คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 :: HURT
Chapter 2
HURT
กึก...กึก...
ค่อย ๆ ย่องฝีเท้าเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่สภาพเละเทะไม่มีชิ้นดี ข้าวของกระจัดกระจายอีกทั้งยังมีศพที่นอนแน่นิ่งอยู่ตามจุดต่าง ๆ รวมทั้งศพมีชีวิตที่กำลังคืบคลานไปตามทางทั้งที่ตัวขาดครึ่ง จงอินโผล่พ้นออกมาจากประตูทางเข้าเพียงเสี้ยวหน้า นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างใจเย็น เขาหันกลับไปยกมือห้ามทุกคนก่อนจะเดินออกไปข้างนอกตามลำพัง
ลู่หานและคนอื่น ๆ ชะเง้อมองอย่างใจจดใจจ่อ เจ้าสาวดูเหมือนจะทรุดตัวลงแต่ก็ได้แบคฮยอนมาช่วยประคองเอาไว้แม้ว่าเธอจะอยู่ในวงแขนของเจ้าบ่าวอยู่ก็ตาม ชานยอลเป็นห่วงคนรักที่หน้าซีดเซียวอีกทั้งยังตัวร้อนเหมือนไข้ขึ้นสูง เขาอุ้มเธอขึ้นมาในท่าเจ้าหญิงและเธอก็โอบรอบคอหนาเอาไว้เป็นที่ยึด
“เรียบร้อยแล้ว”
ทุกคนหันไปมองจงอินที่เดินกลับมาหยุดอยู่หน้าประตูพร้อมกับไขควงในมือ เลือดหยดลงตามปลายแท่งแหลม ร่างหนายืนหอบหายใจอยู่ครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าให้ทุกคนตามออกมา
ไอ้หมอนี่มันเลือดเย็นจริง ๆ
พวกเขาเดินเข้ามาในห้างอย่างระมัดระวัง ทุกคนมีอาวุธติดมือกันหมดยกเว้นชานยอลและคนรักของเขา จงอินที่เดินนำหน้าสุดหยุดยืนกับที่เมื่อเดินมาถึงวงกลมน้ำพุทะเลเลือดที่มีซากศพคนตายอย่างน่าอเนจอนาถลอยอยู่ในนั้น บางคนแขนขาด บางคนคอบิ่นเพราะถูกกัดกิน และบางคนที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาโหยหวนเมื่อเจอเหยื่อ
ร่างหนากระชับไขควงไว้ในมือแล้วทิ่มลงกลางลูกตาของผีดิบที่กำลังจะคลานออกจากน้ำพุ เขาสะบัดเลือดออกจากปลายอาวุธอยู่ในทีแล้วหันกลับไปมองเพื่อนร่วมทางที่ดูท่าจะยังไม่ชินกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“ถ้าจะฆ่ามัน ก็ต้องเล็งที่หัว” นิ้วชี้เคาะกลางขมับแล้วกวาดสายตามองหน้าทุกคน
“ทำไมต้องเล็งที่หัวด้วยล่ะ” แบคฮยอนเป็นคนเปิดคำถามที่คนอื่น ๆ ก็อยากรู้เช่นกัน จงอินเดินไปหยุดอยู่ข้างศพที่นอนอยู่บนพื้นหากแต่มือไม้ยังคงตะกุยตะกายหาเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า
“ตั้งแต่เกิดเรื่องบ้า ๆ นี่ขึ้น ฉันหนีตายมาได้ด้วยการฆ่าไอ้พวกเวรนี่เกือบยี่สิบตัว”
“ย...ยี่สิบคนเลยเหรอ?” แบคฮยอนตกใจที่ได้ยินจงอินพูดอย่างนั้น
“พยายามฆ่าทุกวิถีทาง ตั้งแต่เหยียบจนกระดูกหัก ฟาดด้วยประแจเหล็ก ยิงเข้ากลางหัวใจ แต่พวกมันก็ลุกขึ้นมาได้อยู่ดี”
“จริงอย่างที่เขาพูดนะ การทำลายที่หัวหยุดพวกมันได้จริง ๆ ” แบคโฮพูดเสริมหลังจากเจอมากับตัวถึงสองครั้งตั้งแต่จงอินช่วยชีวิตเอาไว้และตอนที่ไปช่วยชานยอลกับโฮจอง
“เลี่ยงได้จะดีที่สุด...แต่ไม่ว่ายังไงวิธีนี้ก็เป็นวิธีเดียวที่จะเก็บมันได้ เพราะฉะนั้นพวกนายควรเปลี่ยนอาวุธป้องกันตัวกันใหม่ได้แล้ว” จงอินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กพร้อมกับก้มลงมองไม้เบสบอลที่แบคฮยอนกอดเอาไว้แน่น
“ไอ้นี่อย่างเก่งก็ทำได้แค่ให้พวกมันล้มลง โยนทิ้งแล้วหาอย่างอื่นใช้เถอะ”
“ไม่ นี่เป็นของรักของหวงของพี่แบคโฮ ผมไม่โยนทิ้งเด็ดขาด” แบคฮยอนส่ายหน้าแล้วช้อนตามองอีกคน
“ตามใจ เดี๋ยวก็รู้” เขายักไหล่แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ “เราต้องแบ่งคนไปหาอาหาร”
“ทำไมเราไม่ไปพร้อมกันเลยล่ะ แยกกันแบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไม่พลัดหลงกันเหรอ?” แบคโฮถาม
“ฉันไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีตัวอะไรอยู่บ้าง ขืนแห่กันไปทั้งหมดเกรงว่าจะเพิ่มภาระเสียเปล่า ๆ ” จงอินมองไปยังแบคฮยอนกับโฮจองที่อยู่ในอ้อมกอดร่างสูง
“งั้นฉันไปกับนายเอง” ลู่หานพูดแล้วก้าวมาหยุดอยู่ข้าง ๆ จงอิน
“ผมไปด้วย”
“พี่แบคโฮ...” แบคฮยอนแย้งขึ้นมาทันทีพร้อมกับรั้งแขนพี่ชายเอาไว้ คนตัวเล็กส่ายหน้าพรืดราวกับอ้อนวอนคนเป็นพี่ให้อยู่กับเขา
“นายอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้รู้ว่าควรต้องทำยังไง” ประโยคนี้ของจงอินทำให้คนถูกมอบหมายขมวดคิ้วสงสัย จงอินกับลู่หานพยักหน้าอย่างรู้กันก่อนจะเดินเข้าไปข้างในเพื่อหาอาหารตามที่ต้องการ
ร่างสูงวางคนรักนั่งลงกับพื้นแล้วประคองร่างบางให้พิงกับเสาวงกลมขนาดใหญ่ สีหน้าของเธออิดโรยอีกทั้งยังมีหยาดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าและลำคอจนชุดเจ้าสาวดูมอมแมม ชานยอลยิ้มแม้ว่าหัวใจของเขากำลังอ่อนแรงลงเพราะอาการของคนตรงหน้า เขารีบถอดทักซิโด้สีขาวออกมารวบเอาไว้แล้วซับเหงื่อไคลบนดวงหน้าหวานอย่างเบามือ
“คุณต้องไม่เป็นอะไร เชื่อผมนะ”
“...” เธอไม่ตอบ ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อน ๆ ฝืนยิ้ม มือเรียวเล็กเอื้อมขึ้นมาทาบกับแก้มสากของคนรักก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
“ชานยอลคะ...”
“ว่าไงครับ?” ร่างสูงกุมมือเล็กไว้พร้อมกับพรมจูบลงอย่างอ่อนโยน อีโฮจองคือสิ่งสุดท้ายที่ปาร์คชานยอลเหลืออยู่ตั้งแต่เหตุการณ์โหดร้ายนี้ได้เกิดขึ้น...
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...” เธอกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอแล้วปรือตามองร่างสูง
“คุณต้องอยู่ต่อไปนะคะ...”
“...”
“มีชีวิต...อยู่ต่อไป...”
“คุณก็ด้วยโฮจอง...เราจะออกไปจากที่นี่ แล้วมีชีวิตอยู่ด้วยกัน” เขาฝืนยิ้มโง่ ๆ แม้ว่าคนตรงหน้าจะอ่อนแรงลงไปทุกที จนถึงตอนนี้ปาร์คชานยอลก็ยังไม่ยอมรับความจริง...
ไม่ยอมรับความจริงว่าอีโฮจองติดเชื้อแล้ว...
ตั้งแต่เมื่อวานที่เกิดเหตุการณ์บ้า ๆ นั่น...แขกมีหน้ามีตาในสังคมต่างเข้ามาในโถงกว้างของโรงแรมที่ถูกตกแต่งด้วยมืออาชีพ แสงสีเสียง เครื่องดื่ม อาหารทุกอย่างถูกเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยไม่ให้น้อยหน้าในงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวผู้รากมากดี
เสียงปรบมือดังก้องโถงกว้างเมื่อเจ้าบ่าวโน้มตัวลงเพื่อมอบจุมพิตให้กับเจ้าสาวที่ใคร ๆ ต่างก็อยากได้เป็นลูกสะใภ้ รอยยิ้มของความสุขแต่งแต้มบนใบหน้าของทั้งคู่ มันสุขล้นจนเขาไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีใครคนหนึ่งเข้ามาในงาน เดินโซซัดโซเซราวกับคนเมาจนบริกรที่ยืนอยู่ตรงข้างประตูต้องเข้ามาเชิญออกไปด้วยวาจาสุภาพ หากแต่ชายคนนั้นกลับไม่สนใจ เขายืนก้มหน้านิ่งทั้งที่ยืนเฉย ๆ ก็ยังทรงตัวไม่ตรง บริกรหนุ่มวางมือลงบนลาดไหล่หนาเมื่อการเจรจาไม่เป็นผลจนกระทั่งผู้ชายคนนั้นหันมากัดเข้าที่มือเขาอย่างแรง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เสียงร้องของความเจ็บปวดแผดลั่นไปทั่วโถงกว้างจนทุกคนในงานผันความสนใจจากคู่บ่าวสาวไปยังบริกรหนุ่มที่ยืนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่อาบมือของเขา
“นั่นอะไรน่ะ?”
“เขากัดผม!”
“คนบ้าเหรอ? คุณพระช่วย... รปภ. อยู่ไหน?!”
