ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] .:::THE MELODY OF LOVE:::. BY SOULINA

    ลำดับตอนที่ #50 : [LAY x SUHO] NOT ALONE (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 548
      0
      8 มี.ค. 57

     

     

    ระยะทางพิสูจน์แรงม้า...

    ส่วนเวลา...พิสูจน์ความรัก...

     

    แล้วระยะเวลาที่ห่างกันเล่า... พิสูจน์อะไร ?

     

     

    ร่างเล็กในเสื้อกราวด์สีขาวตัวขาวนั่งยิ้มกับกรอบรูปที่วางบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะส่งยิ้มให้กับผู้มาใหม่ นางพยาบาลสาวสิ่งยิ้มบางๆกลับให้กับคุณหมออารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยขึ้น

     

     

    “วาเลนไทน์ทั้งทีไม่มีนัดที่ไหนเหรอคะ” คนถูกถามหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนห้อง

     

     

    “จะว่ามีก็ไม่ได้ไม่มีก็ไม่เชิงครับ เรียกคนไข้คนต่อไปได้เลยครับ” เสียงหวานเอ่ยตอบกลับอย่างสุภาพ แล้วเหลือบมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่นั้นอีกครั้ง...

     

     

    มันก็คงจะเหมือนวาเลนไทน์ทุกปีที่เขาจะต้องอยู่ห่างไกลกับคนรักที่ทำงานในอาชีพเดียวกัน และเวลาส่วนตัวที่มีน้อยไม่ต่างกัน ปีนึงจะเจอกันจริงๆ ก็แค่สองถึงสามวัน นอกนั้นก็ติดต่อกันทางโซเชี่ยลทั้งนั้น

     

     

    ...และวาเลนไทน์ก็ไม่เคยเป็นวันสำคัญของเราอีกด้วย...

    เพราะความรัก ควรแสดงทุกวัน ไม่ใช่แค่วันนี้เพียงวันเดียว

     

    พยาบาลสาวออกไปตามคำสั่ง ก่อนที่ตากลมจะเหลือบมองนาฬิกาแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง... ห่างกันไกลหลายร้อยกิโล หากแต่ยังรู้สึกเหมือนอยู่ด้วยกันเสมอ... มันคงเป็นเพราะความรักละมั้ง

     

     

     

    หลังจากออกเวรคนตัวเล็กก็เลือกที่จะเดินเตร็ดเตร่ตากลมหนาวในช่วงปลายหนาวต้นฤดูใบไม้ผลินี้... เช้าเวรเช้าและออกเวรเย็นจนชินเสียแล้วกับเวลาที่น้อยนิดแบบนี้ ที่เขาเลือกที่จะทำงานหนักๆ ก็คงเป็นเพราะไม่อยากอยู่ว่างๆให้คิดฟุ้งซ่านหรือคิดถึงคนคนนั้นนั่นแหละ...

     

     

    การพบกันที่แสนบังเอิญกลับสร้างความรักที่ไม่อาจลืมเลือนได้อย่างไม่น่าเชื่อ...

     

     

     

    แสงไฟ ร้านดอกไม้ ร้านขนม หรือแม้แต่สวนสาธารณะนั้นเต็มไปด้วยคนมีคู่ ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็อิจฉา... อิจฉาเพราะพวกเขาได้อยู่ด้วยกันต่างหากละ หากแต่จุนมยอนก็ชอบความรักของตัวเองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน..

     

     

    ...เพราะเวลาแสนน้อยนิดที่ได้อยู่ด้วยกันนั้น ทุกวินาทีคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไงละ...

     

     

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้เขาออกจากห้วงภวังค์...  เบอร์ของคนที่กำลังคิดถึงอยู่นั้นทำให้เขาไม่ลังเลที่จะกดรับเลยสักนิด

     

     

    “สวัสดี MY LOST VALENTINE” คนตัวเล็กพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ติดจะงอนเล็กน้อย เรียกเสียงหัวเราะจากปลายสายได้เป็นอย่างดี

     

     

    (กล่าวหากันแบบนั้นก็แย่สิ... คุณหมอศัลยแพทย์มือสองของโรงพยาบาลก็ไม่ได้ยุ่งน้อยกว่า คุณหมอศัลยแพทย์มือหนึ่งหรอกนะครับ) ปลายสายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงติดจะหัวเราะนิดๆ เรียกรอยยิ้มให้กับเขาได้เป็นอย่างดี

     

     

    “เหนื่อยไหม?”

     

     

    (เหมือนเดิม... แต่พอได้ยินเสียงนายก็พอแล้ว... จุนมยอน) คำหวานที่หลุดจากปากอีกคนนั้น ทำให้ดวงหน้าหวานระเรื่อขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ดวงตาคู่กลมเหลือบไปเห็นป้ายลดราคาของซูเปอร์มาร์เก็ต ก่อนที่เรียวขาเล็กจะเลี้ยวเข้าไปอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด

     

     

    จุนมยอนเดินตรงไปยังแผนกของสดที่กำลังลดราคารับวันวาเลนไทน์ทันที ก่อนจะเลือกเนื้ออย่างดีมาสองแพค และไปหยิบผักอีกหลายชนิด... ในขณะที่ยังคงคุยกับคนที่เพิ่งออกเวรอยู่ที่จีน...

