[Yaoi] DON'T KILL ME ชะตารัก ดีกรีร้าย! (สนพ. Nananaris Ybooks)
ตอนที่ 67 : Ep.23::ปรับความเข้าใจ
vEp.23v
:: ปรับความเข้าใจ ::
ไอ้คนที่นอนแน่นิ่งอยู่ในคราวแรกตวัดร่างลุกขึ้นยืนพร้อมเพื่อนอีกสองคนของมัน ผมเหลือบตามองมีดของอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปใต้ชุดกระโปรงโลลิต้าเพื่อหยิบมีดพับที่สอดไว้ตรงต้นขาขึ้นมา ปกติผมพกอาวุธอยู่แล้วเพียงแต่ชุดนี้มันไม่อำนวยเท่าไหร่ เลยต้องซ่อนมีดไว้ตรงขาอ่อนอย่างที่เห็น
น่าแปลกที่ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยเหลือผม พวกลูกค้าภายในร้านต่างมองการต่อสู้ด้วยความเฉยเมยคล้ายไม่ใช่เรื่องของกู กูจะไม่ยุ่งอะไรประมาณนี้ อย่างน้อยไปตามการ์ดมาก็ยังดี ถ้าผมไม่ได้ฝึกทักษะอะไรมาล่ะก็รับรองว่าคงโดนสามคนนี้ลากไปไหนต่อไหนแล้ว
หรือว่าทั้งสามคนจะมีเส้น?
“เล่นมีดกับพวกพี่มันไม่ดีนะน้อง” แล้วใครมันชักมีดออกมาก่อนล่ะวะ!
เอาเถอะ ความจริงแล้วผมไม่อยากทำใครเลือดตกยางออกซักเท่าไหร่ การที่การ์ดหายหัวไปคงเป็นเพราะทั้งสามคนเส้นใหญ่หรือไม่ก็คนใดคนหนึ่งมีอำนาจในทางมิชอบแน่ๆ ตอนนี้คือทุกคนต่างถอยออกห่างผมและพวกมัน บางคนก็ทยอยเดินไปเต้นตรงโซนด้านหลัง ส่วนบางคนก็มุ่งออกจากร้านเพราะกลัวลูกหลง
โซนด้านหน้าซึ่งใช้ดื่มและฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายเลยเหลือแค่ผมกับชายแปลกหน้าที่ดูท่าจะเคลมกันให้ได้
“เดี๋ยวก็รู้ว่าจะดีหรือเปล่า” ผมกล่าวขึ้นเสียงเรียบ ไม่มีอารมณ์ยิ้มหวานล่อลวงเหยื่อเพราะความเศร้าที่ยังหน่วงอยู่ในอก
พรึ่บ...พลั่ก ตุ้บ!
“อั่ก! อึ่ก! อ่อก!” พวกมันประมาทกันเกินไป ผมจึงอาศัยช่วงเวลานั้นใช้ทั้งศอกและเข่าประเคนให้ อย่ามาดูถูกแม่ไม้มวยไทยเชียวนะโว้ย ไอ้พวกหมาหมู่
เฮ้อ...ยังไม่ทันให้ได้ใช้มีด ก็นอนเรียงรายกับพื้นกันเสียแล้ว
ผมถอนหายใจอย่างอ่อนล้า เหนื่อยมากทั้งการร้องไห้ไม่หยุดและการออกแรงไปเมื่อครู่ ยอมรับว่าโล่งหัวขึ้นมานิดที่ได้ระบายความหงุดหงิดใจลึกๆลงกับร่างกายของพวกมัน
ทว่าจังหวะที่จะก้าวเท้าออกห่างอย่างไม่สนใจไยดี หนึ่งในนั้นกลับตะครุบข้อเท้าผมไว้พลางกระชากให้หล่นลงไปนั่งทับตักของมันโดยมีปืนจ่อที่ขมับด้านซ้าย ผมเหลือบตามองไอ้คนที่คิดว่าสิ้นท่าไปแล้วอย่างนึกตกตะลึง มีดในมือก็กระเด็นร่วงไปอีกทางตั้งแต่มันกระชากเมื่อครู่
เอาปืนมาจากไหนวะ! เขาไม่ตรวจอาวุธก่อนเข้าร้านงั้นหรือ
ว่าแต่ไอ้พวกนี้ประมาท...ความจริงผมก็ประมาทไปหน่อย น่าจะเช็คว่าพวกมันสลบเรียบร้อยก่อนทิ้งทวนแท้ๆ เวรเอ้ย!โดนปืนจ่อแบบนี้แล้วจะทำยังไงดี
“พยศอย่างนี้สิดี มึงโดนพวกกูหนักแน่คนสวย”
ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดข้างแก้มทำให้ผมเกร็งร่างขึ้นมา ริมฝีปากของคนด้านหลังแตะลงตรงต้นคออย่างฉับพลันสร้างสัมผัสที่น่าขยะแขยง ไหนจะแขนของมันซึ่งโอบเอวไว้กันผมลุกหนีอีก
ผมค่อยๆขยับมืออย่างไม่ให้คนที่คุกคามอยู่รู้ตัวเพื่อจะล้วงลงไปหยิบมีดจากต้นขาอีกด้าน ทว่าก่อนจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น เพื่อนของมันอีกสองคนซึ่งเพิ่งฟื้นก็เข้ามาคว้าแขนทั้งสองข้างไว้เสียก่อน
เชี่ยของจริงแล้วไง...!
