ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #5 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 5 [อัปครบ]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.29K
      2.26K
      25 ต.ค. 61


    -E P I S O D E 05-

    Aey Describe

    “กิ่งบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”

    น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดระคนเกรงใจทำให้ผมที่จดจ่อกับเส้นทางบนท้องถนนต้องชำเลืองสายตาไปยังยัยตัวเล็กซึ่งนั่งอยู่บนเบาะข้างๆ

    และใช่ เธอคือกิ่ง...น้องสาวของเกล

    ผมไม่ขออธิบายอะไรให้มากความ เอาเป็นว่าผมแวะไปบ้านเพื่อนแล้วขากลับบังเอิญเจอกิ่งแถวๆ ร้านชาไข่มุกใกล้ๆ มอพอดี บวกกับความที่ผมยังไม่ได้ตอบแทนเรื่องที่เธอช่วยผมในวันนั้น จึงถือโอกาสขับรถไปส่งเธอที่บ้านเป็นการตอบแทน

    แล้วก็อย่างที่เห็น เธอเอาแต่บอกว่าไม่เป็นไรๆๆๆ กลับเองได้ๆๆ

    ถึงปากไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าเกรงใจ แต่แวบหนึ่งที่เห็นสายตาเธอ ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่

    “พี่ก็บอกเราแล้วว่าไม่เป็นไร” ผมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เคลื่อนสายตากลับมาเหมือนเดิม

    จากมหาวิทยาลัยไปบ้านเธอนับว่าค่อนข้างไกล ผมว่าถ้าใช้รถส่วนตัวน่าจะถึงเร็วกว่านั่งรถโดยสารประจำทาง

    “กว่าพี่จะถึงบ้านกิ่ง แล้วไหนจะขับจากบ้านกิ่งไปบ้านตัวเอง ดึกดื่นกันพอดี” กิ่งยังคงหาเหตุผลมารบเร้าให้ผมปล่อยเธอไป 

    ซึ่งหากผมไม่รู้ว่าที่กิ่งทำไปเพียงเพราะไม่อยากรบกวนมันก็เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วเข้าท่าอยู่เหมือนกัน

    “พี่กลับบ้านดึกประจำ”

    “กลับหัววันสักวันพ่อคงจะดีใจค่ะ...” น้ำเสียงที่ลดระดับความหนักแน่นทำให้ผมแอบมองเธออีกครั้ง ตอนนั้นถึงได้เห็นว่าเธอกำลังก้มหน้ามองตักตัวเอง สองมือเล็กๆ ขยุ้มชายกระโปรงพีทราวกับกำลังถูกความคิดบางชนิดโจมตี

    คำว่า พ่อหลุดออกมาจากปากเธอ

    เดาได้ไม่ยากเลยว่าต้นสายปลายเหตุของท่าทีที่เกิดขึ้นมาจากพ่อแท้ๆ ของเธอ

    แน่นอนว่าตอนนี้ท่านก็มีศักดิ์เป็นพ่อของผมด้วยเหมือนกัน

    “พี่ไม่ได้ไปเถลไถล แต่ไปส่งกิ่งไง” ผมชะลอรถและจดเทียบฟุตบาธในที่สุด เมื่อกิ่งยังคงก้มหน้าก้มตาไม่เปลี่ยนอากัปกิริยา ผมจึงยื่นมือไปวางไว้เหนือศีรษะเธอ ออกแรงเล็กน้อยเป็นการลูบไล้ “คิดไรอยู่”

    ปกติกิ่งไม่ใช่คนคิดมาก เป็นเด็กสดใส เรียกได้ว่ามองโลกในแง่ดีจนแทบไม่เคยอีกด้านของเธอ

    ครืด...

    กิ่งยอมเงยหน้าขึ้น ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกันที่โทรศัพท์มือถือที่เพิ่งซื้อใหม่ได้ไม่นานสั่นเตือนขึ้นมาอย่างรู้จังหวะ ผมล้วงขึ้นมาดูแบบขอไปที จนพบว่าหน้าจอปรากฏชื่อของใครคนหนึ่ง

    ไอ้เวรขุน

    เพื่อนเกล

    ผมมองหน้าจอและปล่อยให้มันสั่นอยู่แบบนั้น จนกระทั่งทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหว

    ทว่าไม่นานหลังจากนั้น แชตไลน์ก็เด้งขึ้นมา เป็นไอ้ขุนอีกแล้ว...

    ผมเห็นข้อความรางๆ บนหน้าจอ ประมาณว่า ‘ไอ้เหี้ย เกิดเรื่องแล้ว

    แต่ผมไม่ยี่หระ ตัดสินใจปิดเครื่องแล้วโยนมันไว้หลังเบาะ

    “ทำไมพี่ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบไลน์เพื่อนอ่ะ?” กิ่งทำหน้าสงสัย

    ผมตอบเธอไปว่า “ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” 

    End Describe


    Gale Describe

    ฉันรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมากลางดึก...