     

     

    ห่างกันไกล... แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้กันเหลือเกิน

     

     

    “คืนนี้อี้ชิงจะทำอะไรกิน?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแคชเชียร์สาวที่ช้อนตามองเขาเมื่อวานข้าวของทั้งหมดลงบนเคาน์เตอร์จ่ายเงินแล้ว

     

     

    (ทำแบบจุนมยอนนั่นแหละ...)

     

     

    “หื้อ ? อะไรนายจะทำอาหารเกาหลีกินเองเนี่ยนะ หยุดความคิดบ้าๆนั่นแล้วออกไปหาอะไรกินเดี๋ยวนี้เลยนะจางอี้ชิง!!!” คนตัวเล็กเผลอพูดเสียงดังขณะรับถุงจากพนักงานตรงหน้า... การทำอาหารของอี้ชิงเป็นอย่างไรตัวเขาที่ได้ลิ้มชิมรสมากับปากนั้นรู้ดีที่สุด...

     

     

    ...อย่าให้จางอี้ชิงคิดจะทำอาหารเกาหลีอีกเลย...

    นั่นคือสิ่งที่เขาได้จากประสบการณ์ครั้งนั้น

     

    (เปล่านะ... ผมแค่อยากกินอาหารฝีมือจุนมยอนแค่นั้นเอง)

     

     

    “จะบินมารึไงครับคุณหมอคนเก่ง ได้ข่าวว่าช่วงนี้ทำวิจัยอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่างขนาดบินมาหากันเลยรึไง” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความสุข... ด้วยอาชีพและหน้าที่ที่เขาทั้งคู่นั้นต่างมีทำให้วาเลนไทน์นี้สำหรับเขาแล้วมันค่อนข้างยากที่จะอยู่ด้วยกันก็จริง หากแต่การได้ยินเสียงกันเป็นเวลาเกือบชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น ก็ถือว่าเป็นของขวัญแสนวิเศษแล้วละ

     

     

    (ลองอธิษฐานดูสิครับ คุณหมอศัลยแพทย์มือหนึ่งอย่างคิมจุนมยอนก็เชื่อเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ) สิ้นคำพูดของคนปลายสาย เปลือกตาสีมุขก็ปิดลงพร้อมกับอธิษฐานอย่างที่ปลายสายบอก ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วตอบกลับ

     

     

    “ฉันอธิษฐานไปแล้วนะ แต่นางคงไม่หายตัวมาภายในเวลาสามนาทีได้หรอกจริงไหม? ถึงหน้าคอนโดแล้วละ อย่าลืมพักผ่อนนะครับ คุณหมอคนเก่ง” เขาเอ่ยยาวเหยียด และกดวางสายไปเมื่อได้รับคำอนุญาตจากอีกคน...

     

     

    ...แค่ได้คุยกันนานขนาดนี้...

    ก็เพียงพอแล้วจริงๆ 




    --------------------------------- มาต่อแย้วน้าาา >3333<





     

    คนตัวเล็กหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาแตะข้างประตูแล้วเดินเข้ามาภายใน... ในตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ำที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไร ทำให้โถงล็อบบี้นี้ค่อนข้างเงียบ... ก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติไปเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่นับเจ้าเสียงเพลงหวานๆที่เปิดคลอทั้งๆที่ปกติล็อบบี้ของคอนโดเขาจะไม่เปิดอะไรทั้งนั้น

    ...แต่ก็คงเป็นเพราะเป็นเทศกาลละมั้ง...


    จุนมยอนปล่อยให้ความสงสัยนั้นทิ้งไป ก่อนจะก้าวขึ้นลิฟต์ไปอย่างรวดเร็ว เพราะทั้งวันมีคนไข้เยอะมาก และมันก็ทำให้เขาไม่มีเวลากินข้าวเท่าไร... แต่เพราะด้วยอาชีพ จุนมยอนก็ไม่ได้โทษคนไข้เหล่านั้นเลยสักนิด...


    ...ถ้าคนพวกนั้นเลือกได้ก็คงไม่อยากป่วยหรอก จริงไหมละ?...

     
     

    ร่างเล็กเดินออกจากลิฟต์ไปจนถึงหน้าห้อง มือขาวยกคีย์การ์ดขึ้นแตะ ทันทีที่ร่างเล็กเดินเข้ามาภายในห้องแสงไฟทุกดวงก็สว่างขึ้นเพราะระบบเซ็นเซอร์ที่หน้าประตู จุนมยอนวางกระเป๋าลงบนโซฟา แล้วเดินต่อไปยังเคาน์เตอร์ห้องครัวเพื่อจัดการกับอาหารค่ำมื้อนี้ของตัวเอง แต่แล้วแสงไฟในห้องก็ดับพรึ่บลงทันที


    จุนมยอนวางมีดที่กำลังจะหั่นผักลง ก่อนจะคว้าหยิบผ้าเช็ดมือที่อยู่ใกล้ๆนั้นมาเช็ด ก่อนจะเดินไปดูที่ตรวจดูที่สวิตช์ ไฟ พบว่ามีใครบางคนปิดมันลง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย... จะมีใครมาปิดมันได้ไง ในเมื่อเขาอยู่คนเดียวนี่นา...

