ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi]Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ

    ลำดับตอนที่ #3 : The 03rd Blessing

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 366
      1
      17 พ.ค. 58

    อ่ะฮ้า... และแล้วตอนนี้พระเอกของเรื่องก็ออกมาให้เชยชมกันแล้วค่ะ

    แต่ก็อย่างที่ทุกท่านรู้ว่า เรื่องนี้เป็นนิยายวายสายป่วง

    เพราะฉะนั้น ความเป็นพระเอกของนายธันวาคงไม่ได้ดูสมค่ากับการรอคอยเท่าไรหรอก...มังคะ

    (จริงๆเราว่า ธันวานี่ออกจะน่าสงสารเสียด้วยซ้ำ ฮาาาาาาาา)

     

    คำเตือน : เนื้อหาตอนนี้ยาวมาก ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ

    (ใจนึงเราก็อยากจะแบ่งลงสองวันติด แต่ทำใจหักแบ่งไม่ได้จริงๆ...เพราะเนื้อหามันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกัน

    และมันควรจะได้อ่านไปในคราวเดียว  ขอโทษจริงๆค่ะ ที่แก้นิสัยเขียนเยอะไม่ได้เสียที เหอ เหอ)

     

     

    ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ

    รักชอบประการใด หรือหากพบข้อผิดพลาด... ประกาศให้คนเขียนละอายตรงหน้าไมค์ได้เลยนะคะ

    ขอบคุณ & รักคนอ่านทุกท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ ^ _ ^

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    The 03rd Blessing

    ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมและสูงส่งดุจหอคอยงาช้าง นามว่า นายธันวา อริยะตรัย หรือ (ไท)เก็ก...

    แท้จริงแล้ว...เขาเป็นเพียงชายหนุ่มผู้โชคร้ายซ้ำซ้อนเท่านั้น

     

     

     

     

    หากใช้สายตาของนักศึกษาทั่วๆไปเฝ้ามองสิ่งที่กำลังอุบัติขึ้น ณ สนามกีฬากลางในช่วงแดดล่มลมตกดังเช่นขณะนี้  ข้อสรุปเดียวที่ดูมีความเป็นไปได้สูงสุดคงหนีไม่พ้น...อาเพศครั้งใหญ่กำลังจะบังเกิดภายในมหาวิทยาลัยเป็นแน่แท้ เพราะไม่บ่อยนักที่หล่อเร้นลับระดับพระกาฬผู้ผ่านการการันตีความสยองโดยชมรมมิติพิศวง กับสมุนกิ๊กก๊อกอีกหนึ่งหน่อจะมานั่งแผ่ออร่าทำลายล้างอยู่ข้างสนามบอล ก็เมื่อเร็วๆนี้...ไม่เห็นมีข่าวนักเตะแข้งทองของสโมสรใดเพิ่งเจ็บป่วยล้มตายเลยนี่นา

     

     

    ทว่าหากมองความเป็นไปในปัจจุบันผ่านสายตาของผู้หยั่งรู้ทั้งสี่...

    การมาที่นี่ เท่ากับการเซอร์เวย์เป้าหมาย มองหาลู่ทาง รวมทั้งประเมินสถานการณ์และความยากง่ายของภารกิจตามคำบัญชาขององค์เทวบุตรต่างหากล่ะ

     

     

    “ไหนเจ้าแว่น... มนุษย์คนไหนล่ะที่ชื่อธันวา ชี้ช้าๆสิ ข้ามองตามไม่ทัน” เจ้าพ่อห่อไหล่ซึ่งกำลังขี่คอหนุ่มแว่นพลางหรี่ตามองตามปลายนิ้วมือของสกลบ่นอุบ

     

    “โน่นครับเจ้าพ่อ...คนที่วิ่งเลี้ยงบอลไปหน้าโกลคนนั้นแหละครับ” สกลทำเสียงตื่นเต้นโดยไม่ยอมลดนิ้วมือที่กำลังชี้ไปยังทิศทางที่ธันวาเคลื่อนไหวอยู่

     

    “คนไหนกันแน่ล่ะเจ้าแว่น ข้าเห็นแต่ฝูงคนวิ่งมะรุมมะตุ้มรุมล้อมลูก จนข้าแยกแยะไม่ออกหรอกว่าใครกำลังได้บอลอยู่น่ะ” กลุ่มชายหนุ่มไม่ต่ำกว่าสิบชีวิตที่วิ่งสะเปะสะปะไปมา ชักจะสร้างความหงุดหงิดให้แก่เทวบุตรอย่างช่วยไม่ได้ ฌานเลยชี้เป้าให้เจ้าพ่ออีกครั้งอย่างจำเพาะเจาะจง

     

    “เจ้าพ่อสังเกตไอ้ตัวหัวจุกทรงตุ๊กตาเสียกบาลที่โดนล้วงโดนควักลูกกระเป๋งหนักกว่าลูกบอลที่มันเลี้ยงอยู่สิครับ...

    .

    ...นั่น...นั่น ไอ้คนนั้นที่มันวิ่งกุมไข่ไล่ลูกบอลอยู่คนเดียวในสนามน่ะครับ...

    ...ไอ้นั่นแหละครับเจ้าพ่อ...

    ...ไอ้เก็ก สุดที่รักของเพื่อนผม”

     

    “อ่า...ข้าเห็นเจ้าหนุ่มโชคร้ายคนนั้นแล้วล่ะ...

    .

    ...มนุษย์ผู้ชายสมัยนี้ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ” เจ้าพ่อห่อไหล่เอ่ยด้วยความเวทนา

     

    “นี่ยังไงล่ะครับที่ผมบอกเจ้าพ่อว่า คู่แข่งบ๊วยน่ะเยอะอย่างกับอะไร...

    .

    ...เจ้าพ่อรู้ไหมครับว่า กว่าครึ่งที่วิ่งแอ๊บแมนอยู่ในสนามน่ะ...

    ...หวังจะมาสไลด์บอลคู่ไปพร้อมๆกับถูหนอนแก้วของไอ้เก็กกันทั้งนั้นแหละครับ” ฌานอธิบายเพิ่มเติมถึงความจริงที่แสนโหดร้าย

     

    “ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรกันอยู่ล่ะ...

    .

    ...มาพิสูจน์ความเป็นไปได้ที่เพื่อนของพวกเจ้าจะชนะใจพ่อหนุ่มคนนั้นกันเลยดีกว่า” เจ้าพ่อปลุกใจเหล่าสมุนให้ผาดผยอง

     

    ลุยเลยครับเจ้าพ่อ!!! เหล่าสมุนผู้ช่วยรับคำเจ้าพ่อด้วยความพร้อมเพรียงและฮึกเหิม  สุ้มเสียงโห่ร้องอันก้องกังวานของทั้งสามทำให้นักศึกษากลุ่มอื่นแตกฮือ

    .

    .

    .

    “เอ่อ...จะดีเหรอ? เรายังไม่ได้เตรียมใจเลยนะ” บ๊วยแย้งเสียงอ่อยระหว่างค่อยๆเลื้อยลงไปหลบใต้ม้านั่ง

     

    “เอาน่าบ๊วย... มาถึงขั้นนี้แล้ว จะกลัวอะไรอยู่อีก” ฌอนให้กำลังใจเพื่อนผ่านการตบบ่าบ๊วยเบาๆ ก่อนจะกระชากปกเสื้อเชิ้ตของเพื่อนสนิทแล้วดึงอีกฝ่ายให้กลับขึ้นมานั่งข้างๆกันอีกครั้ง

     

    “บ๊วย...เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม!...  

    ...ข้าจะนำโอกาสงามๆที่เจ้าจะได้พูดคุยกับชายหนุ่มที่เจ้าปรารถนาใส่พานมาวางตรงหน้าเจ้า ณ บัดนี้”

     

     

    ทันทีที่เจ้าพ่อเอ่ยประโยคที่ว่าจบลง ลูกบอลซึ่งถูกเตะพุ่งไปเกือบถึงเสาโกล ก็เกิดเปลี่ยนวิถีไซด์โค้งมาทางขอบสนามเอาดื้อๆ เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งนักบอลที่กำลังวิ่งอยู่ในสนาม และคนดูที่ติดตามเกมอยู่โดยรอบตะโกนเสียงหลงด้วยความตกใจไม่ต่างกัน 

     

     

    เฮ่ยยยยยยยยยยยย!!!

