คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17 :: Both of us
Chapter 17
Both of us
“แยกย้ายกันไปอาบน้ำสระผมได้แล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดล่ะ”
“ครับ/ค่ะ...” นักเรียนที่ยืนอยู่กลางสนามหญ้าขานตอบเสียงแผ่วหลังจากได้รับคำสั่งจากจงอินก่อนที่พวกเขาจะเดินกลับเข้าไปในตึกด้วยสภาพอิดโรยหลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา
ฝนซาลงไปตามระยะเวลาจนตอนนี้เหลือเพียงแค่สนามหญ้าที่ชุ่มน้ำฝนเท่านั้น ร่างหนาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะหันไปมองผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่ตรงนี้
“ผมขอโทษนะคุณกาฮี ทั้งที่ผมน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้” อี้ฟานมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ารู้สึกผิด หญิงสาวส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ ถ้าไม่มีคุณพวกเราคงแย่กว่านี้แน่ คุณทำดีที่สุดแล้วนะคะอี้ฟาน”
“จะอะไรก็ช่างเถอะ แต่ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยว่าไอ้พวกเปรตนั่นมาจากไหน?” จงอินถามแล้วหันไปบอกคนข้าง ๆ ให้ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่จะเป็นหวัดไปเสียก่อน เซฮุนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ร่างบางมองหน้าทุกคนด้วยความเป็นห่วงแต่พอเห็นสายตาของจงอินที่มองมาราวกับจะบอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีเขาถึงได้เดินออกมาจากตรงนั้น ระหว่างทางก็เห็นชานยอลเดินออกมาจากหอพักพร้อมกับตะเกียงในมือ
“เจอแบคฮยอนหรือยังครับชานยอล?”
“ครับ เขาเพิ่งหลับไปเมื่อกี้น่ะ” ชานยอลยิ้มเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจ
“อ๋อ...งั้นก็ดีแล้วล่ะครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อาบน้ำเสร็จเช็ดผมให้แห้งด้วยนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ครับ” เซฮุนยิ้มก่อนจะเดินสวนออกมาจากตรงนั้น ชานยอลเดินเข้าไปหาคนอื่น ๆ ที่ยืนล้อมวงกันเพื่อถกประเด็นที่ทำให้ฝันร้ายเกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงวางตะเกียงลงบนพื้นหญ้าเพื่อให้ความสว่างหลังจากที่ความมืดกลืนกินทุกอย่างไป
“เมื่อกี้ยองฮามาสารภาพว่าพวกมันไม่ได้เอาลิงไปทิ้งแต่มันเอาไปย่างกินกัน และที่ยองฮาไม่ติดเชื้อเหมือนพวกนั้นเป็นเพราะว่ามันเสือกปอดแหกไม่กล้าแดกก็เลยรอด” เทาพูด
“หมายความว่าที่เด็กพวกนั้นตายและกลายเป็นตัวกินคนก็เพราะเนื้อลิงงั้นเหรอ?” จงอินขมวดคิ้วมุ่น ทุกคนยืนใช้ความคิดท่ามกลางความเงียบโดยที่ไม่มีใครกล้าฟันธงกับเรื่องนี้
“ทั้งที่ผมบอกให้พวกเขาทิ้งไปแล้วแท้ ๆ เชียว”
“ถ้าเป็นเพราะลิงมันก็น่าคิด...อีกอย่างย่างเนื้อกันแบบนั้นคงกินไปทั้งสุก ๆ ดิบ ๆ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าถ้าลิงติดเชื้อแล้วสัตว์ชนิดอื่นล่ะ?” จงอินเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา ทุกคนเริ่มเป็นกังวลกับสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับพวกเขา
“นั่นสิ...ถ้าลิงตัวนั้นเป็นพาหะงั้นแสดงว่าต่อไปนี้เราคงต้องเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ไปโดยปริยาย” อี้ฟานเสริม
“ถ้ากินเนื้อแล้วถึงกับตาย การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันก็ลำบากขึ้นแล้วล่ะ ต่อไปนี้จะกินอะไรก็ต้องระวังกันให้มาก ปาร์คกาฮี...เป็นธุระของคุณแล้วที่ต้องคุยกับนักเรียนเรื่องนี้” จงอินบอกและกาฮีก็พยักหน้ารับ
“ตอนแรกผมคิดว่าต้นเหตุมาจากไอ้แตอินที่ถูกลิงกัดซะอีก ไม่คิดเลยว่าการกินเนื้อสัตว์ก็ทำให้เปลี่ยนได้เหมือนกัน” เทาถอนหายใจ
“ต้นเหตุมาจากสองที่ไง หนึ่งไอ้เด็กนิ้วขาด สองไอ้พวกเด็กหิวลิง” จงอินแค่นหัวเราะ
“คุณไปพักผ่อนเถอะ ถ้าไม่สบายแล้วจะแย่เอา เพราะครูฮโยรินก็จากเราไปแล้วและในโรงเรียนนี้คงไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลรักษาเท่ากับเธออีก” อี้ฟานบอกอีกคนด้วยความเป็นห่วง ปาร์คกาฮีหยุดชะงัก เธอเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว
“เมื่อกี้คุณว่าไงนะคะ?”
“...”
“...”
“ครูฮโยรินตายแล้วครับครู” เทาบอกกับคนข้าง ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย หนึ่งคนสำคัญในโรงเรียนได้จากไปแล้ว เขารู้สึกแย่จริง ๆ ที่ไม่สามารถปกป้องเธอได้
“เธอถูกกัดเหรอ?”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น พอเราไปถึงเธอก็เปลี่ยนไปแล้ว” เป็นอี้ฟานที่ตอบแทนเทา เด็กหนุ่มลดสีหน้าลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะความรู้สึกผิด
“ผมขอโทษที่ปกป้องทุกคนไว้ไม่ได้...”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ เธอแบกรับทุกอย่างเอาไว้ไม่ได้หรอกนะเทา” หญิงสาววางมือลงบนไหล่กว้างพร้อมกับบีบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ
“ต่อไปนี้เราต้องระวังกันให้มากขึ้น ถ้าเกิดใครมีรอยแผลไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งโลกมาอธิบายยังไง ก็ต้องแยกออกจากคนอื่นเป็นเวลาหนึ่งคืนเพื่อสังเกตการณ์ให้แน่ใจ”
“หนึ่งคืนเลยเหรอคะ?”
“อืม เพราะระยะเวลาการเปลี่ยนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตามที่เคยเห็นมาบางคนถูกกัดไปแค่ห้านาทีก็เปลี่ยนแล้วแต่บางคนก็อยู่ได้เกือบเจ็ดชั่วโมง” จงอินอธิบายให้คนตรงหน้าฟัง
“...”
“ต่อไปนี้เราต้องวางกฎระเบียบให้เคร่งครัดกว่านี้ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยแบบนั้นอีก” หลังจากที่จงอินพูดจบทุกคนก็เงียบไป
“คุณจะไปไหนคะอี้ฟาน?” หญิงสาวเรียกรั้งท้ายชายหนุ่มร่างสูงที่เดินออกไปจากวงสนทนา เจ้าของชื่อหันกลับมาตามเสียงเรียกแล้วมองทุกคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับทุกครั้ง
“ผมจะไปจัดการศพตามทางเดินน่ะ ไม่อย่างนั้นพวกคุณคงลำบากเพราะนักเรียนส่วนใหญ่ก็อยู่ชั้นล่างกันหมด”
“ผมไปช่วยอีกแรง” เทาเสริม
“งั้นก็เอารถมาจอดหน้าตึก พรุ่งนี้เช้าจะได้ขนออกไปเผาข้างนอกทีเดียวเลย” จงอินพูด
“ไม่ได้” ร่างหนาหยุดชะงักก่อนจะหันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนทำสีหน้าตรึงเครียดอยู่ที่เดิม
“อะไรไม่ได้?”
