คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : Chapter 37 :: Embrace
Chapter 37
Embrace
จงอินจับรถเข็นพลิกขึ้นมาก่อนที่ชานยอลกับเทาจะช่วยกันเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นใส่เข้าไปในรถเข็น หลังจากถามไถ่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ได้ผลสรุปมาว่าให้จงอินกลับไปเล่าที่โมเทลทีเดียวเลยจะดีกว่า ร่างหนาก้มลงมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเก็บของอยู่ด้วยความเป็นห่วง ถึงเมื่อกี้จะไม่ได้ออกแรงมากนักแต่พอคิดว่าคนที่เขาทำร้ายคือโอเซฮุนความรู้สึกผิดก็ตีขึ้นมา
“ข้างบนมีแต่พวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เราคงเก็บกลับไปได้แค่ของในโซนนี้” ชานยอลว่าแล้วเข็นรถเข็นออกไป
“ฉันล่ะตกใจ นึกว่านายจะโดนกัดซะแล้ว” เทาว่าก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวคนที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้ที่อัดไปด้วยเสบียงอาหาร จงอินมองทั้งสองคนสลับไปมาก่อนที่เทาจะเดินตามชานยอลออกไป ตอนนี้เหลือเพียงแค่คนสองคนที่ยังอยู่ตรงนี้
“เจ็บหรือเปล่า?”
“อ๋อ...ไม่ครับ” เซฮุนก้มหน้าลง ตอนนี้เขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ดีใจจนไม่รู้ว่าจะแสดงออกมายังไง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อจู่ ๆ ใครอีกคนก็เข้ามายืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับคลายสายสะพายกระเป๋าเป้ลงมา “ไม่เป็น...”
“ฉันถือให้”
“...”
กลับมาถึงผู้ชายคนนี้ก็เริ่มเผด็จการกับเขาซะแล้ว เซฮุนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกวงแขนแกร่งกอดรอบคอก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะก้าวไปข้างหน้า ทั้งที่มีเรื่องที่อยากรู้อยู่เต็มไปหมดแต่เขากลับเรียบเรียงมันไม่ถูก ความรู้สึกเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ต่างอะไรจากการเดินคนเดียวในความมืด ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความหวังในที่แบบนั้นจนกระทั่งมีแสงสว่างเล็ก ๆ จุดขึ้นมา...เซฮุนชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่กำลังทอดสายตามองไปข้างหน้าแล้วก็ยิ้มบาง ๆ ทั้งคู่มองหน้ากันและกันราวกับว่าจะให้แววตาคู่นี้ตอบคำถามให้ทุกอย่าง
เรื่องคำถามน่ะช่างมันเถอะ...แค่จงอินยืนอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว
กึง!
เด็กน้อยที่นอนรออยู่บนรถดีดตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระทบกับพื้นซีเมนต์ ยังไม่ทันมองว่าต้นเสียงมาจากไหนมินซอกก็หันกลับไปคว้าไรเฟิลมาจากเบาะหลังแล้วเปิดประตูออกมา ยกไรเฟิลขึ้นตั้งระดับหัวไหล่พร้อมกับส่องลำกล้องไปยังเป้าหมาย แต่ภาพตรงหน้าทำให้ขาทั้งสองข้างหยุดยืนกับที่เมื่อต้นเสียงที่ว่านั่นมาจากชายหนุ่มสองคนที่กำลังช่วยกันยกรถเข็นเหล็กลงจากฟุตปาธ
“มินซอก?”
“...” เจ้าของชื่อลดปืนลงอย่างช้า ๆ ริมฝีปากหยักของเด็กหนุ่มตัวสูงค่อย ๆ ยิ้มออกมาเมื่อแน่ใจแล้วว่าคนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้คือใคร สองขายาวรีบเดินเข้าหาพร้อมกับรวบคนตัวเล็กเข้ามากอด มินซอกยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริง ๆ ที่ได้เจอหวงจื่อเทาที่นี่...ตรงนี้และเวลานี้ เด็กน้อยค่อย ๆ เอื้อมมือขึ้นมากอดตอบคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนด้วยความดีใจ
“ให้ตายเถอะ”
ร่างของมินซอกแทบจมหายเข้าไปในอ้อมกอดของคนตัวโตกว่า ถึงจะไม่ได้สนิทเหมือนอย่างเพื่อนคนอื่นที่เรียนห้องเดียวกันอีกทั้งเขากับเทาก็เคยพูดคุยกันเพียงแค่เผิน ๆ เท่านั้น แต่การที่ได้เจอ ‘เพื่อน’ ที่เคยอยู่ร่วมกันในเวลายากลำบากอีกทั้งมินซอกยังช่วยเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายแบบนี้มันปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าเขาดีใจมากแค่ไหน
ไม่สิ...ไม่ใช่วินาทีสุดท้ายสักหน่อย
จงอินกับเซฮุนหยุดฝีเท้าทันทีที่เดินออกมาจากประตูห้าง ทั้งคู่มองไปยังคนสองคนที่เพิ่งผละออกจากกัน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเห็นเด็กหน้าหยิ่งคนนั้นหัวเราะ ภาพที่เห็นมันบ่งบอกได้ดีถึงระดับความสัมพันธ์ของคนสองคนว่าในเมื่อสนิทกว่าก็คงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่า ในขณะที่คนแปลกหน้าอย่างเขาได้รับเพียงแค่คำพูดกวนประสาทกลับมาแทบทุกครั้งที่มีบทสนทนา...
