คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : เพื่อนคนเเรก
อากาศยามเช้าในฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างดี รินตื่นมาเต็มตาหลังจากเตียงนอนที่อยู่ใกล้หน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ แสงแดดสีทองในต่างแดนทำให้สดชื่นขึ้นหลังจากตื่นนอน ดวงตากลมโตมองออกไปยังด้านนอกที่เป็นทิวทัศน์ใหม่อย่างสดใส ยันกายลุกขึ้นอาบน้ำเพื่อเตรียมไปโรงเรียนในวันแรก สำหรับที่ไฮสคูลที่นี่นั้นไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องแบบ เพียงแค่แต่งกายให้มิดชิดอย่างพอควรเท่านั้น
เสื้อแจ็กเก็ตหนังกลับสีน้ำตาลทรายเข้ม ยีนส์สีน้ำเงิน เสื้อยืดสีขาวและกระเป๋าสะพายสำหรับใส่หนังสือและเครื่องเขียนไปโรงเรียนเตรียมไว้เรียบร้อยที่โต๊ะเขียนหนังสือ เพราะสภาพอากาศที่ต่างกันทำให้ที่นี่อากาศเย็นกว่าญี่ปุ่น ระบบทำน้ำอุ่นจึงถูกใช้อีกครั้งหนึ่งสำหรับวันนี้
หยดน้ำกระเซ็นไปทั่ว ก่อนจะตามมาด้วยฟองสบู่สีขาวและจบลงที่น้ำอุ่นรดราดลงบนร่างกายอีกครั้ง ผ้าขนหนุสีขาวนวลค่อยซึมซับน้ำเอาไว้จนตัวแห้งพอจะทาแป้งและสวมเสื้อผ้าได้ กระจกเงาบานใหญ่ที่ตั้งไว้ข้างเตียงส่องสะท้อนใบหน้าขาวๆที่แสนสดใส
เสียงกุกกักดังมาจากในครัว ยาตะที่สวมชุดลำลองและผ้ากันเปื้อนกำลังทำอาหารเช้าอยู่ภาพลักษณ์ดูต่างจากปกติที่ไม่ได้สวมสูทดูเคร่งขรึม สวมเพียงเชิ้ตและกางเกงขายาวธรรมดาเท่านั้น กระทะในมือส่งเสียงร้อนฉ่ายามตอกไข่ลงไป ด้านข้างมีไส้กรอก และเตาปิ้งขนมปังวางอยู่ กลิ่นหอมของมื้อเช้าชักชวนให้รีบลงมาจากด้านบนโดยเร็ว รินคว้ากระเป๋าสะพายลงมา ก่อนจะวิ่งลงมาที่ครัว นั่งลงบนโต๊ะทานอาหารเช้าใกล้กับซิงค์ทำครัว ส่งเสียงทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ฮะ ยาตะซัง!” น้ำเสียงสดใสพร้อมเรียนวันแรกอย่างมาก ดูกระตือรือร้นและสดใสดีจนคนฟังอดยิ้มไม่ได้
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหนู เช้านี้เป็นอาหารเช้าแบบอเมริกันนะครับ” ยาตะหันมาทักทายตอบ ถือจานสองจานที่เป็นอาหารของตัวเองและของคุณหนูลงกับโต๊ะ ออมเล็ตสีเหลืองทอง ไข่ดาวลูกเล็ก ไส้กรอกเยอรมันชิ้นหนา ขนมปังปิ้งและแยมผลไม้พร้อมนมสด เป็นมื้อที่ขาดไม่ได้ของวัน
“ว้าวว น่าทานจังเลย” นอกจากจะมีสกิลในการต่อสู้และช่วยมาซายะบริหารงานแล้วยังมีสกิลแม่บ้านและภรรยาที่ดีขั้นเทพติดตัวอีกด้วย ทั้งงานบ้าน อาหารและงานทำความสะอาดล้วนแต่ถูกเขาจัดการทั้งหมดทั้งสิ้น
