คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : Chapter 25 :: Decision
Chapter 25
Decision
กว่าจะเคลียร์ผีดิบในหอพักหญิงเสร็จเรียบร้อยก็ปาไปหลายชั่วโมง ตอนนี้ทุกคนรวมถึงเด็กนักเรียนบางส่วนต่างทยอยเข้ามาในหอหญิงเพื่อขนย้ายซากศพออกมากองไว้ในลานอเนกประสงค์ก่อนที่จะเอาไปเผาทิ้งข้างนอก
อี้ฟานกับเทาช่วยกันโยนซากศพลงมาจากชั้นสี่โดยมีฟูกเก่า ๆ วางรองรับเอาไว้กันไม่ให้ร่างเด็กสาวแต่ละคนเละกระจายตอนร่วงลงมาข้างล่าง ส่วนชั้นสามจงอินกับเซฮุนรับผิดชอบและก็ใช้วิธีโยนศพลงมาเช่นกัน หากจะขนย้ายศพเด็กผู้หญิงเหล่านี้ลงทางบันไดเชื่อว่าพรุ่งนี้ก็คงไม่เสร็จ นี่ถือว่ายังดีที่เด็กนักเรียนชายคนอื่น ๆ ยังแสดงความมีน้ำใจยื่นมือเข้ามาช่วย ไม่อย่างนั้นเรื่องเคลียร์ซากศพคงเสร็จตอนฟ้ามืดแน่
“เอาเลย!”
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าฟูกเก่า ๆ ตะโกนบอกก่อนจะถอยหลังออกไป พอเห็นเทากับอี้ฟานโยนศพลงมาข้างล่างเขากับเพื่อนอีกคนก็รีบไปประคองหัวท้ายเพื่อย้ายศพออกไปวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
แบคฮยอนเดินเข้ามาในตึกพร้อมกับผ้าปิดปากสีขาวที่แวะไปเอามาจากห้องพยาบาล เด็กหนุ่มยื่นให้กับคนที่กำลังช่วยกันทำความสะอาด
“ขอบใจ” ลู่หานยิ้มแบบขอไปทีพลางมองหน้าคนตัวเล็กที่ยื่นผ้าปิดปากให้ แบคฮยอนยิ้มตอบก่อนจะเดินสวนไป ร่างโปร่งเอี้ยวตัวหันไปข้างหลังแล้วก็เห็นแบคฮยอนยืนคุยกับชานยอลอยู่
“ขอบคุณครับ” ชานยอลยิ้มบาง ๆ แล้วก้มลงมองมือตัวเองที่สวมถุงมือยางที่เลอะไปด้วยคราบเลือดสีดำที่เกิดจากการขนย้ายซากศพ
“ผม...ช่วยใส่ให้นะ” แบคฮยอนก้ม ๆ เงย ๆ ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อเมื่อร่างสูงพยักหน้าเป็นคำตอบ ชานยอลโน้มใบหน้าลงมาเล็กน้อยเพื่อให้คนตัวเล็กใส่ผ้าปิดปากให้ได้ถนัด พอเห็นแบบนั้นลู่หานก็ก้มลงมองมือตัวเองบ้าง
“...”
“งั้นผมขึ้นไปบนชั้นสองก่อนนะ”
ถึงจะเป็นประโยคธรรมดาแต่สายตาแบคฮยอนก็ยังมองชานยอลต่างจากที่มองคนอื่นอยู่ดี ร่างสูงพยักหน้ารับ สิ่งที่หมอนั่นควรทำคือหันหน้าเข้าหาศพที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าอยู่บนพื้น ไม่ใช่ยืนละลายแบคฮยอนด้วยสายตาแบบนั้น
ตอนนี้ที่ชั้นหนึ่งฝั่งปีกซ้ายมีเพียงแค่เขากับชานยอลเท่านั้น ถึงจะมีเด็กนักเรียนเดินผ่านไปผ่านมาบ้างเป็นบางช่วงแต่ก็ไม่ช่วยคลายบรรยากาศกดดันระหว่างเขาสองคนได้เลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ลู่หานรู้สึกว่าการเห็นหน้าปาร์คชานยอลมันเป็นเรื่องน่าอึดอัด หลายครั้งที่เขานึกอยู่ในใจว่า ‘มึงมาทำอะไรที่นี่?’
ก็เพราะเขาเห็นมันเป็นมารหัวใจสินะ?
“คุณไปนั่งพักก่อนก็ได้นะครับ” เป็นชานยอลที่เปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน คนที่กำลังหิ้วปีกศพเด็กสาวอยู่ถึงกับชะงัก ลู่หานหันไปมองอีกคนที่ยังคงหันหลังให้เขาแล้วก็วางศพลง
“สีหน้าคุณไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” ชานยอลหันมามองอีกฝ่าย แววตาคู่นั้นเหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“ฉันสบายดี”
“ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” คงต้องขอบคุณผ้าปิดปากที่ช่วยไม่ให้เขาเห็นริมฝีปากหมอนั่น ถ้าเกิดปาร์คชานยอลกำลังยิ้มอยู่ มันคงเป็นรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในโลกเขาคิดอย่างนั้น
“ปาร์คชานยอล”
“เรียกซะเต็มยศเลยนะ” น้ำเสียงเอื่อยราวกับไม่ยี่หระ ร่างสูงลากศพออกมาวางไว้ข้าง ๆ ลู่หานก่อนจะดึงผ้าปิดปากลงขณะสบตากับอีกฝ่าย
“เมื่อคืนนายขึ้นไปหาแบคฮยอนตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“คุณอยากรู้ไปทำไมเหรอครับ?” ชานยอลไม่ได้ชะงักกับคำถามที่มาจากน้ำเสียงห้วน ๆ ของอีกคนเลยสักนิด หนำซ้ำแล้วเขายังยิ้มให้กับลู่หานอีกต่างหาก
“ทุกครั้งที่เกิดคำถาม ก็เพราะว่าอยากรู้คำตอบป่ะวะ?”
“พอรู้ว่าแบคฮยอนอยู่ข้างบนนั้นตามลำพังผมก็ขึ้นไปทันทีครับ” ร่างสูงตอบแบบตรงไปตรงมาแต่ยังไงก็ดูกวนประสาทในสายตาเขาอยู่ดี
“หยุดทำสีหน้าแบบนั้นสักทีเถอะ”
ชานยอลหยุดยืนอยู่กับที่ ใบหน้าคมก้มลงมองถุงมือยางเขาค่อย ๆ ดึงมันออกอย่างใจเย็นแล้วโยนทิ้งลงในถุงดำ
“คุณกำลังทำให้บรรยากาศมันตึงเครียดกว่าที่เป็นอยู่นะลู่หาน”
“มันก็ควรจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?”
