คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #112 : Chapter 107 :: Precious (100%)
Chapter 107
Precious
“เอื้ออออออออออออออออออร์”
“นั่นเสียงหาวหรือเสียงวัวโดนเชือด”
“มันคือเสียงหัวใจ -- โอ๊ยยยยยยยยยยย”
ยังม่อไม่ทันจบหน้าก็ทิ่มกลิ้งตกบันไดไปกองกับพื้นหน้าบ้าน ลู่หานกุมศีรษะพลางมองไปยังเด็กแว่นที่กำลังมองเขาแถมยังยิ้มเยาะเล็ก ๆ เหมือนจะสะใจเหลือเกินที่ได้ลงไม้ลงมือ
“พี่นี่หายง่วงเลย”
“ถ้าง่วงก็ไปนอนสิ ไม่มีใครบังคับให้มานั่งรอสักหน่อย คุณอี้ฟานก็แค่ถามหาจงอินเฉย ๆ”
“ไม่ได้หรอก ถ้าหนีไปนอนแล้วปล่อยให้เรานั่งรอไอ้วอกนั่นแทนพี่จะกลายเป็นเพื่อนเหี้ยเลยนะ”
“ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่ดีเหรอ?” คำถามนี้แบบจุกสุด รู้สึกลั่นเหมือนเอาไวไบรเตอร์ทั้งโลกมารวมกันบนหน้ากู
“แต่เป็นแฟนที่ดีนะ”
“ให้พูดอีกที”
“เป็นแฟนที่ส้นตีนก็ได้จ้ะ” พูดจบก็กอดแขนซบไหล่แฟนจ๋าอย่างออดอ้อน ล้อเล่นไม่ได้เลยคนนี้ มือไม้มาไวตลอด
“เฮ้ย เห็นเซฮุนปะวะ?” มินซอกผลักหน้าลู่หานออกจากไหล่ตนเองอย่างแรงเมื่อได้ยินเสียงของหวงจื่อเทา คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองหน้าเพื่อนตัวสูงที่มาพร้อมวิทยุเก่า ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเทาพยายามจะซ่อมแซมมัน
“ยังไม่ตื่นหรือเปล่า ฉันได้ยินคุณอี้ฟานคุยกับครูว่าจะให้เซฮุนกินยาแล้วพักผ่อน เพราะเมื่อคืน...” พูดจบก็หันไปคาดโทษคนรักที่เคยนั่งอยู่ข้างตัวแต่ตอนนี้ดันวาร์ปไปยืนบนพื้นแล้ว ทีอย่างนี้ทำเป็นกลัวโดนตบ
“เมื่อคืนอะไร?”
“เขาออกไปรับลมกับหมา”
“หมาเลยเร้อ” ลู่หานดัดเสียงเล็กถามหน้านิ่ง เทาจึงขมวดคิ้วแล้วหันมาหาเขาพร้อมฉายแววตาสงสัย “กูเองแหละ”
“เมื่อก่อนเป็นแค่ปาก เดี๋ยวนี้มึงอัพเกรดเป็นหมาทั้งตัวแล้วเหรอวะ?” เด็กหนุ่มชาวจีนพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะตบบ่ามินซอกปุ ๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้านเพื่อชวนเซฮุนซ่อมวิทยุเล่นฆ่าเวลา เขาเพิ่งเก็บมันได้ตอนขับรถออกไปเซอร์เวย์หมู่บ้านอื่น มันคงดีถ้าหากเราหาอะไรทำแทนที่จะนั่งคิดไม่ตกว่าคิมจงอินหายหัวไปไหน
“คนใจร้าย”
“คิดว่าน่ารักใช่ไหมถึงได้ทำหน้าทำตาแบบนั้น” มินซอกหรี่ตามองอีกคนที่อมลมแก้มป่อง มองตาปริบ ๆ แถมยืนบิดจนน่าเตะให้กระเด็น
ลู่หานเบะปากแล้วถลาเข้าไปนั่งบันไดขั้นต่ำกว่า เอาคางเกยหัวเข่ามินซอกพร้อมทำหน้าเหมือนแมวส้มในการ์ตูนเรื่องเชร็ค คนตัวเล็กแสร้งทำเป็นไม่สนใจอยู่เกือบครึ่งนาที แต่สุดท้ายคนซึนก็ยอมก้มลงมาสบตากับเขาจนได้
“ยังอายไอ้เทาอยู่อีกเหรอ”
“ทำไมต้องถามในสิ่งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว”
“โธ่เปาจื่อ เคยได้ยินคำว่า ‘ความลับไม่มีในโลก’ ไหม เราสองคนปิดเรื่องคบกันได้ไม่นานหรอก สักวันก็ต้องมีคนรู้” และทุกคนก็จะแบบ อ้าวเหรอ ทำไมเพิ่งเปิดตัวล่ะ คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไรเงี้ย
“แต่เราทำให้คนอื่นไม่รู้ก็ได้นี่”
“ถ้ากำลังแชทกันอยู่ พี่จะบอกให้เราเลื่อนขึ้นไปอ่านประโยคข้างบนอีกรอบ” เดือดละนา ทีบนเตียงไม่เห็นจะใจแข็งแบบนี้!
“แต่บังเอิญว่าเราดันนั่งคุยกันอยู่หน้าบ้านนี่สิ”
“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนะเปาจื่อ”
“แต่ความจริงจะทำให้ผมตายถ้าคนอื่นมองหน้าผมเหมือนอยากถามว่า ‘ที่อยู่กับลู่หานทุกคืนน่ะไม่ใช่แค่พี่น้องกันเหรอ? ทำอะไรกันนอกเหนือจากนอนเฉย ๆ หรือเปล่า?’”
“ก็ตอบไปเลยว่าป๊าบ ๆ -- โอ๊ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“ป๊าบเหรอ?” บทนี้อย่างดุ พูดเสียงลอดไรฟันพร้อมตบกบาลจนหูได้ยินเสียงวิ๊งวั๊งเลย ลู่หานนั่งนิ่งพลางหายใจฮึดฮัด ยืนขึ้นเต็มความสูงอันน้อยนิดที่มีอยู่พร้อมกอดอกขู่อย่างผู้ชนะสิบทิศ
“เปาจื่อ แบบนี้พี่ไม่ไหวแล้วนะ ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกันเราก็ต้องมีข้อตกลงกันหน่อยแล้ว”
“อะไร”
“ให้เกียรติพี่บ้างดิวะ ไม่ใช่ตบเอาตบเอา นี่อายุมากกว่านะ ไม่ใช่เพื่อนเล่น เห็นพี่ยอมมาตลอดเลยคิดว่าจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอวะ”
“แล้วจะให้ผมทำไง” มินซอกถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ยอมอ่อนข้อให้ ก่อนคนที่ฝืนเก๊กทำเป็นขรึมจะย่อตัวนั่งลงกำสองมือเหมือนหมาแล้วทำหน้าแบ๊วใส่เขา
“ตบพี่แค่วันละห้าครั้งก็พอโน๊ะ”
“...”
