คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #116 : Chapter 110 :: Terminal (100%)
Chapter 110
Terminal
“เชี่ย...”
มาร์คสบถออกมาทันทีที่เห็นผีดิบมากมายบนรันเวย์ในลานกว้างด้วยตาตัวเอง มันกระจายอยู่เต็มไปหมดจนไม่มีโอกาสให้โลกสวยว่าจะมีความหวังอยู่ตรงนั้นบ้างสักนิดหรือไม่ จงอินขมวดคิ้วกวาดสายตาเก็บรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินที่พุ่งชนอาคารผู้โดยสารจนมองเห็นเพียงส่วนกลางลำตัว หอบังคับการบินซึ่งคงไม่มีใครอยู่บนนั้น ถุงลมลายทางสีส้มขาวซีดเก่า ๆ ลอยไปตามทิศทางของกระแสลม รถขนย้ายกระเป๋าที่จอดอยู่ไม่ห่างจากเครื่องบิน และคาร์โก้คลังเก็บสินค้า
“กูให้พวกมึงคิดอีกครั้งว่าจะถอยหรือเดินหน้าต่อ”
“I’m in” (ผมเอาด้วย)
“มึงถามความสมัครใจพวกกูบ้างไอ้เด็กเวร” จอห์นนี่ตบหัวน้องชายจนหน้าแทบคว่ำจูบกับหญ้า
“กลัวก็กลับบ้านไปดูดนมแม่ เอาน้องมึงกลับไปด้วยไป๊” ลู่หานทำมือปัด ๆ ก่อนเหลือบมองจงอินกับอี้ฟานที่แอบคุยกันโดยไม่เรียกเขาอีกแล้ว
“เราจะใช้ตรงนั้นเป็นทางเข้า” คนอายุมากที่สุดชี้ไปยังอาคารผู้โดยสารทางซ้ายมือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก แต่ระหว่างทางก็ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แน่นอนว่าพวกผีดิบหิวกระหายมันกระจายเกลื่อนไปทั่วไม่เว้นช่องว่างให้วิ่งผ่านง่าย ๆ ซึ่งมันหมายความว่าพวกเขาต้องใจเย็นถ้าหากไม่อยากวิ่งไปติดอยู่ข้างใน
“คาร์โก้แม่งล่อตาล่อใจกูมาก” ลู่หานชี้ไปยังคลังเก็บสินค้าที่อยู่ไกลเกินกว่าจะให้คำว่าเป็นไปได้สำหรับพวกเขา “แต่กว่าจะไปถึงคงโดนแดกก่อน”
“เพราะงั้นเราจะสำรวจแค่เทอร์มินอล หยิบจับแต่ของจำเป็นแล้วหาทางออกมาโดยไม่มีใครตาย” จงอินมองหน้าทุกคนเพื่อย้ำว่าการเข้าไปสนามบินครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
“พวกคุณเสี่ยงกันแบบนี้อยู่บ่อย ๆ เหรอ?” พอคนอายุมากกว่าเริ่มเดินนำ แทยงจึงยิงคำถามระหว่างก้มตัวลงต่ำเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตของเหล่าผีดิบ
“ช่วยไม่ได้ สิ่งแวดล้อมมันบังคับให้กูต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อหาเสบียง”
“แม้แต่ในสถานที่แบบนี้สินะ” จอห์นนี่นึกถึงตอนแรกที่เรื่องเพิ่งเกิด แม้ความกดดันและระดับความอันตรายจะต่างกับผู้ชายสามคนนี้หลายขุม แต่ความรู้สึกของคนที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด เขาจำได้ดีว่ามันเป็นยังไง
“ถ้าไม่ตายไปก่อนสักวันนึงพวกมึงก็ต้องทำแบบกูแน่นอน เมล็ดสารพัดรากหญ้าไม่มีให้ปลูกตลอดชีวิตพวกมึงหรอกนะจำไว้” แม้สายตาจะกวาดมองรอบตัวอย่างระมัดระวัง แต่ลู่หานก็ยังขู่ให้เด็กต้องกลัวอนาคตที่เป็นความจริงซึ่งจอห์นนี่และอีกสองคนก็สามารถจินตนาการออกได้ง่าย ๆ กับเรื่องที่ตระหนักไว้อยู่แล้ว
“พวกพี่แม่งโคตรเจ๋ง ใช้เวลานานปะกว่าจะได้ขนาดนี้?” มาร์คคงเป็นคนเดียวที่ไม่เกรงกลัวกับสิ่งที่ลู่หานขู่หนำซ้ำยังทำตาใสราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุกเสียอย่างนั้น เด็กน้อยยิ้มค้าง หลายวิเลยทีเดียวที่เขารอคำตอบแต่ผู้ใหญ่ทุกคนก็เอาแต่เงียบ “เค ช่างมัน”
“เอาไง?”
“เห็นสองตัวที่หันหลังอยู่ไหม ผมกับจงอินจะเข้าไปจัดการมันพร้อมกัน จังหวะนั้นให้คุณฆ่าตัวที่อยู่ฝั่งขวา ใช้มีดดาบปิดโอกาสส่งเสียงของมันให้เร็วที่สุด”
“ง่ายกว่าปอกกล้วย” ลู่หานไหวไหล่ แม้แผนการจะเชื่องช้าแต่เขาก็ไม่รู้สึกขัดใจ กลับกันแล้วยังดีเสียอีกที่ได้อี้ฟานกลับมาเป็นแนวหน้าร่วมสนามด้วยอีกครั้งหลังจากเจ็บขามานาน
“ส่วนคุณสามคนรออยู่ตรงนี้จนกว่าผมจะส่งสัญญาณเรียก” อี้ฟานหันไปสั่งการ เด็กสามคนจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ถ้าเป็นนายจะกล้าทำแบบพวกเขาหรือเปล่า?” แทยงถามเพื่อนสนิทที่ยังไม่ละสายตาจากชายหนุ่มทั้งสามซึ่งกำลังค่อย ๆ ก้าวเข้าหาพวกก้อนเนื้อโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัวและจัดการตามแผนโดยไม่ต้องย้ำซ้ำสอง สามคนนั้นดูเข้าขากันได้ดีซะจนน่าทึ่ง
“ฉันยังไม่เคยจนตรอกถึงขนาดนั้น เพราะงั้นคงบอกไม่ได้หรอกว่าจะมีความกล้ามากพอที่จะเสี่ยงตายเพราะความหิวหรือเปล่า”
“I bet you’ll run away, like a headless chicken bro.” (ผมว่าพี่ต้องวิ่งแน่ วิ่งเหมือนไก่อะ)
“Fuck you, asshole.” เด็กน้อยหัวเราะร่วนอย่างชอบใจเมื่อกวนประสาทพี่ชายได้สำเร็จ
“เอาล่ะ ไปกัน” แทยงตบบ่าทั้งคู่พร้อมหายใจเข้าลึก ๆ ทันทีที่ชายหนุ่มผิวแทนหันมาส่งสัญญาณเรียก เด็กทั้งสามคนค่อย ๆ ก้มตัวลงต่ำเดินไปตามพงหญ้าแห้งที่ทำให้คันยุบยับอย่างน่าหงุดหงิดตอนเสียดกับขา
ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งมองเห็นความน่าขยะแขยงได้ชัดขึ้นเท่านั้น พี่ปากหมาพูดถูกทั้งหมด... เป็นเพราะเด็กอย่างเราอยู่แบบระบบปิดมาตลอดจึงไม่มีทางไหนเลยที่จะรู้สึกคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะรู้วิธีสู้ วิธีจัดการพวกก้อนเนื้อ แต่มันก็ต้องพึ่งไหวพริบและความชำนาญเหมือนกัน
“เกาะติดกันเอาไว้”
“...”
