ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #109 : Chapter 104 :: Safe Place

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.44K
      108
      25 ต.ค. 59

     

     

     

    Chapter 104

    Safe Place

     


     

     

     

    แบคฮยอนตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดพร้อมกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่าทุกคนยังคงอยู่ในความปลอดภัย แม้จะกล้าสู้ กล้าทำอะไรด้วยตัวเองแล้ว แต่เขาก็ยังคงพะวง อาจด้วยเบื้องลึกในใจแบคฮยอนเต็มไปด้วยความกลัว ว่าจงแดจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ อาการของคยองซูจะดีขึ้นหรือไม่ และพรุ่งนี้เราจะกินอะไร ที่แห่งไหนถึงจะปลอดภัย เด็กอย่างเขาจึงหลับได้ไม่สนิท

    คนตัวเล็กคว้าไฟฉายที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดเปิด พร้อมใช้มืออีกข้างอังด้านหน้าไว้เพื่อไม่ให้แสงสว่างจ้าเกินไปจนส่งผลให้คนหลับตื่น แบคฮยอนส่องไฟฉายไปยังคนป่วยที่เคยกระแอมไออย่างหนักในช่วงหัวค่ำจนถึงเที่ยงคืนก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะยา

    จากที่ฟังซีวอนเล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่าคยองซูจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อจึงพยายามใช้คำพูดบ้า ๆ ให้คนรอบข้างรำคาญเพื่อที่จะได้ทิ้งตนไว้ตรงนั้น แต่สุดท้ายความพยายามของหมอนั่นก็ไม่สำเร็จ ซึ่งแบคฮยอนรู้สึกดีที่ผู้ใหญ่อย่างชเวซีวอน จางอี้ชิง และคิมจงแดสามารถใจเย็นและรับมือกับสถานการณ์นั้นได้ อีกทั้งใจเด็ดมากพอที่จะพาโดคยองซูหนีแม้ว่าแต่ละคนก็แทบไม่มีทักษะการเอาตัวรอดเลย

    ทุกคนต่างเหนื่อยล้ากับการวิ่งหนีความตายมาตลอดทั้งวัน รวมถึงผู้ชายคนนั้นที่นั่งก้มหน้ากอดอกผิงหลังกับผนังหน้าห้องเพื่อเฝ้าดูอาการว่าจงแดจะเปลี่ยนเมื่อไหร่

    พลันหันไปเห็นนาฬิกาบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสี่สามสิบสองนาที แบคฮยอนจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำอย่างเบาเสียงที่สุด เพื่อล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาหยุดอยู่ข้าง ๆ คนตัวสูงที่ยังคงตกอยู่ในห้วงความฝัน

    ย่อตัวลงนั่งพร้อมหันไปมองใบหน้าคมที่ยังคงไม่ได้สติ ชานยอลคงเหนื่อยจริง ๆ ถึงไม่สะดุ้งตื่นทันทีที่รู้ว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างตัว ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็หมดแรงเป็น ถ้าเกิดปาร์คชานยอลยังนั่งเล่นรูบิกฆ่าเวลาหรือสูบบุหรี่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทั้งคืนก็คงจะเกินมนุษย์ไปสักหน่อย

    แทบดูไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่กำลังหลับสนิทเคยเลือดเย็นมากขนาดฆ่าคนได้เพื่อความอยู่รอด ที่จริงแบคฮยอนเคยตั้งคำถามให้ตัวเองตอนเข้านอน ว่าผู้ชายอย่างปาร์คชานยอลเคยรู้สึกผิดสักเสี้ยววินาทีบ้างหรือไม่ก่อนลงมือฆ่าคน แต่พอคิดอย่างนั้นก็ดูเหมือนจะใจร้ายกับอีกฝ่ายเกินไป เมื่อทุกวันนี้มนุษย์ต่างก็มีเหตุผลที่จะฆ่าใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อความอยู่รอด ปกป้องครอบครัว หรือแม้แต่การฆ่าเพื่อความสะใจ

    จงอินก็เคยทำ อี้ฟาน ลู่หาน เทาก็เหมือนกัน เราทุกคนต่างก็เคยทำร้ายคนอื่นด้วยเหตุผลของตัวเอง และในวินาทีนี้แบคฮยอนก็ไม่อยากเอานิ้วชี้หน้าใครเพื่อบอกว่าคนนั้นดีสุดขั้ว คนนี้ชั่วสุดขีด เพราะเราต่างก็เป็นสีเทา ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาอยากพยายามทำความเข้าใจเหตุผลของชานยอลในทุก ๆ เรื่อง อยากรู้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงตัดสินใจอย่างนั้น หรือคิดอย่างนี้

    คนที่ดูเลือดเย็นแต่ก็ทำเพื่อคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีความผูกพันกันทางสายเลือดแต่ผูกพันกันด้วยใจ ชานยอลเป็นคนไม่ถนัดพูดเรื่องง่าย ๆ ...เขาคิดอย่างนั้นนะ แต่ถ้าเป็นการพูดจาอ้อมโลกให้คิดเอาเองผู้ชายคนนี้ก็ค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียว

    หลับลึกจัง ถ้าเกิดผมเป็นตัวกินคนคุณจะทำยังไง แบคฮยอนพึมพำพลางเอานิ้วชี้แตะแก้มคนตัวสูงเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังคงก้มหน้าหลับอย่างเช่นทีแรก

    ก็แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นที่เขาได้มีโอกาสนินทาอีกฝ่ายในความคิด มือขวาของคนหลับที่เคยกอดอกก็คว้าหมับเข้าที่นิ้วชี้เรียวทันทีโดยไม่มีโอกาสได้ชักกลับ ดวงตาที่เคยปิดสนิทค่อย ๆ ลืมขึ้นก่อนจะเงยหน้ามองตรงไปยังประตู แบคฮยอนยังคงเบิกตาค้างอย่างตกใจ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมาสบตากันท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากไฟฉายดวงเล็ก ๆ ที่ส่องไปยังผนัง

    ลองเดาสิครับว่าผมจะทำยังไงถ้าคุณเป็นตัวกินคน

    ...