“ฤทธิ์ยัยนี่มันมาก ไม่รู้ซ่อนอาวุธไว้ตรงไหนอีก หอบมันขึ้นไปด้านบนเลยดีกว่า”
ชายคนที่สามแนะนำเพื่อนฝูง มันยกมือจับรอยช้ำตรงมุมปาก ตามลำตัวและใบหน้าที่ผมฝากไว้พร้อมกับมองมาด้วยแววตาวาวโรจน์ คาดว่าถ้าผมเสร็จพวกมันล่ะก็...คงรอดยากเป็นแน่คราวนี้
ผมกรอกตา กำลังอาศัยจังหวะที่พวกมันเตรียมอุ้มผมพาดบ่าเพื่อหาวิธีรอดซักทาง แต่ไอ้คนด้านหลังก็ยังไม่หยุดละใบหน้าออกห่างต้นคอผมสักที พอจะขยับศีรษะหนีปืนที่จ่อขมับอยู่ก็กดลงมาอย่างแนบแน่นประมาณว่า ‘ถ้าไม่อยู่นิ่งๆระวังจะตายเอานะ’
“โคตรขาวเลยว่ะ หอมด้วย”
“ขาวมากไหม”
ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงดุดันดังขึ้นใกล้ๆตัว รู้สึกขนลุกขึ้นมาแม้จะยังมองผ่านแสงสลัวไม่เห็นว่าคนพูดคือใคร ทั้งสามคนผงะอย่างสงสัยว่าประโยคเมื่อครู่ใครเป็นคนเอ่ยขึ้นมา ทว่าก่อนจะได้หาตัวผู้พูดพบ...
ปืนที่จ่อศีรษะผมก็ถูกปัดออกด้วยวัตถุบางอย่างซึ่งลอยผ่านตาไปในเสี้ยววินาที ก่อนที่เสียงเสียบของมีคมเข้าเนื้อจะดังขึ้นติดกันสามครั้ง
“เฮ้ย โอ้ย!”
“อั่ก!”
“ไรวะ อ่อก!”
เพลิงนิลปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า...และผมก็ยกศีรษะขึ้นมองเขาด้วยแววตาติดจะสั่นไหวนิดๆ น้ำตาพานจะไหลอีกระลอกแต่ผมอดกลั้นมันเอาไว้ ไม่สนใจเลือดที่ไหลนองรอบกายจากไอ้วายร้ายทั้งสามคนแม้แต่น้อย
“ไปขาวต่อในนรกแล้วกัน...หึ พวกสวะ”
เพลิงนิลละสายตาออกห่างจากผมก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปประชิดร่างผู้โชคร้ายทั้งสามด้วยแววตาคุกรุ่น ผมไม่ได้มองตามว่าเขาฆ่าพวกมันยังไงหรือไม่ได้ฆ่าแต่ปล่อยให้เลือดไหลหมดตัวแทน เพราะเท่าที่เห็นสภาพของพวกมันตอนหลุดออกมาจากห้วงอารมณ์ช็อกคือ...
ร่างทั้งสามนอนจมกองเลือดไปเสียแล้ว!
มีการ์ดหลายคนวิ่งมาทางนี้พร้อมบุคคลที่น่าจะเป็นผู้จัดการร้าน และเพียงเพลิงนิลยื่นบัตรใบหนึ่งให้ ท่าทางที่ดูจะเอาเรื่องในคราวแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นนอบน้อมและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ขออภัยด้วยครับท่าน” ผู้จัดการสูงวัยเอ่ยขึ้น ผมไม่คุ้นหูเท่าไหร่ที่จะได้ยินใครอื่นเรียกเพลิงนิลว่า ‘ท่าน’ มันฟังดูแก่อย่างบอกไม่ถูก
“ปิดร้านซะ” เพลิงนิลเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าบรรยากาศหนักหน่วงที่แผ่ออกจากร่างทำเอาคนรอบข้างเริ่มจะทรุด
“ไม่นะครับ ผ...ผมขอร้อง ร้านนี้เป็นธุรกิจเพียงหนึ่งเดียว...”