เด็กนั่นก็แค่วางตัวและรักษาระยะห่างกับคนที่ไม่สนิทด้วยเท่านั้นสินะ
“คุณมาด้วยกันเหรอครับ?”
“ใช่” จงอินหันไปตอบเซฮุนแล้วทั้งคู่ก็ยิ้มออกมา ความสุขล้นหัวใจเพียงแค่นึกไปถึงอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าหากว่ากลุ่มคนในโรงเรียนได้เจอจงอินและมินซอกอีกครั้ง ชานยอลเข็นรถเข็นไปหยุดอยู่หลังรถเพื่อเก็บของใส่เข้าไปและปล่อยให้เด็กทั้งสองคนไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน
ชานยอลเคาะประตูทางเข้าโมเทลเพียงแค่ไม่กี่ครั้งประตูก็เปิดออก เป็นจางอี้ชิงที่ออกมาต้อนรับคนอื่นพร้อมกับมีดในมือที่ยกขึ้นเตรียมพร้อมจะแทงหน้าใครก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์
“You?” อี้ชิงเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะมองไปยังคนสองคนที่ยืนอยู่ข้าหลังชานยอล
“เป็นการต้อนรับที่น่าปลื้มปิติจริง ๆ ” จงอินว่าแล้วแทรกตัวเข้าไปข้างในก่อนจะตบบ่าหนุ่มชาวจีนปุ ๆ
“It just so happens that.”(บังเอิญน่ะ) ชานยอลบอกร่างผอมที่ยืนอึ้งอยู่หน้าประตูทางเข้าโมเทลแล้วเดินตามจงอินเข้าไป
“จงอิน?!” แบคฮยอนเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นคือใครอีกคนที่พลัดหลงไปนานเกือบครึ่งเดือน เด็กน้อยยิ้มกว้างแล้วพุ่งเข้าไปกอดอีกคนด้วยความดีใจจนร่างหนาเซถอยหลังเล็กน้อย
“เฮ้!” ใบหน้าคมก้มลงมองหัวทุยที่ซุกอยู่กับแผงอกเขา ได้ยินเสียงงึมงำของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องเล็กในกลุ่มแล้วทุกคนก็ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ภาพที่เห็นให้ความรู้สึกเหมือนเด็กเจ็ดขวบที่รอคุณพ่อกลับบ้านไม่มีผิด ปาร์คกาฮีหันไปยิ้มให้กับลูกศิษย์สาวที่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งคู่ก็จางหายไปเมื่อเห็นใครอีกคนเดินตามเข้ามาทีหลัง ร่างระหงหยัดตัวลุกขึ้นยืนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างพร้อมกับขาที่ก้าวเข้าออกไปข้างหน้า
“มินซอก...”
