฟูร์ในสภาพนี้ แค่คิดยังสัมผัสได้ถึงความอับอายเล้ย

    “จึ๊บ”มันจิ๊ปากขัดใจ “เรื่องมากจะเอาไรมั่ง”มันมองผมด้วยสายตามืดหม่นราวกับว่ามันถูกขัดอกขัดใจอะไรนักหนา ผมเลยส่งสายตาระแวงเคลือบแคลงกังวนปนสงสัย(สายตามึงสื่อความหมายเยอะไปไหม)ไปให้มัน ผมจำได้ว่าไอ้ภูมิคุณหนูแค่ไหน แค่ก๋วยเตี๋ยวมันยังสั่งไม่เป็นแต่นี่ให้ไปซื้อของมาทำกับข้าว แล้วมันจะรอดมั้ยวะ


    “มึงรู้จักคะน้ามั้ย”
    “รู้”


    “ผักกาดละ”
    “รู้”


    “ต้นหอมละ”
    “คล้ายๆกะหล่ำปลีใช่มะ”พ่องงงดิต้นหอมคล้ายกะหล่ำปลี Y_Y T_T

    “โอเค กูไปซื้อเอง” 





                                            ..............................................................




    สรุปคือผมกับมันมาด้วยกันทั้งคู่ มันแต่งตัวเหมือนจะไปเดินแบบงาน
    Bangkok Fashion Weekส่วนผมมีวาสนาได้แค่แปรงฟันน้ำก็ไม่ได้อาบ แต่ดีหน่อยที่ไอ้ภูมิมันยังพอมีความเมตตาจิตให้ผมยืมเสื้อโคตรโค๊ทที่ยาวไปถึงหน้าขา คนนี่มองกันให้ควั่กคงกลัวว่าผมจะไปปล้นธนาคารไม่ก็ร้านทองมั้ง นี่หน้าตากูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยหรอวะ หน้าเหมือนโจรมากเลยใช่มั้ย


    ยิ่งเข้ามาในคาร์ฟูร์โซนผักผลไม้ของสดทั้งหลายแหล่ คนนี่แบบว่ามองกันซะไม่กลัวกูอายเลยเนอะชาวโลก(พูดเหมือนมาจากนอกโลก)คนมองไม่แปลกหรอกครับถ้าไม่มองสิแปลก เป็นผมผมก็มองวะคนบ้าอะไรใส่ชุดนอนมาเดินคาร์ฟูร์


    แต่ก็ใช่ว่าเค้าจะมองต่างด้าวอย่างผมคนเดียวนะ อีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดสายตาประชากรโลกก็คือผู้ชายโคตรหล่อที่เดินหน้านิ่งเหมือนปวดขี้ที่กำลังเข็นรถอยู่ข้างๆผมนี่แหละ ผมจะขอวิเคราะห์ลักษณะการณ์มองที่ผมกับไอ้ภูมิกำลังเผชิญออกเป็นสามประเภทใหญ่ๆ มึงใช้ศัพท์ได้วิชาการมากพีม



    ลักษณะที่หนึ่ง คือ มองความหล่อไอ้โหดภูมิซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติวิสัยของบุรุษและสตรีเพศทั่วไปข้อนี้ผมเข้าใจและเริ่มจะชินหลังๆเริ่มมีเสียงเอฟเฟคประกอบเป็นระยะๆด้วยนะครับ“อ๊าย หล่อโครต” “ดารารึเปล่า” “หน้าเหมือนนักร้องเกาหลีเลย”
    ถุ๊ย(เข้าโหมดอิจฉา)


     ลักษณะที่สองคือมองผมแบบงงๆปนรังเกียจอันนี้ก็เข้าใจ “พม่าหนีมาลี้ภัยแน่ๆ” “กะเหรี่ยงเผ่าไหน” “หน้าตาก็ดีแต่ดูแต่งตัวสิ” ฮึ่ม(โหมดรับความจริงไม่ได้) ส่วนแบบที่สามคือมองพวกผมสองคนไปในคราเดียวแถมมีกระซิบกระซาบกันด้วย

    ถ้าจะกระซิบกันเสียงดังขนาดนี้ก็เดินเข้ามาคุยเลยก็ได้ครับพี่ๆน้องๆน้าๆทั้งหลาย มันมีคำๆนึงที่ดังมาเข้าหูผมบ่อยมากมันคือคำๆนี้ครับ “เสียดายอ่ะ” หืมห์
    ? เสียดาย เสียดายอะไรกันวะครับ เสียดายอะไรก๊านนนน(โหมดร้อนตัว)
     

