คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : Chapter 27 :: Hello Stranger
Chapter 27
Hello Stranger
ถนนคอนกรีตเบื้องหน้ายาวไปจนสุดสายตา รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ผลิใบหลากสีที่เปลี่ยนไปตามสภาพอากาศในฤดูใบไม้ร่วง เศษใบไม้แห้งบนพื้นลอยขึ้นกลางอากาศหลังจากรถขับผ่าน เสียงเพลงที่ไม่สามารถหาฟังได้ที่ไหนอีกแล้วนอกจากบนรถกำลังคลอเบา ๆ จนคนที่นั่งคนข้าง ๆ ผล็อยหลับไป ไม่ต้องถามถึงเด็กกรงหมาที่นอนอยู่ข้างหลัง รายนั้นพอขึ้นรถมาได้ไม่นานก็หลับไปก่อนใครอื่น ไม่รู้เป็นเพราะทำนองเพลงเศร้าที่เขาเปิดหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่สองคนนี้ถึงได้หลับง่ายเสียเหลือเกิน
ได้ซีดีเพลงรวมฮิตมาจากปั๊มน้ำมันที่แวะจอดเมื่อก่อนหน้านี้มาหลายแผ่น ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนที่เพิ่งเปลี่ยนกะกับจงอินที่ขับมาตลอดทั้งวัน เห็นมันดูง่วง ๆ เลยกลัวว่าจะตายห่ากันทั้งคันถ้าเกิดมันหลับใน
ความเย็นของแอร์ถูกลดลงตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สร้างความหนาวเหน็บไปถึงหัวใจให้กับผู้ชายอย่างเขาอยู่ดี เอื้อมมือไปปิดแอร์ก่อนจะเลื่อนกระจกรถลงให้สายลมพัดเข้ามาแล้วปล่อยให้เสียงเพลงในรถครอบครองทุกอย่างแม้กระทั่งความรู้สึก
‘니가 없다 니가 없다
ไม่มีเธออีกแล้ว ไม่มีเธออีกแล้ว
어떻게 나 혼자서 널 지우고 살아?
จะให้ฉันลืมเลือนทุกอย่าง แล้วใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเพียงผู้เดียวได้อย่างไร?
너무 그리워...
คิดถึงเหลือเกิน...’
เท้าศอกลงกับประตูรถพลางกุมขมับ มืออีกข้างบังคับพวงมาลัยให้ไปตามทิศทาง นัยน์ตาเหม่อลอยไปยังถนนเบื้องหน้า มีคนบอกว่าเสียงของศิลปินบัลลาดสามารถทำให้เนื้อเพลงที่ถูกประพันธ์ออกมาเศร้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจกับคำพูดเหล่านี้แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเมื่อความหมายของเพลงที่กำลังเล่นอยู่มันกำลังบาดลึกจนรู้สึกเจ็บตรงหน้าอกข้างซ้าย
‘함께 걸었어야 할 시간에
ช่วงเวลาเหล่านั้นที่สมควรจะต้องได้เดินเคียงข้างกันไป
나 혼자 붙잡고 있어 우리 미래도
มีเพียงฉันที่ยังคงยึดเหนี่ยวมันเอาไว้
나의 바램도 멈춘 자리에
ตรงนี้ที่อนาคตของเราสิ้นสุดลงไป...ความหวังของฉันสิ้นสุดลงไป
나 서있고 너만 없다...
ฉันได้แต่ยืนอยู่โดยไม่มีเธอ...’
“...”
‘ถ้าผมทำแบบนั้นแล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นแล้วไปจากที่นี่ได้อย่างสบายใจใช่ไหม?’
น่าแปลกที่เรื่องของคิมมินซอกกลบความรู้สึกทุกอย่างไปหมดแม้กระทั่งเรื่องที่แบคฮยอนนั่งรถคันเดียวกับชานยอล...สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของเด็กคนนั้นทำไมถึงมีผลกระทบกับจิตใจเขาได้ถึงขนาดนี้นะ?
“ถึงไหนแล้ววะ...ฮ้าว...” คนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลดันตัวเองให้เลื้อยกลับขึ้นมาพิงกับเบาะนั่ง จงอินหาวหวอด ๆ พลางขยี้ตา
“สามเหลี่ยมเบอมิวด้า”
“สัด...”
หันไปด่าคนข้าง ๆ แล้วชำเลืองมองคนที่ยังคงหลับอยู่ตรงเบาะหลัง เห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกผิดกับเรื่องวานที่ลามไปจนถึงดึกดื่น จงอินถอดเสื้อแขนยาวออกแล้วโยนใส่หัวคนที่นอนอยู่เบาะหลัง ร่างบางลืมตาตื่นขึ้นมาแบบงง ๆ ร่างหนาหันควับกลับไปมองถนนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เซฮุนขมวดคิ้วปรือตามองเสื้อที่คลุมหัวอยู่ก่อนจะดึงมันลงมา กระพริบตามองอยู่ในทีแล้วก็เงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาคมมองอีกคนผ่านกระจกมองหลัง เขาไม่ได้หันไปสั่งให้เซฮุนสวมเสื้อตัวนั้นเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งคู่สบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนกระทั่งใบหน้าขาวของคนที่นั่งอยู่เบาะหลังขึ้นสีเล็กน้อย เซฮุนหลุบสายตาลงพลางดึงเสื้อกันหนาวสีเทาเข้มขึ้นมาคลุมถึงคอแล้วเอนตัวลงไปนอนที่เดิม
ตอนแพ็คกระเป๋าจงอินก็ไม่ยอมให้เขาทำไรเลยนอกจากนั่งอยู่เฉย ๆ จะเรียกว่านั่งก็คงไม่ได้อีกนั่นแหละ เจ้าตัวบอกให้นอนรอจนกว่าจะเสร็จเพราะอ้างว่าถ้านั่งเดี๋ยวจะปวด...แต่จงอินจะรู้ไหมนะว่าต่อให้นอนหรือนั่งเขาก็ปวดไปทั้งตัวอยู่ดี
ถึงจะเต็มไปด้วยความเคอะเขิน เก้ ๆ กัง ๆ หลังจากตื่นมาพบว่าทั้งคู่นอนกอดก่ายกันมาตลอดทั้งคืน ไม่มีจูบอรุณสวัสดิ์อย่างในละคร มีเพียงแค่สายตาที่สื่อความหมายแทนคำพูดทุกอย่าง
“ไม่มีเพลงโจ๊ะ ๆ บ้างเหรอวะ?” จงอินสลับซีดีเพลงดูทีละแผ่นแล้วก็ส่ายหน้าหน่าย ๆ กับรสนิยมของลู่หาน “เลือกแต่เพลงเศร้ามา ชีวิตมึงจะพินาศเหรอ”
“อารมณ์กูมันเป็นสีเทา” ลู่หานพูดทั้งที่ไม่หันมามองหน้าอีกฝ่าย
“เทาห่าไร” ด่าเสร็จแล้วก็เปลี่ยนแผ่นใหม่เข้าไป จะฟังเพลงทั้งทีขอเพลงที่มันฮึกเหิมทีเถอะ ไม่งั้นคงได้อึดอัดตายเพราะคนที่นอนอยู่ตรงเบาะหลังแน่ ๆ
เมื่อคืนเสือกจัดหนักไปหลายรอบ ถ้าไอ้ลู่หานรู้คงโดนแซวยันลูกบวช
‘가네요...점점 멀어지네요…
เธอกำลังจากฉันไป...ค่อย ๆ ไกลขึ้นทีละนิด...
