คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่ 14 คนในอดีต (100%)
“คุณมีนาเธอใช้นามสกุลอะไรครับ”
“มีนา วรกานต์สิทธิ์”
“ผมขอตัวครับบอส”
เมื่อได้ยินชื่อและนามสกุลของอดีตคู่หมั้นสาวของเจ้านายนทีก็รีบขอตัวออกจากห้องทันที พร้อมกับกำซองเอกสารในมือแน่น ก่อนที่น้ำตาลูกผู้ชายจะค่อยๆ ไหลออกมา
“มีนา วรกานต์สิทธิ์”
ชายหนุ่มทวนชื่อและนามสกุลที่ได้ยินมาอีกครั้ง ทว่าคำพูดที่เปล่งออกมามันกลับบาดลึกไปที่หัวใจที่เคยรอคอยอย่างมีความหวัง ทว่าบัดนี้กลับไม่เหลือความหวังนั้นอีกต่อไป
“มีนพี่ขอโทษ พี่ขอโทษ ฮือๆ”
น้ำตาลูกผู้ชายยังคงไหลออกมาเมื่อความหวังที่จะเจอน้องสาวเพียงคนเดียวไม่เหลืออีกแล้ว เพราะ ‘มีนา วรกานต์สิทธิ์’ เหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้นที่อยู่บนโลกนี้
แม้จะรู้ว่าอดีตคู่หมั้นของนนทพัทธ์จะมีชื่อเสียงว่าอะไร ทว่าก็ไม่เคยเอะใจเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับน้องสาวที่ตนตามหา
ทุกครั้งที่ชายหนุ่มให้ตนไปจัดการเรื่องเงินบริจาคก็ไม่เคยคิดอะไรไปมากกว่าที่เจ้านายหนุ่มจะอยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แฟนสาวที่ล่วงลับไป และเขาเองก็ดีใจทุกครั้งที่ได้กลับไปที่บ้านหลังนั้น บ้านที่เคยอยู่อาศัยกับน้องสาวเพียงคนเดียว
ไม่คิดว่าคนที่ตัวเองตามหาจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม นี่สินะที่เป็นต้นเหตุให้นนทพัทธ์แทบเสียผู้เสียคนสมัยเจอกันครั้งแรก
“พี่น่าจะตามหาน้องให้เร็วกว่านี้ ถ้าพี่เป็นพี่ที่ดีกว่านี้เราอาจจะได้เจอกันนานแล้วและคงไม่ต้องมาจากกันตลอดกาลแบบนี้”
นทีพูดทั้งน้ำตา ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนพื้น เพราะเรี่ยวแรงที่จะยืนนั้นแทบไม่มีกับความจริงที่เจ็บปวด ก่อนจะหยิบซองเอกสารที่ตัวเองยังอ่านไม่จบออกมาอ่านใหม่อีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าคนที่ตัวเองได้ตามหานั้นจะไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็อยากรู้ว่าน้องสาวของเขาใช้ชีวิตบนโลกที่โหดร้ายนี้อย่างไร ก่อนที่ความตายนั้นจะมาพรากเธอไปอย่างโหดร้าย
เมื่อรู้ว่ามีนาอยู่วัดไหนในตอนนี้จากการอ่านประวัติที่ได้มา ชายหนุ่มก็รีบไปหาอย่างทันที แม้ไปแล้วจะเจอเพียงอัฐิก็ตาม
*******
‘รีบไปเถอะเฮีย นันท์หิวแล้ว’
เด็กชายนันทพัทธ์ในวัยสิบขวบเอ่ยชวนพี่ชายฝาแฝด เมื่อรถของที่บ้านมาจอดรับที่หน้าโรงเรียนแล้ว แต่นนทพัทธ์พี่ชายกลับยังยืนนิ่ง ตนจึงต้องเอ่ยเร่ง
‘ไอ้นนท์เร็วๆ’
