คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #121 : Chapter 115 :: NOAH (100%)
Chapter 115
NOAH
“เป็นโกดังเก็บของว่ะ
เท่าที่เห็นด้วยตาเปล่า... ที่นั่นมีทหารอยู่ประมาณสิบกว่าคน
แล้วก็มีพลเรือนอยู่ประมาณหนึ่ง”
“มีคนอยู่ด้วย?” เทาเงยหน้าถามชายหนุ่มผิวแทนที่กำลังส่องกล้องทางไกลอยู่บนต้นไม้
“ถ้าไม่ใช่ทหารนอกเครื่องแบบน่ะนะ”
หลังจากเข้ามาลึกราว ๆ สี่กิโลจงอินจึงหาความสบายใจให้ตนเองด้วยการปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อสังเกตการณ์เพื่อดูว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่
ก็ถ้าหากมีแววว่าต้องเสี่ยงตีนเขาก็พร้อมจะลงจากต้นไม้แล้วกวักมือเรียกคนอื่น ๆ
ให้ย้อนกลับไปเจอความผิดหวังทางเดิมแล้วเดินเท้าเปล่าไปอ้อนวอนชาวบ้านกลุ่มนั้นอย่างไร้ศักดิ์ศรี
ความชื้นในป่าสีเขียวไม่สามารถปกปิดหลังคาสีเข้มได้
ก่อนหน้านี้จงอินปีนขึ้นไปสำรวจและบอกเล่าในสิ่งที่ตาเห็นแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเดินทางต่ออีกครั้งเพื่อหาจุดให้ปีนขึ้นไปดูชัด
ๆ และตรงนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่าหลังคาที่ว่านั่นก็คือโกดังเก่าซึ่งปัจจุบันน่าจะเป็นแคมป์ของทหาร
“ถ้าไม่เดามั่ว คาดว่าคงเป็นพวกเดียวกับคอนวอยที่เราเห็น” จงอินขยับกล้องส่องทางไกลไปด้านขวาเล็กน้อย มองทหารสองนายที่นั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ใต้เต็นท์ผ้ายาง
และพลเรือนชายหญิงที่กำลังช่วยกันยกถังน้ำ ก่อนจะพบรถทหารซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นมากนัก
มันเป็นแบบเดียวกับที่เขาเคยเห็น
“ดูเหมือนเป็นพวกเดียวกับค่ายศูนย์วิจัยหรือเปล่า?”
“ผมไม่แน่ใจว่ะ แต่คนค่อนข้างน้อย แถมทหารก็ดูไม่เคร่งเหมือนไอ้ค่ายนั่นสักเท่าไหร่ด้วย” ถึงจะมียืนประจำอยู่ตามจุดพร้อมปืนกลหนึ่งกระบอก
แต่ก็ยังมีหลายคนนั่งผ่อนคลายและทำเรื่องโง่ ๆ แบบที่เขาไม่ได้เห็นทหารทำบ่อย ๆ จงอินปีนลงจากต้นไม้
กระโดดลงพื้นพร้อมปัดกางเกงอย่างลวก ๆ หลังจากคลายความคาใจได้ “เอาล่ะ ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีเพื่อนบ้านอยู่ใกล้ ๆ ต่อไปก็เดินเหินระวังกันหน่อย”
“มันจะเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาคือคนที่สูบเอาน้ำมันไปจนหมด?” หลายคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เทากำลังพูดถึง เพราะความเป็นไปได้มันค่อนข้างสูงหลังจากเห็นคอนวอยทหารเมื่อหลายวันก่อน
“ซากพวกกินคนที่กองกันอยู่ข้างทางด้วยครับ” เซฮุนเสริม
“อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะฟันธงได้เลยว่ะ” จงอินลดระดับสายตาลงพลางใช้ความคิด “ถ้าทหารเอาน้ำมันไปจริง
ๆ พวกมันจะเอาไปทำอะไรเยอะแยะวะ ตุนไว้ใช้งั้นเหรอ ก็อาจจะเป็นไปได้ ไหนจะซากศพพวกกินคนข้างทางนั่น
ที่ทำให้คิดว่าแค่ฆ่าทิ้งเพื่อเคลียร์ทางหรือว่ามีอะไรมากกว่านั้น?”
“มากกว่าที่ว่าคืออะไร นายกำลังคิดว่าทหารกลุ่มนั้นมีน้ำอกน้ำใจทำความสะอาดถนนเพื่อให้ประชาชนเดินอย่างสบายตัวงั้นเหรอ?” คำถามของยูริไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่เธอกำลังดีดนิ้วเรียกสติให้ใครหลาย ๆ
คนตื่นจากโลกที่แสนงดงามนี้เสียที “ที่นี่คือปูซาน โอเคนะ?
พวกนายทุกคนเองก็เคยเจอเองกับตามาแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมยังโลกสวยอยู่ได้อีก?”
ไม่มีใครเถียง ไม่แม้แต่จะต่อสู้ทางคำพูดด้วยความหวังลม
ๆ แล้ง ๆ ว่าทหารกลุ่มนั้นอาจจะกำลังมุ่งมั่นทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้โลกใบเดิมกลับคืนมา
แต่จากประสบการณ์เลวร้ายที่เคยเจอมันก็ย้ำเตือนและบอกว่ามนุษย์ที่เหลืออยู่ไม่มีวันหลีกหนีความจริงได้
ความหวังเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาเหนื่อยมามากเกินไป
ใคร ๆ ต่างก็ทำเพื่อความอยู่รอดไม่ใช่เพื่อส่วนรวม
นี่ต่างหากคือความจริง
“งั้นก็ลุยกันต่อ” จงอินยัดกล้องส่องทางไกลใส่มือเทา
ก่อนจะก้มลงคว้ากระเป๋าเป้กับถังน้ำมันขึ้นมา ไม่มีใครพูดเรื่องทหารอีก
ความสงสัยที่ยังไม่ได้รับคำตอบถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อความจำเป็นในวันพรุ่งนี้ย่อมสำคัญกว่า
“ยังไงเป้าหมายของเราก็คือรถกับน้ำมันนี่นะ...”
*
“ผมกับซูโฮไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์
ร้องเพลงและกินขนมปังด้วยกันก่อนกลับ เพราะฉะนั้นผมเลยค่อนข้างหงุดหงิดกับคำพูดจากสเปรย์เหล่านั้น
มันค่อนข้างเกินไปหน่อย”
“ผมว่าไม่หน่อยแล้วมั้ง
นั่นมันบ้าบอเลยล่ะ” จงแดส่ายหน้าหน่าย ๆ
คำพูดของซีวอนไม่ได้ทำให้โล่งใจเลยสักนิด ใครจะเชื่อเรื่องพระเจ้าก็เชื่อไป แต่ก็ไม่น่าเขียนแบบนั้นไว้ตามทางไม่ใช่เหรอ
น่าขนลุกเป็นบ้า
“พระเจ้าไม่มีทางตรัสแบบนั้น” ชานยอลยิ้มกับความเชื่อเรื่องศาสนาของซีวอน
เขาเองก็เป็นหนึ่งคนที่เคยร้องเพลงและกินขนมปังในโบสถ์ แต่นั่นก็นานมาแล้ว “ผมว่าคงมีคนสติแตกพ่นสเปรย์สีใส่ผนังเพื่อทุเลาความกลัว”
“ถ้าคนพ่นกลัวตายจริง ๆ
ก็คงเป็นคนกลัวตายที่พอมีฝีมืออยู่ในระดับหนึ่งเลยนะครับ” ชานยอลพูดให้คนอื่นนึกถึงอีกมุม
เมื่อสีสเปรย์ที่เห็นนั้นไม่ได้มีแค่รอยใหม่ แต่ยังมีรอยจาง ๆ
ซึ่งบ่งบอกว่ามันถูกพ่นมาได้สักพักแล้ว “ถ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในละแวกนี้มานาน
ก็คงเป็นกลุ่มคนที่มาถึงก่อนเราอยู่เป็นอาทิตย์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูมีฝีมืออยู่ดี”
“ผมบอกแล้วว่าชานยอลจะไม่ปล่อยให้เราเดินอย่างสบายใจหรอก” จงแดหันไปบอก บุรุษพยาบาลหนุ่มจึงหัวเราะเบา ๆ
“แค่สันนิษฐานน่ะครับ” คนฉีกประเด็นยิ้ม “ไม่ได้ตั้งใจให้พวกคุณกลัว”
“ก็ดีแล้ว
พอได้ยินคุณพูดผมก็เริ่มเงยหน้าขึ้นมองตามหน้าต่างบ่อยขึ้น”
คยองซูทำตามอย่างที่ว่าโดยไม่โกหก ถ้ามีคนมาถึงก่อนจริง ๆ เด็กที่เอาตัวรอดไม่เก่งอย่างโดคยองซูก็ต้องระวังตัวให้มาก
“แวะร้านเสื้อผ้าหน่อยไหมครับ
เดี๋ยวก็จะร้อนแล้ว ถ้าใส่เสื้อแขนยาวออกหาเสบียงคงเหงื่อโชกแน่ ๆ” แบคฮยอนทำลายความเงียบโดยการชี้ไปทางร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นซึ่งถูกปล่อยร้างไม่ต่างจากร้านอื่น
มันคงดีถ้ามีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใส่เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนแปลง
“เอาสิ” ซีวอนเอาขวานจามหัวผีดิบที่เอื้อมมือออกมาจากประตูรถฝั่งคนขับ
ตามด้วยชานยอลและอี้ชิงซึ่งช่วยกันเปิดทางให้โดยการเข็นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ขวางอยู่หน้าประตูร้านออกไป
ตั้งแต่เจอคำพูดที่ถูกพ่นด้วยสเปรย์พวกเขาก็ได้เห็นตัวกินคนมากขึ้น
แต่ก็ไม่หนาตาจนต้องวิ่งโกยอย่างเอาเป็นเอาตาย แบคฮยอนส่องไฟฉายไปด้านใน ตามด้วยชานยอลและซีวอนที่ก้าวผ่านเศษซากกระจกประตูไปอย่างระมัดระวัง
ส่วนอี้ชิง จงแด คยองซูคอยระวังหลัง เพียงครู่เดียวเท่านั้น
คนอายุมากที่สุดก็ส่งสัญญาณว่าเข้ามาด้านในได้
“แค่นึกถึงหน้าร้อนจั๊กแร้ผมก็เปียกแล้ว”
“เราควรแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อหาโรลออนดับกลิ่นดี
ๆ สักขวดให้จงแด”
“เรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับคยองซูนะ
มันคงไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าเราจะเป็นลมล้มพับกันไปเพราะกลิ่นเต่าของคุณ” ซีวอนขมวดคิ้ว คนถูกรุมจึงเลิกคิ้วขึ้น
อ้าปากเตรียมจะเถียงเพื่อเรียกเอาความเป็นธรรมให้ตัวเอง
“อะไรกันเล่า
มีแค่ผมคนเดียวหรือไงที่มีกลิ่นตัวน่ะ พวกคุณก็เหมือนกันแหละน่า เหวอออ!!!” เจ้าหน้าที่หนุ่มเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ
ก็มีตัวกินคนโผล่มาจากห้องลองเสื้อซึ่งมันอยู่ใกล้เขาราว ๆ หนึ่งช่วงแขน
จงแดไม่มีสติ
เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนมือจะเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณโดยการปัดป้องแล้วแทงมีดเข้ากลางหูผีดิบจนความแหลมคมจมเข้าไปเกือบครึ่ง
คนที่กำลังเลือกชุดอยู่ฝั่งตรงข้ามหันไปตามเสียงเมื่อครู่อย่างตกใจ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก
และไม่ว่าใครก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างไร้วิญญาณนอนอ้าปากค้าง
เหลือกตามองเพดานแน่นิ่งหลังจากถูกปลิดชีวิตเป็นครั้งที่สอง
ตามด้วยอาการผวาจัดของอดีตเจ้าหน้าที่อุทยานหนุ่มซึ่งกำลังปะป่ายมือไปทั่วตัวเพื่อเช็กว่าถูกกัดหรือไม่
“ให้ตายเถอะจงแด” ซีวอนเข้าไปช่วยดึงขึ้นมาพร้อมก้มลงสำรวจร่างกายคนตรงหน้า
“ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเจ็บเลย
ผมตายหรือยัง ตาผมขึ้นต้อขาวไหม?”
“หายใจเข้าลึก ๆ ครับจงแด” ชานยอลหมุนข้อมือช้า ๆ เป็นท่าประกอบ
“โอเค ผมกำลังทำอยู่”
“ทำเป็นไก่อ่อนไปได้ ก็เคยสู้กับมันมาแล้วไม่ใช่หรือไง?” คยองซูมองคาดโทษ ขณะที่แบคฮยอนพยายามกลั้นขำจนไหล่สั่นไปหมด
“ก็ตอนนั้นผมยังมีโอกาสได้ตั้งหลักนี่
แต่เมื่อกี้อยู่ดี ๆ มันก็โผล่ออกมาตอนทีเผลออะ หน้าอยู่ห่างแค่นี้เอง
เป็นใครก็ต้องกลัวทั้งนั้นแหละน่า” จงแดถอนหายใจยาว ๆ อย่างโล่งอก
“ทำคนอื่นใจหายไปด้วย” คยองซูยังคงบ่น แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังกวาดมองสำรวจไปทางด้านหลังของจงแดเพื่อเช็กความเรียบร้อย
ถ้ามีตัวอะไรโผล่มาอีก
เขาจะได้เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปกระโดดถีบคิมจงแดออกจากตรงนั้นได้ทัน
ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดที่ใส่แล้วหายใจง่ายขึ้นและแบคฮยอนเสร็จเรียบร้อยเป็นคนแรก
คนตัวเล็กค่อย ๆ ก้าวไปสำรวจด้านในอย่างระมัดระวัง
สาดส่องไฟฉายให้ความสว่างก่อนจะหยุดฝีเท้าเมื่อพบประตูทางออกด้านหลัง
“รอก่อนครับแบคฮยอน” เจ้าของชื่อพยักหน้า
ก่อนจะลดระดับสายตามองท่อนบนเปลือยเปล่าที่เขาเคยเห็นมันในระยะใกล้มาแล้ว
คนตัวเล็กพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หลบสายตามีความหมายของชานยอลที่ยังคงมองเขาขณะใส่เสื้อเข้าไปกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ซนเหรอครับ?”
“ผมแค่เดินเข้ามาดูลาดเลาเอง” เบี่ยงหลบมือแกร่งที่ยีผมเขาเบา ๆ อย่างเอ็นดู แบคฮยอนก้ม ๆ เงย ๆ
สบตากับคนตัวสูงที่ใส่ชุดอะไรก็ดูดีแล้วก็เขิน แต่นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องแบบนั้นสักหน่อย
“โอเคครับ งั้นนำได้เลย”
“ผมเหรอ? แล้วคุณล่ะ?”
“ผมอยากลองเป็นผู้ตามดูบ้าง
เดินสิครับคุณผู้นำ” คนอายุน้อยกว่าหรี่ตามองอย่างหมั่นไส้
คิดจะแกล้งกันหรือไง เขาไม่ยอมหรอก “อ่า... คุณนี่นะ”
แบคฮยอนยิ้มขำอย่างพอใจ
หลังจากเอาคืนได้สำเร็จด้วยการหันไฟฉายใส่หน้าอีกฝ่ายจนต้องยกมือขึ้นบังระดับสายตา
ชานยอลขมวดคิ้วมอง จะเรียกว่าคาดโทษก็คงใช่แต่ก็ไม่ได้โกรธหรือเคืองใจเหมือนเมื่อตอนยังเป็นผู้ชายเข้าใจยากกว่าหนังสือภาษาอังกฤษเล่มไหน
ๆ
“ตรงนั้นมีอะไรหรือเปล่า?” เสียงของซีวอนเป็นเหมือนระเบิดเวลาวินาทีสุดท้ายที่บอกให้ทั้งคู่รีบผละออกจากกัน
ชานยอลลูบทายทอย คนตัวเล็กแทบจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแสดงออกในมุมนี้ออกมา และถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป
มันก็คงเป็นความขลาดอายที่ผู้ชายฟอร์มจัดคนหนึ่งแสดงออกมา
“เราเจอประตู ก็เลยกะว่าจะยืนรอพวกคุณแต่งตัวให้เสร็จแล้วค่อยออกไปดูพร้อมกันน่ะครับ”
“น่าสนใจ”
ซีวอนหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ แบคฮยอน “แต่แค่สำรวจประตูข้างหลังก็ต้องรอด้วยเหรอ?”
“...”