จงอินและอี้ฟานถอยมายืนอยู่ท้ายสุดเพื่อให้เด็กทั้งสามคนอยู่ตรงกลางโดยมีลู่หานเดินนำหน้า จอห์นนี่เห็นว่าผู้ชายปากดีคนนั้นก้มลงเก็บก้อนหินก่อนจะปาไปไกล ๆ เพื่อดึงความสนใจจากพวกมัน ซึ่งได้ผลดีในระดับหนึ่งเพราะตอนนี้ผีดิบมากมายกำลังหันไปสนใจต้นเสียงพร้อมเดินไปยังจุด ๆ เดียวกันจนเป็นก้อนกลุ่ม
เสียงโหยหวนมาพร้อมความกังวลทุกขณะ ทุกคนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นก่อนที่พวกมันจะสำนึกได้ว่าก้อนหินโง่ ๆ คงไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้ รองเท้าบูทหนังและผ้าใบคอนเวิร์สเก่า ๆ วิ่งย่ำไปตามพื้นซีเมนต์ ลู่หานตวัดคมดาบใส่ตัวกินคนที่ขวางทางอยู่ข้างหน้าจนหัวแหว่งไปเสี้ยวหนึ่ง จอห์นนี่เหวี่ยงเสียมเหล็กซ้ำใส่จนร่างของมันหงายหลังล้มลงไปกับพื้น
“กรรรรรรรรรซ์!!!”
ฝูงตัวกินคนรอบข้างกำลังตรงมาทางนี้เพราะเสียงหัวของร่างไร้วิญญาณกลิ้งตกลงพื้น และเสียงฝีเท้าทุกคู่ที่วิ่งย่ำไม่หยุด พวกเขารู้ว่ามันเป็นไปได้ยากที่จะตัวเบาเข้าไปในนั้นได้โดยไม่ให้พวกมันเห็น แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับเกินความคาดหมายไปเล็กน้อยเมื่ออาคารผู้โดยสารยังอยู่ไกลกว่าที่คิดไว้มากโข
“เร็วกว่านี้!” จงอินดันหลังมาร์คทั้งที่สายตายังจดจ้องอยู่กับความน่าสยดสยองทางฝั่งขวามือ ผีดิบนรกเหล่านั้นเห็นเราแล้วและคาดว่าพวกมันพร้อมที่จะฉีกร่างสดใหม่ของทั้งหกคนเข้าปาก ชายหนุ่มผิวแทนควักปืนพกออกมาถือไว้ด้วยมือขวาและเปลี่ยนให้มือซ้ายใช้ไขควง
อี้ฟานขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตกกับการคาดการณ์ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีนี้ ใบหน้าเหวอะหวะอ้าปากส่งเสียงเมื่อเห็นเหยื่อ สองมือตะกุยตะกายไปกับอากาศพร้อมสองขาที่เดินโซซัดโซเซมาทางนี้อย่างทุลักทุเล บางตัววิ่งได้ บางตัวเดินอย่างเชื่องช้า บางตัวคลานลากไส้ที่เหลืออยู่น้อยนิด
ประตูกระจกระบบเซนเซอร์เปิดคาไว้อยู่ ลู่หานจึงวิ่งเข้าไปในอาคารผู้โดยสารเป็นคนแรก เขากำด้ามมีดดาบไว้มั่นพร้อมสำรวจอันตรายรอบที่กว้างภายในเวลาสั้น ๆ ก่อนจะดันเด็กอีกสามคนเข้ามาในความมืดซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากภายนอกเท่านั้นที่ทำให้สามารถมองเห็นถังขยะและกระถางต้นไม้แตกกระจายเกลื่อนกราดอยู่เต็มพื้น
จอห์นนี่คว้าแทยงกับมาร์คให้เข้ามาด้านในด้วยกัน เด็กทั้งสามคนยืนหอบหายใจหลังจากโดนอันตรายไล่จี้หลังมาติด ๆ จงอินกับอี้ฟานกำลังพยายามฆ่าพวกที่อยู่ในระยะอันตราย ก่อนทั้งคู่จะเข้ามาข้างในและช่วยลู่หานดันประตูกระจกให้ประจบเข้าหากันเพื่อต้านพวกมันเอาไว้
“เราอยู่แบบนี้ได้ไม่นานแน่ ไอ้ลู่หาน มึงไปหาทางออก” สองเพื่อนสนิทกัดฟันออกแรงดันประตูอยู่คนละฝั่งสบตากันท่ามกลางเสียงหิวกระหายของเหล่าผีดิบที่แออัดอยู่อีกฝั่งของประตู ซึ่งคนได้รับภารกิจใหญ่หลวงก็รีบคว้ามีดดาบขึ้นมาแล้วตรงเข้าไปด้านในเพื่อหาทางหนีทีไล่โดยได้อี้ฟานดันประตูแทน
และแม้จะแรงเยอะแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้ได้กับประตูเซนเซอร์ซึ่งพร้อมจะไหลไปทุกทิศทางที่ถูกดัน มือหยาบกร้านดำสกปรกรุมทุบกระจกจนเกิดรอยร้าว จงอินหันไปทางเพื่อนสนิทที่สู้กับตัวกินคนซึ่งโผล่ออกมาจากที่มืดโดยมีเด็กอีกสามคนคอยเป็นลูกมือ แม้จะช่วยอะไรได้ไม่มากนักแต่ก็มีประโยชน์กว่ายืนอยู่เฉย ๆ หลายขุม ลู่หานเลือกแทงหัวจนทะลุมากกว่าฟันให้ขาดเพราะตราบใดที่สมองยังไม่ตายตัวกินคนก็สามารถแพร่เชื้อให้ทุกคนได้ด้วยการกัดแม้หัวจะหลุดออกจากบ่าไปแล้ว
“ห่าเอ๊ย!”
“กระจกจะแตกแล้วจงอิน!”