“ไม่เลย มันไม่ควรเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ”
“นายรู้ทุกอย่าง” ลู่หานมองไปยังใครอีกคนที่ยืนหันหลังให้กับเขา “นายรู้ แต่นายก็ยังทำแบบนั้น”
“ทำแบบนั้น...” ร่างสูงทวนคำพูดเบา ๆ เขารู้ดีว่า ‘ทำแบบนั้น’ ที่ลู่หานหมายถึงคืออะไร
“แบคฮยอนไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นเลิกทำตัวเป็นผู้ชายแสนดีสักทีเถอะ”
ความเงียบโรยตัวเมื่อเด็กนักเรียนสามคนเดินเข้ามาช่วยกันแบกศพออกไป เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขารู้สึกมันจะทำให้ปาร์คชานยอลลำบากใจหรือเปล่า เพราะสิ่งที่หมอนั่นทำกับเขา มันก็ไม่ต่างกันนักหรอก
ที่เทคแคร์แบคฮยอนออกหน้าออกตาแบบนั้นน่ะ...ก็เพราะจงใจอยากให้เขาเห็นสินะ
“ผมต้องทำตัวแบบไหนถึงจะถูกใจคุณเหรอครับ” ร่างสูงก้มลงมัดปากถุงดำที่อัดเต็มไปด้วยซากขยะ
“ฉันไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้นายก็อาลัยอาวรณ์เมียจะเป็นจะตาย กินไม่ได้นอนไม่หลับ โกรธแบคฮยอนจนแทบไม่อยากมองหน้าแต่ตอนนี้มันคืออะไรวะ?”
“...”
“นายไม่คิดบ้างเหรอว่าแบคฮยอนมีความรู้สึก สิ่งที่นายทำทุกอย่างมันเหมือนกับให้ความหวังเด็กนั่น”
“...”
“ถึงนายจะรู้สึกดี แต่ฉันเชื่อว่าที่นายรู้สึกกับแบคฮยอนมันไม่ใช่ความรัก”
ปาร์คชานยอลมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนอย่างเขานักหรอก มันก็แค่เงียบปากจนดูเหมือนเป็นคนดีเท่านั้น แต่สิ่งที่มันทำก็ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นเหมือนกันนั่นแหละวะ
ร่างสูงเอี้ยวตัวหันมามองอีกฝ่ายและที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นเท่าตัวก็คือริมฝีปากของชานยอลที่ยังคงยกยิ้มอยู่อย่างนั้นแม้ว่าเขาจะสาดคำพูดเห็นแก่ตัวออกไป ขายาวก้าวเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ ร่างโปร่ง ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ ๆ ใบหูก่อนจะกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
“แล้วที่คุณรู้สึกกับแบคฮยอนและมินซอกพร้อม ๆ กันนั่นเรียกว่าอะไรเหรอครับ?”
“...”
ชานยอล...มันรู้เรื่องของเขากับมินซอกได้ยังไง?
“ก่อนจะจัดการชีวิตคนอื่น...ผมว่าคุณน่าจะเอาเวลาไปเคลียร์ปัญหาของตัวเองให้มันเรียบร้อยก่อนดีกว่านะครับ” เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่กลับก้องอยู่ในหัวเขา
“ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะถูกเลือก...รู้ตัวบ้างหรือเปล่า?”
“...”
ร่างโปร่งก้าวขาไม่ออกแม้ว่าใครอีกคนจะเดินออกไปจากตรงนั้นแล้วก็ตาม...วูบหนึ่งใบหน้าของปาร์คชานยอล ผู้ชายเย็นชาที่เคยฆ่าบยอนแบคฮยอนด้วยคำพูดเมื่อนานมาแล้วค่อย ๆ ฉายขึ้นมาในหัว
‘ทำไมล่ะบยอนแบคฮยอน แค่นี้ถึงกับกลัวขึ้นสมองเลยหรือไงหื้ม?’
‘ไม่เอาน่าชานยอล นายก็รู้ว่าแบคฮยอนเป็นยังไง’
‘แน่นอน ผมรู้ว่าบยอนแบคฮยอนเป็นคนปอดแหกและกลัวตายมากแค่ไหน...’
เขาแทบลืมไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้แสนดีอย่างที่คิดเอาไว้...
“เหนื่อยเลยนะคะ” ปาร์คกาฮียื่นขวดน้ำให้ทุกคนที่เดินกลับมาในสภาพเหงื่อโชก จงอินเทน้ำใส่หัวตัวเองเพื่อดับความร้อนแต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกคนข้าง ๆ ฟาดเข้าเต็มแรง
“ตีทำไมเนี่ย?”
“คุณไม่สบายอยู่นะครับ”
“ก็มันร้อนนี่หว่า” ร่างหนาพึมพำแล้วทำท่าจะราดหัวตัวเองอีกครั้งแต่ก็ต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้นเมื่อเซฮุนเพ่งมองมาที่เขา
เธอยืนมองชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่เป็นเหมือนกับผู้นำของโรงเรียนในตอนนี้แล้วก็นึกขอบคุณจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงกับสิ่งที่พวกเขาทุ่มเทให้กับโรงเรียน คิ้วเรียวขมวดมุ่น กาฮีมองหาใครอีกคนที่ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ แต่พอหันหลังกลับไปก็เห็นอี้ฟานยืนใช้ความคิดอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะอี้ฟาน?” ร่างสูงหลุดออกจากความคิดก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้กับคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขายกเว้นลู่หานที่นั่งอยู่ห่าง ๆ ส่วนเซฮุนและแบคฮยอนกำลังเล่นกับลูกหมาอยู่ในลานอเนกประสงค์
“ไม่มีอะไรครับ”
“คงไม่ได้ถูกกัดหรอกนะ?” จงอินก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจร่างกายอีกคน
“ผมแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“แต่สีหน้าคุณไม่ค่อยดีเลย แน่ใจเหรอคะว่าไม่มีอะไรจริง ๆ ?” ปาร์คกาฮีถามด้วยความเป็นห่วง อายุของเธอก็ไม่ใช่น้อย ๆ จากสิ่งที่เห็นมันก็พอทำให้ได้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“ผมจะพูดยังไงดี”
“เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ถ้ามันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็เล่ามาเถอะนะคะ” ปาร์คกาฮียิ้มก่อนที่ร่างสูงจะหันไปมองคนอื่น ๆ ที่กำลังยืนรอคำตอบจากเขา
“ผม...” อี้ฟานเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งแล้วหายใจออกมา “ผมคิดว่าเราควรจะหาที่อยู่ใหม่”
“...”
“...”
“...”
ทุกคนอึ้งหลังจากได้ยินอี้ฟานพูด จงอินหันไปส่งซิกเรียกให้ลู่หานกับคนอื่น ๆ เดินมาสมทบเพราะคิดว่าทุกคนควรรับรู้และร่วมออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
“จริงอยู่ว่ายังมีข้าวโพดให้เก็บอีกเยอะ แต่อาหารกระป๋อง หรืออาหารอย่างอื่นที่พอจะทานได้มันก็หายากเข้าไปทุกทีแล้ว”
“มันก็ถูกของคุณ แต่ของพวกนั้นก็ทำให้เราอยู่ไปได้อีกนานเลยไม่ใช่เหรอ?” เทาแย้งขึ้นมา แน่นอนว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดจะหนีไปจากที่นี่
“ข้าวโพด กล้วย ปลาในบ่อน้ำจะทำให้เราอยู่ไปได้อีกสักพักหนึ่ง แต่คุณอย่าลืมว่าในเมื่อละแวกนี้ไม่มีเสบียงหลงเหลือให้เก็บแล้วเราก็ต้องออกไปไกลยิ่งกว่าเดิมนั่นก็หมายความว่าเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงตายต้องเพิ่มมากขึ้น ไหนจะเรื่องน้ำดื่มน้ำใช้อีก ผมขึ้นไปดูมาแล้ว แทงค์น้ำบนดาดฟ้าหอหญิงไม่ได้มีน้ำเหลือให้ใช้เต็มถังหรอกนะครับ”
“...”
“ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เราก็ต้องย้ายกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้อยู่ดี” ทุกคนต่างเงียบเมื่อได้ยินข่าวร้ายจากปากอี้ฟาน ไม่มีใครเคยคิดมาก่อนว่าปัญหามันจะมีมากมายขนาดนี้ ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าถ้าหากเคลียร์ตัวกินคนจากหอหญิงออกได้พวกเขาก็คงสบายไปอีกพักใหญ่
“ผมแค่พูดไปถึงอนาคตซึ่งเรามองข้ามมันไปไม่ได้ พวกคุณเข้าใจสิ่งที่ผมอยากจะสื่อหรือเปล่า?” อี้ฟานพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจแต่ก็มีแค่บางคนที่พยักหน้ารับ
“อี้ฟานพูดถูกนะ ทุกวันนี้ปัญหาหลัก ๆ คือเรื่องกิน เราไม่สามารถปักหลักอยู่ที่ไหนสักแห่งไปได้ตลอดชีวิตหรอก” จงอินเสริม
“หมายความว่าเราจะต้องย้ายไปจากที่นี่เหรอครับ?” แบคฮยอนถาม
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” พูดจบอี้ฟานก็หันไปมองหน้าปาร์คกาฮีกับเทาที่ดูเหมือนจะเป็นกังวลกับเรื่องที่ได้รับรู้มากที่สุด
“คุณดูสิ ตัวกินคนทยอยกันมาเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าเราจะจัดการมันไปแล้วก็ตาม” ร่างสูงมองไปยังประตูหลังโรงเรียน พวกผีดิบสี่ห้าตัวกำลังเขย่าประตูหวังจะพังเข้ามา “ถ้าพวกมันมาเยอะกว่านี้ประตูคงพังแน่”
“ถ้าพวกมันมา เราก็แค่ฆ่ามันเหมือนกับที่เคยทำก็ได้นี่ ไม่เห็นจะยากอะไร” สีหน้าของเทานิ่งเฉย เขารู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่อี้ฟานหยิบยกขึ้นมาพูด
“พวกมันมาจากไหนกัน?” เซฮุนขมวดคิ้วสงสัย
“มันมาตามเสียงรถของเรา” ชานยอลพูดหลังจากที่เงียบมานาน “ทุกครั้งที่รถขับเข้ามานั่นคือการยื่นบัตรเชิญให้พวกมันตามมาที่นี่ ค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ทีละนิดจนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม”
ทุกคนเงียบแล้วนึกไปถึงพวกตัวกินคนที่อยู่รวมกันเป็นจุด โดยเฉพาะคนที่ออกไปหาเสบียงเป็นประจำอย่างจงอิน เขานึกภาพเหล่านั้นออกได้ง่าย ๆ เพราะเป็นอย่างที่ชานยอลพูดจริง ๆ
“คุณว่ายังไง?” จงอินหันไปถามความคิดเห็นจากหญิงสาวที่ยืนครุ่นคิดอยู่ข้าง ๆ ปาร์คกาฮีเงยหน้าขึ้นก่อนจะหลุบสายตาลง
“เรื่องนี้ฉันคงติดสินใจเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นฉันคงต้องเรียกประชุมเพื่อถามความเห็นของนักเรียนทุกคนก่อน”
“ได้ ถ้าคุณพร้อมที่จะย้ายออกเมื่อไหร่เราจะได้ออกไปหารถมาเพิ่ม” กาฮีพยักหน้าหลังจากที่จงอินพูดจบ
“งั้นฉันขอตัวนะคะ ไปกันเถอะเทา” ปาร์คกาฮีหันไปเรียกอีกคนให้เดินตามไปด้วยกันซึ่งเด็กตัวสูงก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย ทุกคนยืนมองทั้งคู่เดินไปด้วยกันจนลับสายตา
“ฉันว่าเจ๊แกคงไม่โอเคสักเท่าไหร่” จงอินกระดกน้ำที่เหลือรวดเดียวจนหมดขวด
“ไอ้เด็กเทานั่นก็ด้วย” ลู่หานเสริม
“คงต้องให้เวลาพวกเขาตัดสินใจหน่อย จะให้ตัดสินใจปุปปับตอนนี้ก็คงไม่ได้” อี้ฟานยังคงมองไปยังทางเข้าหอพักชายที่ทั้งสองคนเดินหายเข้าไปเมื่อครู่นี้
“แล้วถ้าเขาไม่เห็นด้วยกับเราล่ะ?” ทุกคนหันไปมองเซฮุนที่ยิงคำถามนี้ขึ้นมา
“นั่นสิ”
“ถ้าพวกเขาไม่ย้าย เราจะอยู่ต่อหรือว่าย้ายออกไป?”
“...”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ ทุกคนต่างเงียบแล้วครุ่นคิดกับคำถามที่ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะมีคำตอบในใจอยู่แล้วแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาและหนึ่งในนั้นคือลู่หาน...
เขา...ยังไม่พร้อมที่จะออกไปจากโรงเรียนทั้งที่ยังรู้สึกแบบนี้...
แอ๊ด...
เสียงประตูเปิดออกเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มที่ยืนประกอบปืนอยู่ตรงริมรั้วดาดฟ้าท่ามกลางสายลมยามเย็นที่พัดผ่าน มินซอกมองไปยังผู้มาใหม่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัด และคงไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าเพราะอะไร
“อากาศเริ่มเย็นแล้วนะ” คำพูดประโยคแรกหลุดออกมาจากปากลู่หาน มินซอกก้มหน้าประกอบปืนต่อไปราวกับว่าเสียงของอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ลมที่พัดผ่านมาเท่านั้น
พอไม่ได้ยินคนตัวเล็กปริปากเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ลู่หานเม้มริมฝีปากพลางชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่กำลังตั้งอกตั้งใจประกอบปืนพกที่ชานยอลให้ ที่ไม่ยอมพูดกับเขาแบบนี้ก็เพราะว่าโกรธเรื่องเมื่อเช้าสินะ...ไม่สิ...หรืออาจจะโกรธตั้งแต่เรื่องเมื่อคืนก็ได้
“พี่จะไม่ถามว่ามินซอกโกรธพี่เหรอ แต่พี่มาที่นี่เพื่อมาแก้ตัว”
“...” มินซอกเงยหน้าขึ้นพลางทอดสายตาไปข้างหน้า ทิ้งช่วงเวลาน่าอึดอัดไว้แค่ครึ่งนาทีก่อนจะหันมาสบตากับคนข้าง ๆ ที่กำลังมองเขาด้วยแววตาจริงจัง “แก้ตัว?”
“เรื่องเมื่อเช้าน่ะ มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกนะ” ก็ไม่ได้อยากเข้าข้างตัวเองหรอก แต่ที่มินซอกเป็นแบบนี้ก็เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขา...
คิดว่า...
แม่งเอ๊ย!
“คุณรู้เหรอว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่” แววตาและสีหน้าของคนตัวเล็กช่างเย็นชาจนเขาพูดไม่ออก
“...”