“แล้วพี่ยู่หานจาเป็นเด็กดี”
ยัง... ยังอีก... ยังไม่เลิกแบ๊ว
“ได้ วันนี้ผมเหลือโควตาอีกสามครั้ง งั้นขอใช้สิทธิ์เลยแล้วกัน”
“เดี๋ยว!” ลู่หานตาโต รีบคว้าข้อมือเล็กไว้พลางส่ายหน้ารัว “จะรีบใช้อะไรละเอ้อ! เพิ่งห้าโมงเย็นเองนะ เหลือเวลาอีกตั้งกี่ชั่วโมงกว่าจะหมดวัน”
ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง ท่ามกลางเสียงนกเสียงไม้และสายลมหวีดหวิวตอนใกล้สิ้นสุดฤดูหนาว ลู่หานเบะปากเรียกร้องความเห็นใจก่อนจะยิ้มกว้างทันทีที่เห็นว่าในที่สุดคนจอมซึนก็ยอมยิ้มเพราะเขา
“พี่อยากกัดปากเราอะ”
“เป็นหมาหรือไงถึงได้อยากกัดไปหมด” มินซอกชักมือกลับ คนเจ้าเล่ห์จึงแกล้งสำออยถลาไปตามแรงจนซบกับซอกคอคนตัวเล็ก
“โฮ่ง”
“ไอ้บ้าเอ๊ย” เด็กแว่นพยายามกลั้นยิ้ม หันซ้ายขวาเพื่อดูว่าตอนนี้มีคนมองอยู่หรือไม่ ก่อนจะก้มลงมองผู้ชายบ้าบอคอแตกที่กำลังออดอ้อน เอาหัวถูไถราวกับสุนัขอยากได้ความรักจากเจ้านาย
“...”
ทั้งคู่หันไปตามเสียงท่อบิ๊กไบค์ที่ขับกลับมาจอดอยู่หน้าบ้าน มองชายหนุ่มผิวแทนที่ถอดหมวกกันน็อกเต็มใบออกแล้วมองหน้าลู่หานด้วยแววตาเรียบเฉย
“มึงมานี่”
“ไร”
“ไรพ่อง จะมาไม่มา”
ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะมองเพื่อนสนิทที่โชว์เหนือด้วยการบิดมอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้านแถมขู่เขาด้วยเสียงโหด ๆ ทั้งที่ฝีมือตอนนี้ก็กระจอกงอกง่อย แหม่... หายหัวไปครึ่งค่อนวันยังมีหน้ามาทำเข้มใส่ เดี๋ยวปั๊ดตบเกรียนแตก
“แม่งต้องล่อพี่แน่ ๆ” หนุ่มตี๋นั่งห่อไหล่พร้อมซบคนตัวเล็กกว่า สายตาของไอ้จงอินตอนนี้เหมือนอยากจะลากเขาไปแดกในน้ำพร้อมถามว่าเมื่อคืนมึงคิดเชี่ยไรอยู่ถึงพาเซฮุนออกไปข้างนอกโดยไม่บอกกู
“สัด หูหนวกเหรอ”
“มึงก็เดินมาคุยตรงนี้ดิ เสียงจะได้ชัด ๆ”
“จะเดินมาเองหรือจะให้กูไปลากคอมึง” จงอินเลิกคิ้วมองขู่เหมือนจะบอกว่ามันเอาจริงแน่ถ้าหากว่าเขายังเล่นตัวไม่เลิก ลู่หานขยับปากสบถคำหยาบทุกคำบนโลกนี้ขณะมองหน้าเพื่อน ก่อนจะสบตากับแฟนจ๋าอย่างนึกเสียดายเวลาดี ๆ ที่ควรจะได้จิ๊จ๊ะกัน หนุ่มตี๋เดินถอยหลังออกมาจากตรงนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ พร้อมขยิบตาส่งจูบให้
“ถ้าพี่เป็นอะไรไปก็ฝากดูแลคาตาน่ายอดรักด้วยนะ ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยรักกัน ต่อให้ร่างกายพี่แหลกสลายแต่ใจพี่อยู่ตรง -- เอื้อออออออออ!!” ยังเพ้อเจ้อไม่ทันจบ หลังคนปากมากก็แอ่นไปข้างหน้าเพราะถูกเขวี้ยงหมวกกันน็อกใส่
มินซอกสะดุ้งอย่างตกใจพลางมองสภาพคนรักที่ล้มหน้าคะมำกับพื้น ก่อนจะเลื่อนระดับสายตาไปทางคิมจงอินที่กำลังบิดคันเร่งปัดท้ายกลับรถจนฝุ่นตลบ “เซฮุนล่ะ?”
“คงนอนอยู่ข้างใน ให้ผมไปตามไหม?” หลังจากได้ฟังคำตอบของมินซอก ชายหนุ่มผิวแทนจึงหลุบสายตาลงครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไอ้เชี่ยลู่หาน แม่มึงเอากับหอยทากจนเกิดเป็นมึงใช่ปะห่า ช้าจังไอ้ฉิบหาย” คนถูกกระทำยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเหยเก บิดเอวอยู่ทีสองทีก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนตัวดีที่เพิ่งประทุษร้ายกันกลางวันแสก ๆ ถ้าวันนี้กูไม่ฟินเพราะได้เต๊าะมินซอกมึงได้จมตีนกูแน่คิมจงอิน
“กูมาแล้ว พอใจไหมไอ้ส้นตีน”
“ขึ้นมา”
“ว้อท?”
“เก็บหมวกกันน็อกขึ้นมาใส่แล้วย้ายก้นมึงขึ้นมา”
“เดี๋ยว ๆ มึงควรกลับเข้าไปบอกอี้ฟานก่อนไหมว่าหายหนังหน้าไปไหนมาทั้งวัน” ลู่หานจิ๊ปากรัวพลางมองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดปลายตีน วันนี้มันดูคูลเป็นพิเศษ แถมมีกลิ่นเหล้าอ่อน ๆ อีก แอบไปแดกคนเดียวไม่ชวน
“เด็กดาดฟ้า ฝากบอกอี้ฟานด้วยว่าฉันกับไอ้ลู่หานจะออกไปข้างนอก”
“อื้ม”
“จะเอาให้ได้เลยช่ะ?” ลู่หานจีบปากจีบคอพูด ก่อนจะมองไปตามปลายตีนของเพื่อนสนิทซึ่งชี้ไปยังหมวกกันน็อก “ทำไมกูต้องใส่วะ”
“ไม่ใส่ก็ได้ แต่ถ้ากูพามึงขับแหกโค้ง สมองมึงก็จะกระจายเต็มถนนรอพวกกินคนมาแดก”
“อะหื้ม... มาทั้งภาพทั้งกลิ่น” หนุ่มตี๋พึมพำพร้อมก้มลงเก็บหมวกกันน็อกเต็มใบขึ้นมาใส่ “โอเคยังคะอีวอก”
“แสนรู้” จงอินตบหมวกกันน็อกเพื่อนสนิทจนหัวสั่น “เวลาแหกโค้งมันจะได้ช่วยห่อสมองมึงไว้เป็นชิ้นเดียวกัน”
“เอารถยนต์ไปก็ได้ปะ ไอ้ฉิบหาย ตั้งแต่มาถึงนี่มึงหยุดพูดถึงหนทางแห่งความตายยัง” ลู่หานบ่นเป็นหมีกินผึ้ง แต่สุดท้ายก็ก้าวขาคาบบิ๊กไบค์คันสูงที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยเรื่องขา “เดี๋ยวพี่รีบกลับมานะที่รัก”
“โชคดีสำลีอุดจมูก” คนฟังถึงกับยิ้มแห้งในคำอวยพรสุดน่ารักของแฟนจ๋า ใจคอก็จะดุดันยันวินาทีสุดท้าย
“มึงสองคนดูรักกันดีนะ”
“ก็คิดดูเอาว่าถ้าเกลียดหนังหน้าจะด่ากูขนาดไหน”
ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มขำกับคำตอบก่อนจะใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ เขามองเข้าไปยังบ้านพักเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมนึกไปถึงใครอีกคนที่เขาหวังว่าจะนอนหลับพักผ่อนอย่างที่เด็กดาดฟ้าว่าจริง ๆ
เวลาเกือบหกโมงเย็นชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ข้างริมแม่น้ำซึ่งมีอาคารบ้านเรือนและภูเขาเป็นจุดหยุดสายตาอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ท้องฟ้าสีส้มกลมกลืนไปกับความมืดซึ่งกำลังจะเข้ามาแทนที่ สายลมหวีดหวิว เบียร์สองลังวางอยู่ในจุดที่สามารถหยิบได้ง่าย ๆ ทั้งคู่กำลังผ่อนคลายไปกับบรรยากาศสบาย ๆ ที่มีชื่อเรียกว่า ‘เพื่อน’
รถยนต์ที่จอดอยู่แถวนั้นถูกขับมาจอดไว้ข้างหลังเพื่อคอยให้แสงสว่างเมื่อดวงตะวันลับหายไป ลู่หานยกดื่มอีกครั้งพลางซี๊ดปากกับความขมของเบียร์ที่ทำให้เขาสดชื่นกว่าที่เคย หนุ่มตี๋หันไปมองเสี้ยวหน้าของเพื่อนสนิท ก็รู้ว่าไอ้เวรนี่ไม่ค่อยร่าเริงแต่ไหนแต่ไร แต่การเห็นมันนั่งนิ่ง ๆ แบบนี้ก็ดูทรงจะมีเรื่องให้คิด
“ในฐานะคนที่เป็นโจรมาตลอดชีวิต กูไม่คิดว่าเรื่องที่มึงทำจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะเพื่อน”
“เซฮุนเล่าให้ฟังแล้วสินะ”
“กูคะยั้นคะยอให้พูดเองแหละ ห่า อยู่ดี ๆ เดินสะอึกสะอื้นมาชวนกูออกไปข้างนอก เป็นใครก็ต้องถามทั้งนั้นปะวะว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“เด็กนั่นพูดอะไรบ้างล่ะ”
“บอกว่ามึงรู้สึกแย่ที่ขโมยของคนอื่นมา แค่นั้น” ลู่หานยกเบียร์ขึ้นดื่มแล้วหันไปมองเพื่อน “เด็กกรงหมาไม่เคยเล่าด้านเชี่ย ๆ ของมึงหรอก”
“รู้”
“เออ” เขาเว้นจังหวะไปด้วยการยกดื่ม “ตั้งแต่สมองหายรู้สึกจะเซนซิทีฟหนักนะมึงอะ”
“ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดแล้วกัน”
“รู้ไงว่ากูคิดไร?”