“ไอ้ลู่หาน เร็วกว่านี้!!!” จงอินคว้าปืนพกขึ้นเล็งไปข้างหน้าทั้งที่ยังดันประตูเลื่อนไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี แต่พอจะเหนี่ยวไกความคิดก็หยุดชะงักเพียงเท่านั้น เขากำลังประมวลผลความฉิบหายที่จะตามมาทีหลังถ้าหากตัดสินใจใช้ปืนจนลากพวกมันมากองอยู่ที่นี่กันหมด
“พวกมันแห่ออกมาเรื่อย ๆ งี้จะให้กูเร็วยังไงวะ มึงเห็นพ่อเป็นซามูไรเหรอ?!!!” ลู่หานถีบเข้ายอดอกผีดิบจนมันเซล้มไปพร้อม ๆ กันสามตัวแล้วง้างมีดดาบขึ้นฟันผ่าครึ่งกลางหัวก่อนจะชักกลับในทันที
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
มาร์คกลืนน้ำลายมองความชลมุนวุ่นวายที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์วันแรกที่เขาและพี่ชายทั้งสองได้เผชิญหน้ากับความน่ากลัว เสียงร้องโหยหวน เลือดและหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ มันต่างจากตอนฆ่าพวกมันทีละตัวตามข้างทางอย่างสิ้นเชิง มาร์คกำอาวุธทำสวนโง่ ๆ ไว้จนเหงื่อชุ่มฝ่ามือ พอเอาเข้าจริงเด็กวัยสิบห้าก็ขำไม่ออก ไม่มีความสนุกหรือน่าตื่นเต้นอย่างที่คิดเอาไว้ว่าคงทนไหว
“งั้นมึงรีบวิ่งไปเปิดทาง!”
“แล้วมึงสองคนล่ะ?!”
“เดี๋ยวกูหาทางไปกันเอง อี้ฟาน! ข้างหลัง!” เจ้าของชื่อเบิกตากว้างก่อนจะละมือข้างหนึ่งออกจากประตูเลื่อนพร้อมซัดหมัดเข้าหน้าผีดิบจนเนื้อหลุดจากแก้มเป็นริ้ว ๆ
จงอินขมวดคิ้วมองคนอายุมากกว่าที่พยายามสู้กับผีดิบอย่างทุลักทุเลเพราะต้องดันประตูไปด้วย ชายหนุ่มผิวแทนหันซ้ายขวาดูลาดเลาความเป็นไปได้ก่อนจะหยุดที่ดวงตาต้อขาวซึ่งจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผ่านทางกระจก
เสียงของอี้ฟานกับลู่หานที่ตะโกนเรียกเขานั้นกึกก้องอยู่ในความคิด พร้อมภาพของจอห์นนี่ที่รีบเข้าไปพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้นยืนเมื่อแทยงพลาดเหยียบเศษกระจกบนพื้นจนมันบาดทะลุรองเท้าคอนเวิร์ส มาร์คยืนนิ่งช็อกกับความจริงซึ่งโหดร้ายกว่าที่คิด เจ้าเด็กลูกครึ่งนั่นหันมาสบตากับเขาด้วยแววตาหวาดกลัว มันเป็นเสี้ยววินาทีสั้น ๆ เท่านั้นที่จงอินชักปืนขึ้นพร้อมตะโกนบอกให้อีกฝ่ายหมอบลงทันทีที่เห็นผีดิบโผล่มาจากข้างหลัง
“หมอบ!!!”
ปัง!!!
มาร์คล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมปิดหูที่กำลังอื้อเพราะเสียงปืนซึ่งทะลุออกปากผีดิบจนล้มลงทับตัวเขา “อ๊ากกกก!!!!!!!!! ออกไป!!! ออกไป!!!”
เด็กน้อยดิ้นทุรนทุราย ปัดป่ายถีบร่างไร้วิญญาณออกจากตัวอย่างคนสติแตก เสียงปืนเมื่อครู่ดังกึกก้องไปทั่วอาคารผู้โดยสาร ดึงดูดความสนใจจากซากศพมีชีวิตด้านนอกจนพวกมันเคลื่อนย้ายมาทางนี้ อี้ฟานหอบหายใจหลังจากแทงมีดเข้ากลางลูกตาผีดิบที่เข้ามาขัดขวางการดันประตู
“ไม่ไหวแล้วนะโว้ย!!!” ลู่หานสบถอย่างหัวเสียพร้อมฟันคอผีดิบจนขาดครึ่งหนึ่งแล้วถีบให้ถอยออกไปก่อนจะเข้าไปช่วยจอห์นนี่พยุงแทยงให้ลุกขึ้น “หาที่ปลอดภัยก่อน!!! ไอ้หัวพุดเดิ้ล!!! ลุกขึ้นมา!!!”
“...!!!”
ผ่านแสงดวงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ ๆ ด้านนอกที่ส่องเข้ามาด้านในเพียงครึ่งเดียวทำให้เห็นทั้งเงาดำของพวกก้อนเนื้อที่เกาะกระจกอยู่ด้านนอก และเศษกระจกเปื้อนเลือดที่แทงทะลุรองเท้าแทยงจนจอห์นนี่กับลู่หานต้องช่วยกันหิ้วปีก
“มาร์ค!!!” อี้ฟานตะโกนเรียกสติเด็กน้อยที่ยังไม่ลุกไปไหน และตอนนี้เขากับจงอินก็แทบจะกันไม่ไหวแล้ว กระจกประตูระบบเซนเซอร์กำลังทำท่าจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะจำนวนผีดิบด้านนอกที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
อย่าถามหาสติเลย... ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวมาร์คมีเพียงเรื่องวิ่งให้เร็วเท่านั้น เด็กน้อยล้มลุกคลุกคลานตามลู่หานและพี่ชายอีกสองคนไปติด ๆ บนทางเดินยาวในอาคารผู้โดยสารซึ่งมีกระเป๋าและเก้าอี้สแตนเลสล้มขวางอยู่เป็นระยะ รอยเลือดสีสดเป็นลายพื้นรองเท้าข้างขวา ตอกย้ำให้เด็กอายุสิบห้ารู้สึกผิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะความรั้นของตนที่พาเพื่อนสนิทพี่ชายมาเจอเรื่องแบบนี้
สองมือที่กำอาวุธทำสวนยังคงสั่น มาร์คพยายามตั้งสติอีกครั้งแต่เสียงผีดิบที่เกาะกำแพงกระจกด้านข้างก็ข่มขวัญเสียจนแทบบ้า
“กร๊าซซซซซซซซซซซ!!!”
“...!!!” มาร์คหงายหลังล้มทันทีที่พวกก้อนเนื้อผลักประตูห้องน้ำออกมาอย่างแรง มีทั้งผู้โดยสารและพนักงานภาคพื้นดินต่างกลายเป็นพวกมันไปแล้ว จงอินกับอี้ฟานแทบช็อกกับภาพที่เห็น ลู่หานกับจอห์นนี่กำลังช่วยกันฆ่าผีดิบเบื้องหน้าเพื่อเคลียร์ทางและหิ้วปีกแทยงไปด้วยจึงไม่มีโอกาสละสายตาหันมาเห็นความฉิบหายของเด็กกะโหลกที่เพิ่งเกิดมาเห็นโลกได้เพียงไม่กี่ปี
“จงอิน!”
เจ้าของชื่อกัดฟันกรอดทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเด็กที่ถูกความกลัวเล่นงานจนขี้ขึ้นสมอง ชายหนุ่มผิวแทนละมือจากประตูเลื่อนเพื่อให้มันเปิดออกก่อนจะดันเข้าไปอย่างแรงให้หนีบหน้าตัวกินคนจนดวงตาทะลักออกจากเบ้า
ทั้งคู่พยักหน้าอย่างรู้กันพร้อมวิ่งไปหาเป้าหมายที่อยู่ไม่ห่างจากจุดนี้มากนัก แต่ไอ้เด็กมาร์คก็สร้างความฉิบหายให้ตัวเองและพวกเขาอีกครั้งเมื่อทางที่มันเลือกหนีกลับเป็นประตูที่อยู่ด้านหลังแทนที่จะหักเลี้ยวตามพี่ชายไป
“อ๊ากกกกกกกกกกก ช่วยด้วย!!!!!!!!!!”