     

     

    ส่วนชายหนุ่มผู้กลายเป็นเป้านิ่งของลูกบอลนำวิถีด้วยเวทมนตร์ของเจ้าพ่อห่อไหล่ กลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นว่าลูกบอลค่อยลอยลงมาตกอยู่ตรงหน้าของตัวเองอย่างนุ่มนวล  

     

    แฝดผู้พี่ซึ่งมีสติสูงสุดในบรรดาสามหนุ่มไม่ลืมปฏิบัติหน้าที่มือขวาของเทวบุตรด้วยการรุนแผ่นหลังบ๊วยเบาๆ จนชายหนุ่มถลาไปข้างหน้าในระยะที่ใกล้กับลูกหนังสีขาวสลับดำมากที่สุด  และไม่รู้อะไรดลใจ หรือฝีมือใครบันดาล...ทำให้ธันวากลายเป็นนักบอลเพียงคนเดียวที่ออกวิ่งมาตรงเส้นข้างสนามเพื่อเก็บลูก

     

     

    “คุณครับ...ช่วยส่งบอลให้ด้วยครับ” เสียงทุ้มนุ่มหล่อร้องเรียกผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ลูกหนังมากที่สุด

     

     

    ธันวา อริยะตรัยไม่ได้มีดีแค่เสียง

    หากแต่คุณสมบัติทุกประการของผู้ชายคนนี้...ดีเลิศและสูงส่งประหนึ่งพระเอกนิยายเกย์ในอุดมคติไปเสียทุกกระเบียด

     

    ไม่ว่าจะเป็น...

    ...รูปร่างสุดเซี้ยะที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามน่าลูบไล้ลูกแล้วลูกเล่า...

    ...หน้าตาที่หล่อเหลาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าดาราชายไทยหรือเทศคนไหนๆ...

    ...มันสมองและความชาญฉลาดก็ไม่เป็นสองรองใคร ยืนยันได้ด้วยผลการเรียนในระดับท็อปของชั้นปี...

    ...ฐานะ และคุณสมบัติอื่นๆที่พ่อคุณมี... ก็ดีเสียจนผิดมนุษย์มนา และน่าอิจฉาเป็นที่สุด

     

     

     

    ซึ่งการได้เสวนากับชายหนุ่มในฝันก่อนเวลาเข้านอน

    ทำให้คนไม่มั่นใจอย่างบ๊วยยิ่งประหม่าจนวางตัวไม่ถูกไปกันใหญ่

     

    “คะ คะ..ครับ?...”

     

    “คุณน่ะแหละครับ ช่วยส่งบอลให้หน่อย...เตะมาก็ได้ครับ” ธันวาเสนอทางเลือกเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายไม่ลำบากนัก แต่คนไม่มั่นใจ...ไม่ว่าอย่างไร ก็จะยังคงเป็นคนไม่มั่นใจอยู่วันยันค่ำ  

     

    “เตะ...เตะเลยเหรอครับ?” บ๊วยสองจิตสองใจ ธันวาไมได้ตอบ หากแต่พยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้เพื่อยืนยันให้คนดูผู้ครองบอลชั่วคราวใช้เท้าส่งลูกกลับไป

     

     

    เมื่อความตื่นเต้นเกินต้านทาน ประสานพลังกับชั่วโมงบินในการออกกำลังกายอันน้อยนิดตลอดชีวิตของบ๊วย...

    ความซวยจะไปไหนเสีย

     

    ลูกหนังกลมๆที่ควรเป็นใบเบิกทางให้ทั้งสองหนุ่มได้สานสัมพันธ์กัน...

    กลายเป็นบอลบั่นทอนอนาคตรักของบ๊วยไปในชั่วพริบตา

     

    ก็ใครเลยจะคาดคิดว่า...

    ลูกหนังที่ถูกเตะอย่างพิถีพิถัน...

    .

    ...จะตะบันอัดเข้าตรงกลางตะบองของธันวาได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง

     

     

    เหี้ย!!” บ๊วยกับสกลร้องประสานเสียงทันทีที่เห็นธันวาล้มลงไปนอนกุมลูกชายที่ปวดร้าวราวจะขาดออกจากขั้ว  

     

     “ให้บอลบ๊วย...

    ...แต่ดันไม่ให้พรสวรรค์ในการควบคุมทิศทางลูกบอลเผื่อไปด้วย...

    .

    ...เฮ่อ...ไอ้เก็กแม่งซวยจริงจริ๊งงงงง!!” ฌานได้แต่ส่ายหัวปลงๆให้กับแผนที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ของเจ้าพ่อห่อไหล่ และความไม่เอาไหนของเพื่อนสนิท ตามด้วยยืนสงบนิ่งไว้อาลัยเป็นเวลาสามวินาทีให้กับว่าที่เขยกลุ่มผู้โชคร้ายเหลือจะเอ่ย

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    “นี่เจ้าแว่น...เย็นย่ำป่านนี้แล้ว เจ้าจะพาข้ามาที่ร้านหนังสือทำไม?” เจ้าพ่อห่อไหล่โวยวายใส่หูของชายหนุ่มลุคมหาฯที่กำลังเดินหน้าสำรวจทุกซอกทุกมุมของร้านหนังสือเช่าอย่างตั้งอกตั้งใจ

     

    “ชู่ว์ อย่าเอ็ดไปครับเจ้าพ่อ...

    .

    .

    ...ผมพาเจ้าพ่อมาที่นี่ เพื่อมาดำเนินแผนการของเราต่อกันยังไงล่ะครับ...

    ...ตีเหล็ก มันต้องตอนร้อนๆ จริงไหมครับเจ้าพ่อ  อะเหอ เหอ เหอ” สกลตอบเจ้าพ่อด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม   

     

    “ยังไง?...ไหนเจ้าลองว่ามาซิ” ในที่สุดเจ้าพ่อห่อไหล่ก็ตกหลุมพรางของสกลจนได้

     

    “เดี๋ยวเจ้าพ่อก็รู้เองแหละครับ” หนุ่มหน้าแว่นตอบเทวบุตรหน้าตาย ทั้งที่ในใจกำลังหัวเราะลั่นที่ทำให้อีกฝ่ายอยากรู้จนเก็บอาการไม่มิด  แต่เมื่อเห็นสายตาอาฆาตจากเจ้าพ่อ สกลจึงยอมเผยไต๋เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

     

    “เอาเป็นว่า ระหว่างที่เรารอให้พี่ฌานกับฌอนไล่แขกในร้านหนังสือออกไปให้หมด เจ้าพ่อเหาะไปดูหนังสือเล่นพลางๆก่อนดีกว่านะครับ  ผมรับรองเลยว่าไม่ถึงสองนาที...คุณธันวาสุดที่รักของบ๊วยจะมาเช่าหนังสือที่นี่แน่ๆครับ”

    .

    .

    .

    .

    “สกล... วันนี้พอก่อนไม่ได้เหรอ?... เอ่อ เรา...คือ...เรา” บ๊วยที่ยืนถัดไปทางด้านหลังด้วยท่าทางหวาดหวั่นร้องวิงวอน

     

    “เราทำไม?” ฌานถามเสียงเข้ม  ที่แฝดพี่กลับมายืนตรงนี้และพูดคุยกับพวกเขาได้ บอกให้ทุกคนรู้ว่าขั้นตอนการแผ่ออร่าคุกคามสิ่งมีชีวิต...ด้วยพลังงานของสิ่งไม่มีชีวิตที่ติดตามแฝดร่างทรงได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

     

    “คือ...ผมไม่กล้าสู้หน้าเก็กน่ะครับพี่ฌาน” สุดท้ายชายหนุ่มร่างเล็กที่สุดในกลุ่มก็ยอมสารภาพ

     

    “จะกลัวอะไรบ๊วย?...

    .

    ...เจ็บไข่จนตัวห่อซะขนาดนั้น  ไอ้เก็กมันคงไม่ทันจำหน้าบ๊วยหรอกมั้ง” แฝดคนพี่พยายามปลอบเพื่อนสนิทให้เลิกวิตก แต่เหตุผลข้างๆคูๆของพี่ฌานกลับไม่ได้ทำให้บ๊วยคลายกังวลอย่างใจคนพูดหมายมั่น

     

    “ถ้าพี่ฌานเป็นเก็ก พี่ฌานจะจำหน้าคนเตะบอลอัดไข่พี่ฌานไม่ได้จริงๆเหรอครับ?” บ๊วยถามซื่อๆ แต่คนตอบความกลับกลายเป็นแฝดผู้น้องที่ย่องเข้ามายืนอยู่ข้างหลังบ๊วยตั้งแต่เมื่อไร...ชายหนุ่มเองก็ไม่อาจบอกได้

     

    “ถึงพี่ชายจำไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ชายจะไม่ล้างแค้นหรอกบ๊วย...

    .