“อร่อยมากเลยฮะ ออมเล็ตนุ่มนิ่มละลานในปากเลย!” รินทานออมเล็ตสีสวยจนแก้มป่อง ก่อนจะงับขนมปังที่กรอบนอกนุ่มในชุ่มเนยเข้าไปอีกคำโต สำหรับวันแรกเช่นนี้อาหารที่มีพลังสูงเป็นสิ่งที่ดีที่จะเติมเต็มช่วงเช้าที่ดีเช่นนี้ ทำให้สมองปลอดโปร่งและไม่หิวท้องก่อนเวลาพักเที่ยงด้วย
เขาสอนให้รินใช้เงินในช่วงที่ไฮสคูลยังไม่เปิดด้วยการไปซื้อของหรือเดินเที่ยวในหมู่บ้าน รินเองก็เรียนรู้ได้เร็วในการเข้าใจกับสิ่งรอบตัวที่แปลกใหม่ ทำให้เขาเบาใจขึ้นเยอะ
นาฬิกาที่ผนังบอกเวลา 7 โมง 25 นาที แล้ว เป็นช่วงเวลาที่สมควรจะไปโรงเรียนได้แล้ว รินจึงรีบทานอาหารให้หมดก่อนจะบอกลาที่หน้าประตูรั้ว
“เดินทางระวังๆนะครับ ถ้าเจอใครที่ไม่น่าไว้ใจ...ไม่สิ ใครก็ตามที่ไม่รู้จักอย่าไปคุยด้วยนะครับ ให้รีบเดินไปที่โรงเรียนหรือเดินเข้าร้านค้าเลย” แม้จะเบาใจขึ้นเพราะ ‘คน’ ของสมิทที่ดูแลพื้นที่นี้ดูแลอยู่ก็ตาม นั่นก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี จึงต้องกำชับให้มากขึ้น
“ฮะ!” รินตอบรับ กระชับกระเป๋าให้แน่นก่อนจะเดินหายลับตายาตะที่ยืนมองอยู่นาน จนเห้นแผ่นหลังนั้นหายลับตาไป แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังไม่เบาใจ รีบกลับเข้าบ้าน กดโทรศัพท์ต่อสายถึงสมิททันทีด้วยสีหน้าวิตกกังวลเกินเหตุ ปลายสายรับโทรศัพท์ก่อนจะกรอกเสียงเจ้าเล่ห์เมื่อรู้ว่าใครโทรมาหาแต่เช้า
“Good morning honey~” น้ำเสียงนั่นช่าง...ช่างน่าหมั่นไส้เหลือเกิน แต่เพื่อคุณหนูแล้ว....
“สมิท! ผม...ผมเป็นห่วงคุณหนู ช่วยให้คนของคุณคอยดูเขาตลอดทางไปโรงเรียนที!” พอเป็นห่วงรินแบบนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็มีสภาเดียวกันคือลุกลี้ลุกลนและร้อนรนผิดปกติ ขนาดยาตะที่นิ่งๆยังมีสภาพเช่นนี้ได้
“หืม? รินน่ะเหรอ? ไม่ต้องห่วงน่า เขาเดินไปกลับโรงเรียนได้จนชินแล้วนี่นา พวกเราเป็นคนพาเขาไปเดินเองเลยนะ อีกอย่าง คนแถวนี้เองก็คุ้นหน้ารินอยู่แล้ว ถึงจะไม่เคยทักกัน แต่คนญี่ปุ่นมาอยู่ที่นี่น่ะหายากจะตาย แถมแถวนี้น่ะ ส่วนใหญ่นิสัยดีนะ เขาช่วยดูให้อยู่แล้ว” สมิทร้องบอกพลางยกตราประทับลงบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าโดยมีสายตาของเลขาส่วนตัวจ้องอยู่ไม่หันไปไหน ตอนเข้ามาห้องทำงานมาก็พบกองกระดาษวางอยู่สูงท่วมหัวไป เหมือนจะเป็นบทลงโทษที่เลขาสาวมอบให้โดยเฉพาะ โทษฐานที่แอบหนีออกมารับรินกับยาตะโดยไม่บอกคุณเธอ
“บอสคะ ได้อีก สองนาทีค่ะ เรื่องที่มิสเตอร์ยาตะขอมาดินฉันจะจัดการให้เอง อยากคุยธุระอะไรเหลืออีกสองนาทีค่ะ” ดูสิดู เธอเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แอบดักฟังฉันทางโทรศัพท์ แบบนี้หนีเที่ยวไม่ได้แล้ว...