“ที่บอกว่าผมเข้าใจผิดน่ะ เรื่องอะไรเหรอ?” คนตัวเล็กถามต่อแต่ลู่หานกลับตอบไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาบอกว่าเข้าใจผิด...มันก็มีสิ่งที่มินซอกเข้าใจถูกอยู่เหมือนกัน
“พี่จะบอกว่า...ไม่สิ...” มินซอกได้แค่มองลู่หานที่กำลังพยายามเรียบเรียงคำพูดดี ๆ เพื่ออธิบายให้เขาฟัง เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะวางปืนประกอบลง
“อย่าทำเหมือนรู้สึกผิดอะไรขนาดนั้นเลย”
“...”
“ผมไม่ได้กำลังจะตาย ไม่ต้องทำเหมือนเห็นใจหรือเวทนาผมซะขนาดนั้น”
“...”
“ผมไม่ใช่ผู้หญิง ผมไม่ต้องกังวลว่าจะท้องหรือเปล่าถ้าเกิดมีอะไรกับใครสักคน” ทุกประโยคที่มินซอกพูดกำลังทิ่มแทงอกข้างซ้ายของลู่หานอย่างต่อเนื่อง ร่างโปร่งมองคนข้าง ๆ ที่กำลังหันมาสบตากับเขาอีกครั้งด้วยแววตาเฉยชา
“ที่คุณขึ้นมาหาแบคฮยอนบนนี้หลังจากนอนกับผมมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด และถ้าจะมีคนผิดมันก็ไม่ใช่คุณ”
“มินซอก มันไม่...”
“คุณไม่ต้องคิดมากหรอก” มินซอกหัวเราะเบา ๆ
“...”
“หลังจากที่นอนกับคุณ ผมถึงได้รู้ว่าการมีเซ็กส์กับผู้ชายด้วยกันนี่มันแย่กว่าที่คิดเอาไว้เยอะ” มินซอกส่ายหน้าแล้วหันไปอีกทาง “และอีกอย่างที่ทำให้ผมรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา...” คนตัวเล็กเงียบไปชั่วอึดใจและปล่อยให้เสียงสายลมพัดผ่าน ลู่หานได้เพียงแค่ยืนนิ่งแล้วฟังคำพูดราวกับเข็มพันเล่มทิ่มมาบนตัวเขาซ้ำๆ
“ผมไม่ได้ชอบคุณแบบนั้น”
“...”
คำพูดของมินซอกมันทำให้เขาพูดไม่ออก จะบอกว่าเหมือนกับถูกตบหน้าก็คงเปรียบได้มากกว่านั้น ลู่หานยังคงจ้องคนตัวเล็กที่เบือนหน้าหลบไปทางอื่นราวกับว่าไม่อยากหันมาสบตากับเขาอีก
ที่มินซอกพูดทุกคำ...ทุกประโยค...มันทำให้เขารู้สึกแย่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
“ที่ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมชอบคุณ มันอาจเป็นเพราะความเหงา ผมคิดว่าการชอบเพศเดียวกันมันคงไม่ผิดเพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึก ไหนคุณจะมาแกล้งให้ผมใจเต้น ออกไปเสี่ยงตายแล้วไม่กลับมาแต่ดันมีแว่นมาเป็นของฝากทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าในช่วงเวลาที่ผมกำลังสับสน มันก็คงไม่แปลกที่ผมจะคิดแบบนั้น”
“...”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” มินซอกหันไปยิ้มให้คนที่ดูเหมือนว่ายังคงอึ้งกับสิ่งที่เขาพูด “คนที่ต้องเฟลมันคือผมนะ ผมเป็นฝ่ายถูกกระทำ เจ็บจะตายไป” มินซอกพูดกลั้วหัวเราะ
“มินซอกหยุด...”
“เลิกทำเหมือนว่ารู้สึกผิดต่อผมสักทีเถอะน่า มันก็ครั้งแรกของเราทั้งคู่ ผมไม่ตายเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”
“มินซอกพี่บอกให้หยุด”
“ต่อไปนี้ก็พยายามหน่อยล่ะ คู่แข่งของคุณไม่ธรรมดานะ ทั้งหล่อ สูง ดูดี สุภาพซะขนาดนั้น จะเอาชนะใจเด็กอย่างหมอนั่นได้ก็ต้อง...”
“พี่บอกให้หยุดไง!”
“...”
ลู่หานรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดเพื่อให้คนตัวเล็กหยุดพูดทำร้ายจิตใจเขาสักที เขาทนฟังมันต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่ได้ยินมันเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยโกหกคือความรู้สึกของเขาที่มีต่อมินซอกว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
ถึงความรู้สึกของเขามันจะมีแต่ความเห็นแก่ตัวก็ตามที...
“ขนลุกชะมัด ถอยออกไปห่าง ๆ ได้ไหม” คนตัวเล็กพยายามยื้อตัวออกมาแต่ลู่หานกลับกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวและคิดว่าอีกไม่นานน้ำใส ๆ มันคงไหลออกมาหากว่าลู่หานยังไม่คลายอ้อมกอดออกภายในตอนนี้...
ได้โปรด...ช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วแกล้งทำเป็นหัวเราะหรือพูดจากวนประสาทเหมือนเดิมทีได้ไหม? เขาจะได้ยิ้มและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน
เพราะแบบนั้นมันคงดีทั้งกับตัวเขาและก็ลู่หานด้วย...
“ผมมันเพี้ยนเองแหละที่คิดว่าตัวเองมีความรักทั้งที่โลกกำลังจะแตกอยู่รอมร่อ”
“...”
“แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะกินจะอยู่ยังไงก็น่าจะพอแล้ว...คุณว่าไหม?” ประโยคหลังแผ่วลงเพราะความอ่อนแอเข้ามาแทนที่ ยิ่งได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของลู่หานเขาก็รู้สึกเหมือนจะตายขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น
ตาย...ทั้งที่ยังหายใจอยู่...
“ปล่อยผมเถอะ”
“...”
“แค่นึกถึงตอนที่ถูกคุณกอดเมื่อคืน...ผมก็ขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว”
ในห้องนั่งเล่นที่ใช้สำหรับประชุม นักเรียนทุกคนมองไปยังกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาแล้วหันไปซุบซิบกัน
“พวกเราคุยกันเรียบร้อยแล้วค่ะ และผลลัพท์ที่ออกมาคือพวกเราจะอยู่ที่นี่”
“อ่า...”
“อยู่ที่นี่ก็ดีแล้วนี่ครับ เรื่องอะไรเราจะออกไปเสี่ยงตายข้างนอกนั่น” เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมา ทุกคนเงียบ ไม่มีใครแสดงความคิดเห็นออกมาอีก พวกเขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าผลลัพท์จะออกมาแบบนี้
“พวกคุณจะออกไปจริง ๆ เหรอคะ?” กาฮีดูเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากสังเกตได้จากสีหน้าของเธอที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ว่าระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันจะไม่นานเท่ากับนักเรียนคนอื่น ๆ แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว ทุกคนที่เหมือนกับครอบครัว พี่น้องที่คอยดูแลกันในช่วงเวลาลำบากแบบนี้
“พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายออกไป” อี้ฟานสีหน้าเคร่งเครียด เขาดูลำบากใจกับการที่ต้องพูดเรื่องนี้หลังจากตกลงกับคนในกลุ่มแล้ว “ตอนแรกผมคุยกันไว้ว่า ถ้าทุกคนตกลงย้ายออกไปด้วยกันเราจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาเสบียงไม่ได้”
“...”