“มึงคงคิดว่าไอ้ง่อยที่ไม่กล้าฆ่าตัวกินคนคงรู้สึกผิดจับใจที่ต้องขโมยของคนอื่นเพื่อปากท้องครอบครัว เพราะมันไม่อยากถูกตราหน้าว่าไร้ประโยชน์ถ้าหาเสบียงติดมือกลับไปไม่ได้”
“อะหื้ม... พี่เขามาเป็นชุด” ลู่หานค้างอยู่ในท่าถือขวดเบียร์ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระเพราะเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ “หรือจะปฏิเสธ”
“ก็ไม่ทั้งหมด”
“อะไรที่ไม่ใช่?”
“กูไม่ได้กลัวเรื่องถูกตราหน้า แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึก ก่อนหน้านี้กูเครียดเรื่องอนาคตเกินไปหน่อยก็เลยพาลใส่เซฮุนไปอย่างนั้น”
“เรื่อง?”
“จะมีเสบียงเหลืออีกเท่าไหร่” จงอินทอดมองไปยังภูเขาลูกนั้นที่อยู่สุดสายตา “โลกนี้คงไม่ได้เหลือแค่พวกเรา เพราะฉะนั้นคนที่เหลือก็ต้องแย่งอาหารกัน นั่นคือสิ่งที่กูเคยกลัว”
“เออ กูก็คิด แต่มึงก็ควรใจเย็นหน่อยไหม ตั้งแต่กลับมาคราวนั้นมึงเคยทำอะไรให้เด็กกรงหมาชื่นใจบ้างยัง ไหนจะชอบผู้หญิง ไหนจะตัดเยื่อใย ถึงจะรีเทิร์นได้กันไปหลายน้ำแล้วก็เถอะ แต่คนที่แคร์มากที่สุด ทำส้นตีนไรก็รู้สึกมากที่สุดปะวะ”
“จะคมก็คมไม่สุด” จงอินตบหัวคนข้าง ๆ จนได้ยินเสียงดังแป๊ะ ลู่หานแค่นหัวเราะพลางหันไปมองไอ้ง่อยที่บังอาจใช้มือกระจอก ๆ ของมันสัมผัสกับหัวเขา “เด็กสองคนนั้นตายแล้ว”
“ห๊ะ?”
“กูจับมันสองคนมัดไว้ ก่อนออกมาก็พอเห็นอยู่ว่ามีตัวกินคนอออยู่หน้าประตู แต่ตอนนั้นกูไม่ทันคิดเรื่องอื่น พวกมันคงพังเข้าไปกินเด็กเพราะได้ยินเสียงปืน”
ลู่หานอ้าปากค้างขณะมองหน้าเพื่อนสนิท เขาไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้เลวร้ายจนถึงขีดสุด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่นักเพราะไม่ใช่คนเจอเองกับตัว หนุ่มตี๋มองหน้าอีกคนที่ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแล้วเขวี้ยงขวดลงแม่น้ำ เขานิ่งไปเพื่อให้เวลาเพื่อนได้อยู่กับตัวเองก่อนจะวางมือลงบนไหล่กว้างพร้อมตบเบา ๆ
“รู้สึกผิดกว่าเดิมเลยดิ”
“อาจจะ”
“หือ?”
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้” จงอินเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดเบียร์ขวดใหม่แล้วยื่นมาเพื่อชนกับเขา ลู่หานมองหน้าเพื่อนสนิทแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มหลังจากชนขวดกัน “ตอนนี้กูจำทุกอย่างได้แล้วก็เลยรู้สึกเบาลงกว่าเดิมหน่อย”
พรวดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ลู่หานลำลักเบียร์ออกมาทั้งทางปากและจมูกเพราะประโยคหยุดโลกเมื่อครู่ จงอินมองเพื่อนอย่างสมเพชพลางเอื้อมมือไปช่วยลูบหลังคนที่กำลังกระแอมไอไม่หยุดจนต้องดึงคอเสื้อขึ้นเช็ดปากและจมูก
“ตอแหลกูปะ แค่ก!” หนุ่มหน้าตี๋มองอีกฝ่ายอย่างหวาด ๆ ซึ่งตอนนี้ไอ้สมองหายก็ไม่มีท่าทีว่าจะอำเล่นเพราะคิดอยากยิงมุกตลก
“เอาจริงกูก็รู้สึกผิดนะที่เป็นต้นเหตุทำให้เด็กตาย ก็คิดอยู่ว่าจะแวะไปสารภาพบาปที่โบสถ์สักหน่อยว่ะ อย่างน้อยพระเจ้าก็ควรรับรู้ความไม่ตั้งใจของกู” นอกจากจะไม่หันมาตอบคำถามแล้ว แม่งยังออกทะเลไปหาพระเจ้าอีกด้วย ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มมองหน้าไอ้ชั่วที่เพิ่งบอกว่ามันจำทุกอย่างได้แล้ว ซึ่งถ้าจะให้ชัวร์ก็ต้องทดสอบว่ะ
“กูไม่เชื่อมึงหรอก”
“เออ เรื่องของมึงเหอะงั้น” จงอินส่ายหน้าพร้อมยกขวดเบียร์ขึ้นกระดก คนที่คิดหาทางทดสอบเพื่อนจึงง้างมือขึ้นเตรียมตบกบาลเอาให้จำความได้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว เมื่อกี้ล่อซะกูสำลักทั้งปากทั้งจมูก คราวนี้ล่ะมึงหนาวขี้แน่คิมจงอิน
“...”