คุยได้อีกแปบเดียวพอเป็นกำลังใจในการทำงาน สมิทก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนประทับตราประทับต่อไปจนข้อมือแทบหัก
ต้นเมเปิ้ลข้างทางเป็นสีแดงเข้มแล้ว ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอย่างสมบูรณ์ รินเดินมองอย่างชอบใจ มองเห็นคนวัยเดียวกันเดินออกจากบ้าน คาดหวังว่าจะได้เจอในห้องเรียนเดียวกันหรือในโรงเรียนเดียวกัน พอเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยก็เป็นทางลาด ไปสู่รั้วโรงเรียน กลุ่มคนวัยไล่เลี่ยกันเดินตามหลังมา ก่อนจะค่อยๆดูหนาตาขึ้น ทุกคนจ้องมองรินราวกับเป็นสิ่งแปลกประหลาด นั่นทำให้รินรู้สึกประหม่า เสียงบ่นพึมพำ พูดคุยกันดันเป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย แม้จะพอฟังออกแต่บรรยากาศนั่นช่างกดดันเหลือเกิน เพราะรูปร่างที่ดูเล็กและสีผม สีผิวที่ดูไม่เหมือนคนยุโรปทำให้รินเป็นจุดเด่นขึ้นมา เต่กระนั้นก็ไม่ได้พุ่งมาหาเรื่องแบบที่รินเคยจินตนาการ
นาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนบนตึกเรียนใหญ่บอกเวลา 7 โมง 45 นาที ตึกเรียนค่อนข้างทันสมัย มีสีสันดูโมเดิร์น นักเรียนสวมชุดลำลองที่ไม่ใช่เครื่องแบบที่เคร่งขรึมทำให้บรรยากาศดูวุ่นวายและสนุกสนานแปลกๆสำหรับริน บรรยากาศเช่นนี้รินไม่เคยสัมผัส โรงเรียนที่เคยเรียนที่ญี่ปุ่นนั้นดูเงียบกว่านี้มาก ไม่มีใครมาล้อเล่นตบหัวหรือพูดคำหยาบแบบที่รินได้ยินตอนนี้ แม้จะดูน่ากลัวในสายตาริน แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นและดูสนุกมาก
ห้องเรียนเองก็ค่อนข้างแตกต่างมาก รินรู้แล้วว่าล็อกเกอร์ตัวเองอยู่ตรงไหน ดูเหมือนว่าล็อกเกอร์ของคนอื่นๆจะตกแต่งด้วยรูปถ่าย โปสเตอร์ดาราหรือนักกีฬาชื่อดัง ผู้หญิงบางคนก็มีแต่เครื่องสำอางเต็มไปหมด บรรยากาศช่างดูแตกต่างกับที่โรงเรียนเก่าซะจริง
(ขอเขียนพวกบทสนทนากับคนอื่นเป็นไทยหมดเลยนะฮะ ค่อนข้างกลัวใช้ผิดด้วย)
ห้องเรียนที่รินต้องนั่งเรียนคาบแรกนั้นอยู่ชั้นสอง เป็นของนักเรียนเกรด 10 ที่นี่นั้นใช้เรียกเเต่ละชั้นปีว่า เกรด เกรด 10 คือ ม.ปลายปีที่ 1 ของญี่ปุ่นนั่นเอง และระบบการเรียนยังแตกต่าง ค่อนข้างเปิดกว้าง ให้อิสระที่จะให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นและความสามารถออกมาได้เต็มที่ แต่ล่ะห้องเรียนจะมีนักเรียนนั่งไม่ถึง 30 คน เพื่อให้การเรียนการสอนนั้นทั่วถึงทุกคน นับว่าดีกับเด็กวัยรุ่นที่กำลังเติบโต อยู่ในช่วงเรียนรู้
ห้องเรียนที่รินเข้าไป ไม่มีโต๊ะแบบเต็มๆตัว มีเพียงโต๊ะเก้าอี้แบบพับลุกนั่งสะดวก ด้านหน้ามีแท่นสอน กระดานดำ กล่องชอล์กและปากกาเคมี แอร์เย็นเจี๊ยบ รินคิดว่าโชคดีที่ใส่เสื้อแขนยาวมา แจ็กเกตช่วยทำให้อุ่นได้ ภายในห้องนั่นมีกลุ่มเด็กนักเรียนนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่เกือบสิบคน พอรินเข้าไป สายตาทั้งหมดก็จ้องมาที่รินเพียงคนเดียว
“อื่อ...” รินครางในลำคอเบาๆ พวกเขาดู...แรง เป็นคนประเภทที่รินไม่กล้าเข้าใกล้ที่สุด จับจ้องตั้งแต่รินเดินเข้ามาตลอดจนรินนั่งลงกับโต๊ะ ซึ่งอยู่หลังห้อง ได้ยินเสียงซุบซิบพึมพำว่า ‘คนญี่ปุ่น?’ ‘ดูหงิมๆชะมัด’ ‘ ตัวเล็กจัง’ ‘เตี้ยว่ะ’ ดังแว่วเข้าหูมา แม้จะทำใจกับปฏิกิริยาแบบนี้แล้ว รินก็อดประหม่าและหวาดกลัวไม่ได้ สายตาที่จ้องมานั้นเหมือนจะตรงรี่มาหาเรื่องเลย ถึงการมองคนอื่นแบบนี้จะไม่ดี แต่รินก็อดคิดไม่ได้เลย กลัวจะเป็นเหมือนที่โรงเรียนเก่า ได้ยินจากยาตะซังว่าการกลั่นแกล้งที่นี่นั้นรุนแรงกว่าที่ญี่ปุ่นมาก