     

     

    แต่แล้วอ้อมแขนปริศนาก็โอบกอดรอบเอวเขาไว้ พร้อมกับจมูกของคนด้านหลังที่ซุกไซร้ลงบนซอกคอเขาอย่างจาบจ้วง... จุนมยอนดิ้นคลุกคลัก อยู่ในอ้อมแขนของใครก็ไม่รู้ แต่เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยนั้น คนตัวเล็กก็ถึงกับตะโกนลั่น


    “จางอี้ชิง!!!!” กลิ่นอ่อนๆของแอลกอฮอลล์ และน้ำหอมที่เขาเป็นคนซื้อให้นั้นมันทำไมจะจำไม่ได้ละ... เจ้าของชื่อยอมคลายอ้อมแขนออกอย่างว่าง่าย ก่อนจะจับคนตัวเล็กกว่าให้หันหน้ามาหากันแล้วรวบเข้ามากอดอีกครั้ง... จุนมยอนยกแขนขึ้นกอดร่างโปร่งที่ดูเหมือนจะผอมลงไปนิดหน่อยแน่น ก่อนจะเอ่ยถาม


    “มะ...มาได้ไง..” เสียงอู้อี้ที่หัวไหลนั้นทำให้ศัลยแพทย์จากจีนยิ้มกว้าง... นี่คุณหมอจุนมยอนร้องไห้เหมือนเด็กๆเลยเหรอ


    “ก็จุนมยอนอธิษฐานไม่ใช่เหรอ... นี่ไงมาแล้ว บอกแล้วพระผู้เป็นเจ้าไม่ใจร้ายหรอก” เสียงนุ่มเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแล้วกระชับอ้อมแขนนั้นแน่นกว่าเดิม แล้วผละออกมือเรียวยกขึ้นแนบแก้มขาวก่อนจะใช้นิ้วโป้งนั้นปาดหยาดน้ำตาออกไปอย่างเบามือ “ไม่เอาน่า... โตแล้วไม่ร้องไห้นะครับ”


    “บ้าที่สุด... เมื่อกี้กลัวมากนะรู้ไหม” จุนมยอนเบะปากเตรียมร้องไห้เหมือนเด็กตัวเล็กๆอีกครั้ง ยิ่งทำให้คนแกล้งนั้นยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่...


    “เป็นคุณหมอทำหน้าแบบนี้ พวกพยาบาลมาเห็นได้เม้าลั่นโรงพยาบาลแหงๆ” มือเล็กยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างลวกๆ ก่อนจะซบไหล่กว้างของอี้ชิงอีกครั้ง..


    ...แกล้งกันทุกที...

    แต่ที่ทำทั้งหมด... เพราะคิดถึงสินะ

     

    “มาได้ไง” จุนมยอนเอ่ยถามคำถามเดิม หลังจากที่สะอื้นมาหลายตลบ... ก็ทั้งดีใจที่ได้เจอนี่นา ไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งปีแล้ว


    “มาทำวิจัย... แต่แวะมาหาคุณหมอจุนก่อน เพราะคิดถึง” อี้ชิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มละไม แล้วยื่นหน้าเข้าไปกดจมูกลงบนแก้มนิ่ม... ปีๆหนึ่งจะมีเวลาทำแบบนี้กี่ครั้งกันเชียว...


    “ไม่ต้องเอาเรื่องคิดถึงมาอ้างเลย ประหยัดค่าโรงแรมละสิ” เขาว่าพร้อมกับพยายามดันตัวออกห่างคนตัวสูงกว่า แต่มันก็ไม่เป็นผล เมื่อจางอี้ชิงนั้นขืนไว้ไม่พอ ซ้ำยังกอดเขาแน่นกว่าเดิมอีกต่างหาก...


    ...อะไรจะคิดถึงขนาดนั้นครับคุณหมอ...


    “เบื่อจังคนรู้ทัน... แต่ฉันคิดถึงนายจริงๆนะจุนมยอน” เมื่อถูกบอกคิดถึงซ้ำๆแบบนี้ ดวงหน้าหวานก็ระเรื่อขึ้นอย่างไม่อยากห้ามได้... คุณหมอจากเมืองจีนยิ้มอย่างได้ใจ ก่อนจะจูบปากแดงสวยไปเบาๆ แล้วมองหน้าคนตัวเล็กที่ยืนเหวอ



    ...เพราะเราไม่ค่อยได้...จูบกัน....



    “อย่าทำหน้าเหมือนโดนขโมยจูบแรกสิครับ ไม่เอาน่าคุณหมอศัลยแพทย์มือหนึ่งไม่มือสั่นหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก เพราะถูกจูบหรอกจริงไหม?” คนตัวเล็กมองค้อนแพทย์ชาวจีนที่ชอบเอาตำแหน่งของเขามาล้อเสมอๆ รู้ว่าไม่ได้จริงจังอะไร แต่มันก็เป็นเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้อี้ชิงเสียตำแหน่งศัลยแพทย์มือหนึ่งไป



    ...เพราะการวิจัยที่ผิดพลาด จึงทำให้คนไข้รายหนึ่งเสียชีวิตไป...