แผนการทุกอย่างหยุดอยู่กลางอากาศเมื่อไอ้คนที่กำลังเงยหน้ากรอกเบียร์ลงคอเสือกคว้ามือเขาไว้ได้ทั้งที่ไม่หันมามอง ลู่หานทำตาโตเป็นไข่ห่านมองข้อมือตนเองสลับกับหน้าโง่ ๆ ของเพื่อนสนิทที่อยู่ ๆ ก็เสือกดูฉลาดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
จงอินลดขวดเบียร์ลง ใบหน้าคมหันไปสบตากับเพื่อนสนิทพลางยักคิ้วให้อย่างผู้ชนะ คนที่ถูกหยามอ่อน ๆ ถึงกับเลือดขึ้นหน้าจึงแค่นหัวเราะแล้วใช้จังหวะทีเผลอตบกบาลไอ้ขี้เก๊กไปหนึ่งทีแล้วยันตัวลุกขึ้นวิ่งหนี แต่ก็เร็วไม่เท่ามือของเพื่อนสนิทที่คว้าขาเขาไว้ได้จนหน้าฟาดกับหญ้าอ่อน ลู่หานงอตัวเป็นกุ้งแหกปากร้องแบบไม่มีเสียงเพราะกลัวตัวกินคนได้ยิน ในจังหวะที่ไอ้เชี่ยจงอินรัวตบกบาลเขาไม่ยั้งจนคิดว่าคืนนี้คงไม่ได้ฉี่รดที่นอนเพราะเมาเบียร์
สงครามย่อม ๆ หนักหน่วงขึ้นเมื่อสองเพื่อนซี้ออกแรงงัดคอกันจนร่างกายกลิ้งลงไปตามผืนหญ้าสีเขียว เหนี่ยวมือใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งพร้อมใช้เท้าถีบแลกกันเหมือนเด็กผู้ชายคิดนึกเล่นสนุก
“มึงไม่รู้จักมวยเข่าซะแล้ว” ทนมือทนตีนมินซอกอยู่ทุกวัน รับรองว่าศึกนี้ลู่หานไม่แพ้แน่
“จะหมัดจะมวยก็มาเหอะ เตี้ย ๆ แบบมึงกูกระทืบทีก็จมตีนละ”
“อ้าว ด้ายยยยยยยยย” ลู่หานกำหมัด โยกหลบเหมือนนักมวยในทีวี ย่ำฝีเท้าอยู่กับที่พร้อมทำท่าแย้บ ๆ แต่สุดท้ายก็ใช้จังหวะทีเผลอเตะเข้ากลางเป้ากางเกงเพื่อน
“เชี่ย! ไม่เล่นกับไข่กูสิวะ!” คราวนี้เป็นคิวของชายหนุ่มผิวแทนที่กุมเป้าทรุดเข่าลงไปกับพื้นหญ้า จงอินซี๊ดปากกับอาการจุกขณะฟังเสียงหัวเราะสะใจของเพื่อนสนิท
“โทษทีเพื่อน แต่มึงคงไม่มีโอกาสได้ใช้มันกับเด็กกรงหมาแล้วมั้ง กูว่าเด็กคงเหม็นหนังหน้าผู้ชายกระจอกแบบมึงแล้ว เชี่ย!” คนกำลังสนุกอยู่กับการเยาะเย้ยหงายหลังล้มตึงเพราะถูกกระชากขา จงอินจับไอ้ปากหมาพลิกให้นอนคว่ำเพื่อล้างแค้นคืนให้สาสม
“อ้าวได้”
“เดี๋ยว ๆ ไอ้จงอิน! เดี๊ยว --- ไอ้ฉิบหาย!!! กางเกงในเข้าร่องตูดกูแล้ว!!!! อ๊าาาาาา!!!!”
50%
ลู่หานถอดหมวกกันน็อกโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดีทันทีที่บิ๊กไบค์ขับเข้ามาจอดถึงหน้าบ้าน วินาทีนี้กูเมาหนักมากชนิดว่าอยากมองตาเปาจื่อแล้วกัดปากส่งซิกชวนออกไปขับรถเล่นด้วยกันเหมือนวันนั้น แต่สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกตอนมองไปตรงชานบ้านกลับเป็นเด็กกรงหมาที่นั่งกอดเข่าอยู่
หนุ่มตี๋สะอึกพลางตบบ่าเพื่อนเรียกขวัญเรียกกำลังใจ พลางมองทั้งคู่ที่กำลังสื่อสารกันทางสายตาเหมือนพระเอกละครหน้าไม่หล่อแต่เสือกคูลเพราะทำตัวเข้ม วินาทีนี้ช่างพวกมึงแล้วกูเมา ลู่หานก้าวขาลงจากบิ๊กไบค์อย่างทุลักทุเลซึ่งไอ้จงอินก็ช่างมีน้ำใจเอาขาหน้าช่วยประคองแขนเขาไว้เพื่อไม่ให้ลงไปจูบพื้นดิน
“ไปกับฉัน”
“ยังจะไปต่ออีกเหรอเพื๊อน... อึ่ก” ลู่หานชี้หน้าตัวเองขณะต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกที่กำลังลองดีกับชายหนุ่มผู้มากความสามารถอย่างเขา เบียร์สองลังกูฟาดไปคนเดียวเกือบครึ่งเลยนะรู้สึก ไอ้จงอินอ้างว่าต้องขับมอเตอร์ไซค์ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเสือกบังคับให้มันแดก แต่ถ้าจะให้กินอีกก็ต่อสายตรงเข้าปากนะรอบนี้พี่ไม่สู้
“เสือก กูเรียกเซฮุน” ไอ้สมองรีเทิร์นไล่เขาอย่างไม่เหลือเยื่อใย ทำเอามิตรภาพกางเกงในเข้าวินของเรากลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าจดจำ “เซฮุน ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า?”
จงอินย้ำอีกครั้ง เด็กตัวผอมที่นั่งอยู่หน้าบ้านจึงลุกขึ้นเดินตรงมาพร้อมช่วยประคองร่างไอ้อ่อนที่พร้อมจะเทกระจาดทุกเมื่อ เราสบตากันไม่ถึงสามวินาทีเซฮุนก็ก้มหน้าลง ชายหนุ่มผิวแทนคิดว่าคงจัดการความคาใจที่นี่ไม่ได้ แต่อันดับแรกต้องส่งไอ้ลู่หานไปสู่สุขติก่อน
“ไอ้เทา” เพียงครู่เดียวเจ้าของชื่อเดินออกมาตามเสียงเรียก เด็กหนุ่มชาวจีนมองไปยังชายสามคนซึ่งลู่หานค่อนข้างมีสภาพไม่ครบสามสิบสองมากที่สุด เขาจึงก้าวลงบันไดไปอย่างไม่เร่งรีบ “เอามันไปเก็บที”
“แล้วมึงอะ?” ถามพร้อมประคองร่างคนเมาไว้ จงอินเอาหมวกกันน็อกของตนเองยื่นให้หวงจื่อเทาเอาไปเก็บ ก่อนจะคว้าข้อมือเซฮุนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายก้าวไปจากตรงนี้
“เดี๋ยวกูมา”
“มึงเป็นไรปะวันนี้?” เทาขมวดคิ้วพร้อมมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า สำรวจดูความผิดปกติของคิมจงอินซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเพราะมันคงเกิดจากจิตใจ
“เฮื้ออออออออออ!!!”