    สิ่งแรกที่ฉันเห็นหลังม่านตาขยายได้อย่างเต็มที่คือห้องกว้างๆ กับเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น บรรยากาศหนาวเหน็บอันเป็นผลพวงมาจากแอร์ที่เปิดไว้ทำให้ฉันรู้สึกสั่นในคราวแรก ก่อนกลิ่นยาฉุนจัดจะลอยเตะจมูกฉันเป็นอย่างที่สอง

    ฉันค่อยๆ พยุงร่างกายอันบอบช้ำของตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า กระทั่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจึงนั่งตั้งสติเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งใช้เวลาไปครู่ใหญ่...คำตอบทั้งหมดก็สาดโครมใส่หัวฉันอย่างดุดัน

    มีคนตัดสายเบรก ฉันจำได้ว่าตัวเองควบคุมรถไม่ได้ ตอนนั้นมีเด็กนักเรียน มีนักศึกษา มีคนแก่ ทางเดียวที่จะไม่ทำให้พวกเขาได้รับอันตรายคือต้องหักหลบ

    ฉันรู้อยู่แก่ใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่...อย่างน้อยฉันก็ยังไม่ตาย

    ยังมีลมหายใจอยู่

    แล้วก็...มีแผลเต็มตัวจนอาจจะดูไม่ได้

    แกรก...

    เสียงบางอย่างจากฝั่งซ้ายมือกระชากฉันออกจากความคิดทั้งหมดทั้งมวล เมื่อหันไปมองยังต้นตอของเสียงก็พบว่าตรงนั้นคือห้องน้ำ ประตูแง้มไว้เล็กน้อยจนทำให้เห็นแสงไฟนวลๆ ลอดออกมาผ่านช่องว่าง

    ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย คลื่นความสงสัยแทรกซึมเข้ามาในหัวที่กำลังปวดตุบ ครั้นเมื่อยกมือขึ้นสัมผัสบริเวณขมับก็พบว่ามีผ้าพันอยู่ ไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่าศีรษะฉันได้รับการกระทบกระเทือน

    โชคดีที่ไม่ความจำเสื่อมเหมือนในละครน้ำเน่าที่เคยดู...

    โชคดีจริงๆ

    สวบ

    เสียงการเคลื่อนไหวจากใครคนหนึ่งในห้องน้ำทำให้ฉันละมือจากศีรษะ 

    แล้วไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันเอนตัวลงและหลับตา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กระทั่งสัมผัสได้ถึงไอร้อนคุ้นเคย...

    แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นของใคร

    “...” ไม่มีเสียงพูด มีเพียงสัมผัสชื้นๆ จากผ้าขนหนูที่เช็ดไปตามกรอบหน้า แขนและขาของฉัน

    ฉันยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม กระทั่งการเช็ดตัวที่ไม่มีการล่วงล้ำจนเป็นอันตรายจบลง 

    ฉันคิดว่าตัวเองควรจะลืมตาขึ้นแล้วมองให้ชัดว่าการกระทำนี้เป็นของใคร ทว่า...สัมผัสนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากกรุ่นร้อนที่กดเบาๆ เหนือหน้าผากทำให้ต้องแกล้งหลับต่อไป

    ฉันมั่นใจว่าเป็นผู้ชาย

    มั่นใจว่าตัวเองโดนจูบหน้าผากด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับกำลังเยียวยา

    แกรก

    หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงปิดประตูก็ทำให้ฉันลืมตาขึ้นจนพบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่เพียงลำพังในห้องพักผู้ป่วย ส่วนผู้ชายคนเมื่อกี้ออกไปแล้ว

    ผู้ชายคนนั้น...ใครกัน?

    ฉันตั้งคำถามแล้วเผลอยกมือแตะหน้าผากที่ยังคงทิ้งไอร้อนเอาไว้อย่างเจือจาง...

    “ช่างเถอะ” เสียเวลาไปกับการนั่งวิเคราะห์ราวๆ ห้านาทีฉันก็ตัดสินใจกระชากเรื่องไร้สาระออกจากหัว ส่วนหนึ่งคงเพราะรู้สึกหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย เลยคิดว่าควรเข้าห้องน้ำมากกว่ามาเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น

    ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าจะพยุงตัวเองขึ้นจากเตียง อันที่จริงความเจ็บในตอนนี้ไม่ได้มากจนถึงขั้นทนไม่ไหว ดังนั้นการขยับเขยื้อนและก้าวเท้าเดินไปพร้อมสายน้ำเกลือจึงไม่ได้ทุลักทุเลเท่าที่จินตนาการไว้นัก

    หลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ ฉันจัดการปลดชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลออกเพราะอยากรู้ว่ามีบาดแผลอยู่จุดไหนของร่างกายบ้าง ซึ่งทันทีที่เนื้อตัวเปล่าเปลือย ฉันก็ใช้กระจกในการสำรวจสารรูปตัวเอง...