    แอบนั่งมองผมหลับแบบนี้แสดงว่านอนเต็มอิ่มแล้วสินะครับเสียงแหบพร่ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ทำให้คนถูกจับถึงกับนั่งตัวเกร็ง แบคฮยอนยิ้มเจื่อนพยายามชักมือกลับ แต่ชานยอลดันเลิกคิ้วมองและไม่ยอมคลายมือออกอีกทั้งยังกระชับแน่นขึ้นเสียอย่างนั้น

    ผมแค่มาปลุกให้คุณไปนอนดี ๆ เพราะเดี๋ยวผมจะได้นั่งเฝ้า --”

    ปลุกผมด้วยวิธีนี้?ไม่พูดอย่างเดียว ชานยอลจับนิ้วมือของเขาขึ้นมาจิ้มแก้มตัวเองอีกครั้งทั้งที่ยังสบตากันอยู่ แบคฮยอนไม่รู้ว่าที่รู้สึกหน้ามืดอย่างฉับพลันเป็นเพราะนอนไม่พอหรือเพราะการกระทำของอีกฝ่ายกันแน่

    แบบนี้ก็ได้พยายามใจแข็งสู้ด้วยการวางมืออีกข้างลงบนท่อนแขนแกร่ง แบคฮยอนจะไม่ยอมแพ้เพราะเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนอย่างเด็ดขาด แต่ชานยอลก็ไม่เคยยอมเด็กเลย แทนที่จะยิ้มขำในลำคอแล้วยีผมเขาเหมือนที่ชอบทำ แต่เจ้าตัวกลับพลิกตัวหันหลังแล้วเอนตัวลงมานอนตักเขาอย่างหน้าตาเฉย

    ขาผมแข็งยิ่งกว่าพื้น

    อ่า อย่างนั้นเหรอครับ?

    ใช่ ก็เคยนอนมาแล้วนี่... แบคฮยอนคิดในใจ

    ผมไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไหร่ ยังไงก็ขอพิสูจน์ก่อนแล้วจะให้คำตอบนะครับ

    นี่คุณ...

    ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ชานยอลยังคงแกล้งเขาจนถึงวินาทีนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางคำพูดหรือการกระทำ ใบหน้าขาวร้อนผ่าวเหมือนจะเป็นไข้แข่งกับคยองซู เพียงเพราะคนบนตักพลิกตัวหันเข้าหาหน้าท้องเขาจนต้องแขม่วลงเพราะรู้สึกแปลก ๆ


    จงใจหรือไง?


    ตัวก็หนักยังจะนอนตักคนอื่น...

    ได้ยินคุณบ่นแต่เช้าแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงคุณแม่ยังไงก็ไม่รู้สิครับ

    ผมไม่ใช่แม่คุณแล้วกัน

    ครับ เพราะผมไม่จูบปากกับคุณแม่

    นอนไปเลย!” แบคฮยอนก้มลงมองค้อนคนตัวสูงที่นอนหลับตาอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งได้สำเร็จ เขาไม่ควรคิดเถียงกับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรก เพราะสุดท้ายคนที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ก็ต้องเป็นบยอนแบคฮยอนอยู่วันยังค่ำ

    ผมตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงคุณเปิดไฟฉายแล้วล่ะครับ

    ...

    นอนไม่หลับหรือว่าหนาวครับ?ชานยอลถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ซึ่งคนตัวเล็กไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไงกับความกังวลในใจที่อีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

    ผมเป็นห่วงจงแดกับคยองซู

    พูดต่อสิครับ ผมฟังอยู่

    ชานยอลไม่ได้ใจเย็นอย่างที่เขากำลังแสดงออกให้อีกฝ่ายเข้าใจ เขาหลับตาลงอย่างผ่อนคลายเหมือนคนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อซึ่งมันคงดีกว่าการลุกขึ้นนั่งสบตากัน ชายหนุ่มอยากให้อีกฝ่ายค่อย ๆ เปิดใจพูดในสิ่งที่รู้สึกอย่างสบายใจ มากกว่าการทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกคาดคั้น

    ถ้าอาการคยองซูไม่ดีขึ้นเราอาจจะต้องไปโรงพยาบาลถูกไหม

    ใช่ครับ

    แต่แถวนี้ไม่มีโรงพยาบาลเลย หรือเราควรจะไปหาคลินิกดีนะ? เจ้าของชื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังพึมพำเบา ๆ คล้ายว่ากำลังพูดกับตัวเอง นิ้วชี้ที่แตะริมฝีปากล่างระหว่างใช้ความคิดนั่นน่ะ น่าเอ็นดูเสียจนคนมองอดยิ้มไม่ได้

    เป็นวิธีที่เข้าท่าดีนะครับ

    จริงเหรอ? ชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบเพื่อเรียกรอยยิ้มจากใบหน้าแบคฮยอนให้มากขึ้นยิ่งกว่านี้มันตรงกับที่คุณวางแผนไว้เลยใช่ไหม?