    ...รายนี้น่ะศีลแตกเพราะเที่ยวไปหาเรื่องคนอื่นประจำแหละ” ฌอนพูดพลางเล่นหัวบ๊วย พร้อมกับส่งสายตาฟาดฟันแฝดพี่ไปด้วย

     

    “น้องชาย...เดี๋ยวพี่บอกพ่อพลายให้มาเข้ากะเลยนี่” ฌานขู่ฟ่อ ในขณะที่ฌอนก็ไม่หงอลงให้แต่อย่างใด

     

    “ชู่ว์!!!! หยุดก่อนครับทุกท่าน งานของเรามาแล้ว!!!” เสียงห้ามปรามของสกลทำให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปยังผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านหนังสือทันที

     

    “ไปเลยบ๊วย...ไปขอโทษเก็กซะ” ฌอนส่งยิ้มสร้างขวัญและกำลังใจ พลางชี้นิ้วบอกใบ้ให้บ๊วยรู้พิกัดของชายหนุ่มอีกคนคร่าวๆ แล้วจึงออกแรงลากพี่ชายและสกลให้ไปแอบดูผลงานอยู่ตรงมุมลับตามุมหนึ่งของร้าน  

     

    ถึงอย่างนั้น...บ๊วยกลับยืนก้มหน้ามองพื้นนิ่งๆ โดยไม่คิดจะกระดิกกระเดี้ยไปไหน

    เจ้าพ่อจึงเสริมความมั่นใจให้ชายหนุ่มด้วยการเอ่ยคำมั่นอย่างจริงจัง

     

     

    “เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก รับรอง...คราวนี้ถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

     

    “ครับ...ได้ครับเจ้าพ่อ” สีหน้าของบ๊วยดีขึ้นจากเดิมเมื่อได้ยินถ้อยคำยืนยันจากเจ้าพ่อห่อไหล่กับหูของตัวเอง

     

     

     

    เป้าหมายของบ๊วยเดินไล่สายตาผ่านสันหนังสือที่เรียงรายอย่างแน่นขนัดอยู่บนชั้นตรงแถวริมสุดของร้านด้วยความตั้งใจ เขามักจะใช้เวลากับการอ่านชื่อหนังสือเรื่องแล้วเรื่องเล่าอยู่นานสองนาน จนกว่าจะเจอชื่อเรื่องและเนื้อหาที่ถูกใจ.. จากนั้นจึงค่อยเช่าติดมือกลับไปนอนอ่านต่อที่ห้อง   ช่วงเวลาอันเพลิดเพลินและสงบสุขนี้ ทำให้ธันวาไม่ทันสังเกตชายหนุ่มร่างหย็องกรอดที่กำลังด้อมๆมองๆตามแผ่นหลังของเขา อยู่ในตำแหน่งเดียวกันของแถวชั้นหนังสือถัดห่างออกมาแถวหนึ่ง

     

    และแล้วธันวาก็เจอหนังสือที่ทำให้เขาติดใจ...

    เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกจากชั้น ก่อนจะหยุดอ่านชื่อและถ้อยคำโปรยสั้นๆตรงหน้าปกเงียบๆ

     

     

     

    สำหรับคนทั่วไป...คงเห็นหนังสือในมือธันวาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญ

    แต่สำหรับบ๊วยแล้ว สิ่งที่เก็กสนใจ  ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ...ล้วนแล้วแต่สำคัญและยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การรับรู้และจดจำเสมอ  

     

    วินาทีนี้  บ๊วยอยากรู้เหลือเกินว่า...

    หนังสือที่ได้รับการเลือกจากธันวาท่ามกลางหนังสือเล่มอื่นๆอีกมากมายคือเรื่องอะไร

     

    ชายหนุ่มผู้มีส่วนสูงพ้นระดับมาตรฐานหญิงไทยไปนิดหน่อยอย่างเขา จึงต้องอาศัยการเขย่งเพื่อปรับระดับสายตาให้สูงพอจะอ่านเชื่อเรื่องบนหน้าปกจากจุดที่ยืนอยู่ ก่อนจะแหวกกองหนังสือบนชั้นข้างหน้าที่บดบังทัศนวิสัยให้พ้นหูพ้นตา  ตามด้วยแนบตัวเป็นเนื้อเดียวกับชั้นหนังสือที่ขวางกั้นเขากับธันวาจากกันจนมีระยะห่างหนึ่งช่วงตัวเป็นการปิดท้าย

     

     

    ...The Purple Diary...รักนี้....รักนี้อะไร?...

    .

    ...ฮึบ!! อีกนิด... เกือบแล้ว...

    ...เขย่งสูงกว่านี้อีกนิด...

    ...เขยิบเข้าไปใกล้ๆอีกหน่อยบ๊วย...ฮึบ...อีกนิดเดียว...

    .

    ...อ๊ะ เห็นแล้ว!!...

    ...The Purple Diary  รักนี้สีม่วง!!

     

     

    เหวอออออ!

     

     

    เสียงอุทานด้วยความตกใจของบ๊วยเกิดขึ้นทันทีที่ชั้นหนังสือพ่ายแพ้ต่อกฏฟิสิกส์ว่าด้วยเรื่องแรงทั้งหลาย 

    ความอยากรู้อยากเห็นทำให้บ๊วยลืมตัวทิ้งน้ำหนักใส่ชั้นหนังสือที่มีแค่ขาเหล็กเล็กๆสี่ข้างเป็นส่วนค้ำยัน

    ชั้นหนังสือที่บ๊วยอาศัยพึ่งพิง จึงอยู่ในระยะทิ้งตัวก่อนโค่นใส่ชายหนุ่มผู้กำลังดื่มด่ำกับนิยายเกย์โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบเต็มๆ

     

     

    เฮ่ยยยยยย!!!” และนั่นคือเสียงแห่งความตกใจที่หลุดออกจากปากของชายหนุ่มทั้งสามซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆโดยไม่วางตา

     

    “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าใช้พลังยั้งไม่ให้ชั้นหล่นลงมาทับนายธันวาแล้ว” เทวบุตรส่งยิ้มกว้างให้กับลูกสมุนทั้งสี่ด้วยภูมิใจในความฉลาดเฉลียวไม่มีใครเกินของตน ขณะที่ชั้นเหล็กค่อยๆเปลี่ยนองศากลับเป็นตั้งตรงไม่ต่างจากเดิมอีกครั้ง

     

     

    อนิจจา...เจ้าพ่อห่อไหล่คงหลงลืมไปว่า ไม่ได้มีแค่ชั้นหนังสือเท่านั้น ที่ต้องได้รับการพยุงเอาไว้ไม่ให้เอนล้ม...

    ทว่าหนังสือหลายร้อยเล่มที่ถูกยัดจนไร้ที่ว่าง ควรได้รับการเหนี่ยวรั้งสู้กับพลังของแรงโน้มถ่วงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชั้นเหล็ก

     

    ซึ่งกว่าที่เจ้าพ่อห่อไหล่ที่กำลังเห่อกับความสำเร็จของตัวเองจะระลึกได้...

    ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว

     

     

    (โครม!!!)

     

     

    เหี้ยยยยยยยยย!” คราวนี้สี่หนุ่มลูกสมุนของเจ้าพ่อห่อไหล่ต่างร่วมใจเปล่งเสียงเยินยอความฉิบหายของสถานการณ์โดยพร้อมเพรียงกัน  เมื่อเห็นว่าหนังสือจากทั้งสองด้านของทุกชั้นเทไปกองสุมรวมกันอยู่บนร่างที่นอนคว่ำหน้าอย่างไร้สติของธันวาผู้อาภัพ

     

    “สกล...ไปลากบ๊วยออกมา แล้วพากลับหอไปเลย!!...

    .

    .

    ...เจ้าพ่อครับ วันนี้ฤกษ์ไม่ดี...

    ...ผมว่า เราสลายตัวกันก่อนเถอะครับเจ้าพ่อ” ฌานผู้ประคองสติได้ทุกขณะร้องสั่งหนุ่มหน้าแว่นให้รีบแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน และบ๊วยคือจุดอ่อนของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ที่ต้องเร่งกำจัด

     

    “อ้าว...แล้วเจ้าหนุ่มธันวาล่ะ?” ฌานไม่ได้ตาฝาดที่เห็นสีหน้าของเจ้าพ่อห่อไหล่แลดูเศร้าสร้อยลงทันตา  ถึงอย่างนั้น...การปลอบประโลมกันกลับไม่ใช่สิ่งที่ควรทำในเวลานี้ ชายหนุ่มจึงรีบอธิบายให้เจ้าพ่อเข้าใจอย่างรวดเร็ว

     

    “ปล่อยให้สลบไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวอีกสักพักมันก็ฟื้นขึ้นมาเอง มันถึกอย่างกะควาย ไม่ตายง่ายๆหรอกครับเจ้าพ่อ...

    ...แต่ถ้าขืนพวกเราโอ้เอ้กันนานกว่านี้  เก็กมันอาจจะเข้าใจไปว่า บ๊วยเป็นนักฆ่าที่แฟนเก่าจ้างมาทำร้ายมากกว่าผู้ชายที่มาแอบชอบนะครับ”

     

    “...ฟังดูมีเหตุผล!...

    .

    .

    ...งั้นข้าไปก่อนก็แล้วกันนะสมุน...

    ...เจอกันวันพรุ่ง!! ป็อบ!

     

     

    แฝดพี่ถึงกับไปไม่เป็นเมื่อเห็นเจ้าพ่อหายตัวไปต่อหน้าต่อตา

    จนเมื่อฌอนแฝดน้องเข้ามาลากเขาให้เดินออกจากร้าน พร้อมๆกับพูดในสิ่งที่ชายหนุ่มเผลอคิดในใจออกมานั่นแหละ พี่ฌานของกลุ่มจึงกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

     

     

    “พวกเทวดานี่ก็แปลกดีนะพี่ชาย...

    ...บทจะเข้าใจอะไรยาก ก็ยากเกินเข้าใจ...