“ฉิบหายเอ๊ย... ไอ้เชี่ยลู่หาน มึง...” เทาพูดเสียงลอดไรฟัน ถอนหายใจฮึดฮัดอยากตบกบาลคนเมาที่เสือกอ้วกใส่กางเกงกับรองเท้าเขาจนไม่เหลือชิ้นดี เด็กหนุ่มสบถคำหยาบคายแล้วหันไปสบตากับจงอินเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งที่อยากถามอะไรอีกสักหน่อย แต่ในเมื่อสถานการณ์มันไม่อำนวย เขาก็คงต้องหิ้วไอ้ห่ารากเข้าไปข้างใน
หน้าบ้านที่มีเพียงตะเกียงที่ช่วยให้ทั้งคู่มองเห็นสีหน้าของกันและกันได้ จงอินก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะเชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน แต่พอได้เห็นชัด ๆ คิ้วก็กระตุกเมื่อเห็นพลาสเตอร์สีน้ำตาลที่ติดอยู่บนแก้มและปลายคางของเด็กหนุ่ม
“ไปทำอะไรมา?”
“ไม่ใช่เพราะผมออกไปหาเสบียงเมื่อคืนนะครับ มันเป็นหลังจากนั้น” ยิ่งเห็นเซฮุนรีบแก้ตัวก็คิดว่าต้องโอ๋เจ้าเด็กคนนี้ให้เร็วขึ้น พอไม่ได้ยินจงอินดุหรือทำหน้ามึนตึงใส่ เด็กหนุ่มตัวผอมจึงค่อย ๆ เลื่อนระดับสายตาขึ้นมองอย่างหวาด ๆ
“ยังโกรธฉันหรือเปล่า?”
“...” เซฮุนส่ายหน้าเป็นคำตอบอย่างซื่อ ๆ และเขาชอบเวลาอีกฝ่ายแสดงท่าทีตรงไปตรงมาอย่างนี้เพราะมันทำให้โอเซฮุนน่าเอ็นดูยิ่งขึ้น แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงออกที่นี่ในเวลาได้ เพราะความผิดชิ้นใหญ่ที่ไอ้หน้าโง่คิมจงอินคนเมื่อคืนก่อไว้
“ถ้าไม่ แล้วทำไมถึงหลบตาล่ะ?”
“ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณอารมณ์ดีแล้วหรือยังน่ะครับ...”
“มันจะเป็นยังไงถ้าเกิดว่าฉันยังดูเหมือนเป็นหมาบ้าอยู่?” มีไม่กี่ครั้งหรอกที่เซฮุนไม่กล้าสบตากับจงอิน และตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างนั้นเพราะกลัวว่าจะพูดอะไรโง่ ๆ ออกไปอีก
“ถ้าคุณยังรู้สึกไม่ดีจะให้ผมอยู่ห่าง ๆ ก็ได้นะครับ ผมไม่ได้ประชดนะ แต่ผม -- หมายความว่าคุณจะได้ไม่หงุดหงิดกับคำพูดผมอีก” เซฮุนรีบแก้ตัว ยิ่งพูดก็ยิ่งกลัวว่าคนฟังจะเคืองเข้าไปอีก แต่สุดท้ายจงอินก็รั้งเอวเขาเข้าไปใกล้ ๆ จนใบหน้าเราห่างกันไม่มากนัก
“ถ้าฉันบอกว่ารู้สึกดีแล้ว นายจะยอมออกไปด้วยกันไหม?” ไม่มีแล้วคนที่เคยมองด้วยสายตาเย็นชาและแสดงออกเหมือนกับว่าเขาไม่จำเป็นในโลกของคิมจงอินอีก ตอนนี้เหลือเพียงแววตาที่คุ้นเคยกับน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งมีเพียงโอเซฮุนเท่านั้นที่ได้ยิน
“ผม... ไปกับคุณได้เหรอครับ” เด็กหนุ่มถามอย่างประหม่า ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าช้า ๆ พอถูกง้อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ โอเซฮุนก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจจนลืมความเศร้าที่ทนรอมาตลอดวันไปอย่างปลิดทิ้ง
“ไปที่ ๆ มีฉันกับนายแค่สองคน”
ชายหนุ่มผิวแทนก้มหน้าลงมองมืออีกคนที่มีรอยถลอกตรงท้องมือ และมันถูกทาด้วยยาเบตาดีน เขาประคองมือเซฮุนไว้หลวม ๆ แต่ก็ให้อยู่ในความรู้สึกทะนุถนอม ให้เด็กหนุ่มที่จมอยู่กับความเศร้ามาตลอดทั้งวันรับรู้ว่าคิมจงอินสำนึกผิดแล้ว
“ที่ไหนสักแห่งที่จะทำให้เราเข้าใจกันมากกว่านี้ ที่ ๆ ฉันสามารถจูบปลอบนายได้โดยไม่ต้องหันไปมองรอบตัวว่ามีคนมองอยู่หรือเปล่า”
“...”
“ออกไปด้วยกันนะ ฉันรู้สึกเหมือนจมอยู่กับความคิดถึงมานานเกินไปแล้ว”
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามที่มาพร้อมเทียนถ้วยเล็ก คนตัวเล็กส่ายหน้าช้า ๆ พลางมองตามคนตัวโตกว่าที่ตรงมาหาเขาพร้อมทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ และสายตาชานยอลในตอนนี้เหมือนกำลังเก็บรายละเอียดว่าเขาเป็นอยู่ยังไง
“ผมอยากอ่านให้จบตอนนี้ก่อนแล้วค่อยนอนน่ะ” เขาไม่กล้าสบตากับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่ได้ยินคำบางคำที่ทำให้ใจเต้นแรงไม่หยุด อันที่จริง... ที่บยอนแบคฮยอนพยายามอ่านวรรณกรรมต่างประเทศด้วยทักษะภาษาอังกฤษอันน้อยนิดแบบนี้ ก็เพื่อที่หาเรื่องทำให้ตัวเองไม่นึกถึงประโยคเหล่านั้น
ที่ปาร์คชานยอลกระซิบมันเบา ๆ ...ให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว
ชายหนุ่มคว้าดิกชันนารีขึ้นมาเปิดดูคร่าว ๆ พลางชำเลืองมองคนตัวเล็กที่เปิดหน้าหนังสือวรรณกรรมค้างไว้ แบคฮยอนรีบเปลี่ยนสายตากลับมาหยุดที่ตัวหนังสือภาษาอังกฤษละลานตามากมาย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายคนข้าง ๆ ที่ขยับเข้ามาใกล้จนไหล่ของเราชนกัน
“ไฮไลท์ไว้เยอะหรือเปล่าครับ?”
“ก็มีบ้าง”
“หืม?” ผู้ใหญ่ขี้แกล้งกำลังทำให้เขาเขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว แบคฮยอนที่นั่งชันเข่าวางหนังสือไว้บนหน้าขากำลังห่อไหล่ลงเพียงเพราะคนข้าง ๆ วาดแขนลงบนพนักพิงจนดูเหมือนกำลังโอบไหล่เขาทางอ้อม
“คุณบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะช่วยดูให้ผม แต่ตอนนี้เพิ่งสามทุ่มครึ่งเองนะ”
“นั่นสิครับ แต่ซีวอนดันชิงหลับไปทั้งที่เรายังคุยเรื่องไปโซลยังไม่ถึงไหน ครั้นจะปลุกอีกสามคนขึ้นมานั่งคุยกันก็จะยังไงอยู่ คุณก็รู้ใช่ไหมครับว่าวันนี้เราสอนป้องกันตัวจนถึงฟ้ามืด ทุกคนคงเหนื่อย ยกเว้นคนแถวนี้ที่เอาแต่นั่งอ่านวรรณกรรมเงียบ ๆ อยู่คนเดียว”
“คุณก็สอนพวกเขาแต่ทำไมถึงยังไม่ง่วงล่ะ” แบคฮยอนถามทั้งที่ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่เด็ดขาด... ถ้าหันไปตอนนี้คงได้ตายเพราะสายตาชานยอลแน่ ๆ
“ถ้าผมบอกว่าอยากใช้เวลาอยู่กับคุณสองคนล่ะครับ แบคฮยอน?”