“หุบปาก”
นัยน์ตาสีรัตติกาลซึ่งคล้ายมีประกายไฟด้านในจ้องมองเจ้าของร้านซึ่งแทบจะร้องไห้ การ์ดรอบตัวต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าพวกนั้นรู้ดีว่าคนตรงหน้าคือใคร ไอ้อาการต่อต้านจึงไม่ปรากฏให้เห็น
ผมอาศัยจังหวะนั้นพยุงตัวขึ้นแล้วออกวิ่งไปจากร้านอย่างรวดเร็ว ผมไม่อยากเห็นหน้าเขาในตอนนี้! ทำไม...ฮึก ทำไมต้องตามมาด้วย ไม่อยู่กับผู้หญิงคนนั้นต่อแล้วหรือ ในเมื่อผมมันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรอยู่แล้ว แม้แต่บอกเรื่องจะแต่งงานสักนิดเขายังไม่เคยพูด
หมับ!
“จะไปไหน” สุ้มเสียงเรียบเย็นดังขึ้นในระดับปกติ เขาดูไม่อนาทรร้อนใจเลยสักนิดกับเรื่องที่เราเหมือนจะแตกหักกันในภัตตาคารนั่น!
“ต...ตามมาทำไม ฮึก ปล่อย...เบนไม่อยากอยู่กับนิลแล้ว”
เอาเป็นว่าผมคิดผิดที่พลั้งปากพูดประโยคข้างต้นกับคนใจร้าย เพราะจากแรงกอดรัดรอบเอวหลวมๆเมื่อครู่ บัดนี้ร่างสูงแทบจะดึงกระชากร่างของผมให้ตรงไปยังลานจอดรถอย่างรวดเร็ว
ผมรับรู้ได้ว่าเพลิงนิลโกรธ...มากเสียด้วย!
“ไม่อยากอยู่?...หึ”
ตุ้บ! ผมถูกเหวี่ยงเข้ามาภายในรถคันเดิมซึ่งเคยมีกลิ่นน้ำหอมนั่น เพลิงนิลปิดประตูดังปังใส่หน้ากันแล้วส่งสายตาวาวโรจน์มาให้ทำนองว่า ‘ถ้าคิดจะเปิดประตูหนี...ก็ลองดู’
เออ! ลองแน่ ไม่ต้องมาท้าหรอก ผมเปิดประตูรถออกอย่างไว ให้มันรู้ไปสิว่าแค่นี้ผมจะหนีเขาไม่ได้
ทว่าก้าวลงมาได้แค่สองสามก้าว เสียงคำรามในลำคอก็ตามมาทางด้านหลังก่อนที่ร่างสูงจะล็อกตัวผมแล้วเหวี่ยงเข้ารถไปอีกครั้ง คราวนี้เพลิงนิลใช้แขนกักประตูรถไม่ให้ผมหาทางออกได้ก่อนจะปลดเข็มขัดออกมาจากกางเกงตัวเองด้วยแววตาเย็นเฉียบ
ความเย็นเฉียบในนั้น...ผมรู้ดีว่ามันคล้ายคลื่นสงบหลังสึนามิลูกใหญ่จะมานั่นแหละ!
เขาจับผมมัดข้อมือทั้งสองข้างด้วยเข็มขัดเพียงเส้นเดียว และอาจเพราะขนาดตัวที่ต่างกันผมจึงไม่สามารถขัดขืนได้ถนัดนัก คนใจร้ายอ้อมรถไปเปิดประตูอีกด้านก่อนจะปิดดังปังแล้วขับออกมาจากสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
ผมขดตัวหันหนีไปอีกด้าน ก้อนสะอื้นก็เคลื่อนมาจุกตรงลำคอไม่หยุด น้ำสีใสไหลออกมาอย่างเงียบเชียบผ่านดวงตาเลื่อนลอยที่มองวิวทิวทัศน์ทางด้านนอกซึ่งเริ่มเปลี่ยนไปเร็วขึ้น...เร็วขึ้น
ไม่เข้าใจเลย ผมไม่เข้าใจเขาเลยแม้แต่นิดกับไอ้การกระทำเช่นนี้!
ผมไม่ได้สนใจรอยถลอกซึ่งสร้างความเจ็บแปลบจากการยื้อยุดกันตอนมัดข้อมือ ความชาจากการโดนมัดแน่นเกินไปก็ทำอะไรผมไม่ได้ สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวตอนนี้มีเพียงภาพของเขาซึ่งตอบรับการแต่งงานเพียงเท่านั้น
สิ่งใดจะเจ็บไปกว่าความเจ็บที่ใจเล่า...อกเอย
Loading 40%
โคตรอึดอัดในอก...ยิ่งผมซุกหน้ากับเบาะรถยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางนั่นจนอยากจะสำรอกน้ำเปล่าที่เพิ่งดื่มออกมาให้รู้แล้วรู้รอด คิดได้ไม่ทันไรก้อนน้ำย่อยซึ่งไม่น่าจะมีอาหารปะปนก็ขึ้นมาจุกบริเวณคอหอย
โชคดีที่ในเวลาต่อมาไม่นาน รถก็แล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้านคล้ายล่วงรู้ว่าผมกลั้นอาการอยากอ้วกไม่ไหวแล้ว
ผัวะ!