“...”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วพลางมองทั้งคู่สลับกันกับความผิดปกติที่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อย
ๆ แบคฮยอนยิ้มแห้ง พูดเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสามคนว่า ‘นั่นสินะ’ ก่อนชานยอลจะเป็นฝ่ายปิดประเด็นนี้ด้วยการเดินไปทางประตู
“งั้นผมเอง”
ยิ่งมองยิ่งมีพิรุธ ซีวอนยังคงขมวดคิ้วขณะมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มตัวสูง
“ผมคงไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่ไหม?” แบคฮยอนรีบส่ายหน้าเป็นคำตอบ ชายวัยกลางคนจึงไหวไหล่
“คุยอะไรกันอยู่น่ะ?” จงแดชะโงกมองก่อนซีวอนจะชี้ไปที่ประตูทางด้านหลัง
เพียงครู่เดียวชานยอลก็หันมาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้มาดูในสิ่งที่เขาเห็น
“ตรงนั้นมีทางไปได้ ผมว่าถ้าเลือกไปทางนี้มันคงสะดวกกว่าเดินเหินบนถนน” ชายหนุ่มมองตรอกแคบซึ่งมีรถยนต์ที่ถูกจอดทิ้งไว้และถังขยะซึ่งล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นจนส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่ว
“ก็เข้าท่ากว่าเดินเป็นจุดเด่นบนนถนน
ผมเห็นด้วย” ซีวอนยังคงกวาดสายตาสังเกตการณ์ไปโดยรอบ
ก่อนจะหันมาสบตากับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ระวังหลังให้ด้วยล่ะคุณเจ้าหน้าที่ทั้งสาม”
“เอาพรมแดงด้วยไหม อ่อ ไม่มี” จงแดผายมือให้ซีวอน ชานยอล เดินนำหน้าไปก่อนเพื่อจัดการผีดิบสี่ตัวซึ่งยืนโงนเงนขวางไม่ต่างจากถังขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก
แบคฮยอนอยู่รั้งท้ายเพื่อระวังหลังให้ อี้ชิงเงยหน้าขึ้นสังเกตตามหน้าต่างเมื่อนึกถึงหนังที่เคยดู
ถ้ามีคนร้ายอยู่ละแวกนี้จริง บนนั้นก็คงเป็นจุดซุ่มโจมตีที่ไม่ควรมองผ่านไปเฉย ๆ
“ผมขอพูดอะไรได้หรือเปล่า คือ...
มันอาจจะไร้สาระเพราะคิดมากเกินไป แต่จะถือว่าเป็นเรื่องเล่าแก้เซ็งระหว่างเดินทางก็ได้” แบคฮยอนฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ก็เงียบไปเมื่อเจอตัวกินคน และซีวอนกับชานยอลก็เป็นฝ่ายออกไปจัดการมัน
เขาจึงเลือกพูดตอนที่ไม่มีพวกมันกระจายอยู่ในละแวกนี้ “วันแรกที่ผมออกจากโซลเหตุการณ์มันชุลมุนมาก
ทั้งรถติด คนกระจายอยู่เต็มถนน
ถึงมันจะคนละเส้นทางกับตอนที่เราขับเข้ามาในโซลก็เถอะ
แต่ผมแปลกใจว่าทำไมแถวบ้านคุณยายของชานยอลมาจนถึงถนนใหญ่ถึงไม่ค่อยมีพวกมันเลย”
“...”
“พอเข้ามาลึกขนาดนี้ถึงเจอ บางจุดมี
บางจุดไม่มี แต่แปลกเกินไปเพราะที่นี่คือโซล”
“ถึงคิว – แบคฮยอน – แล้วสินะ” หลังจากพูดจบอี้ชิงก็มองสีหน้าเอื่อยเฉื่อยของจงแดที่รู้ชะตาตัวเองว่าต้องทนฟังเรื่องบั่นทอนกำลังใจจากคนตัวเล็กต่อจากชานยอล
“เขาอาจจะหนีออกต่างจังหวัดเหมือนพวกคุณก็ได้”
เจ้าหน้าที่หนุ่มไม่ได้อยากมองโลกในแง่ดีนัก แต่เรื่องที่พูดก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
ถึงจะเคยเข้าโซลอยู่แค่ครั้งสองครั้ง แต่คิมจงแดก็พอนึกภาพออกว่าที่นี่จะวุ่นวายแค่ไหนในวันแรกที่เกิดเรื่อง
“มันก็จริงนะครับ
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะไหวตัวทัน มีคนถูกกัดตายระหว่างทางทั้งที่ยังสะพายกระเป๋าของสำคัญ
บางคนตายบนถนนขาออก บางคนยังไม่ทันก้าวขาหนีพ้นจากประตูบ้านก็มี” ชานยอลนึกถึงความเลวร้ายเหล่านั้นที่ได้เห็นกับตา
“แถวนี้มีผีดิบเยอะกว่าทางที่ผ่านมาก็จริง
แต่มันก็น้อยเกินไปสำหรับย่านการค้า” ซีวอนนึกถึงเหตุการณ์นั้นที่เรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงบ่าย
ก่อนจะชุลมุนวุ่นวายไปจนถึงฟ้ามืดและยังเป็นช่วงเวลาที่ย่านค้าขายเปิดอยู่
มีหลายอย่างผิดปกติ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครชวนกลับแม้แต่คนที่ยังไม่คุ้นชินกับการต่อสู้อย่างอี้ชิงและคยองซู
ความอยากรู้อยากเห็น กำลังพากลุ่มผู้รอดชีวิตเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
และการไม่มีตัวกินคนเป็นฝูงออกมาทำให้อัตราการเต้นของหัวใจทำงานอย่างหนักก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่สิ่งที่ได้ติดไม้ติดมือมามีเพียงน้ำขวดเดียวที่กลิ้งไปอยู่ใต้ตู้แช่เย็นเน่า
ๆ เท่านั้น ถ้าไม่รวมเสื้อผ้า ละแวกนี้ไม่เหลืออะไรให้เก็บเลยสักอย่าง
ถ้าหากว่าผู้คนหนีออกจากโซลไปอย่างที่คิดจริง ๆ มันก็น่าจะมีเสบียงหลงเหลืออยู่บ้างไม่ใช่หรือไงกัน?
แต่จะปักใจเชื่ออย่างนั้นซะทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะความจริงอาจมีคนมาถึงก่อนและขนเสบียงออกไป
พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่คิดกลับโซล ไม่สิ...
หรือความจริงแล้วอาจจะมีคนอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอดโดยไม่ได้ย้ายไปไหน
“เดี๋ยว” ทุกคนหันไปตามเสียงของคยองซู
ก่อนจะพบว่าเด็กคนนั้นหยุดยืนอยู่ข้างฟุตปาธและจ้องมองประตูเหล็กม้วนสีเทา ซีวอนเป็นคนเดินกลับไปหาเด็กหนุ่มตัวเล็กก่อนจะมองไปตามนิ้วซึ่งชี้ไปยังจุดเดียวกับสายตา“ประตูนั่น”
“มีอะไรเหรอ?” จงแดถามอย่างใคร่รู้
“มันผิดปกติ”
“ก็แค่ประตูเหล็กม้วน
ผิดปกติตรงไหน?” เจ้าหน้าที่หนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ตรงที่เป็น GS25 ร้านสะดวกซื้อที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
ชานยอลเสริมพร้อมเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าซีวอน
“ถ้าพนักงานมีใจปิดร้านก่อนวิ่งหนีตายน่ะนะ” ชายวัยกลางคนยืนกอดอก พลางลดระดับสายตามองม้วนประตูที่ปิดไม่มิด
“จริงด้วย”
จงแดชะโงกหน้ามองอย่างสนใจ
“เอาไงดีชานยอล?”
“ผมว่าเราไม่ควรยุ่งกับมัน”
“ทำไมล่ะ?”
“เราไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร
แต่การที่ประตูปิดไว้อย่างนั้นแสดงว่ามีใครไม่ต้องการให้คนเข้าไป”
“แต่ถ้าคนที่ว่านั่นไม่อยู่แล้วล่ะ?” ซีวอนหันไปสบตากับชานยอลเมื่อทั้งคู่เริ่มมีความเห็นไม่ตรงกัน “ไม่มีข้าวของวางขวางกลบสายตา
ไม่มีรอยเท้าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าว่ามีคนมาเหยียบที่นี่ล่าสุดเมื่อไหร่”
“ถ้าพวกเขามาก่อนก็น่าจะจัดการพวกกินคนแถวนี้แล้วหรือเปล่าครับ?” แบคฮยอนเสริม และคำพูดของเด็กคนนี้ค่อนข้างมีน้ำหนัก
มันก็อาจเป็นไปได้สำหรับเรื่องมีคนปิดประตูม้วนลงมา และถ้าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ก็คงทิ้งรอยเท้าเอาไว้บ้าง
หรือไม่ก็ฆ่าพวกกินคนในละแวกนี้ที่กระจายขวางทางอยู่
“โอเค ผมว่าเราน่าจะโหวตกัน
ใครอยากเปิดประตูมายืนฝั่งผม ส่วนใครอยากไปต่อไปให้ไปอยู่ฝั่งชานยอล”
สำหรับคนเปิดประเด็นอย่างคยองซูไม่ได้ขยับตัวไปไหนเมื่อยืนอยู่ข้าง
ๆ ซีวอนตั้งแต่แรก จงแดมองคนฉลาดทั้งคู่สลับกันไปมา
คนหนึ่งประสบการณ์ชีวิตโชกโชนกว่า ส่วนอีกคนก็ฉลาดเกินคนในกลุ่มจนค่อนข้างไว้ใจว่าถ้าปาร์คชานยอลคิดจะทำอะไร
เรื่องนั้นต้องมีเหตุผลรองรับไว้อยู่แล้ว
แต่ลึก ๆ เจ้าหน้าที่หนุ่มก็มีตัวเลือกอยู่ในใจ
เขาอยากรู้ว่าข้างในมีอะไร ดังนั้นขาข้างขวาจึงก้าวเข้าหาซีวอนก่อนจะหันไปโบกมือบอกชานยอลว่าแต้มนี้คนประสบการณ์โชกโชนต้องได้ไป
“แบคฮยอนครับ?” เจ้าของชื่อยิ้มแห้งหลังจากก้าวไปอยู่ฝั่งตรงข้าม
ชานยอลแค่นหัวเราะกับสิ่งเหนือความคาดหมายเพราะคิดว่ายังไงคนตัวเล็กก็คงอยู่ฝั่งเขา
แต่ดูสิ
“อี้ชิงไม่มาด้วยเหรอ?”
“ไม่ล่ะ”
บุรุษพยาบาลหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะหันมาสบตากับคนข้างตัว “ผม –
จะอยู่เคียงข้าง – ชานยอล – เอง”
“ขอบคุณครับอี้ชิง ได้ยินอย่างนี้ผมก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น” อีกทีมยืนขำชายหนุ่มทั้งสองที่จะเรียกว่าหัวเดียวกระเทียมลีบก็ไม่ถูก
แต่ในเมื่อคะแนนโหวตเป็นเอกฉันท์ ชานยอลจึงต้องยอมเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูเหล็กม้วนเพื่อช่วยซีวอนดันมันขึ้น
พวกเขาพยายามทำให้เบาเสียงที่สุด
แต่ด้วยความเป็นประตูเหล็กม้วนจึงเป็นเรื่องยาก ฝุ่นคละคลุ้งกระจายบนอากาศจนต้องยกมือปิดจมูก
ชายวัยกลางคนส่องไฟฉายเข้าไปด้านในเพื่อเช็กความเรียบร้อยและการเห็นกล่องลังกระดาษซ้อนทับกันโดยไม่มีตัวกินคนยืนต้อนรับพร้อมเสียงโหยหวลมันก็น่าชื่นใจจนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้
ชานยอลผลักประตูกระจกตรงเข้าไปสำรวจด้านในให้แน่ชัดว่าไม่มีผีดิบหลบซ่อนอยู่มุมไหนมุมหนึ่งจนออกมาเซอร์ไพรส์ในทีเผลอเหมือนคราวจงแด
ซึ่งคำตอบก็ชัดเจนแล้วว่าที่นี่ไม่มีใครนอกจาก...
“เดี๋ยวนะ นี่มัน...” จงแดหยิบบางอย่างออกมาจากลัง ก่อนจะพบว่านั่นคือซองขนมขบเคี้ยว
“นี่ด้วย”
คยองซูไม่ได้ยิ้มบ่อยนัก แต่การเห็นซองรามยอนอัดแน่นเต็มกล่องและมันไม่ถูกหนูกัดจนแหว่งไปก่อนกำลังทำให้เขาหุบยิ้มไม่ได้
และคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ตอนนี้ชานยอลจึงได้ตระหนักว่าบางทีเขาอาจจะกังวลเกินไป
“มีน้ำอัดลมกับเบียร์ด้วยครับ”
“นี่มันขุมทรัพย์ชัด ๆ” ซีวอนถอนหายใจอย่างโล่งอก
ก่อนจะคว้ากระป๋องเบียร์ที่แบคฮยอนโยนมาให้ได้อย่างพอดิบพอดี
“เห็นทีว่าเราคงต้องใช้ปิ๊กอัพกันแล้วล่ะ” ชานยอลเปิดกล่องลังกระดาษที่อยู่ข้างตัว
ในวินาทีถัดมาก็เจอกระสอบข้าวซึ่งวางเรียงกันอยู่บนพื้น เขายังคงเช็กสิ่งของที่คงมีคนเอามากักตุนไว้
ถ้าขนกลับไปได้ภายในวันเดียวก็คงดีไม่น้อย
แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงความคิด
เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกเซฟตี้ปืน
ชานยอลค่อย ๆ หันไปด้านข้าง ก่อนจะพบว่ามีชายฉกรรจ์ส่วนสูงพอ
ๆ กับเขายืนเล็งปืน AK45 อยู่หน้าห้องพนักงานซึ่งเปิดประตูทิ้งไว้ ตรงนั้นเป็นห้องที่ไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป
มันสามารถทะลุออกไปข้างหลังได้เพราะเขามองเห็นชายอีกหลายคนยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นพร้อมรถคันใหญ่
มือแกร่งยกขึ้นระดับไหล่เพื่อบ่งบอกว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายและไม่คิดที่จะสู้
ชานยอลค่อย ๆ หันไปหาเพื่อนร่วมทางโดยไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว ไม่มีเสียงพูดกึ่งบ่นของจงแด
ไม่มีเสียงบอกข่าวดีว่าเจอเสบียงใหม่อีกเมื่อบรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นอับกำลังถูกความเงียบกลืนกิน
เบียร์กระป๋องนั้นไม่ได้อยู่ในมือซีวอน
ปัจจุบันมันอยู่ในมือชายคนหนึ่งที่กำลังยกกระดกดื่มราวกับว่าอยากดับกระหาย นัยน์ตาคมมองเพื่อนร่วมทางที่ยกมือขึ้นเช่นเดียวกับเขา
ทุกคนมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อถูกปืน AK 45
จ่อหลังคนละกระบอกโดยชายฉกรรจ์ที่มาเกือบสิบคน และเขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่ากระสุนที่บรรจุอยู่ในแม็กกาซีนจะถูกใช้ภายในสามวินาทีนี้หรือไม่
ที่นี่มีเจ้าของจริง ๆ
“จะเข้าบ้านคนอื่นน่ะกดออดหรือยัง?”
50%
“อีกสองกิโลน่าจะถึง”
“มึงพูดแบบนี้ตั้งแต่สองกิโลที่แล้ว” จงอินชำเลืองมองคนข้าง ๆ
ที่เป็นฝ่ายปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อสังเกตการณ์แทน และหวงจื่อเทาก็บอกว่าอีกไม่ไกลก็คงพบหมู่บ้านและโรงงานอะไรสักอย่าง
ซึ่งตรงนั้นน่าจะมีรถสักคันให้พวกเขาขับกลับที่พักได้
“เออน่า คราวนี้กูแม่นแน่นอน”
“คุณยังไหวนะ?”