“เวรเอ๊ย!!!” จงอินสบถเป็นครั้งที่ล้านของวัน เขาขมวดคิ้วพร้อมมองตามเด็กคนนั้นที่วิ่งออกไปยังลานกว้างซึ่งมีผีดิบมากมายเตรียมปาร์ตี้ต้อนรับอย่างล้นหลาม
“ใช้ปืนเลยจงอิน”
ลู่หานกับเด็กอีกสองคนหันไปตามเสียงหวีดร้องหลังจากฟันคอผีดิบจนขาด พอเห็นว่าตอนนี้เพื่อนสนิทกับอี้ฟานกำลังตามไล่ตูดไอ้เด็กหัวพุดเดิ้ลที่วิ่งเข้ารันเวย์โดยมีผีดิบเป็นหมื่นแสนพุ่งเข้าหาจากทุกด้านเขาก็ได้แต่อ้าปากค้าง
“SHIT!!!”
“ไอ้ฉิบ -- โว๊ยยยยยยย!!!” ยังสบถไม่หนำใจก็ต้องกลับไปสู้กับผีดิบตัวใหม่ที่โผล่ออกมาอีกระลอก เสียงปืนที่จงอินเหนี่ยวไกไม่ได้ทำให้ลู่หานโล่งใจขึ้นเลยสักนิด กลับกันแล้วยังทำให้รู้สึกได้ถึงความพังพินาศทันทีที่รู้ตัวว่าเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กหลังจากแยกกันเป็นสองฝั่ง “วิ่งก่อน!!!”
“อึ่ก...” แทยงนิ่วหน้า บาดแผลที่ถูกกระจกแทงคงลึกพอสมควรเขาถึงรู้สึกถึงมันได้มากถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มหอบหายใจหนัก ร่างที่บาดเจ็บถูกหิ้วปีกวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุดกระทั่งเจอห้องทำความสะอาดที่เป็นจุดปลอดภัยสำหรับเขาทั้งสามคน
ปัง ๆๆๆๆๆ
“ช่วยด้วย!!!”
“หุบปากแล้ววิ่งไปที่เครื่องบิน!!!” จงอินยิงแค่ตัวที่เข้าใกล้มาร์คมากที่สุด ไอ้เด็กเวรนั่นทำเขาแทบหัวใจวายแทบจะทุกวินาทีที่มันหลบองศาการจับของตัวกินคนได้อย่างเฉียดฉิว
มาร์คล้มลุกคลุกคลานจนได้อี้ฟานเข้ามาช่วยชีวิตโดยการกระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มร่างสูงวิ่งนำหน้าพร้อมใช้มีดพกแทงเข้าลูกตาแล้วชักกลับภายในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ เด็กน้อยหอบหายใจหนัก รอบข้างเต็มไปด้วยพวกมันจนไม่เห็นว่าจะมีช่องทางไหนช่วยให้หนีรอดจากความตายไปได้
“ถอย!”
จงอินเร่งฝีเท้าจนแซงหน้าอีกสองคนไป มาร์คยังคงวิ่งไม่หยุดแม้ขาจะสั่นจนแทบล้ม แต่ถ้าหากหยุดแค่วินาทีเดียวเขาคงได้ไปพบพระเจ้าโดยไม่ได้สั่งลาพี่ชายแน่ จงอินรัวกระสุนใส่พวกก้อนเนื้อที่ขวางทางขึ้นบันไดเหล็กซึ่งใช้เชื่อมต่อกับประตูทางเข้าเครื่องบินเพื่อเคลียร์ทางให้เราทั้งสามได้ขึ้นไปตั้งหลักบนนั้น มาร์คกัดฟันแน่นเฮือกสุดท้าย เหวี่ยงอาวุธทำสวนใส่พวกมันให้เสียหลักก่อนจะโดนอี้ฟานลากขึ้นบันไดไปอย่างทุลักทุเล
“กร๊าซซซซซซซซซซซ!!!”
จงอินถีบบันไดเหล็กออกจากทางเชื่อมประตูเครื่องบินจนไถลถอยหลัง ตัวกินคนที่เบียดเสียดปีนขึ้นมาจึงตกลงไปข้างล่างหน้ากระแทกซีเมนต์สร้างวอลเปเปอร์เลือดสีเข้มประดับพื้นรันเวย์ ทั้งสามหอบหายใจหนักพลางเอนหลังพิงกับผนังสีขาวอย่างโล่งอกหลังจากรอดตายมาได้อย่างเฉียดฉิว จงอินมองปืนในมือที่ไม่เหลือกระสุนให้ได้ลั่นไกอีกแล้วจึงตัดสินใจโยนมันลงไปและใช้ไขควงเป็นอาวุธแทน
“So fucking tired.” (โคตรเหนื่อยเลย)
“ชู่ว์...” จงอินเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างซึ่งแตกต่างจากเสียงบ่นอิดออดของมาร์คอย่างสิ้นเชิง เด็กน้อยวัยสิบห้าก้าวไปหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ อี้ฟานพร้อมกระพริบตาปริบ ๆ ขณะมองผ้าม่านเปื้อนเลือดตรงหน้าที่มีช่องเล็ก ๆ พอให้มองเห็นด้านใน
เสียงไอโขลกราวกับคอแห้งผากเป็นผงและเสียงโอดครวญโหยหวนจนจับไม่ได้ว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง จงอินกับอี้ฟานมองหน้าอย่างรู้กัน ชายหนุ่มผิวแทนจึงขยับไปยืนอีกฝั่งขอบประตูก่อนจะแหวกผ้าม่านออกช้า ๆ
“...”
เพื่อให้รู้ว่าด้านในมีผู้โดยสารกลายเป็นผีดิบยืนเบียดเสียดกันอยู่ตรงกลางทางเดินเต็มไปหมด
“JESUS FUCKING CHRIST...”
50%
“ฉิบหายแล้ว...”
จงอินรีบตะปบปากมาร์คทันทีที่พวกกินคนหันมาทางนี้ แม้จะไม่ใช่ทุกตัวแต่จากสถานการณ์ไร้ทางหนีก็ข่มขวัญสั่นประสาทจนจินตนาการออกได้ง่าย ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เพิ่งได้ความจำกลับคืนและคนขาเพิ่งหายเจ็บซึ่งผีเข้าวิ่งตามไอ้เด็กกะโหลกมาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามีปาร์ตี้หิวเนื้อรออยู่
มาร์คแกะมือแกร่งออกพลางมองความตึงเครียดทางสีหน้าของคนอายุมากกว่าอีกสองคน พี่จงอินกับพี่อี้ฟานคุยอะไรกันสักอย่างโดยไม่สนใจว่าเขาจะเข้าใจด้วยหรือไม่ ทั้งคู่กำไขควงและมีดพกแน่นเหมือนพร้อมบวกทั้งที่ฝั่งพวกก้อนเนื้อมีมากกว่าหลายเท่า ไม่รู้เพราะมั่นใจว่าต้องรอดหรือเป็นเพราะไร้ทางหนีถึงทำให้พี่ทั้งสองโคตรมั่นหน้ามั่นโหนกขนาดนี้
“หาที่ซุกหัวซะ” มาร์คเซถอยหลังเพราะถูกพี่จงอินดันให้เข้าไปหลบในห้องเก็บของเล็ก ๆ ด้านขวามือซึ่งแอร์โฮสเตสใช้เป็นที่เก็บเครื่องดื่มและอุปกรณ์ห่าเหวอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้เพราะไม่เคยเป็นแอร์
“กรรรรรรรซ์!”