“จะไม่มีการเผาใครทั้งนั้น”
“...” ทุกคนหันมามองเทาที่สีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“คนพวกนั้นคือเพื่อนผม สิ่งที่พวกเขาควรได้รับการฝังศพตามพิธีทางศาสนา มีการยืนไว้อาลัย และสวดมนต์ให้พระเจ้ามารับพวกเขาไปอยู่ด้วย” เทาพยายามกลั้นน้ำตาเมื่อนึกถึงจำนวนศพของเพื่อน ๆ ที่อยู่ภายในตึก ทุกคนยืนเงียบก่อนที่ปาร์คกาฮีจะเข้าไปกอดปลอบเทาพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ
“โอเค ฝังก็ฝัง” จงอินพูดตัดรำคาญแล้วหันหลังเดินกลับไปเข้าไปตึกแล้วคนอื่น ๆ ก็ตามเข้าไป “แม่งได้ขุดกันถึงปีหน้าแน่ นับดูเถอะว่ากี่ศพ...”
ถึงปากจะบ่นแต่เอาจริง ๆ เขาก็เพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกเทาเมื่อครู่นี้เอง อาจเป็นเพราะว่าเด็กที่นอนตายเกลื่อนอยู่ในตึกไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่พี่น้องของเขา ๆ ถึงไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้ว่าความรู้สึกและความผูกพันมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากแค่ไหน
พอนึกถึงตัวเองบ้างเขาก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แน่นอนว่าถ้าเป็นเขา...เขาก็อยากขุดหลุมศพให้กับลู่หานด้วยตัวเองเหมือนกัน...
ขายาวก้าวเข้ามาในตึกแล้วหยุดยืนกับที่เมื่อเห็นเหล่านักเรียนกำลังช่วยกันลากศพออกมาอย่างขะมักเขม้น โดยที่ไม่ห่วงว่าร่างกายของพวกเขากำลังเปียกและอาจจะมีไข้ในเวลาถัดมา บางคนยังคงร้องไห้ บางคนยังคงเก็บสีหน้าได้ดี มันบอกให้เขาได้รู้ว่าทุกคนต่างมีภูมิคุ้มกันเรื่องความเจ็บปวดไม่เท่ากันจริง ๆ
“ไปกันเถอะ พรุ่งนี้เราต้องมาช่วยกันขุดหลุมแต่เช้า” ชานยอลวางมือลงบนไหล่กว้างพร้อมกับยิ้มบาง ๆ จงอินพยักหน้าแล้วเข้าไปลากศพออกมาวางไว้ข้างนอก
ไม่นานนักปาร์คกาฮีกับเทาก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าสะอาดจำนวนหนึ่ง ทั้งคู่กางมันวางไว้บนพื้นก่อนที่จะช่วยกันแบกหัวและท้ายศพเอาไปวางบนผ้าสะอาด ใช้เวลาไม่นานนักศพทั้งหมดก็ถูกมัดเป็นอย่างดี หน้าที่ของผู้ชายคือต้องแบกศพไปวางไว้อย่างเป็นระเบียบเพื่อรอทำการฝังในตอนรุ่งเช้า ส่วนเด็กผู้หญิงที่เหลือก็ช่วยกันทำความสะอาดทางเดิน
.
.
นอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายหนจนทนไม่ไหว แบคฮยอนลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจน เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว หากแต่ร่างกายมันกลับไม่ยินยอมรับการพักผ่อน
คนตัวเล็กลุกขึ้นเดินไปจุดเทียนบนโต๊ะเพื่อให้ความสว่างกับตัวห้อง นั่งเหม่อลอยมองแสงเทียนราวกับต้องมนต์สะกดแล้วปล่อยให้สติเลือนหายไปกับกาลเวลา...ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันยังคงติดตา สีหน้าของลู่หาน แววตาที่มองมาและภาพสุดท้ายที่ได้เห็น มันคือฉากโศกอนาถกรรมที่เรียกน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อที่นึกถึง
ไม่ว่าจะเสียใจมากแค่ไหนแต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องทำก็คือใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีคุณค่า เด็กหนุ่มเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่ต้องซักในวันพรุ่งนี้แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อบางอย่างตกลงไปบนพื้น...
มันคือรูปถ่ายของลู่หานตอนกำลังหลับกับรูปคู่ของเขาทั้งสองคน...
“...”
ดวงตาสั่นเครือและพร่ามัวไปหมดเพราะน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงอาบแก้มพร้อมกับก้มลงไปเก็บรูปขึ้นมาดูใกล้ ๆ ใบหน้ายิ้มทะเล้นของคนในรูปกำลังกรีดแทงหัวใจเขาซ้ำ ๆ ราวกับตอกย้ำความผิด
“...”
จากที่พยายามปลอบใจตัวเองว่าต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้แต่ทุกอย่างก็พังหมดเพราะรูปถ่ายในมือ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียกำลังกลืนกินบยอนแบคฮยอนไปทีละนิดจนแทบทนไม่ไหว คนตัวเล็กสะอื้นจนตัวโยนขณะกอดรูปถ่ายไว้แนบอก ใบหน้าของผู้ชายบ้าบอคนนั้นลอยขึ้นมาให้นึกถึง คำพูดคำจากวนประสาทกับสีหน้าทะเล้นนั่นกำลังทำให้บยอนแบคฮยอนเกลียดตัวเอง
‘ขอโทษที่กลับมาช้า งอนป่ะเนี่ย’
‘ไม่วาง ขาแพลงไม่ใช่หรือไง อย่ามาดื้อนะไอ้เตี้ย’
‘เอาไง จะฝ่าดงตีนเข้าชุงช็องใต้หรือจะพาไอ้จงอินขับรถเล่นไปเชจู’
‘ถ้าเกิดนายคิดสักนิดนึงว่าถ้าโอเซฮุนต้องไปนอนที่ห้องนั้น...คนที่จะไม่มีเตียงนอนจะเป็นใคร? แล้วคนที่ต้องสลับไปนอนห้องของนายคือใคร?’
คำพูดและเสียงของลู่หานยังคงหลอกหลอนอยู่ใกล้หู รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ทุก ๆ อย่างที่เคยมีร่วมกันทำไมมันถึงมากมายได้ขนาดนี้นะ...มันมากมายจนบยอนแบคฮยอนทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนี้ เพราะเขา...เพราะเขาแท้ ๆ ทั้งพี่แบคโฮทั้งลู่หานถึงได้เป็นแบบนี้...
คนอย่างบยอนแบคฮยอนน่ะ...ตาย ๆ ไปได้ก็คงดี
“แบคฮยอน”
มือแกร่งลงบนแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้าอยู่กับพื้นห้อง แบคฮยอนค่อย ๆ หันไปมองอีกคนทั้งที่ยังน้ำตานองหน้า ชานยอลในสภาพชุดนอนและผมเปียกลู่กำลังตกใจที่เห็นคนตัวเล็กอยู่ในสภาพแบบนี้
“คุณ...”
“...”
ไม่รู้ว่าชานยอลเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างสูงมองไปยังริมฝีปากที่กำลังสั่นเครือกับตาแดงก่ำ พอลดระดับสายตาลงก็เห็นรูปถ่ายในมือ เขาเข้าใจความรู้สึกคนตัวเล็กในตอนนี้ดีและนั่นคือเหตุผลที่เขามาในห้องนี้เพื่ออยากดูให้แน่ใจว่าแบคฮยอนหลับไปแล้วหรือยัง
“เป็นอะไรไปครับ? ตอนแรกผมเห็นคุณหลับไปแล้วนี่...” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ พร้อมกับลูบหัวปลอบใจคนตรงหน้าเบา ๆ แบคฮยอนก้มหน้าลงแล้วรีบเช็ดน้ำตาออก
“เปล่าครับ...”
“ฝันร้ายเหรอ?”