“ไหวครับ”
เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่โกหก เซฮุนดีใจที่อี้ฟานเป็นห่วงแต่บางทีความกังวลเหล่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระ
ในป่ามีแต่ต้นไม้กับโขดหิน ฝีเท้ายังคงย่ำไปบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้ในสภาพอากาศที่ปกคลุมไปด้วยความชื้น ทุกคนระมัดระวังมากกว่าเดิมหลังจากเจองูตัวเล็กระหว่างทางที่ผ่านมา
แต่มันกลับไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้มนุษย์ที่มองเห็นสัตว์เป็นอาหาร เพราะสุดท้ายมันก็กลายเป็นมื้อเที่ยงด้วยฝีมือควอนยูริที่จัดการลอกหนังและปิ้งย่างกับกองไฟเล็ก
ๆ
เธอบอกว่าทุกคนต้องกินเพี่อเอาเรี่ยวแรงไปหาเสบียงต่อ
และบอกว่าอย่าเพิ่งห่วงคนที่บ้านเพราะตรงนั้นยังมีลู่หาน
ควอนยูริเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นคงหาวิธีอะไรสักอย่างเพื่อทำให้คนที่บ้านไม่อดตาย
ในทีแรกจำต้องฝืนกินเพราะการกินงูไม่ใช่เมนูปกติทั่วไป
แต่พอเอาเข้าจริงรสชาติก็ใช้ได้ไม่หยอก ดังนั้นคำว่า ‘ระวัง’ ในวินาทีนี้ก็คือ ถ้าเจองูอีก... ควอนยูริจะเป็นคนลอกหนังเอาไปเป็นรางวัลให้คนที่บ้านพักได้ลองชิมดู
“มาว่ะ”
“ฮ่า ๆ ไงล่ะ กูบอกแล้ว” เทายิ้มร่า หันไปย้ำให้คิมจงอินรู้ว่าที่เขาพูดมันไม่ใช่เรื่องโกหกเลยสักนิด
เพราะเมื่อพ้นออกมาจากป่าชื้นก็พบกับโกดังเก็บของซึ่งคาดว่าน่าจะรกร้างมานานตั้งแต่เหตุการณ์เริ่ม
สังเกตได้จากพวกผีดิบคนงานซึ่งกระจายอยู่เยอะพอสมควร อีกทั้งรถบรรทุกที่จอดอยู่ตรงด้านข้างหลายคัน
และที่จอดไม่เป็นที่เป็นทางโดยที่ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดทิ้งไว้
คาดว่าคงเป็นคนงานขาเข้าที่กลับมาในจังหวะเกิดเหตุ
โกดังร้างน่าสนใจขึ้นมาอีกระดับเมื่อเห็นโลโก้ข้างรถซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้ามากมายตั้งแต่ของใช้ในบ้านไปจนถึงอาหารแห้ง
โดยความเป็นจริงแล้วในโกดังต้องมีสินค้าสต๊อกไว้อยู่
และถ้าจะมีใครผ่านเข้าไปหาของได้ก็ต้องล่อพวกคนงานข้างนอกเสียก่อน ดังนั้นจงอินจึงมั่นใจว่าข้างในต้องมีอะไรดี
ๆ รอเขาอยู่เป็นแน่
หากนับด้วยตาเปล่า กว่าจะเข้าไปได้ก็คงต้องฆ่าพวกหิวเนื้อไปราว
ๆ สี่สิบตัว ซึ่งจะบุ่มบ่ามผลีผลามเข้าไปไม่ได้ ทั้งห้าคนหยุดวางแผนและแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
จงอินกับอี้ฟานไปด้วยกันทางฝั่งซ้าย ส่วนอีกสามคนจัดการตรงฝั่งขวา
พวกเขาเลือกเคลียร์ปัญหาอย่างช้า ๆ แทนที่จะลอบหาทางเข้าไปเงียบ ๆ
เพราะจุดประสงค์ของการมาตรงนี้ไม่ใช่แค่การหารถสักคันแต่มันมีเรื่องเข้าไปสำรวจโกดังเพิ่มเข้ามาด้วย
จงอินผิวปากเบา
ๆ เพื่อเรียกเหยื่อ ร่างผอมโซหนังติดกระดูกอ้าปากกว้างมองอาหารอันโอชะที่ปรากฏกายให้เห็นในระยะใกล้
แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นความหิวก็ถูกดับด้วยความตาย
คนงานวัยกลางคนถูกประคองร่างให้นอนลงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เกิดเสียงเกินความจำเป็น
ก่อนอี้ฟานจะตามเข้าไปเก็บตัวที่สอง
ยูริเลือกฉายเดี่ยว
เธอมีไหวพริบและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วจนเด็กอีกสองคนไม่ต้องเป็นกังวล
เทากับเซฮุนเดินไปพร้อมกัน เลือกเข้าจากด้านหลังอย่างง่ายดายเพราะได้ยูริคอยเป็นเหยื่อล่อให้
ผ่านไปสักพักใหญ่จึงจัดการพวกด้านหน้าได้ทั้งหมด มันทุลักทุเลและเหนื่อยหอบเสียจนอี้ฟานต้องถอดเสื้อตัวนอกทิ้งกระทั่งเหลือเพียงเสื้อยืดสีดำเข้ารูปเพราะทนกลิ่นน้ำลายเหม็นเน่าของพวกมันไม่ไหว
ทุกคนช่วยกันลากศพไปกองไว้ในจุดเดียวเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายสิ่งของ
จงอินขึ้นไปบนรถบรรทุกเพื่อเช็กสภาพ ก่อนจะพบว่ายังพอมีน้ำมันเหลืออยู่เศษหนึ่งส่วนสี่ของถัง
และมันน่าจะพาทุกคนกลับไปหาคนที่บ้านได้
เทากับเซฮุนตรงไปยังด้านข้างโกดังเพื่อหาน้ำมันจากรถบรรทุกคันอื่น
ๆ ส่วนอี้ฟานเปิดประตูท้ายรถบรรทุกเพื่อเช็กความเรียบร้อย และความว่างเปล่าด้านในของรถขาเข้าก็ไม่ได้สร้างความผิดหวังให้กับเขามากนัก
“มีคนรอต้อนรับอยู่เพียบ” ยูริเดินหันไปทางประตูเหล็กม้วนเก่า ๆ ซึ่งเปิดแง้มไว้สูงไม่ถึงหัวเข่า
จงอินกับอี้ฟานตรงไปหยุดอยู่ตรงนั้นพร้อมก้มตัวลงแล้วส่องไฟฉายเข้าไป
และขาจำนวนมากมายที่อยู่ด้านในก็เป็นปัญหาใหญ่พอสมควรสำหรับคนที่คิดจะเข้าไปเอาความอิ่มท้อง
มองดูความเละเทะด้านนอกก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าที่ประตูถูกปิดลงไม่สุดเป็นเพราะคนงานข้างในพยายามป้องกันตัวเองจากภัยข้างนอก
หรือว่าคนข้างนอกพยายามจะขังคนเหล่านี้ไว้กันแน่ จงอินขมวดคิ้วใช้ความคิด
เขาส่องไฟฉายเข้าไปในช่องแคบอีกครั้งก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อผีดิบด้านในเผลอชนประตูเหล็กม้วนจนเกิดเสียง
“กร๊าซซซซซซซซ!!!”
กึง ๆๆๆๆ
“กรรรรรรรรรรรรซ์!!!”
จากหนึ่งเป็นสอง
เมื่อมีต้นเหตุก่อให้เกิดเสียงตัวที่อยู่ใกล้ ๆ
ก็เริ่มคุ้มคลั่งหันมาทุบสิ่งกีดขวาง ทั้งสามช่วยกันดันประตูลงเพื่อไม่ให้พวกมันมุดออกมาได้
ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มจะตีโจทย์แตกแล้วว่าผีดิบด้านนอกเกือบสี่สิบตัวนั่นคงมุดออกมาจากด้านในตอนมีผีห่าสักตัวเดินชนประตู
ความพยายามยังไม่สำเร็จเมื่อประตูเหล็กม้วนฝืดเสียจนทำให้การดึงกลายเป็นเรื่องยากอีกทั้งยังก่อเสียงดังเรียกแขก
อี้ฟานเตะร่างตัวกินคนให้กลับเข้าไป ขณะที่จงอินมอบตั๋วเที่ยวเดียวให้ด้วยการออกแรงเหยียบประตูลงจนหัวตัวกินคนขาดคาที่
เซฮุนกับเทารีบวิ่งกลับมาหลังจากได้ยินเสียงประตูเหล็กม้วน
ทั้งคู่ชะลอฝีเท้าลงพลางมองเศษสมองและกะโหลกศีรษะซึ่งแตกกระจายบนพื้น และนั่นเป็นฝีมือของชายหนุ่มผิวแทนที่กำลังเอาเท้าเช็ดกับซากศพด้านนอกเพื่อทำความสะอาด
“เกิดอะไรขึ้น มึงเอาตีนแหย่เข้าไปหยอกพวกมันเหรอวะจงอิน?”
เด็กหนุ่มวางถังน้ำมันลงพลางมองสีหน้าตึงเครียดของทั้งสามคนหลังจากพบว่าคงใช้ประตูหน้าเป็นทางเข้าไม่ได้อีก
“เออ พอดีกูว่าง” เทายิ้มขำพลางหันไปทางประตูเหล็กม้วนซึ่งกำลังสั่นอย่างหนักเพราะพวกด้านในเอาแต่ทุบไม่หยุด
และคงอีกสักพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าพวกมันจะกลับไปยืนโง่อยู่เฉย ๆ “เรามาโหวตกันดีกว่า”
“โหวต?”
“อืม ว่ามีใครอยากเข้าไปหรือจะกลับบ้านด้วยรถบรรทุก
ไหน ๆ ก็ได้น้ำมันมาแล้วนี่” จงอินเข้าไปเขย่าถังน้ำมัน
และความหนักของมันก็คือข่าวดีแรกสำหรับเขาถ้าไม่นับเรื่องได้อิ่มท้องเพราะเนื้องู
“ถ้ากลับไปตอนนี้เราจะมีน้ำมันขับออกนอกจังหวัดแต่ต้องทนหิว” คาดว่าโลโก้บริษัทคงทำให้อี้ฟานไขว้เขวอยู่ไม่น้อย คนตัวสูงขมวดคิ้วครุ่นคิดกับเรื่องนี้อยู่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าตอนนี้มีใครบ้างที่พอจะคิดเหมือนกันกับเขา
“ผมไม่รู้ว่าพวกคุณคิดยังไง แต่ถ้าถามผม ผมก็คงตอบว่าอยากเข้าไป”
“แต่จากเสียงทุบประตูตอนนี้
ผมคิดว่าพวกมันน่าจะมีเยอะพอ ๆ กับด้านนอก
จากประสบการณ์หนีตายในโกดังเมื่อกลางปีก่อน ผมก็พอจะจำกลิ่นความตื่นเต้นของตัวเองได้ตอนที่ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนในโกดัง
มันเหมือนสนามที่พร้อมปล่อยวัวกระทิงบ้าคลั่งออกมาโดยที่ผมใส่ชุดแดงล่อพวกมันอยู่” เทายังจำเหตุการณ์นั้นได้เป็นอย่างดี “ทนหิวหน่อยก็ไม่น่าเป็นไรมั้ง
พอข้ามจังหวัดแล้วก็น่าจะมีอะไรให้เราเก็บบ้าง”
“มึงอิ่มแล้วมึงก็พูดได้ แต่คนที่บ้านยังไม่ได้กินอะไร
นึกถึงตรงนั้นด้วยสิวะ” คำพูดของจงอินทำเด็กหนุ่มชาวจีนชะงัก
เทาไม่ได้เถียงกลับไปเหมือนทุกครั้งเมื่อตอนนี้เขากำลังรู้สึกผิดขึ้นมากับความคิดเห็นของตนที่คิดว่าน่าจะเป็นทางที่ดีแล้ว
แต่เป็นเพราะงูตัวนั้นที่ทำให้อิ่มท้อง เด็กหนุ่มจึงลืมนึกไปชั่วขณะหนึ่งว่าคนที่บ้านก็คงอดทนอยู่กับความหิวซึ่งคงมากกว่าหวงจื่อเทาตอนนี้หลายเท่านัก
“เข้าป่าล่าสัตว์อีกไหมล่ะ แต่ในที่แบบนั้นคงไม่มีหมูหมากาไก่อร่อย
ๆ นะ ครูคนสวยจะทนกินงูได้เหรอ ไม่สิ ถามว่าทนมองได้หรือเปล่าดีกว่า” ยูริถามราวกับว่าการฆ่างูมันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ
“เซฮุน นายคิดยังไง?” ชายหนุ่มผิวแทนหันไปถามความเห็น เขาอยากเชื่อการตัดสินใจของคนรักที่สภาพร่างกายไม่เต็มร้อยมากกว่าเบื้องลึกของจิตใจของตนซึ่งมันพร้อมเสี่ยงไปเสียทุกอย่าง
ถึงจะชวนทุกคนกลับบ้าน แต่ใจเขากลับอยากหาทางเข้าไปด้านใน
คนตัวผอมเลียริมฝีปากพลางกวาดสายตามองแต่ละคนก่อนจะหยุดนิ่งใช้ความคิด
ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเลือกเข้าไปเสี่ยงในโกดังที่มีเสียงทุบประตูเหล็กม้วนกวนใจอยู่ทุกวินาที
แต่การกลับบ้านไปเพื่อเริ่มใหม่อีกครั้งก็คงไม่ใช่ทางที่ใคร ๆ อยากเลือกนัก
ตื่นมาตอนเช้าเพื่อวางแผนว่าจะออกไปหาเสบียงทั้ง
ๆ ที่รู้ว่าไม่หลงเหลืออะไรให้เก็บอีก รถนั่นไม่ใช่ปัญหาเมื่อเทียบกับน้ำมันที่หายากมากกว่า
แม้จะได้สองถังนี้กลับไปด้วยแต่ถ้าใช้อย่างไม่คุ้มค่าก็จบ ความหวังยังต้องพึ่งน้ำมันในการเดินทาง
ทุกอย่างต้องคิดให้ดี
ความกดดันเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อต้องตัดสินใจ พวกเขาต่างตระหนักได้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไรและทุกอย่างมันแย่ไปกว่าทุกครั้งเมื่อไม่ได้โชคดีเจอแหล่งเสบียงเหมือนคราวก่อน
ๆ ไม่มีฟาร์มข้าวโพดหรือมินิมาร์ทให้โกยของ ไม่มีโกดังโล่ง ๆ
ไม่มีอะไรสักอย่างที่พอจะช่วยขับเคลื่อนชีวิตต่อไปได้นอกจากน้ำมันจากรถบรรทุกคันนี้
ในสถานที่รอบนอกซึ่งมีเพียงป่าไม้โอบล้อม
ถ้าหากกลับไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกลับไปมือเปล่า จริงอยู่ที่พวกเขาสามารถขับรถย้ายหนีออกไปจากปูซานได้แล้ว
แต่พอคิดดูอีกที... มันจะมีแค่ละแวกนี้หรือไงที่ขาดแคลนทุกอย่าง?
ไม่มีเสบียง ไม่มีเชื้อเพลิง...
มันแค่ปูซานจริง ๆ หรือ?
“สำหรับผม
การกลับไปคราวนี้คงทำให้เราได้นอนพักและได้เจอคนที่บ้าน
แต่พอวันถัดไปเราก็จะปวดหัวกับปัญหาเดิม ๆ เพราะต้องเริ่มใหม่หมด
สมมติเราหนีพ้นปูซานได้
แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรที่จะบอกให้รู้ได้เลยว่าที่นั่นยังมีเสบียงหลงเหลืออยู่เพื่อพวกเราหรือเปล่า” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “และถ้ามันขาดแคลนทุกอย่างเหมือนที่นี่
บางทีเราอาจจะต้องเดินทางด้วยเท้ากันครับ”
“...”
“และถ้าต้องเดินเท้าจริง ๆ
กว่าจะออกจากปูซานได้ก็คงกินเวลาไปเป็นวัน เราต้องแวะพักข้างทางไปเรื่อย ๆ
แบบนั้นผมว่าก็คงพอไหว ถึงจะไม่มีอาหารกินแต่ถ้ามีแม่น้ำให้แวะเติมใส่ขวดดื่มได้ผมว่ามันคงไม่แย่นะครับ
แต่ก็ไม่รู้ว่าลู่หานจะเดินไหวหรือเปล่า”
เมื่อนึกถึงคนเจ็บขา
การเดินทางด้วยเท้าจึงกลายเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากขึ้นมาทันที
“จะลองไปดูประตูด้านหลังกันก่อนไหมล่ะ
ถ้าเข้าจากตรงนั้นได้ ขนออกมาสักกล่องสองกล่องก็คงพอไหวอยู่”
“ผมว่าเป็นความคิดที่ดี” ไม่บ่อยนักที่อี้ฟานจะสนับสนุนความคิดยูริในทันที อาจเป็นเพราะตอนนี้ความหิวและความหวังกำลังกดดันให้พวกเราทุกคนเลือกมันมากกว่าความปลอดภัยที่มองไม่เห็นอนาคต
“ไอ้เทารอรับของอยู่ข้างนอก
ส่วนเซฮุนไปดึงความสนใจตรงประตูหน้า พยายามล่อให้พวกมันไปกองอยู่จุดเดียวกัน แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
นายรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง?” จงอินวางมือลงบนศีรษะอีกฝ่าย
และเซฮุนก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย
“ผมรู้ครับจงอิน”
“ดี เอาล่ะ
เราจะเอาออกมาเท่าที่เอาได้ เราจะไม่โลภมากนะครับ” อี้ฟานมองหน้าทีละคนเพื่อขอคำตอบ
เขาย้ำเพื่อให้คนในครอบครัวนึกถึงชีวิตตัวเองมากกว่าปากท้องในอนาคต
ทั้งสามคนหยุดยืนอยู่หน้าประตู
ยูริยืนพิงกับผนังแล้วเกี่ยวนิ้วกับที่จับก่อนจะค่อย ๆ ดันเข้าไป
แต่เพราะถูกปล่อยทิ้งร้างไว้นาน เสียงเสียดสีจากสนิมจึงดังเอี้ยดอ๊าดจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว
จงอินกับอี้ฟานยืนตั้งหลักเตรียมพร้อมถ้าหากมีเพื่อนแวะออกมาทักทาย
และก็เป็นอย่างที่คาดไว้เมื่อผีดิบในชุดคนงานพุ่งออกมาสาม-สี่ตัวติดกันราวกับว่ารอการถูกปลดปล่อยมานานแล้ว
ชายหนุ่มทั้งสองฉีกออกข้างไปคนละทาง
ยูริจัดการตัวด้านหลังสุดและปล่อยให้จงอินกับอี้ฟานจัดการพวกที่หลุดออกไปได้แล้วโดยได้เทาเข้ามาสมทบ
หญิงสาวยืนตั้งท่าเตรียมรอ
เพียงชั่วอึดใจเท่านั้นผีดิบอีกสองตัวก็โผล่ออกมาและเธอไม่เปิดโอกาสให้มันเป็นฝ่ายทำเกมก่อน
“กรรรรรรรรซ์!!!”