ฉับพลันที่บีเอ็มคันหรูจอดสนิทด้วยท่วงท่าน่าหวาดหวั่นต่อสายตาของบรรดาสาวเมดซึ่งลอบมองอยู่ ผมก็พยายามใช้สองมือแงะประตูรถเพื่อเปิดลงมา ก่อนจะพุ่งเข้าหาพุ่มไม้ตรงริมทางเดินอย่างรวดเร็ว
รอบนี้แทบไม่มีอะไรออกมาจากปาก มีเพียงน้ำเปล่าที่เพิ่งกินไปผสมน้ำย่อยล้วนๆ ความรู้สึกคล้ายจะหน้ามืดตีขึ้นสมอง เพราะถ้าจำไม่ผิดผมอาเจียนเป็นครั้งที่สี่ของวันแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะกลิ่นน้ำหอมล้วนๆ
เสียงเดินไล่ตามมาทางด้านหลัง ผมไม่ได้หันไปมองเพลิงนิลที่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะคลายออกในเสี้ยววินาทีนั้น เขาแกะเข็มขัดออกจากมือผมพร้อมยื่นขวดน้ำให้ และผมก็รับมาบ้วนปากอย่างเสียไม่ได้
“เป็นอะไร”
“แค่คลื่นไส้เพราะกินเหล้ากับพวกนั้นสนุกมาก เหมือนที่นิลไปกินข้าวกับว่าที่เจ้าสาวมานั่นแหละ” ผมเหยียดยิ้ม อารมณ์ตอนนี้คือมาเต็ม ไม่ได้ตั้งใจจะประชดอะไรแต่ปากมันไปเองไง
“มึงกำลังยั่วโมโห...”
คนใจร้ายว่าพลางกระชากผมเข้าไปสูดดมคล้ายหากลิ่นแอลกอฮอล์อย่างไม่เบาแรงนัก เขาชะงักไปเมื่อได้กลิ่นที่ต้องการ อาจเป็นเพราะผู้ชายคนเมื่อครู่ซึ่งดื่มเหล้าดึงผมลงไปนั่งใกล้ชิด...กลิ่นแอลกอฮอล์เลยติดมาด้วย
นัยน์ตาสีรัตติกาลเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนที่มือหนาจะกระชากผมให้เดินเข้าไปในตัวบ้านด้วยความรวดเร็ว สาวเมดหลีกทางให้ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่มีใครห้ามปรามอะไรได้จนกระทั่งร่างผมถูกเหวี่ยงเข้ามาภายในห้องนอน
“ใครใช้ให้มึงไปที่ร้านนั่น”
เพลิงนิลกักร่างผมไว้กับผนังข้างประตูห้อง มองไปอีกด้านก็ปะทะเข้ากับคุณโครงกระดูกพอดิบพอดี เลือกสถานที่ได้ดี!
“ไปเอง” ผมตอบเสียงเรียบ มองตรงไปข้างหน้าแต่จงใจไม่มองตาเขา อยากเย็นชามาก็จะเย็นชากลับ แค่อยากรู้...ว่าผลลัพธ์จะจบลงตรงไหน
“ด้วยสภาพนี้? หึ...เพื่ออ่อยใครล่ะเบนซิน” ถ้อยคำร้ายกาจถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาบาดจิต
ปากร้าย...ผมอยากจะด่าเขาให้สมกับที่พูดประโยคข้างต้นออกมานัก ใจมันเจ็บแปลบและสมองก็กำลังประมวลผลตามถ้อยคำนั้น ผมไม่ได้สนใจว่าเขาโน้มใบหน้าลงมาจนแทบจะหายใจรดผิวแก้มเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบที่อยากได้ยินแม้แต่นิด
“ทั้งกลิ่นน้ำหอมบนรถกับเส้นผมตรงเบาะนั่ง รูปถ่ายคู่ของนิลกับผู้หญิงคนนั้น ไหนจะกลิ่นน้ำหอมเดิมๆที่ติดเสื้อเชิ้ตมาอีก อึก...คิดว่าเบนไปอ่อยหมาตัวไหนล่ะถึงต้องแต่งตัวเป็นเมดเพื่อจะได้พบความจริงที่ว่า...นิลกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น คิดว่า...ฮึก...คิดว่าเบนโง่หรือไง ถ้าตอบรับเขาไปเรียบร้อยแล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกันอีก พอที...แล้วปล่อยเบนไป”
ผมต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นเป็นอย่างมากกว่าประโยคยาวๆนี้จะถ่ายทอดจนจบ ทว่าระหว่างนั้นมันก็แย่พอควรตรงที่น้ำตามันไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว พอพยายามกลั้นไว้เสียงก็เริ่มสั่นเครือจนแหบพร่า กระพริบตาหลายครั้งหยดน้ำเจ้ากรรมก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหล
ผมมองเห็น...ดวงตาคู่คมตรงหน้าลดความกราดเกรี้ยวลงจนแทบมลายไปไม่มีเหลือ เพลิงนิลขยับแขนมาโอบเอวกันไว้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างกดศีรษะผมให้ซุกลงตรงไหล่
“ไม่ได้จะแต่ง...”