    ...แต่บทจะเข้าใจอะไรง่ายๆ ก็หายตัวไปแล้วซะงั้น...

    .

    .

    ...กลับบ้านกันเหอะพี่ชาย น้องพลายบอกหิวข้าวแล้วอ่ะ”

     

    “ได้เลยน้องชาย...

    .

    .

    ...รออีกนิดนะพ่อพลาย...เดี๋ยวพ่อถวายน้ำแดงให้สองขวดเลย” ฌานเอ่ยกับลมกับฟ้า ซึ่งหากใครเผลอมองผ่านๆด้วยหางตา อาจจะเห็นเป็นเด็กหัวจุกรูปทองผ่องแผ้วนพคุณลอยล้อมหน้าล้อมหลังแฝดทั้งสองด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

     

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    ท่ามกลางความจอแจและเบียดเสียดของโรงอาหารกลางเวลาพักเที่ยง มีผู้ชายหน้าตาปานกลางถือถาดใส่ข้าวขาหมู  และข้าวหมกไก่อย่างละจาน กับนมชมพูเย็นที่เริ่มละลายแล้วอีกสองแก้ว ยืนตระหง่านตั้งสติอยู่ตรงใจกลางการจราจรอันคับคั่งของเหล่าหนอนมนุษย์เจริญพันธุ์ผู้หิวกระหาย...

     

    ผู้ชายหน้างงคนนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคำบนบานล่าสุดแห่งศาลเจ้าพ่อห่อไหล่

     

    บ๊วยกำลังมองหาฌานกับสกลที่อาสาไปเดินหาที่นั่งให้ตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อน  พร้อมๆกับเหลียวซ้ายทีขวาที เพื่อจับสัญญาณชีพของฌอนที่ขาดหายไปตั้งแต่ทั้งหมดก้าวขาเข้ามาในโรงอาหารอันคับคั่งยิ่งกว่างานกาชาดที่ศาลากลางจังหวัด

     

     

    วู๊วว... บ๊วย!!!  ทางนี้... เราอยู่นี่”  เสียงเรียกอันคุ้นเคยของสกลทำให้บ๊วยเอี้ยวตัวกลับไปมองยังโต๊ะด้านในสุดของโรงอาหาร  ก่อนจะนึกก่นด่าตัวเองในใจที่เสียรู้ให้เพื่อนหน้าแว่นอีกครั้ง  

     

     

    เพื่อนสนิทหน้าแว่นผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดของนายบวรพล หนนกระโทก กำลังส่งเสียงตะโกนร้องเรียกเขาอย่างร่าเริง ควบคู่ไปกับการกระโดดเหยงๆ และโบกมือหยอยๆอยู่ในระดับที่สูงเด่นกว่าสายตา  ลำพังแค่เดินผ่านคนอื่นในเวลาปกติ...สกลก็ดูเด่นแบบแปลกๆจนคนมองต้องเหลียวหลัง  ยังจะมีหน้ามากระโดดดึ๋งดั๋งเรียกร้องความสนใจให้ดูน่าอายหนักไปกันใหญ่  

     

     

    แล้วอย่างนี้...จะให้คนธรรมดาๆที่แทบไม่เหลืออะไรดีในความเห็นของคนหมู่มากแบบบ๊วยเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหนกัน?

    บ๊วยที่กำลังอับอายถึงขีดสุดนึกอยากจะขอพรเจ้าพ่อห่อไหล่เพิ่มเสียเดี๋ยวนี้

    ทว่ากลับลังเลใจด้วยไม่รู้จะเลือกขอพรข้อไหน ระหว่าง...

    ช่วยทำให้สกลหายออกจากชีวิตไปให้พ้นๆ  หรือช่วยทำให้เขาไม่เคยมีตัวตนในชีวิตของสกลดี

     

     

    “ทำไมถึงต้องไปนั่งกินข้าวไกลขนาดนั้นด้วยก็ไม่รู้” ชายหนุ่มบ่นเบาๆกับตัวเองเมื่อเห็นว่าโต๊ะตัวที่ฌานกับสกลจับจองนั้น ทั้งอยู่ไกลจากจุดที่ตนยืนอยู่ไม่น้อย แถมยังเป็นแถบที่นั่งประจำของพวกเด็กวิศวะอีกด้วย  

     

     

    แต่ถ้าพูดกันตามความเป็นจริง...

    หากเมื่อวานไม่เกิดเรื่องแย่ๆทั้งหลายกับธันวา บ๊วยคงจะเดินไปนั่งยังโต๊ะตัวนั้นโดยไม่คิดมากอะไร กลับจะยิ่งชอบใจเสียด้วยซ้ำ เมื่อจะได้แอบมองชายหนุ่มที่ตนเองรักและเทิดทูนในระยะห่างกันเพียงไม่กี่ที่นั่ง    

     

     

    “ถามจริง ที่พูดแบบนั้นออกมา คิดก่อนแล้วใช่ไหม?”  ประโยคเหน็บที่พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆเย็นๆของฌอนทำให้บ๊วยได้สติ  

     

    “บ๊วยไม่เห็นเหรอว่าที่นั่งในโรงอาหารกลางมันเต็มหมดแล้ว โต๊ะนั้นเป็นโต๊ะเดียวที่ยังว่างอยู่...ไปนั่งเถอะ อย่าลีลา ป่านนี้พี่ชายกับสกลหิวข้าวแย่แล้วเนี่ยะ”  ฌอนเปลี่ยนเป็นถือถาดมือเดียว แล้วเอาแขนอีกข้างคล้องเข้ากับแขนบ๊วย “น่า...เดินไป อย่าคิดอะไรมาก” แฝดน้องไม่รอคำตอบ หากแต่ทั้งลากทั้งจูงให้ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้

     

    “หายไปซื้ออะไรมาตั้งนานสองนาน  ไปซื้ออาหารทิพย์มาถวาย ท่านอยู่หรือไง?” พี่ฌานของเพื่อนๆพูดแซวออกมาทันทีที่แฝดน้องลากบ๊วยมาทิ้งลงตรงข้างๆสกลได้สำเร็จ   บ๊วยไม่ได้ตอบคำถามแฝดพี่ เพราะมัวแต่รู้สึกแปลกใจกับความรู้สึกโล่งสบาย ไม่แออัดหลังจากได้หย่อนก้นลงนั่ง

     

    ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆ พลางเปรียบเทียบสภาพความแออัดยัดเยียดของโต๊ะอื่นๆ แล้วจึงพบว่า...โต๊ะตัวยาวสำหรับเด็กผู้ชายตัวโตๆนั่งรวมกันได้เกือบสิบคนตัวที่ตนเองนั่งอยู่กับเพื่อนๆอีกสามคน  ช่างว่างเปล่าราวกับถูกกันที่เอาไว้โดยเฉพาะ ในขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่นี่แทบจะนั่งขี่คอกันกินข้าวอยู่แล้ว

     

     

    “เอาเถอะครับพี่ฌาน ไหนๆอาหารก็มาแล้ว พวกเราเริ่มรับประทานกันเลยดีไหมครับ?” สกลพูดทั้งๆที่เคี้ยวข้าวอยู่... ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า หนุ่มแว่นได้จ้วงเอาข้าวเข้าปากก่อนจะพูดประโยคที่ว่ามาเสียอีก

     

    “พี่ฌาน... วันนี้นึกยังไงถึงชวนทุกคนมากินข้าวที่โรงอาหารกลางได้?” บ๊วยถามเพราะยังติดใจเรื่องโต๊ะไม่หาย ยิ่งไปกว่านั้น...ร้อยวันพันปี แฝดพี่ไม่เคยร้องอยากจะกินข้าวกลางวันที่นี่แม้สักครั้ง

     

    “ก็ไม่ไง...

    .

    ...พี่ฌานแค่นั่งทางในคุยกับเจ้าพ่อเมื่อตอนรุ่งสาง...

    ...เจ้าพ่อท่านบอกว่า  ท่านอยากจะพิสูจน์เรื่องของบ๊วยกับไอ้เก็กมันให้เป็นเรื่องเป็นราว... ก็เท่านั้นเอง” บ๊วยอดสงสัยในท่าทีของแฝดพี่ไม่ได้...