ขาเรียวยาวถีบเสยเข้าปลายคางจนร่างหิวโหยหงายหลังล้ม
ก่อนความคมของมีดจะแทงเข้ากลางรูหูผีดิบอีกตัวภายในวินาทีถัดมา
ทุกคนยังคงพยายามจัดการมันอย่างเงียบเชียบ ไม่พูดคุยหรือสั่งการคนข้าง ๆ
เมื่อต้องการให้ทุกอย่างจบเร็ว ๆ
เสียงร้องโหยหวนดับสิ้นไปในที่สุด จงอินกับยูริเป็นฝ่ายเข้าไปก่อน
ทั้งคู่หันหลังให้กันพร้อมส่องไฟฉายกระบอกเล็กไปยังเบื้องหน้า
เสียงทุบประตูเหล็กม้วนยังคงดังอย่างต่อเนื่องโดยต้นเหตุที่ยืนอยู่อีกฝั่งด้านนอก
พวกเขาทุกคนต้องรีบทำเวลา เพราะถ้าปล่อยไปแบบนี้นาน ๆ
อาจมีแขกไม่ได้รับเชิญแวะมาหาและเซฮุนคงเป็นคนแรกที่ต้องกล่าวทักทาย
ชายหนุ่มผิวแทนง้างไขควงขึ้นเตรียมแทงหัวขณะที่มืออีกข้างส่องไฟฉายไปตามทางเดินแคบซึ่งมีลังกระดาษขนาดใหญ่วางซ้อนกันเป็นกำแพงสูง
จงอินดับไฟฉายลงเมื่อถึงทางมุม ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อดูว่าตอนนี้สถานการณ์ด้านในเป็นยังไง
“ให้ตาย...”
เขาสลับที่กับยูริ และหญิงสาวก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนอี้ฟานจะเป็นคนสุดท้ายที่จะได้เห็นภาพสยดสยองของคนงานจำนวนมากซึ่งกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด
แม้ส่วนใหญ่จะไปออกันอยู่ตรงประตูทางเข้า
แต่ก็ยังมีพวกหูหนวกยืนโงนเงนอ้าปากโอดครวญ
และการจะเข้าไปหากล่องลังแรกได้ก็ต้องผ่านผีดิบไปราว ๆ สิบกว่าตัวเสียก่อน
ถ้าหากลังกระดาษสูงเหนือศีรษะข้างกายสามารถแบกกลับไปได้เลยก็คงดี
แต่เป็นเพราะมีราวเหล็กกั้นอยู่จึงไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด
นอกเสียจากว่าจะอ้อมไปอีกฝั่ง ซึ่งนั่นก็เสี่ยงกับการถูกมองเห็นได้อยู่ดี
“จากตรงนี้ราว ๆ สิบเมตร
ผมจะไปทางซ้ายเพื่อล่อสามตัวนั้นแล้วคุณก็ตรงไปเอาลังกล่องแรกตรงกลาง ส่วนยูริ
เธอเอาฝั่งขวาอยู่ไหม?”
“พอไหว
แต่คงต้องทำเวลาหน่อยเพราะพวกมันมีกันหลายตัว ไอ้จัดการเงียบ ๆ คงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้แล้ว
เพราะฉะนั้นพวกที่อยู่ฝั่งสามนาฬิกาคงแห่มาหาฉันแน่”
“ผมจะพยายามทำเวลาให้เร็วที่สุด”
“โอเค ทันทีที่อี้ฟานเดินมาถึงจุดนี้
จุดที่เรายืนกันอยู่ ฉันกับเธอจะถอยออกมาพร้อม ๆ กันแล้วปิดประตู
หลังจากนั้นก็ส่งของให้ไอ้เทาแล้วเริ่มใหม่ด้วยการเปิดประตูใหม่เหมือนรอบแรก
ตกลงไหม?”
“พูดจาน่าฟังก็เป็นนี่” หญิงสาวยกยิ้ม จงอินจึงไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
ทั้งสามคนเริ่มทำตามแผน หลังจากปรับสภาพสายตาให้เข้ากับความมืดได้
ไฟฉายก็เป็นสิ่งที่ควรเก็บไว้กับสนับขา
เพราะมันคงดีกว่าถ้าหากว่าพวกเขาจะจัดการกับพวกมันโดยไม่เพิ่มจุดสนใจด้วยแสงสว่างวงเล็ก
ๆ
จงอินแทงไขควงเข้ากลางจุดตายในครั้งเดียวก่อนจะกระชากออก
ผีดิบตัวแรกที่ถูกแทงเข้ากลางลูกตาทรุดตัวลงไปกับพื้นจนเกิดเสียงและชายหนุ่มผิวแทนรู้ดีว่าต้องรับมือกับตัวอื่น
ๆ อย่างไร อี้ฟานเบี่ยงตัวหลบสองมือที่ยื่นออกมาหวังจะคว้าตัวเขา
ก่อนจะกระชากคอเสื้อไว้จากข้างหลังพร้อมแทงมีดเข้าไปตรงจุดเหนือท้ายทอยจนมิดด้ามและดึงออกในวินาทีถัดมา
“กรรรรรรรรรรรรซ์!!!”
หญิงสาวหุ่นนักกีฬาเลือกทำให้ตัวแรกเสียหลักเสียก่อนแล้วเริ่มจัดการตัวที่สอง
เธอตวัดมีดจนมุมปากผีดิบเหวอะกว้างไปจนถึงฟันด้านในซี่สุดท้าย
ก่อนจะปิดงานด้วยการแทงเข้ากลางหน้าผาก
ประตูด้านหน้ายังคงถูกทุบอย่างเอาเป็นเอาตาย
เสียงโหยหวนกราดเกรี้ยวสอดประสานกันดังกึกก้องไปทั้งโกดัง ข่มขวัญมนุษย์ที่มีจำนวนน้อยกว่าจนต้องพยายามบอกตนเองให้มีสติอยู่ทุกขณะ
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
กึง ๆๆๆๆๆๆ
แรงสั่นสะเทือนของประตูเหล็กม้วนด้านหน้าซึ่งเหมือนจะหลุดออกมาทำชายหนุ่มผิวแทนเริ่มเขวเพียงเพราะเป็นห่วงคนที่ยืนล่อเหยื่ออยู่จากด้านนอก
เขาคำนวณสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ว่าถ้าหากประตูเหล็กม้วนพังลงเพราะต้านแรงผีดิบที่พร้อมใจกันทุบอย่างไม่หยุดหย่อนภายในเวลาติดต่อกันไม่ไหว
มันจะเกิดอะไรขึ้นกับโอเซฮุนที่ยืนอยู่ตัวคนเดียวตรงนั้น
“จงอิน!”
“เวรเอ๊ย!”
หลังจากถูกโจมตีในจังหวะทีเผลอจนไขควงตกกลิ้งหายไปในความมืด
ชายหนุ่มผิวแทนก็จัดการซัดหมัดลุ่น ๆ
ใส่หน้าผอมแห้งผิวติดกะโหลกทันทีที่ได้ยินเสียงอี้ฟานเรียกสติ
ร่างไร้ความคิดถูกอัดซ้ำอีกครั้งก่อนจะเซไปกระแทกกับลังด้านหลังจนหล่นตกลงมาทับร่างของมัน
เครื่องดื่มขวดแก้วมากมายกลิ้งกระจายเป็นวงกว้าง จงอินคว้าขวดโซจูทุบกับพื้นจนแตกเป็นปากฉลามพร้อมจ้องมองเหล่าตัวกินคนหลายตัวที่กำลังตรงมาทางนี้หลังจากได้ยินเสียง
ชายหนุ่มผิวแทนคำนวณในหัวว่าต้องจัดการตัวไหนก่อน
ซึ่งมันค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับอาวุธในมือที่คงสร้างความเจ็บปวดให้มนุษย์ได้มากกว่าปลิดชีพผีดิบให้ตายเป็นรอบที่สอง
ยูริถอนหายใจกับแผนการซึ่งไม่เป็นอย่างที่คาดไว้
จำนวนที่คิดว่ารับมือได้แน่กลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะเสียงขวดแก้วซึ่งกลิ้งไปกับพื้นซีเมนต์
อี้ฟานตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าลังกระดาษที่วางซ้อนทับกัน ความใจเย็นที่มีอยู่ค่อย ๆ
ถูกกลืนไปโดยความกดดันและเสียงหวีดร้องของตัวกินคน
ขอบคุณพระเจ้าที่มันไม่ใช่ลังประเภทเดียวกับที่ผีดิบตัวนั้นทำหล่น
“ไป”
ชายหนุ่มตัวสูงกล่าวพอให้ได้ยินกันสามคน เขาอุ้มลังขนมขึ้นแนบอกพร้อมก้าวถอยหลังโดยมียูริตามประกบข้างให้
จงอินเป็นคนสุดท้ายที่น่ากังวลเพราะยังติดอยู่ในดงผีดิบซึ่งล้อมเข้ามาจนต้องปีนขึ้นไปเหยียบบนลังกระดาษซึ่งฐานก็ไม่ได้มั่นคงนักหลังจากถูกอัดกระแทกไปเมื่อครู่
ดวงตาคมกลอกมองเพื่อหาทางหนีทีไล่ มือกร้านกำคอขวดโซจูไว้มั่นเตรียมฟาดหัวตัวไหนก็ตามที่คิดจะลากเขาลงไป
แต่ยังไม่ทันลงมือภาพทุกอย่างก็สว่างจ้า
เมื่ออยู่ ๆ ประตูเหล็กม้วนก็กระชากหล่นลงมาเพราะต้านแรงเอาไว้ไม่ไหว ผีดิบที่อออยู่ด้านหน้าทะลักออกไปอย่างไม่อาจจะหยุดยั้ง
ดวงตาต้อขาวเปลี่ยนเป้าหมายไปตามเสียงและแสงสว่างที่ไม่ได้พบเจอมานาน
ริมฝีปากยังคงอ้ากว้างกับจุดสนใจใหม่ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นตัวที่อยู่ในระยะใกล้ก็หันมาสนใจกลิ่นหอมหวนของมนุษย์เช่นเดิม
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
เทารีบวิ่งเข้ามาพร้อมยกมือขึ้นบังระดับสายตาหลังจากได้ยินเสียงเมื่อครู่
เด็กหนุ่มชาวจีนแทบไม่มีเวลาตั้งหลักเมื่อผีดิบที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ต่างหันมาทางพวกเขาราวกับว่าเป็นอาหารจานเด็ดจนอี้ฟานต้องเข้าไปสมทบ
ผีดิบนับสิบอ้าปากกว้างหวังจะกัดเหยื่อเป็นอาหาร ทั้งสามคนพยายามต้านไว้ทุกวิถีทางแต่มีดเพียงเล่มเดียวคงจัดการได้ไม่หมดจนต้องใช้หมัดลุ่น
ๆ เข้าช่วย
“ทางนี้จะไม่ไหวแล้ว
พวกมันมีเยอะเกินไป!”
“จงอิน?!”
อี้ฟานหันไปเรียกคนที่ยืนอยู่บนลังกระดาษโดยมีเหล่าผีดิบด้านล่างพยายามปะป่ายมือคว้าขา
เขามองสีหน้าตื่นตระหนกของเพื่อนร่วมทางซึ่งดูเหมือนว่ากำลังมองหาเซฮุนที่ยืนอยู่ข้างนอก
“ผมไม่เห็นเขา!”
“เราต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้!!!” ยูริซัดหมัดใส่โหนกแก้มตัวกินคนจนเกือบเสียหลักไปทั้งคู่
เธอผลักร่างคนงานที่น้ำหนักมากกว่าเป็นเท่าตัว แต่เรี่ยวแรงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้หวงจื่อเทาจึงดึงอีกฝ่ายออกมา
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายซึ่งผีดิบจากทุกฝั่งยกเว้นด้านหน้าจะกรูเข้ามาทางนี้เรื่อย
ๆ
“ไอ้จงอิน!”
“เซฮุน...”
เสียงของชายหนุ่มผิวแทนเบาหวิวต่างจากอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งมันเต้นเสียงดังกลบทุกอย่างในเวลานี้
ภาพเบื้องหน้าที่ตามองเห็นคือซากศพเดินได้มากมายที่กำลังออกไปอย่างบ้าคลั่งหลังจากถูกปลดปล่อย
เขาไม่ได้สนใจว่าด้านล่างลังกระดาษที่เหยียบอยู่จะมีตัวอะไรมากมายที่หมายจะเอาชีวิต
‘โอเซฮุนอยู่ที่ไหน?’ นั่นคือสิ่งที่คิมจงอินอยากได้คำตอบ
วิ่งหนีไปหาที่หลบแล้วใช่ไหม?
ชายหนุ่มผิวแทนได้แต่ภาวนาว่าขอให้เป็นอย่างนั้นแม้ว่าดวงตาคู่นี้ยังคงกวาดหาว่าคนรักของตนอยู่ตรงไหน
ปลอดภัยแล้วหรือเปล่า ตอนนี้ในหัวของเขามันตื้อไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก
“จงอิน!
เราต้องไปแล้ว!” เจ้าของชื่อเลียริมฝีปาก
เขาพยายามตั้งสติเพื่อชั่งน้ำหนักถึงความสำคัญ จริงอยู่ที่เซฮุนสำคัญ
แต่คนที่กำลังจะถูกกัดตายต่อหน้าต่อตาเขาคืออีกสามคนที่ยังอยู่ตรงนี้
จงอินก้มมองผีดิบมากมายที่เอื้อมมือไขว่คว้าและพร้อมดึงร่างของเขาลงไปขย้ำทันทีถ้าหากมีโอกาสได้สัมผัสขา
แต่ชายหนุ่มผิวแทนก็ต้องก้มลงหมอบราบแนบกล่องเมื่อได้ยินเสียงปืนกลยิงกราดเข้ามาด้านใน
อี้ฟานกับยูริหลบหลังลังกระดาษซึ่งซ้อนกันสูงถึงสามชั้นเป็นสี่แถว
ขณะที่เทาวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังจุดใกล้ประตูทางออก เด็กหนุ่มหอบหายใจพลางมองร่างผีดิบทีละตัวล้มลงไปกองกับพื้นหลังจากถูกยิง
จงอินจึงพยายามคลานศอกไปเรื่อย ๆ กระทั่งตกลงไปด้านล่าง
และมันช่างโชคดีเหลือเกินที่จุดนี้ไม่มีตัวกินคนดักรออยู่
ชายหนุ่มผิวแทนหันไปสบตากับคนอายุมากกว่า
ก่อนอี้ฟานจะสไลด์เอาไขควงที่อยู่ข้างตัวให้เจ้าของซึ่งรู้วิธีใช้เป็นอย่างดี เสียงปืนกลยังคงยิงกราดไม่หยุด
แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ก็พอคาดเดาได้ว่าน่าจะมีมากกว่าสามกระบอก
เสียงโอดครวญสุดท้ายของชีวิตผีดิบดังกึกก้องไปทั่วโกดังก่อนจะเบาลงตามจำนวนที่ถูกกำจัด
จงอินหันไปสบตากับเด็กหนุ่มชาวจีนซึ่งส่งสัญญาณบอกเป็นจำนวนนิ้วว่าผู้มาใหม่มาทั้งหมดกี่คน
‘สี่คน’
งั้นเหรอ...
ให้ตายเหอะว่ะ ทำไมอยู่ ๆ พวกมีอาวุธถึงคิดมาเหยียบที่นี่วันเดียวกับเขาด้วยวะ?
อี้ฟานพยายามส่งสัญญาณมือบอกให้เทาออกไปเตรียมรถบรรทุก
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือไม่แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาหันหน้าเข้าหากันเพื่อวางแผนแล้ว
เขาได้แต่หวังว่าหวงจื่อเทาจะหาจังหวะดี ๆ ตอนคนกลุ่มนั้นเข้ามาถึงด้านใน หลังจากนั้นพวกเราก็รีบออกไปจากด้านหลังเพื่ออ้อมไปขึ้นรถ
เด็กหนุ่มชาวจีนก็พยักหน้ารับก่อนจะแอบออกไปจากทางประตูด้านหลังอย่างเงียบ
ๆ ผ่านไปไม่กี่นาทีเสียงปืนก็หายไปและแทนที่ด้วยเสียงเปลี่ยนแม็กกาซีน จงอินชูโซจูขวดใหม่ขึ้นมาพร้อมชี้ไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งก่อนจะชี้ไปยังประตูทางออก
ซึ่งอี้ฟานกับยูริก็พยักหน้าตกลงกับแผนการหลอกล่อเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
เพล๊ง!!!