“อย่าโกหก ฮึก...เบนได้ยินกับหู” ผมค้านเสียงแข็ง มือก็พยายามผลักร่างหนาออกห่าง ทำไมต้องมาทำท่าคล้ายสงสารกันด้วย ผมไม่ต้องการความเห็นใจจากเขาเข้าใจไหม!
“มึงฟังไม่จบ”
คล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจข้างใบหู ผมชะงักไปแต่แล้วไงล่ะ แค่คำพูดที่ต้องการรั้งใครสักคน...เป็นใครก็พูดได้ ผมยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาจะรั้งผมต่อไปทำไมในเมื่อทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
“ต้องฟังอะไรต่องั้นหรอ? เบนเข้าใจว่านิลผูกพันกับผู้หญิงคนนั้นมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจดี...แต่คิดจะบอกเรื่องนี้กันไหม หรือเห็นเบนเป็นของตายที่นึกอยากเก็บเอาไว้ข้างกายก็เก็บ นึกอยากทิ้งก็ทิ้ง...อุ้บ!”
ยังไม่ทันให้ผมพล่ามจบ ร่างทั้งร่างก็ถูกเหวี่ยงไปที่เตียง เพลิงนิลตามมาประกบจูบคล้ายต้องการหยุดคำพูดพร่ำเพ้อข้างต้น เขาชะงักไปเนื่องจากคงรับรู้ตั้งแต่ควานลิ้นเข้ามา...ว่าผมไม่ได้ดื่มเหล้าจริง ทว่าเสี้ยววินาทีนั้นสัมผัสหนักหน่วงก็บดขยี้ลงมาจนแทบหายใจไม่ออก
ผมรู้ว่าเพลิงนิลไม่ชอบใจที่ผมประชดและโกหกเขาว่าดื่มแอลกอฮอล์ และจากที่ตอนแรกคิดว่าจะได้รับเพียงความรุนแรง บัดนี้มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นร้อนระอุแทน
ริมฝีปากของคนด้านบนดูดดึงเรียวปากผมแผ่วเบาสลับหนักหน่วง ผมกระพริบตาไล่คราบน้ำซึ่งเปรอะเปื้อนใบหน้า ทว่าพอจะหันหนี...มือหนาก็ตามมาล็อกคางกันไว้พร้อมผละออกห่างเพียงนิด
“หยุดคิดไปเอง...และฟังให้ดี” นัยน์ตาสีรัตติกาลฉายประกายจริงจังขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาจ้องมองมาเสียจนผมลืมสะอื้นในที่สุด
“กูมีแค่มึง”
น้ำตาผมหยุดไหลไปชั่วขณะ ก่อนที่มันจะไหลออกมาหนักกว่าเดิม ผมพูดอะไรไม่ออก...สับสนไปหมดว่าควรเชื่อสายตาตัวเองหรือเชื่อถ้อยคำข้างต้นดี
“ไม่แต่งอะไรกับใครทั้งนั้น แค่มึงคนเดียวก็วุ่นวายพอแล้ว...จำใส่สมองไว้ซะ”
การกระทำของเพลิงนิลค่อนข้างตรงข้ามกับคำพูดเย็นชา มือของเขาปล่อยปลายคางก่อนที่นิ้วเรียวจะเลื่อนมาเกลี่ยคราบน้ำตาออกจากใบหน้าของผม ทุกอย่างราวกับถูกหยุดเวลาไว้พร้อมสมองซึ่งขาวโพลนเมื่อตระหนักรู้ได้ว่า...
ผมอาจจะคิดไปเอง คิดไปเองเยอะเสียด้วย เพลิงนิลไม่เคยโกหกผมแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งการที่เขามองมาด้วยแววตาจริงจังซึ่งพบเห็นได้น้อยครั้งด้วยแล้ว...ยิ่งยืนยันว่าที่ผ่านมาผมดราม่าไปเอง
แต่...เรื่องน้ำหอมล่ะ ไหนจะเส้นผมบนรถ รูปถ่าย เสื้อเชิ้ตติดกลิ่นน้ำหอมในตะกร้า และคำตอบรับในภัตตาคารนั่นอีก!