เสียงออดบอกเวลาเรียน นั้นทำให้รินโล่งใจขึ้น เพราะคงได้เวลาที่อาจารย์ผู้สอนจะเข้ามาแล้ว คาบแรกอาจจะไม่ได้เรียน แต่อาจจะแนะนำตัวกับเพื่อนๆในห้อง หรืออาจารย์จะแนะแนวธุระอะไรก็ได้
ภายในห้องมีนักเรียนหลายคนทยอยเข้าห้องมาแล้ว ที่นั่งถูกจับจองกันครบครัน สวมชุดที่ไม่เหมือนกัน บางคนก็หวาน เซ็กซี่ หรือบางคนก็ฮิปฮอปหรือพังค์ร็อค แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนจ้องมาที่รินกันหมดทุกคน สายตานั้นแฝงความสงสัยปนเคลือบแคลงใจ บางคนย่นจมูกใส่รินเหมือนรินเป็นของแปลก
“สวัสดีพวกเธอทุกคน ตั้งแต่ตอนนี้ไปพวกเธอก็เป็นนักเรียนไฮสคูลแล้วนะ ปิดเทอมหน้าร้อนคงจะใส่ชีวิตจนสนุกสุดเหวี่ยงกันล่ะสิ!” นักเรียนหัวเราะ ครื้นเครงกับคำทักทาย แม้บางคนจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ร่วมสนุกหัวเราะไปด้วยได้ มีเพียงรินที่ยังเกร็งๆ พอจะจับใจความได้ว่าอาจารย์กำลังบอกว่าพวกเขานั้นใช้ชีวิตปิดเทอมกันอย่างสนุกมารึเปล่า
“พวกเธอจะต้องใช้ชีวิตด้วยกันอีกสามปี ตอนนี้เราควรมาแนะนำตัวก่อนดีกว่านะ? ฉันชื่อ โรเบิร์ต ลิงค์ เป็นอาจารย์สอนวิชาเคมี และเป็นที่ปรึกษาของพวกเธอ มีคำถามอะไรไหม?” เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูแล้วอายุน่าจะเกือบวัยกลางคน สูงผอมและดูอารมณ์ดี สวมเสื้อกาวน์แบบคุณหมอ หนีบแฟ้มเอกสารยามเดินเข้าห้องมาและตอนนี้วางอยู่บนโต๊ะ ใช้ดวงตาสีฟ้าขุ่นมองกวาดนักเรียนไปทั่วๆ
“อาจารย์ยังเวอร์จิ้นอยู่ไหม?” เด็กสาวท่าทาง ‘แรง’ คนหนึ่งยกมือขึ้นถาม ก่อนจะพยักเพยิดอย่างใจกล้าให้กับทุกคนในห้อง เธอทาปากแดง สวมเกาะอกรัดติ้วมีเพียงคาร์ดิแกนแบรนด์เนมสวมสับและกระโปรงยีนส์สั้นจู๋กับบู๊ตเฟอร์ฟูๆ ดุทันสมัยและเปรี้ยวจี๊ด อาจารย์ได้แต่หัวเราะฮ่าเสียงดัง ก่อนจะตอบด้วยคำตอบที่กำกวมคลุมเครือ
“พวกเธอว่าไงล่ะ? เอ้า! เริ่มจากคนแรกนะ เธอคนนั้นน่ะ นั่งหน้าสุด ไล่จากเธอเลยล่ะกัน” เขาตัดบทไปได้อย่างมืออาชีพ เสียงว้าของนักเรียนดังตามมา ก่อนจะจบด้วยเสียงหัวเราะคิกคักราวกับเรื่องตลกธรรมดาทั่วไป นี่สินะความต่างของวัฒนธรรม..แม่จ๋า
คนๆนั้นแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง มั่นใจและไม่ขัดเขิน ราวกับชินกับสังคมเช่นนี้ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตายแล้วๆๆ เหลืออีกแค่ 3 คนก็มาถึงรินแล้ว
รินสูดลมหายใจเข้าลึกๆให้สบายใจ พอจะทำให้ใจชื้นและมั่นใจมากขึ้นได้บ้าง เมื่อคนด้านหน้าแนะนำตัวจบ รินก็เด้งตัวขึ้นอย่างเกร็งๆ สายตาทุกคู่จับจ้องมาอย่างสนใจ เพราะวันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกสำหรับนักเรียนที่ขึ้นชั้นม.ปลาย ทุกคนจึงจับจ้องและให้ความสนใจเพื่อนใหม่ๆที่พบหน้ากันอย่างกระตือรือร้น
“อ..ผ..ผม..ผมชื่อ โคอิซึมิ ริน มาจากญี่ปุ่นครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ช่วงต้นประโยคฟังดูขัดเขินและกระตุกไปสักเล็กน้อย แต่สำเนียงก็ค่อนข้างดี อาจารย์ยิ้มน้อยๆกับสำเนียงแปร่งๆนั้น
“เก่งจังนะ มาเรียนถึงที่นี่เลยเหรอ?” พลางเอ่ยถามด้วยความสนใจ นับว่าน้อยที่จะมีนักเรียนต่างชาติมาเรียนในไฮสคูลที่นี่ เพราะแถบนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ชาวต่างชาติมาอาศัยอยู่มากนัก นับว่าแปลกใหม่สำหรับคนอื่นๆด้วย
“คนญี่ปุ่นจริงด้วยแหละ!”