“...” แบคฮยอนส่ายหัวเป็นคำตอบ
“ไม่เป็นไรนะ”
แค่คำพูดประโยคเดียวกับสัมผัสจากนิ้วหัวแม่มือที่กำลังช่วยไล้น้ำตาออกจากแก้มอย่างเบามือแบคฮยอนก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าลำบากใจ คนตัวเล็กพยายามแกะมือร่างสูงออกแต่อีกฝ่ายกลับยื้อมือเอาไว้แล้วเชยคางมนขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง
“ม...ไม่...”
“ร้องออกมาเถอะ” ร่างสูงจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาอีกฝ่าย มือใหญ่ทั้งสองข้างโอบใบหน้าเรียวเอาไว้พร้อมกับยิ้มบาง ๆ เพื่อให้แบคฮยอนรู้สึกได้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้...
“...”
“ถ้าคุณอยากร้องไห้ ผมก็นั่งอยู่ตรงนี้” ยิ่งได้ยินชานยอลพูดแบคฮยอนยิ่งรู้สึกผิด คนอย่างเขามีสิทธิ์ได้รับการปลอบโยนแบบนี้ด้วยเหรอ? สิ่งที่เขาควรได้รับมันคือคำด่าทอสารพัดให้สมกับความผิดที่ทำลงไปสิ...
แบคฮยอนสะอื้นจนตัวโยนจนร่างสูงต้องรั้งคนตรงหน้าเข้ามากอดปลอบ ร่างเล็กซบหน้าลงกับอกแกร่ง ฟูมฟายเหมือนกับคราวที่แบคโฮจากไป ชานยอลกระชับกอดแบคฮยอนไว้แน่นพร้อมกับลูบหัวปลอบใจ
เขากอดปลอบคนตัวเล็กอยู่นาน...นานจนเสียงสะอื้นหายไป ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาพอสมควร ใบหน้าหล่อก้มลงมองคนในอ้อมกอดแล้วก็พบว่าแบคฮยอนยังไม่ได้หลับไปอย่างที่คิดเอาไว้
“ชานยอล...”
“ว่าไงครับ?”
“คุณอยากด่าผมไหม”
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“คุณอยากชกหน้าผมเหมือนกับวันนั้นหรือเปล่า...” แบคฮยอนถามทั้งที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย ชานยอลลดสีหน้าลงก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อนึกถึงวันนั้น
“คุณชกผมได้นะ...กี่ครั้งก็ได้...ให้สาสมกับความผิดของผม”
“ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก” ชานยอลผละตัวออกแล้วจ้องหน้าคนตัวเล็กพร้อมกับรอยยิ้ม “แค่นี้คุณก็เจ็บมากพอแล้วแบคฮยอน” สองมือแกร่งวางบนหัวไหล่คนตรงหน้า ร่างเล็กเม้มริมฝีปากแน่นพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“...”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันจะเป็นบทเรียนให้กับเรา คุณยังต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจและใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังให้มากกว่าที่ผ่านมา”
“...”
“ตอนผมอายุเท่าคุณผมก็เคยทำเรื่องบ้า ๆ ไว้เยอะเหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันคือประสบการณ์ มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีปะปนกันไป คุณคงเคยได้ยินใช่ไหม? ว่าชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” ร่างสูงปัดไรผมที่เลอะน้ำตาออกจากแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ
“คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วมันไม่ดีต่อตัวเองและคนรอบข้างก็แค่อย่าทำมันอีก...คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหมครับ?” คำพูดปลอบประโลมด้วยโทนเสียงต่ำให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ภาพแบคโฮฉายซ้อนทับชานยอลขึ้นมาหลังจากได้ฟังคำสั่งสอนจากคนตรงหน้า แบคฮยอนได้แต่พยักหน้ารับและร้องไห้ออกมาอีกครั้ง มือเล็กปาดน้ำตาออกลวก ๆ แม้ว่าร่างสูงจะช่วยเขาซับน้ำตาออกสักแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าน้ำตาที่ไหลออกมามันจะไม่หยุดง่าย ๆ เสียด้วยสิ
“ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี คืนนี้ผมจะมาอยู่เป็นเพื่อน โอเคไหมครับ?” ร่างสูงถามพร้อมกับลูบหัวคนตรงหน้าเบา ๆ แบคฮยอนรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่กำลังรู้สึกจมดิ่งไปกับเหวลึกของความเศร้าแต่กลับมีใครคนหนึ่งดึงเอาไว้ไม่ให้เขาตกลงไปข้างล่างแบบนี้...
“มันจะ...รบกวนคุณหรือเปล่าครับ...” แบคฮยอนถามด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ชานยอลส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วลุกขึ้นยืนและไม่ลืมที่จะยื่นมือให้คนตัวเล็ก แบคฮยอนลุกขึ้นตามแรงดึงก่อนที่ร่างสูงจะพลิกตัวเขาให้หันหน้าเข้ากับเตียง คนตัวเล็กขึ้นไปนอนพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงช่วงเอว
“นอนเถอะ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ผมนอนไม่หลับ...” แบคฮยอนพูดพร้อมกับจ้องร่างสูง
“หืม?”
“ภาพของลู่หาน...กับภาพของนักเรียนที่นอนตายเกลื่อนที่ชั้นหนึ่งมันตามหลอกหลอนไปถึงความฝันของผม” เด็กหนุ่มงอขาเข้าหาตัวก่อนที่ชานยอลจะนั่งลงกับขอบเตียงแล้วห่มผ้าให้จนถึงหัวไหล่
“ผมอยู่นี่แล้ว”
“...” แบคฮยอนค่อย ๆ หลับตาลง ชานยอลก้มลงมองมือที่กำชายเสื้อของเขาไว้ราวกับต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วก็รู้สึกสงสาร มือแกร่งเอื้อมไปลูบหัวคนตัวเล็กแล้วค่อย ๆ ขยับขึ้นไปนอนข้าง ๆ พร้อมกับเท้าศอกลงกับหมอน
“...”
“ตอนเป็นเด็ก ผมกลัวผีจนนอนไม่หลับ แม่เลยเปิดประตูทิ้งเอาไว้เพื่อให้แสงไฟลอดเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังกลัวอยู่ดี” ร่างสูงยิ้มขณะสบตากับคนตัวเล็กที่นอนอยู่ข้าง ๆ “ผมกลัวมากจนต้องงอแงไปเคาะประตูห้องพี่สาวแล้วบอกกับเธอว่า ‘พี่ฮะ ผมนอนไม่หลับ ผมขอนอนกับพี่ได้ไหม?’ ”
“แล้วเธอให้คุณนอนด้วยหรือเปล่า?” แบคฮยอนถาม สีหน้าของเขาเหมือนเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็น ชานยอลหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วพยักหน้า
“เธอบอกว่า ‘ได้สิ มานี่เร็วเด็กน้อย’ พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ้มกว้างแล้วรีบกระโดดขึ้นเตียงเธอทันที...และคุณคือผมในตอนนั้น ส่วนเธอคือผมในตอนนี้”
“...แล้วคุณก็นอนหลับใช่ไหม?”
“เปล่า ไม่หลับหรอก”
“อ้าว...ทำไมถึงนอนไม่หลับล่ะ”
“ความกลัวจะจางหายไปได้ ถ้าเราได้รับอ้อมกอดจากคนสำคัญ” ทันทีที่ฟังจบแบคอยอนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ทั้งคู่สบตากันอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่ชานยอลจะเอื้อมมือมาประคองหัวคนตัวเล็กเอาไว้แล้วสอดแขนอีกข้างเข้าไปตรงท้ายทอยอีกคน
แบคฮยอนดูเก้ ๆ กัง ๆ เพราะทำตัวไม่ถูก หัวใจเขาเต้นแรงอีกแล้วเพราะสัมผัสอุ่น ๆ กับกลิ่นหอมประจำตัวของคนตรงหน้า ร่างเล็กวางมือไว้บนแผงอกแกร่งก่อนจะห่อไหล่ลงเมื่อร่างของเขากำลังจะหายเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดร่างสูง
อ้อมกอดอุ่น ๆ ตอนที่กำลังรู้สึกแย่แบบนี้...