    “ภูมิ กูว่ามึงเดินไปซื้อข้าวกินไม่ง่ายกว่าหรอวะ พิชซ่า ชาบู ฟูจิ เชสเตอร์เยอะแยะ ดีกว่ามารอกูทำนะเว้ย” มือก็ขนไอ้พวกผักสารพัดชนิดลงรถเข็น ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูหรอกครับเห็นอันไหนรูปร่างหน้าตาแปลกๆผมขนลงหมด ถามสิกูเคยทำอะไรแบบนี้มั้ย ผมก็เพิ่งแยกแยะแมงรักกับโหระพาได้เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง


    ปากก็บ่นไปมือก็เลือกของไปไอ้ภูมิมันก็เข็นรถตามหลังทำไมมันให้อารมณ์คู่ผัวตัวเมียมาซื้อของเข้าบ้านจังวะ แล้วผมก็พาลคิดไปถึงเรื่องที่มันพูดเมื่อเช้าใจยิ่งเต้นแปลกๆ

    ถึงมันจะแค่พูดเล่นเพื่อแกล้งผมก็เถอะ แต่สาบานได้ผมไม่เคยใช้มุข “ปล้ำ”เพื่อจะปลุกเพื่อนคนไหนเลย ลองพูดสิ ไอ้พวกเพื่อนเวรทั้งหลายได้ถีบยอดหน้าผมแบบไม่ยั้งแน่ๆ
     


    ……………….
     

    “อ้าว เป็นไรมึง มองหน้ากูไมวะ กูยังไม่ได้ว่าอะไรมึงเลยนะเว้ยมึงจะวีนกูไม่ได้นะ” มัวแต่คิดอะไรเพลินๆพอนึกได้ว่าไอ้ภูมิมันเงียบเลยเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นมันทำหน้านิ่งสนิทแล้วก็เอาแต่จ้องผมตาไม่กระพริบ ผมพูดอะไรขัดหูคุณชายแกอีกละเนี่ย


    “มึงเรียกชื่อกู”

    “อ้าว ไอ่นี่”เหวอเลยกู”ชื่อมึงต้องคำสาปรึไงกูถึงจะเรียกไม่ได้”

    “ครั้งแรก” ฟิ้ววววววววววววว ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันแอร์ในคาร์ฟูร์ไม่มีคุณสมบัติดูดซับอาการใจเต้นแรง อยู่ที่ไหนใจก็สั่นไหวได้ถ้ามีไอ้ภูมิ กริ้ววว(สโลแกนคุ้นๆวะ)

    “เอ่อ มึง
    ก็เรียกชื่อกูบ้างเหอะเรียกเตี้ยอยู่ได้” ไปแล้วกู ไปหมดแล้ว สมงสมองไม่สั่งงานแล้วหยิบอาหารหมามาทำไมวะ

    “กูพอใจ ที่จะพูดความจริง มีไรมั้ยไอ่เตี้ย หึหึ” แสรดดดดด หักดิบอารมณ์กูจังนะไอ่เวรเอามันฝรั่งยัดปากคนผิดไหมวะ มันหัวเราะเลวๆยิ้มร้ายๆให้ผมก่อนจะเดินจากไปอย่างแมนๆ อยากจะวิ่งไปกระโดดกัดหูมันให้ขาดเป็นชิ้นๆ


    แต่น้ำอะไรเย็นๆมาโดนมือผมวะยังไม่ได้กัดหูไอ้เห๊ภูมิเลยนะเลือดมันไหลแล้วเรอะ แต่พอก้มลงดูมือตัวเอง ชิบหาย กูบีบมะเขือเทศแหลกคามือ แมร่งเอ๊ยผมก็นึกว่าตัวเองถือมันฝรั่งโมโหเลยกำสุดแรงที่ไหนได้โตเมะโตะนี่หว่า แหยะๆ เช็ดมือกับเสื้อมันซะเลย
     

    ไอ้ภูมิมันหายหัวไปไหนไม่รู้ครับ ปล่อยให้ผมเดินคนเดียว เลยเลือกของที่จำเป็นต่อห้องครัวจนเกือบล้นรถ ผัก หมู กุ้ง ไก่ ปลา น้ำตาล มาม่า บลาๆเรียกว่าช้อปแหลกเอาให้ขนหน้าแข็งไอ้ภูมิกระดิกเพราะของแค่นี้คงไม่ถึงกับร่วง