“แต่ถ้าพวกคุณเลือกที่จะอยู่ เราก็ขอย้ายออกไปตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า”
“ว่าไงนะ?”
“จะย้ายออกเหรอ?”
เสียงโวยวายของนักเรียนดังเซ็งแซ่หลังจากที่จงอินพูดและมีแค่ปาร์คกาฮีกับเทาเท่านั้นที่ยังคงนิ่งอยู่
“ถ้าพวกคุณย้ายออกไปแล้วเราจะอยู่กันยังไง?”
“ใช่ พวกคุณจะทิ้งเราไปเหรอ?”
“...”
“ฉันไม่ได้อยากทิ้งหรอกนะ แต่อย่างที่บอกว่าเราอยู่กันที่นี่ไปตลอดไม่ได้ ถ้าเสบียงหมดแล้วจะทำยังไง นั่งรถข้ามไปต่างจังหวัดเพื่อขนเสบียงกลับมาเหรอ?”
“แต่ที่นี่คือบ้านของพวกเรา ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าที่โรงเรียนอีกแล้ว ข้างนอกมีแต่พวกมันเต็มไปหมด ผมไม่อยากเห็นใครตายอีก ผมกลัวครับ!”
“มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ไหนคุณบอกว่าเจอขุมทรัพย์ไร่ข้าวโพดแล้วไง? ถ้ามีของกินเยอะขนาดนั้นเรายังต้องกลัวอะไรอีกครับ?”
“แล้วถ้าวันหนึ่งมันหมดล่ะ?” ทุกคนเงียบทันทีหลังจากที่จงอินพูดจบ ร่างหนาถอนหายใจแล้วกวาดสายตามองนักเรียนทุกคนที่กำลังนั่งมองเขาราวกับขอความเห็นใจ
“นึกไปถึงอนาคตบ้างสิ ไม่ใช่คิดแค่จะเอาตัวรอดไปวัน ๆ ตอนนี้ทางออกที่ดีที่สุดมีอยู่สองทางคือหนึ่ง...ย้ายออกไปจากที่นี่กันให้หมดหลังจากเสบียงร่อยหรอจนหามาเพิ่มไม่ได้อีกกับสอง...พวกฉันย้ายออกเพื่อที่จะได้ตัดอาหารส่วนของพวกฉันไป นายทุกคนจะได้อยู่ที่นี่กันนานขึ้น”
“...”
“มีใครอยากไปด้วยหรือเปล่า?”
“...”
เด็ก ๆ ทุกคนหันไปมองหน้ากันเพื่อขอความคิดเห็นจากเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใจหนึ่งก็กลัวอดตายหากว่าจะต้องทนอยู่ที่นี่ไปเรื่อย ๆ แต่อีกใจก็กลัวตายเพราะถูกกัดถ้าต้องออกไปเสี่ยงข้างนอก
“พวกคุณจะย้ายออกไปเมื่อไหร่คะ” กาฮีหันมามองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “...มันเร็วเกินไป ฉันคิดว่าเด็ก ๆ คงยังไม่ทันได้ตั้งตัวถ้าเกิดพวกคุณจะย้ายออก” เธอยิ้มบาง ๆ
“ถ้าพวกคุณเลือกที่จะอยู่ต่อจริง ๆ ผมจะออกไปหาเสบียงมาตุนไว้ให้ก่อนจะย้ายออกไป” อี้ฟานพูด
“...”
ความเงียบเข้าครอบคลุม ทุกคนต่างพูดไม่ออกหลังจากที่ทุกอย่างถูกตัดสินแล้ว เด็ก ๆ ได้แต่ทำหน้าหงอยเผื่อว่าผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะคิดใหม่แล้วเปลี่ยนใจ...
“นั่นคือสิ่งที่ผมจะทำให้พวกคุณเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกจากกัน”
สามวันต่อมา...
กึง!
กระเป๋าเป้อย่างดีถูกโยนขึ้นไปบนท้ายกระบะ ทุกคนแต่งกายเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปหาเสบียง ‘ครั้งสุดท้าย’ ก่อนที่จะย้ายออกไปจากโรงเรียน ไม่มีใครตั้งตัวทันสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้
จงอิน อี้ฟาน ชานยอล ลู่หาน เซฮุน เทา และปาร์คกาฮีที่จะออกไปหาเสบียงใน ‘โรงงานผลิตอาหารกระป๋อง’ ที่จงอินเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนนอนว่าควรจะไปสำรวจที่นั่นดูสักครั้งหลังจากขับผ่านมาเฉย ๆ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในชุงช็องใต้
ใช้เวลาขับรถพอสมควรจนมาถึงเป้าหมาย ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นเลยสักประโยคเดียวเพราะทุกคนยังคงรู้สึกคว้างกับการลาจากที่ใกล้เข้ามาถึงเร็ว ๆ นี้...
ปัง!
เสียงประตูรถปิดลงหลังจากที่ทุกคนก้าวขาออกมา ใบหน้าคมเงยขึ้นมองตามความสูงของโรงงานก่อนจะลดระดับสายตาลง ข้างหน้ามีตัวกินคนยืนอยู่เป็นจุด ๆ ที่สามารถกำจัดได้อย่างไม่ยากนัก จงอินส่งซิกบอกให้แยกกันไปจัดการกับพวกมันทีละตัวอย่างเงียบเชียบที่สุด แน่นอนว่าพวกเขาควรจะระวังในทุกฝีก้าวเพราะไม่รู้ว่ามีตัวอะไรหลบอยู่แถวนี้บ้าง
ฉึ่ก!!
คมมีดปักเข้าที่กลางหัวของผีดิบที่อยู่ในชุดคนงานโดยฝีมือของหญิงสาวเพียงคนเดียวที่มาด้วย ใบหน้าเรียวหันไปตามเสียงอะไรบางอย่างที่กลิ้งไปตามพื้นซึ่งนั่นก็คือหัวของตัวกินคนที่ถูกตัดขาดด้วยมีดดาบของลู่หาน
ทุกคนเดินตามหลังกันมาติด ๆ ไม่มีใครเดินทิ้งห่างมากจนเกินไป อี้ฟานยืนระวังซ้าย ชานยอลระวังขวา เทาระวังหลัง เซฮุนกับกาฮีอยู่ตรงกลางส่วนจงอินกับลู่หานยืนขนาบข้างประตูทางเข้าคนละฝั่ง
“นับสามนะ” ทั้งคู่มองหน้าอย่างรู้กัน
“เออ”
แอ๊ดดดด...