     

     

    ไม่รู้ทำไม แต่ชายหนุ่มนึกตงิดในใจเมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของฌานตอนที่พาดพิงถึงเจ้าพ่อห่อไหล่

    ถึงอย่างนั้น ข้อสงสัยของเขากลับไม่สำคัญนัก หากเทียบกับการหายตัวไปของเจ้าพ่อตั้งแต่เมื่อคืนวานหลังจากเหตุการณ์น่าสลดใจภายในร้านเช่าหนังสือ  

     

    พอคิดได้...บ๊วยก็ชักใจไม่ดีที่จวบจนตอนนี้  กระทั่งเงา...เจ้าพ่อก็ไม่มีลอยผ่านมาให้เห็น

    บางอย่างบอกเขาว่า การมากินข้าวกลางวันที่โรงอาหารกลาง น่าจะเกี่ยวพันกับการหายตัวไปของเจ้าพ่อห่อไหล่เป็นแน่

     

     

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ต้องมากินข้าวที่โรงอาหารกลางด้วยล่ะครับ?” บ๊วยพยายามตีหน้ายักษ์และยืดตัวเพื่อข่มขู่แฝดพี่ให้ยอมอ่อนข้อ แต่อีกฝ่ายกลับแค่ยักไหล่ ส่งยิ้มกว้าง แล้วพยักพเยิดให้เพื่อนๆที่เหลือมองตามสายตาเจ้าเล่ห์ของตนไป

     

    “เกี่ยวสิ... โน่นไง  คนที่อยากให้เกี่ยวด้วยใจจะขาดเดินหน้าหล่อมาโน่นแล้ว”

     

     

    บ๊วยแทบลมจับเมื่อเห็นเจ้าพ่อห่อไหล่ลอยประกบหน้าประกบหลังชายหนุ่มคนที่เขาฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืน

    ธันวาเดินนำหน้าเพื่อนๆอีกสามคนตรงมาที่โต๊ะของพวกเขาราวกับโดนเป่ากระหม่อมสั่งการมาเป็นอย่างดีแต่เนิ่นๆ

     

     

    “เอ่อ...ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ?” น้ำเสียงหล่อนุ่มชุ่มหัวใจคนฟังเอ่ยถามอย่างสุภาพ  บ๊วยทำได้แค่นั่งอ้าปากค้างเมื่อแอบเห็นเจ้าพ่อขยิบตาให้ ก่อนจะหันไปเฝ้ามองผลงานชิ้นโบแดงของตนประจำวันนี้อย่างมีความสุข

     

    “ไม่มีครับ เชิญนั่งตามสบาย” สกลยกจานและแก้วน้ำของตัวเองแล้วลุกขึ้น ระหว่างตอบคำถามแทนเพื่อนๆ

     

     

    บ๊วยอดสงสัยไม่ได้ว่า...แค่ตอบคำถามง่ายๆคำถามเดียว สกลจะลุกขึ้นโดยไม่จำเป็นให้ได้ถ้วยอะไร  

    แต่หลังจากเพื่อนสนิทย้ายไปสุมกองรวมกันอีกฝั่ง แล้วปล่อยบ๊วยให้นั่งวังเวงลำพัง ทุกอย่างก็กระจ่างแก่ใจชายหนุ่มแบบทันตา........งานจะเข้าไอ้บ๊วยก็หนนี้เองแหละครับพี่น้อง!!!

     

     

    “ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ พวกผมตัวใหญ่...นั่งด้วยกันฝั่งนี้น่ะดีแล้ว พวกคุณก็นั่งกับเพื่อนตัวเล็กของผมที่ฝั่งนั้น จะได้ไม่อัดกันมากเกินไป” แม้บ๊วยจะเห็นจะจะว่าสกลตอแหล แต่นี่เป็นเรื่องที่รู้กันภายในเท่านั้น  คนนอกอย่างเก็กและเพื่อนๆ จึงทำได้แค่ยิ้มรับด้วยความขอบคุณโดยไม่สงสัยติดใจ

     

    “ขอบคุณครับ...เออ ไอ้เก็ก มึงนั่งเฝ้าโต๊ะไว้นะ เดี๋ยวพวกกูเดินไปซื้อข้าวให้... มึงเอาเหมือนเดิมใช่ป่ะ?”  ชายหนุ่มหน้าตาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ไม่น้อยไปกว่าธันวาสั่งความ พร้อมกับถามเพื่อนตนเองในคราวเดียว

     

    “เออๆ ฝากสั่งน้ำลำไยให้แก้วดิ” อดีตเดือนมหาวิทยาลัยตะโกนบอกออเดอร์เครื่องดื่มกับเพื่อนที่เดินห่างออกไป ก่อนจะนั่งลงตรงที่ข้างๆบ๊วย แล้วล้วงมือถือในกระเป๋าเสื้อช็อปที่พาดบ่าเอาไว้ออกมากดเล่น

     

    นั่นจึงเป็นโอกาสให้ไอ้สามตัวที่นั่งรวมกันได้ทีทำหน้าทำตาล้อเลียนเพื่อนตัวเอง ตอบโต้กับเจ้าพ่อห่อไหล่ที่นั่งถัดไปอีกช้างหนึ่งของธันวาผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆรอบๆตัว  ปล่อยให้บ๊วยนั่งก้มหน้าเขี่ยเม็ดข้าวสีเหลืองขมิ้นในจานให้เรียงต่อกันเป็นคำว่า ‘HELP!’ อยู่อย่างเดียวดาย

     

     

     

     

    ยังไม่ทันที่สมุนเลวทั้งสามจะเมื่อยหน้าที่ต้องส่งภาษาใบ้คุยกับเจ้าพ่อห่อไหล่ เพื่อนอีกสามคนของอดีตเดือนมหาวิทยาลัยก็เดินกลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มพร้อมสรรพ

     

     

    “ไอ้เหี้ยเก็ก อ่ะ...นี่ข้าวมึง...

    .

    ...เออ แล้วก็...น้ำลำใยหมดว่ะ...

    ...กูเห็นน้ำบ๊วยแม่งน่ากินดี กูเลยซื้อมาให้ มึงกินได้ใช่ป่ะ?”

     

     

    บ๊วยถลึงตามองเพื่อนๆที่ยุกยิกกันจนน่าสงสัย แล้วก็แทบล้มประดาตายเมื่อเจ้าพ่อย้ายข้างไปนั่งขัดสมาธิลอยอยู่เหนือหัวของลูกสมุนทั้งสามเป็นที่เรียบร้อย  โดยในมือทั้งสองข้างของเจ้าพ่อ...มีหน้าจอเรืองแสงที่มองเห็นเพียงได้ลางๆ กำลังแสดงตัวอักษรวิ่งราวกับแถบด้านล่างของหน้าจอทีวี

     

     

    «« ข้าเสกให้น้ำลำใยขายหมดเพื่อเจ้าเลยนะ... ผู้ชายของเจ้าจะได้เริ่มผูกพันกับ บ๊วยเสียแต่ตอนนี้ ««

     

     

    “เออๆ กินได้ ขอบใจว่ะเจ๋ง” สุดหล่อของบ๊วยตอบก่อนจะตักข้าวเข้าปากคำโต

     

     

    «« เห็นไหม... ผู้ชายของเจ้าเริ่มเปิดใจให้ บ๊วยแล้ว ««

     

     

    บ๊วยไม่แน่ใจว่าเพื่อนสนิททั้งสามจะเห็นข้อความของเจ้าพ่อห่อไหล่หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คำตอบรับทันควันของธันวา ทำให้เพื่อนๆของเขายิ้มหน้าบาน อารมณ์ประมาณได้เห็นลูกสาวที่เฝ้าเลี้ยงดูมากำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาอย่างไรอย่างนั้น ส่วนสกลก็เป็นเอามากถึงขั้นสำลักจนนมชมพูเย็นไหลออกจมูกเลยทีเดียว

     

     

    โอย...  วินาทีนี้... ไอ้บ๊วยอยากตายมาก!!

    อย่าให้รู้นะว่าใครมันเป็นคนเสี้ยมเจ้าพ่อห่อไหล่ให้ทำอะไรแผลงๆแบบนี้...

    บ๊วยจะตามไปกราบไหว้ ขอขมาให้เลิกแล้วต่อกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด

     

     

    «« เจ้าอย่าเพิ่งรีบตายสิ... เดี๋ยวพรของข้าจะไม่สำเร็จ ««

    «« อ้อ! แล้วก็ไม่มีใครเสี้ยมสอนข้าได้  ไอเดียนี้ข้ากลั่นออกมาจากสมองของข้าเองเลยนะ ««

     

     

     

    “มึงเป็นอะไรวะ กูเห็นมึงทำหน้าหมาไม่แดกมาตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นไร...เมนส์ไม่มาเหรอไงไอ้หล่อ?” เพื่อนอีกคนของธันวาถามไถ่เมื่อเห็นเพื่อนดูเหม่อลอยบ่อยจนผิดสังเกต  และการถอนหายใจโดยไม่ได้พูดอะไรของชายหนุ่มผู้ถูกถามทำให้บ๊วยเลิกเหวี่ยงเจ้าพ่อทางสายตา แล้วหันมาเงี่ยหูฟังคำตอบด้วยความตั้งใจ

     

     

    «« กระเถิบเข้าไปนั่งใกล้ๆสิ  ห่างอย่างนี้...จะได้ยินชัดไหมล่ะ? ««


     

    เจ้าพ่อครับ... ผมกราบล่ะ  ไม่เกรียนสักนาทีจะได้ไหมครับ?

     

     

     

    “สัดต๊อบ! มึงไม่รู้อะไรก็อย่ามามั่ว...

    ...ไอ้เก็กมันกำลังผวาอยู่หรอกเว่ย...

    .

    ...คืองี้ ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ไอ้เก็กแม่งเจอแต่เรื่องซวยๆติดๆกันจนกูยังแปลกใจแทน...