“ถึงผมจะไม่ใช่คนสำคัญของคุณแต่ผมหวังว่ากอดของผมมันจะช่วยให้คุณผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ด้วยดีนะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น...
ร่างบางเดินออกมาจากหอพักแล้วหยุดยืนกับที่เมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมอยู่ตรงสนามหญ้า จากสภาพหลุมที่เห็นบ่งบอกได้ดีว่าผู้ชายคนนั้นใช้เวลาขุดมานานแค่ไหน จากเสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่าคิมจงอินยังไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่เมื่อคืน
เรียวขาเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ใครอีกคนที่ยังคงตั้งใจขุดหลุมฝังศพ จากที่เห็นถ้านับจากซ้ายมาขวานี่ก็เข้าหลุมที่ห้าแล้ว ผิวสีแทนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของความเหนื่อยล้าแต่เจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ
“หลุมแรกของลู่หานเหรอครับ?” ร่างบางเอ่ยถามพลางมองไปยังหลุมแรกที่มีไม้กางเขนปักอยู่
“อืม ขุดพอเป็นพิธีแล้วก็กลบดินฝังลงไป ไม่ได้ขุดลึกเหมือนหลุมของคนอื่น ๆ เพราะไม่ต้องยัดตัวมันเข้าไปอยู่ในนั้น” ถึงสีหน้าจะเต็มไปด้วยความเศร้าหมองแต่ปากของคิมจงอินก็ไม่ได้ลดหย่อนลงไปสักเท่าไหร่ เซฮุนเม้มริมฝีปากแล้วยื่นบางอย่างให้คนตรงหน้า
“อะไร?”
“รูปของลู่หาน แบคฮยอนฝากผมเอามาให้คุณ”
“เอามาเพื่ออะไร แปะบนหลุมศพเหรอ?” ร่างหนาแค่นหัวเราะแล้วส่ายหน้าหน่าย ๆ แต่ก็ยังก้มดูรูปถ่ายในมือแล้วแอบเบะปากน้อย ๆ
“แล้วแต่คุณครับ จะเอาไปติดกับไม้กางเขน หรือจะเก็บใส่กระเป๋าไว้เป็นที่ระลึกก็ได้”
“ตลกละ” จงอินเอื้อมมือไปผลักหัวคนข้าง ๆ แล้วมองคาดโทษ ไอ้เด็กนี่ตื่นมาก็กวนตีนแต่เช้า
“พอก่อนก็ได้มั้งครับ คุณเล่นขุดคนเดียวแบบนี้ คนอื่นเขาก็ไม่มีอะไรทำกันพอดีสิ”
“ไอ้เด็กพวกนั้นน่ะนะ...” จงอินกระตุกยิ้มมุมปากแล้วโน้มตัวขุดหลุมอีกครั้ง “แค่แรงยกกระสอบข้าวสารยังไม่มี นับประสาอะไรให้มาขุดหลุมฝังศพ วันนึงจะได้ถึงหลุมเปล่าเหอะ” บ่นอุบอิบทั้งที่ยังตั้งหน้าตั้งตาขุดต่อไป เซฮุนยิ้มขำกับความหัวรั้นของคนตรงหน้า เป็นห่วงคนอื่นแล้วยังจะปากแข็ง
“นั่นสินะ เลยต้องให้ผู้ชายถึก ๆ อย่างคุณทำ ดูสิ...ใช้เวลาไม่ถึงแปดชั่วโมงได้เกือบห้าหลุมแล้ว”
“เป็นบ้าอะไร ทำไมวันนี้พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง ห๊ะ โอเซฮุน เป็นบ้าอะไร” ร่างหนาเสียบพลั่วไว้กับพื้นแล้วเสยผมลวก ๆ แล้วเลิกคิ้วมองร่างบาง เซฮุนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะล้วงกระป๋องกาแฟออกมาจากกระเป๋าเสื้อฮู๊ดแล้วยื่นให้ร่างหนา จงอินเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางมองใบหน้าหวานกับกาแฟกระป๋อง
“รับไปสิครับ”
“มีใครเอาไม้ตีหัวมาป่ะถามจริง?” จงอินหรี่ตามองหากแต่ร่างบางกลับอมยิ้มแล้วเปิดกระป๋องกาแฟให้
“มันกำลังอุ่นเลยนะครับ ผมเอาไปแช่กับน้ำร้อนมา รีบดื่มเร็วเข้า” เซฮุนยัดกาแฟกระป๋องใส่มือหนาที่สวมถุงมือเอาไว้ จงอินจ้องร่างบางด้วยหางตาแล้วหลุบมองกาแฟในมือ
“แอบใส่ยาเบื่อลงไปป่ะวะ” พึมพำเบา ๆ แล้วยกกระดกรวดเดียว เซฮุนยิ้มขำแล้วเอาพลั่วที่จงอินเสียบไว้กับกองดินมาช่วยขุดบ้าง แต่ก็ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อถูกห้าม
“หยุด”
“หยุดทำไมครับ ผมจะช่วยขุด คุณไปนั่งพักก่อนก็ได้นะ” เซฮุนยิ้มแล้วทำท่าจะขุดต่อแต่ก็ถูกมือหนารั้งเอาไว้
“จะบ้าเหรอ ขุดมือเปล่าแบบนั้นได้มือเปิกกันพอดีดิ” เซฮุนยืดตัวขึ้นแล้วทำตาปริบ ๆ จงอินถอนหายใจแล้วเหล่มองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
“เอานี่ไป” จงอินถอดถุงมือของตัวเองแล้วยัดใส่มือร่างบาง เซฮุนก้มลงมองถุงมือก่อนจะช้อนตามองอีกฝ่าย
จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มเมื่อเห็นร่างบางทำสีหน้าแปลก ๆ ใบหน้าที่ต่างออกไปจากทุกครั้ง ไม่มีโอเซฮุนเด็กหน้าตายคนนั้นที่คอยโต้ตอบเขาด้วยคำพูดกวนประสาท ตอนนี้มีเพียงแค่โอเซฮุนเด็กยิ้มตาขีดกับแววตาแป๋ว ๆ เท่านั้น
ทำไมอยู่ดี ๆ มันเสือกทำตัวน่ารักขึ้นมา
“ถ้าผมใส่แล้วของคุณล่ะครับจงอิน”
“ก็ไม่ไง ไม่ทำแล้ว อยากทำมากก็ทำไปเลยนะ เดี๋ยวจะนั่งดู” จงอินตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาทก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ใกล้ ๆ เซฮุนอมยิ้มแล้วก้มลงใส่ถุงมือ ถึงคนปากร้ายจะพูดแบบนั้น แต่มันก็โอเคถ้าจะให้จงอินยอมไปนั่งพักบ้าง
“อ้าวเซฮุน?”