“มินซอก!!” อึนจีปล่อยโฮพร้อมกับโผเข้าไปกอดเพื่อนตัวเล็ก ใบหน้าที่ใครเคยบอกว่าเย่อหยิ่งตอนนี้ดูเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้เพียงเพราะถูกครูสาวสวมกอดทับเข้ามา ทุกคนมองไปยังคนสามคนที่กำลังยืนกอดกันก่อนที่เทาจะเข้าไปกอดทับอีกรอบ น้ำตาแห่งความสุข ความโล่งใจไหลออกมาก่อนที่พวกเขาจะค่อย ๆ ผละตัวออกจากกัน ครูสาวเช็ดน้ำตาออกให้เด็กน้อยที่กำลังร้องไห้ออกมาอย่างเหลืออด
“นาย...มาที่นี่...ได้ยังไง” อึนจียังคงสะอื้นไม่หยุดจนมินซอกต้องเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เธอบ้าง คนตัวเล็กหันไปมองจงอินที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วทุกสายตาก็หันไปมองเขา
“หลังจากหนีตายที่ท่าเรือ ผมก็คิดไม่ออกว่าจะหาทางไปเกาะเชจูยังไงนอกจากต้องจัดการกับพวกตัวกินคนที่นั่นให้หมด และที่แน่ ๆ ผมคงทำมันคนเดียวไม่ไหวแน่” จงอินอธิบายให้ทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้ฟัง “ผมเลยกลับไปขอความช่วยเหลือจากพวกคุณที่โรงเรียน แต่พอไปถึงสิ่งที่ผมเห็นคือพวกตัวกินคนกระจายอยู่เต็มไปหมด แล้วก็ได้เด็กนั่นช่วยเอาไว้น่ะ”
“แล้วคุณเลยไปช่วยเขาออกมาจากดาดฟ้าเหรอคะ?” อึนจีถามแล้วก็ได้รับคำตอบเป็นใบหน้าที่ส่ายไปมา
“เปล่า ฉันหนีออกมาได้น่ะ” มินซอกตอบ ทุกคนขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย
“โลดโผนน่าดู” จงอินหัวเราะ
“ไว้ค่อยเล่าตอนทานมื้อเย็นกันดีไหมครับ ตอนนั้นจะได้พาลู่หานมาลงมานั่งฟังด้วย” ทุกคนพยักหน้ากับที่ชานยอลพูด แบคฮยอนกับอี้ชิงเข้าไปช่วยร่างสูงเอาของออกจากรถเข็น ส่วนยุนฮาได้เพียงแค่นั่งมองคนสี่คนยืนคุยกันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไหน ๆ เขาก็ไม่ได้สนิทกับใคร มันก็ไม่จำเป็นอะไรที่เขาจะต้องเข้าไปแสดงความยินดีทั้งนั้น
“ชั้นสองมันมีแค่สี่ห้องเท่านั้นที่ใช้ได้ เห็นทีว่าเราคงต้องขึ้นไปเคลียร์ชั้นสามกันหน่อย” ชานยอลบอกแล้วจงอินก็พยักหน้ารับ
“แล้วตอนที่เคลียร์ชั้นสองพวกมันมีกันเยอะหรือเปล่า?”
“ไม่เยอะครับ ที่ชั้นสามก็ไม่น่าจะเยอะเหมือนกัน ผม คุณ เซฮุน เทา สี่คนก็เกินพอแล้ว”
“งั้นเริ่มตอนนี้เลยไหม?” พอเห็นชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วร่างหนาก็ก้าวไปข้างหน้าแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “เออ ว่าแต่ไอ้ลู่หานอยู่ห้องไหน?”
“2005”
“เด็กดาดฟ้า!” มินซอกหันไปตามเสียงเรียกแล้วชี้หน้าตัวเองด้วยความสงสัย จงอินกระดิกนิ้วเรียกแล้วเด็กน้อยก็ชักสีหน้าเดินเข้าไปหา
“มีอะไร”
“ฝากนี่ขึ้นไปเก็บห้อง 2005 หน่อย”
“ทำไมไม่ขึ้นไปเองล่ะ ทางขึ้นก็อยู่แค่นี้”
“ผู้ใหญ่เขาจะไปทำธุระกัน ให้นิดใช้หน่อยทำบ่นเหรอ” หัวทุยเซไปทางด้านข้างเพราะถูกผลักเบา ๆ มินซอกเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนที่ปรอดความอดทนจะพุ่งขึ้นสูงเมื่อจงอินยัดกระเป๋าใส่มือเขา
ไอ้...
“ฝากด้วย”
“...”
ยักคิ้วกวนประสาทแล้วเดินขึ้นบันไดกับชานยอลและเซฮุน ทั้งคู่หันมามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจแต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ยังยิ้มออกมาได้ ชานยอลมองตามแผ่นหลังของร่างบางที่กำลังวิ่งตามจงอินขึ้นไปจนอยู่ห่างกันแค่หนึ่งช่วงแขนเท่านั้น
“นึกไม่ถึงเลยนะครับว่าคุณจะกลับไปที่โรงเรียน”
“ถ้ารู้ว่ามีท่าเรือที่ปูซานฉันก็คงไม่ถ่อหน้ากลับไปถึงที่นั่นหรอก”
“อ้าว...คุณไม่รู้หรอกเหรอครับ?”