“น้ำหอมบนรถ...”
“เจอกันเมื่อเย็นวาน ประกายฟ้าให้กูไปส่งหน้าห้างเพราะหลงกับบอดี้การ์ด” สุ้มเสียงแหบพร่าตอบกลับมาพร้อมใบหน้าซึ่งเลื่อนลงซุกไซ้ตรงซอกคอ
“กลิ่นน้ำหอมที่ติดเสื้อ...”
“ยัยนั่นกอดกูก่อน” ว่าพลางขบเม้มผิวให้ได้สะท้านวาบ
“รูปถ่าย...” ผมเลื่อนสายตาไปยังบนหัวเตียงซึ่งมีซองเอกสารวางอยู่ เพลิงนิลชะงักไปกลางคัน ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมหยิบมันมาเปิดดูพลางตอบกลับเสียงเรียบ
“ภาพตอนเจอกันเมื่อเย็นวาน”
“คำตอบรับตอนนั้น...”
“รู้แค่ไม่ได้ตอบว่าจะแต่งก็พอ”
เหมือนจะเริ่มรำคาญผมซึ่งขัดจังหวะเขาไม่หยุด จากที่คล้ายจะลวนลามกันในคราวแรกจึงเปลี่ยนเป็นกดจูบลงบนซอกคอผมหนักๆแล้วผละขึ้นนั่งข้างเตียงพลางเสยผมด้วยท่าทางเฉยชาแทน
ตลกดี...ผมถามอย่างเหม่อลอยเพลิงนิลก็ตอบกลับมาทุกคำ ความหนักอึ้งในอกเริ่มบรรเทาลง สรุปคือเขาไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม เชี่ย...คือกูมโนไปคนเดียวเป็นวรรคเป็นเวร แต่ใครเจออย่างผมก็ต้องนึกตงิดใจกันบ้างล่ะ
“รูปนี้ มึงเอามาจากไหน”
สุ้มเสียงเรียบเย็นเอ่ยถามพร้อมรูปภาพบาดใจในมือ นัยน์ตาคมดุแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ยังคงตกค้าง ผมกระพริบตาพลางพลิกตัวหันข้างถูหน้าไปกับหมอนอย่างเชื่องช้า
ไม่ใช่อะไร...คือผมนึกอายยังไงไม่รู้ เมื่อครู่เขาบอกว่าจะมีแค่ผมใช่ไหม กว่าเพลิงนิลจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้แต่ละที มันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะ!
Loading 70%
“คุณพายัพให้มา” ผมตอบเสียงอู้อี้เพราะยังคงฝังหน้ากับหมอนอยู่
“พายัพ...พวกพยัคฆ์?” เหมือนน้ำเสียงจะเข้มขึ้น ทว่าผมไม่ได้สนใจอะไร
“อือ คุณพายัพนั่นแหละ”
ฉับพลันนั้นร่างของผมกลับถูกพลิกขึ้นให้เงยหน้ามองเขา นัยน์ตาสีรัตติกาลวาวโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็น ผมเพิ่งเคยเห็นความคุกรุ่นในดวงตาคู่คมยามได้ยินชื่อของใครสักคนก็ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
“....” เพลิงนิลไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่แรงบีบตรงต้นแขนก็มากเพียงพอให้รู้แล้วว่าเขากำลังไม่พอใจ
“วันนี้คุณพายัพมาหา แล้วเอารูปนี้ให้เบนดู”ผมลองเปรยขึ้น พยายามหลีกเลี่ยงว่าไอ้คุณพายัพอะไรนั่นมันบุกรุกเข้ามาถึงในร้าน
ขืนบอกไป...คงได้โดนปิดร้านของจริงก็คราวนี้ และพายัพก็จะกลายเป็น ‘พายับ’ สมชื่อ!
“รู้จักมันได้ยังไง”
เขาถามผมด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบเสียจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ให้อารมณ์คล้ายผมทำสิ่งที่ผิดพลาดใหญ่หลวง แล้วเพชฌฆาตกำลังเตรียมมีดหั่นคอประมาณนั้น
“เขาเข้ามาหาเอง เพิ่งเจอกันวันนี้”
“มันทำอะไรมึง”
โอเค...อารมณ์คล้ายพ่อกำลังซักไซ้ลูกสาวซึ่งหนีเที่ยวมากกว่านะผมว่า ฮะๆ...ผมพยายามคิดให้มันตลกสินะทั้งที่แทบจะตลกไม่ออก แรงกดที่ไหล่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดหย่อนลง และเพราะผมเริ่มจะเจ็บจึงยกมือขึ้นแตะลงบนข้อมือของเขาแล้วผลักออก
“ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกว่า...” ผมชะงักริมฝีปากได้ทันท่วงที นัยน์ตาสีรัตติกาลหรี่ลงอย่างฉับพลัน ชั่วขณะนั้นมือทั้งสองข้างของผมก็โดนตรึงไว้ข้างตัว
“พูดมา” ถ้อยคำแสนสั้นแต่อานุภาพกดดันมากโข โดยเฉพาะนัยน์ตาคมดุที่สื่อความหมายว่า ‘อย่าชักช้า’
เป็นบุญจริงๆที่โดนเพลิงนิลคาดคั้นขนาดนี้ สาบานได้ว่าจะไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีก!