“ผมว่าเราต้องรีบแล้วล่ะ”
“แหง ต่อยก่อนได้เปรียบนี่นะ” ชายหนุ่มผิวแทนบิดคอจนเกิดเสียง เราต่างรู้ดีว่าการหาพื้นที่หลบหนีหรือตั้งหลักบนเครื่องบินลำเล็กมันค่อนข้างเป็นไปได้ยาก จงอินกับอี้ฟานต้องเป็นฝ่ายบวกก่อนถ้าไม่อยากเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะถ้าเปิดโอกาสให้พวกมันก้าวเข้ามามากกว่านี้คนที่จะเป็นฝ่ายฉิบหายก็คือมนุษย์ทั้งสามซึ่งกล้ามีชีวิตมาถึงที่นี่
ถ้าเกิดปอดแหกไม่กล้าสู้ทั้งสามคนก็ต้องถูกกัดตายที่นี่ หรือไม่ก็ถูกไล่ต้อนถอยหลังไปจนถึงประตูเครื่องบิน ตกลงจากที่สูงจนขาหักอีกทั้งยังถูกกระชากไส้ควักมากินและว่ากว่าจะขาดใจตายก็คงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเจ็บปวดอยู่หลายวินาที ...ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานนัก
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ชายหนุ่มทั้งสองตรงเข้าไปยังทางเดินแคบพร้อมแทงความแหลมคมในมือเข้ากลางลูกตาผีดิบในชุดสูทและแอร์โฮสเตสที่ไม่หลงเหลือความสวยให้เชยชมอีกต่อไป จงอินถีบกลางอกหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่จนหงายหลังชนผีดิบที่แออัดอยู่ด้านหลังแต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นทำให้พวกมันเสียหลักล้มลงไปทั้งหมด
เสี้ยววินาทีสั้น ๆ เท่านั้นที่คนผิวแทนกลอกตามองซ้ายขวาเมื่อพบว่าตัวกินคนวัยชรากำลังพยายามใช้ทางลัดปีนป่ายข้ามเบาะนั่งมาหาเขาทั้งคู่ และถ้าหากไม่รีบจัดการ... ร่างกายที่ว่าเชื่องช้าตอนเป็นมนุษย์คงยืนขึ้นอ้าปากใช้ฟันที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ซี่เปลี่ยนเขาทั้งสองให้กลายเป็นพวกมันได้
อี้ฟานยังคงรับมือกับผีดิบซึ่งเบียดเสียดแย่งกันเข้าหาเหยื่อโดยไม่สนใจรอบข้างขณะที่ชายหนุ่มผิวแทนหันไปจัดการแทงหัวคนชราให้ตายคาที่ภายในครั้งเดียว “จงอิน!”
หลังจากสิ้นเสียงเตือนของอี้ฟานเจ้าของชื่อก็ล้มลงไปกับเบาะนั่งซึ่งมีที่วางมือคั่นอยู่ตรงกลาง คนตัวสูงซัดหมัดใส่ผีดิบด้านหน้าพร้อมถีบซ้ำเพื่อดันให้ถอยหลังออกไปก่อนจะเห็นว่าตอนนี้จงอินกำลังใช้ท้องมือดันคางตัวกินคนที่เอาแต่ส่งเสียงคำรามอ้าปากกัดอากาศจนได้ยินเสียงฟันขบกัน
“เชี่ยเอ๊ย!” ชายหนุ่มผิวแทนกัดฟันกรอด เขาพยายามต้านเอาไว้โดยการดันคางโสโครกออกจากระยะอันตรายจนเนื้อเป็นริ้ว ๆ หลุดติดมือ
ร่างไร้วิญญาณไม่ยอมลดละความพยายามที่จะกัดเหยื่อ สถานการณ์ตอนนี้แย่ลงเรื่อย ๆ เพราะอี้ฟานคนเดียวไม่สามารถต้านแรงหิวของผีดิบนับสิบบนเครื่องบินได้ ขายาวเริ่มก้าวถอยไปเรื่อย ๆ กัดฟันแทงมีดเสยปลายคางเข้าไปให้ความคมฝังลึกจนมิดด้ามแล้วกระชากออกในทันที
ไม่ได้การแล้ว... ถ้าหากปล่อยให้พวกมันเข้ามาใกล้กว่านี้คงเข้าถึงตัวจงอินได้แน่ ๆ
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
“...!!!”
จงอินเบิกตากว้างเมื่ออยู่ ๆ ผีดิบที่คร่อมอยู่ก็สะดุ้งหน้าสั่นเพียงเพราะมันถูกถังน้ำแข็งพลาสติกโง่ ๆ ฟาดโดยไอ้เด็กกะโหลกที่เขาสั่งอย่างดิบดีแล้วว่าให้ซุกหัวหลบอยู่ด้านนอก ชายหนุ่มผิวแทนต่อยหน้าผีดิบจนมันเสียหลักแล้วถีบกลับเข้าไปหาเพื่อนฝูงขี้เรื้อนก่อนจะฆ่าตัวที่อยู่ใกล้มือมากที่สุด
“มาร์ค!”
“OH NO NO NO!!!” เด็กเกรียนอ่อนประสบการณ์ร้องเสียงหลง ยกสองมือขึ้นบังตามสัญชาตญาณทันทีที่ตัวก้อนเนื้อพุ่งเข้ามาอ้าปากจะกัดในจังหวะที่ไม่ได้ตั้งตัว แต่เด็กน้อยก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นวาบตรงระดับใบหน้า และที่มาของมันคือความเร็วของแขนพี่จงอินซึ่งแทงไขควงเข้าไปในปากตัวก้อนเนื้อพร้อมงัดขึ้นจนเลือดสีดำทะลักเลอะมือแกร่ง
“ออกไป เกะกะ” มาร์คถูกผลักออกจากดงตีนจนไถลไปกับพื้น ให้ตายเหอะว่ะ! วันนี้มันกี่ครั้งแล้วที่เขาถูกผลักอย่างไร้ความปรานี นึกบ่นอยู่ในใจที่พี่จงอินเลือกปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับเด็กที่อุตส่าห์หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ในจังหวะเฉียดตาย
กึง!!!
“กรรรรรรรรร์!!!”
“บันได!”
“...!!!”