    เปล่าครับ ในหัวผมไม่มีแผนอะไรอยู่เลย

     
     

    เขาโกหก

     
     

    ...แล้วที่คุณบอกว่าเห็นด้วยล่ะ

    เพราะผมเห็นด้วยจริง ๆ

    คนหนึ่งเงยหน้าขึ้น อีกคนก้มหน้าลง สบตากันและพร่ำกระซิบเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบในช่วงเวลาใกล้รุ่งสาง ชานยอลได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่นอีกอย่างแล้ว ว่าบางครั้งการฟังมากกว่าพูดมันอาจช่วยทำให้ช่องว่างระหว่างคนสองคนลดลง

    อย่างเช่นตอนนี้ที่แบคฮยอนกำลังพูดถึงแผนการในหัวมากมาย มีทั้งเหมือนเด็กอนุบาลคิดและนักวิชาการวัยสี่สิบคิด แต่ไม่ว่ายังไงพัฒนาการของเด็กคนนี้ก็ทำให้เขาเอ็นดูมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

    คุณเข้าไปดูจงแดหรือยัง?

    เข้าไปตอนดวงอาทิตย์ขึ้นน่าจะดีต่อทุกคนมากที่สุดครับ

    อ่า... นั่นสินะ แบคฮยอนมองไปยังประตูบานนั้น และพยายามฟังสิ่งที่ไม่อยากได้ยินซึ่งเขารู้สึกดีเหลือเกินที่ไม่มีเสียงโอดครวญโหยหวนดังออกมาพร้อมเสียงข่วนเล็บไปตามผนัง


    ขอให้ดวงอาทิตย์ยามเช้ามาพร้อมข่าวดีที่พวกเราคาดหวังด้วยเถอะ...

     

     

     

     

     

    เจ็ดโมงสิบหกนาที เป็นเวลาที่ทุกคนตื่นแล้วรวมถึงคนป่วยอย่างโดคยองซูที่รั้นจะขอยืนดูอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ยอมนอนรอฟังผลว่าคิมจงแดยังมีชีวิตอยู่หรือกลายร่างเป็นตัวกินคนไปแล้ว ชานยอลมองแต่ละคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ตั้งแต่คนเจ็บที่ถูกอี้ชิงประคองไหล่ไว้ ถัดไปเป็นซีวอน และแบคฮยอนที่ยืนกำมีดไว้แน่น

    ชายหนุ่มไม่อยากให้คนตัวเล็กทำอย่างนี้ เพราะสิ่งที่ปาร์คชานยอลคิดไว้ก็คือถ้าหากเจ้าหน้าที่หนุ่มเปลี่ยนเป็นพวกมัน เขาก็จะขังไว้ข้างในนั้นโดยไม่เอาของแหลมคมแทงปลิดชีวิตอีกครั้งจนมีโอกาสสบตากันเพื่อสร้างความผิดบาปในใจเป็นครั้งสุดท้าย

    แต่เขาก็ไม่ห้ามถ้าแบคฮยอนคิดจะลงมือ เพราะในอีกแง่หนึ่งมันคงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโลกอันโหดร้ายให้กับคนตัวเล็กมากขึ้น ซึ่งเจ้าตัวยังมีไม่มากพอ ชานยอลไม่ได้คิดว่าทุกคนต้องรับแต่เรื่องแย่ ๆ เหมือนกับเขา แต่ถ้ามนุษย์เรามีจิตใจที่บอบบางเกินไปก็จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างลำบาก

    มือแกร่งหมุนลูกบิดโดยให้เกิดเสียงเบาที่สุด ชานยอลค่อย ๆ ดันประตูเข้าไปพร้อมหัวใจของคนรอความหวังซึ่งเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ เขาเองเช่นกัน... แม้จะค่อนข้างเอนเอียงไปในทางไม่เชื่อ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอในโลกแบบนี้

    ชานยอลได้แต่คาดหวังว่าการคาดเดาของเขาจะเป็นความจริง แต่ถ้าหากเปิดประตูเข้าไปแล้วเห็นว่าคิมจงแดกำลังยืนก้มหน้านิ่ง เราทุกคนคงหมดหวังและใจพังกันพอสมควร

    แม้ระยะเวลาการอยู่ด้วยกันจะทำให้ผูกพันได้ไม่เท่ากลุ่มฝั่งอี้ฟานที่เคยฝ่าฟันความยากลำบากมาตั้งแต่แรก แต่อุทยานและเจ้าหน้าที่หนุ่มใจดีคนนั้นก็เปรียบเสมือนพี่น้องคนหนึ่งที่ไม่มีใครอยากเสียไป คิมจงแดเป็นคนดีมากเกินกว่าจะพบเจอความตายเพราะรอยขีดข่วน ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์รอดจากดงผีดิบในอุทยานมาได้แล้ว

    ชานยอลเพิ่งรู้ตัวว่าเขากลั้นหายใจก็ตอนที่รู้สึกอึดอัด ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอพร้อมมองไปทางซ้ายมือ ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นมันทำให้รู้สึกเข่าอ่อนจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าและถอยออกไปทางด้านขวาหนึ่งก้าว แบคฮยอนเห็นอย่างนั้นจึงลอดผ่านใต้แขนซีวอนเข้าไปดูเพราะความตกใจ

     

    ก่อนจะพบเทปผ้าที่มัดมือมัดเท้าและเอาปิดปากตนเอง

    และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...

    คิมจงแดกำลังหลับ... หลับอย่างที่มนุษย์เราเป็นอยู่ทุกวัน

     

    ...