ลู่หานเลื่อนประตูเหล็กสนิมเกรอะกรังออกอย่างช้า ๆ แต่ถึงอย่างนั้นล้อเลื่อนก็ยังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้ได้หวั่นใจอยู่ดี ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ถอยหลังออกไปเล็กน้อยพร้อมกับยืนตั้งท่าเล็งปืนไปข้างหน้า
ประตูเปิดออกแค่หนึ่งช่วงแขนพอให้ทุกคนเดินเข้าออกได้ ร่างหนามองเข้าไปข้างในโกดังที่เงียบสงบก่อนที่รองเท้าบูทหนังสีดำค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ นัยน์ตาคมกลอกมองไปรอบข้างอย่างใจเย็น
กลิ่นเหม็นอับและความเงียบกดดันจนระแวงไปกับทุกย่างก้าว ข้างหน้ามีลังกระดาษที่วางทับกันอยู่หลายชั้น มีบางส่วนที่กองเละเทะกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ข้าง ๆ มีรถยกของอยู่สามคันพร้อมกับลังกระดาษสีครีมที่ไม่มีป้ายบอกยี่ห้อที่กองขึ้นสูงขนาดคนหกคนยืนต่อตัวกัน พอหันไปทางซ้ายก็พบกับทางเดินชั้นลอยที่ทำด้วยเหล็กมันเชื่อมต่อกันไปจนถึงห้องควบคุมที่อยู่ข้างบนด้านในสุด
“กูเอง”
ลู่หานอาสาเดินเข้าไปสำรวจทางด้านขวามือ จงอินพยักหน้าบอกให้เทาเดินตามไปส่วนเขากับเซฮุนก็แยกไปสำรวจทางซ้าย ร่างหนาหยุดเดินพร้อมกับยกมือห้ามคนข้างหลังเมื่อภาพตรงหน้าคือผีดิบในชุดคนงานกลุ่มหนึ่งกำลังรุมกินศพอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่สนใจการมาของพวกเขา
“เอาไงดีครับ ถ้าเข้าไปแทงหัวพวกมันด้วยมีดคงไม่ไหวแน่” เซฮุนว่า
“ใช้ปืนยิง สองตัวสุดท้ายค่อยเอามีดเก็บ”
“ครับ” เซฮุนพยักหน้าแล้วเล็งปืนไปยังผีดิบกลุ่มนั้น ร่างของตัวกินคนฟุบหน้าลงไปกับอาหารชั้นยอดทันทีที่กระสุนเจาะเข้ากลางศีรษะ
พอเหลือสองตัวสุดท้ายจงอินก็ดึงมีดออกมาจากสนับขาก่อนจะโยนมันขึ้นบนอากาศแล้วกำด้ามมีดเอาไว้ ปลายมีดแหลมแทงเข้ากลางหัวคนงานชายอย่างแรง จงอินเงยหน้าขึ้นมองเซฮุนที่เพิ่งจัดการตัวกินคนตัวสุดท้ายแล้วหันหลังไปกระดิกนิ้วเรียกคนอื่น ๆ ให้เดินตามมา
"โซนนี้น่าจะเป็นผลไม้กระป๋อง...ลู่หาน! ทางนั้นคืออะไรวะ?”
“ผักดองว่ะ”
“ที่นี่ยังมีอาหารกระป๋องเหลืออยู่พอสมควร ผมว่าเราขนกลับไปกักตุนไว้ได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเราไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะมีใครมาเจอที่นี่อีกหรือเปล่า” อี้ฟานพูด
“งั้นก็รีบขนลังที่อยู่ใกล้ประตูออกไปก่อน ชานยอล! ทางนั้นคืออะไร?” จงอินถามหลังจากเห็นร่างสูงใช้มีดพกกรีดเทปกาวออกจากลังกระดาษ มือแกร่งเอากระป๋องขนาดเหมาะมือขึ้นมาหมุนดูวันหมดอายุแล้วก็เงยหน้าขึ้นตอบ
“ปลากระป๋อง”
“ถือว่าเป็นข่าวดี”
“เริ่มเก็บปลากระป๋องกันก่อนแล้วกัน” ทุกคนพยักหน้าแล้วเดินถอยกลับไป เซฮุนหยุดเดินแล้วหันไปมองร่างหนาที่กำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ สุดท้ายเขาก็เดินกลับไปช่วยคนอื่น ๆ ขนของกลับไปที่รถ
“เก็บของหวานไปบ้างก็ดีนะ พวกผลไม้กระป๋องน่ะ” ลู่หานชี้ไปยังทางด้านซ้ายมือและคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย ก็รู้ว่ามันคงไม่สำคัญเท่ากับปลากระป๋องโง่ ๆ ที่นับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศในทุกวันนี้แต่เขาก็แค่อยากให้เด็ก ๆ ได้กินของหวานกันบ้างหลังจากที่โลกเปลี่ยนไปแล้ว
แน่นอนว่าเขาก็อยากให้มินซอกได้กินของดี ๆ บ้าง...
เซฮุนมองไปยังอีกคนที่เดินเข้าไปลึกกว่าคนอื่น ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเห็นจงอินมีท่าทีแปลก ๆ
“มีอะไรเหรอครับจงอิน?”
“ตรงนี้มีประตู ช่วยฉันหน่อย” จงอินขอแรงร่างบางให้มาช่วยเข็นรถยกของให้พ้นทาง ขายาวถอยหลังออกมาสามก้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองระดับความสูงของประตู
“มันเป็นทางเข้าอีกทางหรือเปล่านะ...”
“หรืออาจจะเป็นทางเชื่อมไปโกดังที่สอง”
“คุณจะเข้าไปดูข้างในเหรอครับ?”
“หยุดนะ!!!”
ยังไม่ทันได้พิสูจน์ว่าฝั่งตรงข้ามคืออะไรทั้งคู่ก็ต้องหันไปมองชั้นลอยที่มีใครคนหนึ่งเล็งปืนมาที่เขา จงอินดันเซฮุนให้มายืนหลบข้างหลังก่อนจะเล็งปืนไปยังคนแปลกหน้าเช่นกัน
“พวกแกเป็นใคร!!” ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคนงานสีเทาเล็งปืนมาที่เขาสลับกับอี้ฟานที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาทางด้านใน ร่างสูงยกมือขึ้นเหนือศีรษะเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับใคร
“ลดปืนลงเถอะครับเราไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร...จงอิน ลดปืนลง” ประโยคสุดท้ายเบาลงเล็กน้อย จงอินถอนหายใจแล้วเก็บปืนเข้ากับสายสะพาย
“ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรวะ!! พวกแกเข้ามาในที่ของฉัน ขโมยของ ๆ ฉัน...แถมยังจะปล่อยให้ ‘พวกมัน’ ออกมาอีก” ชายวัยกลางคนค่อย ๆ ปีนบันไดลงมาก่อนจะเดินมาหยุดอยู่หน้าประตู
“ข้างในนั่น?”
“เอาของ ๆ ที่พวกแกขนออกไปมาคืนฉันให้หมดแล้วรีบไสหัวออกไปซะ” ไม่พูดอย่างเดียว ชายวัยกลางคนทำท่าปลดเซฟตี้พร้อมกับเล็งมาที่หน้าจงอินอีกครั้ง “อย่ามาทำหน้าอวดดีใส่ฉันนะไอ้เด็กเมื่อวานซืน” น้ำเสียงแหบพร่าที่มาพร้อมกลับกลิ่นเหม็นจากคนตรงหน้าบ่งบอกได้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้รับการทำความสะอาดทางร่างกายมานานพอสมควร
“แกอยู่ที่นี่มาตลอดเลยเหรอ?” จงอินถามก่อนจะกลอกตาไปรอบ ๆ โกดัง ถึงไอ้หอกนี่จะเล็งปืนมาที่เขาแต่คนปากดีอย่างมันก็ทำได้แค่ขู่เท่านั้นแหละ...สังเกตได้จากมือของมันที่กำลังสั่นอยู่น่ะนะ
“แกจะรู้ไปทำไม!”
“ก็แค่ถาม แกอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ มีคนอื่นอีกไหม?”