บรรยากาศตึงเครียดทวีคูณหนักเป็นสิบเท่าเมื่อภัยอันตรายไม่ได้มาแค่ด้านหน้า ระเบิดเวลาที่มาในรูปแบบเสียงและจำนวนมากกว่าทำให้ชายหนุ่มทั้งสองจำต้องคิดหนัก เลือดสีดำทะลักตามคมมีดที่กระชากออกก่อนร่างไร้วิญญาณจะถูกถีบให้ถอยหลังกลับไปเพื่อสร้างพื้นที่ระยะปลอดภัยเพิ่ม แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มีเพียงไขควงกับมีดพกธรรมดาเป็นอาวุธ
ชายหนุ่มกำลังคิดไม่ตก ถ้าหากปล่อยตรงนี้แล้วหันไปกันประตูทางเข้าเครื่องบินอี้ฟานอาจพลาดท่าโดนรุมได้ ความเสี่ยงในสถานการณ์กดดันซึ่งมีเวลาจำกัดทำให้คิมจงอินต้องรีบหาทางออกที่ไม่ใช่ความตายให้กับเราทุกคน
“FUCK OFF, MOTHERFUCKER!!!”
เสียงเหล็กสั่นครืนปนเสียงโหยหวนจากพวกด้านนอกคงไม่เรียกความสนใจได้เท่าคำหยาบแบบลูกครึ่งของไอ้เด็กที่คิดว่าไม่น่าจะมีประโยชน์ในสถานการณ์แบบนี้ จงอินกับอี้ฟานหันไปทางด้านหลังสลับกับแทงหัวผีดิบจนสมองทะลัก จนได้พบว่าไอ้เด็กมาร์คกำลังเกาะขอบประตูพร้อมถีบบันไดเหล็กล้อเลื่อนออกให้ห่างจากเครื่องบินในสภาพทุลักทุเลจนกลัวว่ามันจะพลาดท่าตกลงไปคอหักตาย
“พวกพี่!!! ไม่ต้อง!!! ห่วง!!! เดี๋ยวตรงนี้!!! ผม!!! จัดการเอง!!!”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากฝั่งนั้นเลยสักนิด... ซึ่งมาร์คคิดว่าทั้งสองคนคงตั้งใจฆ่าพวกก้อนเนื้ออยู่ถึงไม่ยอมสนใจว่ามีเด็กอย่างเขาเป็นผู้ปิดทองหลังพระอยู่ตรงนี้เพื่อช่วยชีวิตพี่ ๆ ด้วยการเสี่ยงตายอย่างไม่กลัว
“รีบหน่อยดีกว่า ถ้าช้ากว่านี้คงได้ยินเสียงไอ้เด็กนั่นแหกปากลั่นแน่”
“ผมเห็นด้วย”
อี้ฟานเอาไหล่กระแทกผีดิบตัวใหญ่ที่กลายเป็นกำแพงกั้นให้จัดการตัวอื่นได้ง่ายขึ้น จงอินซัดหมัดซ้ำไปสี่ครั้งก่อนจะสะบัดมือไล่ความเจ็บแล้วหวดกำปั้นหนัก ๆ เป็นครั้งที่ห้าตัวกินคนร่างใหญ่ถึงได้เสียหลักเดินถอยหลังไปสองก้าว
เพราะรูปร่างอ้วนท้วมจนปิดทางเดิน ทั้งคู่จึงเลี้ยงไข้มันโดยการถีบสกัดเป็นระยะแล้วหันไปแทงตัวที่พยายามข้ามมาฝั่งนี้ทีละตัว โอกาสได้กลับมาอยู่ที่ฝั่งมนุษย์อีกครั้ง เลือดสีดำเลอะไขควงหยดลงพื้นเป็นดวงถูกง้างขึ้นแทงเข้าสมองผ่านกะโหลกเปราะบาง ปล่อยให้ซากศพไร้วิญญาณนอนจมกองเลือดเหม็นเน่า
อี้ฟานแทงเข้ากลางขมับตัวกินคนตัวด้านซ้ายก่อนจะหันมาเฮดบัดตัวทางขวาโดยไม่เสียเวลาทิ้งไปสักวินาทีเดียว ทั้งสามคนพยายามทำหน้าที่ของตัวเองกระทั่งความฉิบหายสิ้นสุดลงหลังจากซากศพตัวสุดท้ายในชุดสจ๊วตถูกจงอินจับหัวโขกกับผนังซ้ำ ๆ จนเลือดสีดำและสมองทะลักออกมาเต็มหน้าต่างและผนังเครื่องบิน
“...”
ทั้งสองคนยืนหอบหายใจหนักท่ามกลางศพมากมายที่นอนทับกันอยู่บนพื้นและเบาะข้างทางเดิน ปล่อยให้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วเครื่องบินราคาชั้นประหยัดปลอบขวัญว่าพวกเขารอดตายแล้ว จงอินตรงเข้าไปยืนด้านหลังเด็กเกรียนที่พยายามปกป้องประตูทางเข้าอย่างสุดความสามารถ เอามือปิดปากเด็กสูงเท่าปลายคางพร้อมอุ้มหลบจากตรงนั้นจนขาลอยเหนือพื้น
ขายาวตามมาดูสถานการณ์ด้านนอก เหล่าผีดิบที่เคยกระจายตัวอยู่รอบรันเวย์ต่างมารุมล้อมเครื่องบินลำนี้จนบางจุดดูโล่งตาไปอย่างปริยาย ‘ตอนนี้ลู่หานกับเด็กอีกสองคนอยู่ที่ไหน’ นั่นคือคำถาม จงอินกับอี้ฟานจึงช่วยกันแง้มประตูเข้ามาเพื่อปิดกั้นความสนใจจากพวกด้านล่างและเปิดโอกาสให้ตนเองได้มีเวลาตั้งหลักว่าจะเอายังไงต่อไป
“ขายังโอเคดีใช่ไหม?” อี้ฟานยิ้มขำกับคำถาม ก่อนจะมองหลังมือตนเองที่บวมแดงเพราะต่อยหน้าผีดิบไปนับครั้งไม่ถ้วน
“ความทรงจำของคุณก็คงเหมือนกัน”
มาร์คกระพริบตาปริบ ๆ มองชายหนุ่มทั้งสองที่เงยหน้าขึ้นสบตากันแล้วแท็กมือท่ามกลางเสียงโหยหวนของผีดิบที่อยู่ด้านนอก จงอินหันไปทางเด็กเกรียนที่มองมาราวกับว่าอยากมีส่วนร่วมด้วย เขาจึงกระดิกนิ้วให้อีกฝ่ายเดินตามเข้าไปในตัวเครื่องเพื่อเผชิญหน้ากับซากศพที่นอนตายเกลื่อนอยู่ด้านใน
“ตอนนี้มีสองตัวเลือก ระหว่างวางแผนหาทางออกไปจากเครื่องบินโดยไม่มีใครตาย”
อี้ฟานยืนกอดอกพิงกับผนังพลางมองชายหนุ่มที่ได้ความกล้าและความมั่นใจกลับคืนมาอย่างเต็มร้อย เขารู้สึกได้ถึงคิมจงอินที่เคยรู้จัก แต่ตอนนี้มันมีบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามานิดหน่อยซึ่งก็คือแววตาเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความเอ็นดูเด็กอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“หรือหาของจำเป็นติดมือไปด้วยเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าการเสี่ยงครั้งนี้มันสูญเปล่า”
“คุณคิดว่าไง?” อี้ฟานถามอย่างหยั่งเชิงขณะที่จงอินกำลังเปิดช่องเก็บสัมภาระแล้วคว้ากระเป๋าเป้สีเหลืองออกมาหนึ่งใบ มือที่เลอะไปด้วยคราบเลือดรูดซิปออกอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเจออะไรบางอย่างในกระเป๋า
อี้ฟานกับมาร์คยืนมองอย่างลุ้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบจากคำถามเมื่อครู่หรือสิ่งของที่อยู่ในเป้ใบนั้น และเขาทั้งคู่ก็ได้คำตอบเป็นช็อกโกแลตซองสีน้ำตาลสามอันที่อยู่ในมือเลอะเลือดสีเข้ม จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมทางอีกสามคน
“ก็ต้องเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว”
“อะ... อา...”