    มีผ้าสีขาวพันรอบศีรษะฉัน ส่วนใบหน้า...มีรอยถลอกยิบย่อยเต็มไปหมดจนดูแทบไม่ได้ ทว่านั่นยังถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรอยช้ำและบาดแผลอีกมากมายตามจุดต่างๆ ของร่างกาย

    แย่กว่าที่คิด

    ฉันมองสภาพตัวเองและได้แต่ถอนหายใจ กว่ารอยแผลเป็นจะหายคงใช้เวลานานหน่อย แต่บางจุดก็อาจจะอยู่ติดต่อฉันไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะบาดแผลเหนือหน้าอกด้านซ้าย

    เกิดอุบัติเหตุอีท่าไหนถึงได้มีแผลมากมายขนาดนี้นะอีโง่

    ฉันถามตัวเอง แต่สุดท้าย...สิ่งที่ทำได้ก็หนีไม่พ้นการถอนหายใจออกมาเพราะรู้ดีว่าไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว

    แกรก...

    ทันใดนั้น เสียงปริศนาที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังทำให้ฉันซึ่งกำลังจะหยิบชุดผู้ป่วยมาสวมกลับให้เข้าที่ต้องหันขวับกลับไปมอง 

    และแทบจะทันทีที่สายตาประสานเข้ากับนัยน์ตาคู่หนึ่ง

    ก่อนมันจะค่อยๆ เคลื่อนลงต่ำ...มองดูร่างกายเปลือยเปล่าของฉันที่ตอนนี้มีแต่บาดแผล

    เขาคนนั้นคือเอย์

    “...” ความเงียบคือสิ่งเดียวที่ฉันมอบให้เขา ไม่ได้ตกใจที่ปล่อยให้เอย์เห็นตัวเองในสภาพนี้ และการเจอเขาก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ด้วย

    หากแต่ลึกๆ ก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าเจ้าของสัมผัสเมื่อครู่นี้เป็นเขา

    ใช่ไม่ใช่?

    ฉันว่า...ไม่น่าใช่

    สวบ...

    เอย์ที่ไม่พูดอะไรเหมือนกันก้าวเท้าเข้ามาในห้องน้ำ ทำให้ฉันที่หยิบชุดผู้ป่วยค้างไว้เริ่มได้สติ เพียงไม่กี่วินาทีร่างสูงก็หยุดอยู่ตรงหน้า เขาก้มหน้าลงมาเล็กน้อยเพื่อมองดูฉันที่ตัวเตี้ยกว่า

    ปกติฉันเตี้ยกว่าเขาไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่สภาพตอนนี้ไม่เอื้อต่อการยืดตัวตรง ทำให้การเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ดูเหมือนพี่ชายตัวโตกับน้องสาวตัวเล็ก

    หึ เป็นภาพที่น่าสมเพชจริงๆ ว่าไหม?

    “จะยืนแก้ผ้าอีกนานไหม” วินาทีที่ริมฝีปากเอย์มีการเคลื่อนไหว ยอมรับตรงๆ ว่าฉันเผลอสำรวจเขาอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความพิศวาส ฉันแค่กำลังหาหลักฐานมายืนยันความจริงเท่านั้น

    สัมผัสเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มีไรหนวดอ่อนๆ ทิ่มผิวฉัน มีไรผมเสียดสีผิวฉัน

    แต่เอย์...ใบหน้าเขาเกลี้ยงเกลา ผมที่เคยยาวเกือบถึงบ่าถูกตัดเป็นรองทรง ไม่มีเส้นผมปรกหน้าปรกตา

    ดีแล้วที่ไม่ใช่ไอ้เวรนี่

    ถ้างั้น ใครล่ะ? 

    พึ่บ

    “อย่าสาระแน” ตอนแรกว่าจะไม่โต้ตอบ แต่เมื่อคนหน้าด้านคว้าชุดผู้ป่วยไปจากมือฉัน อีกทั้งยังทำท่าจะสวมให้...ฉันที่ขยะแขยงเขายิ่งกว่าสิ่งใดจึงกระชากมันกลับคืนมา

    เอย์มองหน้าฉันอย่างไม่ไหวติง สายตาของเขาคล้ายกับจะว่างเปล่าแต่ก็สะใจอยู่กรายๆ

    “พ่อกับแม่กำลังมา” หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดเอย์ก็พูดถึงใครสักคน...ฉันได้ยินว่า 'พ่อกับแม่กำลังมา'  แต่ก็แค่ได้ยิน ไม่รู้สึกพิเศษอะไร 

    พ่อ...คนที่ด่าทอฉันอย่างรุนเเรง คนที่ทำร้ายฉันจนเลือดตกยางออก คนที่ทำให้ฉันเจ็บปวดซ้ำเเล้วซ้ำเล่าน่ะเหรอ?

    เเม่...อีเมียใหม่สารเลวนั่นน่ะเหรอ?

    สายธาร ไปตายซะ 

    “...” ฉันไม่ตอบแล้วส่งสายตาเป็นเชิงให้เขารีบไสหัวออกไปสักที ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้อิดออดหรือทำอะไรให้รู้สึกหงุดหงิดเพิ่ม

    ทว่าเมื่อแผ่นหลังที่ทั้งหนาและกว้างค่อยๆ ไกลจากรัศมี สายตาดันแอบเห็นพวงกุญแจตุ๊กตาหมีสีชมพูโผล่แพลมออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังเขา

    ถ้าคิดแบบเป็นกลาง ตุ๊กตาลักษณะนั้นมีขายตามตลาดทั่วไป ราคาตัวหนึ่งไม่แพงมาก

    แต่...มันจะไม่บังเอิญเกินไปเหรอที่เขามีมัน

    มีมันเหมือนที่ยัยกิ่งมี

    น้องฉันชอบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตุ๊กตาหมี แต่พวงกุญแจหมีตัวนั้นเหมือนตัวที่ฉันซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดไม่มีผิด

    ฉันมองจนร่างสูงลับสายตา ตอนนั้นเหมือนมีเปลวไฟขุมหนึ่งลุกโชนอยู่ในอกฉัน เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์เลยด้วยซ้ำ

    บัดซบ...