가네요...점점 작아지네요...
เธอกำลังจากฉันไป...มันเริ่มไกลจนมองไม่เห็น...’
“โอย.............” จงอินเอนหลังพลางเหลือกตาขึ้นมองเพดานรถเมื่อแผ่นใหม่ที่ใส่เข้าไปก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแผ่นก่อนหน้านี้เลย “ชีวิตนี้ช่างเศร้าโศกาเหลือเกิน.........”
ลู่หานปล่อยให้ความหมายของเพลงกัดกินความรู้สึกของเขาไปเรื่อย ๆ หลายครั้งที่อยากตีรถกลับไปที่โรงเรียนเสียให้รู้แล้วรู้รอด อยากกลับไปที่นั่นทั้งที่ไม่รู้ว่าจะกลับไปทำไม ทั้งที่มินซอกออกปากไล่ซะขนาดนั้นแล้ว แต่ทำไมล่ะ ทำไมถึงอยากกลับไป...เพราะความผูกพันเหรอ...หรือเพราะอะไรกันแน่?
แต่เขาไม่พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าทั้งที่ยังรู้สึกแบบนี้...นี่แหละคือสิ่งที่ลู่หานรู้
“ข้างหน้ามึงอ่ะ”
“...”
“เห็นป่ะเนี่ยห่า” จงอินใช้ปลายนิ้วชี้อันมีค่าสะกิดบอกคนที่กำลังอินกับเพลงเศร้าราวกับพระเอกเอ็มวีโดยไม่สนใจเลยว่าเขากำลังจะขับรถชนตัวกินคนเข้า
ที่สะกิดไม่ใช่อะไรหรอกนะ กลัวว่าชนไปแล้วมันจะพุ่งเข้ามาในรถนี่แหละ
ลู่หานเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนดี ตัวกินคนที่กำลังเดินโซซัดโซเซข้ามถนน แต่แล้วยังไง? ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องหักหลบหนีร่างไร้หัวใจและความคิดแบบมันสักหน่อย จงอินถอนหายใจพรืดก่อนจะเอื้อมไปดึงเข็มขัดนิรภัยเมื่อลู่หานไม่มีท่าทีว่าจะหักหลบหรือจอดรถให้เกียรติตัวกินคนเดินข้ามถนน
ปั๊ก!!!
จงอินมองคนข้าง ๆ ที่เพิ่งขับรถชนตัวกินคนจนร่างนั้นลอยขึ้นไปบนหลังคารถแล้วกลิ้งตกไปบนพื้นหลังถูกแรงปะทะ ร่างหนาเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็พบว่ารถของอี้ฟานที่ขับตามมาติด ๆ เบรกกะทันหัน
“จอดก่อนมึง” จงอินสะกิดไหล่อีกคนก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัย ลู่หานถอนหายใจหน่าย ๆ แล้วจำใจเดินลงไปข้างล่างเมื่ออีกสามคนที่อยู่ในรถอีกคันเดินลงมา
“มันก็แค่ตัวกินคนแหละน่า” ลู่หานอธิบายก่อนที่จะถูกอี้ฟานด่าหาว่าเขาพิเรนทร์เล่นอะไรแผลง ๆ ร่างสูงทั้งสองคนยืนคุยกันแล้วหันไปมองศพตัวกินคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ พอเห็นแบบนั้นต่อมอยากรู้อยากเห็นก็ทำงานในทันที
จงอินเดินไปสมทบก่อนที่อี้ฟานจะแยกตัวออกมาจากวงสนทนาแล้วเดินไปนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าร่างที่นอนอยู่บนพื้นคอนกรีต
“ไปกันเหอะ” ลู่หานพูดเสียงเอื่อย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ความสนใจกับพวกมันด้วย “จะทักทายมันเหรอ หรือยังไง พาไปโรงบาลไหม” ลู่หานยังคงบ่นไม่หยุด
จงอินชักปืนออกมาเตรียมพร้อมหากว่าร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นลุกขึ้นมา อี้ฟานพลิกตัวร่างผอมที่มีสภาพมอมแมมไม่ต่างจากพวกกินคนตัวอื่น ๆ เพื่อดูอาการก่อนจะเอาหูแนบกับหน้าอกข้างซ้าย เขาอยู่ในท่านั้นอยู่เกือบครึ่งนาทีจนกระทั่งผละตัวออกมาแล้วแตะนิ้วชี้กับนิ้วกลางลงบนซอกคอ
“เงียบปากไปก่อนมึงอ่ะ” ที่น่าแปลกคือจงอินก็เห็นด้วยกับอี้ฟานที่กำลังจะทำการชันสูตรศพ ร่างสูงถ่างตาทั้งสองข้างของตัวกินคนที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่ออกเพื่อตรวดูอะไรบางอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“เขาไม่ใช่ตัวกินคน”
“ห๊ะ?”
“เขาเป็นคนเหมือนกับเรา”
“ชิบหายแล้วไง...”
“ว่าไงนะ?”
“แน่ใจเหรอ?”
ทุกคนต่างมีคำถามแต่คนที่ตกใจกับเรื่องที่ได้ฟังที่สุดคงไม่ใช่ใครนอกจากลู่หาน ร่างโปร่งกลอกตามองทุกคนสลับกับร่างที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงบนพื้นถนน
“พวกมันตายเพราะถูกจัดการที่สมอง ไม่ใช่ตายเพราะถูกรถชนแน่นอน” น้ำเสียงของอี้ฟานอยู่ในโทนปกติแต่สายตาที่มองมาราวกับว่าเขาคือฆาตกรที่ฆ่าคนโดยเจตนา ลู่หานกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ งานหยาบแล้วมึง!
“ไม่มีตัวกินคนตัวไหนที่เจ็บปวดจนหมดสติไปเพราะถูกรถชนหรอก” จงอินเสริม มันก็ถูกอย่างที่สองคนนี้พูด เพราะขนาดถูกยิงเป็นสิบนัดยังไม่ตายแล้วนับประสาอะไรกับอิแค่ถูกรถชน...แค่นี้...?
แค่นี้...จริงเหรอวะ?