“ไหวหรือเปล่า?”
ในห้องเก็บอุปกรณ์มืดเสียจนมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร เด็กหนุ่มลูกครึ่งถามไถ่เพื่อนสนิทพร้อมประคองให้นั่งพิงกับชั้นเหล็กวางอุปกรณ์ทำความสะอาดจนเกิดเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ กลิ่นเหม็นอับและกลิ่นความตายอบอวลลอยอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของประตู ลู่หานกำลังหาอะไรบางอย่างท่ามกลางความมืดที่อัดแน่นไปด้วยความสิ้นหวัง เสียงโหยหวนของพวกกินเนื้อและเสียงทุบประตูจากด้านนอกดังปึงปังข่มขวัญเสียจนอยากต่อว่าตัวเองที่ตัดสินใจเดินเข้าสนามบินทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสมรรถภาพการต่อสู้ของเขาทั้งสามคนยังอ่อนหัดนัก
“เมื่อกี้พวกเขาช่วยมาร์คทันไหม นายเห็นหรือเปล่า?” แทยงหอบหายใจพร้อมบีบแขนเพื่อนสนิทที่มองไม่เห็นว่าตอนนี้กำลังมีสีหน้าแบบไหน
“ไม่ ฉันไม่เห็น” เขารู้สึกได้ว่าจอห์นนี่กำลังรู้สึกแย่หลังจากได้ยินน้ำเสียง
“บิงโก” เด็กหนุ่มทั้งสองเงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นแสงสว่างดวงเล็ก ๆ ในชีวิต ลู่หานเขย่ากระบอกไฟฉายพร้อมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก นับว่าโชคยังดีที่มีแสงพอให้ได้เห็นบ้างว่าตอนนี้อาการแทยงเป็นยังไง
“เด็กคนนั้นน่ะ บ้าบอจริง ๆ”
“อย่าเพิ่งบ่น อะนี่ กัดไว้” ลู่หานยื่นผ้าเช็ดพื้นเน่า ๆ มาตรงระดับปลายคางคนเจ็บซึ่งหน้าซีดเผือดไปจากเดิมเพราะเสียเลือด เด็กหนุ่มส่ายหัวพรืด ต่อให้อยู่กับความสกปรกมานักต่อนักแต่การเอาปากคาบผ้าเช็ดพื้นไว้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำใจได้
“คุณจะทำอะไร?”
“ทำแผลให้เพื่อนมึงสิถามได้ ถ้าไม่ให้มันกัดไว้เดี๋ยวโวยวายเสียงดังเรียกพวกมันมารุมหน้าประตูหนักกว่าเดิมอีกทำไง?” ลู่หานเลิกคิ้วมองหาเรื่องไอ้ลูกครึ่งที่ทำผมแสกกลางเหมือนโอป้าสมัยยี่สิบปีก่อนแต่เสือกดูหล่อเฉย
“ผม... กัดมือตัวเองดีกว่า”
“อะไรนะ”
“อืม ผมพร้อมแล้ว อยากทำอะไรกับแผลผมก็เริ่มได้เลย” แทยงกลืนน้ำลายพร้อมถอดรองเท้าให้เสร็จสรรพ ถ้าให้เลือกฝืนอมผ้าขี้ริ้วเน่า ๆ เขายอมเจ็บซ้อนเจ็บซะยังดีกว่า
“ซ่ากันมากนัก เป็นไงล่ะ คนนึงตีนแตก อีกคนวิ่งร้อยเมตรชายประหนึ่งเข้าทีมชาติรอบสุดท้าย” ลู่หานสวมบทเป็นลุงขี้บ่น ขมวดคิ้วมองเด็กอ่อนต่อโลกทั้งสองคนพร้อมเช็กบาดแผลที่อาจทำให้เด็กนี่ตายห่าได้เพราะความอ่อนไหวของมันเอง
“คุณจะทำแผลให้แทยงยังไงในเมื่อในนี้ไม่มีกล่องปฐมพยาบาล?”
“นั่นเป็นคำถามที่ดี” ลู่หานชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงระดับริมฝีปาก “และในเมื่อไม่มีอุปกรณ์ที่พอจะใช้ได้ คนฉลาดอย่างกูก็จะช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ด้วยวิธีที่ฉลาดที่สุด”
“...” เด็กทั้งสองหันไปสบตากันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะได้คำตอบเป็นนิ้วที่ชี้มายังเสื้อของจอห์นนี่
“ถอดเสื้อลื้อออกมา”
“หะ?”
“ตัวข้างในอะ เอามานี่” ลู่หานเอื้อมไปดึงคอเสื้อกันหนาวของเด็กตัวสูงลงพร้อมชี้ตัวข้างในย้ำ ๆ “เร็วสิวะ อยากให้เพื่อนเลือดไหลจนตายเหรอ”
“แผลแทยงไม่ได้ใหญ่ขนาดถึงขั้นตายสักหน่อย” เด็กหน้าลูกครึ่งขมวดคิ้ว คนมากประสบการณ์จึงกลอกตามองบนอย่างขัดใจ
“งั้นปล่อยเพื่อนมึงตายไปเลยดีไหม หะ? ทำไมเถียงคำไม่ตกฟาก คิดว่าพูดภาษาอังกฤษได้ ตัวสูงกว่าหลายสิบเซ็นต์แล้วจะห้าวเป้งยังไงก็ได้เหรอ สำเหนียกบ้างไหมว่าอะไรที่พาลื้อสองคนรอดตายจากปากพวกข้างนอกได้ พระเจ้าปะ ใช่ไง พระเจ้าที่ชื่อลู่หานเอง เซย์อันนยองหน่อยสิ”
เดือดแล้วต้องทวงบุญคุณ เอาให้สำนึกไปเลยว่าควรรู้สึกผิดที่กล้าหือกับเขาในเวลาแบบนี้
“นี่ แทยุน”
“ผมชื่อแทยง”
“เออ จะยงจะยุนอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ ในสถานการณ์น่าสิ่วน่าขวานแบบนี้ยังจะซีเรียสเรื่องชื่ออีกเหรอ มันใช่เวลาดักคอกันไหม เห็นปะกูลืมเลยว่าจะพูดไร”
"What is he talkin' about?" (เขาพล่ามห่าอะไรกันนักวะ?)