    ฉันข่มความคุกรุ่นที่ก่อตัวอยู่ในอกแล้วสวมชุดผู้ป่วยอย่างใจเย็น เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าพ่อกับสายธารมาถึงพอดี หน้าตาพ่อดูเศร้าหมองมากในวูบแรก แต่เมื่อเห็นฉันก้าวเท้าออกไปท่านก็พุ่งเข้ามากอด กอดแน่นจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่มาถึงตัวฉัน

    ฉันปล่อยให้พ่อกอด ในขณะที่ตัวเองยืนแน่นิ่งไม่ตอบสนองแม้แต่การยื่นมือไปสัมผัสท่าน

    สองสิ่งสุดท้ายที่ฝังอยู่ในหัวก่อนสติจะดับวูบคือเรื่องรถที่เบรกไม่ได้กับเรื่องพ่อ...

    ท่านตบฉันจนหน้าหัน แถมเลือดยังกบปาก

    “พ่อนึกว่าเราจะเป็นอะไรแล้วซะอีก” ยามที่พ่อกระซิบและใช้ฝ่ามือหนาลูบไล้ศีรษะ ฉันรับรู้ได้ถึงความโล่งอกโล่งใจที่มีอย่างท้วมท้น

    อยากจะถามว่า เหรอ...?กับท่านจริงๆ

    ฉันบิดยิ้มภายใต้ใบหน้าเฉยชาพร้อมกับมองเลยหัวไหล่พ่อไป ตรงนั้นมีสายธารที่กำลังยืนมองเราสองคน มันเอากระเป๋าเป้มาใบหนึ่ง คาดว่าเป็นของจำเป็นระหว่างมาเฝ้าฉันที่โรงพยาบาล

    “เกลโอเค” ฉันยอมพูดออกมา นั่นทำให้พ่อยอมผละออก

    “หมอบอกว่าต้องนอนพักที่นี่อีกหลายวัน พ่อเลยให้สายธารมาดูแลเรา”

    “ไม่จำเป็นค่ะ”

    “อย่าดื้อได้ไหม เราเจ็บอยู่นะ” พ่อขมวดคิ้วกับท่าทีแข็งกระด้างของฉัน “อย่างน้อยคนในครอบครัวก็ต้องคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิด” อยากรู้จริงๆ ว่าท่านสะกดคำว่า ครอบครัวถูกด้วยเหรอ?

    “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าเกลไม่เต็มใจ เดี๋ยวแม่ให้น้องดูแลก็ได้” สายธารทำตัวเป็นนางเอกอีกเเล้ว

    “น้อง?” ฉันแค่นหัวเราะ เหลือบมองเอย์ที่ยืนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าเดายาก “ไม่เอา”

    “...”

    “ทั้งแม่ทั้งลูก จะไปไหนก็ไป”  

    “เกล!” พ่อที่ได้ยินและมองเห็นสายตาของฉันอย่างใกล้ชิดเริ่มมีน้ำโห

    ที่โมโห ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะฉันดื้อด้านไม่สนใจใคร แต่ประเด็นหลักคงหนีไม่พ้นการใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเมียแสนรักของตัวเอง

    ถ้าเป็นเรื่องสายธาร แตะนิดเดียวก็เลือดขึ้นหน้าแล้ว

    หวงขนาดนี้...อยากรู้จังว่าถ้าพ่อหมดความอาลัยอาวรณ์ต่อมัน ไม่เห็นค่าในตัวมัน ภาพในตอนนั้นจะเหมือนอย่างที่ฉันจินตนาการไว้ไหม

    “เกลอยากอยู่คนเดียว” ฉันไม่สนเสียงกัมปนาทของท่านที่ต่อให้ไม่รุนแรงเท่าวันนั้น แต่ฉันเป็นลูกของพ่อ ย่อมรู้ดีว่าการที่ท่านใช้น้ำเสียงแบบนี้มันหมายถึงอะไร “พ่อกลับบ้านไปเถอะ”

    ว่าแล้วฉันก็เดินกลับไปที่เตียง ไม่สนใจอีกสองชีวิตที่ยืนหัวโด่เป็นส่วนเกินอยู่ในห้องนี้

    ปฏิกิริยาของฉันส่งผลให้ท่านได้แต่เม้มริมฝีปากราวกับต้องการข่มอารมณ์โกรธ แต่เพราะฉันยังเจ็บอยู่มั้ง ท่านจึงไม่อยากดุอะไรมาก และอาจเป็นอีกเหตุผลที่ท่านเดินไปหาสายธารเพื่อเจรจาอะไรสักอย่าง

    “เอาแบบนี้” จนสองนาทีผ่านพ้นไป พ่อก็หันมาทางฉันราวกับได้ข้อสรุปเรื่องนี้แล้ว “พ่อจะให้น้องอยู่ดูแลเรา อย่างน้อยเราก็เข้ากับน้องได้ดีกว่าสายธาร”

    เข้ากันได้ดี?