“...”
“อยากนั่งมองเด็กขี้อายอ่านหนังสือแล้วหันมาถามผมว่าประโยคนี้ออกเสียงยังไง? แปลว่าอะไร? แล้วหลังจากนั้น...” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง คนที่ถูกทิ้งให้ค้างคาใจจึงชำเลืองมองคนข้าง ๆ ระหว่างรอให้พูดต่อ สุดท้ายทนไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้น และชานยอลก็ให้คำตอบเป็นริมฝีปากที่จูบลงบนหน้าผากเขาเบา ๆ
“...”
“ผมก็ทำอย่างนี้”
แบคฮยอนค้างอยู่ท่านั้นพร้อมเอามือทาบหน้าผากตัวเอง เขากำลังจะเสียสติไปแล้วเพราะการกระทำของผู้ชายคนนี้ บยอนแบคฮยอนไม่สามารถตั้งรับหมัดที่ชานยอลเอาแต่ฮุกใส่หนัก ๆ ตั้งแต่คืนก่อนได้ ไหนจะรอยยิ้มที่เหมือนว่าพอใจนักหนาตอนเห็นความพ่ายแพ้ของเขาผ่านทางสีหน้าน่ะ... แย่ชะมัด
“เลิกทำให้ผมใจเต้นแรงสักที”
“ขอกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอครับ จากที่ทำธุรกิจมา... ผมว่าคุณต้องมีข้อแลกเปลี่ยนมาเสนอสักหน่อยนะ” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ แบคฮยอนจึงคิดหาทางเอาตัวรอดจากวิกฤตนี้ด้วยการหนีไปนอน แต่สุดท้ายเขาก็ถูกชานยอลดึงลงไปนั่งที่เดิม อีกทั้งยังโอบเอวเขาไว้แกมบังคับเล็ก ๆ อีกด้วย
“แต่ผมเป็นนักเรียน อายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วย ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจอะไรนั่นหรอก”
“จะแนะนำตัวเหรอครับ? เอาสิ ผมฟังอยู่” คนตัวสูงยิ้มหน้าตาเฉย อีกทั้งยังกระชับกอดจนกลายเป็นว่าตอนนี้ร่างกายของบยอนแบคฮยอนกำลังจะจมหายเข้าไปในอกของปาร์คชานยอล
“...”
“คุณหลบหน้าผมไม่ได้หรอกครับแบคฮยอน” เสียงกระซิบของผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์เป็นบ้า คิดว่าเขาไม่รู้หรือไงว่าที่พยายามทำอยู่มันไม่มีทางสำเร็จ
“...เกลียดคุณจัง”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอกับคำพูดของคนตัวเล็กซึ่งมาพร้อมศีรษะที่ยอมซบลงกับแผงอกของเขาโดยไม่ยอมยื้อดึงต่อไปอีก ไม่มีอีกแล้วปาร์คชานยอลที่ต้องให้เหตุผลกับทุกการกระทำ ในเมื่อการแสดงออกตามที่ใจรู้สึกนั้นสามารถลดช่องว่างระหว่างเขาและแบคฮยอนลงไปได้
“ไหนครับ ขอผมดูที่คุณไฮไลท์ไว้หน่อย” ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้คนในอ้อมกอดนั่งอยู่ในท่าที่สบายตัว แบคฮยอนพลิกหน้าหนังสือกลับไปก่อนจะช้อนตามอง และเขาชอบแววตาของเด็กคนนี้ที่เก็บทั้งความขลาดอายกับความอยากรู้เอาไว้ ชอบจนอยากแกล้งให้เขินจนหน้าแดงไม่หยุด
“ตรงนี้...”
“ลองอ่านออกเสียงดูสิครับ ผมจะได้ช่วยแก้ถูก”
“...”
“ดังกว่านี้ครับแบคฮยอน”
หัวใจดวงเล็ก ๆ ของเด็กอย่างเขาจะต้านทานผู้ชายตัวโตอย่างปาร์คชานยอลได้ยังไงกัน แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเขาตัวเล็กลงเรื่อย ๆ เพียงเพราะอีกฝ่ายกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น
“...ผมไม่ได้ยินเสียงคุณเลย”
คนตัวเล็กหน้าร้อนผ่าวเพราะปลายจมูกของอีกคนที่เฉียดแก้มไปให้ใจเต้น ก่อนจะฆ่าบยอนแบคฮยอนให้ตายด้วยริมฝีปากที่กดจูบลงบนแก้ม เด็กที่ยังไม่คุ้นชินกับความใจดีค่อย ๆ หันไปสบตากับผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ที่ยังคงหาทางแกล้งเขา เราสบตากันเพื่อให้รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
เพราะสุดท้าย... เราก็จูบกันอยู่ดี
เสียงรองเท้าบูทหนังหุ้มข้อบดกับพื้นไม้ในโบสถ์จนเกิดเสียงเอี้ยดอ้าด เซฮุนเดินตามหลังคนที่กำลังจูงมือเขาเข้าไปด้านในโดยไม่ระวังตัวเลยว่าจะมีตัวอะไรรอต้อนรับอยู่หรือเปล่า จงอินไม่ได้เข้าเรื่องในทันที แต่กลับยื่นไฟฉายให้เขาถือเอาไว้ ก่อนจะตรงเข้าไปจุดเทียนทีละเล่มด้วยไม้ขีดไฟกระทั่งสามารถมองเห็นโบสถ์เล็ก ๆ อย่างเต็มตา
เซฮุนกวาดสายตามองความสวยงามรอบตัวที่ทำให้จิตใจสงบลงเพราะแสงสีส้มของเปลวเทียน ด้านหน้ามีไม้กางเขนอันใหญ่ประดับอยู่ จงอินตรงเข้ามากุมมือเขาให้เดินเข้าไปข้างหน้าก่อนเราจะนั่งลงบนม้านั่งไม้สีน้ำตาลเข้มตัวยาว
“คุณเจอที่นี่ได้ยังไงครับ?”
“บังเอิญเห็นตอนขับรถเล่นน่ะ” ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มบาง ๆ ขณะมองดวงหน้าขาวที่ยังคงให้ความสนใจกับความสวยงามของที่นี่ “คงสงสัยล่ะสิว่าลมบ้าหมูอะไรทำให้ฉันพานายมาที่นี่”
“ครับ” เซฮุนขานตอบสั้น ๆ ถ้าเป็นตอนรู้จักกันแรก ๆ คงคิดว่าเด็กนี่กำลังกวนตีนอยู่แน่ ๆ
“ฉันอยากสารภาพบาปโดยมีนายนั่งอยู่ด้วย”
“สารภาพบาป?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมอง เขาจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ “กับเรื่องอะไรครับ?”
“ทุกเรื่องที่ฉันทำแย่ ๆ ลงไป” จงอินยิ้มบาง ๆ “แต่ทำคนเดียวก็กลัวจะไม่รู้สึกดีขึ้น เพราะงั้นช่วยนั่งอยู่ตรงนี้ในเวลาที่ฉันคิดอยากเป็นคนดีสักครั้งได้ไหม?”