    ผ่านไปซักพักใหญ่ๆผมชักจะหิวข้าวแล้วสิแต่ทำไมผมยังไม่เห็นเงาหัวไอ้ภูมิเลย ไปไหนของมันวะ ผมลองเดินตามหามันตามล็อกต่างๆก็ไม่มี วนกลับมายืนรอมันที่โซนของสดก็ไม่มี รอแล้วรออีกจนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะโผล่มา


    ไม่เอานะไม่เอาเหมือนคราวที่แล้วที่มันทิ้งผมให้รอนะ คราวนั้นมันซื้อของจ่ายเงินแล้วแต่นี่ผมไม่มีเงินติดตัวซักบาทโทรศัพท์ก็ไม่ได้เอามา

    อ๊ากกก แล้วกูจะทำยังไงกับของทีกองเป็นภูเขารถเข็นนี่ ผมเริ่มหันซ้ายหันขวา ถ้ามันไม่กลับมาผมจะทำยังไง นี่ผมถูกมันแกล้งอีกแล้วใช่มั้ย ไอ้ไก่อ่อนพีมเอ๊ย เมื่อไรมึงจะทันเล่ห์จิ้งจอกร้อยเก้าสิบเก้าอย่างไอ้ภูมิซักที ไอ่โง่ ไอ้เหี้ยภูมิ ทิ้งกู


    “ไอ้เตี้ย ชะเง้อมากๆคอจะยาวเป็นกะเหรี่ยงนะ”ผมหันหลังทันทีที่ได้ยินเสียงดุๆกวนๆที่เริ่มคุ้นเคย เพียงแค่เห็นหน้าไอ้ภูมิ เห็นคาตาว่ามันยืนอยู่ตรงนั้น ทำไมต้องรู้สึกโล่งใจ ดีใจขนาดนี้
     
    “พีม รอพี่อยู่ตรงนี้นะ”
    “พี่พัทจะไปไหน”

    “พี่จะไปช้อนลูกปลามาให้พีมไง รออยู่ตรงนี้นะ”
    “ไม่เอา พีมจะไปด้วย”

    “ไม่ได้ น้ำมันลึก พี่ไปแปบเดียว”
    “ก็ได้ฮะ พี่พัทรีบกลับมานะ พีมจะรออยู่ตรงนี้”

    “อื้ม เดี๋ยวพี่กลับมานะ”
    “ช่วยด้วยมีเด็กจมน้ำ มีเด็กจมน้ำ ช่วยด้วยๆ”

    และพี่ชายอันเป็นที่รักก็ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มาตามที่เคยสัญญา
     


    ผมเข็นรถเข็นเข้าไปหามัน ความรู้สึกตอนนี้ราวกับถูกซ้อนทับกับภาพในอดีต ขนอ่อนตามแนวกระดูกสันหลังลุกชันมันเยียบเย็น เงียบเหงาจนน่ากลัว เมื่อใกล้ถึงผมปล่อยมือจากรถก้าวแล้วไปยืนต่อหน้ามัน เรายืนห่างกันก้าวเดียว ผมมองหน้ามันเรียกว่าจ้องจะดีกว่า มันกระพริบตามองผมงงๆ


    “ไอ้ภูมิ
    !!!  มึงหายหัวไปไหนมาห๊ะ ไอ้ควายเอ๊ย มึงรู้มั้ยว่ากูกลัวแค่ไหน”ไม่รู้ว่ามือผมไปกำคอเสื้อมันได้ยังไง ไม่รู้ว่าเผลอตะโกนตอนไหน และพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัวสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้รู้แค่ว่าผมกลัว กลัวการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว


    ผมจ้องตาโตๆของมันในระยะประชิดโดยอาศัยการเขย่งอย่างมากทีเดียวกว่าหัวของผมจะไปอยู่ในระดับ เดียวกับคางมัน รู้สึกอยากชกหน้าขาวๆให้แมร่งเป็นรอย ดวงตาคมกล้าสีดำดูจะตกใจกับการกระทำของผมไม่น้อย แต่ไม่นานมันก็กลายเป็นดวงตาขี้เล่นวาววับ นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัวผลักมันออก และแม่เจ้า คนมายืนดูอะไรกัน ชิบหายละกู