    “เกลบอกแล้วว่าไม่เอาสักอย่าง” ฉันเพิ่มความเข้มข้นของเสียง แต่คราวนี้พ่อไม่ยี่หระต่อความดื้อรั้น อีกทั้งยังจูงมือสายธารออกจากห้องไป ทิ้งฉันไว้กับไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่ยังคงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

    “ถือว่าพ่อขอ” ห้องตกอยู่ในความเงียบได้ไม่นานเอย์ก็ทำลายมันด้วยคำพูดดังกล่าว

    ฉันเหลือบมองเอย์ แค่ได้ยินเสียงของเขาก็หงุดหงิดแล้ว เมื่อไหร่จะหายๆ ไปจากชีวิตสักที

    “นึกอยากจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ปกครองอะไรตอนนี้” ดูแค่นี้ก็รู้ว่าเขาอยากทำให้ฉันอกแตกตายมากกว่า “จะไปไหนก็ไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”

    “อยู่คนเดียว?” เอย์ทวนถามเหมือนไม่แน่ใจ “หรืออยู่รอให้ไอ้ขุนมาดูแล”

    “...” ฉันหันขวับไปมองเขาทันทีเมื่อได้ยินชื่อเพื่อนสนิทตัวเอง

    “เพื่อนหรือผัวเหรอถามจริง” คำถามของเอย์ต่ำตมเหมือนสมองไม่มีผิด เขาแทบไม่คัดกรองอะไรเวลาพูด สักแต่จะพ่นๆๆ อะไรไร้สาระเพื่อหวังทำให้ฉันหงุดหงิด

    ทั้งความคิด ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ อุบาทว์อย่างไร้ที่ติ

    “ถ้าจะมาหาเรื่องก็ไปไกลๆ” ฉันไล่พร้อมทั้งพยักพเยิดหน้าไปยังทางออก “นายไม่ได้มีจุดประสงค์จะมาดูแลฉันแต่แรกอยู่แล้ว อย่าเสียเวลา” 

    “ใช่” เอย์ตอบ แต่ฉันไม่สนใจเพราะคิดว่าตัวเองควรจะนอนพักผ่อนให้มากๆ ไม่อยากนอนในห้องนี้แล้ว แต่... “เอย์ไม่ได้อยากมาดูแลพี่เกล”

    “...”

    “แค่แวะมาดูให้เห็นกับตาว่าตายหรือยัง”

    “งั้นเสียใจด้วยที่ฉันยังไม่ตาย” อ่อนหัด คำพูดแค่นั้น...อย่าหวังว่าจะทำอะไรฉันได้

    “...” เอย์ไม่ได้พูดอะไรอีก และฉันเลิกสนใจเขาไปนานแล้วจึงไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเจ้าตัวทำสีหน้าแบบไหน กระทั่งเขาเดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วทิ้งตัวนั่งบนโซฟา

    ไร้บทสนทนาระหว่างเราร่วมสองชั่วโมงในขณะที่ฉันพยายามข่มตาหลับเนื่องจากอาการอ่อนเพลีย 

    ทั้งๆ ที่ล้าขนาดนี้...แต่ข่มตาเเล้วข่มตาอีกก็หลับไม่ลงสักที คงเพราะมีหลายเรื่องที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวล่ะมั้ง การพักผ่อนในครั้งนี้จึงทำได้ยากลำบาก

    ทั้งเรื่องคนตัดสายเบรก เรื่องยัยกิ่ง และอีกหลายต่อหลายเรื่องซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโจมตีความคิดฉัน

    ฉันรอให้เวลาผ่านไปอีกหน่อย ฟังเสียงเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดความเหนื่อยล้าทางกายและสมองก็ออกฤทธิ์ รู้ตัวอีกทีฉันปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้น

    หลับ...ทั้งๆ รู้อยู่แก่ใจว่าในห้องนี้ยังมีผู้ชายอีกคน

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เมื่อฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในสถานที่แห่งเดิม ก็พบว่าผ้าม่านฝั่งขวามือมีแสงอ่อนๆ สาดเข้ามา เป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้คือเช้าของอีกวันแล้ว

    “ไอ้ขี้เซา” เสียงทักทายที่มีทั้งความกวนประสาทและน่าตบให้ฟันร่วงดึงฉันจากอาการงัวเงียได้สำเร็จ เมื่อเปลือกตาเปิดกว้างและหันไปมองเจ้าของคำพูดดังกล่าวก็พบว่าเป็นขุนนั่นเอง

    หมอนั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งซ้ายโดยที่มือข้างเดียวกันกำลังบีบฝ่ามือของฉันไว้