“ที่นี่มีแค่ฉัน...กับ” ชายวัยกลางคนเม้มปากก่อนจะมองผ่านไปข้างหลังเซฮุนที่มีซากศพคนงานที่เพิ่งถูกพวกเขาจัดการไปเมื่อครู่
“นั่นเพื่อนแกเหรอ?”
“หยุดถามอะไรโง่ ๆ สักทีเถอะ”
“แกฆ่าพวกเขาหรือไง?”
“จงอิน...อย่า” อี้ฟานห้าม
“ฉันไม่ได้ฆ่า ทั้งที่เรามีอาหาร มีน้ำดื่มจากก๊อก ก็แค่ออกไปเจอโลกภายนอกไม่ได้แต่พวกมันเลือกที่จะจบชีวิตกันแบบนั้นเอง” พอได้ยินเรื่องเล่าจากปากอีกฝ่ายร่างหนาก็พยักหน้าเข้าใจ
“แล้วข้างในนั้นมีอะไร” จงอินถามเสียงเรียบทำให้คนได้ฟังเกิดอารมณ์โทสะมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ชายวัยกลางคนกัดฟันกรอด เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับคนพวกนี้ที่เข้ามาในถิ่นของเขาแถมยังไล่ต้อนให้จนมุมด้วยคำถามบ้า ๆ นั่นอีก
“พวกกินคน?”
“...”
“หรือว่ามีของดี ๆ อยู่ในนั้นแต่แกทำหวง?” จงอินยังคงพูดจายั่วโมโหไม่สิ้นสุดแม้ว่าอีกฝ่ายจะเล็งปืนมาตรงหน้าเขา เซฮุนปรามอีกคนด้วยการบีบแขนแกร่งเบา ๆ แต่ร่างหนากลับไม่ยอมหยุด
กึง กึง!!
ทั้งสี่คนหันไปมองประตูบานใหญ่ที่ถูกเขย่าจากฝั่งตรงข้าม ใบหน้าจองหองของชายกลางคนลดลงจนซีดเผือด คงมีแค่คนเดียวในนี้ที่รู้ดีว่ามีตัวบ้าอะไรอยู่ในนั้น...เขากลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนจะหันกลับไปเล็งปืนใส่จงอินอีกครั้ง
“แกรีบไปเข็นรถยกของกลับมาขวางทางเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้...ส่วนแกอย่าขยับ”
“...”
“เร็วสิวะ!!!”
มือแกร่งเล็งปืนมาที่เซฮุนแทนเมื่อจงอินไม่ยอมทำตามที่เขาบอก ร่างหนากลอกตามองไปทางด้านข้าง ทางลู่หานคงกำลังยกของกลับไปที่รถ นี่เขาก็ถ่วงเวลามาพอสมควรแล้ว หวังว่าพวกนั้นจะกลับมาทันแล้วจัดการกับไอ้โสโครกนี่ซะ
“มึงยืนอยู่เฉย ๆ !!!” จากเซฮุนเปลี่ยนมาเล็งที่อี้ฟานแทนเมื่อขายาวก้าวมาข้างหน้า ร่างสูงยังคงยกมือขึ้นอยู่ระดับศีรษะ เขาเดินถอยหลังกลับไปเมื่อชายวัยกลางคนยังไม่ยอมลดปืนลง
กึง กึง กึง!!!
“เร็วเข้าสิ!! พวกแม่งจะพังเข้ามาอยู่แล้ว!!”
เจ้าถิ่นดูร้อนรนผิดกับพวกเขาทั้งสามคนที่ยังคงอยู่ในความสงบ อาจเป็นเพราะชายคนนี้รู้ดีว่ามีตัวอะไรอยู่หลังประตูนั้น หรืออาจเป็นเพราะมีนิสัยแบบนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จงอินออกแรงดันรถยกของสุดแรงแต่ลำพังแค่เขาคนเดียวมันคงเป็นไปได้ยากที่จะเร็จภายในเสี้ยววินาที
ปัง!!!!
“ฮืออออ......”
แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อประตูถูกพังเข้ามาขณะที่รถยกของขวางทางได้เพียงแค่ประตูฝั่งซ้ายเท่านั้น จงอินผงะถอยหลังไปสามก้าวเพราะแรงดันจากประตูก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเหล่าตัวกินคนนับสิบกรูออกมาด้วยความเร็วพร้อมกับโผเข้าใส่ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดโดยไม่ให้ได้ตั้งตัว
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !!!
เสียงปืนในมือชายกลางคนลั่นขึ้นเมื่อร่างของเขาถูกรุมกัดจนล้มลงไปกับพื้น และแน่นอนว่าเสียงปืนเป็นฉนวนเรียกให้ตัวกินคนอีกมากมายแห่กันมาที่นี่...ผีดิบจำนวนหนึ่งไม่สนใจสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลืออยู่ในนี้เมื่อพวกมันกำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อเที่ยงที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
“จงอิน เซฮุน วิ่ง!!!” อี้ฟานตะโกนบอกพร้อมกับชักปืนขึ้นมายิงตัวกินคนที่พุ่งมาทางเขาด้วยความเร็วสูง เซฮุนเดินถอยหลังพร้อมกับยิงช่วยจงอินกับอี้ฟานที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด
“อี้ฟาน ข้างหลัง!!” ลู่หานตะโกนบอกก่อนจะหยุดวิ่งแล้วยิงเข้ากลางหัวตัวกินคนที่กำลังจะพุ่งเข้าหาอี้ฟาน
“!!!”
ร่างสูงล้มลงไปกับพื้นหลังจากถูกตัวกินคนอีกตัวกระโจนใส่จนปืนของเขากระเด็นไปทางด้านข้าง มือแกร่งพยายามดันร่างของตัวประหลาดออกก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงเมื่อกระสุนเจาะเข้าที่กลางหัวมัน
อี้ฟานหอบหายใจพลางเงยหน้าขึ้นมองมือใครอีกคนยื่นลงมา เขาลุกขึ้นยืนโดยได้รับการช่วยเหลือจากชานยอลที่เพิ่งมาถึง
“พวกมันมาจากไหนวะ!” เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ ลู่หานยังคงยิงไปยังเป้าหมายที่แห่กันออกมาเป็นฝูง
“เกิดอะไรขึ้น!!”
“ครูครับ ออกไปรอข้างนอก อย่าเข้ามาในนี้!” เทาตะโกนบอกหญิงสาวที่เขากำชับนักหนาว่าให้ยืนรออยู่ที่หน้าประตู
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!” ใบหน้าเรียวเชิดขึ้นเมื่อมวยผมของเธอถูกดึงจากตัวกินคนที่ติดอยู่ในร่างข้างหลัง
“ครูครับ!!” เทาเบิกตากว้าง กาฮียังคงยื้อดึงผมเอาไว้ แรงดึงจากตัวกินคนมันทำให้ผมของเธอแทบหลุดออกมาจากหนังหัวเสียเดี๋ยวนั้น
เทารีบไปประคองครูสาวที่ล้มลงไปกับพื้นให้ลุกขึ้นนั่งหลังจากที่ลู่หานตัดแขนตัวกินคนจนขาดออกจากกัน เขาสำรวจร่างกายของคนตรงหน้าก่อนที่จะประคองให้ร่างเพรียวลุกขึ้นหลังจากที่เธอส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร ลู่หานเก็บมีดดาบไว้กับปลอกที่เหน็บไว้ข้างหลังก่อนจะชักปืนออกมายิงอีกครั้ง
“กระสุนหมดว่ะ!” ร่างโปร่งปลดแม็กกาซีนออกพลางหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ชานยอลโยนแม็กกาซีนสำรองมาให้และเขาก็รับมันได้พอดี
“รีบวิ่งกลับไปหาอี้ฟานเร็วเข้า!” จงอินหันไปบอกร่างบางก่อนจะถีบตัวกินคนที่เข้ามาในระยะประชิดให้เซถอยหลัง ร่างบางวิ่งกลับไปอย่างทุลักทุเลเมื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่พวกกินคนขวางทางอยู่เต็มไปหมด
อีกแค่นิดเดียวก็ถึงแล้ว ทุกคนอยู่แค่ไม่อีกกี่ช่วงแขน...แต่...