    ดวงตาที่เคยปิดสนิทค่อย ๆ ลืมขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกุกกัก คนถูกขังมาตลอดทั้งคืนกระพริบตาพร้อมเรียกสติความเป็นมนุษย์ซึ่งมันยังคงมีอยู่ ทุกคนมากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและยืนไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก ก่อนปาร์คชานยอลจะเดินเข้ามานั่งลงยอง ๆ ตรงหน้าเขา และดึงเทปผ้าออกให้อย่างเบามือ

    ครบสิบชั่วโมงแล้วเหรอ... อา... คอแห้งจัง

    ผ... ผมจะไปเอาน้ำมาให้แบคฮยอนตอบหน้าตื่นก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เจ้าหน้าที่หนุ่มหรี่ตามองเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าตอนนี้คิมจงแดยังคงมีลมหายใจ และมีสติมากพอที่จะบอกประวัติของแต่ละคนได้

    เจ้าหน้าที่หนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายเย็นชาที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาออกมาจากอุทยาน ปาร์คชานยอลกำลังช่วยแกะเทปผ้าออกจากข้อมือและข้อเท้าออกให้ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือของคิมจงแดเองที่กลัวว่าตัวเองจะไปทำร้ายใครเข้าถ้าหากเขาเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

    ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นช่างหอมหวานแค่ไหน จงแดถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมสายตาที่หยุดมองพื้นแข็ง ๆ ที่เขาเคยคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มองเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ คิมจงแดไม่อยากทำอะไรเลย เขาเพียงกวาดสายตามองคนรอบข้างที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน ชเวซีวอนและจางอี้ชิงที่กำลังยิ้มบาง ๆ กระทั่งสายตาหยุดอยู่ที่โดคยองซู ซึ่งเด็กคนนั้นที่ไม่ยอมละสายตาไปจากเขาเลย

    เป็นไงบ้าง ไข้ลดแล้วใช่ไหม  

    ห่วงตัวเองก่อนเถอะ

    โห... แบบนี้แสดงว่าดีขึ้นแล้ว

    ไม่มีใครที่จะไม่ยิ้มในเวลาแบบนี้ แม้แต่โดคยองซูที่คิดอยากตายแต่ก็เป็นห่วงคิมจงแดจนไม่สามารถนอนหายใจทิ้งอย่างไร้ค่าอยู่ข้างนอกได้ แบคฮยอนรีบวิ่งเข้ามาพร้อมขวดน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งขวด ทุกคนไม่ทักท้วงถ้าหากว่าจงแดจะดื่มมันจนหมด

    ดีใจที่ได้ยินเสียงคุณนะจงแด

    เจ้าหน้าที่หนุ่มไม่สามารถกักเก็บรอยยิ้มแห่งความปิติไว้ได้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมหันไปมองตนเองในกระจกหน้าตูเสื้อผ้า

    ผมก็ดีใจที่ได้ยินเสียงตัวเองพูดเป็นภาษาคนเหมือนกัน

     

     

     

     

     
     

    สองอาทิตย์แล้วที่ทุกคนจมอยู่กับบรรยากาศซึมเศร้าหลังจากพบเจอความสูญเสียอีกครั้ง ไม่มีใครเคยชินกับความตาย แม้แต่ควอนยูริที่ใคร ๆ คิดว่าเฉยชากับมันมากที่สุด แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับเป็นฝ่ายรู้สึกมากที่สุดเมื่อเจอกับตนเองโดยตรง

    ยูริไม่ยอมออกไปข้างนอก ไม่แม้แต่จะออกมากินข้าวร่วมกับคนอื่นหรือออกไปหาเสบียง เธอเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง มีเพียงโอเซฮุนเท่านั้นที่ควอนยูริยอมปริปากพูดด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นบทสนทนาดี ๆ ซึ่งมันก็ไม่แย่เสียทีเดียวเมื่อสุดท้ายเด็กตัวผอมก็ทำให้เธอยอมกินอะไรบ้าง แม้จะเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ตาม

    อาการของอี้ฟานดีขึ้นเพราะได้ยารักษาที่จงอิน ลู่หาน และเทาออกไปหามาได้จากร้านขายยากับคลินิกซึ่งทุกอย่างล้วนถูกหยิบมาด้วยสัญชาตญาณ แต่กลับใช้ได้จริงเพียงสามสี่ชนิดเท่านั้น

    มินซอกก็ไม่ต่างจากยูริ หลายคนพยายามปลอบว่าไม่ใช่ความผิดของเด็กคนนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ตัดบทและบอกว่าผมรู้

    แม้จะไม่ใช่ต้นเหตุการณ์ตายของจองซูยอน แต่การต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายนั้นด้วยตนเองมันก็หนักหนาเหลือเกินสำหรับเด็กปอดแหกที่ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ผู้หญิงคนนั้นน่าสงสารเกินไปที่ต้องตายทั้งที่ยังมีเรื่องราวอีกมากมายซึ่งยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้บอกความรู้สึกกับโอเซฮุน คนที่มินซอกรู้ดีว่าต่อให้ตายไปก็ไม่มีวันมองเธอแบบคนรักได้

    โดยรวมแล้วสภาพทางร่างกายของทุกคนเริ่มดีขึ้น แต่นั่นไม่ใช่สภาพจิตใจของมินซอกและยูริ

    เปาจื่อ

    ...

    ไปกับพี่

    ลู่หานคว้าข้อมือคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นจากระเบียงชั้นสองของบ้านเก่า ๆ ที่เราทุกคนใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวก่อนคิดตั้งหลักออกเดินทางไปเจอความเลวร้ายอีกครั้ง คราวนี้อี้ฟานยอมอยู่เฉย ๆ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย ผู้ชายคนนั้นคงโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังลำบาก

    จะพาผมไปไหน

    ระวังเตะเก้าอี้ลู่หานไม่ตอบคำถาม แต่กลับจับมืออีกข้างของคนสายตาสั้นให้ขยับออกห่างจากเก้าอี้ที่อยู่ด้านขวามือ มินซอกยังคงไม่มีแว่นใส่ โลกของเขาพร่ามัวมาตั้งแต่วันนั้น วันที่จองซูยอนตายไป