    ...นอกจากที่โดนลูกบอลอัดจำปีที่สนามใหญ่แล้ว หลังกินข้าวเย็นยังโดนมือดีที่ไหนไม่รู้ผลักชั้นหนังสือใส่ จนต้องโทรมาขอให้กูไปรับกลับห้อง เพราะแม่งหลังยอกจนเดินไม่ไหว”

     

     

    «« ข้าขอโทษนะธันวา...ถ้าข้าเฉลียวใจเรื่องหนังสือสักนิด เจ้าก็คงไม่หลังเดาะฟรีๆอย่างนี้หรอก ««

     

     

    ไม่ใช่หรอกครับเจ้าพ่อ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมต่างหาก...

    .

    ...เก็ก ขอโทษนะ...

    ...เราไม่ได้ตั้งใจ!!

     

     

     

    “เหยิน...มึงเต้าเปล่าเนี่ยะ?” เพื่อนผู้เป็นเจ้าของคำถามแรกเริ่มถึงทำหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “จริงเหรอเก็ก?” เขาย้ำถามกับอดีตเดือนมหาวิทยาลัยที่ทำหน้าเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่น่าสยดสยองอยู่

     

    “เออ..สงสัยเมื่อวานกูก้าวเท้าออกจากหอผิดข้างว่ะ...

    ...ห่า วันซวยอะไรก็ไม่รู้...ทำกูเจ็บตัวอยู่นั่น” ชายหนุ่มรูปงามตอบอย่างแหยงๆ นั่นจึงยิ่งทำให้บ๊วยสลดไปกันใหญ่

     

     

    «« บ๊วย!! เวลานี้เจ้าต้องมั่นใจนะ...ไหนๆก็ได้นั่งข้างๆนายธันวาแล้ว ขอโทษเขาไปสิ ««

     

    จะดีเหรอครับเจ้าพ่อ?

     

     

    “แล้วไอ้คนที่เตะบอลสอยจำปีมึงนี่เป็นใครวะ? จำหน้ามันได้ป่ะ?”

     

     

    เมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนธันวา บรรดาสมุนทั้งสี่ต่างก็พลันก้มหน้าลงมองข้าวในจานของตนโดยไม่ต้องมีการนัดหมาย

    โดยเฉพาะบ๊วย... เขากำลังกลั้นหายใจ และภาวนาให้คำตอบของธันวาคลุมเครือ หรือ ถ้าจำไม่ได้เลยก็ยิ่งดี

     

     

    “กูไม่รู้จักว่ะ ไม่เคยเห็นหน้า...จำได้แค่ผมยาวๆฟูๆ ตัวเล็กๆ เหมือนเด็กขาดสารอาหาร...

    ...น่าจะเป็นพวกเรียนถาปัตย์ ไม่ก็ ศิลปกรรมล่ะมั้ง”

     

     

    ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงตนเองอย่างใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด บ๊วยก็ไม่อาจทนฟังสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นได้อีกต่อไป ชายหนุ่มเด้งตัวลุกชึ้น ก้าวออกจากโต๊ะ แล้วหันหลังทันที

     

     

    “บ๊วย!!! ... นั่นนายจะไปไหน?” สกลร้องถามเพื่อนรักได้ทันก่อนที่ช่วงขาสั้นๆของอีกฝ่ายจะพาร่างผอมแห้งของบ๊วยผละจากไป

     

    “เราไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเรามา” บ๊วยตอบโดยไม่หันมองเพื่อนทั้งสาม เจ้าพ่อห่อไหล่จึงย้ายฝั่งมานั่งชูป้ายไฟแทนที่เดิมของบ๊วยเมื่อครู่

     

     

    «« พวกเจ้าทั้งสามอย่าลืมแผนที่เราคุยกันเอาไว้ล่ะ... เดี๋ยวอีกสักพัก พวกเจ้าค่อยเข้าไปประจำที่นะ ««

     

     

    สามหนุ่มเพื่อนสนิทบ๊วยพยักหน้าให้เจ้าพ่อห่อไหล่โดยพร้อมเพรียงกัน...

    ธันวาที่เพิ่งกวาดสายตาผ่าน หลังจากมองตามแผ่นหลังของบ๊วยไป ก็แอบสงสัยในท่าทีประหลาดของนักศึกษาต่างคณะทั้งสามอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เมื่อทั้งสามผู้ต้องสงสัยทำเมิน ทำมองฟ้า มองนกไปคนละทางอย่างไม่รู้ไม่ชี้

     

     

     

     

     

     

    “เจ้าพ่อครับ...เจ้าพ่อทำอย่างนี้กับผมทำไมครับ?” บ๊วยตะโกนเรียกเจ้าพ่อระหว่างเดินงุ่นง่านไปมาข้างๆโถปัสสาวะภายในห้องน้ำชายประจำโรงอาหารกลาง

     

    ป็อบ!’ เจ้ากำลังหมายถึงเรื่องอะไรหรือบ๊วย?” เจ้าพ่อถามด้วยความสงสัยจริงๆ หาใช่ยียวนไม่

     

    “ก็เจ้าพ่อกับพี่ฌานวางแผนอะไรกันอยู่ล่ะครับ? ทำไมต้องจับผมให้มานั่งกินข้าวข้างๆเก็กด้วย เจ้าพ่อก็รู้นี่ครับว่า เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ผมรู้สึกผิดมากแค่ไหน” บ๊วยตัดพ้อ

     

    “แผนของข้าน่ะ ไม่ใช่จับให้เจ้าสองคนนั่งกินข้าวด้วยกันหรอก” ขนาดไม่ชอบหน้ากันในทีแรก แต่เจ้าพ่อกลับลอกเลียนการแสดงสีหน้ามีเลศนัยของแฝดพี่มาได้เป๊ะๆ

     

    “อ้าว! แล้วแผนที่เจ้าพ่อกับพี่ฌานสมคบคิดกันมันคืออะไรล่ะครับ?” บ๊วยเริ่มจะจับต้นชนปลายไม่ถูก

     

     

    แต่แล้วเสียงฝีเท้าหนักๆที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องน้ำก็เป็นคำตอบที่เจ้าพ่อห่อไหล่ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายใดๆ

    ด้วยความกะทันหันของสถานการณ์ บ๊วยจึงรีบหันเข้าโถแล้วฟอร์มว่ากำลังถ่ายเบาอยู่ แต่หูทั้งสองกลับได้ยินเสียงบ่นขรมดังกลบเสียงซู่ซ่าของน้ำจากก็อกตรงอ่างล้างมือ...

     

    ...เสียงนั้นเป็นเสียงของคนๆหนึ่งซึ่งบ๊วยจำได้โดยไม่มีวันลืมเลือน...

    ...เสียงนั้นเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงบ่นอย่างหัวเสีย เกี่ยวกับความร้ายกาจของบ๊วยที่โต๊ะกินข้าวเมื่อครู่...

    ...เสียงนั้น  เสียงของธันวา...

    .

    .

    ...และการที่ธันวามาที่นี่ ย่อมจะไม่ได้มาด้วยความตั้งใจของเจ้าตัวเป็นแน่

     

     

    “เฮ่อ... ทำไมช่วงนี้ถึงได้ซวยอย่างนี้ว้า?...

    ...สงสัยเสาร์อาทิตย์นี้ต้องแวะไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ซะหน่อยแล้วมั้ง...

    .

    ...ไอ้นมแดงของไอ้แว่นเอ๋อนั่นมันจะซักออกไหมเนี่ย?” ธันวาในตอนนี้กำลังยืนเปลือยท่อนบนขยี้เสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายในอ่างล้างมือ สลับกับวักน้ำขึ้นมาลูบหน้าอกของตัวเองเพื่อล้างคราบและความเหนียวเหนอะหนะออกจากตัว

     

    เมื่อบ๊วยหันไปมองเจ้าพ่อที่ลอยอยู่ข้างๆ แล้วเหลือบผ่านความขาวทำลายล้างของรูปร่างล่อสายตาของธันวาที่ขยับอยู่ไหวๆ  ก็เริ่มจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ดีขึ้น  องค์เทวบุตรส่งยิ้มเต็มหน้าให้ชายหนุ่มพร้อมกับชูป้ายไฟอีกครั้ง

     

     

    «« เจ้า...กับธันวา ใช้เวลาด้วยกันแบบแนบแน่น... นั่นแหละ แผนของข้า หึ หึ ««

     

     

    ซวยแล้ว...งานนี้ซวยของแท้...

    ...อยู่ดีไม่ว่าดี ดันเดินหนีที่ๆคนอยู่เยอะแยะ มาติดแหง็กอยู่กับเก็กสองต่อสองในสภาพล่อแหลมแบบนี้...

    .

    .

    .

    ...โอ้ นั่นใช่หัวนมจริงหรือนี่ อะไรจะสีชมพูฟุ้งเฟ้อมาก...

    ...เฮ่ย!!! ไม่ใช่เวลามาหื่นนะบ๊วย...

    ...หยุดจ้องนมเก็กได้แล้ว กล้ามท้องเป็นลูกๆนั่นก็ดูไม่ได้!!!...