ทันทีที่ได้ยินเสียงเสียงตวัดปืนทั้งคู่ก็รีบก้มต่ำวิ่งออกไปก่อนเสียงเดิมจะเกิดขึ้นซ้ำอีกรอบเมื่อรู้ว่าถูกหลอก
ตอนนี้เหลือเพียงชายหนุ่มผิวแทนเท่านั้นที่ยังติดอยู่ในโกดังร้างพร้อมบุคคลปริศนาซึ่งให้คิดไปในแง่ลบไว้เลยว่าคนถือปืนแม่งไม่เคยมาดีสักคน
เสียงรองเท้าบูทบดกับซีเมนต์อย่างเชื่องช้าราวกับว่ากำลังดูเชิง
จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะรอจังหวะดี ๆ ก่อนจะเห็นเงาชายฉกรรจ์หนึ่งนายที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย
ๆ ‘แค่คนเดียว’ จงอินคิดในใจ สำหรับคนสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วตอนนี้มันคงเป็นจังหวะดีถ้าหากว่าจะตลบหลังอีกฝ่าย
ในใจยังคงพะวงถึงเด็กคนนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็นอยู่อย่างไร
เซฮุนจะหาที่หลบทันหรือไม่ จะบังเอิญเจอไอ้พวกเวรนี่ก่อนหรือเปล่า?
แกร่ก!
“...!!!”
จงอินลุกขึ้นล็อกคอผู้มาใหม่ทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งหลักพร้อมออกแรงรัดแน่นจนปืนกลตกลงพื้นตามด้วยเสียงยกปืนตั้งลำของคนที่เหลือ
และตอนนี้ชายหนุ่มผิวแทนก็ได้รู้แล้วว่าแขกไม่ได้รับเชิญคือพวกคนในเครื่องแบบลายพราง
“อึ่ก!”
ขายาวเซถอยหลังพร้อมยกมือขึ้นกุมศีรษะหลังจากถูกเฮดบัดเข้าอย่างแรง
จงอินส่ายหน้าไล่อาการมึนงงก่อนภาพทุกอย่างจะพร่ามัวอีกครั้งเพราะถูกต่อยหน้าโดยคนที่ถูกล็อกคอเมื่อครู่
ไอ้หมอนี่ไม่ปล่อยให้เขาได้ตั้งหลักเลย หมัดนี้ทั้งหนักและแน่นกว่าทุกคนที่เคยเจอมา
จงอินรู้สึกได้เลยว่าถ้าหากโดนซ้ำอีกสักสามสี่ครั้งคงลงไปนอนได้ง่าย ๆ
ถ้าหากว่ายังไม่ทำอะไรสักอย่าง
“!!!”
ทหารที่เหลือไม่ได้เหนี่ยวไกปืนอย่างที่คาดไว้เพียงเพราะคนตรงหน้ายกมือขึ้นห้ามขณะสายตายังคงจดจ้องอยู่กับใบหน้าของเขา
ไม่มีการทักทายเกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีการคว้าปืนพกทหารที่เหน็บอยู่กับสนับขาขึ้นมาเหนี่ยวไกเพื่อโชว์ให้อีกสามคนได้ดูว่า ‘เดี๋ยวกูจัดการเอง’
‘ไม่มีทางหนีแล้ว’ ชายหนุ่มผิวแทนคิดในใจ ดังนั้นการวิ่งออกไปอย่างโง่ ๆ
คงถูกรัวกระสุนใส่แน่ไม่ต้องสงสัย ตอนนี้พวกอี้ฟานเป็นยังไง เขาไม่ได้ยินเสียงรถ
ไม่เห็นว่าใครสักคนอยู่ด้านหน้า
ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิงขณะจงอินกำลังเช็ดเลือดกำเดา
ก่อนมือที่เลอะไปด้วยเลือดจะกำเข้าหาแน่นเพื่อบอกอีกฝ่ายให้รู้ว่าเขาพร้อมแล้วถ้าหากอยากจะแลกหมัดกันอีกสักยก
คราวนี้จงอินเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
และทหารที่เคยถูกล็อกคอก็รู้จังหวะหลบหลีกได้ดีก่อนจะสวนหมัดกลับมาจนเขาเสียหลักถอยหลังไปอีกครั้ง
ไอ้หมอนี่แม่งไม่ใช่เล่น ๆ แล้วว่ะ จากที่เคยเห็นทหารมานักต่อนักรู้สึกว่าคนตรงหน้าจะไม่ได้เก่งแค่เรื่องถือปืนไปวัน
ๆ
“พอหรือยัง?”
ไอ้เวรนี่ต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ถึงถามอย่างนี้ทั้งที่เขามาถึงก่อน ทั้งคู่สบตากันอีกครั้ง
บรรยากาศที่เป็นอยู่มันเงียบพอที่จะทำให้เขานึกถึงคนอื่น ๆ อีกครั้ง
นัยน์ตาคมกลอกมองออกไปข้างนอกเพียงวูบเดียว
แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าซากศพมากมายนอนกระจายอยู่ในโกดัง
เขาคิดถึงเพื่อนสนิท ถ้าตอนนี้ไอ้ลู่หานอยู่ด้วย คิมจงอินมั่นใจว่าเรื่องทุกอย่างมันคงดีกว่านี้
เขาไม่ได้โกรธหรือนึกโทษใครที่ต้องยืนรับหมัดทหารตรงหน้าตามลำพัง
แต่การยืนตรงนี้โดยไม่มีคู่หูอยู่ข้าง ๆ
มันก็ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้สิ้นหวังกว่าครั้งไหน ๆ
ถ้าหากลู่หานยืนอยู่ตรงนี้
ไอ้เวรนั่นคงหันมามองเขาและบอกผ่านทางสายตาว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน
ไม่ว่าปัญหาที่พบเจอจะใหญ่โตสักเท่าไหร่
“เราแค่ต้องการเสบียง” จงอินบอกเจตนาไปอย่างตรง ๆ “ไม่ได้คิดที่จะมีเรื่องกับใคร”
“ด้วยการเข้ามาในโกดังที่มีแต่ศพเดินได้เต็มไปหมดน่ะนะ?”
“ก็มันไม่มีที่ไหนให้เก็บแล้วนี่หว่า” จงอินถุยเลือดลงบนพื้นก่อนจะได้ยินเสียงใครสักคนแค่นหัวเราะ
และเขาคิดว่าไม่มีเรื่องห่าอะไรในโลกที่มันน่าขำ คนจะอดตายแม่งตลกตรงไหน ใคร ๆ
ก็ต้องสู้เพื่อปากท้องทั้งนั้น
ติดแค่ว่าพวกทหารเวรนี่มีอาวุธครบมือที่พร้อมจะบุกไปที่ไหนก็ได้
“เอาล่ะ” คนตรงหน้าหันไปเตรียมสั่งการบางอย่าง
และคนที่รู้ตัวว่าฝีมือด้อยกว่าคนที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีจึงใช้จังหวะนั้นหนี
แต่อีกฝ่ายกลับรู้ทันจึงวิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อจากด้านหลังเอาไว้
จงอินจึงง้างหมัดสวนกลับมา และคราวนี้เป็นฝ่ายเขาที่ทำแต้มได้
ทหารอีกสามคนเตรียมพร้อมที่จะเหนี่ยวไก
ขณะมองหัวหน้าและพลเรือนกำลังแลกหมัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
จงอินยังคงคิดหาจังหวะหนี แต่ดูเหมือนว่าทหารนายนี้จะหมดความอดทนแล้วจึงจับเขาทุ่มลงพื้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะเสียหลักล้มไปด้วย
“อา!!!”
ชายหนุ่มผิวแทนนิ่วหน้าพลางแอ่นหลังขึ้นเหนือซีเมนต์
บิดร่างกายที่บอบช้ำอย่างเจ็บปวดก่อนจะลุกขึ้นคุกเข่าข้างเดียวพร้อมโกยอากาศเข้าปอด
เวรเอ๊ย! จะยิงก็ไม่ยิง พวกแม่งคิดจะทำอะไรกันแน่วะ?
“เฮ้”
“...”
“ถ้ายังไม่พร้อมคุยก็นอนไปก่อนแล้วกัน”
จงอินหันหลังไปสบตากับเจ้าของคำพูด
แต่ก็แค่ชั่วเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นก่อนทุกอย่างจะวูบหายไปหลังจากถูกซัดเข้ากลางท้ายทอยอย่างแรง
*
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ...
แต่พระเจ้าไม่เคยสั่งสอนให้ใครขโมยของหรอก... แต่ถ้าอยากได้... ก็ต้องร้องขอ...
อ้อนวอน... อีกอย่าง... คนพวกนั้นคิดว่าไว้หนวดเดินถือ AK45 แล้วดูเท่ก็เลยขู่พวกคุณไปอย่างนั้น...
ความจริงพวกเราไม่ได้น่ากลัวเลย... ลูกเรือของโนอาห์ล้วนแต่บริสุทธิ์...
เราต่างก็หาจุดปลอดภัยหนีน้ำที่กำลังจะกลืนกินโลกเช่นเดียวกับพวกคุณ...”
“...”
ทั้งหกคนไม่ได้พูดอะไรแม้ว่าจะได้รับรอยยิ้มแปลก
ๆ จากชายคนหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มนี้
สังเกตได้จากตำแหน่งที่นั่งซึ่งเป็นเก้าอี้พิเศษถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวและอยู่สูงกว่าใคร
ๆ ตามผนังโบสถ์ถูกพ่นด้วยสีสเปรย์มากมาย โดยมีคำว่า NOAH โดดเด่นอยู่ด้านหลัง
คนกลุ่มนี้คือพวกที่พ่นสีตามข้างทาง...
“ว่าแต่ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม...”
“ไม่ครับ”
ชานยอลเป็นฝ่ายตอบขณะที่คนอื่น ๆ คงตั้งสติรับมือยังไม่ได้หลังจากถูกขู่ด้วยปืนในมินิมาร์ท
“ผมชื่อโจพิลฮยอน...
ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายวัยสี่สิบกว่า ๆ ยื่นมือมาตรงหน้า
แต่กลับไม่ใช่คนที่มีสติรับสถานการณ์นี้ได้อย่างชานยอลหรือซีวอน “ไงไอ้หนู... ชื่ออะไร?”
“โดคยองซู”
แบคฮยอนค่อนข้างประหลาดใจที่อีกฝ่ายยื่นมือไปจับและขานตอบทันทีโดยไม่เสียเวลาลังเลใจเลยแม้แต่นิด
กลับกันแล้วสีหน้าของอีกฝ่ายยังเรียบเฉยจนแทบเดาอารมณ์ไม่ออกแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมานาน
คนที่เคยรับมือจากพวกคนชั่วในกลุ่มเดิมมาก่อนยังคงตั้งสติได้
คยองซูพยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้คนตรงหน้าเห็น
เพราะเขารู้ดีว่าพวกมันชอบสีหน้าแบบนั้นยิ่งกว่าอะไร
“เป็นชื่อที่ดี...
คยองแปลว่าการเฉลิมฉลอง... ฉันชอบชื่อนี้... พวกเราชอบฉลอง...” โจพิลฮยอนยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปทางคนข้าง ๆ เด็กหนุ่มตัวเล็ก
“แล้วคุณล่ะ?”
“คิม... คิมจงแด”
“อืม... จงแดนี่แปลว่าอะไรนะ...” เจ้าของเสียงแหบพร่าขมวดคิ้วพลางลูบคางตนเอง “จงแปลว่าระฆัง...
ใช่ไหม?”
“ครับ”
อดีตเจ้าหน้าที่อุทยานกลืนน้ำลาย
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดดีไม่ได้แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เอาปืนจ่อหัวเหมือนในทีแรก
ตราบใดที่ยังไม่ได้กลับบ้าน... คิมจงแดก็คงไม่รู้สึกได้ถึงกลิ่นของความปลอดภัย
“ส่วนแดหมายความว่ายิ่งใหญ่”
“น่าสนใจ...
ชื่อของคุณทำให้ผมนึกถึงพระเจ้า... ท่านคือความยิ่งใหญ่... เป็นระฆังแห่งสันติสุขให้กับมนุษย์ผู้โง่เขลา...” ชายฉกรรจ์ยกยิ้ม “แล้วเด็กคนนี้ล่ะ...
จากสีหน้าและแววตา... ขอเดาว่าต้องมาจากเหล่าตระกูลคิม...”
“บยอน... ผมนามสกุลบยอน”
“อ่า... พลาดงั้นเหรอ...” รอยยิ้มแหย ๆ มาพร้อมดวงตาที่แข็งกร้าว
แบคฮยอนเริ่มกลัวยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เพราะความผิดปกติของคนตรงหน้า “พวกแกเห็นไหมว่าคนอย่างฉันก็พลาดได้เหมือนกัน...”
“เราล้วนแต่เกิดมาพร้อมความผิดพลาด
แต่พระเจ้าจะชะล้างมันให้กับเราครับท่าน” ชายที่อยู่ด้านหลังกล่าว
“นั่นสินะ...
วันนี้แกพูดดียูฮยอก...” คนเป็นผู้นำหัวเราะในลำคอไต่ระดับเสียงขึ้นเรื่อย
ๆ
ไม่มีสิ่งไหนปกติ ตั้งแต่มินิมาร์ทจนถึงตอนนี้
ในโบสถ์กว้างมีแต่กลิ่นคาวและความเหม็นอับเหมือนซากศพราวกับว่าไม่เคยมีการเปิดหน้าต่างระบายอากาศมาก่อน
ชายหนุ่มหยุดสายตาอยู่บนบัลลังก์ซึ่งอยู่สูงแต่ก็ต่ำกว่าพระเยซูถูกตรึงกับไม้กางเขน
ชานยอลรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องเริ่มสังเกตการณ์ตั้งแต่ตอนนี้
“ชื่อนำหน้าของนายคืออะไรล่ะเด็กน้อย...
มิน... จอง... ซึง...?”
“แบคฮยอน”
“อ่า... ให้ตายสิ” โจพิลฮยอนตบหน้าผากตัวเองกับการคาดเดาที่ผิดพลาด เจ้าของเสียงแหบพร่าหายใจเข้าลึก
ๆ ก่อนจะชูนิ้วชี้ย้ำ ๆ ขณะนึกอะไรบางอย่าง “แต่คราวนี้ฉันต้องพูดถูกแน่...”
“...”
“แบคแปลว่าบริสุทธิ์
ส่วนฮยอนแปลว่า... ดูชิก!!” ทุกสายตาหันไปทางชายหน้าตาโทรม
ๆ คนหนึ่งซึ่งกอดหนังสือเล่มหนาไว้แนบอก ในมือมีดินสอหนึ่งแท่งเปรอะไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง
แต่นั่นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับหลังมือที่มีรอยจี้จากบุหรี่ ริมฝีปากซีดแตกจนเป็นร่องกำลังฉีกยิ้มขณะมองไปยังคนตัวเล็ก
สายตาคู่นั้นมีความน่ากลัวเสียจนแบคฮยอนขนลุกซู่
“ฮยอนแปลว่าความดีครับท่าน...”
“ความดีและบริสุทธิ์งั้นเหรอ...
ฉันชอบชื่อนี้กว่าชื่ออื่น ๆ ที่ผ่านมา...”
“...”
“ถึงคิวคุณแล้ว...”
“เขาชื่ออี้ชิง
ฟังภาษาเกาหลีไม่ออกครับ ถ้าอยากคุยก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น”
“อ่า... งั้นข้ามไปเถอะ...
ความหมายของชื่อภาษาจีนคงน่าปวดหัวสำหรับเราทุกคน”
พิลฮยอนทำมือปัด ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มอายุมากที่สุดในกลุ่ม
“ชเวซีวอน แปลว่าความสดชื่น”
“นี่สิ ต้องแบบนี้
อธิบายรวดเดียวจบ ซีวอน... ซีวอน... ความสดชื่น... น้ำ...
พวกเราไม่ค่อยชอบน้ำสักเท่าไหร่...”
ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป้าหมายไปยังชายคนสุดท้าย คนที่นิ่งเฉยต่างจากคนอื่น ๆ
ที่มาด้วยกัน “ถึงคุณแล้วล่ะ... พ่อหนุ่ม”
“ปาร์คชานยอลครับ”
“ชานยอล...?”
“ชานแปลว่าเจิดจ้า...
ส่วนยอลแปลว่ามอดไหม้ครับท่าน...” คนเป็นผู้นำขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำแปลจากลูกเรือ
แบคฮยอนกับจงแดมองหน้ากันเมื่อรู้สึกได้ถึงลางไม่ดีผ่านแผ่นหลังโจพิลฮยอนซึ่งกำลังเดินกลับไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของตน
“ชื่อคุณไม่เข้าท่าเอาซะเลยชานยอล...”