    แน่น แต่ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด

    “นายมาตั้งแต่ตอนไหน” ฉันถามพร้อมทั้งค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เอาจริงๆ มีเรื่องที่ยังสงสัยอยู่เยอะเหมือนกัน จะถามพ่อหรือเอย์ก็ได้นะ แต่อย่างที่รู้...ฉันไม่อยากสนทนากับคนที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่

    “นานแล้ว” ขุนตอบโดยที่มือของฉันยังคงถูกกุมไว้

    จะจับเพื่อ? เหงื่อออกหมดแล้ว

    “นานนี่กี่ชั่วโมง”

    “ถ้าหมายถึงวันนี้ก็ชั่วโมงก่อน” คำบอกกล่าวของขุนทำให้เรียวคิ้วฉันขมวดมุ่น

    “วันนี้? นายพูดเหมือนฉันนอนที่นี่หลายวันแล้ว” อย่าบอกนะว่า...

    “เออ สามวันแล้ว” ขุนให้คำตอบ “ไม่มีใครบอกเลยเหรอ”

    ฉันไม่ถามใคร และไม่มีใครบอกฉัน เพิ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองหมดสติไปหลายวัน หมายความว่าเมื่อคืนเป็นการตื่นขึ้นมาครั้งแรกตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุสินะ

    ก่อนหน้านี้ขุนคงมาดูแลฉัน นี่คงเป็นเหตุผลที่เมื่อคืนเอย์พูดจาหมาๆ ใส่

    แล้วพ่อ...ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ท่านมาหาฉันหรือเปล่า?

    “...” ฉันเงียบไปอึดใจหนึ่ง

    “สงสัยอะไรอีกไหม?” ขุนถามต่อ เป็นเวลาเดียวกันที่ฉันเคลื่อนสายตาไปมองเขา

    “เมื่อคืนนายก็มาหาฉัน?”

    “ถ้าหมายถึงเมื่อวานน่ะใช่ แต่หลังหกโมงเย็นฉันไม่ได้อยู่ดูแลเพราะไอ้เอย์บอกว่ามันจะทำเอง”

    “...” งั้นคนที่จูบหน้าผากฉันมันเป็นใครล่ะ

    มั่นใจว่าไม่ใช่เอย์แน่ๆ

    “ยังเจ็บอยู่เหรอ” ไม่รู้ว่าฉันแสดงอาการอะไรให้เขาเห็น ขุนที่มองฉันอยู่ตลอดเวลาจึงตั้งคำถามในลักษณะนั้น “เจ็บตรงไหน?”

    “เปล่าเจ็บ” ฉันปฏิเสธ

    “อยากเข้าห้องน้ำไหม เดี๋ยวอุ้มเอง” ทำไมขุนชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กทุกที... "เต็มใจทำ"

    นายก็เห็นว่าฉันไม่ได้พิการ” อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วให้ขุนที่ใส่ใจฉันมากจนเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งคือฉันไม่อยากรบกวนเขาจนเสียนิสัย

    หลายครั้ง หรือแทบทุกครั้งเวลาฉันประสบปัญหาหรือเจ็บปวด ขุนมักยื่นมือมาตรงหน้าเสมอ เขาอยู่ข้างๆ ฉัน ดูแลฉัน แน่นอนว่าบางทีฉันก็รู้สึกเกรงใจ

    คนเราจะพึ่งพาคนอื่นไปตลอดไม่ได้หรอก

    “ตื่นขึ้นมาก็ดุเลย” ขุนทำปากยื่นปากยาวเหมือนเด็กถูกแม่ด่า แต่ก็เป็นภาพที่ดูแล้วไม่ได้น่ารักเท่าไหร่ อย่างที่เคยบอกไปว่าหมอนี่มีภาพลักษณ์แมนๆ เวลาทำอะไรขัดแย้งกับบุคลิกเลยค่อนข้างประหลาด

    “เออ” 

    ขานจบฉันก็ค่อยๆ พยุงตัวเองลงจากเตียง การเคลื่อนไหวในเช้านี้เมื่อเทียบกับเมื่อคืนแล้วรู้สึกว่าโอเคกว่าเดิมมากพอสมควร แต่ก็อย่างว่า...อาการตึงๆ จากบาดแผลยังคงเป็นอุปสรรคในการเดินอยู่ดี

    ฉันจัดการทำธุระส่วนตัว ล้างมือ ล้างหน้า ใช้เวลาไปราวๆ สิบนาทีทุกอย่างก็เสร็จสิ้น

    ทว่าจังหวะที่ปลายนิ้วสัมผัสโดนลูกบิดประตูห้องน้ำเพียงเล็กน้อย เสียงบทสนทนาจากด้านนอกก็ออกคำสั่งให้ฉันชักมือกลับมาก่อน หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีฉันจึงตัดสินใจยืนนิ่งอยู่หลังบานประตูในขณะที่ประสาทสัมผัสทางการได้ยินยังคงทำงาน

    “จารย์ยกคลาส” และฉันมั่นใจ...ว่าเจ้าของประโยคนั้นเป็นของเอย์

    “กลับไปพักก็ได้ กูดูแลเกลเอง” ส่วนนี่เป็นคำพูดของขุน เขากับเอย์ต้องรู้จักกันอยู่แล้ว

    เอย์รู้จักขุนในฐานะเพื่อนที่ฉันไว้ใจ

    ขุนรู้จักเอย์ในฐานะน้องชายต่างสายเลือดของฉัน

    “มึงน่ะกลับไป” คิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงที่เอย์ใช้เริ่มมีความเข้มข้นกว่าตอนแรก ฟังจากตรงนี้ยังรับรู้ได้ว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์ “พี่กู กูดูแลเองได้”

    ดูแลเหรอ?