    ผมส่งยิ้มแหยๆให้ทุกคนอย่างทั่วถึงแล้วรีบเข็นรถไปที่ช่องจ่ายเงิน ผมพยายามสูดลมหายใจให้ถึงปอด พยายามไล่ภาพของอดีตออกจากความคิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมทิ้งไม่ได้คือความรู้สึก อายยยยย กูอายยยย สมาคมแม่บ้านคงได้นินทากันไปสามบ้านแปดบ้าน “หนุ่มนักศึกษาทะเลาะวิวาทกลางคาร์ฟูร์สาเหตุเพราะคิดว่าถูกเพื่อนทิ้ง”


    “ด่าแล้วหนีหรอมึง ห๊ะ” ไอ้ตัวต้นเหตุมันตามมาติดๆแต่ไม่คิดจะหยิบของขึ้นมาวางให้พี่แคชเชียร์คิดเงิน ผมเลยต้องก้มๆเงยๆอยู่คนเดียว

    “เสือก” ผมหงุดหงิด ทั้งหงุดหงิดมันแต่มากกว่านั้นผมกำลังโมโหตัวเองที่อารมณ์ปรวนแปรแม่งกว่าผู้หญิงมีวันนั้นของเดือน ผมไม่ชอบที่ไอ้ภูมิมันมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผม ผมไม่ชอบให้ตัวเองเป็นตัวตลกของมัน ไม่อยากให้หัวใจสั่นไหวเพียงเพราะเห็นมันยิ้ม ผมไม่ชอบความรู้สึกที่กำลังมีต่อมัน ได้โปรดเถอะ ผมชอบผู้หญิง ชอบผู้หญิงจริงๆนะ


    “ทั้งหมดสี่พันสามร้อยเก้าสิบเจ็ดบาท ห้าสิบสตางค์คะ” เสียงพี่สาวแคชเชียร์ปลุกผมออกจากโลกบ้าๆปัญญาอ่อน ไอ้ภูมิยื่นธนบัตรใบละพันห้าใบให้พี่แคชเชียร์ อะไรวะแค่ผักกับผงชูรส ปาไปสี่พันเลยหรอ แม่งบวกค่าแอร์กับค่าบันไดเลื่อนด้วยป่ะวะ พาลครับพาล


    รับเงินทอนเสร็จมันก็ช่วยผมยกถุงใส่ลงรถเข็น โอ๊ะ ผมไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย ผีคุณชายออกแล้ว เออดี หัดช่วยกูบ้างไรบ้าง แม่งเงินเดือนก็ไม่ได้ต้องมาคอยรับใช้มันงกๆ

    มาคิดๆดูแล้วผมยอมให้พวกไอ้แทนเห็นคลิปติงต๊องนั่น กับการทนเป็นเบ๊ไอ้ภูมิอันไหนมันอัปปรีย์กว่ากัน หรือผมจะแข็งข้อกับไอ้ภูมิดีมันอยากทำอะไรก็ปล่อยแม่งทำไป ช่างหัวมันแต่เดี๋ยวก่อนนะครับถ้าเป็นแบบนั้นไอ้สิ่งที่ผมทำมาก็เสียเปล่าอ่ะดิ ไม่ได้ๆทนหน่อยพีมเดี๋ยวก็จะครบเดือนแล้ว สู้โว๊ยยยย







                                                         .......................................................................









    กว่าจะขนของเสร็จไหนจะจัดเข้าตู้เย็นอีกเล่นเอาลิ้นแทบห้อย เหนื่อยสัด และแล้วก็มาถึงวินาทีชีวิตครับนั่นก็คือการหุงข้าว มันต้องใส่ข้าวหรือใส่น้ำก่อนวะ แล้วใส่น้ำเยอะแค่ไหน หม้อหุงข้าวมันใช้ยังไงต้องตั้งเวลาเหมือนไมโครเวฟป่ะ ไม่ต้องหรอกมั้ง เสร็จจากทำสงครามกับหม้อหุงข้าวผมก็มาเปิดศึกกับการทำกับข้าวให้ท่านชายเสวย



    เมนูวันนี้ได้แก่  ไข่เจียวหมูสับ ยำปลากระป๋อง ผัดผัก ผมทำได้ขนาดนี้ก็นับว่าเทพสุดๆแล้วอยู่บ้านอย่างมากผมแค่เคยเป็นลูกมือหั่นอะไรเล็กๆน้อยๆให้แม่