“แฮ่...”
ไม่รอให้ชายหนุ่มเสียสติได้เข้าหาคนอื่นในงาน รปภ. ทั้งสองนายก็กรูเข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ แต่ชายคนนั้นกลับแว้งกัดเข้าที่ไหล่ของ รปภ. ที่ล็อคแขนข้างขวาของเขาราวกับสุนัขบ้า
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”
“นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ เอาผู้ชายคนนั้นออกไปเร็วเข้า!”
“เขาตายแล้ว!” เสียงพนักงานสาวคนนึงตะโกนขึ้นเมื่อเธอเห็นบริกรหนุ่มนายนั้นนอนแน่นิ่งไม่ขยับตัว เธอนั่งคุกเข่าพร้อมกับปั้มหัวใจก่อนจะช่วยผายปอดราวกับคิดว่ามันจะได้ผล
“ใครก็ได้โทรแจ้งตำรวจที!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!” เสียงของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งหวีดลั่นเมื่อพนักงานสาวที่กำลังพยายามช่วยผายปอดถูกบริกรหนุ่มกัดปากจนขาดเป็นชิ้น ๆ เธอผละตัวจนหงายหลัง มือสั่น ขาสั่น พร้อมกับเอามือแตะปากตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือด...
บริกรหนุ่มไม่รอช้าขึ้นคร่อมทับหญิงสาวแล้วกัดเข้าที่หน้าเธอจนหลุดออกเป็นริ้ว เธอกรีดร้องดังลั่น สองมือพยายามทุบอกคนที่กำลังจะคร่าชีวิตเธอด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ไม่เป็นผล...เธอสิ้นใจลงในเวลาถัดมาและนอนเป็นอาหารจานเด็ดให้กับบริกรคนนั้นท่ามกลางสายตาคนนับร้อยในงาน
ชานยอลคว้าหญิงสาวเข้ามากอดไว้ขณะมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่ถูกกัดตายลุกขึ้นมาไล่ล่าคนอื่นได้ในเวลาถัดมา ผู้คนแตกตื่นวิ่งหนีหาทางออกอย่างไม่คิดชีวิต เบียดกันจนล้มพร้อมกับเหยียบซ้ำโดยไม่คิดห่วงอะไรใด ๆ
“พ่อ!!!”
“ช...ชานยอลคะ...”
“ชานยอล แกต้องรีบหนีแล้วนะ!” เพื่อนเจ้าบ่าวชาวจีน เฮนรี่ หลัว เข้ามาดึงแขนร่างสูงเอาไว้อีกทั้งยังจ้องหน้าเขาด้วยแววตาจริงจัง
“ฉันจะไปช่วยพ่อกับแม่”
“ไม่ได้! แกไม่เห็นเหรอว่าคนที่ถูกกัดก็จะกลายเป็นคนบ้าเหมือนกับบริกรคนนั้นน่ะ?!”
“แต่ฉันทิ้งพ่อแม่ไม่ได้!”
“ชานยอล!”
“โธ่เว้ย!” ร่างสูงกำหมัดแน่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท เขาจะทิ้งครอบครัวไว้ที่นี่ได้ยังไง? คนที่ให้กำเนิดเขา คนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนโตน่ะ...
ตอนนี้...กำลังวิ่งไล่กัดคนอื่นอย่างบ้าคลั่งไปแล้ว...
“พ่อ...แม่...”
“ชานยอลคะ...เราต้องไปแล้ว!” อีโฮจองเขย่าแขนร่างสูงเมื่อเหตุการณ์มันชักจะบานปลายจนเกินที่จะหยุดยั้งได้ หยดน้ำตาไหลลงอาบแก้มก่อนจะตัดใจพาเจ้าสาววิ่งหนีหาทางออกในเวลาถัดมา...
ในที่สุดเขากับอีโฮจองก็รอดออกมาได้ ทั้งคู่แอบอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดโรงแรมจนกระทั่งเหตุการณ์สงบลงแล้วค่อยตัดสินใจออกมา แต่เป็นเพราะเขาขาดความรอบคอบถึงได้ใช้ลิฟท์เป็นทางหนี ทันทีที่ลิฟท์เปิดออกร่างของอีโฮจองก็ถูกคนไร้สติพวกนั้นดึงเข้าไป
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด”
ชานยอลรีบคว้าร่างคนรักเอาไว้ ยื้อดึงกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเธอเสียหลักล้มลง อีโฮจองคลานหนีทุรนทุราย ในขณะที่ชานยอลเอาถังดับเพลิงฟาดหัวผีดิบในลิฟท์ไม่ยั้งจนกระทั่งประตูลิฟท์ปิด...
แกร๊ง!
ร่างสูงโยนถังดับเพลิงทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดีแล้วรีบเข้าไปประคองคนรักที่กำลังเสียขวัญเข้ามากอดปลอบ โฮจองสะอื้นจนตัวโยนอยู่ราว ๆ สามนาทีกว่าเธอจะหยุดลงได้
“เราต้องรีบไปกันแล้ว...คุณลุกไหวไหม?”