“เฮ้! นายเป็นผู้ชายจริงๆน่ะเหรอ? หน่อมแน่มชะมัด!”
“อย่าเสียมารยาทสิทุกคน” อาจารย์ปรามทุกคนที่สนุกเกินเหตุ ด้วยกลัวว่าจะเสียมารยาทต่อชาวต่างชาติที่หาได้ยากในแถบนี้ และสังเกตจากอาการประหม่าและตื่นคนแบบนั้นเลเวท่าทางจะได้อยู่ท่ามกลางคนต่างชาติเยอะๆแบบนี้
รินนั่งลงด้วยความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แม้การแนะนำตัวจะราบรื่นไปได้ระดับหนึ่ง รินสามารถฟังที่อาจารย์เอ่ยชมได้อย่างชัดเจนและเข้าใจ นับว่าทักษะการฟังดีขึ้น แต่ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ดูเหมือนจะค่อยๆลดลงจนเหลือศูนย์
อาจารย์โรเบิร์ตแนะแนวถึงกฎระเบียบ ธุระสำคัญ กิจกรรมที่จะทำกันในวันนี้อยู่ราวๆชั่วโมงกว่า จากนั้นจึงเริ่มทัวร์โรงเรียน เป็นกิจกรรมที่เพิ่มความสนุกให้กับนักเรียนใหม่ทุกปี นอกจากจะได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่และอาจารย์แล้ว ยังทำให้รู้ว่าภายในโรงเรียนนั้นมีอะไรบ้าง เวลาสำคัญจะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน และสามารถไปมาได้สะดวกหรือใช้ประโยชน์ได้
“ถ้างั้นอีก 30 นาที มาเจอกันหน้าห้องนะ อย่าลืมติดเข็มกลัดที่ฉันแจกไปด้วยล่ะ” นักเรียนในห้องพากันเนออกมาด้านนอก พูดคุยกันอย่างสนิทสนม บางคนก็ไปห้องน้ำเติมเครื่องสำอางหรือทำธุระส่วนตัว สำหรับรินเป็นอย่างหลัง รีบบึ่งไปห้องน้ำทันทีที่เดินออกมาเพราะรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ห้องน้ำอยู่ห่างจากเรียนเพียงไม่กี่ห้อง มีหลายคนที่อยู่ในนั้น จับกลุ่มคุยกันที่หน้ากระจกและโถฉี่ รินรีบเดินเข้าห้องน้ำทันที ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบรินโก่งคอนั่งเกาะชักโครกอาเจียน หน้ามืดตาลายไปหมด เพราะประหม่าและตื่นเต้นเกินไป อาเจียนออกมามีแต่น้ำ
เหลืออีกแค่ 15 นาที ก้จวนได้เวลาที่อาจารย์เรียกรวมตัวแล้ว รินหมดแรงนั่งเกาะประตูด้วยใบหน้าจงนเจียนจะร้องไห้ ทั้งๆที่วันนี้ควรจะเป็นวันแรกที่ดีในการเริ่มต้นใหม่แท้ๆ
เสียงคุยข้างนอกเบาลงแล้ว รินค่อยลุกขึ้นยืนเกาะประตูเดินออกไปอย่างหมดแรง ผ้าเช็ดหน้าก็เช็ดจนชุ่มหมดแล้ว ดวงตากลมๆคลอน้ำตาจนชุ่ม ใช้มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ ก่อนจะอาเจียนอีกรอบที่อ่างล้างหน้า
“ทำไงดี..ป..ไปไม่ทันแน่ๆเลย..” อีกไม่ถึง 10 นาทีก็จวนจะได้เวลาที่ต้องไปรวมกันแล้ว แต่รินยังรู้สึกไม่ดีอยู่เลย จะให้ไปห้องพยาบาลตั้งแต่วันแรกมันก็ดูไม่ดี
รินในกระจกหน้าซีดเซียวจนดูน่าสงสาร ท้องมวนไปหมด รู้สึกตาลายและวิงเวียน