    มึงจะพาเด็กดาดฟ้าไปไหน? เสียงของคิมจงอินมาพร้อมภาพที่มองเห็นได้ไม่ชัด มินซอกเห็นว่าเงาพร่านั้นยืนอยู่ข้างรถซึ่งผู้ชายผิวแทนมักจะใช้เวลาอยู่กับมัน

    จงอินคงพยายามมาก ไม่สิ ตอนนี้ทุกคนก็คงพยายามเหมือนกัน ทั้งครูและเทาที่เสียอึนจีไป คุณซีวอนที่สูญเสียลูกชายอย่างซูโฮ คุณอี้ฟานที่ขาเจ็บเรื้อรัง คิมจงอินที่สูญเสียความทรงจำและพยายามฟื้นมันให้ได้ด้วยตัวเอง ควอนยูริที่สูญเสียคนรัก และโอเซฮุนที่อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเพราะผลกระทบจากการทดลอง

     

     

    แต่เดี๋ยวนะ... เมื่อกี้นี้ผู้ชายคนนั้นเรียกเขาว่า... เด็กดาดฟ้า?

     

     

    จะพาน้องไปหาแว่นใส่ ได้ใช่ไหมครู?ประโยคหลังหันไปทางครูสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการแบ่งเสบียงอาหารอันน้อยนิดที่เพิ่งหามาได้ ปาร์คกาฮีมองลูกศิษย์ซึ่งเธอรู้ว่าอีกฝ่ายคงเห็นอะไรได้ไม่ชัด ก่อนจะเปลี่ยนไปสบตากับผู้ชายบ้าดีเดือดที่ช่วยให้เราทุกคนรอดมาจนถึงทุกวันนี้

    เธอรู้สึกขอบคุณที่ลู่หานคอยอยู่กับมินซอกในช่วงเวลาที่เด็กคนนั้นต้องการอยู่ตามลำพัง ซึ่งมีแค่ผู้ชายอย่างลู่หานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้อีกฝ่ายพูดได้แม้จะแลกมากับความเย็นชา แท้จริงแล้วลู่หานเป็นคนนิสัยยังไงกันนะ? นั่นคือสิ่งที่ปาร์คกาฮีพยายามมองชายหนุ่มมาตลอด ทั้งออกไปหาเสบียงเพื่อคนอื่น ๆ ทั้งคอยทำให้บรรยากาศตึงเครียดดีขึ้น

    คืนแรกที่เราทุกคนต้องอยู่โดยไม่มีจองซูยอน เธอจึงมีโอกาสได้นั่งคุยกับอี้ฟานเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต จนโยงไปถึงเรื่องลู่หานซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะกลับเข้าสู่สภาพปกติได้เร็วกว่าใคร แทบจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งยกเว้นตอนกรณีของซูโฮที่มีผลต่อจิตใจมากที่สุด เพราะเด็กคนนั้นและคนเป็นพ่ออย่างซีวอนคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตลู่หานไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะดูไม่เสียใจกับการตายของคนอื่นเลย

    อี้ฟานยิ้มบาง ๆ เพียงเท่านั้น ก่อนจะบอกเธอว่า อาจเป็นเพราะโลกนี้มีแต่คนกำลังเศร้า เขาเลยต้องเป็นคนตลกล่ะมั้งครับและทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ปาร์คกาฮีจึงรู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เพราะถ้าหากมองจากภายนอกแล้วลู่หานก็คงถูกมองไม่พ้นผู้ชายบ้าดีเดือดที่พร้อมจะทำอะไรก็ได้เพื่อครอบครัว เป็นคนที่ดูเหมือนจะปรับตัวง่าย แต่แท้จริงแล้วเขาคนนั้นก็เป็นเพียงผู้ชายละเอียดอ่อนที่อยากทำเพื่อคนอื่นเท่านั้น


    ลู่หานไม่มีครอบครัว นั่นคือเหตุผลที่เขาทำเพื่อพวกเรามากถึงขนาดนี้


    อู๋อี้ฟานไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด หลังจากได้ยินอย่างนั้น ปาร์คกาฮีจึงเลือกมองอีกฝ่ายใหม่ เลือกมองข้ามความทะเล้นที่ช่วงหนึ่งเธอได้พูดคุยกับผู้ชายคนนั้น ตอนที่ลู่หานพยายามจะพูดความจริงว่าควอนยูริกับจองซูยอนเป็นมากกว่าที่ทุกคนเห็น

    ระวังตัวด้วยนะคะหญิงสาวกล่าวสั้น ๆ เพื่อให้รู้กันเพียงสองคน ซึ่งสายตาของลู่หานที่มองมาโดยไม่มีคำพูดกวนประสาท เธอจึงรับรู้ได้ถึงความจริงจังของผู้ชายคนนั้น และเชื่อใจว่าลู่หานจะดูแลและสอนให้ลูกศิษย์ของเธอเข้มแข็งได้

     

     

    ครูรู้ใช่ไหมว่ามันถึงเวลาแล้ว

    ค่ะ

    ถ้ามินซอกดูแลตัวเองไม่ได้ น้องก็จะกลายเป็นเหมือนอึนจีกับซูโฮ พอถึงตอนนั้นครูกับไอ้เทาอาจจะพลาดไปด้วยเพราะเอาแต่พะวง

    ฉันรู้ค่ะลู่หาน ฉันรู้เป็นอย่างดีเลย

    ครูไว้ใจผมไหม ถามแค่นี้

    ...