“หัวใจเขายังเต้นอยู่”
“เอาล่ะมึง...” จงอินกุมขมับ
“...” คำว่าฆาตกรกรอกหูลู่หานอยู่ซ้ำ ๆ แม้ว่าจะไม่มีใครพูดคำนี้ออกมา อี้ฟานช้อนตัวร่างที่หมดสติไปที่รถก่อนจะเดินกลับมาหาทุกคน
“ผมว่าเราควรจะหาที่พักแถวนี้แล้วล่ะ”
ท้องฟ้าสีส้มปนแดงถูกกลืนกินด้วยความมืดมิดในเวลาถัดมา แสงจากดวงอาทิตย์หายไปตอนนี้มีเพียงแค่กองไฟเท่านั้นที่ให้ความสว่าง ทุกคนช่วยกันกางเต็นท์รอบกองไฟยกเว้นแขกใหม่ที่ยังคงหลับไม่ได้สติอยู่ อี้ฟานเช็คดูอาการคร่าว ๆ แล้วก็พบว่าร่างกายผู้ชายคนนั้นไม่ไม่มีอะไรแตกหักไปอย่างที่ทุกคนเป็นกังวล
“คืนนี้ฉันจะอยู่เฝ้าเวรเอง” จงอินอาสาอยู่เฝ้าทั้งคืนเพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะเข้านอนพร้อมกันและตื่นขึ้นมาครบสามสิบสอง
ที่นี่คือป่า...เขาไม่รู้ว่ามันมีตัวอะไรบ้าง คนที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ทั้งสัตว์ที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนก็อันตรายทั้งนั้น
“ไหวเหรอมึงอ่ะ?” ลู่หานถามพลางมุดหัวออกมาจากเต็นท์หลังจากเข้าไปจัดเตรียมที่นอนเรียบร้อยแล้ว
“เออไหว” จงอินหันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกองไฟ ตั้งแต่กลางวันแล้วนะที่ทั้งคู่เอาแต่มองหน้ากันโดยที่ไม่พูดอะไรเลย แววตาคู่นั้นเปลี่ยนไป ไม่ใช่แววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาเหมือนตอนที่กำลังหาทางหนีออกจากโกดังเมื่อวานนี้
แบคฮยอนสะกิดแขนเซฮุนให้ไปดูชานชอลหุงข้าวด้วยหม้อสนาม เขาต้องฝึกเอาไว้เผื่อว่าวันหน้าจะได้หุงข้าวให้คนอื่นกิน เด็กหนุ่มทั้งสองคนตั้งหน้าตั้งตาฟังชานยอลอธิบายจนจงอินกับลู่หานอดสงสัยไม่ได้ว่าหมอนี่มันรู้ไปซะทุกเรื่องเลยหรือไง?
“เราต้องคอยดูเรื่อย ๆ เพราะถ้าละสายตาไปนานข้าวที่อยู่ข้างล่างหม้ออาจจะไหม้ได้” ชานยอลหันไปอธิบายซึ่งเด็กทั้งสองคนก็พยักหน้าเข้าใจ “วิธีสังเกตก็คือตอนที่น้ำเดือดจนล้นออกมา พอน้ำหยุดไหลก็ลองเอาไม้เคาะดูครับ ถ้าเสียงมันแน่นแสดงว่าข้าวเริ่มสุกแล้ว”
“ไปรู้มาได้ไงวะ จากหนังสือเหรอ?” ลู่หานถาม รู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก
“ผมพอมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้างสมัยเป็นทหารเกณฑ์น่ะ พวกเราใช้วิธีหุงข้าวกันแบบนี้ตอนเข้าป่า” ชานยอลยิ้มบาง ๆ
“ก็ดี” ลู่หานยักไหล่แล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเอาไม้เขี่ยกองไฟอยู่ “แล้วมึงอ่ะไม่เคยเป็นทหารไง?”
“ยังไม่ถึงเวลา สักสามสิบค่อยเข้ายังไม่สาย” จงอินตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ผ่อนผันได้กี่ปีวะ”
“น่าจะแปดปี? ใช่ปะวะชานยอล?” จงอินถามความเห็นจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งชานยอลก็พยักหน้าเป็นคำตอบ “เออ แต่ตอนนี้กูสบายดากละ คงไม่มีกรมที่ไหนยื่นหมายเรียกตามให้กูไปรับใช้ชาติแล้ว ณ จุดนี้”
“แต่มีที่ ๆ นึงที่กำลังจะส่งหมายเรียกให้มึงไปประจำการนะ” จงอินหันไปเลิกคิ้วมองลู่หานที่กำลังทำท่าเหมือนจะยิงมุขห่าอะไรใส่เขา
“ที่ไหนอีกล่ะ”
“นรก”
“ไว้มึงลงไปเซอร์เวย์ก่อนเดี๋ยวกูตามไปทีหลัง” พูดจบก็หันไปโบกกระบาลลู่หานแรง ๆ สักทีข้อหาหมั่นไส้ วันนี้ทั้งวันเห็นทำตัวเป็นพระเอกพอตกดึกแล้วแกว่งปากหาตีนไม่หยุดเชียวนะ
“ว่าแต่อี้ฟานไปไหนวะ?”
“เห็นบอกว่าลืมของไว้ที่รถเดี๋ยวคงมาแหละ มึงคิดถึงเหรอ?”
“มากอ่ะ” ลู่หานตอบทันที ทั้งคู่ยังคงขบกัดกันอยู่อย่างนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งสามคนได้เป็นอย่างดี
รอยยิ้มที่จางหายไปตั้งแต่รถขับออกมาจากโรงเรียน...
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ตอนนี้มีเพียงแค่เสียงท่อนไม้แตกยามถูกไฟแผดเผาเท่านั้น การสอนหุงข้าวจบสิ้นไปตั้งแต่บทสนทนาก่อนหน้านี้ บรรยากาศเงียบเหงาชวนให้นึกถึงสถานที่เดิม ๆ ที่เพิ่งจากมา ทุกคนต่างไม่คุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
มันต่างจากตอนที่ต้องหาที่พักอาศัยใหม่หลังจากที่บ้านอี้ฟานถูกเผาไปเมื่อคราวนั้น โรงเรียนมีเด็ก ๆ ที่น่าเป็นห่วง เด็กที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหลบซ่อนอยู่ในสถานที่แบบนั้นและให้คนที่มีความกล้ามากที่สุดเสียสละตัวเองออกไปเสี่ยงหาเสบียงมาให้คนอื่น ๆ ประทังชีวิตไปจนกว่าจะไร้หนทาง แต่ในเมื่อเขาเสนอทางเลือกให้แล้วแต่ฝ่ายนั้นไม่เห็นด้วย มันคงเป็นเรื่องยากที่จะบังคับจิตใจคนอื่น
“มึงว่าที่โรงเรียนจะกินข้าวกันยังวะ”
“น่าจะกินแล้วมั้ง เจ๊แกคงไม่ปล่อยให้เด็ก ๆ หิวหรอก” จงอินตอบทั้งที่ยังคงจดจ้องอยู่กับกองไฟ ตอนนี้ชานยอลกำลังจะทำอาหารโดยมีแบคฮยอนเป็นลูกมือ ส่วนเซฮุนนั่งลูบขนลูกหมาที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ
“กูไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนั้นถึงไม่ยอมมากับเรา”
“ตอนเป็นเด็กมึงเคยกลัวหมาป่ะล่ะ?” จงอินมองหน้าลู่หานด้วยแววตานิ่งเฉย “แค่เห็นมันนอนอยู่หน้าบ้านกูก็ไม่กล้าเดินผ่านแล้ว” ลู่หานถอนหายใจ
ด้วยความที่เป็นเด็ก ความหวาดกลัวต่าง ๆ มีมากมายจนไม่กล้าออกมาเผชิญกับโลกภายนอก แต่การที่ทนฝืนอยู่ที่นั่นต่อไปสักวันหนึ่งก็ต้องย้ายออกอยู่ดีไม่ใช่หรือไง
“...”