    ผมทำได้นะกับข้าวคือถ้าให้ทำอะไรง่ายๆอาหารที่ใครๆก็ทำได้ แต่ผมไม่ชอบ ขี้เกียจ ก็ถ้าจะให้กูทำกินเองแล้วกูจะจ้างแม่บ้านมาทำแป๊ะอะไร อีกอย่างหนุ่มหล่อวัยขบเผาะอย่างผมจะให้ทำกับข้าว เฮอะ หายากครับถ้าไม่ใช่พวกเรียนคหกรรมหรือใจรัก



    เดชะบุญว่าเครื่องครัวมันมีแต่ของดีๆเทฟล่อนยกครัวเลยไม่ต้องห่วงเรื่องไหม้หรือติดกระทะ ไม่ต้องใส่น้ำมันเยอะ ดูแลทำความสะอาดง่ายราวกับมีเวทมนต์ และหากคุณโทรมาภายในสามสิบนาทีนี้เรายินดีขายในราคาแปดร้อยบาดแต่เดี๋ยวก่อนหากคุณ



    พอแระๆมึงจะเยอะไปแล้วพีม แต่เหมือนเครื่องครัวมันไม่เคยผ่านการใช้งานเลย นี่แหละที่เค้าเรียกว่ามีไว้ประดับฝาบ้าน 

    โอเคหุงข้าวก็เสร็จแล้ว กับข้าวก็เสร็จแล้วไปเรียกสามีมากินได้แล้ว เฮ้ย ไม่ใช่ๆไปเรียกไอ้ภูมิมากินได้แล้ว


    “อ่ะ” เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ได้เวลากลับบ้านซะที แต่พอจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไอ้ภูมิก็ยื่นถุงอะไรไม่รู้มาตรงหน้า
    ตั้งแต่กลับมามันกับผมยังไม่คุยกันเลยครับ “อ่ะ” คือคำแรก


    “อะไร”คือคำที่สอง ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจ ไม่อยากมองหน้าด้วยรู้สึกโมโหไม่หายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเคืองมันไปทำไม


    “มึงเป็นญาติกับเจ้าหนูจำไมรึไงห๊ะ ถามได้ถามดีอยากรู้ก็เปิดดูสิวะ” ผมรับถุงกระดาษใบโตลายสวยมาแล้วก้มลงส่องของในถุง งูยางป่ะวะหรือตุ๊กแกปลอม แต่ไม่ใช่ครับในนั้นมีเสื้อกับกางเกง บ๊อกเซอร์ก็มีกางเกงในก็มา เฮ้ย รู้ไซส์กูได้ไงวะ
     

    “เสื้อ กางเกง”
    “เห็นเป็นปืนลูกซองรึเปล่าละ มีเสื้อผ้าแล้วก็ไปอาบน้ำซักที เหม็น แหวะ”

    “มึงไปเอามาจากไหน”

    “คงไปปล้นมามั้ง”
    มันพูดเสียงห้วนๆแต่ถึงอย่างงั้นก็เหอะผมกลับรู้สึกอยากจะยิ้มยังไงก็ไม่รู้ลืมไปเลยว่าเคยเคืองมัน แมร่งใจง่ายวะพีม

    “ที่มึงหายไปเพราะไปซื้อของพวกนี้มาให้กูหรอวะ” เคยได้ของขวัญ ของฝากดีๆแพงๆกว่านี้มาก็เยอะแต่ผมไม่เคยดีใจเท่าครั้งนี้เลย มันเกิดอะไรกับผมกันแน่นะ

    “อย่าถามมากได้มั้ย กูหิวข้าว”เขินอะดิ๊ คึคึ

    “หิวก็ไปกินดิ กูทำเสร็จแล้ว”

    “มึงต้องกินด้วยเกิดวางยากูขึ้นมาทำไง”กำลังอารมณ์ดี หมดกันความสุนทรีย์ มันบ้ารึเปล่าคิดได้ยังไงว่าผมจะวางยามัน

    “มึงอย่าบ้าภูมิ ไม่มีใครคิดชั่วๆแบบมึงหรอก อีกอย่างกูจะไปเอายาอะไรจากไหนมาวางมึง ปัญญาอ่อนแระสัด” มันตบหัวผม ข้อหาอะไรไม่รู้ ตบคืนเลยแมร่ง