เจ้าของเสียงแหบพร่ากล่าวแล้วหันไปสบตากับชายหนุ่มตัวสูง “คุณมาจากนรก... คุณคือบุตรของความตายที่น่ารังเกียจ”
ชานยอลไม่ได้ตอบโต้
ไม่แม้แต่จะแสดงอาการไม่พอใจหลังจากได้ยินคำดูแคลนถึงชื่อที่พ่อแม่ช่วยกันตั้งให้ตั้งแต่เขายังอยู่ในท้อง
“เขาคือบุตรที่มาจากขุมนรก”
“เพราะมีคนแบบนี้อยู่ โลกถึงได้เจอความพินาศสันตะโร”
“ที่โลกเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา ศัตรูของพระเจ้า”
“โยนมันกลับไปในนรก แผดเผามันให้ซาตานรับรู้ว่าอย่าริอาจต่อกรกับพระเจ้า!!!”
ทั้งห้าคนมองไปรอบตัวหลังจากได้ยินเสียงโห่ร้องขอให้ผู้นำจัดการกับคนแปลกหน้าเพียงเพราะความหมายของชื่อ
แบคฮยอนหันไปทางชายหนุ่มตัวสูงที่ยังคงนิ่งหากแต่คราวนี้เขารู้สึกได้ถึงความกังวลอยู่ไม่น้อย
บ้าน่า... พวกเขาไม่ได้มาถึงที่นี่เพื่อเรื่องแบบนี้
“ทุกคนใจเย็น ๆ ก่อน” พิลฮยอนยกมือปราม เพียงครู่เดียวคนเหล่านั้นก็เบาเสียงลงจนโบสถ์เหลือเพียงความเงียบปกคลุม
“เหล่าผู้รอดชีวิตบนเรือโนอาห์จะไม่เผาใครสุ่มสี่สุ่มห้า...
จำได้ใช่ไหม?”
“นึกถึงเจตนาไว้...
มีเพียงบุตรของพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจ... นึกถึงเจตนาไว้...
มีเพียงบุตรของพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจ...” ชายถือหนังสือกล่าวประโยคนี้ซ้ำ
ๆ
“เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน...
เพราะตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราจะอ้าแขนโอบกอดสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ” คนเป็นผู้นำยิ้มพร้อมอ้าแขนออกกว้าง
“โอบกอดบุตรของพระเจ้า...”
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ
แต่พวกเราคงรวมกลุ่มกับเรือโนอาห์ไม่ได้” คนเชื่อในพระเจ้าโดยเนื้อแท้อย่างซีวอนคงทนไม่ไหวถึงได้พูดแทรกขึ้นมาจนทำให้คิ้วทั้งสองข้างของโจพิลฮยอนขมวดเข้าหากัน
“ทำไมล่ะ?”
“ก่อนไปหาพระเจ้า พวกเรายังมีที่ ๆ
อยากไปอยู่ครับ” ชานยอลเสริม
มันคงดีกว่าถ้าหากว่าพวกเขาจะตามน้ำไปแทนที่จะตะโกนให้รู้ว่าความเชื่อแบบนั้นมันผิดเพี้ยนไปมากแค่ไหน
คนกลุ่มนี้คงเจอเรื่องเลวร้ายมาจนสติเฟื่อน คิดว่าตนเองอยู่ในเรือโนอาห์และคงได้เจอกับโลกใบใหม่เป็นคนกลุ่มแรก
บิดเบือนคำสอนพระเจ้าจนทุกอย่างพังไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตรรกะ จิตใจ หรือความเป็นมนุษย์
“อ่า... อย่างนั้นเหรอ...
น่าเสียดาย” คนเป็นผู้นำคล้ายว่าจะอ่อนลง
แต่ก็แค่ครู่เดียวดวงตาคู่นั้นก็มองมาทางพวกเขาอีกครั้ง “ได้...
งั้นพวกคุณกลับไป...”
จงแดถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหมที่ได้ยินมันหลุดออกมาจากปากง่าย ๆ
ทั้งที่ขู่ว่าจะเผาชานยอลให้มอดไหม้ไปเมื่อครู่
“แต่ยกเว้นเด็กคนนั้น...
บยอนแบคฮยอน”
“...” เจ้าของชื่อและคนที่นั่งขนาบข้างต่างตกใจไม่แพ้กันกับข้อแม้ดังกล่าว
“ความบริสุทธิ์กับความดีย่อมมาคู่กัน...
ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้... ชื่อของเขาเหมาะสมกับการส่งไปบูชายันต์มากที่สุด...” ชายฉกรรจ์เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “เสียใจด้วยนะจุนซอก...
ชื่อของแกยังไม่มีค่าพอสำหรับวันนี้”
“ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง และจะรอวันส่งตัวเองไปหาพระเจ้าอย่างตั้งใจครับท่าน...” คนที่ถูกวางเป็นเหยื่อบูชายันต์ตั้งแต่แรกทาบมือกับหน้าอกข้างซ้ายพร้อมโค้งศีรษะให้กับคนเป็นผู้นำ
“บูชายันต์งั้นเหรอ?” จงแดขมวดคิ้ว “บ้ากันไปใหญ่แล้ว พวกคุณต้องเป็นบ้าแน่
ๆ -- อั่ก!”
อดีตเจ้าหน้าที่หนุ่มล้มลงไปนอนตัวงอกับพื้นหลังจากถูกฟาดด้วยสันปืน
อี้ชิงรีบเข้าไปดูอาการคนข้าง ๆ พร้อมประคองให้ลุกขึ้นยืน
“ถ้าคุณกำลังเล่นตลก
มันคงเป็นมุกที่แรงสมควรเลยทีเดียว” ชานยอลสบตากับชายคนนั้น “เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อส่งใครไปบูชายันต์ครับ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่คุณที่ส่ง...” พิลฮยอนยิ้ม “แต่จะเป็นพวกเรา...
มนุษย์กลุ่มสุดท้ายบนเรือโนอาห์”
“...”
“จับตัวผู้บริสุทธิ์มา...”
“อย่านะ!!!
อย่าเข้ามา!!! ไม่!!!! อย่าทำแบบนี้!!!”
“แบคฮยอน!!!”
ทุกคนพยายามช่วยน้องเล็กจากการถูกกระชากลากดึงจนโดนซัดล้มลงไปหมอบกับพื้น
ขณะที่ชานยอลยืนนิ่งกำหมัดแน่น สองมือที่ชื้นเหงื่อเย็นเฉียบเพราะความกดดัน สายตาจดจ้องอยู่กับพรมสีแดงซึ่งจุดประกายให้เขามองเห็นเลือดและกองไฟที่แผดเผาคนทั้งเป็น
ซีวอนขมวดคิ้วพลางหันไปสบตากับคนข้าง ๆ ที่คว้าแขนเขาเอาไว้ทั้งที่ยังคงมองพื้น
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวชานยอลก็หันมาสบตากับเขาพร้อมกระซิบเบา ๆ
พอให้ได้ยินกันสองคน
“ตะโกนว่าให้ส่งผมไปแทน”
“คุณจะบ้าเหรอ
ไม่ควรมีใครถูกจับไปบูชายันต์ทั้งนั้น!”
“ผมจะไม่ยอมยืนอยู่ตรงนี้เพื่อรอดูแบคฮยอนถูกฆ่า
และพวกคุณก็คงเหมือนกัน” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขณะมองตามคนตัวเล็กที่กำลังถูกกระชากลากดึงไปต่อหน้า
มองแววตาคู่นั้นที่กำลังขอความช่วยเหลือจากเขา และปาร์คชานยอลจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเด็ดขาด “ผมมีแผน รีบเป่าหูโจพิลฮยอนให้เลือกผม”
“แต่ --”
“เดี๋ยวนี้ซีวอน
ทำตอนที่ยังมีเวลาอยู่” ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่น
เขาทั้งโกรธตัวเองและพวกบ้านั่นที่ให้ความเชื่อโง่ ๆ มาตัดสินความเป็นความตายของใครสักคน
“แบคฮยอน!!!”
“เดี๋ยว!!!!”
“...”
เด็กที่ถูกหิ้วปีกหอบหายใจหนักหลังจากทุกอย่างหยุดนิ่ง
ทุกสายตามองไปยังซีวอนซึ่งผลักชานยอลออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง หากแต่ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่พร้อมจะลากเหยื่อไปบูชายันต์ก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากแขนแบคฮยอน
“คนที่ถูกบูชายันต์ไม่ควรเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ว่าไงนะ?”
“ผู้ชายคนนี้... บุตรของซาตาน” ซีวอนชี้คนตรงหน้า เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากขณะยัดเยียดความตายให้ชานยอลเพียงเพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายมีแผนอยู่จริง
“คนที่ควรส่งไปให้พระเจ้าล้างบาปคือเขาคนนี้
ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์”
“ซีวอน?”
จงแดขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขารู้สึกวูบตรงหน้าอกข้างซ้ายเมื่อรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเลือกส่งอีกคนไปตายแทนที่จะหาทางช่วย
แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นคยองซูก็สะกิดนิ้วมือเขา พร้อมส่งสายตาให้มองไปยังชานยอล
ผู้ชายคนนั้นที่มองมาอย่างมีความหมาย
“คุณส่งผู้บริสุทธิ์ไปหาพระเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้
แต่จะปล่อยบุตรของซาตานที่พร้อมจะทำให้ทุกอย่างมอดไหม้กลับไปกับพวกเราจริง ๆ เหรอ?”
ทั้งผู้นำและกลุ่มคนสติเฟื่อนต่างไขว้เขวกับคำพูดของซีวอน
เมื่อการส่งคนชั่วไปหาพระเจ้าเริ่มน่าสนใจกว่าส่งผู้บริสุทธิ์ไปเหมือนทุกครั้ง แบคฮยอนส่ายศีรษะขณะสบตากับคนรัก
เขาอยากรอดไปจากตรงนี้แต่ต้องไม่ใช่การสลับที่กับชานยอลสิ
“ไม่นะ อย่าทำอย่างนี้ พูดอะไรสักอย่างสิ”
ผู้ชายคนนั้นแค่ยิ้มบาง ๆ ขณะสบตากับเขา
ก่อนจะขยับปากแบบไม่มีเสียงว่า ‘เชื่อใจผม’ เหมือนกับหลาย ๆ
ครั้งที่ชานยอลพยายามปลอบให้เขาเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในสถานการณ์แบบนี้จะให้เชื่อได้ยังไง
แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะถูกผลักกลับไปจนแทบล้มแต่ซีวอนรับไว้ได้ทัน
“เอาล่ะ...
งั้นวันนี้เราจะส่งบุตรของซาตานไปหาพระเจ้าแทน”
*
ชานยอลถูกจับมัดด้วยเชือกพลาสติกหรือที่เรียกว่าเคเบิ้ลไทร์
เขาโดนจับแยกให้ยืนอยู่บนหลังตู้คอนเทนเนอร์สูงราว ๆ สองเมตรครึ่งทางฝั่งปีกขวากับชายคนหนึ่งซึ่งรับหน้าที่ส่งบุตรของซาตานไปพบพระเจ้า
คยองซูกับซีวอนยืนนิ่งพลางกวาดสายตามองผีดิบมากมายในลานกว้างกับคราบเลือดซึ่งสาดกระจายและแห้งกรังติดซีเมนต์เป็นวงใหญ่
คาดว่ามันคงเป็นลมหายใจสุดท้ายของหลาย ๆ คนซึ่งถูกนำไปบูชายันต์
โดยไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่สมัครใจ แม้แต่คนที่คลั่งศาสนาในทางผิด ๆ
อย่างกลุ่มของโนอาห์ พอถูกโยนลงไปในบ่อที่มีแต่ตัวกินคนรอฉีกเนื้อมากมายอย่างนั้นจะทนอยู่เฉย
ๆ โดยไม่พยายามวิ่งหนีความตายในวินาทีสุดท้ายของชีวิตจริง ๆ หรือ?
แม้จะมีตู้คอนเทนเนอร์หลากสีอยู่เต็มไปหมดแต่มันก็ยังน้อยอยู่ดีเมื่อนับกับจำนวนคนตายเดินได้
อีกสามคนที่เหลือเอาแต่มองชานยอลไม่ห่าง
ตอนนี้ทุกคนต่างก็แทบบ้าเพราะการตัดสินใจของอีกฝ่าย
แม้ว่ามันจะเป็นการช่วยน้องเล็กของครอบครัวได้ แต่ถ้าต้องแลกกับการต้องเสียใครไปก็คงยิ้มไม่ออกเหมือนกัน
“จับตาดูให้ดีล่ะ...
ทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว...”
“...”
“ซาตานน่ะ...
ไม่เหมาะกับโลกของเราหรอก...”
เสียงแหบพร่ากระซิบบอกทั้งห้าคนซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่บนหลังตู้คอนเทนเนอร์สูงแปดเมตร
ท่ามกลางเสียงโหยหวนของผีดิบด้านล่างที่พวกเขาได้รู้แล้วว่าการบูชายันต์ของกลุ่มโนอาห์นั้นไม่ใช่การตอกตะปูใส่เสาไม้
แต่มันคือการโยนเหยื่อลงไปทั้งเป็น
แผนของชานยอลคือสิ่งเดียวที่ทำให้ซีวอนยอมยืนอยู่ตรงนี้โดยไม่แย่ง AK45
มาจากคนที่อยู่ด้านหลัง ชายวัยกลางคนหันไปสบตากับเหยื่อที่มองมาราวกับว่าต้องการย้ำแผนการอีกครั้ง
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เขาก็จำได้ดีว่าชานยอลต้องการให้ทำอะไร
นับว่าเป็นโชคดีที่ไม่ถูกรัดข้อมือไปด้วย
อาจเป็นเพราะซีวอนแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายอมทอดทิ้งเพื่อนร่วมทางเพื่อแลกกับชีวิตเด็ก
และฝั่งนั้นคงอยากให้ได้เห็นกับตาด้วยตัวเองว่าการยืนมองคนใกล้ตัวค่อย ๆ ถูกกัดจนตายระหว่างบูชายันต์เป็นยังไง
คำพร่ำพรรณนาหลุดออกมาจากคนเป็นผู้นำ
กล่าวถึงความรักและความจงรักภักดีที่มีต่อพระเจ้าอย่างคล่องแคล่วราวกับว่าพูดประโยคเหล่านี้ไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
จังหวะนั้นทั้งห้าคนจึงกวาดสายตามองไปโดยรอบเพื่อหาทางหนีทีไล่
แต่การเห็นชายฉกรรจ์ยืนถือปืนกลอยู่บนหลังตู้คอนเทนเนอร์ราว ๆ หกนาย มันก็เป็นความเสี่ยงที่ฝังอยู่ในใจคนเคยถูกยิงมาแล้วอย่างโดคยองซู
“พร้อมหรือยัง?”
คำถามนั้นเหมือนย้ำกับชายทั้งห้าที่ยืนอยู่บนหลังตู้คอนเทนเนอร์เดียวกัน
แบคฮยอน อี้ชิง จงแด
และคยองซูต่างประหม่ากับสถานการณ์นี้แม้ว่าจะได้ฟังแผนของซีวอนแล้วระหว่างขอแยกตัวไปเข้าห้องน้ำ
ไม่รู้ว่าควรห่วงตัวเองก่อนหรือคนที่ถูกมัดด้วยเชือกพลาสติกซึ่งกำลังจะถูกโยนลงไปในดงตัวกินคน
พวกมันยิ่งกว่าสัตว์ป่าที่ไร้จิตใต้สำนึก
ไม่มีใครรู้เลยว่าชานยอลมีแผนอะไรอยู่ในใจ
และอะไรที่จะพาผู้ชายคนนั้นรอดไปจากวิกฤตินรกนี่ได้
“เริ่มพิธีบูชายันต์ได้!”
เสียงประกาศกร้าวกระตุ้นพวกหิวโหยให้โอดร้องดังยิ่งกว่าเดิม
ชายฉกรรจ์ที่ยืนประกบข้างบุตรของซาตานเอาปืนกลเคาะตู้คอนเทนเนอร์เพื่อเรียกให้พวกมันมารวมกันอยู่ตรงนี้
มือมากมายยกขึ้นปะป่ายเหยื่อที่อยู่สูงเหนือศีรษะราว ๆ สองเมตร อ้าปากรออาหารมื้อนี้ที่โนอาห์พึงจะมอบให้
“โทษทีนะ แต่ฉันจำเป็นต้องทำจริง ๆ
ว่ะ”
“ขอโทษเหมือนกัน”
“หะ?”
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วแต่ยังไม่ทันได้หันไปมองเจ้าของคำพูดร่างของเขาก็วูบหวิวลอยไปกลางอากาศเพราะถูกผลักให้ตกจากตู้คอนเทนเนอร์โดยที่ไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!”