ทุกสายตาหันไปมองร่างผอมที่นอนชักกระตุกอยู่บนพื้นผ้ายาง จงอินดึงไขควงออกมากำไว้ในขณะที่ชานยอลดันเด็กหนุ่มทั้งสองคนให้ไปหลบอยู่ข้างหลังเขา เปลือกตาบางเบิกโพลงราวกับตกใจอะไรบางอย่างและคนอื่น ๆ เองก็เช่นกันเมื่อร่างนั้นลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นกลัว
“#&%^(&*)*(_$%@#%@%”
“ว้อท?” จงอินสบถหลังจากที่ผู้ชายคนนั้นร่ายภาษาจีนออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอีกทั้งร่างกายยังสั่นเทาเพราะความกลัวราวกับพวกเขาเป็นผี
“$%&^&(*()*$%^#$%” ทุกสายตาหันไปมองลู่หานที่กำลังพยายามเจรจากับอีกฝ่ายด้วยภาษาจีน นี่พวกเขาแทบลืมไปแล้วว่ามันก็เป็นคนจีนเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าการเจรจาจะไม่ได้ผลเมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มคนนั้นก็ร้องไห้แล้วลุกขึ้นวิ่งหนีออกไป
“ชิบหายแล้ว ตามดิมึง!”
“จงอิน!” เซฮุนโยนไฟฉายให้ซึ่งร่างหนาก็รับมันได้แล้วทั้งคู่ก็รีบวิ่งตามชายหนุ่มคนนั้นที่วิ่งหายเข้าไปในป่า
แซ่ก แซ่ก แซ่ก!!!
เสียงแหวกกิ่งก้านใบไม้ในหนทางมืดมิด มีแค่แสงสว่างจากไฟฉายที่ส่องให้เห็นพิกัดของผู้ชายคนนั้นได้ แม้ว่าจะเพิ่งเจออุบัติเหตุมาแต่ร่างผอมบางแบบนั้นกลับวิ่งเร็วได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“มึงบอกให้เขาหยุดดิวะ!”
“บอกห่าไรล่ะ เมื่อกี้กูถามว่า ‘เป็นอะไรมากไหม?’ แม่งยังไม่สนใจจะตอบคำถามกูเลยเนี่ย!”
“อ่ะ!!”
ทั้งคู่หยุดฝีเท้าพลางส่องไฟฉายไปยังร่างสูงที่รวบตัวอีกคนเอาไว้เพื่อกันไม่ให้วิ่งหนีไปได้อีก ร่างนั้นยังคงดิ้นพล่านอยู่ในอ้อมกอดของอี้ฟานพร้อมกับพ่นภาษาจีนออกมาไม่หยุดตอนนี้มีเพียงแค่จงอินที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกในขณะที่อี้ฟานกับลู่หานกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกคนพูด
“ปล่อยผม! อย่า! อย่า...ผมกลัวแล้ว...อย่า...ฮืออ...”
“โฮ่ง!”
ชานยอลหยิบปืนที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาพลางเล็งเข้าไปในความมืดหลังจากที่เจ้าหมาโกลเด้นเห่าจนกระทั่งเห็นแสงไฟฉายเขาถึงได้ลดปืนลง คนแรกที่เดินเข้ามาคือจงอินและตามมาด้วยลู่หานกับอี้ฟานที่มีใครอีกคนขี่หลังเข้ามาด้วย
ร่างสูงวางคนที่เอาแต่สะอื้นอย่างหนักไว้บนผ้ายางที่ปูอยู่บนพื้นก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ทุกสายตามองไปยังผู้ชายคนนั้นที่หดขาเข้าหาตัวเองพร้อมกับซุกหน้าลงกับหัวเข่าแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก
เป็นอย่างนั้นอยู่นานกว่าจะสงบลงได้ นัยน์ตาเรียวเหม่อลอยไปข้างหน้าราวกับคนเสียสติ คราบน้ำตายังคงวาดเป็นทางยาวก่อนจะค่อย ๆ เหือดหายไป อี้ฟานลุกขึ้นไปขอจานข้าวจากชานยอลแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิมหากแต่คนข้าง ๆ กลับสะดุ้งแล้วถดตัวออกห่าง
“หิวไหม?” คงมีแค่ลู่หานคนเดียวที่ฟังออก อี้ฟานยิ้มบาง ๆ เพื่อให้คนข้าง ๆ ผ่อนคลายพลางยื่นจานข้าวเข้าไปหา “ทานหน่อยนะครับ คุณจะได้มีแรง”
“...”
“ผมชื่ออู๋อี้ฟาน เป็นคนจีนเหมือนกัน คุณชื่ออะไรเหรอครับ?”
“...”
ดูเหมือนว่าการเจรจาของอี้ฟานจะล้มเหลวเมื่อคนข้าง ๆ ไม่ได้สนใจฟังเขาเลยแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปเพียงแค่ครู่เดียวร่างสูงก็กลับมายิ้มอีกครั้ง เขาวางจานข้าวลงแล้วหันกลับไป
“ถ้าคุณหิวก็ทานได้เลยนะ ผมวางไว้ตรงนี้”
“...”
“แต่ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนพักในเต็นท์ข้าง ๆ นี่” อี้ฟานชี้ไปยังเต็นท์ที่อยู่ใกล้มือที่สุด ชายหนุ่มหันมามองหน้าเขาก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง
“ช่วย...ผมไว้ทำไม...”
“...”