เจ้าของชื่อกับใครอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันควับเมื่อเห็นผู้มาใหม่เดินเข้ามากับนักเรียนชายคนอื่น ๆ พร้อมกับพลั่ว เสียม เตรียมพร้อม จื่อเทายิ้มทักทายให้กับคนตัวเล็กกว่าพร้อมกับยีหัวเบา ๆ เป็นการทักทาย ซึ่งทำให้ใครคนหนึ่งที่นั่งมองอยู่ห่าง ๆ รู้สึกคันตีนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“อรุณสวัสดิ์”
“อืม ตื่นเช้าจังเลยนะ” เทายิ้มแล้วสวมถุงมือในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ กำลังกะพื้นที่สำหรับการขุดหลุมฝังศพ
“เช้ากว่าพวกนายแค่ชั่วโมงเดียวเอง”
“โว้ว...ขุดไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ?” เทาหันไปมองหลุมข้าง ๆ ที่ขุดไว้แล้วเรียบร้อย
“ใช่ ฝีมือจงอินน่ะ” เซฮุนชี้ไปยังร่างหนาที่นั่งถ่างขากว้างพร้อมกับเอาแขนทั้งสองข้างพาดไว้กับพนักเก้าอี้แถมยังยักคิ้วกวนอีก พอเทาเห็นอย่างนั้นก็เลยเบะปากแสดงสีหน้าอ้อนตีนไปแบบตั้งใจ
“อะไรมึงทำหน้าแบบนั้น ทึ่งในฝีมือกูก็บอก”
“เออ ทึ่งจริง ๆ แหละ ถ้าไม่บอกว่าเคยทำงานที่อู่ซ่อมรถกูคงคิดว่ามึงเป็นสัปเหร่อมาก่อน”
“ครับ ถ้าจะตายเมื่อไหร่เรียกใช้บริการกูได้ทุกเมื่อนะ” พูดจบก็ได้นิ้วกลางของเทามาเป็นรางวัล
จงอินยิ้มพอใจก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อย ๆ เลือนหายเมื่อหันไปเห็นหลุมฝังศพของลู่หานที่เขาตั้งใจขุดมันเป็นพิเศษ ร่างหนาหยัดตัวลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพ ยืนให้ความเงียบครอบงำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเทาสะกิดเรียกเซฮุนให้หันไปมอง
“เมื่อกี้ยังเห็นมันพูดกวนส้นตีนอยู่เลย”
“สภาพแบบนั้นคงกวนได้ไม่นานหรอก จริง ๆ แล้วฉันว่าเขากำลังฝืนทำตัวปกติเพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงความเสียใจออกมาน่ะ”
“ทำไมล่ะ เสียใจก็บอกว่าเสียใจดิ อยากร้องไห้ก็ร้อง จะฟอร์มจัดไปทำไม” เทาส่ายหน้าแล้วขุดหลุมต่อ
“คนเราไม่เหมือนกัน นั่นน่ะคือนิสัยของเขา นายจะเอาตัวเองมาเป็นจุดศูนย์กลางไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่ได้หมายความแบบนั้น ก็แค่อธิบายเฉย ๆ ว่ารู้สึกยังไงก็แสดงออกมา ฉันคงพูดภาษาเกาหลีไม่รู้เรื่องเองนั่นแหละ โทษที” เทายักไหล่
“แล้วที่นายเสียเพื่อนไปขนาดนั้น นายเสียใจมากหรือเปล่า?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันน่ะเสียใจมาก ๆ เลยล่ะ”
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะฉันก็ยังเห็นนายกวนประสาทได้ดีอยู่ ไม่มีใครเศร้าได้ตลอดเวลา แล้วก็ไม่มีใครหัวเราะได้ตลอดเวลาเหมือนกัน จริงไหม?” เทาหยุดการกระทำแล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังอมยิ้มขณะตั้งอกตั้งใจขุดหลุม
“ออกตัวแทนกันเหลือเกินนะ ว่าไม่ได้เลยเนี่ย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยน่า...” เซฮุนยิ้มขำ
“ดูเหมือนจะมีนายคนเดียวที่ยังยิ้มอยู่ได้ในสถานการณ์แบบนี้” เทาแขวะร่างบางเพราะนึกหมั่นไส้
“ฉันแค่ไม่อยากเศร้าไปกว่านี้น่ะ”
“...”
“ตอนนี้ทุกคนกำลังเสียขวัญ ฉันแค่คิดว่าถ้าคนหนึ่งเศร้า คนหนึ่งก็ต้องยิ้ม” เทาหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย เขาขมวดคิ้วมองร่างบางอย่างไม่เข้าใจ
“ยิ้มไปเพื่ออะไร ในเมื่อใจมันไม่อยากยิ้ม”
“ถ้าเรามีเหตุผลว่าทำไมต้องยิ้ม เดี๋ยวใจมันก็ยิ้มเองนั่นแหละ”
“...”
“จงอินยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน เขาเอาแต่ขุดหลุมจนถึงเมื่อกี้นี้ ฉันคิดว่านั่นคือวิธีบำบัดความเศร้าของเขา”
“...”
“เพื่อนสนิทจากไปทั้งคน เขากำลังเสียหลัก ถ้าฉันไม่อยู่ตรงนี้แล้วใครจะอยู่กับเขาล่ะ”
“...”
“ฉันทำให้เขายิ้มไม่ได้หรอก แต่ถ้าทำให้เขาลืมความเศร้าไปได้ชั่วขณะล่ะก็...ฉันเก่งเรื่องแบบนั้นมากเลยนะ” เซฮุนหัวเราะ “ด้วยการทำให้เขารำคาญน่ะ”
“พิลึกคนว่ะ...” เทาพึมพำแล้วก้มลงขุดหลุมต่อ
ร่างบางหันไปมองใครอีกคนที่กำลังเหน็บรูปถ่ายไว้กับไม้กางเขนตรงหลุมศพ ในตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงไม่ใช่บยอนแบคฮยอนที่เอาแต่ร้องไห้ทุกครั้งที่รู้สึกผิด แต่กลับเป็นคิมจงอินที่เก็บความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ในใจ
แบคฮยอนยังมีคนคอยปลอบ แต่จงอินไม่มีใครสักคน ผู้ชายคนนั้นสนิทกับลู่หานมากที่สุดใคร ๆ ต่างก็รู้ดี และนี่มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปยืนอยู่ข้าง ๆ จงอิน ด้วยความที่ไม่สนิทกันเลย เขาทั้งคู่ต่างคุยกันแบบขอไปที ถึงจะอยู่ด้วยกันตลอดก็เถอะ
แต่มันแปลกจริง ๆ ที่เขาทิ้งผู้ชายคนนี้ให้อยู่ตามลำพังไม่ได้...
“ไปนั่งไป”
ร่างบางสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ คนในความคิดก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เซฮุนปล่อยมือออกจากพลั่วพร้อมกับถอดถุงมือให้อย่างเสร็จสรรพเมื่อร่างหนายื่นมือมา จงอินรับถุงมือไปใส่แล้วเริ่มขุดอีกครั้ง
“แต่ผมเพิ่งขุดไปแค่นิดเดียวเองนะ”
“เห็นนายแล้วขัดหูขัดตา”
“งั้นผมจะไปหาพลั่วอันใหม่มา”
“อย่าหาเรื่อง บอกให้ไปนั่งไง” จงอินเลิกคิ้วมองร่างบางที่เอาแต่จะขัดคำสั่งเขาอยู่นั่น เซฮุนหรี่ตาลงมองด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวนั้น
“พูดง่าย ๆ โตไว ๆ ”
“ครับ ขุดต่อเลย เอาให้หน้ามืดเป็นลมหัวทิ่มกันไปข้าง”
“เออ ทิ่มปุ๊บฝังปั๊บไรงี้” เทาเสริมก่อนจะหัวเราะจนคนถูกแซะหันไปมองด้วยหางตา
“ฝังที่หน้ามึงเถอะครับ แหม...ทีเมื่อวานดราม่าร้องไห้ขี้มูกโป่ง มาวันนี้ดีดดิ้นหัวเราะเป็นไก่ขันเชียวนะมึง” ได้ทีแล้วขอแขวะคืนบ้างหลังจากนั่งให้พวกมันนินทามานาน
“เขาเรียกฟีลลิ่งครับ คนไม่มีหัวใจอย่างมึงคงเข้าไม่ถึงหรอก นี่พูดเลย”
“ฟีลลิ่งตอแหลสินะ” ร่างหนายักไหล่
สุดท้ายก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ไม่มีใครสร้างบรรยากาศใด ๆ อีก ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมฝังศพและปล่อยให้ความเศร้าทำงานในหัว สิ่งหนึ่งที่จงอินกับเทามีเหมือนกันในตอนนี้คือความสูญเสียที่เพิ่งได้พบเจอ พวกเขาต่างกลบเกลื่อนความเศร้าโดยการแสดงออกให้คนอื่น ๆ เห็นว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร
“จงอิน”
“อืม”
“มึงกับไอ้หน้าหวานนั่นเป็นเพื่อนกันมานานแค่ไหนแล้ววะ” เทาเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน จงอินใช้ความคิดพร้อมกับนึกไปถึงวันแรกที่ได้เจอกันก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“ไม่นานหรอก ระยะเวลาก็พอ ๆ กับตอนที่โลกเปลี่ยนไปแล้ว”
“เห็นพวกมึงสนิทกันดี นึกว่ารู้จักกันมาแต่ชาติปางไหน”
“สันดานคล้าย ๆ กันมั้ง มันเป็นคนเดียวที่คุยภาษาเหี้ยรู้เรื่อง” พูดจบก็หันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“นั่นสินะ มันต้องมีสักคนที่พูดภาษาแบบนั้นกับเราได้” เทายิ้มแล้วถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทของเขาที่ตายจากไปแล้ว
“ลู่หานมันเป็นคนยังไงวะ?”