“ชานยอลคะ...” เธอกำเสื้อทักซิโด้สีขาวของร่างสูงเอาไว้ก่อนจะช้อนตามองคนรักทั้งที่น้ำตาคลอหน่วง คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันจนกระทั่งร่างบางดึงชายกระโปรงชุดเจ้าสาวขึ้นมาเหนือเข่า...
เธอถูกกัด...
.
.
“ซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ชั้นใต้ดิน ส่วนจุดขายอุปกรณ์กีฬาไปทางขวาโน้น...” ลู่หานอ่านพร้อมกับชะเง้อหน้ามองไปตามทาง จงอินยืนครุ่นคิดแล้วพยักหน้าก่อนที่เขาทั้งคู่จะเดินไปหยุดอยู่ตรงทางลงบันไดเลื่อน...
“ชิบหายแล้วไง”
พอมองลงไปข้างล่างก็พบกับเหล่าครอบครัวที่กำลังปาร์ตี้กินเนื้อคนอย่างหิวโหย เชื่อว่าเขาทั้งสองคนคงไม่มีเวลามายืนนับจำนวนผีดิบนั่นเพื่อความชัดเจน ถ้าลงไปทางนี้เห็นทีว่าต้องรันนิ่งแมนกันสนุกเลยล่ะ
“ใช้บันไดเลื่อนไม่ได้แล้ว ลงไปทางนี้โดนแดกแน่” จงอินพูดพลางถอนหายใจ
“แล้วลิฟท์อ่ะ”
“จะลองเสี่ยงดูไหมล่ะ” จงอินหันไปมองคนข้าง ๆ ลู่หานยืนคำนวณความเสี่ยงอยู่แค่อึดใจก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“งั้นทางหนีไฟเหอะ”
.
.
“...”
“...”
ชานยอลที่กำลังพินิจกับบาดแผลเหวอตรงขาข้างขวาของโฮจองนั้นค่อย ๆ เอี้ยวหน้าหันกลับไปมองเมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครอีกคนมองอยู่ และนั่นก็คือบยอนแบคฮยอนที่ยืนทำสีหน้าตื่นกลัวอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ
“ธ...เธอโดนกัดจริง ๆ ด้วย!” ในเวลานี้บยอนแบคฮยอนลืมตัวไปว่าเขาควรจะเบาเสียงให้มากกว่านี้เพื่อการอยู่รอด แต่เสียงของเขาก็เรียกความสนใจคนที่กำลังยืนสำรวจทางอย่างบยอนแบคโฮได้
ชานยอลลดสีหน้าลงแล้วค่อย ๆ ดึงชายกระโปรงลงมาปิดรอยแผลของโฮจองเอาไว้ แบคฮยอนเดินมาใกล้ ๆ แล้วหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย
“พี่แบคโฮ! คุณโฮจองโดนกัด!”
“จริงเหรอ?” ร่างสูงเดินเข้ามา ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไหร่ จริงอยู่ที่เขาเห็นเธอมีอาการแปลก ๆ แต่คิดว่าอาจจะมีไข้ขึ้นสูงเฉย ๆ แต่ว่า...
“เราจะต้องฆ่าเธอก่อนที่เธอจะเปลี่ยนแล้วฆ่าพวกเรานะ!” แม้ว่าคนตัวเล็กจะมีจุดประสงค์ดี หรืออะไรก็ตาม แต่คำพูดนั้นมันช่างยั่วโทสะของปาร์คชานยอลเสียเหลือเกิน ร่างสูงขบกรามแน่น เสียงจ้อแจ้ของบยอนแบคฮยอนกำลังทำให้เขาสติแตก
“แบคฮยอน ใจเย็น ๆ ก่อน...”
“เราจะใจเย็นไม่ได้แล้ว ผมจะไม่ยอมเสียใครไปทั้งนั้น คนที่ถูกกัดก็ต้องตาย ทุกคนก็รู้เรื่องนี้ดีนี่!”
“แบคฮยอน...”
“ฆ่าเธอซะ!”
“หุบปากสักทีเถอะ!!” ร่างสูงตวาดลั่นทำเอาคนที่ส่งเสียงมาตลอดก่อนหน้านี้เงียบลง ชานยอลเอาทักซิโด้คลุมไหล่ให้โฮจองก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กแล้วมองเข้าไปนัยน์ตาอย่างโกรธเคือง
“เราต้องฆ่าเธอ...คุณก็รู้...” แบคฮยอนเบาเสียงลง พอมาถึงตอนนี้เขาถึงได้รู้ตัวว่าเผลอพูดแบบไม่คิดออกไปจนทำให้ชานยอลโกรธ เขาเห็น...ว่าคนตรงหน้ากำลังจ้องเขาราวกับจะฆ่าให้ตาย
“ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ ผมจะเป็นคนจัดการเอง”
“ไม่ คุณทำไม่ได้หรอก” แบคฮยอนส่ายหน้าขณะมองร่างสูง จากที่สังเกตดูแล้ว ชานยอลรักโฮจองมาก คงไม่มีทางที่เขาจะกล้าลงมือทำแบบนั้นแน่
“...”