    “มึงกล้าตบหัวกูหรอ”ตาคมๆของมันลุกวาวน่ากลัวแต่ทำไงได้มันเป็นปฏิกิริยารีเฟล็กชั่นเวลาเราโดนตบหัวก็ต้องโต้กลับ ก็ผมตบไปแล้วอ่ะมันเอาคืนมาไม่ได้แล้ว

    “เออดิ ทีมึงยังตบกูเลย”
    ตอนนี้ผมเริ่มก้าวถอยหลังมันก็สาวเท้าก้าวตาม

    “หนอยไอ้เตี้ย กูทำดีด้วยหน่อย แมร่งซ่าส์ใช่มั้ย” ผมไม่รอให้มันลากผมไปกระทืบ เลยรีบใส่เกียร์หมาวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างว่องไว ฮ้ารอดตัวไป หึหึ ผมหันมองกระจกในห้องน้ำเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มสดใสอยู่ในกระจกบานนั้น


    ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขารู้สึกดีขนาดนี้หรืออาจจะเป็นเพราะผู้ชายอีกคนที่ยืนทุบประตูห้องน้ำเสียงดังพร้อมกับตะโกนสั่งลั่นว่าให้เวลาอาบน้ำแค่สิบนาที ไม่อย่างนั้นจะพังประตูเข้ามาฆ่าหมกส้วม แต่แล้วผมก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อนึกถึงโลกของความเป็นจริง พร้อมกับคำว่า มันเป็นไปไม่ได้ 

    ผมสะบัดหัวพยายามไล่บรรดาความคิดบ้าๆออกไปจากสมอง กูคือไอ้พีมนักศึกษาปีสอง กูเป็นผู้ชายธรรมดาที่บังเอิญซวยเลยกลายมาเป็นเบ๊ไอ้ภูมิผู้ชายที่ขี้โมโหเอาแต่ใจ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลง เราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ใช่ นั่นแหละสิ่งที่ผมควรจะคิดและรู้สึก อย่างงั้นเหรอ
     

    ให้ตายเถอะ  ผมไม่ชอบโกหกตัวเองวะ

     
    ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จด้วยชุดใหม่เอี่ยมอ่องชนิดที่ผงซักฟอกยังไม่ได้ผ่านป้ายราคาก็ดึงกันสดๆตอนจะใส่ ผมรู้แล้วว่าไอ้เงินสี่พันกว่ามันค่าอะไร ไม่ใช่ค่าหมูหมากาไก่แต่เป็นราคาเสื้อผ้าของผมนี่เอง


    “ช้า ลีลา โยกโย้” ไอ้ภูมิเงยหน้าจากจานข้าวมาเหวี่ยงผม โด่ ไหนบอกกลัวกูวางยาไงกินไม่รอเลยนะ ผมนั่งลงตรงข้ามมันรู้สึกดีเหมือนกันที่มีคนกินกับข้าวฝีมือเรา

    “ภูมิมึงรู้ได้ไงว่าเอ่อ คือกูหมายถึงมึงเก่งเนอะซื้อให้กูได้พอดี ขอบคุณนะ”
    แม้จะกระดากที่ต้องพูดแต่ผมก็ควรจะขอบคุณมันที่อุตส่าห์ไปซื้อหาเครื่องนุ่งห่มมาให้ แถมได้ไซส์ที่พอดีเป๊ะ สุดยอดๆ


    “กางเกงในนะหรอ มึงใส่พอดีหรอ”
    “อือ ทำไมวะ”


    “ไซส์เด็กเล็กที่สุดแล้วนะ หึหึ ลูกหนอน” ครวย สัด เห็บหมาเอาคำขอบคุณกูคืนมาแต่ดูเหมือนว่ามันจะพออกพอใจซะเหลือเกินที่ได้ถากถางผมในประเด็นนี้ ฮึ่มใจร่มๆไว้พีม พุธโธ พุธโธ ยุบหนอพองหนอ ปากหมาหนออย่าแคร์หนอ


    “อร่อยมั้ยมึง”ผมกัดฟันถามก่อนที่จะเผลอกัดหัวมันขาด
    “ไม่รู้ กูลิ้นจระเข้”