    และที่พลาด... มันก็เป็นเพราะเขา



    “มัน...ทำให้นายลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับดวงตาคู่โตที่หลุบมองลงต่ำลงเหมือนตอนที่ทำเสมอยามรู้สึกไม่ดี หรือ กำลังรู้สึกผิด



    “มันไม่ได้เป็นความผิดพลาดของนาย... มันเป็นงานวิจัยของฉัน และเคสนั้น... มันเป็นเหตุสุดวิสัย หัวใจคนไข้หยุดเต้นก่อนที่จะถึงมือของฉัน ไม่ใช่เพราะนายที่มาหาฉันตอนนั้น... เข้าใจไหม?”



    “แต่งานวิจัย....” อี้ชิงกดจูบลงบนกลีบปากนุ่มอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับรุนแรงขึ้นไปอีก... อี้ชิงไม่ชอบเลยที่จุนมยอนโทษตัวเอง ในเรื่องความผิดพลาดของเขา... มันไม่ใช่เรื่องของคนตัวเล็กด้วยซ้ำ และเขาก็เป็นคนรับผิดชอบเคสนั้น ทั้งๆที่ญาติผู้ป่วยยังไม่ได้เอ่ยปากกล่าวโทษหรืออะไรเลย แต่จุนมยอนกลับโทษตัวเองแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหนกัน


    “อย่าโทษตัวเองอีกได้ไหม... เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วตั้งกี่ปีแล้ว...”



    “แต่ผลของมัน... ทำให้อี้ชิงอดเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลนะ” อี้ชิงยิ้มกับคำพูดของคนตัวเล็กก่อนจะรวบจุนมยอนเข้ามากอดอีกครั้ง... มือเรียวค่อยๆลูบกลุ่มผมนุ่มมือนั้นอย่างเบามือ



    “คิดมากทำไมกันละหื้ม... ฉันมีความสุขกับชีวิตตอนนี้มากนะ แล้วนี่อุตส่าห์หาข้ออ้างมาทำวิจัยถึงเกาหลี จุนมยอนกลับทำลายบรรยากาศซะได้” จุนมยอนมุ่ยหน้าลงก่อนจะพยายามผลักคนตรงหน้าออก หากแต่มันไม่เป็นผลไม่พอ จางอี้ชิงกลับเริ่มกดจูบลงบนซอกคอของเขาเสียอย่างนั้น...



    “มะ...ไม่นะ... หะ...หิว” เสียงสั่นเอ่ยขึ้น เพราะความเขินอาย เมื่อสบกับดวงตาคู่นั้นที่ฉายชัดถึงความต้องการ... มือเรียวของอี้ชิงค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อเชิ้ตของเขาออกในขณะที่ดวงหน้าเรียวได้รูปนั้นยังไม่ละจากซอกคอของเขาเลยสักนิด ลิ้นชื้นและลงที่ใบหูนั้นทำให้จุนมยอนรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมด กำลังถูกดูดออกไป



    จางอี้ชิงไล่จดจูบตามแหล่งชีพจรทั้งหลายอย่างอ่อยอิง แล้วเงยหน้าขึ้นมาดูดดุนริมฝีปากได้รูปที่เริ่มบวมช้ำนั้นอีกครั้ง แผ่นหลังเล็กถูกดันให้ติดพนังห้อง ก่อนที่หมอชาวจีนจะจะคุกเข่าลงตรงหน้าเขา กางเกงสแล็คตัวโปรดถูกดึงลงไปกองกับพื้น มือเล็กบางลงบนลาดไหล่กว้าง ก่อนที่ดวงหน้าหวานจะสะบัดขึ้นอย่างเสียวซ่าน เมื่อโพรงปากร้อนครอบครองส่วนสำคัญกลางลำตัว เสียงครางหวานๆ ดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่จุนมยอนจะกระตุกเกร็งและครางออกมาอย่างสุขสม...



    อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมากดจูบบนกลีบปากสวยของดวงหน้าหวานที่กำลังแดงระเรื่อเพราะแรงอารมณ์นั้นอย่างแผ่วเบา แล้วกดจูบสร้างรอยสีสวยลงบนลำคอระหงส์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองร่างกอดก่ายนัวเนียกันจนกระทั่งคนตัวเล็กโดนผลักลงบนเตียงนอกหลังกว้าง อี้ชิงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเทาของตัวเองออกแล้วโยนมันทิ้งไป ในขณะที่กำลังจะปลดเข็มขัดหนังของตัวเองนั้น ก็คิดอะไรบางอย่างอย่างออก



    ร่างโปร่งก้าวขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนเตียงนอน ก่อนจะเรียกให้จุนมยอนเข้ามาหา... มือเรียวประคองดวงหน้าหวานขึ้นมาจูบอีกครั้งก่อนจะเลื่อนไปกระซิบที่ข้างใบหูขาวและขบเม้มมันเบาๆ