“ผม...ไม่อยากอยู่แล้ว...” ร่างผอมทิ้งตัวลงไปทางด้านข้างราวกับแรงโน้มถ่วงแต่อี้ฟานคว้าเอาไว้ทัน เซฮุนรีบเข้ามาจัดกระเป๋าให้อยู่ในระดับพอดีก่อนที่อี้ฟานจะประคองอีกฝ่ายให้นอนลง ทุกคนได้เพียงแต่ปล่อยให้ชายหนุ่มคนนั้นนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นจนกระทั่งหลับไปทั้งที่น้ำตายังนองหน้า
“เขาคงกำลังช็อกอยู่น่ะ คงเพิ่งเจอเรื่องแย่ ๆ มา”
“เมื่อกี้เขาพูดอะไรวะ?” พอได้ยินจงอินถามอี้ฟานกับลู่หานก็หันไปมองหน้ากัน
“เขาถามว่าช่วยไว้ทำไม เขาไม่อยากอยู่แล้ว”
“อ้าว”
“เขาฟังภาษาเกาหลีออกหรือเปล่าครับ?” แบคฮยอนถามคำถามที่คนอื่น ๆ ก็ต้องการคำตอบเช่นกัน ทุกคนหันไปมองร่างผอมบางที่ผล็อยหลับไปแล้วก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง
“อาจจะ?”
“เมื่อกี้กูได้ยินเขาแหกปากบอกว่าอย่า ๆ ๆ ๆ ถ้าเดาไม่ผิดหมอนี่คงโดนปล้นแน่ ๆ ” ลู่หานพูด
“เดาไปก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา ผมว่ารอเขาสงบลงแล้วค่อยคุยกันอีกทีดีกว่า” ทุกคนพยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับอาหารมื้อเย็น
ตกดึก...
ทุกคนหลับไปแล้วเหลือเพียงแค่จงอินที่อยู่เฝ้ายาม เต็นท์ทางด้านซ้ายสุดคือคนแปลกหน้ากับอี้ฟานที่อาสาว่าจะอยู่คุมอาการ(คนบ้า)แทนเอง เพราะถ้าจะให้เป็นคนอื่นก็คงไม่ไหว ลำพังพวกนั้นก็ยังเอาตัวเองก็ยังไม่รอดเชื่อเถอะว่าถ้าเอนหลังนอนเมื่อไหร่เป็นหลับตาย เต็นท์ถัดไปคือลู่หานกับเซฮุน ส่วนเต็นท์ทางด้านขวาสุดคือชานยอลกับแบคฮยอน
ร่างหนาเลิกคิ้วมองเมื่อจู่ ๆ เจ้าหมาสุดที่รักของชานยอลก็คลานเข้ามานอนตรงหน้าตักเขาหนำซ้ำยังบดเบียดเข้ามาราวกับต้องการความเอ็นดูอีก แต่ต้องขอโทษอย่างนึงที่ผู้ชายอย่างคิมจงอินไม่ใช่คนรักสัตว์ เพราะฉะนั้นร่างหนาถึงได้เอาเท้าเขี่ย ๆ มันออกอย่างรำคาญ
“ลูบหัวมันหน่อยสิครับ”
“...” จงอินเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบใครอีกคนที่เดินออกมาจากเต็นท์ ร่างบางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“นอนไม่หลับหรือไง”
“ครับ ไม่รู้เป็นเพราะว่านอนมาแล้วทั้งวัน หรือเป็นเพราะว่าแปลกที่กันแน่” เซฮุนชันขาขึ้นพร้อมกับเอาคางเกยหัวเข่า
“ก็แล้วไป” จงอินยังคงเก็บอาการได้ดี เขาไม่ได้มีท่าทีเลิกลั่กขณะสบตากับเซฮุนเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมเหรอครับ”
“นึกว่าปวดตัวเลยนอนไม่หลับ” ประโยคนี้เบาลงราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า ร่างบางหน้าขึ้นสีเล็กน้อยแต่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคงไม่สังเกตเห็นเพราะแสงจากกองไฟทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นสีส้ม
“ถ้าผมปวดจริง ๆ คุณจะทำยังไงเหรอครับ...” เซฮุนถามเสียงแผ่วทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย บทสนทนาเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อเข้าถึงเรื่องระหว่างเขาทั้งคู่
“ก็คงเอาพาราให้กิน...แล้วก็บอกให้นายไปนอน” ในตอนนี้คิมจงอินอยากจะขอบคุณหมาตัวนี้จริง ๆ ที่มันทำให้มือของเขามีที่วาง มือหนาลูบไปตามกลุ่มขนยาวของหมาโกลเด้นพร้อมกับเกาคางให้เหมือนที่ชานยอลทำเมื่อตอนหัวค่ำโดยไม่ได้มีความรู้สึกเอ็นดูมันเลยสักนิดเดียว
“แต่ถ้าไม่ปวด ผมก็อยู่เป็นเพื่อนคุณได้ใช่ไหมครับ”
“...”
“ผม...ไปนั่งตรงนั้นได้หรือเปล่าครับจงอิน” ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมองอีกฝ่ายเล็กน้อยเหมือนกับเด็กที่กำลังขออนุญาตผู้ใหญ่ ไม่ยักรู้ว่าเด็กอย่างโอเซฮุนจะมีมุมอ้อนแอ้นแบบนี้กับเขาด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงด่าไปเพราะความหมั่นไส้แต่ตอนนี้มัน...
“ไม่มีใครห้ามนี่” ร่างหนาก้มหน้าลงไปเล่นกับหมาอีกครั้ง ว่าแต่การเล่นกับหมานี่มันเล่นกันยังไงบ้างวะนอกจากลูบขน เกาคาง กับชักว่าวให้หมาเนี่ย
รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่วูบเดียวก็รู้ว่าเป็นกลิ่นประจำตัวของใคร เซฮุนนั่งลงข้าง ๆ เขาพร้อมกับหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาเขี่ยกองไฟ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ว่าอึดอัดแล้ว พอมานั่งตรงนี้ยิ่งอึดอัดกว่าเดิม ถ้าเกิดว่าคำถามในหัวของคิมจงอินมีช๊อยส์ให้เลือกบ้างก็คงดีหรอก
“สรุปเราจะพาเขาไปด้วยกันใช่ไหมครับ?”
“ก็คงอย่างนั้นมั้ง แต่เห็นอี้ฟานบอกว่าจะลองขับกลับไปที่เดิมก่อนเผื่อว่าจะเจอญาติพี่น้องของผู้ชายคนนั้น”
“อ๋อ...ครับ”
เงียบ...
ด้วยความอึดอัดที่ทั้งคู่มีให้กันอย่างไม่ตั้งใจหลังจากเกิดเรื่องนั้น ต่างคนต่างไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีหากแต่เขาทั้งสองกลับไม่รู้วิธีแสดงออกมา เซฮุนหายใจเข้าลึก ๆ จงอินคงไม่รู้ว่าเขาต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหนกว่าจะออกมาจากเต็นท์ได้
“โอ๊ย!” ร่างบางชักมือกลับเมื่อสะเก็ดไฟกระเด็นถูกมือตอนที่เขากำลังใส่ท่อนฟืนเข้าไป จงอินคว้ามือเรียวขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วงก่อนจะค่อย ๆ คลายออกพอหลวม ๆ เพื่อไม่ให้เซฮุนเจ็บ
“ตรงไหน?”