“เป็นอะไรไหม?” รินสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินภาษาที่คุ้นเคย แม้จะฟังดูแปร่งๆเหมือนที่ตัวเองพูดภาษาอังกฤษ แต่มันก็ชัดเจน รินหันไปตามเสียง พบกับเด็กหนุ่มที่สูงกว่ามาก คนๆนี้อยู่ห้องเดียวกัน เขานั่งอยู่ข้างหน้ารินด้านขวา ดูโดดเด่นเพราะสีผมกับรูร่างที่สูงกว่าใคร ดวงตาสีฟ้าใสๆมองมาทางนี้ด้วยความเป็นห่วงเล็กๆ
“อาจารย์ให้มาตามน่ะ เห็นว่าหายไปนานมาก” เขาพูดต่ออีก เป็นภาษาญี่ปุ่นผสมกับภาษาอังกฤษ รินที่ยังงงๆเบลอๆยังพอฟังออกว่าอาจารย์ให้เขามาตาม
“อ..อื้อ..ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” รินบอกก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับเขา
“ใช้นี่สิ” ภาษาญี่ปุ่นเต็มๆ เขายื่นผ้าเช็ดหน้ากับกระปุกพลาสติกที่เหมือนบรรจุอะไรไว้อยู่ให้
“อะไร...เหรอฮะ?” รินรับมาแต่กระปุกนั้นด้วยความเกรงใจ แต่ผ้าเช็ดหนาไม่ขอรับไว้ เพราะมันดูแปลกๆที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าของคนอื่นที่ยังไม่รู้จักกันเลย
“ยาสมุนไพรน่ะ” ทั้งคู่เดินไปตามทางเดิน ทิศเดียวกับห้องเรียน มองเห็นไกลๆว่ากำลังรวมตัวกันอยู่ รินเปิดฝากระปุกนั้นออกมา บรรจุอะไรบางอย่างที่คล้ายกับใบไม้ตากแห้ง ก้านไม้ที่มีกลิ่นหอม น่าจะเป็นสมุนไพร เมื่อดมแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายและอาการวิงเวียนพะอืดพะอมก็ลดลง
“ให้ยืมนะ” เขาบอกเสร็จก็แยกตัวไปรวมกลุ่มกับเพื่อน รินมาถึงกลุ่มรวมพลพอดี ทุกคนดูไม่ได้ใส่ใจรินนัก จับกลุ่มคุยกัน
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” อาจารย์โรบร์ตเดินมาหารินด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะเด็กนักเรียนต่างชาติที่มาจากแถบเอเชียนั้นมีไม่มากนัก และยังไม่เข้าใจกับวัฒนธรรมและสังคมนิยมของที่นี่ กลัวว่าเขาจะถูกแกล้งเหมือนคนอื่นๆ และการกลั่นแกล้งของที่นั้นก็หนักหนาเอาการในสายตาอาจารย์ทุกคน แต่ทุกคนก็ชินชากับมันไปแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังปรับตัวไม่ได้ และสะดุดตาเช่นนี้จะถูกแกล้งได้ง่ายๆ
“ผมไม่เป็นไรฮะ ขอบคุณอาจารย์มากฮะที่เป็นห่วง” รินยิ้มแหะๆ อยากให้อาจารย์สบายใจ
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ” อาจารย์ตบหัวรินเบาๆดังปุๆ ก่อนจะยิ้มแล้วไปด้านหน้า เพื่อให้ทุกคนเกาะกลุ่มกันไว้ ทัวร์โรงเรียนกำลังเริ่มแล้ว
ทุกคนจะได้รับเข็มกลัดที่พิมพ์ตัวโตๆว่า ‘เด็กใหม่’ โดดเด่น กับแผ่นพับแนะนำโรงเรียน ซึ่งอาจารย์จะเป็นหนัวหน้าทัวร์คอยพาเดินไปตามทางที่จัดไว้ให้ ดูครึกครื้นดีช่วยให้รินรู้สึกดีขึ้น อาจารย์จะพยายามพูดชัดๆ และช้ากว่าเดิมหน่อยนึง เป็นการเอาใส่ว่ามีเด็กต่างชาติอยู่ด้วย ในห้องของรินเองก็มีอีกสองคน น่าจะเป็นคนจีน แต่อีกคนรินไม่รู้ เพราะไม่เห็นหน้าชัดๆและได้ยินที่เขาพูดตอนแนะนำตัว ที่นี่มีห้องพยาบาลที่ครบครัน ห้องเรียนปฏิบัติที่อุปกรณ์พร้อม ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องสันทนาการ ห้องพักอาจารย์ที่ถ้ามีปัญหาสามารถมาขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำได้ ห้องสมุดที่มีหนังสือมากมายไว้ให้ค้นคว้า ทั้งห้องนั้นตกแต่งได้สวยมาก และน่าอ่านหนังสือเป็นที่สุด