“ก็ใช่ไง แต่ความไม่รู้ของฉันมันช่วยให้เด็กนั่นรอดตายมาได้นะ เลิกมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว” จงอินว่าพร้อมกับผลักหัวร่างบางที่กำลังยิ้มตาหยีอยู่ เห็นแบบนั้นแล้วร่างสูงก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเดิม ๆ ที่เคยหายไป
หลังจากคุยกับครูสาวและเพื่อน ๆ จนหายคิดถึงแล้วเด็กน้อยก็เดินทอดน่องขึ้นมาบนชั้นสองอย่างไม่เร่งรีบ ได้แต่สงสัยว่าการเอากระเป๋าขึ้นมาเก็บที่ห้องมันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอะไรมากนั้นเลยหรือไงคิมจงอินถึงต้องใช้เขา ใช่ว่าคิมมินซอกจะเป็นคนขี้บ่นหรอกนะ แต่พอเห็นถูกใช้แบบนี้เขาก็แอบรู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกล
เพราะตั้งแต่เข้ามาในโมเทลเขาก็ยังไม่เห็นลู่หานเลย ลองเลียบเคียงถามอึนจีดูว่าผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้วก็ได้คำตอบมาว่านอนเดี้ยงอยู่บนชั้นสอง ขาทั้งสองข้างพามาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง 2005 มินซอกหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหลับตาลง ไม่หรอกน่า...คิมจงอินก็มาพร้อมกันกับเขา ผู้ชายคนนั้นคงไม่รู้หรอกว่าลู่หานพักอยู่ที่ห้องไหน
คนตัวเล็กหมุนลูกบิดเข้าไป แสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางประตูระเบียงทำให้เห็นบรรยากาศในห้องได้อย่างชัดเจน เฟอร์นิเจอร์หรูกับทีวี LCD ขนาดสี่สิบสองนิ้วโดยประมาณตั้งอยู่ติดกับผนังด้านซ้าย พอเลื่อนระดับสายตาไปอีกนิดก็ต้องเบิกโพลงเมื่อเผลอสบตากับใครอีกคนที่กำลังพยายามหยัดตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยมีไม้ค้ำช่วย
“...”
ตุ่บ!
“โอ๊ย!” แม้ว่าจะตกใจกับภาพที่เห็นแต่คิมมินซอกกลับขยับขาไม่ออกหลังจากใครอีกคนล้มลงไปกับพื้นเพราะเสียหลักทันทีที่เห็นหน้าเขา พอเห็นลู่หานขดตัวเข้าหากันพร้อมกับโอดครวญกุมแผลตรงช่วงท้องเอาไว้แล้วคนตัวเล็กถึงนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพราะถูกแทงมา
มินซอกเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่เร่งรีบ ถึงภาพตรงหน้าจะทำให้เขากระวนกระวายใจก็เถอะ แต่การที่จะเข้ามาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับผู้ชายที่ย้ำกับตัวเองนักหนาว่าจะต้องลืมให้ได้แล้วอะไร ๆ ก็ดูขัดใจไปซะทุกอย่าง
ความคิดในหัวมันตีกันไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้ขามันก้าวเข้าไปหาคน ๆ นั้นคือสมองที่สั่งการว่า ‘มินซอก เขากำลังเจ็บอยู่นะ นายจะใจร้ายใจดำยืนมองอยู่เฉย ๆ ได้ลงคอเลยหรือไง?’ ร่างโปร่งนิ่วหน้าเจ็บเมื่อถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่ง
“นี่...” ยังไม่ทันพูดอะไรต่อคนเจ็บก็โผเข้ากอดเขาในทันที มินซอกค้างอยู่ในท่าคุกเข่าก่อนจะก้มหน้ามองใครอีกคนที่ซบหน้าอยู่กับแผงอกของเขาพร้อมกับแขนทั้งสองข้างตวัดกอดรอบเอวบางเอาไว้แน่น
“มินซอก...” น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายโล่งอก แม้ว่าแผลตรงช่วงท้องจะสร้างความเจ็บปวดให้มากแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับความสุขที่ได้เห็นมินซอกอยู่ในอ้อมกอดของเขาเลยสักนิด คนตัวเล็กทำตัวไม่ถูก มือทั้งสองข้างยังคงยกค้างเอาไว้โดยที่ไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหน
“นี่มินซอกจริง ๆ ใช่ไหม...”
“...”
“บอกพี่ที...” น้ำเสียงแหบพร่าพูดพร้อมกับหลับตาลง “บอกทีว่าพี่ไม่ได้ฝันไป...”
“...”
ในหัวมีแต่คำว่า ‘ทำไม?’ อยู่เต็มไปหมด ทำไมลู่หานถึงได้ดูโหยหาอาลัยอาวรณ์เขาเสียขนาดนั้น? ทำไมทำเหมือนดีใจนักหนาเพียงแค่ได้เห็นหน้าเขา คิมมินซอกสำคัญกับผู้ชายที่ชื่อลู่หานมากขนาดนั้นเลยเหรอหรือว่าเป็นแค่ความรู้สึกผิดและโล่งใจที่เขายังไม่ตายกันแน่?
“จะไปห้องน้ำเหรอ เดี๋ยวผมช่วย”
“ไม่...” ลู่หานกระชับกอดคนตัวเล็กแน่นขึ้น พอได้ยินเสียงคนตรงหน้าแล้วเขาถึงได้มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ฝันไป...