    ถ้าครูไว้ใจ ผู้ชายนิสัยส้นตีน ๆ อย่างผมก็พร้อมจะสอนน้องป้องกันตัวเองให้ได้ ขอแค่ครูพูดมาคำเดียว

     

     

    รีบกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะคะ

    ลู่หานพยักหน้าหลังจากได้คำตอบที่เคยคุยค้างกับครูสาวไว้แล้ว หนุ่มตี๋จูงมือคนสายตาสั้นให้เดินไปที่รถพร้อมเปิดประตูให้อย่างเสร็จสรรพ มินซอกมองตามภาพพร่ามัวที่เดินอ้อมไปยังที่นั่งฝั่งคนขับและออกรถในเวลาอันสั้น เพียงครู่เดียวทั้งคู่ก็ออกสู่ตัวถนน

    ไม่มีใครเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน ถ้าเทียบกับอาทิตย์แรกที่ลู่หานพยายามเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนคนตัวเล็กเมื่อมีเวลาว่าง มินซอกไม่รู้ว่าควรรู้สึกดีหรือไม่ ทุกอย่างมันครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปหมดจนไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกตัวเองได้ เขากำลังเสียใจแต่ก็อยากให้ลู่หานอยู่ใกล้ ๆ หลังจากตระหนักได้แล้วว่าชีวิตนี้มันช่างสั้นนัก คนตัวเล็กไม่อยากวิ่งหนีความรู้สึกอีก แต่การทำตามใจตัวเองก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน

     

     

    ยังต้องกลัวอะไรอีก...?

    ระหว่างตายไปโดยไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับลู่หาน กับทำทุกอย่างตามที่ใจต้องการ พอถึงตอนนั้นเขาก็คงนอนตายตาหลับแล้วไม่ใช่หรือไง?

     

    นี่

    อือ

    ไม่อยากออกมากับพี่เหรอ

    คำตอบของผมเคยมีผลต่อการตัดสินใจของคุณด้วยหรือไง

     

    เอาอีกแล้ว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะตอบให้มันรื่นหูกว่านี้แท้ ๆ

     

    นั่นสินะถ้าให้เดาจากเสียง ตอนนี้ลู่หานคงไม่ได้รู้สึกแย่กับคำตอบของเขาอย่างที่กังวลอยู่ลึก ๆ ในใจ แต่มินซอกก็ไม่กล้าอธิบายหรือแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาอ่อนลงกว่าเดิมมากแค่ไหน

    ตรงเบาะหลังมีของอยู่ในถุงอะ หยิบให้พี่หน่อยดิ

    คนตัวเล็กไม่ได้ทำตามในทันที แต่ก็เอื้อมไปหยิบให้โดยไม่ตั้งคำถาม เขาเปิดถุงออกเพื่อจะยื่นให้ แต่ไม่ทันไรก็ต้องค้างอยู่ท่านั้นเมื่อเห็นว่าที่ถือไว้คือกล่องใส่แว่นตา

    ลองใส่ดู แล้วบอกพี่ด้วยว่ามองเห็นชัดไหม ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้ก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดีว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ มินซอกมองภาพพร่ามัวก่อนจะสวมแว่นเข้าไป

     

     

    และสิ่งแรกที่มองเห็นได้ชัดที่สุดก็คือรอยยิ้มของผู้ชายบ้า ๆ ชื่อลู่หาน

     

     

    เปาจื่อ อันนยอง!” ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงทะเล้นจนเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ลู่หานมองถนนสลับกับมองเขาคล้ายว่าจะรอดูท่าที ซึ่งมินซอกก็เอากล่องแว่นใส่ถุงไว้แล้ววางลงตรงช่องวางเท้าเบาะหลัง

    ที่บอกว่าจะพาไปร้านแว่นก็คือเรื่องโกหกสินะ

    ที่จริงก็จะพาไปนั่นแหละ แต่เพิ่งนึกได้เมื่อกี้นี้ว่าเผลอหยิบติดมือมาด้วยตอนออกไปหาเสบียงเมื่อวาน เฮ้อ เริ่มมีอายุแล้วก็ขี้ลืมอะเนอะ ดูอี้ฟานเป็นตัวอย่างได้เลย แต่อย่านับไอ้จงอินนะ อันนั้นแม่งลืมทุกอย่างแม้กระทั่งการแคะนิ้วตีนชักแม่น้ำทั้งโลกมาแถพร้อมชำเลืองมองใบหน้าเรียบเฉยของคนข้าง ๆ เพื่อเช็กดูว่าเจ้าตัวดีใจหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นการคาดหวังสูงเกินไปเมื่อเป็นคิมมินซอก

    แล้วก็ปล่อยให้ผมมองไม่เห็น ทั้งที่คุณก็มีแว่นอยู่แล้ว

    โห มองตาแข็งแบบนี้แสดงว่าแว่นอันนี้พอดีแรงมาก ไงจ๊ะ เห็นความหล่อพี่ชัด -- โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!” พูดยังไม่ทันจบคนทะเล้นก็ถูกบิดหูจนต้องยืดตัวไปตามแรงดึง

    ลู่หานเหยียบเบรกจนได้ยินเสียงล้อรถ กลางถนนซึ่งรอบข้างมีทั้งต้นไม้และแม่น้ำ เขาแกล้งทำเป็นถอนหายใจฮึดฮัด หันไปมองตาขวางใส่ความน่ารักของโลกใบนี้ที่เขาหวงเสียยิ่งกว่าอะไร แต่มินซอกยังคงมองนิ่ง ซึ่งหนุ่มหน้าตี๋ไม่สนแล้วว่าอีกฝ่ายจะหงุดหงิดหัวเสียสักแค่ไหนที่ถูกเขาลากออกมาข้างนอก

    มองหาหัวใจเหรอ โอ๊ย!!!” คนพูดมากถูกตบจนหน้าหัน ถึงจะเจ็บนิด ๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความรักที่อีกฝ่ายส่งมาถ้าลู่หานไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปตบได้ตบดี! เดี๋ยวก็จับปล้ำตรงนี้ซะเลย!”