เมื่อมาถึงห้องใดห้องหนึ่งแล้ว อาจารย์จะให้หยุดเดินชมอยู่ประมาณ 15 นาทีแล้วถึงจะไปห้องต่อไป ทุกคนก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะไม่อยากอยู่ที่ที่ดุน่าเบื่อแบบนี้ แต่รินกลับชอบใจ เดินวนไปมาหลายรอบ หยิบเล่มนี้ที เล่มนู้นทีอย่างสนใจ ตั้งเป้าว่าวันต่อไปจะต้องมาที่นี่ให้ได้เลย
แต่อยู่ได้แค่แปบเดียวก็ต้องไปเสียแล้ว อาจารย์โรเบิร์ตพาไปที่สระว่ายน้ำ ที่ใหญ่เอามากๆ มีรุ่นพี่อยู่ในชุดว่ายน้ำกำลังโดลงสระโชว์ความสามารถให้ทุกคนดูอย่างเก่งกาจ ที่นี่คือสระว่ายน้ำของโรงเรียนที่ทุกคนจะต้องได้เรียนสักเทอมหนึ่ง และเป็นห้องชมรมของชมรมว่ายน้ำด้วย น้ำสีฟ้าใสมีคนลงไปซ้อมกันอย่างแข็งขัน ทุกคนอยู่ดีด้วยความสนุกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายไปที่อื่นต่อ เมื่อห้องอื่นๆมาถึง จะวนไปเรื่อยๆจนครบ และจากนั้นก็จะเป็นการทานอาหารกลางวัน กิจกรรมตอนช่วงบ่ายจะเป็นการรับสมัครเข้าบ้านที่น่าสนใจ แต่ตอนนี้รินกำลังสนุกกับฝูงชนรุ่นพี่ที่โชว์ความสามารถหลากหลายของแต่ล่ะชมรม ทั้งชมรมสายกีฬาอย่างฟุตบอลที่โชว์เดาะลูกบอลบนร่างกายเหมือนเล่นกายกรรม ชมรมรักบี้ ชมรมกรีฑา เทนนิส แบดมินตัน มีอีกหลากหลายที่รินเห็นว่ามันน่าสนุก แต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าแต่อย่างใด
แผ่นพับในมือมีแนะนำอาหารที่ฮอตฮิตของโรงเรียน ที่มีขายเพียงวันล่ะ 50 กล่อง เป็นชุดอาหารกลางวันที่อร่อยเลิศ เป็นเหมือนของขึ้นชื่อของโรงเรียนเลยทีเดียว รินมองอย่างสนใจ จะต้องชิมมันให้ได้!
“ไหวไหม?” เด็กหนุ่มคนก่อนหน้านี่เดินมาหาริน สีหน้าเขาดูเรียบเฉยแต่แววตากลับแฝงความเป็นห่วง เขารู้สึกว่ารินเหมือนสัตว์เล็กๆที่หลบเข้าเมืองมาและปรับตัวไม่ทันยังไงยังงั้น ควรดูแลดีๆเดี๋ยวมันจะล้มป่วย
“อ๊ะ! ผมไม่เป็นไรแล้วฮะ อ่ะนี่..ขอบคุณมากนะฮะ ตอนนี้ผมสบายแล้วล่ะ!” รินดูสดใสขึ้น ต่างจากก่อนหน้านี่ที่ดูอิดโรยและไร้เรี่ยวแรงหน้าซีด เพราะแสดงแดดอ่อนๆที่ไม่มากในยามสายกับความครึกครื้นของการแนะนำชมรมของรุ่นพี่ช่วยให้รินรู้สึกดีขึ้นมาก รวมถึงสมุนไพรหอมๆในปกระปุกอันนี้ด้วย
“เก็บไว้เถอะ ให้” เขาร้องบอก รินยิ้มให้ก่อนจะเดินไปด้วยกัน รินรู้สึกดีใจที่สามารถคุยกับคนอื่นได้ดีๆสักที และเป็นคนวัยเดียวกัน ไม่ใช่พี่ชาย ครอบครัวหรือคนรู้จักที่ล้วนแล้วแต่อายุมากกว่าริน เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าเขาขอคนๆนี้เป็นเพื่อนจะได้รึเปล่านะ?