รู้สึกเหมือนกระดูกกระหักตามด้วยความเจ็บปวดจากการถูกกัดตามผิวเนื้อ
ชายฉกรรจ์แหกปากร้องลั่นท่ามกลางความมืดของเงาที่กำลังเบียดกันแย่งแทะร่างของเขาพร้อมเสียงขบเคี้ยวเนื้อหนังอย่างเอร็ดอร่อยดังก้องอยู่ในหู
ชายที่เริ่มต้นชีวิตใหม่กับเรือโนอาห์เคยใช้ปืนขู่คนแปลกหน้าจนได้รับชัยชนะมาตลอด ลูกเรือโนอาห์ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนภาพลักษณ์ภายนอก
พวกเขาเป็นกลุ่มคนคลั่งศาสนาที่รอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้เพราะมีปืน
และเชื่อฟังคำสั่งของโจพิลฮยอน
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกผู้ชายหน้าตาไม่มีพิษมีภัยอย่างบุตรของซาตานลอบแทงข้างหลังได้
“เดี๋ยว นั่นมันอะไรกัน?!” ชายเป็นผู้นำเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อทุกอย่างผิดไปจากแผนที่วางไว้อย่างสิ้นเชิง
ทุกคนต่างมองไปยังบุตรของซาตานที่กระโดดลงไปด้านล่างหลังจากเหล่าผีดิบมากมายต่างเข้าไปรุมกัดกินลูกเรือที่อยู่
ๆ ก็กลายเป็นเหยื่อบูชายันต์เสียแทน
ซีวอนใช้จังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจชานยอลเข้าไปแย่งปืนจากคนข้างหลัง
ตามด้วยแบคฮยอนและคนอื่น ๆ
ที่เข้าไปผลักคนมีปืนให้ตกลงไปกระแทกกับตู้คอนเทนเนอร์ด้านล่างจนเกือบร่วงลงไปในบ่อตัวกินคน
“ยิงมันเลยไหมครับท่าน!!!”
“อย่า!!!
อย่ายิงบุตรซาตาน!!! เราจะบูชายันต์ต่อไป!!!” พิลฮยอนยกมือสั่นเทาขึ้นห้าม กัดฟันกรอดพลางมองชเวซีวอนที่กำลังพาเด็ก ๆ
กลุ่มนั้นวิ่งกลับไปทางเดิมโดยยิงปืนกลเปิดทางจนคนของเขาได้รับบาดเจ็บ
แต่ถึงอย่างนั้นการจับตายก็ยังไม่ใช่จุดหมายสุดท้าย เมื่อการบูชายันต์ให้กับพระเจ้าคือจุดหมายหลักที่พวกเขาทำมาตลอด
“แต่ยิงพวกนั้นได้...”
ปัง ๆๆๆๆ
แบคฮยอนก้มหัวลงต่ำหลังจากกระสุนกราดยิงเฉียดไปเพียงนิดเดียว
จังหวะนั้นคนคลั่งศาสนาอย่างโจพิลฮยอนจึงยกมือห้ามพร้อมดันปืนลง
“อย่ายิงผู้บริสุทธิ์...”
“แต่ท่านครับ
พวกมันวิ่งใกล้กันขนาดนั้น ถ้าให้เลือกเป้าหมายจริง ๆ
ก็กลัวจะพลาดไปโดนผู้บริสุทธิ์เข้า”
“อย่างนั้นเหรอ...” ชายฉกรรจ์กล่าวขณะมองตามแผ่นหลังคนกลุ่มนั้น “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว...
อย่ายิง... จับพวกมันไว้... เอาผู้บริสุทธิ์มา...”
“แล้วบุตรของซาตานล่ะ มันกำลังจะหนีไปแล้วนะครับ”
“ไปจับมัน... เอามันกลับขึ้นไปบนแท่นบูชายันต์อีกครั้ง...
แล้วโยนมันลงไปให้พระเจ้าเห็นกับตาว่าเรากำลังส่งใครไปหาท่าน... ทั้งบุตรของซาตานแล้วก็เด็กคนนั้น...”
“...”
“บยอนแบคฮยอน!!!!!”
คนตัวเล็กหันไปสบตากับเจ้าของเสียงที่ตะเบ็งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
น่าแปลก... ทั้งที่โมโหขนาดนั้นแต่ลูกน้องที่ถือปืนกลับเลือกวิ่งไล่ตามแทนที่เหนี่ยวไกยิงพวกเขา
แม้แต่คนอยู่บนตู้คอนเทนเนอร์ด้านบน คนกลุ่มนั้นแค่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
ตั้งปืนค้างไว้เหมือนอยากจะยิงแต่ก็เปลี่ยนเป้าหมายไปทางชานยอลที่กำลังวิ่งอยู่ในลานกว้างซึ่งมีเหล่าตัวกินคนไล่ตามหลังอยู่เป็นสิบ
ๆ ตัว คนเหล่านั้นปีนข้ามตู้คอนเทนเนอร์ไปเรื่อย ๆ เพื่อไล่ตามให้ทัน
ซีวอนยิงกราดจนกระสุนหมด ก่อนจะฟาดสันปืนใส่คนที่ขวางทางออกแล้วเขวี้ยงอัดหน้าคนที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดมา
แบคฮยอนจึงเข้าไปเก็บปืนและส่งต่อให้คนอายุมากกว่าเพื่อยิงดักพวกที่วิ่งตามมาจากข้างหลังก่อนจะค้นกระเป๋าเพื่อหาอาวุธชนิดอื่น
และคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้พกอะไรมากไปกว่าแม็กกาซีนปืนกลซึ่งแบคฮยอนคิดว่าคงต้องเก็บปืนอีกกระบอกขึ้นมาใช้เพื่อช่วยแบ่งเบาหน้าที่ให้ซีวอน
การหนีไม่ได้ยากอย่างที่คิด
อาจเป็นเพราะคนกลุ่มนี้สบประมาทจนเกินไป
หรือไม่ก็คงบ้าคลั่งกับการบูชายันต์จนไม่สนใจสิ่งใดทั้งห้าคนถึงได้วิ่งออกมาได้จนถึงด้านนอก
จงแดคว้าแขนคยองซูให้วิ่งไปพร้อม ๆ กันโดยมีอี้ชิงตามอยู่ไม่ห่าง น้องเล็กที่มีปืนอีกกระบอกจึงชะลอฝีเท้าเพื่อระวังหลังให้
แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อรถบรรทุกคนหนึ่งขับถอยหลังมาพร้อมเสียงทุบจากด้านในซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีตัวอะไรอัดอยู่ในท้ายรถ
ซีวอนดันคนที่เหลือให้ก้าวถอยหลัง
ก่อนแบคฮยอนจะหยุดชะงักเมื่อหันกลับไปพบปืนอีกหลายกระบอกจากลูกเรือของโนอาห์ซึ่งกำลังเล็งมาทางนี้
“โว้ว ๆ ใจเย็นก่อน” ซีวอนยกมือปรามพลางกวาดสายตามองปืนทุกกระบอกที่กำลังเล็งมาทางนี้ “เราไม่ได้ต้องการจะมีเรื่องกับใคร”
กึง ๆๆๆ
“กร๊าซซซซซซซซซซซซ!!!”
“เอาผู้บริสุทธิ์มา แล้วพวกแกอยากจะไปไหนก็ไป”
“แต่พวกคุณได้บุตรของซาตานไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนพยายามต่อรอง แต่ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้จะมีความมุ่งมั่นกับการจับตัวแบคฮยอนไปมากกว่าจะฟังคำพูดของเขา
“ผมไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์” คนตัวเล็กตอบเสียงสั่นขณะเล็งปืนตอบโต้ไปยังชายอีกสามคนจากข้างหลัง “ผมนอนกับผู้ชายด้วยกันมาแล้ว ผมไม่ใช่ --”
“ว่าไงนะ?” แบคฮยอนอาจจะกำลังหาวิธีเอาตัวรอดถึงได้พูดอย่างนั้น
และซีวอนไม่รู้ว่ามันจะส่งผลดีหรือไม่ เมื่อสายตาของแต่ละคนตอนนี้กำลังเปลี่ยนเป็นความเหยียดหยาม
“สมสู่กับเพศเดียวกัน...”
“สกปรก...”
“วอบอกท่านพิลฮยอนเดี๋ยวนี้”
เสียงทุบท้ายรถบรรทุกยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และนั่นทำให้ผีดิบทยอยออกมาจากป่าทีละตัวสองตัว ช่วงเวลาที่ถูกความกดดันเล่นงาน
แบคฮยอนได้แต่ภาวนาขอให้ชานยอลหนีรอดไปได้แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากเมื่อผู้ชายคนนั้นวิ่งอยู่ในเขาวงกตซึ่งเต็มไปด้วยตัวกินคนจำนวนมาก
แต่ชั่วอึดใจเดียว ชายคนหนึ่งก็เดินกลับมาหยุดยืนอยู่ท้ายรถพร้อมเอื้อมมือขึ้นไปคว้าราวจับ
“ท่านพิลฮยอนบอกให้บูชายันต์พวกมันทุกคนได้เลย”
*
คนถูกเรียกว่าบุตรของซาตานยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ชานยอลพยายามหาจุดปลอดภัยที่พอจะทำให้เขาได้มีเวลาหยุดพักจัดการกับเชือกพลาสติกรัดข้อมือเจ้าปัญหา
เสียงปืนยังคงดังไล่หลังมาเรื่อย ๆ ชายหนุ่มก้มลงต่ำ วิ่งหลบห่ากระสุนจนล้มลุกคลุกคลาน
พอถึงจังหวะเกือบพลาดท่าแต่ลูกเรือกลับไม่ยิงเขาทั้งที่หยุดเป็นเป้านิ่ง
ซากศพมากมายกำลังให้ความสนใจเหยื่อที่วิ่งเข้ามาลึกจนถึงกึ่งกลาง
ชานยอลหอบหายใจหนักหันซ้ายขวาดูทางหนีทีไล่แต่ช่องว่างในการหลบหนีก็เริ่มหดหายน้อยลงไปทุกที
เบื้องหน้ามีตัวกินคนกระจายอยู่เต็มไปหมด ถ้าหากยังวิ่งไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ข้อมือยังถูกรัดไว้อย่างนี้เขาอาจจะพลาดถูกกัดจริง
ๆ ก็ได้
ใบหน้าคมหันกลับไปยังชายฉกรรจ์สามนายซึ่งกำลังไล่ตามมาโดยทิ้งห่างกันเป็นระยะ
เสียงปืนของคนเหล่านั้นพอจะดึงความสนใจจากพวกหิวเนื้อไปได้บ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมด เขายังอยู่ในโซนสีแดงที่เรียกว่าอันตราย
ชานยอลจึงใช้เวลาช่วงวินาทีสั้น ๆ คำนวณทุกอย่างก่อนที่จะวิ่งต่อไปไม่ไหว
ขายาวยังคงวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหาจุดเซฟโซน เขาต้องการเวลาสักหนึ่งนาทีหรือน้อยกว่านั้นลงสักนิดก็ได้
แต่ขณะหอบหายใจวิ่งจนขาแทบล้าชายหนุ่มก็พบกับรถโฟล์คลิฟท์หรือที่เรียกว่ารถยกของจอดอยู่ตรงฝั่งซ้ายมือ
เขาจึงเร่งความเร็วไปหลบอยู่ด้านหลัง
หันไปเช็กความเรียบร้อยก่อนจะคำนวณได้ว่ามีเวลาไม่ถึงสามสิบวิ
ชานยอลโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อสอดข้อมือเข้าใต้สะโพก พยายามนึกถึงหนังหลาย ๆ
เรื่องเคยดูพร้อมตั้งสติทำตาม ชายหนุ่มนั่งลงงอเข่าทั้งสองข้างขึ้นเพื่อสอดขายาว ๆ
เข้าไปในวงแขนกระทั่งข้อมือที่ถูกมัดได้เปลี่ยนมาอยู่ข้างหน้าได้
ชานยอลพรูลมหายใจทางริมฝีปากกับด่านแรกที่ผ่านไปได้แม้ว่าจะใช้เวลามากกว่าพระเอกหนังไปพอสมควร
เสียงปืนดังขึ้นอีกแล้ว ชายหนุ่มต้องแข่งกับเวลาที่มาพร้อมตัวกินคนในละแวกนี้และลูกเรือโนอาห์ซึ่งยังคงไล่ตามไม่หยุด
การปลดเคเบิ้ลไทร์ยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะสถานการณ์บีบบังคับให้เขาเปลี่ยนจุดเซฟโซนอีกครั้ง
*
“ลุกขึ้นเถอะ เราไม่ควรอยู่ตรงนี้นาน
ๆ”
“...”
“แบคฮยอน ช่วยประคองอี้ชิงหน่อย”
ชายวัยกลางคนทิ้งปืนกลที่ไม่เหลือกระสุนสักนัดลงบนพื้นก่อนจะตรงเข้าไปดึงร่างเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน
คยองซูถูกยิงอีกแล้วเพราะกระสุนลูกเรือลั่นไปโดนในจังหวะชุลมุน
เหตุเกิดจากการได้รับคำสั่งให้บูชายันต์คนแปลกหน้าทั้งหมดโดยไม่ปล่อยใครไว้ เพราะความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป
การตามล่าบุตรของซาตานจึงเป็นสิ่งที่โจพิลฮยอนให้ความสนใจมากกว่า
ชายคนหนึ่งปล่อยผีดิบที่อัดอยู่ท้ายรถบรรทุกออกมาอ้าแขนต้อนรับทั้งห้าคนไปหาพระเจ้า
ลูกเรือโนอาห์เพียงถอยหลังออกแล้วถือปืนไว้เฉย ๆ ขณะมองพวกเขาพยายามต่อสู้กับผีดิบนับสิบที่กรูออกมาพร้อม
ๆ กัน จงแด อี้ชิง คยองซูทำได้เพียงถือมีดตั้งหลัก
โดยมีซีวอนและแบคฮยอนคอยตัดกำลังให้ก่อนด้วยการยิงปืนกล อย่างน้อยมันก็ทำให้จำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว
เพราะถ้าหากใช้มีดต่อสู้เชื่อว่าพวกเขาคงได้ขึ้นไปพบพระเจ้าจริง ๆ
และไม่มีใครต้องการอย่างนั้น
ในจังหวะที่แบคฮยอนถูกคว้าแขนและกระชาก
อี้ชิงจึงตรงเข้าไปแทงเข้ากลางหัวผีดิบตนนั้นกระทั่งยอมคลายมือในที่สุด คนสติคุ้มคลั่งจิตใจหมกมุ่นอยู่กับศาสนาบิดเบือนยังคงมีความสุขกับภาพตรงหน้า
ตะโกนต่อว่าความผิดบาปของชายทั้งห้าที่กล้าสมสู่ร่วมรักกับเพศเดียวกันจนทำลายความหมายของชื่อตนเองจนไม่เหลือชิ้นดี
แต่ในจังหวะที่กำลังต่อสู้
ผีดิบที่ทยอยออกมาจากป่าฝั่งตรงข้ามก็เข้ามาถึงตัวชายหนุ่มที่ยืนหันหลังอยู่ข้างรถ
อ้าปากกัดคอจนเลือดกระฉูดพุ่งออกมา ก่อให้เกิดความวุ่นวายยิ่งกว่าเดิมเมื่อคนถูกบูชายันต์กลายเป็นลูกเรือฝั่งตนเอง
เสียงกราดกระสุนปืนประสานกับคำเยินยอพระเจ้า
จังหวะนั้นซีวอนเปลี่ยนเป้าหมายหันไปยิงคนมีปืนก่อนจะบอกให้จงแดวิ่งไปหยิบมันขึ้นมาใช้เป็นอาวุธ
ไม่มีเวลาสำหรับความกลัวแล้ว ทุกคนต่างต้องทำเพื่อป้องกันตนเอง
และความบ้าบิ่นของลูกเรือโนอาห์หกคนก็จบชีวิตลงไปพร้อมศพเดินได้
“ไหวไหม?”
“ไหว มันเฉียดไป ไม่ได้ฝังลงบนขาผมหรอก” คยองซูยืนเขย่งขาเดียวพร้อมกดแผลไว้จนเลือดซึมออกจากร่องนิ้ว
“เรา – ต้อง – ห้ามเลือด – ให้เขา” อี้ชิงเข้ามาดูอาการ แผลของเด็กคนนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนคราวก่อนจนต้องใช้อุปกรณ์เย็บชุดใหญ่
แต่ถ้าปล่อยให้เลือดไหลไปเรื่อย ๆ ก็คงไม่เข้าท่าเหมือนกัน
“โชคดีที่เราเพิ่งเปลี่ยนชุดมา
เสื้อผ้าก็เลยสะอาดหน่อย ช่วยประคองคยองซูไว้ที”
ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมถอดเสื้อทั้งสองตัวออก ซีวอนฉีกเสื้อตัวในจนขาดเพื่อเอามาห้ามเลือดให้คนตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
ก่อนจะใส่เสื้อตัวนอกกลับเข้าไป
“เดินไหวหรือเปล่า?” จงแดหันไปถามและคยองซูก็พยักหน้ารับ
“เราจะ – ทำยังไง – กันต่อ?”