‘รู้แล้วน่า’
เจ้าของชื่อตอบรับ ก่อนจะโยนคุกกี้ที่ตนซื้อเผื่อไว้ให้คนเป็นน้อง เมื่อรู้ว่าแฝดน้องเริ่มโมโหหิวเข้าแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขายังไปไหนไม่ได้คือแววตาไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
‘ฉันของเวลาสักครู่’
พูดจบเด็กชายก็วิ่งตรงไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นทันที
นี่ไม่ใช่วันแรกที่เด็กชายนนทพัทธ์เห็นสาวน้อยในชุดนักเรียนเก่าๆ ของโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งในย่านนี้ มายืนอยู่หน้าโรงเรียกเอกชนที่เด็กชายศึกษาอยู่
ทว่าในทุกๆ เย็นเวลาเลิกเรียนก็จะเห็นเธอมายืนมองและยิ้มให้กับคนที่มองไปหาเธอ แม้สายตาบางสายตาอาจจะมองด้วยความสงสัยหรือน่ารังเกียจกับชุดมอมแมมนั้นก็ตาม แต่สาวน้อยหน้าหวานก็พร้อมจะยิ้มให้ทุกคนอย่างอารมณ์ดี
‘สวัสดีค่ะพี่ชาย’ สาวน้อยกล่าวทักทาย พร้อมกับยกมือไหว้ ย่อลงพอประหวาน ก่อนจะยิ้มหวานโชว์ฟันหลอที่เพิ่งหักไป
‘สวัสดีสาวน้อย’ นนทพัทธ์ทักทายกลับอยากไม่นึกรังเกียจ
เด็กหญิงตรงหน้าแต่งกายด้วยชุดนักเรียนเก่าๆ ที่ไม่ได้รีด รองเท้าที่สวมไม่ใช่โรงเท้านักเรียนแบบที่นักเรียนทั่วไปควรจะสวม แต่เป็นโรงเท้าแตะคีบเล็กๆ พอดีเท้าของเธอ ที่หน้าอกข้างซ้ายมีชื่อโรงเรียนและชื่อเจ้าตัวปักไว้
มีนา วรกานต์สิทธิ์
‘เธอชื่อมีนาใช่ไหม’
เด็กชายนนทพัทธ์เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดที่ทำให้เขาสนใจเด็กผู้หญิงคนนี้ อาจจะเป็นเพราะแววตาไร้เดียงสาและรอยยิ้มที่ดูมีความสุขของเธอ จนทำให้เขาเข้ามาทักทายเจ้าหล่อนจนได้
‘ใช่ค่ะ’ เด็กหญิงรีบตอบพี่ชายใจดีอย่างกระตือรือร้นเมื่อมีคนรู้จักตัวเอง ก่อนจะรีบพูดต่อ
‘มีนชื่อมีนาค่ะ’เด็กหญิงมีนาในวัยห้าขวบบอกอย่างเป็นกันเอง และทุกครั้งที่พูดก็มักส่งยิ้มหวานโชว์ฟันหลอให้พี่ชายใจดีทุกครั้ง
‘ตกลงจะชื่อมีนหรือมีนาฮึเรา’ เด็กชายถามอย่างขบขันกับคนที่แทนตัวเองว่า ‘มีน’ แต่กลับบอกว่าตัวเองชื่อ ‘มีนา’
‘มีนชื่อมีนาค่ะ แล้วก็ชื่อมีนด้วย’ สาวน้อยอธิบาย หวังว่าพี่ชายใจดีจะเข้าใจ
‘แล้วจะให้พี่เรียกเราว่าอะไร มีน หรือ มีนา’
‘เรียกมีนหรือมีนาก็ได้ค่ะ แต่เรียกมีนดีกว่าเนอะ’ เด็กหญิงให้ทางเลือก ทว่าสุดท้ายกลับตัดสินใจให้เสียเสร็จสรรพ จนคนถูกให้ทางเลือกต้องหัวเราะออกมาอย่างขบขันกับท่าทีไร้เดียงสาของเธอ
‘มีนก็มีนงั้น’ เด็กชายยอมเชื่อฟัง ‘แล้วเรามายืนทำอะไรตรงนี้ทุกเย็น ไม่รีบกลับบ้าน’