    มีถ้วยรางวัลคนเสแสร้งแห่งปีไหม? ฉันจะเอาไปฟาดหน้าเขา

    “ดูแลหรืออยู่ทำตัวแย่ๆ ให้เกลเจ็บปวด?” ขุนยังคงโทนเสียงไว้เหมือนเดิม แต่รูปประโยคเปลี่ยนไปแล้ว

    สองคนนี้ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แต่ฉันมองเห็นกลุ่มพลังงานฆ่าฟันจากสองคนนั้นเสมอเวลาเจอหน้ากัน

    ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครหรอกนอกจากนิสัยแย่ๆ ของเอย์ 

    “เจ็บปวด?” คำถามนั้นราวกับเจือเสียงหัวเราะไว้ด้วย “เจ็บตัวน่ะใช่ แต่เจ็บที่ใจ...ยัยนั่นไม่เคยได้สัมผัสหรอก”

    “ระวังเกลมาได้ยิน” ขุนปรามเอย์ เขาใส่ใจฉันแม้กระทั่งในเวลาที่ฉันไม่อยู่

    ส่วนเอย์ ชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    “เป็นเพื่อนที่ดีจังนะ” เอย์คล้ายกับจะส่งคำชมให้คู่สนทนา แต่รังสีการประชดประชันรุนแรงเกินไปจนฉันรู้สึกขยะแขยงทั้งๆ ที่ไม่ได้มองหน้าเขา “ถามจริง มึงคิดไรกับเกลไหม”

    “...”

    คำถามดังกล่าวส่งผลให้เกิดเดดแอร์ไปชั่วขณะหนึ่ง

    ไม่รู้ว่าเอย์เอาสมองหรือส้นเท้าคิดถึงได้กล้ายิงคำถามไร้สาระพรรค์นั้นออกมาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าฉันและขุนเป็นเพื่อนกัน เพื่อนที่มีทั้งความรักและความเชื่อใจในแบบที่คนนอกอย่างเขาไม่มีทางได้สัมผัส

    “เงียบ?” ความเงียบนั้นครอบคลุมทุกอย่างเป็นระยะเวลาหลายทีกระทั่งเอย์ที่คล้ายกับจะรอฟังเป็นฝ่ายเปิดปากเพื่อทำลายความอึดอัด

    ขุนจะใช้เวลาคิดทำไม? ในเมื่อคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว

    ตอบไปเลย ไอ้สารเลวนั่นจะได้เลิกตอแยทำตัวเหมือนไม่ได้ฉีดวัคซีนกันโรคพิษสุนัขบ้าสักที

    “เกลเป็นเพื่อนกู” ในที่สุด...ขุนก็ให้คำตอบ ฉันรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ทำตัวพิเรนทร์ เพราะบางครั้งเขาก็มักจะทำตัวแปลกๆ กับฉัน เป็นพฤติกรรมทีเล่นทีจริงที่ใครได้เห็นคงอดสับสนไม่ได้

    “ยัยนั่นคิดกับมึงแค่เพื่อน แต่มึง...ไม่ใช่” 

    ตอนแรกฉันคิดว่าเอย์จะยอมจบแล้วไปให้พ้นๆ แต่เขายังคงดื้อรั้นด้วยการจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องความรู้สึกของขุนไม่เลิก

    เหมือนเอย์จงใจบีบบังคับให้ขุนพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่มีผิด

    อยากให้ขุนคิดไม่ซื่อกับฉันขนาดนั้นเลย?

    ไอ้เด็กไร้หัวนอนปลายเท้า...สันดานแบบนี้เมื่อไหร่จะเลิกสักที

    “กูไม่อยากทะเลาะ ไปไกลๆ ตีน” เห็นได้ชัดว่าขุนที่อายุเยอะกว่าและมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ตัวเองตบะแตก

    เขาอดทนเก่ง แต่ถ้าเส้นความอดทนเกิดขาดผึงขึ้นมา...ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาอยู่ไหม

    “กูก็ไม่ได้มาเพื่อทะเลาะ” เอย์พูด “กูแค่อยากรู้ความจริง”

    “...”

    “มึงชอบเกลใช่ไหม?” อีกครั้งที่คำถามบ้าๆ นั่นถูกส่งออกไป ฉันพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัวขึ้นในอก ตั้งใจไว้แล้วว่าอีกหนึ่งนาที ถ้าเอย์ยังไม่เลิกทำตัวแบบนี้ฉันจะออกจากห้องน้ำแล้วเป็นฝ่ายไล่ตะเพิดเขาเอง

    แต่แล้ว...