“หืม?”
“เปล่า กูแค่หาเรื่องชวนคุย เงียบมากเดี๋ยวกูร้องไห้” เทาพูดหน้าตาย
“ไอ้หอกนั่นน่ะเหรอ? ชีวิตก่อนหน้านั้นมันเป็นยังไงกูไม่รู้หรอก แต่แม่งฉลาดเอาตัวรอดจนน่าอิจฉา ข้อดีของมันคือสามารถทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องตลกได้...” จงอินเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นท้องฟ้า
“แต่เสือกมาตายเพราะความรัก”
“...”
จงอินหรี่ตาลงเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ ร่างหนาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดแล้วผ่อนออกอย่างช้า ๆ เพื่อผ่อนคลาย เทามองคนข้าง ๆ ก่อนจะหยุดพักแล้วเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามขมับ
“ความรักทำให้คน ๆ หนึ่งยอมตายแทนเพื่อใครอีกคนได้ด้วยเหรอวะ?” จงอินหันไปถามคนข้าง ๆ มันเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมลู่หานถึงได้ทำแบบนั้น
“กูไม่รู้หรอกว่าความรักมันทำให้ยอมตายแทนคนอื่นได้ไหม แต่ที่กูถูกกัด ก็เพราะว่ากูพยายามช่วยครูกาฮีเอาไว้ เพราะเธอคือคนที่กูเห็นเป็นเหมือนแม่คนที่สอง” เทาพูดด้วยแววตาจริงจัง
“...”
“ตอนนั้นในหัวกูไม่ได้คิดเหี้ยไรเลยนอกจากว่ากูจะทำยังไงครูถึงจะรอด จะทำยังไงถึงจะออกไปจากตรงนั้นได้ รู้ตัวอีกทีกูก็ถูกกัดแล้ว”
“...”
“ไม่ว่าจะในฐานะไหน แต่ถ้ามึงยอมตายเพื่อคน ๆ หนึ่งได้เมื่อไหร่ แสดงว่ามึงรักเขามากยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง”
“...” จงอินนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำสอนจากเด็กที่อายุน้อยกว่า
ทั้งที่เขาผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากมาย มีทั้งสุข เศร้า ผิดหวัง เสียใจ ทุกอย่างล้วนผ่านพ้นมาแล้วทั้งนั้น เรื่องความรักก็ด้วย แต่มันไม่เคยมีอยู่ในหัวเขากับเรื่องที่ต้องตายแทนใครสักคน เพราะคนอย่างคิมจงอินคิดอยู่เสมอว่าคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของตัวเองอีก
ร่างหนาเงียบไปชั่วอึดใจ เขาหันไปหาใครอีกคนที่นั่งมองเขาอยู่ตรงม้านั่งแล้วก็ทิ้งพลั่วลงก่อนจะถอดถุงมือทิ้งบนพื้น
“ฉันจะไปสำรวจข้างนอกสักหน่อย อยากไปด้วยกันไหม?”
ทั้งคู่ขับรถออกมาจากโรงเรียนเพื่อออกไปสำรวจพื้นที่บริเวณนี้ เซฮุนหันไปมองคนข้าง ๆ เป็นระยะในขณะที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ใจนึงก็เป็นห่วงเพราะจงอินยังไม่ได้นอน แต่อีกใจก็ไม่อยากขัด ตอนนี้เรื่องฝังศพนักเรียน ชานยอลกับอี้ฟานเป็นคนอาสารับผิดชอบ เพราะมีสองคนนั้นเขาถึงได้โล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่ที่ยังเป็นกังวลก็คงเป็นคนข้าง ๆ นี่แหละที่ยังทำตัวแปลก ๆ จนกระทั่งวินาทีนี้
เขาสองคนขับสำรวจหนทางมาเกือบชั่วโมงแล้ว ดูเหมือนว่าจงอินกำลังหาเป้าหมายที่จะมาหาเสบียงในคราวหน้าอยู่เพราะเขาเริ่มชะลอรถลง ร่างหนาหันไปมองรอบข้างราวกับสังเกตและจดจำหนทางแล้วก็เริ่มออกรถอีกครั้ง
“ผมขับให้ไหม?”
“ทำไม กลัวฉันหลับในแล้วพาแหกโค้งหรือไง?”
“ใช่ครับ อุตส่าห์โชคดีไม่ตายเพราะถูกกัดแล้ว” เซฮุนยิ้มหากแต่คนข้าง ๆ กลับมองเขาด้วยความหมั่นไส้แถมยังผลักหัวอีก
กึก...กึก...!!
หน้าของเขาทั้งคู่โงนเงนไปข้างหน้าทุกครั้งที่รถกระตุก หลังจากนั้นก็พบกับข่าวร้ายเมื่อเครื่องยนต์ดับลงเองโดยที่เขาไม่ได้บิดกุญแจ จงอินสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะทุบพวงมาลัยไปทีหนึ่ง
“เวรเอ๊ย ลืมดูน้ำมันอีกกู”
“น้ำมันหมดเหรอครับ?”
“ใช่ เกลี้ยงด้วย” จงอินนวดขมับเพราะรู้สึกเฟลกับตัวเองมากถึงมากที่สุด เขาไม่เคยสะเพร่าแบบนี้มาก่อนและยิ่งเป็นเรื่องรถแล้ว แต่เป็นเพราะว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยทำให้เบลอไปหน่อย
“เราคงต้องเดินกลับแล้วล่ะ”
“เดินกลับ?” เซฮุนเบิกตากว้างแล้วหันควับกลับไปมองข้างหลังแล้วก็พบว่าเป็นถนนเส้นยาวที่มีป่าอยู่รอบข้างเท่านั้น ไม่มีรถให้ขโมยเลยสักคัน
“คิดว่าออกกำลังกายแล้วกัน” จงอินพูดแล้วหยิบปืนมาเหน็บหลังก่อนจะเปิดประตูรถออกไป ร่างหนาเท้าสะเอวมองไปรอบทิศแล้วก็นึกท้ออยู่ในใจ นี่ก็ขับออกมาไกลพอสมควรแล้วและถ้าให้เดินกลับมีสิทธิ์ง่อยแดกแน่ ๆ
“เดินไปอีกสักหน่อยน่าจะเจอหมู่บ้าน ไหวเปล่าวัยรุ่น?” จงอินหันไปแซะคนข้าง ๆ ที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้ เซฮุนพยักหน้าหงึกแล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินไปด้วยกัน
“ให้ความรู้สึกเหมือนตอนไปเดินทางไกลกับโรงเรียนเลย” เซฮุนยิ้ม นั่นทำให้จงอินขมวดคิ้วมอง ไอ้เด็กนี่มันเป็นอะไร ยิ้มอยู่ได้ทั้งวัน...
“ชอบเหรอ ฉันว่ามันงี่เง่าที่จะต้องไปเดินอะไรแบบนั้น”
“ก็ไม่ได้ชอบหรอกครับ แต่การที่มีคนเดินไปเป็นเพื่อน คุยกันระหว่างทางแบบนี้มันก็ดีกว่าเดินคนเดียว”
“ท่าจะมีเพื่อนเยอะ”
“ก็พอสมควรครับ”
“วัน ๆ ทำไรบ้างนอกจากเรียน ๆ นอน ๆ ” พอได้ยินที่จงอินถามเซฮุนก็ชะเง้อหน้ามองด้วยความสงสัยจนกระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัว “มองอะไร?”