“ผมไม่เป็นไรครับ...” เซฮุนช้อนตามองคนข้าง ๆ ที่ขมวดคิ้วมุ่นขณะตรวจดูรอยแผลบนมือเขา ลมเย็น ๆ จากริมฝีปากของจงอินค่อย ๆ รดลงบนมือเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บให้ทุเลาลง ทั้งที่จริงแล้วเขาแค่ตกใจ ไม่ได้เจ็บอะไรอย่างที่จงอินคิดหรอก...
“ระวังหน่อยสิ” จงอินลดสีหน้าลงกลับเข้าสู่โหมดเดิมอีกครั้งแล้วหันหน้าเข้าหากองไฟเมื่อเห็นว่าเซฮุนไม่เป็นอะไรแล้ว
ร่างบางพยักหน้ารับแล้วก้มลงมองมือตัวเองที่ลดระดับลงไปวางอยู่ข้างตัวทั้งที่ยังถูกกุมไว้โดยใครอีกคน ในหัวเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมจงอินถึงไม่ปล่อยมือเขา ออกแรงชักมือกลับเล็กน้อยเพื่อลองดูแต่มือหนากลับสอดประสานกับมือของเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น...แน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าคมหันมาสบตากับอีกฝ่ายอย่างมีความหมายก่อนที่ร่างหนาจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาอย่างช้า ๆ
“บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังตัว...”
พูดจบเปลือกตาบางก็ปิดลงโดยอัตโนมัติเมื่อจงอินเลื่อนเข้ามาประกบริมฝีปาก จูบอ่อนโยนที่มาจากผู้ชายชื่อคิมจงอินทำให้หัวใจของโอเซฮุนใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก สองมือยังคงสอดประสานกันแน่นราวกับย้ำให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยมือไปไหน
ลิ้นร้อนกำลังไล่กวาดเอาความหวานจากโพรงปากของคนที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจูบ มือข้างที่ว่างยกขึ้นโอบใบหน้าเรียวให้เอียงคอเพื่อปรับองศาจูบให้ได้ถนัดขึ้น จูบเนิบนาบ เชื่องช้า ค่อยเป็นค่อยไปกำลังเติมเต็มความรู้สึกที่เคยว่างเปล่า...มันกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เขาทั้งคู่ไม่รู้ตัว
ริมฝีปากหยักละออกมาจูบแก้มเนียนเบา ๆ เซฮุนหลับตาพริ้มรับสัมผัสอ่อนโยนจากผู้ชายคนนี้ ทั้งคู่ผละออกจากกันเล็กน้อยก่อนจะเอาหน้าผากชนกัน
“นี่คือบทลงโทษของคนที่ไม่ยอมหลับยอมนอน”
“...ครับ” เซฮุนอมยิ้มพลางทาบมือลงบนหลังมือหนาที่วางอยู่บนแก้มเขา จงอินยิ้มบาง ๆ โดยที่ไม่ให้อีกคนเห็น หรือว่าที่นั่งเซ็งมาตลอดทั้งคืน...มันเป็นเพราะเขารอให้เซฮุนออกมานั่งอยู่ตรงนี้กันนะ?
“หาวววว~”
ลู่หานบิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น ทุกคนจัดการธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็เก็บของกลับไปที่รถ ผู้ชายคนนั้นยังคงเหม่อลอยไม่มีท่าทีว่าจะปริปากพูดอะไร แต่อี้ฟานบอกไว้ว่าอย่าเพิ่งถาม อย่าเพิ่งซักไซ้คนที่กำลังตกอยู่ในความเศร้าพวกเขาเลยจัดการแต่เรื่องของตัวเอง
ขับวนไปที่เดิมแล้วลงไปสำรวจป่าข้างในนั้นก็พบเพียงแค่ซากกระเป๋าเป้ที่ตกอยู่ จงอินเก็บมันขึ้นมาสะพายเอาไว้แล้วกลับไปที่รถหลังจากไม่พบวี่แววของญาติพี่น้องผู้รอดชีวิตของผู้ชายคนนี้เลย
“กระเป๋ามีน้ำเปล่าอยู่ขวดนึง หนังสือท่องเที่ยวเกาหลี หนังสือสอนเรียนภาษาเกาหลีเบื้องต้นกับบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน” จงอินวางหนังสือแต่ละเล่มลงบนหน้ากระโปรงรถ มีเพียงแค่สมาชิกใหม่เท่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย
“คิดว่าจะเป็นของเขาหรือเปล่า?” ชานยอลถาม
“แปป” จงอินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วเอากล้อง DSLR สีดำขึ้นมา “ต้องนายแล้วล่ะ” ร่างหนายื่นกล้องให้เพราะใช้ไม่เป็นซึ่งชานยอลก็รับมันมาเปิดดู
“ยังมีแบตเหลืออยู่” ทุกคนให้ความสนใจกับกล้องในมือชานยอลที่ยื่นออกมาในระดับที่ให้ทุกคนเห็นได้พอดี และก็เดาเอาไว้ไม่ผิด มันคือกระเป๋าของผู้ชายคนนั้นจริง ๆ เมื่อพบว่ารูปที่อยู่ข้างในมีแต่รูปเขากับพ่อแม่
“มีคลิปด้วย”
ชานยอลกดปุ่ม Play ในคลิปได้ยินแต่บทสนทนาที่เป็นภาษาจีน คนแก่สองคนที่กอดเอวกันยืนอยู่หน้าสวนดอกไม้กำลังยิ้มพร้อมกับโบกมือให้กล้อง ภาพเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความสุข เบื้องหลังสองคนนั้นมีคนถือธงเดินนำพร้อมกับเสียงตะโกนเรียก
“ไปกันเถอะอี้ชิง!”
“อีกนิดนึงครับป๊า!” ชายหนุ่มหันกล้องเข้าหาตัว ลักยิ้มบุ๋มบนแก้มทั้งสองข้างกับเสียงหัวเราะจนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่นั่งเหม่ออยู่ในรถกับคนที่มีรอยยิ้มสดใสอยู่ในคลิปจะเป็นคนเดียวกัน
“อี้ชิงงั้นเหรอ?”