    “ถอดให้หน่อย...” สิ้นคำพูดของอี้ชิง ดวงหน้าหวานขาวนั้นก็ระเรื่อขึ้นทันทีอย่างน่ารักจนทำให้เขาอดใจไม่ได้ที่จะกดจูบแรงๆลงบนเรียวปากสวยนั้นอีกครั้ง มือเล็กแสนสั่นเทานั้นค่อยๆ เอื้อมมาปลอดกระดุมกางเกงของเขา แล้วรูดซิปลงอย่างยากลำบาก อี้ชิงบ้าที่สุด รู้ทั้งรู้ว่าเขาเขินก็ยังขอให้เขาทำอีก



    หลังจากที่กางเกงตัวเก่งถูกโยนลงพื้นไปแล้ว จางอี้ชิงก็โถมตัวใส่เขาพร้อมกับกดจูบไปทั่วใบหน้าและลำตัวของเขา ช่องทางด้านหลังถูกเตรียมพร้อมอย่างดีก่อนที่อี้ชิงจะไสกายเข้ามาแล้วโถมตัวกอดคนตัวเล็กไว้อย่างแนบแน่น... จุนมยอนยกแขนขึ้นโอบรอบคอของคนตรงหน้าก่อนที่ดวงตาคู่หวานจะมองสบเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่มองมาอย่างสื่อความหมาย...



     

    ...รัก...และคิดถึง...

    มากกว่าสิ่งอื่นใด...

     

     

    การเติมเต็มความสุขของกันและกันนั้นเริ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะจบลงเมื่อคนทั้งคู่นั้นปลดปล่อยออกมาอย่างสุขสม... อี้ชิงถอนกายออกพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนกอดเอวเล็กของคนข้างๆอย่างมีความสุข...

    ...เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องแยกกันไปทำงานกันอีกครั้ง...

     

     

    อ้อมกอดอบอุ่น... มันไม่ใช่ความฝันไปสินะ...



    เปลือกตาบางค่อยๆเปิดออกอีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ดวงหน้าเรียวของคนที่กอดเขาจนหลับไปนั้นปรากฏในสายตา รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นทันที ก่อนที่จุนมยอนจะค่อยๆยื่นใบหน้าเข้าไปประกบปากจูบอย่างแผ่วเบา...


    ...รักเหลือเกิน...


    เมื่อก่อนเขาคิดว่า ถ้าหากเรียนจบแล้วเราคงจะห่างกันไปเอง เหมือนหลายๆคู่ที่พอไม่ได้อยู่ด้วยกันก็แยกทางกันไป... หากแต่หลังจากเรียนจบจาก อี้ชิงกลับไปทำงานต่อที่จีน ส่วนเขาก็กลับมาเกาหลี ในระยะแรกๆความสัมพันธ์ของเราร่อแร่จนน่าเป็นห่วง เพราะตัวเขาเองที่กลัวไปสารพัด บวกกับความเหนื่อยจากงานที่หนักขึ้น ทำให้เขาเอาเรื่องทุกอย่างมาปนกันมั่วไปหมด


    และเพราะความไม่แน่ใจในความสัมพันธ์นี้ ทำให้จุนมยอนใช้เวลาที่น้อยนิดในช่วงวันหยุด บินไปหาคุณหมอชาวจีนถึงถิ่น และพวกเราก็เป็นเหมือนทุกวันนี้.


    ...มีเวลาน้อยยิ่งกว่าใคร...

    แต่ก็รักกันมากยิ่งกว่าใคร...

     

    และแต่ละวินาทีที่อยู่ด้วยกันนั้น มันช่างแสนมีค่า...

    เพราะแบบนี้ละมั้ง พวกเราที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด เวลาเจอกันถึงอยากจะกอดกันอยู่เสมอ

     

     

    “คิดจะลักหลับฉันรึไง” เสียงของคนที่น่าจะหลับไปแล้วนั้นดังขึ้น ปลุกให้เขาออกจากภวังค์ จุนมยอนยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะ ยื่นหน้าเข้าไปจูบจางอี้ชิงอีกครั้ง มือเรียวประคองใบหน้าหวานของเราพร้อมกับรับจูบอย่างเต็มใจ ก่อนจะจับอุ้มยกตัวคนตัวเล็กให้ขึ้นมานอนบนตัวเขา... ดวงตาคู่คมไล่มองไปทุกบริเวณบนดวงหน้าหวานนี้อย่างพยายามจดจำทุกรายละเอียด ก่อนที่พวกเขาจะต้องจากกันอีกครั้ง


    “ก็คิดถึง”


    “ทนคิดถึงอีกไม่กี่ปี ฉันก็จะบินมาขอนายไปอยู่ด้วยแล้วละน่า...” ว่าพร้อมกับรั้งคนข้างบนลงมาหอมอย่างหมั่นเขี้ยว...