“แต่แผลคุณ”
“ช่างมัน...” ร่างโปร่งกลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนจะผละออกมามองใบหน้าเรียบเฉยของคนตัวเล็ก “ตอนนี้พี่ไม่อยากทำอะไรแล้วนอกจากมองหน้านายนาน ๆ ”
“ถ้าเกิดแผลฉีกขึ้นมาคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้มองหน้าผมอีก”
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้มันยังไม่ฉีกสักหน่อย” ลู่หานยิ้มบาง ๆ ก่อนที่มินซอกจะก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกใครอีกคนกุมเอาไว้ จนถึงวินาทีนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองที่เห็นลู่หานเป็นแบบนี้
“อยู่กับพี่นะ...เปาจื่อ”
ใช้เวลาเคลียร์ชั้นสามเพียงแค่สิบห้านาทีเท่านั้นเพราะชั้นนี้ไม่มีผีดิบอยู่สักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเลยมีห้องว่างเหลืออีกหลายห้องพอให้คนที่อยู่ชั้นสองย้ายขึ้นมาบ้าง เทากับชานยอลเดินออกมาจากประตูทางหนีไฟหลังจากยกตู้เข้าไปขวางทางเดินขึ้นชั้นสี่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ห้อง 3002 กับ 3004 ใช้ไม่ได้นอกนั้นก็โล่งหมด” จงอินกับเซฮุนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวสูงทั้งสอง
“ดีเลย กูจะได้ย้ายขึ้นมานอนคนเดียว นอนกับไอ้ห่ายุนฮาแล้วอึดอัดชิบ” เทาว่าแล้วเดินลงไปข้างล่าง
“แล้วคุณล่ะเซฮุน จะนอนห้องเดียวกับแบคฮยอนหรือว่ายังไงครับ?” ชานยอลถามพอเป็นพิธีถึงจะรู้ดีแก่ใจแล้วว่ายังไงเซฮุนก็คงเลือกที่จะขึ้นมาอยู่ข้างบนนี้กับจงอิน
“ผม...” เด็กหนุ่มอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้วหันไปมองข้าง ๆ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อจู่ ๆ จงอินก็หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“อย่าลืมลงไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าล่ะ” ชานยอลยิ้มขำแล้วยีหัวคนตรงหน้าก่อนจะเดินตามเทาลงไป ตอนนี้เหลือเพียงแค่ร่างบางคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ หันไปข้างหลังก็ไม่เจอ หรือว่าจะเข้าไปเลือกห้องนอนกันนะ?
เปิดประตูห้องเข้าไปแล้วก็พบเพียงความว่างเปล่า เดินไปดูในห้องน้ำก็แล้ว ระเบียงก็แล้วแต่ก็ไม่เจอ เซฮุนขมวดคิ้วเดินออกไปข้างนอกห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องข้าง ๆ แล้วก็เห็นจงอินกำลังยืนพูดอยู่คนเดียว
“ทำอะไรน่ะครับ?”
“เปล่า”
“นึกว่าต้องเดินตามหาทุกห้องซะแล้ว” เซฮุนพูดพลางส่ายหน้าเบา ๆ ใช่ว่ากลัวจงอินหายตัวไปไหนอีกหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าจะไปไหนก็บอกกันตลอดแบบนี้มันเลยไม่ชินที่จู่ ๆ อีกฝ่ายหายไป
“นายเข้าไปดูห้องนี้หรือยัง?” จงอินชี้ไปยังผนังห้องแล้วเซฮุนก็พยักหน้าเป็นคำตอบ “แล้วได้ยินเสียงฉันแหกปากไหม?”
“ไม่นะครับ?” ร่างบางขมวดคิ้วสงสัยหากแต่อีกฝ่ายกลับอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ดีละ”
“อะไรที่ว่าดีครับ?”
“เปล่า แค่บอกว่าดีแล้วที่ไม่ได้ยิน คือเมื่อกี้ฉันเดินเตะตู้น่ะ แหกปากร้องลั่นเลยเนี่ย” ร่างบางมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนว่าจะทำท่าเว่อเกินจริงเจ้าตัวถึงได้หยุดแล้วปั้นสีหน้านิ่ง “มองอะไรครับหนูน้อย”
“เปล่านี่ครับ...” เด็กหนุ่มยักไหล่แล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดที่ประตู
“เซฮุน”
“ครับ?”
“ห้องนี้นะ”
“...”
เว้นจังหวะให้ความเงียบทำงานพร้อมกับหัวใจที่จู่ ๆ ก็เต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ร่างบางพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเดินออกไปนอกห้อง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นโดยหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไม แค่ประโยคสั้น ๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนพูดมีนัยยะอะไรหรือเปล่า
แค่มีคุณอยู่ตรงนี้...