    “จระเข้หรือวรนุช”เย้ดเข้ผมเก็บแต้มคืนแล้วหนึ่งดอกมึงชงมาเองนะเฟ้ย มันตวัดตาโตๆดุๆขึ้นมองผม ผมยักคิ้วให้มันแล้วเริ่มลงมือกินข้าวฝีมือตัวเอง


    “พรวด
    !!!แค่ก แค่ก  ใครทำรถขนเกลือคว่ำในจานผัดผักกูวะ!!!” ผมคายผัดผักคำแรกทิ้งแทบไม่ทัน ต้องรีบคว้าแก้วน้ำมากระเดือกล้างปากอย่างเร่งด่วน นี่มันผัดผักหรือผัดเกลือ ผมใส่น้ำปลานิดเดียวเองนะเว้ย ทำไมมันเค็มงี้วะ


    แล้วนี่มันข้าวสวยหรือโดโซะเคี้ยวแล้วกรุบกรอบเชียวแมร่งแข็งเหมือนยังไม่ได้หุงเลย แต่ทำไมไอ้ภูมิถึงได้กินแบบหน้าตาเฉยขนาดนั้นหรือมันลิ้นจระเข้จริงๆ
    มันเลิกคิ้วมองแล้วก็กินต่อ ผมรีบคว้ามือมันแล้วดึงช้อนออกจากมือขาวๆนั่น

    “อะไรของมึงห๊ะ อยากตายใช่มั้ย ปล่อยกูจะกินข้าว”


    “ไม่ต้องกินแล้วรสชาติส้นตีนขนาดนี้ มึงไม่ต้องกลัวกูเสียใจหรอกไปกินข้างนอกเหอะกูเลี้ยงเอง” ผมรู้สึกผิดโคตรๆ จริงๆนะ
    ผมจ้องตามันพยายามสื่อให้เห็นถึงความรู้สึกผิดที่มันล้นปรี่อยู่ในทุกซอกหลืบหัวใจ โธ่พ่อคุณลิ้นมึงฉาบด้วยยางมะตอยรึไงถึงแดกอาหารพวกนี้ลงไปได้

    “ปล่อยมือกูได้รึยัง เมื่อย”

    “หะ หา อ๋อ เออๆโทษที”ผมรีบปล่อยมือไอ้ภูมิเหมือนเป็นของร้อนต้องห้าม “มึงกินเข้าไปได้ยังไงวะ”

    “ทำไม ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนิ”

    “แต่มันเลวร้ายมากเลยนะเว้ย กูขอโทษนะ ไปกินข้างนอกกัน”เป็นครั้งแรกที่ผมมีความตั้งใจอยากจะหัดทำกับข้าว อย่างน้อยก็เพื่อจะไถ่โทษให้ไอ้ภูมิที่อุตส่าห์กินอาหารรสชาติชั้นต่ำโดยไม่ปริปากโวยวายซักคำถ้าเป็นผมนะพ่อจะสั่งฆ่าแมร่งซักเจ็ดชั่วโครต
     


    “งั้นไปบ้านมึง”

    “ห๊ะ” OoO

    “ไอ้คิวบอกกูว่าบ้านมึงเปิดร้านกาแฟ กูจะไปดื่มกาแฟ”
    ไอ้คิว มึงดัดหลังกูไอ้ฟายมึงไปให้ประวัติกูกับบุคคล
    ต้องห้ามทำไม ไอ้เพื่อน
    negative


    “เอ่อ ไม่ดีมั้งกูว่า คือแบบเราเพิ่งรู้จักกันจะให้พาเข้าบ้านเลยมันก็ยังไงๆอยู่” ไอ้ภูมิขมวดคิ้วเอียงคอมองผมแบบงงสุดชีวิต “เอ่อ กูหมายความว่า
    ”ว่ากูพูดด๋อยอะไรออกไป กู้ข้อมูลคืนได้มั้ยวะ ดีนะที่ไอ้ภูมิมันงง เกิดมันตีความหมายออกละมึงเอ๊ย อายกันแบบไม่ได้ผุดได้เกิด

     
    และยังคิดถึงเธอนะ อ๊ะ อ๊ะ ชีวิตที่มีเธอ
    วันคืนเหล่านั้นช่างมีความหมาย
    วอนท้องทะเล ขอบฟ้าแสนไกลบอกเธอได้ไหม ยังคอย