"Fuck knows." (ใครจะไปรู้)
“ไร ๆ นินทาเหรอ เดี๋ยวเจอเปิดประตูเรียกเพื่อน” ลู่หานเลิกคิ้วหาเรื่องเด็กไร้ทางสู้ ซึ่งถ้าเอาจริงไอ้เด็กสองคนนี้คงฆ่าเขาหมกห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดได้ง่าย ๆ “สรุปไม่ต้องทำแผลแล้วช่ะ เออดี สบายกูไปอีก”
“...”
“ดูเพื่อนมึงดิแทยง มันหวงเสื้อมากกว่าความตายของมึงอะ เป็นกูนี่ตัดเพื่อน ตัดแบบขาดสะบั้นอะ งานศพก็ไม่ตามไปแดกกระเพาะปลา” แม้แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังเสี้ยมเด็ก จอห์นนี่ถอนหายใจแรง ๆ พร้อมรูดซิปเสื้อกันหนาวตามด้วยถอดเสื้อยืดตัวข้างในยื่นให้ลู่หาน
“พอใจยัง?”
“หัวร้อนเลยดิคะ” คนกวนตีนทั้งทางคำพูดและสีหน้ากำลังยิ้ม จอห์นนี่จึงใส่เสื้อกันหนาวกลับเข้าไปพร้อมมองคนตรงหน้าฉีกเสื้อยืดสีดำของเขาออกเป็นชิ้น ๆ แล้วประคองขาของแทยงวางลงบนตักตัวเองโดยไม่ห่วงว่าหมอนั่นจะเจ็บหรือไม่ “บอกเลยนะ ว่าถ้าอยากรอดออกไปจากที่นี่ก็ต้องหัดเชื่อฟังกูเข้าไว้”
“...”
“...”
“กูผ่านอะไรมาเยอะ คำว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนยังเด็กไป รุ่นนี้มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้อะ แบบ” ลู่หานขมวดคิ้ว ละความสนใจจากการทำแผลมาพายมือวนอยู่ระดับอก “ระเบิดภูเขาเผากระท่อมซ่อมเรือซิ่งยิงหัวแตกแหกค่ายทหารมารหัวขนชนสิบล้อเหาะบนชั้นบรรยากาศฟาดรวดเดียวตายหกตกท่อไม่ตายให้ไปไหนก็รอด พูดแล้วจะหาว่าคุย”
“แล้วเมื่อกี้ยังไม่ได้พูดเหรอ”
“อันนั้นแค่อินโทร”
จอห์นนี่หน้านิ่งแม้จะหมั่นอาการมั่นหน้าของอีกฝ่ายเหลือเกิน ความขี้คุยที่ลั่นออกมาโดยไม่ดูสภาพตัวเองตอนนี้ว่าทั้งคนขี้โม้และเด็กไร้เงาแสงอนาคตทั้งคู่ต่างก็ติดแหงกอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดโดยมีเพียงทางรอดเดียวที่จะหนีออกไปได้ก็คือประตูทางเข้าซึ่งมีพวกก้อนเนื้อรอฟาดเป็นอาหารมื้อเย็นอยู่อย่างถ้วนหน้า
“โอ๊ย!!!”
ลู่หานถลึงตาดุคนที่หลุดส่งเสียงเพียงเพราะเขาเอาเสื้อเพื่อนมันพันรอบแผลให้ แทยงบีบแขนจอห์นนี่แน่นโดยไม่ทันนึกถึงว่าอีกคนจะเจ็บหรือไม่เพราะตอนนี้เขาไม่อยากเป็นคนดึงพวกก้อนเนื้อเข้ามาใกล้ให้มากกว่านี้
“จะเอาไงต่อ น้องผมอยู่ข้างนอกแบบนั้น มันจะเป็นไงบ้างผมไม่อยากคิดเลย”
“เออไง กูก็ห่วงเพื่อนอีกสองคนที่เสือกเป็นคนดีตามไอ้หัวพุดเดิ้ลที่เสร่อวิ่งเข้าไปในดงพวกมันอย่างเด็กหัวเกรียนตื่นมวยเหมือนกัน” ประโยคประชดประชันตอกย้ำความซื่อบื้อของน้องชายตนเองทำให้จอห์นนี่เถียงไม่ออก มันก็ถูก... ไอ้เด็กเปรตนั่นแม่งกลัวจนขี้ขึ้นสมองจึงไม่ทันคิดทบทวนให้ดีว่าควรวิ่งไปทางไหน
“พวกเขาจะรอดใช่ไหม?” คนอายุมากกว่าเงยหน้าขึ้นสบตากับคนเจ็บ
“ก็ซอยเกียร์หมามาด้วยกัน คิดว่ากูจะรู้ไง๊?” คนกวนตีนก็ยังกวนตีนอย่างต่อเนื่อง จอห์นนี่ถอนหายใจอีกครั้งพร้อมเบือนสายตาไปยังประตูที่ยังคงสั่นไม่หยุด
“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเชื่อใจเพื่อนหรือเปล่า”
ลู่หานไม่ได้ตอบในทันที เขาเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพร้อมออกแรงรัดเศษผ้าเพื่อรัดแผลให้เลือดหยุดไหล ชายหนุ่มถอนหายใจพลางเงยหน้าขึ้นมองเด็กทั้งสองคนซึ่งจ้องเขาด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะบอกว่า ‘ต่อให้พี่จะดูเป็นคนเหี้ย แต่ผมก็หวังว่าพี่จะพาพวกเรารอดไปจากที่นี่ได้โดยไม่มีใครทิ้งไส้ไว้ตรงนี้’
“ไอ้เชื่อมันก็เชื่อ แต่ก็รู้ไม่ใช่เหรอวะว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ไม่ใช่การนั่งปลอบใจกันเองเว้ย ก่อนจะห่วงคนอื่นก็ต้องห่วงตัวเองก่อนดิวะไอ้หน้าหงิม เพราะงั้นมึงและมึง” ลู่หานชี้หน้าเด็กทั้งสองคน “มาช่วยกูวางแผนดีกว่าว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยวิธีไหน”
TBC
เป็นตอนที่เหนื่อยอย่างตอบไม่ได้ว่าทัมมัยยยยยยยยยยยยยยย
ปิดโอนซอมบี้เที่ยงคืนพรุ่งนี้ (พฤหัสที่ 2 กุมภา) แล้วนะคะ ใครจะขอโอนช้ารบกวนเมลมาที่ malin.world01@gmail.com พร้อมระบุ / ชื่อ / ที่อยู่ /เบอร์โทรที่ติดต่อได้ / ซีซั่นที่จะขอโอนช้า / และวันที่สะดวกโอนนะคะ เพราะถ้ารอรอบสต๊อกเราไม่รู้ว่าจะมีของที่คุณต้องการรึเปล่า เราสั่งสต๊อกมาน้อยงับ กลัวขายไม่หมด
**ขอบคุณ @pekozzang ที่แปลภาษาอังกฤษให้ทีมเด็กเอ็นซีทีนะค้าาาา**
ความคิดเห็น