    เอาแต่ทำตัวเหมือนคนบ้าตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้วนะ ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ควรแสดงออกสิ ไม่ใช่เอาแต่ทำเพื่อคนอื่นอยู่ได้

    ...

    ไม่รู้หรือไงว่าใจคุณไม่ใช่ก้อนหิน คุณก็มีสิทธิ์เศร้า มีสิทธิ์เสียใจเหมือนกัน

    นับไม่ได้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ลู่หานถูกคิมมินซอกตอกหน้ากลับมาด้วยความจริงซึ่งปฏิเสธไม่ได้ ชายหนุ่มนิ่งไปหลังจากได้ยินคำพูดของคนข้าง ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็สังเกตเขาอยู่เหมือนกัน มันทำให้คนที่ทำตัวเป็นบ้ามาตลอดถึงกับนิ่งไป และรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

    ลู่หานไม่ใช่คนเข้าใจความรู้สึกมนุษย์ได้อย่างถ่องแท้ ไม่เลยสักนิด เขามักจะใช้สัญชาตญาณตัดสินทุกอย่าง แม้แต่การคาดเดาว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร หรือคิดอะไร บางครั้งเวลาดีใจก็ระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนคนโง่ แต่เวลาเสียใจก็นั่งเงียบ ๆ แล้วบอกกับตัวเองว่าต้องรีบดีขึ้นให้เร็วกว่าคนอื่น เพราะถ้าหากเขาอ่อนแอ คนรอบข้างก็คงเข้มแข็งไปกว่านั้นไม่ได้

    จงอินเป็นเพียงคนเดียวที่เขายอมพูดด้วยทุกเรื่อง ยกเว้นความเสียใจที่เราต่างรู้ดีว่ามันเป็นยังไง ลู่หานและเพื่อนสนิทไม่ค่อยอยากพูดเรื่องเลี่ยน ๆ อย่างนั้นสักเท่าไหร่ เพราะจากที่เคยลองตอนสมัยอยู่โรงเรียนก็ชวนให้ขนลุกพอสมควร ดังนั้นการได้ยินมินซอกตอกหน้ากลับมา จึงทำให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกใส่ใจ

     

     

    ซึ่งผู้ชายอย่างลู่หานแทบไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านั้นเลยในชีวิต

     

     

    ตั้งแต่เรื่องวันนั้น พี่ก็รู้สึกแย่มาตลอดที่เข้าไปช่วยเปาจื่อด้วยตัวเองไม่ได้

    ...

    ได้ฟังแล้วอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ โอเคปะ? ลู่หานพูดกลั้วหัวเราะ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนที่สุดที่มินซอกเคยเห็น แต่ก็เพียงครู่เดียวผู้ชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน พี่เผชิญหน้ากับความกลัวมาตลอด ทั้งกลัวว่าจะสูญเสียใครไปอีกไหม กลัวว่าจะพลาดถูกกัดตายเข้าสักวัน แล้วพี่ก็ชนะมันทุกครั้งด้วยการทำใจยอมรับมัน

    ลู่หานไม่ได้หันมาสบตากัน ผู้ชายคนนี้เพียงทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าเพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าตอนนี้ผู้ชายที่ดูเข้มแข็งมากที่สุดกำลังอ่อนไหวมากแค่ไหน

    แต่พอคิดว่าถ้าวันหนึ่งพี่ต้องเสียเปาจื่อไป พี่คงเป็นบ้าแน่

    มินซอกอาจจะเชื่อหรือคิดว่าเขากำลังเรียกร้องความเห็นใจด้วยความจริงเหล่านั้นก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงทุกอย่างก็ออกมาจากความรู้สึกที่ไม่เคยได้บอกใครให้รู้ ซึ่งชายหนุ่มอยากพูดมันในตอนที่ยังมีโอกาสอยู่ บอกให้มินซอกได้รู้ว่าเขารักและหวงแหนคนตัวเล็กมากแค่ไหน

    เพราะงั้นเข้มแข็งหน่อยนะ พี่จะพยายามสอนให้เข้าใจง่าย ๆ เราเป็นคนมีไหวพริบอยู่แล้ว ถ้ามีความกล้าพี่เชื่อว่า --”

    ยังพูดไม่ทันจบคำพูดเหล่านั้นก็ถูกตัดบทด้วยริมฝีปากของคนที่นั่งฟังมาตลอด ลู่หานเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้เขากำลังถูกเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่เก่งเรื่องใจแข็งจูบโดยไม่ทันได้ตั้งตัว คนที่เคยหาทางออกได้ทุกสถานการณ์เพียงนั่งนิ่งและถามตัวเองว่าควรทำอะไรดีระหว่างจูบตอบอย่างคนที่รอเวลานี้มานาน หรือปล่อยให้มินซอกทำตามที่ใจต้องการกันแน่

    ริมฝีปากสีเชอร์รี่ค่อย ๆ ถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง ลู่หานยังคงนั่งตัวแข็งเป็นหินหลังจากช็อกกับสิ่งที่เขาทำลงไป แต่นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่มินซอกต้องให้คำตอบอีกฝ่าย

    ผมรู้ว่าต้องทำอะไร เพราะงั้นก็ฝากตัวด้วยล่ะ

    ...ลู่หานไม่คิดว่าเรื่องฝึกจะกลายเป็นหัวข้อสำคัญในเวลานี้อีกแล้ว หนุ่มหน้าตี๋สาบานเลยว่าเขาพยายามจริงจังและบอกตัวเองว่าควรเริ่มต้นหยิบจับอะไรสักอย่างมาให้มินซอกใช้เป็นอาวุธ แต่เวรกรรมเหลือเกินที่สายตาของเขากลับเอาแต่มองริมฝีปากของอีกฝ่ายไม่ห่าง