“เปล่าครับ ผมแค่แปลกใจที่คุณถามเรื่องส่วนตัวของผมน่ะ”
“ก็แค่ชวนคุยฆ่าเวลาเท่านั้นแหละ เห็นคนแถวนี้บ่น ๆ ว่าถ้ามีคนคุยด้วยมันคงดีกว่าเดินคนเดียว”
“เป็นห่วงผมเหรอ?” เซฮุนยังคงชะเง้อหน้ามองอีกฝ่าย จงอินเหล่มองคนข้าง ๆ ก่อนจะดันหน้าร่างบางออกด้วยความหมั่นเขี้ยว
“เงียบปากไปเลยไป”
“ล้อเล่นน่ะครับ...” เซฮุนอมยิ้ม “ชีวิตผมก็เหมือนกับเด็กทั่วไปน่ะ เรียนเสร็จก็ไปเล่นเกมกับเพื่อน เล่นกีฬาบ้าง กลับถึงบ้านก็นอน ตื่นไปเรียน ทำแบบนั้นซ้ำ ๆ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก แล้วคุณล่ะครับจงอิน?”
“กินเหล้า ซ่อมรถ เอากับผู้หญิง”
“ชัดเจนดี” เซฮุนหุบยิ้มแล้วกระชับกระเป๋าเป้ จงอินเหล่มองคนข้าง ๆ อีกครั้งแล้วก็ลอบยิ้มออกมา
“อิจฉาอ่ะดิ”
“อิจฉา?” เซฮุนเลิกคิ้วมองคนที่กำลังยิ้มกวนประสาทเขาอยู่
“ใช่ไง เพราะเวลาแบบนี้คงไม่มีผู้หญิงที่ไหนมาพลีกายให้นายอึ้บแล้วล่ะ”
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ บางทีอาจจะมีผู้หญิงสักคนที่อยากจะมีอะไรกับผมก็ได้” เซฮุนตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก สุดท้ายก็วกเข้าเรื่องนี้จนได้
“แล้วผู้หญิงสักคนที่ว่านั่นมันอยู่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้ครับ ผมแค่พูดขึ้นมาเฉย ๆ ขนาดคุณยังมีผู้หญิงมานอนด้วยได้เลย หน้าตาผมก็ไม่ได้แย่อะไร ก่อนหน้านี้สาว ๆ ที่โรงเรียนชอบผมตั้งเยอะ” พูดคุยทับเพื่อให้อีกคนรู้สึกอิจฉาแล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลซะด้วยเมื่อจงอินมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจ
“แล้วไง? คนพวกนั้นก็ตายห่าไปหมดแล้วป่ะ แล้วในสมองของคนที่ตายแล้วก็จำอะไรไม่ได้ เชื่อสิว่าถ้าพวกเธอเจอนายอีกครั้ง คงกรี๊ดกร๊าด วิ่งเข้ามารุมแย่งกินตับไตไส้พุงของนายแทบไม่ทัน ‘เซฮุนโอป้า ขอแดกตับหน่อยค่า’ ” จงอินดัดเสียงจนคนข้าง ๆ หลุดหัวเราะออกมา
“ก็ไม่เป็นไรครับ...ผมหมายถึงผู้หญิงที่ยังมีชีวิตอยู่น่ะ”
“ในเวลาแบบนี้ยังจะคิดถึงเรื่องผู้หญิงอยู่อีกเหรอ?”
“หรือคุณไม่คิด?”
“ไม่คิด” ร่างหนาตอบชัดถ้อยชัดคำแล้วล้วงกระเป๋ากางเกง
“ว๊าว ทั้งที่เมื่อวานก่อนยัง...”
“อยากโดนจูบอีกใช่ไหม?” จงอินชี้หน้าคาดโทษคนข้าง ๆ ที่พูดกวนประสาทเขาไม่หยุดไม่หย่อน เซฮุนเม้มปากแน่นแล้วมองตามแผ่นหลังของร่างหนาที่กำลังเดินหน้าไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รอเขาเลย ร่างบางรีบวิ่งตามไปพร้อมกับผ่อนจังหวะการเดินให้เท่า ๆ กัน
“ง่วงมากเหรอครับ?” เซฮุนถามเมื่อเห็นจงอินอ้าปากหาวหวอด ๆ
“ฉันเคยไม่นอนทั้งวันแต่ตอนนั้นอยู่ได้เพราะเครื่องดื่มชูกำลังกับกาแฟเซเว่น”
“โอ้...คุณดื่มกาแฟนั่นลงด้วยเหรอ?”
“เออดิ ดีดยิ่งกว่าม้าอีก” จงอินบ่นอุบอิบ
“นั่นได้ชื่อว่าเป็นกาแฟกรรมกรเลยนะ”
“ตอนนั้นรู้สึกว่าอยู่แต่งรถให้เพื่อนแล้วก็นั่งก๊งเหล้ากันต่อ เล่นไม่หลับไม่นอน เครื่องดีดกันถึงสี่โมงเย็นของอีกวัน แต่พอได้นอนนะ...หลับตายข้ามวันข้ามคืนเลยล่ะ” จงอินหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องบ้า ๆ ของตัวเองและเซฮุนก็เช่นกัน
ทั้งคู่หยุดเดินเมื่อเห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พอเดินเข้าไปก็เห็นมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ฮาร์เล่ย์จอดอยู่ จงอินหันไปข้างหลังแล้วแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปากตัวเองเพื่อบอกให้อีกฝ่ายเงียบ ๆ ซึ่งเซฮุนก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย
รองเท้าหนังหุ้มข้อสีน้ำตาลค่อย ๆ เหยียบลงบนแผ่นไม้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเพราะความเก่าแก่ของตัวบ้าน มือหนาดันประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ แล้วก็พบว่าข้างในมีสภาพปกดีทุกส่วนยกเว้นโต๊ะกับโซฟาหน้าทีวีที่มีซากขวดเหล้าเบียร์เละเทะไม่เหลือชิ้นดี อีกทั้งยังมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นอีก
จงอินเปิดกระเป๋าออกเพียงเล็กน้อย จังหวะนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองบันไดชั้นสองเป็นระยะ ข้างในกระเป๋ามีอาหารหมาอยู่จำนวนหนึ่ง เขาหันไปมองเซฮุนแล้วก็ได้คำตอบเมื่อร่างบางเดินกลับมาพร้อมกับอาหารหมาที่ถูกเปิดกินไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“ไอ้หมอนี่คงกินมันเพื่อประทังชีวิต”
“...” เซฮุนเบ้ปากแล้ววางอาหารหมาลงบนบาร์ที่ทำด้วยไม้ จงอินเล็งปืนไปข้างหน้าขณะก้าวขาขึ้นไปบนชั้นสอง แต่ก็ต้องหยุดยืนกับที่เมื่อพบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่กับเชือกที่ผูกรอบคอเขาเอาไว้
“...”