“อะไรอี้ชิงนะ?” จงอินขมวดคิ้วสงสัย เมื่อกี้บอกเลยว่าเขาฟังไม่รู้เรื่องกับภาษาจีนในคลิปนั่น อะไรก็ไม่รู้ช้งเช้ง ๆ
“ชื่อเขาไงควายเอ๊ย เอาหญ้าสักกำไหม” ลู่หานตบหัวจงอินจนหน้าทิ่มไปเล็กน้อย เจ้าตัวลูบหัวตัวเองป้อย ๆ ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ในขณะที่คนอื่น ๆ เดินไปขึ้นรถกันหมดแล้ว
“ก็กูฟังภาษาจีนไม่ออกอ่ะ”
รถกระบะสีดำจอดลงก่อนที่ร่างสูงทั้งสองคนจะเดินออกมาจากประตูรถ ลู่หานที่ขับตามมาเลื่อนกระจกลงแล้วชะโงกหน้าออกไป
“มีไรอ่ะ?”
“เราคงวิ่งถนนเส้นนี้ไม่ได้ มีรถจอดขวางทางขาออกอยู่เต็มไปหมดคุณดูสิ” อี้ฟานถอนหายใจแล้วมองไปยังสุดสายตา จงอินเปิดประตูรถออกมาแล้วหรี่ตามอง “ผู้คนในแทจอนคงใช้ทางนี้หนีเข้าช็อลลาเหนือกันหมด ในขณะที่เส้นทางขาเข้าไม่มีรถสักคันเดียว” ร่างสูงชี้ไปยังถนนเส้นหกเลนด้านข้างที่มีเกาะกลางถนนคั่นอยู่
“ต้องวนรถกลับไปยูเทิร์นสินะ” ลู่หานเดินตามออกมาพร้อมกับคนอื่น ๆ ยกเว้น ‘อี้ชิง’ ที่ยังคงนั่งอยู่ในรถ
“ไหน ๆ ก็ได้มาแล้วก็แวะหาของที่พอจะใช้ได้แล้วกัน” จงอินเดินกลับมาพร้อมกับโยนถังน้ำมันสีส้มให้ชานยอลและลู่หาน ทั้งคู่เดินแยกกันไปคนละทางเพื่อถ่ายเอาน้ำมันรถ เซฮุนแยกไปหาของก่อนส่วนแบคฮยอนที่กระเป๋าเป้เต็มแล้วเลยกลับไปที่รถเพื่อขอยืมเป้ของอี้ชิง
“อี้ชิง ผมขอยืมกระเป๋าเป้คุณหน่อยนะ”
“...”
“อ่า...คุณคงฟังไม่รู้เรื่อง งั้นผมขอยืมก่อนแล้วจะเอามาคืนนะครับ” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ เมื่ออีกฝ่ายยังมีท่าทีนิ่งเฉย
คนตัวเล็กเดินไปสำรวจรถทีละคัน เอาข้อมือถูเอาฝุ่นออกจากกระจกรถแล้วส่องเข้าไปก่อนจะเปิดประตูออก สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพแห้งที่อยู่ข้างใน แบคฮยอนยกมือขึ้นปิดจมูกพลางนิ่วหน้าแล้วใช้มืออีกข้างดึงศพออกมาข้างนอก
ร่างเล็กนั่งลงบนเบาะคนขับ เปิดเก๊ะหน้ารถออกมาค้นของแล้วก็พบเพียงแค่ซองบุหรี่กับสมาร์ทโฟนเท่านั้น แบคฮยอนตัดใจจากรถคันนี้แล้วเดินไปหาเซฮุนที่กำลังยกแพ็คขวดน้ำเปล่าไปที่รถ
“ฉันช่วยนะ”
“เอาสิ ที่รถยังมีอีกสองแพ็ค”
“โอเค” แบคฮยอนวิ่งกลับไปยังรถคันหนึ่งที่เปิดท้ายทิ้งไว้ น้ำเปล่าเป็นสิ่งจำเป็นอันดับต้น ๆ ที่พวกเขาจะขาดมันไปไม่ได้ เขาเอาแพ็คขวดน้ำขึ้นมาซ้อนทับกันก่อนจะค่อย ๆ เดินกลับไปที่รถอย่างระมัดระวัง
ลู่หานปิดฝาถังน้ำมันแล้ววางไว้ท้ายรถก่อนจะดีดหูเจ้าหมาโกลเด้นที่ยืนส่ายหางอยู่ท้ายกระบะไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้ เจ้าหมาลิ้นห้อยหันมาแลบลิ้นแหะ ๆ ใส่จนคนขี้แกล้งหลุดยิ้มออกมาได้ในครั้งแรกของวัน
“หน้าหมาเอ๊ย”
ลู่หานหัวเราะอีกครั้งเมื่อมันทำหน้าเคลิ้มตอนที่เขาเอามือทั้งสองข้างคลึงหน้ามัน แต่ทันใดนั้นเจ้าลูกหมาก็หันควับเมื่อเห็นอะไรบางอย่าง...
บางอย่างที่มีเพียงแค่สัตว์เท่านั้นที่รับรู้ได้ตามสัญชาติญาณ
“โฮ่ง!!”
“เฮ้ย เป็นไรวะ?” ลู่หานขมวดคิ้วมองเจ้าหมาตรงหน้าที่จู่ ๆ ก็ส่งเสียงเห่าขึ้นมาทั้งที่ปกติมันไม่เป็นแบบนี้ ทุกคนที่กำลังยุ่งกับหน้าที่ตัวเองหันมามองร่างโปร่งด้วยความสงสัย
“โฮ่ง!” ถึงเสียงเห่าของมันจะไม่ได้ดังมากนักแต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาทำให้มันเงียบปากได้ ลู่หานเก้ ๆ กัง ๆ เขายีหัวมันเบา ๆ เหมือนจะโอ๋ให้มันหยุดแต่เจ้าหมาโกลเด้นกลับวิ่งไปตรงท้ายกระบะ “โฮ่ง ๆ !!”
“เป็นอะไรน่ะ?”
“ไม่รู้แม่ง อยู่ดี ๆ ก็เห่าขึ้นมา” ลู่หานขมวดคิ้วพลางหันไปตอบชานยอลที่กำลังเข้าไปดูอาการสุนัขในความดูแลของเขาแต่มันก็ยังไม่ยอมหยุดเห่าอยู่ดี ลู่หานเอื้อมไปหยิบไรเฟิลที่อยู่บนเบาะหลังก่อนจะเหยียบล้อรถแล้วปีนขึ้นไปบนท้ายกระบะ
อยากรู้เหมือนกันแหละว่ามันเห่าเชี่ยอะไร
ไรเฟิลกระบอกยาวยกขึ้นตั้งลำตรงระดับหัวไหล่พร้อมกับใบหน้าที่เอียงองศาไปทางขวาเล็กน้อย เปลือกตาข้างซ้ายปิดลงตอนที่ตาข้างขวาส่องเข้าลำกล้องและเขาก็ได้คำตอบ...