ทุกอย่าง...มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นใช่ไหมครับจงอิน?
ภายในล็อบบี้ที่ไม่กว้างและไม่แคบเกินไปสำหรับสิบเอ็ดคน เทียนไขเล่มใหญ่ถูกจุดอยู่โดยรอบคือสิ่งเดียวที่ให้สว่างในค่ำคืนนี้ หลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อยก็ถึงเวลาหันหน้าเข้าหากันเพื่อวางแผนชีวิต
“เราคงต้องปักหลักอยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่งจนกว่าแผลของลู่หานจะดีขึ้น” เป็นชานยอลที่เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน พอไม่เห็นใครขัดแย้งกับข้อนี้ร่างสูงเลยพูดต่อ “เพราะฉะนั้นสิ่งจำเป็นในตอนนี้ไม่ใช่แค่อาหาร แต่ยังมีข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันอีก เรื่องนี้ผมกับจงอินจะรับผิดชอบเอง”
“งั้นผมไปด้วย” เทาอาสารับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยและชานยอลก็พยักหน้ารับ
“อี้ชิงบอกว่าอีกประมาณเดือนนึงแผลน่าจะหาย” ลู่หานพูดหลังจากที่นั่งฟังมาตลอด
“อาหารในละแวกนี้คงมีพอให้เราอยู่ไปถึงเดือนหน้า” จงอินที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ด้านในสุดพูด
“อีกไม่นานก็จะถึงหน้าหนาวแล้ว ผมว่าพวกเราควรเตรียมตัวให้พร้อม”
“เสื้อกันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า ยารักษาโรค” จงอินเสริม “เราควรหาที่อยู่ใหม่ให้เป็นหลักเป็นแหล่งก่อนที่หิมะแรกจะตก ไม่งั้นชีวิตบรรลัยแน่ ๆ”
“หนีตายช่วงหน้าหนาวนี่โคตรวิกฤติ” ลู่หานส่ายหน้าเบา ๆ
“แล้วเราจะย้ายไปอยู่ที่ไหน คุณวางแผนเอาไว้แล้วหรือยังคะ?” ปาร์คกาฮีถาม
“คย็องซังใต้ พวกคุณคิดว่ายังไงครับ?” ชานยอลเสนอ บางคนหันไปถามความคิดเห็นจากคนข้าง ๆ บางคนก็นั่งเฉย ๆ แล้วรอให้คนอื่น ๆ ตัดสินใจ
“ผมเห็นด้วยกับชานยอลครับ” แบคฮยอนยกมือขึ้นระดับจมูกก่อนที่คนอื่น ๆ จะยกมือตาม อาจจะดูเหมือนวิธีของเด็กที่ต้องตัดสินใจกันด้วยการโหวตแบบนี้ แต่ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่กับจำนวนคนและระดับความสนิทมันทำให้เขาต้องใช้วิธีนี้
“งั้นเอาเป็นว่าเป้าหมายต่อไปของเราคือคย็องซังใต้นะครับ อ้อ...มีอีกเรื่องนึงที่ผมอยากจะขอความเห็นจากพวกคุณ” ตอนนี้เป็นปาร์คชานยอลที่เป็นผู้นำแทนอี้ฟานอย่างปฏิเสธไม่ได้ จงอินได้เพียงแค่มองร่างสูงที่กำลังพยายามทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นแม้ว่าปาร์คชานยอลจะไม่เต็มใจรับกับสิ่งที่ทำอยู่สักเท่าไหร่ “มีใครในนี้ที่ยังขับรถไม่เป็นบ้างครับ?” ร่างสูงกวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วมินซอกกับอึนจีก็ยกมือขึ้น “ผมว่าเราควรสอนขับรถให้กับเด็กทั้งสองคน”
“งั้นผมสอนยัยนี่เองแล้วกัน” เทาชี้ไปที่อึนจี
“งั้นผมจะสอนคุณเอง ตกลงไหมมินซอก?” ชานยอลมองไปยังคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มินซอกพยักหน้าได้แค่รอบเดียวก็มีใครอีกคนแย้งขึ้นมา
“ผมขับไม่ค่อยเป็นครับ” แบคฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พอรู้อีกทีใบหน้าเรียวก็ร้อนฉ่าเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำอะไรโง่ ๆ ลงไป เพียงแค่เห็นชานยอลจะไปสอนมินซอกขับรถสองต่อสองเขาก็รู้สึกหวงอย่างบอกไม่ถูก
“หืม?”
“ผม...”