    ...โอยตาย ตาย!!

    ...อย่างนี้ต้องหนี หนีสถานเดียวเท่านั้น

     

     

    บ๊วยเอามือบังหน้าด้านข้างเพื่อป้องกันการแอบเหลือบมองธันวาระหว่างเดินตัวลีบไปยังทางออก แต่แล้วอยู่ๆ ประตูก็ถูกงับปิดลงก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปถึงด้วยซ้ำ

     

     

    (ปัง!!)

     

     

    เฮ่ย!!” บ๊วยเสียงหลง... คงจะเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากตกใจสุดๆ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้!!

     

     

    ความตกใจยังตามมาอีกเด้ง ภายหลังจากบ๊วยได้รู้ว่า ความพยายามปล้ำกับลูกบิดให้คลายล็อคนั้น...ไม่สัมฤทธิ์ผล

    ทว่าระดับความตกใจคงยังไม่สาหัสพอ เพราะอยู่ๆร่างเปลือยอกที่ขาวราวกับดูดแสงจากทั้งโลกมากองรวมกัน  ได้ย้ายมวลกายมายืนซ้อนท้ายอยู่ทางด้านหลังของบ๊วยโดยไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว

     

    “ประตูเป็นอะไรอ่ะคุณ?” ...เจ้าพ่อห่อไหล่เล่นบ๊วยแล้วนั่นปะไร  คิดเอาไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ  ชายหนุ่มนึกรังเกียจตัวเองยิ่งนักที่ผลุนผลันวิ่งเข้าห้องน้ำมาตั้งแต่แรก

     

    “มันเปิดไม่ได้” บ๊วยอึกอัก...ชายหนุ่มหักห้ามใจตัวเองอย่างหนักไม่ให้จ้องมองเครื่องเครายวนตาบนแผ่นอกอันว่างเปล่าของธันวาระหว่างที่อีกฝ่ายยืนใกล้ๆเช่นในตอนนี้

     

    ห๊ะ?! คุณว่าไงนะ?... ไหนขอผมลองหน่อยซิ”

     

     

    ดูเหมือนความตกใจจะเป็นโรคติดต่อไปแล้ว

    เพราะธันวาดูจะเริ่มลนปนล่กทันทีที่ความพยายามในการเปิดประตูของเขาเองก็ล้มเหลวหลายครั้งติดๆกัน

     

     

    “ออกไหมคุณ?” บ๊วยหลับตาถามด้วยความเป็นห่วงทั้งตัวเอง และสวัสดิภาพของอีกฝ่าย

     

    “ไม่.....ฮึบ......ไม่ออกแฮะ...

    .

    .

    ...เดี๋ยวขอผมลองอีกทีก็แล้วกัน”

     

     

    บ๊วยที่ยังคงหลับตาอย่างต่อเนื่องไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ  

    ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่า การกระทำของตัวเขาจะเข้าล็อคของแผนการในครั้งนี้อย่างพอดิบพอดี  

     

    ส่วนธันวาผู้กำลังชักเย่อกับประตูห้องน้ำอันดื้อด้าน ได้ตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธมาเป็นเอาสองมือกุมลูกบิดไว้อย่างแม่นมั่น ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งยันกรอบประตูแล้วออกแรงดึงสุดตัวจนหูเหอหน้าเหน้อเบี้ยวบิดไปทางด้านหลังจนหมดสิ้น  

     

     

    จังหวะที่พลังซึ่งรวบรวมจากทุกอณูในร่างกายของชายหนุ่มนักกีฬาถูกส่งมากระชากลูกบิด 

    ดันเป็นจังหวะเดียวกันที่ประตูอินดี้ยอมผละเปิดออกแบบง่ายๆเสียอย่างนั้น

     


    เหวอออ!

     

     

    สิ้นเสียงร้องของธันวา ร่างหนาๆที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อก็กระเด็นมาโดนหุ่นเก้งก้างบางเป็นกระดาษของบ๊วยจนล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกันทั้งคู่... และด้วยความช่วยเหลือในการจัดท่าทางของเจ้าพ่อห่อไหล่ผู้อุ้มสมหลักอย่างเป็นทางการ ทำให้ริมฝีปากของสองหนุ่มประกบกันพอดิบพอดี 

     

    เจ้าพ่อพร่ำขอบใจตัวเองเหลือเกิน ที่ใช้เวลาเกือบทั้งคืนไปกับการถ่างตานั่งดูละครหลังข่าวผ่านๆจนสามารถจำพล็อตก่อความหวั่นไหวในใจตัวเอกสุดคลาสสิคได้อย่างขึ้นใจ จนสามารถเอามาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์เป็นที่สุด

     

     

    เฮ่ยยยยยย!

     

     

    สองหนุ่มผละจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากด้านหน้าประตู

    สมุนทั้งสามของเจ้าพ่อดูจะตกใจไม่น้อยไปกว่าสองหนุ่มที่กำลังนอนประกบร่างทับกันอยู่บนพื้น 

     

     

     

    ใครเล่าจะไม่ตกใจ...

     

    ลองได้เห็นสภาพกึ่งเปลือยของอดีตเดือนมหาวิทยาลัยทาบร่างลงบนตัวเล็กๆของเพื่อนรัก พร้อมริมฝีปากเชื่อมต่อกันแน่น

    ต่อให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการมาตั้งแต่แรกเริ่ม แถมยังเป็นหกมือดีที่ยื้อประตูห้องน้ำอยู่อีกด้าน

    แต่การจูบดูจะเร็วเกินไปสำหรับใจของทั้งสามหนุ่ม ซึ่งไม่พร้อมจะปล่อยบ๊วยผู้แสนดีให้กับผู้ชายที่พวกเขายังไม่ได้สแกนนิสัยโดยละเอียดเสียก่อน  

     

     

    “อ๊ะ...คุณ เอ่อ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? เมื่อกี๊ผมไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษด้วยนะ... 

    .

    ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนแล้วกัน”  ธันวาพูดเร็วรัวด้วยสีหน้าเดาอารมณ์ไม่ถูก ก่อนจะผละลุกออกไปทันทีทั้งที่ไม่มีเสื้อติดกาย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    “ว่าไงครับเจ้าพ่อ... สรุปเจ้าพ่อรู้ไหมว่าเมื่อกี๊ไอ้เก็กมันคิดอะไรครับ? ตื่นเต้น? ชอบใจ? หวั่น

     

    พี่ฌาน!! /พี่ชาย!” ทั้งสกลและฌอนร้องยั้งปากดีๆของฌานไว้กลางคัน แล้วส่งสายตาสั่งให้แฝดพี่หันไปมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งน้ำตาคลอเบ้าในสภาพยับยู่ยี่อยู่ที่พื้นห้องน้ำ

     

    “บ๊วย...พี่ฌานขอโทษนะ พี่ฌานไม่ได้ตั้งใจ...พี่ฌานแค่อยากช่วยเจ้าพ่อท่านพิสูจน์อะไรนิดเท่านั้นหน่อยเอง...

    ...พี่ฌานไม่ได้อยากให้เรื่องทั้งหมดออกมาเป็นแบบนี้เลย บ๊วยไม่โกรธพี่ฌานนะ” แฝดพี่อ้อนวอนเพื่อนสนิทที่นิ่งเหมือนวิญญาณเพิ่งจะทิ้งร่างตามหลังธันวาไปติดๆ

     

    “ทุกคนครับ ผมว่าเราไปคุยเรื่องนี้กันที่อื่นดีกว่านะครับ...

    .

    ...ผมกลัวลุงภารโรงมาด่าเอาที่เราแอบมาปิดประตูห้องน้ำอยู่ตั้งนานสองนานน่ะครับ” สกลพูดเตือนสติก่อนเดินนำทุกคนออกจากห้องน้ำ  บ๊วยที่ยังไม่หือไม่อือยอมลุกตามโดยดี หากแต่เลี้ยวเดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตที่เปียกซ่กตรงซิงค์ติดมือมาด้วย

     

     

     

     

     

     

     

    “นี่บ๊วย...ข้าอยากรู้ว่า ตอนที่เจ้าถูกนายธันวาจูบน่ะ เจ้าคิด...เจ้ารู้สึกอย่างไร?”  เจ้าพ่อถามบ๊วยทันทีที่ทั้งหมดย้ายที่มั่นกลับมาที่โต๊ะหินอ่อนข้างสระบัวของคณะตัวเอง

     

    “เจ้าพ่ออยากรู้จริงๆเหรอครับ?...

    .

    ...ผมจำเป็นต้องบอกด้วยเหรอ?...

    ...ไม่บอก ได้ไหมครับ?”