     
    ย๊าฮู้ เสียงโทรศัพท์ช่วยชีวิต ผมรีบควานหาโทรศัพท์ตัวเองเมื่อคืนผมวางไว้ไหนวะ อยู่ไหนๆ แต่ทำไมมันดังมาจากใกล้ๆ ยู้ฮู้ พี่ตูนอยู่ไหน ผมกำลังจะหันไปถามไอ้ภูมิว่าเห็นโทรศัพท์ผมมั้ย

    อ้าว มันกดรับโทรศัพท์พลางเลิกคิ้วมองว่าผมหาอะไร เฮ้ย เสียงเพลงเมื่อกี้มาจากไอโฟนมันหรอครับ คุณชายฟังบอดี้ด้วยแถมใช้เพลงเรียกเข้าเดียวกันกับผม กูคิดนะกูคิด คิดว่าควรลำดับความอายความง่าวของตัวเองจากไหนไปไหนดี


    “ครับแยม มีไร”

    “ผมอยู่ห้อง”


    “ อืม ว่าง”  

    “ได้ เดี๋ยวผมไปรับ แล้วเจอกัน” มันวางโทรศัพท์เสร็จก็หันมามองหน้าผม พลางทำหน้าครุ่นคิดอะไรซักอย่างเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าจะหิ้วผมไปด้วยดีมั้ย ผมจึงรีบตัดไฟแต่ต้นลม

    “กูว่ามึงคงไม่ได้ดื่มกาแฟหรอก ไปแดกนมเหอะ” ผมยักคิ้วให้มัน แล้วไปหากระเป๋าตังกับโทรศัพท์เพื่อกลับบ้านดีกว่า

    “กูกลับแล้วนะ บาย”มันทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่สนใจคำบอกลาของผม เดินเข้าห้องนอนเฉยเลย ป๊าดดกูไม่ใช่สัมพะเวสีนะมึง ช่วยมองเห็นหัวกูบ้าง ตอนแรกว่าจะเก็บจานล้างให้ ไม่ทำแมร่งแล้วเดี๋ยวแม่บ้านก็ขึ้นมาทำ

    ผมปิดประตูพร้อมกับเป่าปากโล่งอก รอดไปได้อย่างหวุดหวิดแฮะ ถ้าเกิดไอ้ภูมิมันมาที่บ้านผมต้องประสาทแดกแน่ๆ แค่หนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน ผมก็จะบ้าแล้วอย่าให้ต้องมาอาศัยอากาศหายใจใกล้ๆกันนานกว่านี้เลย ไม่ใช่ว่ารำคาญหรือโกรธเกลียดมัน
     

    แต่ผมไม่อยากจะสับสนไปมากกว่านี้ ขอเวลาไปสำรวจความคิด ความรู้สึกตัวเองหน่อยแล้วกัน ถึงผมจะเป็นคนที่เข้าใจตัวเองยอมรับความจริงได้แต่เรื่องนี้ก็ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจ
     


    แต่เหมือนจะมีเสียงเล็กๆจากที่ไกลแสนไกลคอยกระซิบผมตลอดทางกลับบ้านว่า
     




    “ถ้าเจอคนที่ใช่ หัวใจมันจะอ่อนเอง”
     



    ผมเจอคนที่ใช่แล้วใช่มั้ย หัวใจของผมถึงไม่มีแรงต้านทานมันเอาซะเลย
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    TBC>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
     





    …………………………………………………………….
     

    Talk:
    ไม่มีคำแก้ตัวในการหายหัวคะ หุหุ ด่าได้แช่งได้แต่ห้ามสาปเพราะเค้าเหม็นสาบอยู่แล้ว กร๊ากกก
    เห็นคอมเม้นถึงร้อยดีใจน้ำตาไหลพรากๆ ขอบคุณจริงๆนะจ๊ะทุกคน ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ คงไม่ดองนานแบบนี้อีกแล้ว(มั้ง) ตอนที่แล้วคู่แทนฟ่างได้รับกระแสตอบรับดีมาก ทำให้ไม่เป็นที่พอใจต่อไอ้ภูมิ มันเหวี่ยงคะกลัวคนอ่านจะรักคนอื่นมากกว่ามัน เด็กขี้อิจฉา
    ปล นิยายเรื่องนี้ค่อนข้างจะยืดเยื้อ(มาก)ต้องทำใจกันหน่อยนะคะ สุดท้ายขอบคุณคนอ่านทุกๆคนคร๊า จุ๊บุๆ
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×