“ฉันสอนให้นายก็ได้นะ” จงอินเสริม แบคฮยอนค่อย ๆ หันไปมองใครอีกคนที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหลังแล้วหรี่ตามองอย่างขัดใจ
“คุณสอนหมอนั่นเถอะ ไว้ค่อยสอนผมทีหลังก็ได้” มินซอกตอบเสียงเรียบ แววตาของมินซอกที่มองมาทำให้แบคฮยอนรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย
ขอโทษนะมินซอก...
“ใช่ นายก็สอนแบคฮยอนไป ไว้หายเมื่อไหร่แล้วเดี๋ยวฉันจะสอนให้มินซอกเอง” ทุกคนหันไปมองลู่หานที่นั่งเอนหลังพิงกับพนักโซฟา คนถูกพาดพิงหันไปมองคนเจ็บที่กำลังจะลุกขึ้นยืนโดยมีอี้ชิงคอยช่วยประคอง “ง่วงแล้ว” ลู่หานบอกลาทุกคนด้วยประโยคนี้แล้วค่อย ๆ กะเผลกออกไปจากล็อบบี้พร้อมกับอี้ชิง
“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ” ชานยอลยิ้มแล้วทุกคนก็ลุกขึ้นแยกย้ายกลับเข้าไปในห้องตัวเองเหลือเพียงแค่แบคฮยอนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ เด็กน้อยจ้องคนตัวโตตาปริบ ๆ พอเห็นแบบนั้นชานยอลเลยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กแล้วก้มหน้าลงจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน
“ว่าไงครับ?”
“คุณอยากสอนมินซอกขับรถมากกว่าผมหรือเปล่า” คำถามนี้ทำให้ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมา แบคฮยอนจ้องหน้าอีกฝ่ายระหว่างรอคำตอบแล้วก็ถูกยีหัวเบา ๆ
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”
“ผมก็แค่อยากรู้นี่นา”
“ผมอยากสอนให้ทุกคนที่ยังขับรถไม่เป็นครับ”
“ตอบไม่ตรงคำถาม” แบคฮยอนทำท่าจะชกไหล่คนตัวสูงแต่ชานยอลคว้ามือเล็กไว้ได้ทัน เด็กน้อยดูตกใจเล็กน้อยตอนที่มองมือของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ผมไม่ตอบคำถามนี้หรอกครับ” ชานยอลยิ้มขำแล้วกุมมืออีกคนให้เดินไปด้วยกัน แบคฮยอนก้าวขาไปตามแรงดึงอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่มองแผ่นหลังของคนตัวสูงกว่า ความสัมพันธ์ที่ระบุไม่ได้ หรือบางทีชานยอลอาจจะกำหนดไว้แล้วว่าเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่จำเป็นต้องดูแล เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ชานยอลคงไม่คิดเกินคำว่าพี่น้อง
แต่ปาร์คชานยอลจะรู้บ้างไหมนะ...ว่าเด็กอย่างบยอนแบคฮยอนคิดไปไกลมากแค่ไหนแล้ว?
ของในกระเป๋าถูกจัดเข้าไปในตู้เสื้อผ้าหลังจากอาบน้ำเสร็จ มินซอกเช็ดผมที่เปียกลู่ด้วยผ้าสีขาวที่ถูกปักชื่อโมเทลด้วยด้ายสีครีม เด็กน้อยนั่งลงบนเตียงแล้วก็ยิ้มบาง ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความนิ่มของมัน นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้นอนสบายแบบนี้
ก๊อก ๆ
เลิกคิ้วมองเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาใหม่ จะเป็นเทา อึนจี หรือว่าครูกาฮีกันนะที่มาเคาะประตูกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ แต่พอดึงประตูเข้าหาตัวมินซอกก็ต้องยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อเห็นลู่หานยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ไม่ไหวแล้ว”
มินซอกขมวดคิ้วกับคำพูดแปลก ๆ ของคนตรงหน้า ลู่หานทิ้งไม้ค้ำลงบนพื้นแล้วสวมกอดคนตัวเล็กพร้อมกับซบหน้าลงกับไหล่บาง เด็กน้อยเซไปข้างหลังเมื่ออีกฝ่ายเทน้ำหนักมาจนเขาแทบรับไว้ไม่ไหวจนต้องใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดลู่หานเอาไว้
“เป็นบ้าอะไรของคุณ”
“ใช่ พี่น่ะจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว”
“แล้วขึ้นมาข้างบนนี้ทำไม คุณอี้ชิงอยู่ไหน?”