รินเดิมไปมากับเขาอยู่นานแล้ว แต่ว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่รู้เลย
ชื่อของเขา
“อ.เอ่อ...คือว่า...” รินจะถามว่าเขาชื่ออะไร แต่ว่าในห้องก็แนะนำตัวไปแล้ว รินก็ไม่ได้ฟังแบบนี้ เสียมารยาทมากเลยนี่นา แต่เมื่อพูดออกไปแล้วมันก็เอากลับมาได้เสียด้วยสิ เขาหันมาเหมือนจะหุถามอะไร แต่เห็นรินทำท่าอ้ำๆอึ้งๆก็งุนงง
“มีอะไรเหรอ?” เขายืนอยู่ข้างๆพลางก้มหน้าถามเพราะรินตัวเตี้ยกว่าเขามาก ดูแล้วเหมือนพี่น้องกันเลยทีเดียว
“เอ..เอ่อ...ม..ไม่.มีอะไรฮะ!” สุดท้ายก็บอกว่าไม่มีอะไร ทั้งๆที่อยากถามชื่อเขา รินแอบเสียใจอยู่ลึกๆที่ไม่ยอมถามเขา
“...ฉันชื่อ เจฟส์ เจฟส์ พาลิลสัน” ดูเหมือนว่าเขาจะเดาได้ว่ารินจะถามอะไร จึงตอบให้
“เอะ..อ่ะ..อ่า...ฮ..ฮะ ขอโทษนะฮะ” ถึงตรงนี้รินก็เกิดประหม่าขึ้นมาซะงั้น รู้สึกผิดเล็กๆจนเขามองด้วยความงุนงง
“เห็นทำหน้าแปลกๆตั้งแต่นั่งในห้องแล้ว เลยคิดว่าอาจจะเป็นอะไร และคิดว่านายคงไม่ได้ฟังอยู่แล้ว ตอนนั้นนายดูเกร็งๆนะ”
“เฮะ?” ประโยคยาวเกินไป รินไม่สามารถรับรู้ได้ในตอนนี้ ฟังออกแค่ว่า ไม่ได้ฟังกับ เป็นอะไร ปะติดปะต่อทั้งหมดไม่ได้
“ช่างเถอะ...” เขาเดินต่อ ชายตามองดูรินที่เดินมาไม่ทันแล้วหยุดเพื่อให้ตามมาทัน ก่อนจะเดินไปพร้อมกันอีก ไม่ได้สนในชมรมอะไรหรือสิ่งรอบข้างเท่าใดนัก
“ง..งั้น..ขอบคุณนะฮะ คุณพาลิลสัน” รินบอกอย่างเขินอายน้อยๆ
“ไม่ต้องสุภาพนักหรอก เรียกว่าเจฟส์เฉยๆก็ได้”
“อ่ะ..งั้น เรียกผมว่ารินก็ได้นะ”
“ริน?...อื้ม ริน....” เขายิ้มบางๆ
“เมื่อกี้ขอบคุณมากนะที่ให้ยืมยาประปุกนั้น มันช่วยผมได้มากจริงๆล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนกันนี่นา” เอน...รินสะดุดกับคำๆนี้ ทั้งๆที่เขาพยายามเชื่อมความสัมพันธ์กับเพื่อนในห้องที่โรงเรียนเก่า แต่ไม่มีใครสักคนที่อยากจะเป็นเพื่อนกับเขา พอเจอกับคำๆนี้อีกครั้ง รินก็อึ้งไป เพื่อนเหรอ? เขายอมเป็นเพื่อนกับรินแล้วใช่ไหม? ใช่ไหมนะ?
“เพื่อนเหรอฮะ?...” รินถามไปอย่างไม่รู้ตัว หยุดเดินกระทันหันและดูเหม่อๆ
“ไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันเหรอ?” เขาถามอย่างกังวล เพราะตังสูงแล้วก็ใหญ่แบบนี้คนเอเชียแบบรินคงจะกลัวสินะ
“เปล่าฮะ! ผม.ผมก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณ!” รินพูดเสียง แต่มันก็ไม่ได้ขนาดนี้ใครจะมาสนใจนัก เพื่อนของรินยิ้มบางๆพลางถอนหายใจให้กับอาการแบบนั้น
“ขอบคุณนะ เราไปทานอาหารกลางวันด้วยกันเถอะ” เขาตั้งใจว่าจะแนะนำรินให้กับเพื่อนในกลุ่มของเขาด้วย เพื่อนในกลุ่มเองก็นิสัยดีและอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยประถมแล้ว พวกเขาใจกว้างพอที่จะเปิดรับเพื่อนใหม่ต่างเชื้อชาติอีกคนแน่ และเขาไม่มั่นใจว่ารินจะสามารถไปผูกมิตรกับคนอื่นได้ มีแต่จะเป็นเป้าโดนเพ่งเล็งกลั่นแกล้งเสียมากกว่า
“อื้อ!” รินยิ้มอย่างเต็มที่ เดินตามเจฟส์ไป ในที่สุดรินก็มีเพื่อนเสียที เป็นเพื่อนวัยเดียวกันที่ไม่เคยมีมาก่อน วันนี้ถึงจะเริ่มต้นได้แย่ แต่ก็คงจบลงได้ดีแน่ๆ
ในที่สุด เขาก็มีเพื่อนแล้ว!
.........................................................................................
ความคิดเห็น