    “ขอแล้วไง คิดว่าฉันจะยอมไปอยู่กับคุณหมอที่คะแนนสอบน้อยกว่าฉันเหรอ” เสียงหวานว่าขึ้นอย่างถือดี ก่อนจะยิ้มกว้าง เมื่อคนข้างล่างนั้นเริ่มกดจูบไปทั่วแผ่นอกบางของตัวเองพร้อมกับมือเรียวที่จี้เอวของเขาไปด้วย ความพยายามที่จะไม่ดิ้นนั้นสิ้นสุดลงก่อนที่คนตัวเล็กจะดิ้นไปหัวเราะไปอย่างน่าสงสาร


    “คนใจร้ายต้องโดนลงโทษแบบนี้ๆๆ” อี้ชิงว่าพร้อมกับจี้เอวคนตัวเล็กจนจุนมยอนนั้นหัวเราะคนน้ำตาไหล เหนื่อยก็เหนื่อย แต่มัน จั๊กจี้นี่น่าให้ทำไงได้


    “พะ...พอแล้ว... เหนื่อยนะ...ฮ่าๆๆ” อี้ชิงหยุดจี้เอวคนตัวเล็กก่อนจะรวบตัวจุนมยอนมากอดแน่นแล้วโยกไปมา รอยยิ้มแสนสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่


    “อยากจะอยู่แบบนี้ตลอดไปเลย” อี้ชิงเอ่ยพร้อมกับกอดคนตัวเล็กแน่นกว่าเดิม... วาเลนไทน์ปีนี้ มันมีค่ามากกว่าปีไหนๆ แต่เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง เขาทั้งคู่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี


    “มันเป็นไปไม่ได้... พวกเรามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบนะ” คนตัวเล็กว่าเสียงเศร้าก่อนจะขยับยิ้มบางเบาส่งให้คนตัวโตกว่าที่เริ่มทำตัวงอแงเหมือนเด็กๆ


    “เริ่มไม่อยากทำวิจัยแล้ว... อยากตรวจภายในจุนมยอนมากกว่า” ดวงหน้าหวานระเรื่อขึ้นทันที ก่อนที่มือเล็กจะพยายามทั้งผลักทั้งดันคนด้านล่างออกไปเพราะมือเริ่มวนเวียนอยู่บริเวณสะโพกของเขานั้นเริ่มอยู่ไม่สุขเสียแล้ว... ดวงตาคู่สวยมองค้อนก่อนจะต้องเบิกกว้างเมื่อนิ้วเรียวนั้นสอดแทรกเข้ามาภายในตัวอีกครั้ง...


    “มะ...ไม่เอาแล้วนะ...” จุนมยอนพยายามขยับตัวหนีเจ้านิ้วแสนซนที่ควานเข้ามาอย่างยากลำบาก เรียวลิ้นชื้นโลมเลียซอกคอขาวที่เต็มไปด้วยรอยสีกุหลาบ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปกระซิบข้างใบหูขาว


    “ถ้าคนไข้ดื้อเดี๋ยวหมอจับฉีดยานะครับ” ว่าจบก็งับใบหูขาวๆนั้นไปอีกครั้งหนึ่ง...


    ดูท่าทางค่ำคืนนี้ของคุณหมอศัลยแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลจะถูกคุณหมอชาวจีนนั้นตรวจภายใจจนฟ้าสางเสียละมั้ง...

     

     

    มือเล็กที่เคยผลักไสหัวไหล่หนานั้นกลับจับมันมั่นเหมือนหาที่พักพิง ร่างเล็กถูกจับให้ขยับขึ้นลงตามจังหวะที่คนด้านใต้เป็นคนชี้นำ ดวงหน้าหวานสะบัดไปมาเมื่อจางอี้ชิงนั้นเร่งจังหวะสนองแรงอารมณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง มือเรียวนั้นประคองใบหน้าของเขาเข้าไปแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม เรียวลิ้นชื่นเกี่ยวกระหวัดกันในโพรงปากอุ่น ในขณะที่จุนมยอนโถมตัวใส่อี้ชิง จนแผ่นหลังกว้างนั้นแนบลงกับเตียง...



    จูบที่แสนร้อนแรงและยาวนานที่สุด...

     

     

    “ร้อนแรงจัง... นายไม่ได้อดอยากขนาดที่อยากจะต่อจนถึงเช้าหรอกใช่ไหมที่รัก” รอยยิ้มแพรวพราวปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียวได้รูป ก่อนที่มือทั้งสองข้างของอี้ชิงจะค่อยๆ ประคองร่างเล็กลงมานอนข้างๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่ได้ต้องการสักนิด... ดวงหน้าหวานซุกลงบนอ้อมอกกว้างในขณะที่อ้อมแขนเล็กนั้นโอบกอดเขาแน่นขึ้น


    ...ไม่ได้อยากต่อ...

    แค่อยากหลับไปในอ้อมกอดของคนคนนี้ก็เท่านั้นเอง

     

    “นายจะอยู่ตรงนั้นจนกว่าฉันจะหลับไปใช่ไหม?”

     

    “อื้อ... ฉันจะอยู่กับนาย...ตลอดไป”

     
     

    เปลือกตาบางปิดลงพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม... อยากได้ยินคำๆนี้มาโดยตลอด ถึงพวกเขาจะยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างกันมากขนาดไหน พวกเขาก็อยากอยู่ด้วยกันมากขนาดนั้น...

    ...ไม่มีใครอยากอยู่ห่างกับคนที่รักหรอก หากไม่จำเป็นจริง ๆ ...