     

     

    แก้มที่ซีดเป็นปกติของชายหนุ่มกลับขึ้นสีแดงอย่างน่าอัศจรรย์ระหว่างที่เจ้าตัวเอ่ยถามย้ำกับเจ้าพ่อซ้ำๆ

    เขาไม่แน่ใจว่าควรจะบอกสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างในออกไปดีไหม... ในเมื่อเพื่อนสนิททุกคนยังนั่งหน้าสลอนอยู่ตรงนี้

     

    และตามความเคยชิน... บ๊วยชำเลืองมองหน้าสกลเพื่อนสนิทที่รู้ใจตนเองดีที่สุด เพื่อให้อีกฝ่ายทำอะไรสักอย่างเพื่อเบียดประเด็นสงสัยของเจ้าพ่อให้ตกไป แต่บ๊วยคงลืมไปว่า...สกล ไม่ใช่คนไก่กาที่ธรรมดาพื้นบ้าน

     

     

    “เฮ่อออ...บ๊วย... นายเป็นคนจูบกับธันวา...

    ...นายคงจะหวังพึ่งพาให้เราบรรยายความรู้สึกนั้นแทนให้เหมือนเรื่องที่นายไม่มั่นใจไม่ได้หรอกนะ...

    ...นายไม่รู้เหรอว่า เราสองคนน่ะ ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น...

    .

    ...เอาเถอะ... เราเตรียมใจรับมือกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว...

    ...หลังจากวันนี้ ถ้านายจะเรียกเราว่าเพื่อนห่างๆ เราก็เข้าใจ” สกลส่งสายตาร้าวรานปิ่มใจจะขาดไปให้บ๊วยที่กำลังอึ้งเอ๋อเบลอใบ้


    “สกล...เยอะไปละ เยอะไปละ” ฌานปราม “ก็แค่บอกเจ้าพ่อไปตามที่รู้สึกนั่นแหละบ๊วย ไม่ต้องกังวล พวกเรารับได้” และก็เหมือนกับทุกครั้งอีกเช่นกัน ที่คำพูดปลอบใจของฌานมักจะได้ผลกับบ๊วยเสมอ

     

    “ครับพี่ฌาน...

    .

    ...เอ่อ  ตอนนั้นผมรู้สึก...

    ...เอ่อ... ก็รู้สึกตกใจ รู้สึกตื่นเต้น......จนคิดอะไรไม่ออก...

    ...คือ...หัวสมองผมว่างเปล่ามาก...

    .

    ...แต่ความรู้สึกผมชัดเจนดีเยี่ยมนะครับ...

    ...ผมรู้สึกดีใจ  รู้สึกกลัว...เพราะหัวใจผมเต้นแรงและรัวเหมือนกับจะกระเด็นกระดอนออกมาข้างนอกอก...

    ...แล้วก็รู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนน่ะครับ” ดูเหมือนคำตอบข้อนี้จะทำให้บ๊วยเขินขึ้นมาอีกรอบ เพราะอาการแก้มแดงๆที่เห็นได้ไม่บ่อยนักกลับมาเยือนชายหนุ่มอีกแล้ว

     

    “อืม... แต่แปลกนะ ข้ากลับจับความรู้สึกนึกคิดของนายธันวาไม่ได้เลย...

    ...เหมือนกับว่า เจ้าหนุ่มนั่น ไม่รู้สึก หรือไม่คิดอะไรสักอย่าง” เจ้าพ่อเปรยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

     

    “กระทั่งความรู้สึกด้านลบก็ไม่มีเลยเหรอครับ?” ฌอนอดรนทนไม่ไหว ถึงกับยอมเปิดปากถามเจ้าพ่อให้อีกคน

     

    “ใช่...นั่นแหละที่ทำให้ข้ายิ่งแปลกใจ...

    ...ข้าเข้าใจความรู้สึกยินดีของบ๊วยนะ เพราะในที่สุดบ๊วยก็ได้เข้าใกล้คนที่รักถึงขั้นได้สัมผัสร่างกายอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด...

    .

    .

    ...แต่สำหรับนายธันวาที่ยังไม่คิดอะไรกับบ๊วย...

    ...หากเขาไม่พอใจ หรือ รังเกียจเดียดฉันท์ อย่างน้อยๆ ข้าก็ต้องอ่านความคิด รับรู้ความรู้สึกด้านลบของเขาได้ไม่มากก็น้อย แต่ความว่างเปล่าในใจของเขานี่สิ คือ สิ่งที่ทำให้ข้าไม่เข้าใจ”

     

     

    คิ้วทั้งสองข้างของเทวบุตรขมวดมุ่นจนแทบจะพันกันเป็นปมใหญ่กลางหน้าผากอยู่รอมร่อ เจ้าพ่อห่อไหล่กำลังสงสัยและหวั่นในใจแบบไม่มีสาเหตุ และนั่นทำให้องค์เทพปรารภกับตนเองยืดยาวโดยไม่สนใจหน้างงๆของลูกสมุนทั้งสี่

     

     

    “บางอย่างบอกข้าว่า ต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังของความว่างเปล่าในใจของเจ้ามนุษย์หนุ่มผู้นี้อย่างแน่นอน...

    ...เอาเป็นว่า วันนี้พอเท่านี้ก็แล้วกันนะสมุน  ข้าขอตัวไปสืบหาเงื่อนงำก่อน เพราะหากประเด็นนี้ยังไม่คลี่คลาย ถึงพวกเราจะพยายามจนล้มตาย  คงไม่มีวันทำให้นายธันวาปลงใจกับเพื่อนรักของพวกเจ้าได้หรอก...

    .

    .

    ...พวกเจ้าทั้งสาม  ข้าฝากดูบ๊วยด้วยนะ ตั้งแต่ออกจากห้องน้ำมา ข้าว่าบ๊วยดูไม่อยู่กับร่องกับรอยชอบกล...

    ...ข้าไปล่ะ เจอกันวันพรุ่ง!!! ป็อบ!” แล้วเจ้าพ่อก็หายตัวไปก่อนที่ใครต่อใครจะเอ่ยรั้งเอาไว้ทัน

     

     

     

    Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ

     

     

     

    เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ซึ่งอ่อนไหวต่อการยั่วยุของกิเลสเป็นที่สุด

    จะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆต่อการสัมผัสอันแนบแน่นถึงเนื้อถึงตัว...

    .

    .

    ...ปัญหาของงานครั้งนี้ คืออะไรกันแน่?

     

    เจ้าพ่อห่อไหล่เผลอเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเร็วๆอย่างลืมตัวระหว่างรอหน้าจอฐานข้อมูลกลางพร้อมสำหรับใช้งาน  

    ทั้งที่ตามปกติ...ความเร็วของระบบปฏิบัติการณ์ของเครือข่ายภายในองค์กรซึ่งมีความเร็วไม่กี่มิลลิวินาทีไม่เคยทำให้เจ้าพ่อหงุดหงิดใจได้เลยสักครั้ง

     

     

    และเมื่อหน้าจอพร้อมปฏิบัติการเด้งขึ้น เมนูค้นหาข้อมูลคือทางลัดที่เทวบุตรเลือกเป็นตัวช่วยแรก จากนั้นจึงตั้งจิตระลึกถึงคำค้นหาที่ติดค้างอยู่ในห้วงความคิดเกือบจะตลอดเวลาเพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปอย่างอัตโนมัติ

     

     

    เพียงไม่กี่วินาที...

    ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ธันวา อริยะตรัย ก็แสดงบนหน้าจอเป็นจำนวนทั้งสิ้นสองรายการ...

     

     

    เจ้าพ่อห่อไหล่มองข้ามไฟล์ล่าสุดที่มีชื่อของชายหนุ่มปรากฏคู่กับชื่อของบ๊วย ด้วยจำเนื้อหาด้านในได้เป็นอย่างดี  

    เทวบุตรคลิกเลือกไฟล์คำขอที่เปลี่ยนสถานะเป็นสัมฤทธิ์ผลตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนขึ้นมาอ่านแทน... 

    .

    .

    .

    ...เนื้อหาด้านในที่อยู่ในไฟล์คำขอฉบับนี้  สามารถอธิบายความผิดปกติทางอารมณ์ของนายธันวาได้ทั้งหมด...

     

     

     

     

     

     

     

     

    เมื่อปลายปีที่แล้ว...

    มีคนขอพรกับบุตรแห่งเทพองค์หนึ่งโดยมีใจความว่า...

    ขออย่าให้นายธันวา อริยะตรัยมีความรักกับผู้ชายคนใดเป็นอันขาด

     

     

    และราวกับสวรรค์กลั่นแกล้งให้แสลงใจเล่น

    สิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าคำขอพรบ้าๆข้อนั้นเห็นจะหนีไม่พ้น... ผู้รับผิดชอบการบันดาลพรในครั้งนี้ 

    เทพองค์นั้น...เป็นเทวบุตรองค์เดียวที่เจ้าพ่อห่อไหล่ไม่อยากวิสาสะด้วยมากที่สุดในโลกนี้ โลกหน้า หรือโลกไหนๆ

    .

    .

    .

    .

    .

    ทำไมหนอ ทำไม...

    ทำไมไฟล์คำขอพรเคสนี้ ถึงต้องมีนามของ เจ้าพ่อไทรทอง กำกับอยู่ด้วยก็ไม่รู้?!!

     

     

     

     

    Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ

     

     

     

    ทำเนียบเจ้าพ่อ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×