“บอกว่านิลกับเขาเคยทะเลาะกันเพราะผู้หญิงคนนั้น”
เพลิงนิลชะงักไป เขาทำสีหน้าประมาณว่า ‘โคตรไร้สาระ’ ขึ้นมาวูบหนึ่ง สงสัยไหมว่าทำไมผมดูออก ลองมาอยู่กับเพลิงนิลสักห้าหกปีแล้วคุณจะค่อยๆอ่านสีหน้าเขาออกเอง เชื่อเถอะว่าถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนผมไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่
แม้กระทั่งปัจจุบัน บางครั้งผมยังอ่านเขาไม่ออกเลย
“มึงยังพูดไม่หมด”
เพลิงนิลโน้มใบหน้าลงมากระซิบชิดริมหู เขาขบเม้มมันเบาๆสร้างความวูบวาบทั่วสรรพางค์กาย ฉลาดเกินไปแล้ว! เขารู้ได้ยังไงว่าประโยคที่ผมจะหลุดพูดเมื่อครู่ไม่ใช่ประโยคนี้
“คุณพายัพทำเหมือนสนใจเบน ทั้งที่ก็ผู้ชายเหมือนกัน...อื้อ อย่ากัด”
ฉับพลันนั้นคมเขี้ยวก็ขบลงมาให้ได้เจ็บจี๊ดตรงซอกคอ คิดผิดหรือเปล่าวะที่บอกเรื่องนี้ ยิ่งเหลือบไปเห็นนัยน์ตาสีรัตติกาลซึ่งมองมาอย่างติดจะหงุดหงิดก็ยิ่งระลึกได้ว่า...ไม่น่าพลั้งปากเอาซะเลย!
“หึ คงต้องล่ามโซ่...”
ผมไม่รู้ว่าเพลิงนิลพึมพำอะไร รู้แค่ไม่น่าจะใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่เพราะขนแขนมันดันลุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มือหนาปล่อยข้อมือของผมก่อนจะล้วงเข้ามาสัมผัสผิวกายกันอย่างจาบจ้วง เขาปลดชุดโลลิต้าที่ดูเหมือนจะยุ่งยากได้อย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน
“ด...เดี๋ยว อึก...”
“ถ้าไม่อยากตาย...อยู่ให้ห่างมันซะ” ผมชะงักพลางเหลือบมองสบตาคนด้านบน ประกายวาววาบที่ฉายผ่านในนั้นบ่งบอกว่าไม่ใช่ตายธรรมดา แต่อาจเป็น ‘ตายคาเตียง’
……………………………
CUT
……………………………
ดวงตาคู่สวยปรือปรอยคล้ายจะหลับ เสียงหอบหายใจยังคงดังกังวานก้อง เบนซินยังคงโอบกอดผมแน่นก่อนที่เปลือกตาบางนั้นจะปิดลง ไม่นานนักแขนทั้งสองข้างก็ตกลงข้างลำตัวในที่สุด
ผมจำต้องถอนตัวออกมาแล้วนั่งเสยผมด้านข้างเตียง...แม้จะยังไม่อยากหยุดก็ต้องหยุดอย่างช่วยไม่ได้ มือข้างหนึ่งตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมกายของร่างโปร่งบางในขณะที่อีกข้างเคาะบุหรี่มาจุดสูบ ไม่นานนักผมก็คว้าเสื้อคลุมมาใส่แล้วเปิดระเบียงออกไปยังด้านนอก
สมาร์ทโฟนซึ่งเลือกหยิบเป็นลำดับถัดมากำลังถูกต่อสายหาใครคนหนึ่ง ควันที่ลอยฟุ้งในอากาศทำให้เผลอมองตามอย่างครุ่นคิด วินาทีต่อมาปรายสายก็กดรับคล้ายจะรู้ว่าผมไม่ชอบรออะไรนานๆ
(ครับ นายน้อย)
“รู้ใช่ไหมว่าทำอะไรผิดพลาด” เสียงผมเย็นขึ้นในระดับหนึ่ง ปลายสายเงียบไปก่อนจะตอบกลับมา
(ขออภัยครับ แต่จัดการลงโทษบอดี้การ์ดของวันนี้เรียบร้อยแล้วครับ)
“....” ดีแล้วที่ทางนั้นรู้หน้าที่...ผมจะได้ไม่พลั้งมือฆ่าคนของตัวเอง หึ