     

     

    เสียงปลุกของโทรศัพท์มือถือที่โดนเสื้อผ้าของทั้งคู่ทับ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่พึ่งจะก่อตัวขึ้น... เปลือกตาสีมุขของจุนมยอนเปิดออกแล้วสบตาคนตรงหน้า ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาดังลั่น คนตัวเล็กขยับกายเข้าซุกอ้อมอกกว้างอีกครั้งก่อนที่จะหลับตาลงแล้วเอ่ยขึ้น


    “แบบนี้ต้องโดดรึเปล่าเนี่ย”


    “โดดได้เหรอ... คุณหมอศัลยแพทย์มือหนึ่งอย่างจุนมยอนน่ะ” อี้ชิงว่าพร้อมกับกระชับอ้อมแขนกอดคนตัวเล็ก จุนมยอนพยายามจะเงยหน้าขึ้นเถียง แต่กลับโดนมือเรียวนั้นกดหัวลงกับอกเปลือยเปล่า


    “ปล่อยเลยนะ ไม่อยากให้โดดก็ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไปทำงานแล้ว” จุนมยอนว่าเสียงอู้อี้ ในขณะที่อีกคนก็ไม่ยอมปล่อยซะที แต่ท้ายที่สุดจางอี้ชิงก็ยอมปล่อยจุนมยอน เพราะกลัวคนตัวเล็กจะขาดอากาศหายใจตายเสียก่อน


    “แต่ฉันลาให้จุนมยอนเรียบร้อยแล้วนะ” อี้ชิงเอ่ยบอกคนตัวเล็กที่พยายามเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงาน มือบางชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นทันที “งานวิจัยฉันโคกับโรงพยาบาลจุนมยอนไง เลยขอให้นายมาช่วยฉัน”


    จุนมยอนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ... แต่จริงๆ วันนี้เขาต้องเข้าเวรแค่ตอนบ่ายอยู่แล้วจะนอนต่อก็ได้ หากแต่สายตาของอี้ชิงนั่นแหละทำให้เขาไม่กล้าจะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่านี้ต่อไป


    ...เดี๋ยวจางอี้ชิงผู้คิดถึงเขาทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้จัดยกสามกันพอดี...

     

    “จุนมยอน... ถ้าฉันชวนนายไปอยู่ด้วยกัน... นายจะ...เอ่อ....โอเคไหม?” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น พร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่เต็มหน่วย... ยังไงละ เราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง?


    “หมายความว่าไง?”


    “คะ...คือ ฉันว่าจะทำเรื่องย้ายมาที่โรงพยาบาลของจุนมยอนน่ะ โรงพยาบาลในเครือกันไม่ใช่รึไง ก็เลยว่าจะลองเดินเรื่องดู... หลังจากงานวิจัยนี่ผ่านไปด้วยดี ก็คงมีโอกาส... เอ่อ...” เขาจ้องมองใบหน้าของจางอี้ชิงนิ่ง จนคนที่กำลังพูดอยู่นั้นเงียบตาม... ถามว่าดีใจไหม มันก็ต้องดีใจอยู่แล้ว...



    ...แต่มันจะดีเหรอ...

    แบบนั้นมันจะดีกับตัวอี้ชิงเหรอ...

     

    “มัน...โอเคสำหรับนายเหรอ...”


    “แน่นอนสิ... พวกเราห่างกันมามากเกินไปแล้วไม่ใช่เหรอ...” รอยยิ้มบางเบาถูกจุดขึ้นบนดวงหน้าหวาน ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะขยับเข้าไปนอนซุกอ้อมอกกว้างนั้นอีกครั้งแล้วหลับตาลง

     
     

    “อื้อ...นานเกินไปแล้ว... แต่ต่อไปนี้ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วใช่ไหมอี้ชิง?” อ้อมแขนแกร่งกระชับโอบกอดร่างเล็กนี้แน่น อี้ชิงปิดเปลือกตาลง แล้วกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มนั้นแล้วเอ่ยตอบ

     

    “...แน่นอน... ฉันจะอยู่กับจุนมยอนตลอดไป...”

     

     
     

    “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น... พวกเราก็จะอยู่ด้วยกัน”

     

     

     

    ตี๊ด.....ตี๊ด....ตี๊ด....

     

    เสียงเตือนระดับชีพจรดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่กำลังนั่งกุมมือเล็กของพี่ชายได้ใจชื่นขึ้นมาหน่อย... ยามเมื่อเงยหน้ามองดวงหน้าหวานของคนที่เปรียบเสมือนทุกสิ่งภายในบ้านนั้น โด คยองซูก็ต้องอดกลั้นอีกครั้ง...

    เรือนร่างเล็กที่มีสายระโยงรยางค์ต่อเข้ากับเครื่องมือทางการแพทย์หลากหลายชนิดนั้นทำให้หัวใจของเขาเกือบหยุดเต้น...

    ใครจะเชื่อว่าคนเป็นหมอที่เพิ่งเดินออกจากโรงพยาบาลในวันนั้นต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลที่ตัวเองทำงานอยู่ ทั้งๆที่เพิ่งจะออกไปได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ...