“หาทางกลับไปช่วยชานยอลกันเถอะ
เขาวิ่งเข้าไปอย่างนั้นคงอยู่ได้ไม่นานแน่” จงแดเสริม
“เสียงปืนยังดังอยู่นั่นหมายความว่าชานยอลยังไม่เป็นอะไร
เราจะกลับไปช่วยเขา”
“เราจะไม่กลับเข้าไปอีก แบคฮยอน” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก “แผนที่เขาบอกไว้คือให้เราทุกคนไปรอที่จุดนัดพบ”
“แต่ว่า --”
“ถ้าเข้าไปตอนนี้เราอาจจะไม่โชคดีได้ออกมาอีก
ข้างในมีแต่คนบ้า แบคฮยอน ที่ปล่อยให้เรารอดมาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เพราะเรามีความสามารถ
พวกเขามีอาวุธ มีฝีมือ แต่เป็นเพราะเชื่อในความเป็นเรือโนอาห์และศาสนาแบบผิดเพี้ยน
ถึงปล่อยให้พวกเราออกมาเจอความตายด้วยตัวเอง”
“...”
“เราจะแวะร้านยาเพื่อเอาอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นให้คยองซูก่อนแล้วค่อยไปรอชานยอลที่จุดนัดพบ” ซีวอนกล่าวอย่างเหนื่อยใจก่อนจะตรงไปขึ้นรถบรรทุกที่ขนเหล่าตัวกินคนมาส่งความตายให้พวกเขา
“แบคฮยอน – ไป – กันเถอะ” อี้ชิงวางมือลงบนไหล่อีกคนที่ยืนเหม่อจมอยู่กับความคิดขณะจงแดช่วยประคองคยองซูไปขึ้นรถ
คนตัวเล็กหันกลับไปด้านหลัง มองความบ้าบิ่นของคนกลุ่มหนึ่งที่พาพวกเขาออกจากมินิมาร์ทไปเจอโบสถ์
ก่อนจะจบลงยังสถานที่แห่งนี้
ชานยอล... คุณจะต้องรอดนะ
*
ข้อมือเสียดสีกับเชือกพลาสติกจนแดงไปหมด
แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับมันคงน้อยนิดเมื่อเทียบกับการถูกกัดจนนำไปสู่ความตาย
ชานยอลหอบหายใจพลางเลียริมฝีปากขณะวางแผนอย่างมีสติ เขาหันหลังไปดูเป็นระยะและต้องรีบหาทางหยุดชายคนนั้นที่กำลังใกล้เข้ามาถึง
มองข้อมือที่เป็นรอยถลอกและแดงก่ำ บ่งบอกให้รู้ว่าปาร์คชานยอลจะต้องเจ็บยิ่งกว่านี้ถ้าหากจะเอามันออกด้วยวิธีกระทุ้งข้อมือใส่หน้าท้องเหมือนที่เคยเห็นในยูทูป
ชายหนุ่มนั่งหอบหายใจพิงกับล้อรถยกของ พออีกฝ่ายมาถึงจึงรีบถีบเข้ากลางหัวเข่าจนลูกเรือโนอาห์เสียหลักเซล้มลงไปอย่างแรง
ชานยอลไม่ยอมเสียเวลา
เขาหันซ้ายขวาเพื่อสังเกตลาดเลาว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร
ศพเดินได้กำลังตรงมาทางนี้และส่วนหนึ่งมาจากลูกเรือที่วิ่งยิงปืนโง่ ๆ เรียกพวกมัน
ชายหนุ่มร่างสูงเตะเข้าสันกรามคนเจ็บเข้าอย่างจังเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเองได้ก้มลงแก้เชือกรองเท้าข้างหนึ่งออกมา
ใบหน้าคมเงยขึ้นมองเป็นระยะ ชานยอลมองปืน AK45 บนพื้นอย่างนึกเสียดายทั้งที่อยากหยิบติดมือไปด้วยแต่ตอนนี้มีสิ่งสำคัญที่ต้องใช้มือมากกว่าการถือปืน
ขายาวเริ่มออกวิ่งอีกครั้งอย่างทุลักทุเลเพราะรองเท้าข้างหนึ่งหละหลวมเนื่องจากไม่มีเชือกผูก
ระหว่างนั้นก็ก้มลงมองปลายเท้าตนเองขณะสองมือช่วยกันผูกปมจากปลายเชือกรองเท้าจนเป็นวงกลมทั้งสองด้าน
ชานยอลต้องทำอะไรหลายอย่างภายในไม่กี่วินาที ไม่ว่าจะเป็นการหันไปสังเกตภัยจากลูกเรือ
วิ่งหลบผีดิบ และหาทางเอาเคเบิ้ลไทร์ออกจากข้อมือ
ฝั่งด้านขวามีตู้คอนเทนเนอร์ให้หลบสักสามสิบวิโดยประมาณ
แผ่นหลังกว้างพิงกับตู้แล้วทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดแรงหลังจากวิ่งติดต่อกันเป็นเวลานาน
วงกลมจากปลายเชือกถูกสอดเข้าปลายเท้า มันเข้าไปลึกประมาณสองนิ้วครึ่งและนั่นเป็นความโชคดีของปาร์คชานยอลที่กะไว้อย่างพอดี
สองมือที่ถูกมัดติดช่วยกันสอดเชือกอีกปมวงกลมเข้าไปในข้อมือผ่านเคเบิ้ลไทร์
ก่อนจะก้มลงใช้ฟันช่วยดึงเชือกและสอดปมวงกลมใส่ปลายเท้าอีกข้างด้วยความรวดเร็ว เขาหอบหายใจหนัก
วินาทีนี้ได้แต่บอกกับตัวเองว่ามันต้องได้ผล เพราะถ้าต้องวิ่งหาจุดเอาเคเบิ้ลไทร์อีกก็กลัวว่าร่างกายจะไม่ไหว
ปาร์คชานยอลไม่ใช่นักวิ่งทีมชาติ ถ้าให้เทียบกับจงอินและลู่หาน เขายังเป็นรองกว่านัก
ขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นกลางอากาศเล็กน้อย
ชายหนุ่มเริ่มยันเท้าทีละข้างเหมือนถีบจักรยานอากาศเพื่อเสียดสีเชือกรองเท้ากับเคเบิ้ลไทร์
และสิ่งที่นำความตกใจมาให้ก็คือมันขาดอย่างง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ
ไม่มีเวลาให้กับเรื่องอื่นแล้ว ชานยอลจำต้องถอดรองเท้าข้างนี้ทิ้งเพราะไม่มีเวลาผูกเชือก
การออกวิ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าสิ่งใดในเวลานี้
ถ้าหากใส่รองเท้าข้างที่ไม่มีเชือกก็มีแต่จะทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง
และนั่นไม่ได้อยู่ในแผน
ปัง ๆๆๆ
เสียงปืนดังไล่หลังเข้ามาเรื่อย ๆ
ชานยอลไม่คิดว่าตนเองจะโชคดีเหมือนกับก่อนหน้านี้จึงเลือกหนีมากกว่าเผชิญหน้า
ชายหนุ่มหาทางปีนขึ้นตู้คอนเทนเนอร์ด้วยการเหยียบรถยกของ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ก่อนจะพบทางออกซึ่งต้องฝ่าดงตัวกินคนออกไป
จำได้ว่าระหว่างทางที่ผ่านมามีรถจอดทิ้งอยู่หลายคัน
และถ้าวิ่งตรงไปข้างหน้าอีกสักพักมันก็คงพอมีหวังว่าจะได้เจออีก
การหายใจทางจมูกมันไม่พอแล้วสำหรับความเหนื่อย
ชายหนุ่มโกยอากาศเข้าปอดพลางเอนหลังพิงกับตู้คอนเทนเนอร์เพื่อหยุดพักหายใจ
เขาต้องการอาวุธสักชิ้นที่พอจะเอาไว้ต่อสู้กับผีดิบได้
แต่ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็แค่สองมือเปล่า ๆ ที่สามารถทำได้แค่ผลักมันออกไปให้พ้นทาง
เสียงปืนดังออกมาจากด้านนอกทำให้สมาธิไม่คงที่ ชานยอลกำลังเป็นกังวลถึงเพื่อนร่วมทางอีกห้าคนซึ่งไม่รู้ว่าจะสามารถหาทางออกไปจากนรกขุมนี้ได้หรือไม่
แผนที่คิดได้มันช่างตื้นเขินจนไม่กล้าให้ความมั่นใจกับตัวเอง
แม้แต่การส่งตัวเองลงมาวิ่งข้างล่างอย่างทุลักทุเลไปจนถึงการบอกซีวอนแสดงละครให้รู้ว่าเป็นฝ่ายเดียวกับฝั่งนั้นเพื่อพาทุกคนหนี
คนตัวสูงเสยผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อและเริ่มเดินอีกครั้งเมื่อขาทั้งสองข้างมันล้าจนการวิ่งกลายเป็นตัวเลือกสุดท้ายซึ่งต้องมาพร้อมความจำเป็น
บวกกับเท้าข้างซ้ายซึ่งเริ่มบวมจากการวิ่งโดยไร้รองเท้า ชานยอลค่อย ๆ เดินผ่านตู้คอนเทนเนอร์ไปเพื่อเจอซากศพมีชีวิตอีกมากมาย
เขาจึงถอดรองเท้าอีกข้างหนึ่งออกเพื่อสร้างความสมดุลให้ร่างกายและเพิ่มความเงียบเชียบ
ก่อนจะตรงไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่
ทุกจังหวะเต็มไปด้วยความเสี่ยง
ชานยอลก้มลงต่ำก่อนจะส่องเข้าไปในรถเพื่อเช็กความเรียบร้อย
เมื่อพบว่าไม่มีตัวกินคนอยู่ด้านใจจึงแทรกตัวเข้าไป เสียงหอบหายใจของตนเองดังไปกว่าทุกครั้ง
ชานยอลค่อย ๆ แง้มประตูเข้ามาแล้วนอนลงเพื่อหาทางต่อสายตรงเมื่อไม่มีใครหยิบยื่นกุญแจให้
อัตราการเต้นหัวใจยังอยู่ในระดับผิดปกติ
รวมถึงการหายใจที่ยังไม่ได้ดีไปกว่าก่อนหน้านี้แม้ว่าจะเปิดประตูไว้เล็กน้อยเพื่อให้อากาศถ่ายเท
แต่ปาร์คชานยอลก็ยังมุ่งมั่นกับการต่อสายตรงจนสำเร็จแม้ว่าจะใช้เวลาไปสักพักหนึ่ง
เสียงสตาร์ทรถเรียกความสนใจจากตัวกินคนโดยรอบ
ชายหนุ่มปิดประตูแล้วล็อกก่อนจะเหยียบคันเร่งแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทางที่วางแผนไว้เป็นอย่างดีหลังจากขึ้นไปสังเกตการณ์บนตู้คอนเทนเนอร์
ซากศพเดินได้อ้าปากโหยหวนและวิ่งเข้าหาสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว ก่อนร่างของมันจะกระเด็นออกไปเมื่อถูกชนโดยรถยนต์ที่ขับด้วยความเร็ว
ประตูทางออกจากนรกทำด้วยเหล็กกำลังถูกปิดโดยกลุ่มลูกเรือโนอาห์หลังจากรู้ทันแล้วว่าจะหยุดเขาด้วยวิธีใด
ชานยอลคาดเข็มขัดนิรภัยขณะมุ่งตรงไปยังด้านหน้า เหล่าคนคลั่งศาสนาราว ๆ
สี่คนกำลังตั้งลำปืนรอและเขาถอยไม่ได้แล้ว ข้างหลังที่มีตัวกินคนมากมายกำลังรออยู่กับการเสี่ยงเบื้องหน้า
อะไรที่ชายหนุ่มอยากเลือกมากกว่ากัน ปาร์คชานยอลได้แต่ถามตัวเอง
มือข้างหนึ่งกำพวงมาลัยไว้มั่นก่อนจะเข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งชนประตูรั้ว
ลูกเรือที่เคยดักรอจึงวิ่งหลบก่อนจะกราดกระสุนใส่จนความแม่นส่งผลตรงหัวไหล่ขวาของเขา
ชานยอลกัดฟันแน่น มือซ้ายกุมบาดแผลที่ทำให้เกือบเสียหลักแหกโค้งกับบาดแผลที่ได้รับเมื่อครู่
มันแล่นปราดไปทั้งร่างจากหลุดร้องออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“...!!!”
มองกระจกหลังเป็นระยะ ก่อนจะพบว่าลูกเรือโนอาห์และผู้นำกำลังขับรถตามมาติด ๆ
พร้อมยิงตามโดยไม่สนใจว่าจะมีตัวกินคนได้ยินหรือไม่
มือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกำพวงมาลัยแน่นเพื่อกดความเจ็บปวด เลือดสีสดกำลังไหลอาบแจ็คเก็ตสีครีมเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังเข้าใกล้ความตายเข้าไปอีกนิด
ถ้าหากเขายังต้องหนีไปเรื่อย ๆ อย่างนี้โดยไม่ได้ทำแผล
จากถนนโล่งก็เริ่มมีผีดิบอยู่บนถนน ชายหนุ่มเลือกที่จะชนมากกว่าปล่อยมืออีกข้างออกมาช่วยหมุนพวงมาลัยเพื่อหักหลบ
แต่เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นไปได้ตลอด เมื่อขับไปอีกสักพักก็พบรถเก่า ๆ
จำนวนหนึ่งที่จอดขวางทั้งสองเลนและผีดิบอีกฝูงหนึ่ง
ซึ่งถ้าไม่หาทางเลี้ยวกลับตอนนี้คงไม่ทันแน่
แต่รถของกลุ่มโนอาห์คงรู้ว่าเขากำลังเจออะไร
ถึงได้ส่งผลให้มันเกิดเร็วขึ้นโดยการยิงล้อจนรถของเขาส่ายอย่างรุนแรง
ชานยอลพยายามควบคุมพวงมาลัย
แต่จากความเร็วที่เหยียบมาตั้งแต่แรกจึงทำให้พุ่งเข้าไปชนรถทางด้านซ้ายจนพลิกคว่ำไปในที่สุด
ร่างที่เจ็บจากการถูกยิงแทบขยับไม่ได้หลังจากได้รับบาดแผลเพิ่ม
ชายหนุ่มร่างสูงพยายามปรือตามองภาพเบื้องหน้าซึ่งเห็นเพียงควันสีขาวกับจำนวนขามากมายที่กำลังตรงมาทางนี้
มือสั่นเทากำลังพยายามเอื้อมไปปลดเข็มขัดนิรภัย
แต่เรี่ยวแรงที่เคยมีกลับหดหายจนแค่หายใจยังเป็นเรื่องยาก
ไม่มีเสียงปืนดังขึ้นอีก... ชานยอลพยายามกระพริบตาเพื่อไล่เลือดออกเพื่อพบว่าฝูงตัวกินคนกำลังใกล้เข้ามาทุกที
ชายหนุ่มพยายามขยับตัวเพื่อหาทางหนี แต่ทุกการเคลื่อนไหวก็สร้างความเจ็บปวดให้จนทรุดกลับไปนอนอยู่ในสภาพเดิม
มองกระจกมองหลังเพื่อดูคนที่ไล่ตามมาตลอดทาง ก่อนจะพบว่าผู้นำเรือโนอาห์ได้หยุดยืนอยู่หน้ารถตนเองเพื่อมองเขาจากตรงนั้น
ทุกอย่างมันพร่ามัวจนต้องกระพริบตาไล่เลือดอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เห็นอะไรชัดขึ้นกว่าที่เคย
โจพิลฮยอนไม่ได้ตรงเข้ามาลากเขากลับไปสังเวยให้กับการบูชายันต์ แต่กลับเดินไปขึ้นรถแล้วเลี้ยวกลับโดยไม่สนใจอะไรอีก
คนกลุ่มนั้นไม่ได้ต้องการจับบุตรของซาตาน...
แต่ต้องการทำพิธีบูชายันต์ให้เสร็จสิ้น
“กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!!”
TBC
ในที่สุดชานยอลก็ทำให้ชานยอลเจ็บตัวจนได้
ไม่มีเพื่อนเวลาบวก เป็นยังไงล่ะจงอิน
ตอนหน้าตอนจบแล้วจ้า คงยาวแบบตอนนี้เช่นเคย
อ่านเหนื่อยหน่อยเน้ออ
ความหมายของชื่อเอ็กโซเราได้มาจากเพจ EXO THAILAND FANCLUB และเพจ Fiction EXO แหล่งรวมฟิค EXO นะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ
สำหรับคนที่ยังสนใจสะสมเล่ม ficzombie
สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ malin.world01@gmail.com นะค้า สั่งได้ตั้งแต่ซีซั่น 1-3 เลยค่ะ
ความคิดเห็น