เซฮุนเอี้ยวตัวหันกลับไปหาใครอีกคนที่ควรจะวิ่งตามกลับมาด้วยกันแต่ตอนนี้คน ๆ นั้นกลับถูกเหล่าผีดิบต้อนให้จนมุม นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อพบว่าตอนนี้กระสุนปืนของจงอินหมดแล้ว ร่างหนาเหนี่ยวไกซ้ำ ๆ ก่อนจะซัดหมัดลุ่น ๆ เข้าที่หน้าตัวกินคนที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
ด้านข้างไม่มีทางหนีได้...ให้ตายเถอะ! ตอนนี้เขาเจอทางตันเข้าซะแล้ว
“จงอิน!!!!”
“แม่งเอ๊ย!” ร่างหนาคว้าท่อนไม้บนพื้นขึ้นมาฟาดหน้าผีดิบจนมันเซถอยไปข้างหลัง แต่ก็แค่ทำให้มันเสียหลักเท่านั้น
“ลู่หาน...ชานยอล!” เซฮุนหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากในเวลาแบบนี้เมื่อทุกคนก็แทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน
ความลนลานทำให้สมองตีกันไปหมด ร่างบางถอดแม็กกาซีนออกมาดูแล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ามันเหลืออยู่เพียงแค่นัดเดียว ใบหน้าเรียวเงยหน้าขึ้นมองจงอินที่ยังคงอยู่ที่เดิม สภาพแบบนั้นคงยื้อไว้ได้ไม่นานแน่...
ปลอกเก็บเสียงถูกหมุนออกขณะที่ขาเรียววิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนี้มันได้ผลหรือเปล่า แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างในตอนนี้จงอินต้องตายแน่...
ปัง!!!!
“...”
ทุกสายตาหันมามองเซฮุนไม่เว้นแม้กระทั่งตัวกินคนที่กำลังจะเข้าไปเอาชีวิตร่างหนา...ควันสีขาวค่อย ๆ ลอยขึ้นหลังจากร่างบางเหนี่ยวไกนัดสุดท้ายออกไปโดยที่ไม่มีปลอกเก็บเสียง
ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยคราบเลือดอ้ากว้างตามมาด้วยเสียงโหยหวน ดวงตาสีเทาทุกคู่เปลี่ยนเป้าหมายมาที่เซฮุนที่ยืนอยู่ตรงกลางโกดังก่อนที่พวกมันจะวิ่งเข้าหาเขาแทน
“เซฮุน!!!”
ร่างบางเลิกลั่ก หันซ้าย หันขวาเพื่อหาทางหนี ตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่จงอินที่ตกใจกับการกระทำของเซฮุน พวกเขาทุกคนต่างก็ตกใจไม่แพ้กันแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เพราะแต่ละคนก็แทบจะรับมือไม่ไหวเพราะกระสุนปืนหมดจนต้องชักมีดขึ้นมาสู้
“บ้าเอ๊ย!” ร่างหนาสบถอย่างหัวเสียก่อนจะหันหลังเหยียบกล่องลังกระดาษเพื่อปีนขึ้นไปบนชั้นลอยที่เชื่อมต่อกันเป็นทางยาว
“วิ่งไปทางนั้น!!!” จงอินวิ่งด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามีพร้อมกับตะโกนบอกร่างบางที่กำลังวิ่งหนีตัวกินคนอย่างไม่คิดชีวิต
กึง กึง กึง!!!
เสียงรองเท้าบูธหนังสีดำย่ำลงบนทางเดินชั้นลอยที่ทำด้วยเหล็ก เป้าหมายของเขาคือบันไดที่ชายกลางคน ๆ นั้นใช้ปีนลงมา ฝูงตัวกินคนจำนวนมากวิ่งตามหลังเซฮุนไปติด ๆ ร่างบางเอี้ยวหน้าหันหลังกลับไปเป็นระยะก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“อี้ฟาน!! รีบพาทุกคนออกไปข้างนอก!!!”
กึง กึง กึง!!!
“ยื่นแขนขึ้นมาเร็วเข้า!” จงอินก้มลงต่ำพร้อมกับยื่นแขนลงไปข้างล่างเมื่อเขาวิ่งอ้อมมาจนถึงฝั่งตรงข้ามได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เซฮุนคว้ามือหนาเอาไว้แน่นก่อนที่อีกคนจะออกแรงดึงเขาขึ้นมาได้อย่างหวุดหวิด
“ฮือออออ.......”
“กรรรรรรรรรรรรรรซ์”
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง!!!
ทั้งคู่ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นเหล็กของชั้นลอยพลางหอบหายใจหนักท่ามกลางเสียงโหยหวนของตัวกินคนที่อยู่เบื้องล่าง พวกมันยืนออกันอยู่ใต้บันไดพร้อมกับยื่นมือขึ้นมาด้วยความหิวโหย
“เราต้องออกไปแล้ว!” เทาหันไปบอกคนอื่น ๆ ที่ยืนหันหลังให้กัน
“ออกไปได้ไงวะ มึงไม่เห็นจงอินกับเซฮุนหรือไง!!”
“ผมรู้ แต่เราต้องถอยแล้วลู่หาน!” อี้ฟานไม่พูดอย่างเดียว เขาดันคนอื่น ๆ ให้เดินถอยหลังออกไปก่อนจะฟาดสันปืนเข้าที่หน้าตัวกินคนให้เสียหลัก
สองขาทั้งวิ่งทั้งเดินถอยหลังสลับกัน พวกเขาได้เพียงแค่มองตามคนสองคนที่ยังคงติดอยู่ข้างในโดยที่ทำอะไรไม่ได้...
TBC
ตอนนี้บอกเลยว่าฉากโกดัง 18 หน้าค่ะ 555555555555555
อยากบู๊กันมากใช่หม้ายยยยยยยยยยย แต่แค่นี้ยังไม่พอนะเดี๋ยวตอนหน้าเราไปพาไคฮุนหาทางหนีออกจากโกดังกัน
– รู้สึกหน้าสั่นแทนพี่ลู่เหลือเกิร์ล
เราเชื่อว่ามีคนลืมไปแล้วว่าพี่ชาร์ลเคยเป็นคนโหดสรรถมากแค่ไหนหลังจากที่เมียพี่แกตายไป
ดราม่าเกินไปไหม จะย้ายออกจากโรงเรียนแล้วนะ ;_ ; #โบกผ้าเช็ดหน้า #บ่นไรคะมลิน
#ficzombie
ความคิดเห็น