เซฮุนอมยิ้ม เขาพยักหน้าเป็นคำตอบอย่างไม่ลังเลพร้อมประสานสองมือไว้ตรงกลางอก “งั้นผมก็จะสารภาพบาปด้วยครับ”
“อะไร มีความผิดในใจด้วยหรือไง?” จงอินเลิกคิ้วมองอีกคนที่พยักหน้ารัว ทั้งที่ความจริงก็แค่ไม่อยากให้เขารู้สึกแย่อยู่คนเดียว
“หลังจากสารภาพบาปให้พระเจ้ารับรู้แล้ว หลังจากนี้เราก็มาเริ่มต้นใหม่กันนะครับ” อีกแล้ว... ไม่พูดจาน่ารักบ้างมันจะตายใช่ไหมโอเซฮุน หยุดทำอะไรที่มีผลต่อจิตใจผู้ชายบ้า ๆ อย่างคิมจงอินสักวินาทีเถอะน่า
“ก็เริ่มไม่รู้กี่รอบละ...”
“ครับ?”
“ทำมือยังไงนะ แบบนี้ใช่ไหม?” เขาแกล้งเปลี่ยนเรื่องพร้อมมองมืออีกฝ่ายที่ประสานไว้กลางอก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเด็กหน้าตายกำลังมองอย่างจับผิด จึงยักคิ้วกวนใส่
อันที่จริงคิมจงอินแทบไม่เชื่อเรื่องสารภาพบาปเลยสักนิด การพ่นความรู้สึกผิดหลังทำชั่วมันก็เป็นแค่วิธีของคนปอดแหกที่กลัวว่าความผิดจะตามมาเล่นงานทีหลัง ระบายมันต่อบาทหลวงเพื่อให้พระเจ้าให้อภัย ซึ่งถ้ามองอีกแง่มันก็เป็นแค่วิธีหลอกตัวเองว่าความผิดที่ทำลงไปจะได้รับการให้อภัยถ้าหากหันหน้าเข้าหาพระเจ้า
แต่เรื่องตลกกว่านั้นก็คือคนที่ไม่เชื่อกำลังคิดสารภาพบาป คิมจงอินกำลังนึกถึงเด็กสองคนนั้นที่ต้องมาตายเพราะความขลาดเขลาของเขา ซึ่งจะอ้างว่าเป็นเพราะความไม่ตั้งใจก็คงไม่ได้ ความผิดพลาดในครั้งนี้จะเป็นบาดแผลในใจเขาไปจนวันตาย มันเป็นบทเรียนราคาแพงที่ชายหนุ่มจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก
เขาเลือกสารภาพบาปกับพระเจ้ามากกว่าการบอกเล่าให้เซฮุนฟังว่ามีเด็กโชคร้ายต้องตายด้วยน้ำมือของผู้ชายอย่างคิมจงอิน ชายหนุ่มยังคงยึดหลักอย่างหนึ่งในใจว่ามนุษย์เราไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่อาจทำให้ทุกอย่างแย่ลง
จงอินลืมตาขึ้นและเขาก็พบว่าเซฮุนกำลังจ้องเขาอยู่ ทั้งคู่สบตากันอยู่ราว ๆ หนึ่งนาทีก่อนเด็กหนุ่มจะก้มลงมองมือตนเองที่กำลังถูกสอดประสานโดยมืออีกคน
“ขอโทษนะ”
“ผมก็ขอโทษเหมือนกันครับ”
“ไม่ใช่อย่างนี้สิ นายมีอะไรที่ต้องขอโทษด้วยหรือไง? เงียบไปเลย” จงอินมองคาดโทษเจ้าเด็กซื่อบื้อที่ทำตัวน่ารักไม่ดูเวล่ำเวลา โอเซฮุนควรนั่งเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้เขาสำลักความผิดไปสักครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วค่อยพูดอะไรสิ
“ตกลงครับ งั้นผมจะเงียบนะ”
“...”
มันน่าไหมล่ะ... โดนดุขนาดนั้นแล้วยังทำหน้าทำตาเหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นอีก จงอินต้องห้ามใจตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้จับเจ้าเด็กนี่มาฟัดทั้งที่ยังพูดความในใจไม่จบ
“ขอโทษ” ชายหนุ่มผิวแทนย้ำอีกครั้ง และเขาเริ่มจะพูดไม่ออกเพราะดวงตาคู่นั้นที่มองมาอย่างตั้งใจ ราวกับรอดูว่าไอ้โง่คิมจงอินจะพูดจบเมื่อไหร่และจะพูดอะไรออกมาอีก “ทุกอย่างเลย”
ชายหนุ่มเลียริมฝีปากก่อนจะลูบใบหน้า เขาเว้นจังหวะไปพอสมควรเลยทีเดียวหลังจากตกเข้าไปในห้วงความคิดเพื่อถามตนเองว่าควรจะเริ่มอะไรก่อนดี ระหว่างพูดความในใจทั้งหมดในตอนนี้ หรือขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจตั้งแต่สูญเสียความทรงจำ
แม้เซฮุนจะยอมให้อภัยและไม่เก็บเรื่องเก่า ๆ มาเป็นประเด็นอีก แต่คิมจงอินก็รู้สึกผิดที่เคยเป็นต้นเหตุของน้ำตาเหล่านั้น
“ยกโทษให้ฉันได้ไหม?”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางแสงสีส้มอ่อน ๆ ที่เกิดจากเปลวเทียน จงอินรอคำตอบจากเด็กตัวผอมซึ่งมันโคตรนานจึงดีดหน้าผากอีกฝ่ายไปหนึ่งที เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อยพลางลูบหน้าผากป้อย ๆ เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมไม่ตอบล่ะ”
“ก็คุณบอกให้ผมเงียบนี่ครับ”
“แต่เมื่อกี้ฉันถาม นายก็ต้องตอบถูกไหม?” ทีงี้ล่ะซื่อไม่เข้าเรื่อง
เซฮุนนั่งยืดหลังตรง มองท่าทางของอีกคนที่กำลังดูหัวเสียกึ่งเสียฟอร์มเล็ก ๆ หลังจากแสดงให้เขาเห็นถึงความจริงจังไปเมื่อครู่
“ยิ้มอะไร?”
“คุณไม่ได้ห้ามผมยิ้มนี่ครับ...”
“งั้นก็ห้ามยิ้ม โอเค๊?” คนถูกขู่หลุบสายตามองปลายนิ้วชี้ที่อยู่ระดับริมฝีปากตนเอง แต่ใครกันที่จะกลั้นยิ้มไว้ได้หลังจากเห็นอีกฝ่ายหลุดฟอร์ม จงอินไม่ได้เป็นแบบนี้บ่อย ๆ สักหน่อย
ชายหนุ่มผิวแทนบ่นแบบไม่มีเสียงขณะมองเด็กหน้าตายที่กำลังยกมือขึ้นปิดปากเพราะกลัวหลุดขำออกมา เขาคว้าข้อมือเซฮุนไว้พร้อมจ้องตาคู่นั้นที่หยีลงจนเป็นสระอิ
“เดี๋ยวก็ฟัดตรงนี้ซะหรอก”
“ใจดีกับผมหน่อยสิครับ เดี๋ยวผมร้องไห้นะ”
“ยิ้มตาหยีขนาดนี้คงจะบีบน้ำตาออกหรอกมั้ง”
“อ๊า!” เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเพราะถูกดึงแก้มจนยืด เซฮุนเม้มริมฝีปากขณะสบตากับเจ้าของคำพูดห้วน ๆ แต่กลับทำให้อบอุ่นใจพิลึก ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เห็นจงอินในมุมนี้มานานมากแล้ว “ผมไม่ได้อยากได้ยินคุณพูดว่าขอโทษสักหน่อยครับจงอิน”
ชายหนุ่มปล่อยมือออกจากแก้มขาวพร้อมวาดแขนลงบนพนักพิง ท่ามกลางความเงียบที่ไม่มีแม้แต่เสียงของตัวกินคน เราทั้งคู่กำลังปรับความเข้าใจกันทั้ง ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าในตอนนี้เราเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดีแล้วโดยไม่ต้องพูด
“แล้วอยากให้ฉันทำอะไร?” จงอินลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเบามือเพื่อปลอบประโลมและแสดงความรักในเวลาเดียวกัน
“แบบนี้ครับ แบบที่คุณทำอยู่” เซฮุนเอียงศีรษะเข้าหามือเขาจนต้องหยุด เด็กหนุ่มยังคงอมยิ้มราวกับว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขากำลังทำมันดีนักหนา ซึ่งคิมจงอินก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของโอเซฮุนก็ไม่ได้แพ้ความธรรมดาที่เขาแสดงออกไปเช่นกัน “อ่อนโยนกับผมแบบนี้”
“ฮะ...”