“ให้พี่ชายผมช่วยนะ” เขาล่ะอยากจะหัวเราะกับประโยคนี้จริง ๆ ให้ตาย...เห็นร้องโยเยมาตั้งแต่แรกก็คิดว่าจะลงมือเอง...แต่สุดท้ายก็โบ้ยให้คนอื่นทำ
“ผมจะไม่ทำ...จนกว่าเธอจะเปลี่ยน”
“พี่แบคโฮ” ในเมื่อชานยอลไม่ยอม เขาก็ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย แบคโฮมองทั้งคู่ด้วยความกังวล เขาไม่มีทางเข้าไปฆ่าโฮจองทั้งอย่างนั้นได้แน่ ไม่มีทาง...
“เราต้องฆ่าเธอ”
“ผมบอกว่าไม่...พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง?” เสียงลอดไรฟันที่มาพร้อมกับแววตาเกรี้ยวกราด แม้ว่าแบคฮยอนจะรู้สึกกลัวคนตรงหน้าแค่ไหน...แต่มันก็คงไม่น่ากลัวเท่าใครอีกคนที่อยู่ข้างหลังชานยอลหรอก...
“ค...คุณโฮจอง?!”
แบคฮยอนเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นร่างบางในชุดเจ้าสาวลุกขึ้นยืนได้ ชานยอลหันหลังกลับมองคนรักด้วยความตกใจเมื่อพบว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว...
สองมือเล็กที่เคยโอบกอด...กำลังยื่นมาข้างหน้า...
ริมฝีปากที่เคยจูบเพื่อแสดงความรัก...กำลังอ้ากว้างเมื่อเห็นเหยื่อ...
“โฮจอง...”
ริมฝีปากได้รูปสั่นเครือก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาอาบแก้ม แบคฮยอนมองร่างสูงที่กำลังร้องไห้สลับกับหญิงสาวที่กำลังก้าวตรงมาทางนี้อย่างทุลักทุเล
“แฮ่...”
“พี่แบคโฮ!!!”
“...” แบคโฮกำลังจะเดินเข้าไปปลิดชีวิตร่างบางเมื่อเห็นว่าชานยอลไม่มีท่าทีจะหยุดเธออย่างที่พูด แต่เขาก็ต้องชะงักมือเมื่อเห็นร่างสูงในชุดเจ้าบ่าวควักปืนออกมาจากข้างหลัง
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!”
“ผมรักคุณ...”
ปัง!!!!
“โอ้...” สองหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บอาหารกระป๋องในซุปเปอร์มาเกตชั้นใต้ดินเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างไม่ได้นัดหมายเมื่อได้ยินเสียงปืนลั่นเมื่อครู่ ทั้งคู่หลุบสายตาลงมามองอีกฝ่ายอย่างรู้กัน
“ท่าไม่ดีแล้วล่ะ”
“เออ รีบไปกันเหอะ” สองคนโกยข้าวของลงกระเป๋าเป้สำหรับเดินป่าที่เพิ่งไปจิ๊กมาจากโซนขายกระเป๋าก่อนจะรูดซิบเมื่อเก็บของได้พอสมควรแล้ว
.
.
แบคฮยอนยืนมองร่างของหญิงสาวที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นมาราว ๆ ห้านาที หลังจากที่ชานยอลเดินหายไปไหนก็ไม่รู้ ไม่มีการเข้าไปกอดอาลัยอาวรณ์ร่างคนรัก ถ้าปาร์คชานยอลไม่ใจแข็งมาก...เขาก็คงเป็นคนที่อ่อนไหวมากที่สุด
พูดไม่ออก...และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีในตอนนี้ แบคโฮเข้ามากอดน้องชายจากข้างหลังพร้อมกับเอาคางเกยหัวคนตัวเล็กและไม่ลืมที่จะกระซิบปลอบใจ
เพียงแค่ถูกกอดแบคฮยอนก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเหลืออด เขาทั้งรู้สึกผิดกับชานยอลและโฮจอง ถึงจะแค่ครู่เดียวที่ได้สบตากันแต่เขาก็พอจะรู้ว่าชานยอลคงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำไปแล้ว...
“ผมไม่ได้หวังร้าย...”
“พี่รู้...”
“ผมแค่กลัว...ว่าเธอจะทำร้ายเรา...”
“พี่เข้าใจ...ตอนนี้ชานยอลกำลังช็อค เราต้องให้เวลาเขานะ”
กึง!!!
ทั้งสองคนหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงอะไรกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง แล้วก็เห็นชานยอลยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับมีดเครื่องครัวและกระทะที่อยู่บนพื้น
“นี่คือสิ่งตอบแทนที่พวกคุณช่วยชีวิตผมเอาไว้ หวังว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้นะ”
“กระทะน่ะเหรอ?” แบคโฮถามคนที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ใช่...เอาไว้ป้องกันตัว จะบังหน้า บังอะไรก็ได้ มันคงเหมาะกับน้องชายคุณดี” พูดกับแบคโฮแต่สายตากลับมองไปยังคนตัวเล็กแล้วชานยอลก็เดินสวนไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
“คุณจะไปไหน?” สองพี่น้องเอี้ยวหันกลับพลางมองแผ่นหลังกว้างของร่างสูง ชานยอลหันหน้ากลับมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยเสียงเย็นชา
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องอยู่ที่นี่”
“แต่ว่าการอยู่ตัวคนเดียวข้างนอกมันอันตรายนะ” แบคโฮรู้ว่าตอนนี้ชานยอลกำลังรู้สึกแย่แค่ไหน ถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนั้นเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้หรือเปล่า
“อยู่ที่ไหน...มันก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ” พูดจบน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่บ่อยนักที่คนอย่างเขาจะเสียน้ำตาออกมาง่าย ๆ ชานยอลกลืนก้อนสะอื้นลงคอพลางขบกรามแน่น “ความจริงก็เห็น ๆ กันอยู่...”