สภาพชายหนุ่มผมยาว หน้าซีดเซียว เสื้อหนังสือดำเข้ากับกางเกงยีนส์นั่นบ่งบอกให้รู้ว่ารถช็อปเปอร์ฮาร์เล่ย์ที่จอดอยู่หน้าบ้านคงเป็นของไอ้หมอนี่ พอหันไปทางซ้ายก็พบกับกรอบรูปที่ติดอยู่ข้างผนังซึ่งดูแล้วเค้าโครงหน้าและการแต่งตัวมันช่างต่างกับผู้ชายผมยาวนั่นเสียเหลือเกิน
“ไอ้หมอนี่คงแวะพักระหว่างทาง แต่ดูเหมือนว่าจะท้อซะก่อน” จงอินเหน็บปืนไว้ข้างหลังแล้วเดินเข้าไปหาศพที่ยังคงดิ้นอยู่กับเชือก
“เขาฆ่าตัวตาย”
“ใช่ โง่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” จงอินก้มลงเก็บกระดาษใบหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะแค่นหัวเราะเบา ๆ
“สวัสดี ฉันชื่อยูนฮงรยู ฉันคือตำนาน คนมากมายรู้จักฉัน แต่ตอนนี้พวกเขาคงลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดสิ้นแล้วแม้กระทั่งชื่อของตัวเอง โลกใบนี้มันช่างน่าสะอิดสะเอียนเสียเหลือเกิน การที่ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้ไม่ใช่ฉันเลยสักนิด ไอ้ลูกชายของฉันจอดอยู่หน้าบ้าน เขาชื่อวิลเลียม ถ้านายจะเอาไปล่ะก็ช่วยดูแลรักษาให้เป็นอย่างดีด้วย ขัดถูให้สะอาดเงาวับ จูบกุ๊ดไนท์สวีทดรีมทุกคืน ส่วนกุญแจ...มันอยู่ในกระปู๋ฉันเองว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า...ไอ้เวรเอ๊ย” ประโยคหลังที่สบถออกมาด้วยความหมั่นไส้
จงอินเงยหน้าขึ้นมองร่างผีดิบที่ยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่ใต้เชือกแล้วก็อยากจะระเบิดหัวมันสักทีแต่ก็เสียดายกระสุน เซฮุนทำท่าจะเดินเข้าไปเปิดกางเกงผีดิบตัวนั้นแต่ถูกร่างหนารั้งไว้ซะก่อน
“จะทำอะไร?”
“เอากุญแจรถไงครับ?”
“ไม่ต้อง มันสกปรก” เจ้าตัวว่าก่อนจะเข้าไปปลดเข็มขัดหนังเนื้อดีออกแล้วเบี่ยงตัวออกมาด้วยท่าทีรังเกียจ ส่วนเซฮุนได้แต่ยืนยิ้มขำอยู่ข้างหลัง
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ ผมก็ผู้ชายเหมือนกัน เรื่องแค่นี้ไม่ซีเรียสหรอก”
“อย่าเถียงน่า บอกว่ามันสกปรกไงพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ”
“โอเค รู้เรื่องครับ...” เซฮุนหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของจงอินที่เหมือนจะอ้วกแตกตอนกำลังเอามีดกรีดกางเกงยีนส์ของผีดิบตัวนั้นจนกระทั่งกุญแจร่วงลงมาบนพื้น
“แม่งเอ๊ย” เขาสบถออกมาแล้วถอนหายใจ จงอินหันไปเอาผ้าที่อยู่ข้าง ๆ มาเก็บกุญแจก่อนจะเดินลงไปเข้าห้องน้ำข้างล่างเพื่อล้างความโสโครกอกไป
“จะตายห่าแล้วยังกวนตีนอีก” เซฮุนยืนกอดอกพิงกับประตูพลางมองคนตรงหน้าที่ยังคงบ่นเป็นหมีกินผึ้งขณะล้างกุญแจ
“ผมไปเอาเหล้ามาฆ่าเชื้อให้ไหม?”
“เงียบไปเลย!”
“ฮ่า ๆ ”
“ไม่ต้องมาขำ ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ให้นายเอามือล้วงเข้าไปในกระปู๋ของมันน่ะ”
“แล้วทำไมไม่ให้ผมทำแบบนั้นล่ะครับ” จงอินชะงักเมื่อเซฮุนยิงคำถามแบบนั้น เขาหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังรอคำตอบแล้วก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบาง
“ไม่บอกหรอก”
เสียงแผ่วเบาคล้ายจะกระซิบบอกก่อนจะเดินสวนออกไปข้างนอก เซฮุนเม้มปากแน่นพร้อมกับหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะเอี้ยวตัวหันหลังเดินตามอีกคนไป จงอินขึ้นไปนั่งบนช็อปเปอร์ฮาร์เลย์พร้อมกับสตาร์ทเครื่อง สีหน้าของเขาดูพอใจมากที่จะไม่ต้องเดินต่อไปอีก ใบหน้าคมเงยขึ้นมองร่างบางก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกแล้วตบเบาะหลังเป็นเชิงให้ไปนั่งซ้อนท้าย เซฮุนยิ้มแล้วขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย
“ไม่ได้ขับมอไซค์นานแล้วนะเนี่ย”
“ผมไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์เลยครับจงอิน”
“เหรอ งั้นแสดงว่าฉันเป็นคนแรกสำหรับนายน่ะสิ?” ใบหน้าคมเอี้ยวหันกลับมามองคนข้างหลังเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มทะเล้น
“...” เซฮุนไม่ตอบ ทั้งที่ในความรู้สึกมันบอกว่าจงอินเป็นครั้งแรกสำหรับในหลาย ๆ เรื่องของเขา
“เกาะแน่น ๆ ล่ะ”
“ครับ” ร่างบางขานตอบรับพร้อมกับกำเสื้อตรงช่วงเอวของคนตรงหน้าเอาไว้ จงอินก้มลงมองมือเรียวของอีกฝ่ายแล้วก็จับมากอดเอวตัวเองเสียดื้อ ๆ
“...”
“พูดผิดน่ะ เมื่อกี้จะฉันบอกให้นายกอดแน่น ๆ ต่างหาก”
เซฮุนหน้าแดงขึ้นมาได้ง่าย ๆ กะอีแค่ประโยคบ้า ๆ ของคนบ้า ๆ ร่างบางหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะค่อย ๆ ประสานมือไว้กับเอวของจงอิน ลมเย็น ๆ พัดผ่านทำให้รู้สึกดีกับประสบการณ์ใหม่ ๆ มอเตอร์ไซค์ที่เขาไม่เคยนั่งมันให้ความรู้สึกต่างจากรถยนต์อย่างสิ้นเชิง
“เงียบทำไม”
“ครับ?”
“พูดต่อสิ”
“พูดเรื่องอะไรครับ เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกให้ผมหุบปากนี่” เซฮุนถามพลางมองท้ายทอยของคนตรงหน้า
“ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ฉันอยากให้นายพูด เพราะเสียงของนายมันทำให้ฉันรำคาญจนง่วงไม่ลง” เซฮุนอมยิ้มเมื่อได้ยินคนปากแข็งพูดกัดจิกเขาอีกครั้ง
“ผมก็มีเรื่องตลกเหมือนกันนะ”
“อย่างนายน่ะนะมีเรื่องตลกกับเขาด้วย”
“ใช่ คุณอยากฟังไหม?”
“เอาดิ แต่ถ้าไม่ตลกฉันจะจอดรถแล้ววิ่งไล่เตะก้นนายแน่โอเซฮุน”
TBC
เขียนตอนง่วงสุด ๆ เพราะช่วงนี้ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดเลยค่ะ ถึงห้องก็สองทุ่มกว่าจะทำอะไรเสร็จก็สามทุ่ม เหนื่อยมากโลย แต่ก็อยากมาอัพอ่ะ คือพล๊อตเต็มหัวแต่สมองมันไม่ทำงาน TT_TT วันพฤหัสถึงจะว่าง อดใจรออีกนิดนะคะ ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจฟิคเรื่องนี้ขนาดนี้ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ
ส่วนใครที่คิดถึงฟิคเรื่องนี้มาก ไปอ่านใหม่อีกรอบได้นะคะ เก็บรายระเอียด 5555 เห็นว่ามีหลายคนแอบอ่านข้ามเพราะกลัว
ปล.ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกการเวิ่นเว้อในทวิต ทุกการแชร์ลิงค์ให้เพื่อนอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ เรามาเป็นทาสซอมบี้กันเถอะค่ะ
Welcome to Zombie Line *อ้าแขนออกกว้าง*
ง่วงมาก สติไม่เหลือแล้ว TVT #ficzombie
ความคิดเห็น