    “ถ้าอยากรู้ขนาดนั้น กูจะบอกให้เอาบุญ” ขุนใช้โทนเสียงดุดันแบบที่ได้ยินไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่ในชีวิตประจำวัน “กูรู้สึกกับเกลแบบไหนมันไม่สำคัญ จะในฐานะเพื่อน ในฐานะน้องสาว หรือในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง”

    “...”

    “มันสำคัญตรงที่กูอยากรักษายัยนั่นไว้”

    “...”

    “แล้วมึง...ทำอะไรให้พี่สาวตัวเองบ้างนอกจากเหี้ยไปวันๆ?”   

    “อยากรู้เหรอว่ากู ทำอะไรบ้าง?” เอย์...นายมันสุดจะบรรยายจริงๆ

    ฉันกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือดเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวที่สื่อความหมายไปในทิศทางหนึ่ง ซึ่งฉันไม่ได้เป็นควายที่จะมองไม่ออกว่าเอย์กำลังกวนโมโหขุน อีกทั้งยังแสดงความเหนือกว่าเพราะเขาได้ทำเรื่องระยำๆ กับฉันมาหลายครั้งแล้ว

    ฉันอยากให้เขาตายๆ ไปซะ

    คนแบบนี้ไม่น่ามีที่ยืนในสังคม สกปรกเกินกว่าจะอยู่ร่วมโลกจริงๆ

    “มึงทำอะไร?”

    สงครามขนาดย่อมยังคงดำเนินต่อไปไร้ทีท่าจะหยุด เพราะแบบนั้นฉันเลยเลือกยุติด้วยการเปิดประตูออกจากห้องน้ำไป สิ่งแรกที่ฉันทำคือมองไปยังพวกเขา...ซึ่งพวกเขาก็เคลื่อนสายตามาทางฉันพอดิบพอดี

    เอย์อยู่ในชุดนักศึกษาไม่เป็นระเบียบ ท่าทางกวนประสาทมากแม้จะมองจากระยะห่างหลายเมตร

    ส่วนขุน... “เข้าห้องน้ำนานมาก นึกว่าเป็นไร”

    ประโยคแรกที่เขาถามฉันคือเรื่องเข้าห้องน้ำนาน มีร่องรอยความกังวลนิดหน่อยในดวงตาคู่นั้น แต่ฉันเห็นความก้าวร้าวและดุดันหลงเหลืออยู่ คาดว่าเขากำลังหงุดหงิดเอย์ แต่คงไม่อยากมีเรื่อง

    “โอเคดี” ฉันตอบเขา จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปยังมารหัวขนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามขุน “ส่วนนาย ไปไหนก็ไป”

    แน่นอนว่าฉันไล่เอย์ เขาไม่ควรมาอยู่ที่นี่แต่แรกด้วยซ้ำ

    “มาหาเธอไม่ได้?” เอย์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ท่อนแขนข้างขวาซึ่งเป็นข้างเดียวกับมือที่ซุกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงนักศึกษาปรากฏเส้นเลือดปูด คล้ายว่าเขาเองก็คุกรุ่นไม่แพ้กัน

    แล้วไง ใครสน

    “ต้องให้บอก?” ฉันมองเขาอย่างเฉยชา “ฉลาดนักน่าจะรู้ว่าฉันไม่อยากเห็นหน้านายตั้งแต่แรก”

    “แต่อยากเห็นหน้าไอ้ห่านี่?” เอย์เหลือบมองขุนที่ยืนถอนหายใจอยู่ไม่ไกล เขาเห็นเราสองคนทะเลาะกันตลอด มันก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติเวลาพี่น้องระหองระแหงกัน แต่จริงๆ ขุนไม่รู้เลยว่าสาเหตุของความบาดหมางมันเริ่มมาจากตรงไหน และเป็นมานานเท่าไหร่แล้ว “ผัวเยอะดีนี่พี่เกล”

    “...” คำปรามาสพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ ทำให้ฉันพยายามกดอารมณ์โกรธที่กำลังลุกลามไปทั้งอก

    “พูดให้มันดีๆ ไอ้เอย์” ขุนคงเห็นว่าฉันพยายามอดทนกับพฤติกรรมของเอย์จึงเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างฉัน ไม่ลืมส่งคำเตือนให้หมอนั่นด้วย “เก็บหมาไว้ในปากหน่อยก็ได้ ไม่ต้องปล่อยมันมากัดคนอื่น”

    เพล้ง!!

    เอย์ไม่ตอบอะไรนอกจากเหวี่ยงมือไปปัดแจกันดอกไม้ใกล้ๆ จนสิ่งนั้นหล่นกระแทกพื้น ซากแจกันที่ตอนนี้กระจัดกระจายเต็มพื้นเหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าอารมณ์ของเขากำลังอยู่ในจุดเดือด

    เขาระบายอารมณ์ใส่สิ่งของก่อนจะมองหน้าฉันและขุนอย่างเชือดเฉือน ไม่นานก็ออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงเสียงแตกของแจกันที่ยังคงบาดหูฉัน

    เอย์...จะไปตายที่ไหนก็ไป 

    ---

    MA-NELL'S ZONE

    อิเอย์ อีผี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×