“คุณพูดอย่างนั้น...ทั้งที่ตัวคุณนั่นแหละที่ไม่เคยยอมรับความจริงเลย!” จากที่เงียบมานานร่างเล็กก็โพล่งออกไปอย่างเหลืออด ประโยคนั้นยอมรับว่ามันปะทุความโทสะของเขาได้เป็นอย่างดี...ชานยอลหันหลังไปประจันหน้ากับสองพี่น้องแล้วก็แค่นหัวเราะ
“บยอนแบคฮยอน...”
“...”
“คนอย่างคุณน่ะ...มีสิทธิ์สั่งสอนคนอื่นด้วยหรือไง?”
“...”
เหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ทั้งสีหน้าและคำพูดที่เยือกเย็นกำลังกรีดหัวใจแบคฮยอนจนแทบจะร้องไห้ แบคโฮบีบไหล่เล็กเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ
โอเค...บยอนแบคฮยอนรู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่มีสิทธิ์ไปสั่งสอนใคร สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดมันอาจจะโง่และสิ้นคิด แต่อย่างน้อย...เขาก็แค่อยากให้ทุกคนมีชีวิตรอดไปด้วยกัน...
“ฮือออออ...”
“พระเจ้า...ไม่นะ...” แบคโฮเบิกตากว้างเมื่อเห็นเหล่าผีดิบแห่กันมาจากอีกฝั่ง เขาทั้งสามคนหันไปมองรอบข้างแล้วก็พบว่ามีผีดิบอีกกลุ่มที่กำลังตรงมาทางนี้เหมือนกัน แบคฮยอนกำไม้เบสบอลไว้แน่นขณะที่ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ
“มันมาตามเสียงปืนแน่ ๆ !”
“ทำยังไงดี จงอินกับลู่หานยังไม่กลับมาเลย!” แบคโฮชะเง้อหน้ามองเพื่อนร่วมชะตากรรมที่หายไปหาเสบียงกันพักใหญ่ ๆ แล้ว ชานยอลตั้งปืนขึ้นระดับหัวไหล่ เขาไม่ใช่คนแม่นปืนอะไรแต่ตอนเป็นเด็กก็เคยเข้าสนามยิงปืนกับพ่ออยู่บ่อยครั้ง
“เราอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วพี่แบคโฮ!”
“แต่ว่า...”
“เราต้องหนี!!!”
.
.
ปัง!
ประตูรถปิดลงก่อนที่สองพี่น้องจะหันหลังกลับไปมองทางเข้าห้างตรงลานจอดรถที่มีเหล่าผีดิบยืนกองกันอยู่ตรงนั้นจำนวนหนึ่ง พวกมันกำลังพยายามจะพังประตูที่แบคโฮใช้ขวานคั่นเอาไว้และดูเหมือนว่าจะกั้นไว้ได้อีกไม่นาน
“ออกรถสิ!!” แบคฮยอนตะโกนบอกชานยอลที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ ร่างสูงนิ่งเฉยแม้ว่าจะบิดกุญแจสตาร์ทรถแล้ว เขาไม่มีทีท่าตื่นกลัวอะไรเหมือนกับคนสิ้นหวังในชีวิต
“ออกรถ!!!”
“เคยสำนึกถึงบุญคุณคนอื่นบ้างหรือเปล่าบยอนแบคฮยอน?”
“...”
ตึง...ตึง...ตึง...
“แฮ่....”
“กร๊าซซซซซซซซซ”
ตึง...ตึง...ตึง...
มีแค่เสียงทุบประตูกับเสียงร้องโหยหวนของเหล่าผีดิบเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในตอนนี้ เป็นอีกครั้งที่บยอนแบคฮยอนรู้สึกเหมือนโดนปาร์คชานยอลตบหน้าด้วยคำพูด
“สองคนนั้นยอมไปเสี่ยงตายเพื่อหาอาหารมาให้ทุกคน...แต่สิ่งที่พวกเขาควรได้รับคืออะไร?”
“...”
“การถูกทอดทิ้ง?”
“...”
“ความตายงั้นเหรอ?”
น้ำเสียงเย็นชาบีบหัวใจคนได้ฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แบคฮยอนจิกมือลงบนหน้าขาแน่นจนพี่ชายต้องช่วยคลายออกให้
“ผมรู้ว่าคุณกำลังโกรธ...แต่แบคฮยอนไม่ได้หวังร้ายกับใครหรอกนะครับ”
“เพราะคุณก็เอาให้ท้ายแบบนี้ไง เขาถึงได้ยืนด้วยขาตัวเองไม่ได้”
“...”
“โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเป็นลูกแหง่อย่างกับเด็กผู้หญิง...”
“...”
เผาะ...