“นึกว่ากรีดร้องอะไร...” ร่างโปร่งพึมพำเบา ๆ ก่อนจะดึงโบลเข้าหาตัวเตรียมพร้อมที่จะส่องหัวตัวกินคนที่กำลังเดินออกมาจากป่าทางด้านข้าง
“สาม สอง...” ยังไม่ทันนับหนึ่งลู่หานก็ต้องผละออกมาจากลำกล้อง ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ดูตื่นกลัวอะไรบางอย่างก่อนจะหันกลับไปมองข้างหลัง
“มีอะไรเหรอลู่หาน?” เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบในทันที ลู่หานส่องลำกล้องดูอีกครั้งแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าตัวกินคนที่เดินออกมาจากป่านั้นไม่ได้มีแค่ตัวเดียว...
แต่พวกมันกำลังมากันเป็นฝูง...
“ชิบหายแล้ว! เฮ้ย! พ่อมึงมาเป็นฝูงเลยว่ะ!” ลู่หานตะโกนบอกคนอื่น ๆ ที่กำลังหาของใช้จำเป็นอยู่กับรถที่จอดทิ้งเอาไว้ พอได้ยินอย่างนั้นจงอินก็ผิวปากเรียกเซฮุนให้ไปหาเขา
“เราต้องรีบหาที่หลบ” เพราะตอนนี้พวกเขาคงถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้ว ชานยอลเดินไปเปิดท้ายกระบะเพื่อปล่อยเจ้าหมาโกลเด้นแต่ยังไม่ทันไรมันก็กระโดดลงมาข้างล่างแล้ววิ่งเข้าหาพวกตัวกินคนพร้อมกับเห่าเสียงดัง
“อย่า!!” ยังไม่ทันได้วิ่งไปตามหมาร่างสูงก็ต้องชะงักเมื่อถูกลู่หานคว้าแขนเอาไว้
“โฮ่ง!!!”
“นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงหมา หันไปดูข้างหลังก่อน” ทั้งคู่หันไปมองคนอื่น ๆ ที่กำลังคิดไม่ตกกับการหาที่ซ่อนในตอนนี้ ไปทางซ้ายเจอเกาะกลางถนน ไปทางขวาเจอป่า ไปข้างหน้าก็มีแต่รถอยู่เต็มไปหมด
“!!!”
“เชี่ยเอ๊ย!” ลู่หานสบถอย่างหัวเสีย เขายกไรเฟิลขึ้นตั้งระดับหัวไหล่อีกครั้งก่อนจะเหนี่ยวไกใส่ตัวกินคนที่กำลังรุมกินหมาของปาร์คชานยอล ร่างสูงยืนอึ้งกับภาพที่เห็น เขาขยับขาไม่ออกจนกระทั่งลู่หานต้องลากเขาลงไปหลบใต้ท้องรถบรรทุก
“อี้ฟาน หมอบ!” จงอินชี้ลงที่พื้น น้ำเสียงของเขาเบาจนแทบจะเป็นกระซิบ ถึงร่างสูงจะยังไม่เข้าใจในสถานการณ์ในตอนนี้แต่เขาก็หลบเข้าไปซ่อนใต้ท้องรถตามจงอินกับเซฮุน
“แบคฮยอน!”
“...!!!” ร่างเล็กลนลานทำตัวไม่ถูกแต่พอจะเข้าไปหลบใต้ท้องรถก็ต้องหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีใครคนหนึ่งยังคงนั่งอยู่ในรถที่เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้
“อี้ชิง” แบคฮยอนหันกลับไปยังกระบะสีดำที่จอดอยู่แล้วก็พบว่าอี้ชิงยังคงนั่งอยู่ในนั้น ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปเปิดประตูออกแล้วดึงแขนอี้ชิงให้ออกมาด้วยกัน แม้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะปวกเปียกเซไปเซมาจนแทบล้มแต่แบคฮยอนก็ประคองเอาไว้ได้
“เข้าไปข้างล่างเร็วเข้า” แบคฮยอนพยายามดันคนตรงหน้าให้เข้าไปหลบใต้ท้องรถหากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย อี้ชิงยังคงยืนเฉยแม้ว่าพวกตัวกินคนจะเดินเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว “อี้ชิง!!”
“...”
“!!!” นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อจู่ ๆ อี้ชิงก็สะบัดแขนแบคฮยอนออกก่อนจะปีนข้ามไปอีกฝั่งแล้ววิ่งเข้าไปในป่า
“แบค...!!!” ชานยอลปิดปากลู่หานเอาไว้เมื่อพวกกินคนกำลังเดินผ่านมาทางนี้ในจังหวะที่แบคฮยอนตัดสินใจวิ่งตามอี้ชิงเข้าไปในป่า ร่างสูงกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่ลู่หานที่เป็นห่วงแบคฮยอนกับอี้ชิง เขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
สิ่งเดียวที่เห็นในตอนนี้คือขาที่สกปรกโสโครกของพวกตัวกินคนที่กำลังเดินเข้ามาเรื่อย ๆ เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่เขาก็จริงแต่ถ้าขืนโผล่ออกไปตอนนี้คงไม่ได้ตายดีแน่...
รอผมก่อนนะแบคฮยอน...
TBC
อาอี้
พี่มาก็สร้างงานสร้างอาชีพเลยนะคะแหม่
คุ้นฉากสุดท้ายนี้ไหมเอ่ย ฉากนี้เป็นฉากที่น้องโอ้รีเควสมาและมันมีอยู่ใน OPV ด้วยแหละ จะบอกว่าฉากนี้เอามาจาก The Walking Dead Season 2 ตอนแรกเลยจ้า ชอบมาก ๆ เป็นอะไรที่เท่สุด -/- เลยเอามาหากินน่ะค่ะ #คือร้ะ
เรามาลุ้นกันนะคะว่าอาอี้จะเป็นยังไงบ้าง แล้วน้องแบคจะตามอาอี้ทันไหม แล้วคนอื่น ๆ จะตามหาทั้งสองคนเจอหรือเปล่า หรือว่าจะพลัดหลง หรืออะไร หรือไง ถามทำไม งงจังเลย เงย เงย เงย #สติไปละ orz
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ มันเป็นงานเขียนง่อย ๆ ที่กลั่นออกมาจากความบ้าของมลินล้วน ๆ ค่ะ ชอบซอมบี้มากชนิดที่เก็บเอาไว้ไม่ไหวจนต้องกลั่นออกมาเป็นตัวอักษร... (แถมวายอีกต่างหาก)
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ มันจะมีบางตอนที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย เพราะมันต้องดำเนินเนื้อเรื่องน่ะค่ะ แต่ก็ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ทุกคอมเม้นท์ ทุกโหวต ทุกการกดแฟนพันธุ์แท้ ทุกเสียงสครีมในทวิต #ficzombie ทุกคนที่เข้ามาอ่านเลย <3
- เครดิตแปลไทยเพลง Gone มาจากทวิตของคุณ @ELLEFEEEE นะคะ ขอบคุณมากค่า
#ficzombie
ความคิดเห็น