    อะ... อะไร

    อะไรล่ะเอ้อ... หนุ่มตี๋ปั้นหน้าตายพลางกลอกตาระหว่างปรับตัวและหัวใจให้คงอยู่ในสภาพปกติ แต่แม่งก็ยากจริง ๆ ให้ตายเถอะห่า ใครจะไปรู้ว่าออกมาแล้วจะได้อะไรดี ๆ อย่างนี้แบบไม่ได้ตั้งตัว รู้งี้พาออกมาตั้งนานแล้ว

     

     

    แต่พูดก็พูดเหอะว่ะ

     

     

    ขออีกทีแล้วกัน

    ชายหนุ่มคว้าท้ายทอยคนตัวเล็กไว้แล้วกดริมฝีปากลงไปอย่างไม่กักเก็บความรู้สึกอีก ลู่หานทนมานานเกินไปแล้ว ทนที่จะให้เกียรติเด็กคนนี้เพื่อแลกความรู้สึกดี ๆ กลับมา ซึ่งไม่รู้เลยว่าที่ทำไปทั้งหมดมันได้ผลบ้างหรือไม่ มินซอกเกลียดขี้หน้าเขาตั้งแต่เรื่องจูบแบคฮยอน และผู้ชายคนนี้ก็เกลียดตัวเองเต็มกลืนที่ทำอะไรโง่ ๆ อย่างนั้น

    ถึงแม้ปัจจุบันมินซอกจะยอมให้เข้าใกล้กว่าเดิมอีกนิด แต่บอกตามตรงอย่างคนโลภมากเลยว่ามันยังไม่พอ

    ลู่หานยังคงโหยหา อยากสัมผัส อยากจูบ อยากกอดเด็กคนนี้เหมือนคู่รักทั่วไป อยากพูดหวาน ๆ หยอกล้อโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเผลอทำอะไรโง่ ๆ ออกไปทำร้ายจิตใจมินซอกหรือไม่ ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนสนิทอย่างไอ้จงอินกับเด็กกรงหมาสวีทกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลู่หานต้องการแบบนั้นเพื่อเยียวยาหัวใจตัวเองให้อยากฮึดสู้ในวันต่อ ๆ ไป

    ริมฝีปากที่ห่างเหินไปนานเปลี่ยนจากความอ่อนโยนเป็นบดขยี้จูบจนได้ยินเสียงหอบหายใจ มินซอกไม่ได้ผลักใสอีกทั้งยังยอมให้ลิ้นของเขาได้แสดงความเอาแต่ใจอย่างไม่รังเกียจ ซึ่งทำให้คนอย่างเขารู้สึกว่าได้คืบแล้วอยากได้ศอก

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาลู่หานรู้สึกได้ถึงช่องว่างที่เขาขีดไว้ให้อีกฝ่ายเพื่อความสบายใจ แต่ตอนนี้มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เมื่อความโหยหาทั้งหมดในใจได้ถูกเติมเต็มด้วยสองมือเล็ก ๆ ซึ่งวางลงบนไหล่ของเขา

    มินซอกยังต้องการผู้ชายนิสัยไม่ดีอย่างนี้อยู่ไหม คิดถึงเขาบ้างหรือเปล่าในช่วงเวลาที่เราต้องการกันและกันมากที่สุด?

    ทั้งคู่ถอนริมฝีปากออกมาสบตากัน อาจจะสักสามวินาทีเท่านั้นจูบครั้งที่สามก็เริ่มต้นอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หัวใจที่เคยแสร้งทำเป็นเข้มแข็งของคนสองคนกำลังถูกเติมเต็มโดยคนเดิม จูบของลู่หานยังคงอบอุ่นแม้คนทั้งโลกจะมองว่าผู้ชายคนนี้ไม่เหมาะสมกับคำนั้น

    ลู่หานถอดแว่นที่เป็นอุปสรรคโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนจะคว้าร่างคนใจแข็งให้ขึ้นมานั่งบนตัก มองจากตรงนี้วิวดีจนอยากเก็บไว้ดูคนเดียว ถ้าโดนตบตอนนี้ก็ยอมแล้ว ลู่หานจะไม่หยุดจนกว่าจะได้ฟัดมินซอกให้หาย

     

     

    หาย... อะไรวะ

    เออ ช่างเหอะ ตอนนี้อะไร ๆ ก็ไม่จำเป็นเท่ากับเด็กคนนี้อีกแล้ว

     

     

    เดี๋ยวแว่นก็หักหรอก

    เดี๋ยวพี่หามาให้เหยียบเล่นอีกสิบอันเลยหนุ่มตี๋ปรับเบาะให้ถอยไปข้างหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้เราสองคน ก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนที่กำลังหน้าขึ้นสีจัดเพราะท่าประหลาด ๆ ที่ชาตินึงลู่หานจะมีโอกาสได้มองจากมุมนี้

    หายใจแรงเกินไปแล้ว น่าเกลียด

    ก็พี่หื่นอะ ให้ทำไง

    ใช้มือสิ ถามอะไรโง่ ๆโธ่หนูน้อย ปากก็ด่าเอา ๆ แต่สองมือที่เมื่อก่อนเอาแต่เคยทุบดันโอบแก้มเขาเอาไว้เหมือนว่าเอ็นดูไอ้โจรกระจอกคนนี้นักหนา

    ใจคอจะให้พี่ใช้มือจริง ๆ เหรอ

     

     

    CUT

    (WELCOME TO MALINWORLD)

     

     

     

     

     แห้งกันมานานมากแล้วสินะคร๊ออนนี่

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×