‘มีนมาดูชุดสวยๆ’ เด็กน้อยบอกอย่างใสซื่อและนั่นทำให้คนที่มีอายุมากกว่าแปลกใจ
‘ชุดสวยๆ เหรอ’
‘ชุดสวยๆ แบบนี้ไง’ เด็กหญิงบอก พร้อมกับชี้ไปที่ชุดนักเรียนลายสก๊อตของพี่ชายใจดี ‘มีนชอบชุดสวยๆ แบบนี้’
นนทพัทธ์มองไปที่ชุดนักเรียนของตัวเองพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ
‘มีนาอยากใส่ชุดแบบนี้’ มีนาชี้ไปที่ชุดของนนทพัทธ์ ก่อนจะพูดต่อ ‘แต่แม่บอกว่าเราไม่มีเงินใส่ไม่ได้ ใส่ได้แค่ชุดแบบนี้’
ในประโยคหลังเด็กหญิงชี้มาที่ชุดของตัวเอง ทว่ายังคงรอยยิ้มไว้บนหน้าเสมอ แม้จะพูดในสิ่งที่ตนเองไม่สมหวัง และนั่นทำให้นนทพัทธ์อดถามไม่ได้
‘เราไม่เสียใจรึ’
‘มีนไม่เสียใจหรอกค่ะ มีนรู้ว่าแม่ไม่มีเงินซื้อให้ เพราะแม่มีลูกเยอะมาก…ก…’ เด็กหญิงลากเสียงในคำสุดท้ายให้มีความน่าเชื่อถือ เพราะบ้านเธอนั้นมีพี่น้องหลายสิบคน
‘ที่ว่ามากนี่กี่คนฮึ’
นนทพัทธ์คิดว่าคงมีไม่กี่ครอบครัวที่มีลูกเกินห้าคนและสถานการณ์ของบ้านเด็กหญิงคงมีไม่มากกว่านี้แน่หรืออาจจะมากกว่า แต่คงไม่กี่คน ทว่าเขากลับคิดผิด
‘มีเป็นร้อยเลยค่ะ’ เด็กหญิงบอกเสียงจริงจัง
‘บ้าไปแล้ว’ นนทพัทธ์ว่าอย่างไม่เชื่อ เพราะคงไม่มีใครมีลูกเป็นร้อยคนแน่ ‘เป็นเด็กโกหกไม่ดีนะเรา’
‘มีนไม่ได้โกหกนะ มีนพูดจริงๆ’ เด็กหญิงทำหน้าจะร้องไห้ เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กโกหก ‘แม่ไม่ให้โกหก เพราะมันไม่ดี’
‘โอเคๆ ไม่โกหกก็ไม่ก็หก’ แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วเด็กชายก็ไม่ได้เชื่อเสียเท่าไหร่
‘มีนไม่ได้โกหกจริงๆ นะคะ ทำไมคนอื่นชอบว่าเราโกหกจังเลย’ เด็กหญิงเล่าหน้าเศร้า
‘ใครเขาว่าเราโกหกล่ะ’
ไม่ใช่มีแค่เขาที่คิดว่าสาวน้อยตรงหน้าโกหก ยังมีคนอื่นอีกตามที่เด็กหญิงเล่า ดีไม่ดีเด็กคนนี้อาจจะเป็นพวกชอบโกหกก็ได้ แต่เมื่อได้ฟังสิ่งทีเด็กหญิงเล่าต่อมา นนทพัทธ์กลับอยากตบปากตัวเอง
‘คนชอบว่าพวกเราขี้โกหก พ่อแม่ไม่รักถึงเอามาทิ้งที่บ้านวรกานต์สิทธิ์ เป็นเด็กไม่มีพ่อมีแม่’ เด็กหญิงวัยห้าขวบเล่าด้วยความเจ็บปวด
นนทพัทธ์ยกมือลูบหัวเด็กหญิงอย่างปลอบใจ โดยไม่คิดรังเกียจแต่อย่างใด แบบนี้เองสินะเธอถึงมีพี่น้องร่วมบ้านเป็นร้อยชีวิต เพราะบ้านวรกานต์สิทธิ์เป็นบ้านเด็กกำพร้าที่อยู่ท้ายซอยนี้ ที่เห็นเด็กหญิงทุกเย็นคงเป็นทางผ่านกลับบ้านเธอพอดี
‘พี่ขอโทษนะคนเก่ง’ เด็กชายเอ่ยขอโทษ เพียงเท่านั้นก็เห็นรอยยิ้มหวานที่คุ้นเคยของคนตรงหน้า
‘ไม่เป็นไรค่ะ มีนไม่โกรธ’
‘มาวิ่งเล่นคนเดียวแบบนี้มันอันตรายรู้ไหม’ คนที่มีอายุมากกว่าเอ่ยเตือน