ใครใช้ให้พวกมันปล่อยเบนซินออกไปจากบ้านได้กันวะ ฝึกมาก็เยอะแต่ทำไมแค่ผู้ชายตัวเล็กๆยังเฝ้าไม่ได้ เชื่อไหม...ผมยังนึกสงสัยอยู่ในใจว่าคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวใช้วิธีไหนหลบเลี่ยงสายตาของบรรดาบอดี้การ์ดที่มีฝีมือไปได้กันแน่
(นายน้อยครับ...) คล้ายได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากปลายสาย คนนี้ไม่ใช่เมฆ แต่เป็นมือซ้ายของผม มันไม่ค่อยชอบโผล่หัวมาเท่าไหร่ และที่เรียกคงเป็นเพราะผมเงียบไปนาน
“สืบเรื่องพวกพยัคฆ์...ภายในวันพรุ่งนี้”
ผมสั่งเสียงเย็นก่อนที่ปลายสายจะตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว หลังตัดสายไป...โทรศัพท์ในมือก็ถูกเหวี่ยงเล่นชั่วครู่ก่อนจะหยุดลงยามเมื่อสมองเริ่มเดาสถานการณ์ที่ไอ้พายัพคิดจะทำต่อไปออก
หึ อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ถ้าคิดจะมายุ่งกับเมียผม...ก็แค่ตาย
Writer talk3
ก็แค่ตาย...ฟังไว้นะคะคุณพายัพ! และแล้วเราก็ได้ล่วงรู้ความคิดของเพลิงนิลที่ล้ำลึกเกินกว่าใบหน้านิ่งๆของเฮียแกจนได้ พอดีมีนักอ่านหลายท่านอยากอ่านมุมมองของเฮียนิลตอนฉากตัด ไรท์เลยเซอร์วิสให้ เบนซินนี่ดูน่ารักไปเลย อยากได้มาไว้บ้านจัง...//โดนไพ่ปาด แล้วพบกันค่า
#ถ้าขึ้นแจ้งเตือนบ่อยในวันนี้อย่ารำคาญนะคะ กำลังทยอยแก้คำผิดในภาคหนึ่งแต่คาดว่าคงแก้ไม่หมดในวันนี้
ปล. ฉากตัดอยู่ที่บล็อกเดิมค่ะ
รักรีดเดอร์
01/06/2016
Writer talk2
ชอบประโยคนี้ ‘คิดว่าเบนไปอ่อยหมาตัวไหนล่ะ’ คือเหมือนเพลิงนิลจะโดนตอกหน้ากลับค่ะ 555 ว่าแต่เพลิงนิลปากร้าย เบนซินก็ปากร้ายขึ้นนะเนี่ย//แซวแล้วหลบจระเข้ฟาดหาง เบนซินไม่น่าขัดจังหวะเลย...เฮียนิลของเค้า(หลบไพ่ควีน)กำลังจะได้จับกินแท้ๆ! หืม?ใครถามหาฉากเรียกเลือด ยกยอดไป 30% หน้าแล้วกันนะคะ
รักรีดเดอร์
31/05/2016
Writer talk
เหมือนเพลิงนิลจะลืมจุดประสงค์ว่าต้องมาเคลียร์กับเบนนะคะ สติหลุดตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘ไม่อยากอยู่กับนิลแล้ว’ มั้งนั่น 555 ส่วนเบนซินช่วงนี้ดูอารมณ์อ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ ก็คนมันเพิ่งเจอเรื่องหนักๆมานี่เนอะ เรื่องสั่งปิดร้านคิดว่าสมควรโดนค่ะ เพราะเบนบู๊ตั้งนานการ์ดไม่โผล่...เพิ่งมาโผล่ตอนวายร้ายทั้งสามโดนยำซะอย่างนั้น แล้วพบกันค่า
รักรีดเดอร์
30/05/2016
เบนอ้วกบ่อยแบบนี้ท้องแล้วใช่มะ?
แล้วโดนจัดหนักแบบนี้ไม่แท้งเลอะ?
ดีนะที่เพลิงนิลอธิบาย
ตายๆ อาวุธไม่ต้องแค่นี้เกินพอ.
เนี่ย เป็นพวกไม่รอฟังให้จบทั้งคู่555555555555
'ถ้าคิดจะมายุ่งกับเมียผม....ก็ศแคาตาย'มันไม่แค่แล้วเพลิงนิล หูยยยยยยเอาจริงเอาจังคร้าาา