“ถ้าผมนิสัยไม่ดีคุณก็ดุได้เลย แต่อย่าปล่อยมือจนผมเดินไปทำอะไรโง่ ๆ เหมือนเมื่อคืนนะครับ...” เซฮุนกำลังทำหน้าสำนึกผิดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำลงไป เขาไม่ทันคิดว่าจะทำให้จงอินโกรธ เพราะวินาทีนั้นเอาแต่คิดว่าจะต้องหาเสบียงให้อีกฝ่ายเอาไปคืนให้ได้
“ดุอีกเดี๋ยวก็ร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดเลยนะครับ ก็แค่น้ำตาซึมเอง”
“ให้ตอบใหม่อีกที” จงอินขมวดคิ้วพร้อมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ยิ่งอีกฝ่ายกลอกตามองไปทางอื่นก็ยิ่งมันเขี้ยวจนต้องบีบปลายจมูกรั้นเบา ๆ “คราวหลังก็อ้อนสิ นายก็รู้ว่าฉันหายเป็นบ้าได้แค่ถูกนายกอด”
“ผมกลัวถูกคุณผลักออกนี่ครับ” เด็กหนุ่มพึมพำ
“ฉันเคยทำแบบนั้นหรือไง?” เซฮุนไม่รู้หรอกว่าจะเอาอะไรไปตอบโต้กับความจริงที่จงอินพูด เขาเพียงแค่นั่งกระพริบตาโง่ ๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายบีบแก้มจนปากจู๋เหมือนปลาทอง “ไม่ไหวเลยนะโอเซฮุน ใส่ร้ายกันได้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ได้ยังไงหืม?”
“ผมไม่น่ารักในสายตาคุณแล้วใช่ไหมครับ” เซฮุนถามหน้านิ่ง พลางเม้มปากมองท่าทางขี้เล่นของอีกคนที่ปั้นหน้าปั้นตาอีกทั้งยังทำทำมือประกอบว่าความน่ารักของโอเซฮุนลดลงเหลือแค่ครึ่งเดียว
“ไม่ต้องน่ารักหรอก เป็นแค่เด็กซื่อบื้อของฉันคนเดียวก็พอแล้ว” จงอินไล้หลังมือลงบนแก้มขาวที่มีพลาสเตอร์ติดอยู่ เขาพยายามเลี่ยงที่จะสัมผัสตรงนั้น เลี่ยงที่จะทำให้เด็กคนนี้เจ็บปวด
“แล้วคุณ” เซฮุนมองดวงตาคู่นั้นที่มีเงาตนเองสะท้อนอยู่พลางเลียริมฝีปากตนเอง “อยากจูบเด็กซื่อบื้ออย่างผมไหมครับ...”
อดยิ้มไม่ได้กับการออดอ้อนของเด็กคนนี้ จงอินมองรอยยิ้มขลาดอายของอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนนั้น ตอนที่เริ่มใจตรงกันและไม่สามารถละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้
คิมจงอินไม่ตอบคำถามด้วยคำพูด เขามักจะแสดงออกด้วยการกระทำเสมอและครั้งนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มผิวแทนเลื่อนใบหน้าเข้าหาเจ้าของริมฝีปากสีเชอร์รี่พร้อมหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ท่ามกลางแสงเทียนในโบสถ์เล็ก ๆ ที่มีความเงียบเป็นสักขีพยาน แต่ยังไม่ทันได้จัดการกับเด็กคนนี้ มือที่เคยโอบใบหน้าขาวก็ต้องคว้าเอาไขควงที่เหน็บอยู่กับสนับขาออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากประตูบานหนึ่ง
“...”
เซฮุนก้มลงมองมืออีกฝ่ายที่ทาบอยู่บนอกของเขาราวกับว่าจงอินจะไปเผชิญหน้ากับเสียงปริศนานั้นแล้วให้เขารออยู่ข้างหลัง เด็กหนุ่มมองคนผิวแทนที่คว้ากระบอกไฟฉายไว้ด้วยมือซ้ายและไขว้มือขวาที่มีไขควงไว้ข้างบน พร้อมสองขาที่ก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
ขายาวเดินตามไปพร้อมกวาดสายตาดูว่ารอบข้างจะพอมีอะไรเป็นอาวุธให้กับเขาได้บ้าง ถ้าในนั้นมีตัวกินคนหลายตัวจงอินคงรับไม่ไหวแน่ เซฮุนคว้าแขนอีกฝ่ายไว้พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม การเปิดประตูเข้าไปเจอกับความเสี่ยงทั้งที่ไม่มีความพร้อมมันไม่คุ้มค่าเลยสักนิด เราควรจะกลับกันตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาส แต่จงอินกลับให้เขาถือไฟฉายเอาไว้
หมุนลูกบิดเย็นเฉียบพร้อมดันประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ นัยน์ตาคมเพ่งมองเข้าไปในความมืดก่อนแสงสว่างจากไฟฉายจะทำให้เขามองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น แต่พอรองเท้าบูทหนังเหยียบแผ่นไม้ด้านในเพียงก้าวเดียว หนังสือที่เคยวางอยู่บนโต๊ะก็ตกลงบนพื้นก่อนที่หนูตัวโตจะรีบวิ่งหนีไปจากพิกัดแสงของไฟฉาย
เซฮุนถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ความกังวลในหัวมันไม่เป็นความจริง ถ้าเกิดเมื่อครู่มีผีดิบสามตัวโผล่ออกมาจากความมืดเด็กหนุ่มก็ไม่รู้เลยว่าจะช่วยจงอินออกมายังไง เป็นเพราะเพิ่งเข้าใจกัน เซฮุนจึงไม่อยากขัดใจหรือห้ามอีกฝ่ายนัก
“นึกว่าจะเป็นตัวกิน --”
เด็กหนุ่มหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย แต่ยังพูดไม่จบประโยคคำเหล่านั้นก็ถูกช่วงชิงไปโดยริมฝีปากของผู้ชายเพียงคนเดียวที่โอเซฮุนรัก ในแรกเริ่มจูบของจงอินช่างร้อนแรงราวกับเก็บกดมานาน แต่เขาก็ตอบรับความรู้สึกนั้นด้วยความต้องการในใจของตนเองเช่นกัน
ไฟฉายขนาดเหมาะมือตกลงพื้นจนกลิ้งเข้าไปด้านใน เซฮุนตวัดกอดรอบคอแกร่งพร้อมเผยอปากรับลิ้นอีกฝ่ายที่ยังคงโหยหาไม่ขาดตกบกพร่อง ในความมืดของห้องสี่เหลี่ยมมีเพียงเสียงหอบหายใจสอดประสานกันสลับกับเสียงบดจูบที่น่าฟังกว่าอะไรใด ๆ ในโลกนี้
CUT
(WELCOME TO MALINWORLD)
TBC
ตอนแรกก็จะอ่อนโยนแหละ แต่แบบเอ้อ จงอินซอมบี้ช่ะ อะเคร
ตรั่บ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ความคิดเห็น