‘มีนทราบค่ะ แต่เดี๋ยวมีนก็กลับบ้านแล้ว’
‘พี่เองก็ต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน’
‘บ้านพี่ชายอยู่ไกลไหมคะ’ มีนาถามตามประสาเด็ก
‘ไม่ไกลเท่าไหร่ ถามทำไมรึ’
‘แล้วพี่ชายกลับยังไงคะ’ เด็กหญิงถามอย่างอยากรู้ เพราะเพียงแค่ตนต้องเดินไปกลับโรงเรียนวัดกับพี่ๆ ในยามเช้า แม้เพียงไม่ไกลก็ยังเหนื่อยหอบ แล้วพี่ชายที่บ้านอยู่ไกลคงเหนื่อยเอาการ
‘รถที่บ้านมารับ’
‘คันนั้นเหรอคะ’ เมื่อคนตรงหน้าพยักหน้า คนถามก็ตาโตทันที ‘โห ทำไมคันใหญ่จังเลย’
นนทพัทธ์ไม่ตอบเพียงแค่ยิ้มกับท่าทางน่ารักของสาวน้อย แม้จะแต่งตัวมอมแมม ทว่าใบหน้าหวานกระจ่างใสของเด็กหญิงกลับทำให้เธอโดดเด่น และโตขึ้นเด็กหญิงมอมแมมคนนี้คงสวยเอาการทีเดียว
‘พี่ต้องกลับบ้านแล้ว’
‘โชคดีนะคะ’ มีนายกมือโบกลา
‘พี่ไปล่ะ’ เด็กชายนนทพัทธ์บอก ก่อนจะวิ่งกลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ โดยมีน้องชายฝาแฝดมองมาด้วยสายตาเขียวปั๊ด แม้มือและปากจะยังถือแล้วเคี้ยวขนมอยู่ก็ตาม
‘แกหายไปไหนมา ฉันหิวจนจะกินหัวลุงสนอยู่แล้ว’
‘ที่อยู่กับปากนี่ไม่เรียกกินหรือไง’ คนเป็นพี่แขวะ ก่อนจะเตรียมขึ้นรถกลับ ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อมีคนมาดึงขากางเกงไว้พร้อมกับเสียงเรียก
‘เดี๋ยวก่อนพี่ชายๆ’
‘ว่ายังไงเรา’ นนทพัทธ์หันมาคุยกับสาวน้อยเมื่อครู่
‘มีนยังไม่รู้จักชื่อพี่ชายเลยค่ะ’
‘พี่ให้’
นนทพัทธ์ไม่ตอบแต่กลับยื่นบางอย่างไปให้แทนซึ่งเด็กหญิงก็รับไปแต่โดยดี
‘คืออะไรคะ’ มีนามองของในมือที่รับมา ซึ่งเป็นผืนผ้าขนาดเล็กกะทัดรัดสีฟ้าอ่อน และมีรอยปักอยู่ตรงมุมหนึ่งของผ้า
‘ชื่อพี่อยู่ในนั้น รีบๆ อ่านหนังสือให้ออก เดี๋ยวก็รู้เอง’
‘มีนจะรีบอ่านหนังสือให้ออกไวๆ ค่ะ จะได้รู้ชื่อพี่ชายเสียที’ เด็กหญิงให้สัญญา เพราะตนเองก็อยากรู้ชื่อของพี่ชายใจดีแล้วเหมือนกัน
‘อย่าให้รู้นะว่าให้ใครอ่านให้’ เด็กชายพูดดักอย่างไม่จริงจังนัก
‘ไม่ค่ะ มีนจะอ่านเองให้ได้’
หลังจากคำพูดอีกไม่กี่คำของทั้งสองรถคันใหญ่ก็ค่อยๆ แล่นจากไปอย่างช้าๆ จนลับตา เหลือไว้เพียงบางสิ่งที่พี่ชายใจดีมอบให้
มีนามองผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าคนให้ ก่อนจะรีบวิ่งกลับบ้านเมื่อตนใช้เวลาอยู่ข้างนอกนานเกินไปแล้ว หากแม่รู้เข้าคงถูกดุเช่นทุกวัน
แม้ตอนนี้เด็กหญิงจะยังอ่านไม่ออก ทว่าพอโตขึ้นเธอจะรู้ว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้าคนนี้มีชื่อว่าอะไรและโชคชะตาอาจจะพาให้ทั้งสองกลับมาพบกันอีกก็ได้
ความคิดเห็น