    คิมจุนมยอนประสบอุบัติเหตุ ถูกรถเก๋งราคาหลายล้านที่ถูกขโมยมานั้นชน อาการสาหัสชนิดที่เรียกได้ว่า การที่ยังนอนอยู่ในห้องพักฟื้นนี้ได้นั้น แทบจะเป็นปาฏิหาริย์... หากแต่ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงเขาก็ยังรอวันที่พี่ชายของเขาจะฟื้นขึ้นมายิ้มให้เขาอีกครั้ง

     

    ดวงตาคู่กลมที่เหม่อมองใบหน้าของผู้เป็นพี่อยู่นั้นต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ... เมื่อกี้เขาเห็น... รอยยิ้มอันงดงามของพี่ชาย ที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหบออกมาจากหางตา...

     

    ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปภายในพริบตาเดียว รวมถึงพี่ชายที่เขารักด้วย...

     

    ตี๊ด...............................

     

    พี่จุนมยอน... จากไปแล้ว... จากไปในที่ที่เขาไม่มีทางได้พบอีกครั้ง


    เสียงผลักประตูเปิดเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับทีมแพทย์และคนตัวสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้องก็รวบตัวเขาไปกอดทันที... มือหนานั้นรั้งดวงหน้าของเขาให้ซบลงกับหัวไหล่กว้างก่อนที่จะลูบหัวเขาเบาๆอย่างปลอบประโลม...


    “เขามารับพี่จุนมยอนไปแล้ว...” คยองซูเอ่ยขึ้นทั้งๆที่นัยน์ตาคู่นั้นเอ่อคลอไปด้วยน้ำสีใส ที่พร้อมจะไหลทุกเมื่อ คนตัวสูงส่ายหน้าพร้อมกับพยายามพาตัวเขาออกไป หากแต่คนตัวเล็กก็ขืนกายไว้


    “บอกพวกเขาชานยอล... บอกพวกเขาว่าให้ปล่อยพี่จุนมยอนไป” คนตัวเล็กว่าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม... เพราะพี่จุนมยอนควรจะได้พักผ่อนเสียที...


    และเขารู้... ว่าทำไมพี่จุนมยอนถึงอยู่มาได้ถึงวันนี้...

    ...วันที่ 14 กุมภาพันธ์...

     

    เพราะคำสัญญาของทั้งคู่ที่จะมาเจอกันในวันนี้...

     

    หากแต่มีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่ได้พบกัน...

     

     

    ก่อนหน้าที่พี่จุนมยอนจะถูกรถชน... เครื่องบินที่คนคนนั้น... เครื่องบินที่จางอี้ชิงโดยสารมาเพื่อมาเซอร์ไพรส์คนตัวเล็กนี้ก็ประสบอุบัติเหตุตกลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ... และไร้ผู้รอดชีวิต...


    เขาไม่รู้ว่าพี่จุนมยอนรู้รึยังในตอนนั้นว่า คนที่รักที่สุดตายแล้ว หากแต่เมื่อพี่ชายเขาโชคร้ายตามไป เขาก็เริ่มมั่นใจแล้วว่า ไม่ควรรั้งพี่จุนมยอนอีกต่อไป...

     

    “พี่..พี่อี้ชิงมารับพี่จุนมยอนไปแล้วชานยอล... เขาได้อยู่ด้วยกันแล้ว...”

     

     

    ...ขอบคุณนะคยองซู...

    ...ขอโทษ...

     

    เสียงของพี่ชายที่เขาจำได้ดีนั้นดังขึ้นในหัว ก่อนที่หยาดน้ำตาจะไหลลงอาบแก้มมากกว่าเดิม เมื่อมองไปยังข้างเตียง... ร่างโปร่งใสของพี่ชายกับคนรักนั้นกำลังยืนอยู่เคียงข้างกันพร้อมกับส่งยิ้มมาให้เขา...


    ถึงจะอยากร้องไห้ขนาดไหน... แต่โด คยองซูก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ แล้วส่งยิ้มที่กว้างที่สุดให้กับพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย...

     

     

    ...ลาก่อนนะครับ...

    พี่จุนมยอน...

    ...ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ...

     

     

     


    THE END



    -----------------------------------------------------------------------------20% ตอนเต็มๆมาเร็วๆนี้แน่ๆค่า :))) 

    จบแล้วจ้าาา จบแล้วน้าาา หวังว่าจะชอบกัน โบว์ว่ามันค่อนข้างครบรสมากนะ ส่วนตัวคือชอบมาก *โดนคนอ่านตบ* สำหรับแทกเรื่องนี้คือ #ficตลอดไป นะคะ เพราะจางอี้ชิงจะอยู่กับคิมจุนมยอนตลอดไปปปป อัพแบบดึกมากจริงๆ แต่อยากเซอร์ไพรส์คนที่ไปนอนแล้วแบบตื่นมาตกใจฟิคอัพอะไรทำนองเนี้ยยยย ;3; 
    ติด - ชม ได้ตามสบายนะคะะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ จริงๆมันต้องอัพตอนวาเลนไทน์ แต่ตอนนั้นงานรุมมรสุมเข้า ไม่มีเวลาเขียนเลยจริง ขอโทษน้าา 

    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ *กอดเรียงคนน 



    G Minor!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×