น้ำตาหยดลงบนหลังมือพี่ชายที่วางทาบทับกับหลังมือเล็ก แบคโฮมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเม้มริมฝีปากแน่น เขาไม่อยากให้ใครมาทำร้ายจิตใจแบคฮยอน...แต่ในเหตุการณ์แบบนี้ เขาก็ควรเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับน้องชาย แบคฮยอนต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้
เพราะบยอนแบคโฮก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ปกป้องแบคฮยอนไปได้ถึงเมื่อไหร่...
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
ทั้งสามคนหันไปทางด้านข้างพร้อมกันแล้วก็พบว่าจงอินกับลู่หานกำลังวิ่งหนีผีดิบที่กำลังตามมาอย่างไม่คิดชีวิต ร่างหนาเอี้ยวหน้าหันกลับไปยิงตัดกำลังเป็นระยะจนพวกมันหลายตัวล้มลงไป ถึงจะไม่แม่นโดนที่หัวแต่ก็พอถ่วงเวลาพวกมันเอาไว้ได้บ้าง
ชานยอลเข้าเกียร์แล้วขับไปหาทั้งคู่ แบคโฮเปิดประตูเบาะหลังให้พร้อมกับรับกระเป๋าเป้ใบใหญ่มาจากลู่หานอย่างรู้งานในขณะที่จงอินกำลังยิงสะกัดจนกระสุนหมดถึงขึ้นมานั่งข้างคนขับ
ชานยอลเหยียบคันเร่งจนมิด นัยน์ตาคมมองไปยังฝูงเหล่าผีดิบตรงหน้าที่กำลังมุ่งมาที่รถของเขา ความโกรธแค้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา...ก็เพราะพวกมัน
ตึก!!!...ตึก!!!...ตึก!!!...ตึก!!!...ตึก!!!...ตึก!!!
เสียงรถชนเข้ากับร่างผีดิบจนกระเด็นออกไปทางด้านข้าง บางตัวก็ถูกเหยียบจนเละคาล้อ เพราะแรงปะทะทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถกระชากไปตามแรง จงอินมองหน้าคนข้าง ๆ ที่กำลังกัดฟันกรอดขับชนผีดิบไม่ยั้งแล้วก็หันกลับไปมองข้างหลัง
เจ้าสาวคนนั้น...ตายแล้วสินะ...
“แล้วอีโฮ...”
“ชู่ว์...” จงอินเอานิ้วประริมฝีปากตัวเองแล้วส่ายหน้าขณะจ้องลู่หาน หนุ่มหน้าหวานอ้าปากค้างก่อนจะรีบตบปบปากทันที
.
.
คนตัวเล็กเอนตัวพิงกับเบาะหลังพลางทอดสายตาออกไปนอกรถ ตอนนี้พวกเขาขับออกมานอกเมืองกันแล้ว ข้างทางไม่มีพวกผีดิบโผล่ออกมาให้ได้ชนเล่นเหมือนก่อนหน้านี้ มีเพียงแค่ต้นไม้ โพรงหญ้าเท่านั้น
กระจกค่อย ๆ เลื่อนลงให้กระแสลมเย็นพัดผ่านเข้ามาหวังให้ช่วยรู้สึกดีขึ้นถึงแม้ว่ามันจะช่วยอะไรได้ไม่มาก คำพูดของปาร์คชานยอลยังคงหลอกหลอนอยู่ในหัว และคิดว่ามันคงจะฝังลึกจนตายจากไปพร้อมกับลมหายใจของเขา พี่ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางเอื้อมมือไปวางไว้บนหัวทุยของน้องชายก่อนจะยิ้มบาง ๆ เพื่อให้รู้ว่าแบคฮยอนยังมีเขาอยู่ตรงนี้ที่ไม่เคยตอกย้ำซ้ำเติม
“จะให้ผมไปส่งพวกคุณที่ไหน?”
จงอินกับลู่หานตกใจกับคำถามนี้อยู่เล็กน้อยแต่ก็ยังเก็บสีหน้าไว้ได้ดี เขามองคนข้าง ๆ ที่สายตามองไปยังถนนเบื้องหน้า
“นายจะไม่ไปกับเราหรือไง?” จงอินหันกลับไปมองถนนก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก~ ก่อนหน้านี้พวกเราทุกคนก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกันทั้งนั้นอ่ะ ไหน ๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็หนีไปด้วยกันเถอะนะ” ลู่หานวางมือลงบนเบาะคนขับแล้วโผล่หน้าเข้าไปข้างหน้า
“ฉันไม่บังคับหรอกนะ เพราะฉันก็ไม่ได้ยินดีนักหรอกที่จะต้องหนีตายไปกับคนพวกนี้”
“อ้าว” ลู่หานขมวดคิ้วเมื่อได้ยินจงอินพูดอย่างนั้น เมื่อกี้แทบกอดคอกันวิ่งหนีผีดิบ แล้วไหงถึงพูดจาแบบนี้
“รถนายมีเพลงร็อคไหม?”
“มีแต่แจ๊ส คันทรี่”
“รสนิยมไปด้วยกันไม่ได้ แต่เอาเถอะ งั้นฉันจะเล่าอะไรให้ฟังฆ่าเวลาแล้วกัน”
“...”
“ฉันอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ขึ้นม.ต้น ชีวิตนี่แทบจะหาความดีไม่ได้ โดดเรียน ตีกับโรงเรียนอื่นจนพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัด แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พวกเขาแค่ไม่ไปประกันตัวออกมาตอนมีเรื่องก็เท่านั้น”
ถึงจะประหลาดใจที่ได้ยินคนพูดน้อยอย่างจงอินเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง แต่ทุกคนก็นั่งเงียบให้เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ อย่างน้อย...มันก็ฆ่าเวลาและลบความหวาดกลัวไปได้อย่างที่พูดจริง ๆ
“ก่อนหน้านี้ฉันทำงานเป็นช่างซ่อมรถ วัน ๆ อยู่แต่ในอู่ ตกเย็นไปหลีสาวบ้าง เรื่องเรียนต่อน่ะลืมไปได้เลย เรียนไปก็เท่านั้น ต่อให้จบทนายความฉันก็วิ่งหาเข้าอู่ซ่อมรถอยู่ดี” มือหนาเปิดลิ้นชักรถก่อนจะผิวปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นบุหรี่กับไฟแช็คอยู่ในนั้น
“สูบด้วยเหรอวะ?” จงอินถามพลางยื่นซองบุหรี่ไปข้าง ๆ
“เพื่อนลืมไว้”
“ดีเลย งั้นขอแล้วกัน”
“...”
“ถึงไหนแล้วล่ะ? อ้อ...พูดถึงเรื่องงานที่ทำสินะ เงินที่ได้มาส่วนใหญ่ก็เอาลงขวดหมดอ่ะ แฟนเฟินไม่เคยจะคบเกินอาทิตย์เลิกไปหมดเพราะความเส็งเคร็ง แต่ก็อย่างว่า...ผู้หญิงที่ไหนจะอยากฝากอนาคตไว้กับผู้ชายไม่มีอะไร” เขาเล่าแล้วก็หัวเราะตัวเอง
“ขี้กากนั่นเอง”
“หุบปากไปเลยมึง” จงอินหันมาชี้หน้าคาดโทษคนข้างหลังที่ไม่รู้ไปสนิทกันจนถึงขั้นหยาบคายได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะคุยกันตอนไปเอาเสบียงถึงได้รู้ว่าไลฟ์สไตล์ของเขาทั้งคู่มันไม่ได้ต่างกันนัก เคมีมันเข้ากัน!
“ฉันเคยมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนั้นจนถึงเมื่อวาน...” ความเงียบเข้าครอบคลุมหลังจากจงอินพูดถึงตรงนี้
“...”
“แค่รู้ว่าพ่อแม่หรือคนที่รักจะต้องตายเพราะพวกนั้น...แค่รู้ว่าอาจจะเป็นคนเดียวที่เหลือรอดชีวิตอยู่บนโลกใบนี้...แค่นั้นก็โคตรแย่แล้วว่ะ”
“...” ชานยอลฟังทุกคำที่คนข้าง ๆ พูด นั่นสินะ...ทุกคนล้วนเกิดมาไม่เหมือนกัน...เจอปัญหาความหนักหนาแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน เขาเข้าใจทุกอย่าง...แต่ตอนนี้ปาร์คชานยอลไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับความโหดร้ายของโลกใบนี้ตามลำพังเหมือนกับคนอื่น ๆ หรอก
เขามันอ่อนแอเอง...
“คิดว่าคงรอดไปได้ไม่ถึงวัน ถ้าไม่โดนกัดตาย ก็ต้องหิวตาย”
“...”
“จนกระทั่งได้มาเจอคนพวกนี้ คนที่คิดจะช่วยคนแปลกหน้าท่ามกลางเหล่าตัวประหลาดน่ะ ฉันถึงได้รู้ว่าการมีคนพวกนี้เป็นครอบครัวใหม่มันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ว่ะ” ประโยคซึน ๆ หลุดออกมาจากปากก่อนที่เขาจะเลื่อนกระจกลงเพื่อพ่นควันบุหรี่ให้ลอยไปตามสายลม
“หล่อชิบหาย” เป็นลู่หานที่พูดดักขึ้นมา เขาเอื้อมไปสะกิดไหล่จงอินก่อนจะแบมือแล้วกระดิกนิ้ว ร่างหนาเหล่มองแล้วก็ยื่นซองบุหรี่กับไฟแช็คให้
“แบคฮยอนเอาเปล่า?” ลู่หานถามหลังจากที่จุดบุหรี่เรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กไม่ตอบเอาแต่ทอดสายตามองไปยังข้างทางจนชานยอลต้องมองหน้าอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลัง
TBC
ตอนสองมาแล้วค่ะ จัดว่าหน่วงพอสมควรกับชานแบค 55555555555
ไม่มีคนอ่าน ไม่มีคนเม้น มลินก็ยังหน้าด้านเขียนต่อได้ ถามว่ามีกำลังใจไหม มันก็ไม่มีอ่ะค่ะ ฟิคเรื่องนี้มลินเขียนเพราะใจรักจริง ๆ
#ficzombie <<< เปลี่ยนเป็นใช้แท๊กนี้แทนนะคะ แท๊ก #ฟิคซอมบี้เซิร์ทหาในทวิตเตอร์ไม่เจอง่ะ
ความคิดเห็น