“สนใจแค่พี่ได้ไหม คนอื่นน่ะช่างเขาเถอะ”
“ไม่ให้สนได้ยังไง ที่นี่มีแค่ผมกับคุณสองคนเหรอ? แล้วคุณก็เจ็บอยู่ยังจะฝืนตัวเองอีกแล้วเมื่อไหร่แผลจะหาย” ลู่หานไม่ตอบคำถามแต่กลับกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นแล้วปล่อยให้คนตัวเล็กบ่นต่อไป มินซอกถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วผละตัวออกจากคนตรงหน้า
“ผมจะเดินไปส่งคุณข้างล่าง”
“ไม่ พี่ไม่ได้หอบสังขารขึ้นมาข้างบนนี้เพื่อที่จะคุยกับนายแค่สามนาทีหรอกนะมินซอก”
“ผมก็ไม่ได้เปิดประตูให้คุณมายืนเพ้อเจ้อเหมือนกัน”
“ใช่ไง พี่กำลังเพ้อ ตอนที่ได้ยินว่านายติดอยู่บนดาดฟ้าน่ะพี่แทบจะเป็นบ้า นายรู้บ้างไหม?” ลู่หานจ้องหน้าคนตัวเล็กด้วยแววตาจริงจัง
“ผมไม่รู้หรอก คุณกลับไปนอนพักได้แล้ว” มินซอกปล่อยมือออกแล้วเอี้ยวตัวกลับแต่ก็ถูกอีกคนสวมกอดจากข้างหลัง
“งั้นก็รู้สักทีสิ...”
“...”
“พี่ไม่สนหรอกว่านายจะเกลียดขี้หน้าพี่หรือเปล่า” ลู่หานเอาคางเกยไหล่คนตัวเล็กที่ยืนนิ่งให้เขากอด “แต่เสียใจด้วยนะที่นายไล่พี่ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว”
“...”
“พี่จะไม่ไปไหนอีก แล้วพี่ก็จะไม่ปล่อยให้นายไปไหนอีกเหมือนกัน”
“เพ้อเจ้ออะไร”
“เพราะใครล่ะ?”
“เพราะผมงั้นสิ?” มินซอกพูดเสียงเรียบแม้ว่าอีกฝ่ายจะออกแรงกอดเขาแน่นยิ่งขึ้น
“ใช่...เพราะนายคนเดียว”
“ผมจำได้ว่าแบคฮยอนอยู่ข้างล่าง”
“ก็เรื่องของเขา”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรื่องของแบคฮยอนไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“ตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบนาย”
เงียบ...
คำพูดที่เคยคิดจะสวนกลับเพื่อให้ลู่หานเลิกยุ่งกับเขาถูกกลืนลงคอไปหมด ทั้งที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่พอถูกกอดทุกอย่างก็พังทลายไม่เหลือชิ้นดี เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้...
“ตอนนี้พี่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้อยู่ข้าง ๆ นายเลย”
“...”
“นายจะเย็นชากับพี่แบบนี้ก็ได้ แต่ขอแค่อย่างเดียว” น้ำเสียงของร่างโปร่งแผ่วลงก่อนจะพลิกตัวมินซอกให้หันเข้าหา สองมือโอบใบหน้าคนตัวเล็กเอาไว้แล้วจ้องมองอย่างมีความหมาย
“ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะมินซอก...”
ร่างบางมองหน้าตัวเองในกระจกหลังจากอาบน้ำเสร็จ ตอนนี้จงอินออกไปคุยธุระกับชานยอลไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ก้มลงเป่าเทียนให้ดับแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ แสงเทียนให้ห้องนอนของโมเทลให้ความรู้สึกแตกต่างกับห้องนอนในโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกเขินเล็กน้อยกับความโรแมนติกแบบไม่ตั้งใจ
เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วดึงผ้าห่มออกแต่จังหวะนั้นสายตาก็หันไปสะดุดกับอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนที่นอน คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดู
คุ้น ๆ แฮะ...
มองเครื่องบินกระดาษในมือแล้วพลิกไปพลิกมา ทำไมมันคุ้นแบบนี้นะ? วูบหนึ่งก็นึกขึ้นอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เลยค่อย ๆ แกะกระดาษออก และดูเหมือนว่าเขาจะเดาเอาไว้ไม่ผิดเมื่อภายในกระดาษเขียนเอาไว้ว่า...
‘จงอิน...คุณอยู่ไหน?
...ผมคิดถึงคุณ’
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นของนาย” ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองใครอีกคนที่เข้ามายืนซ้อนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใบหน้าคมที่กำลังยิ้มบาง ๆ ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกจนต้องรีบซ่อนเครื่องบินกระดาษไว้ข้างหลัง
“...คุณ” จากเด็กหน้าตายที่เคยต่อปากต่อคำเก่งกลับกลายเป็นคนละคน ยิ่งเห็นเซฮุนทำตัวไม่ถูกแล้วก็ยิ่งพอใจ มันชักจะไม่ดีแล้วล่ะ...ทำไมเด็กนี่ถึงได้น่ารักในสายตาเขามากขึ้นทุกวัน ๆ แบบนี้นะ?
“หืม?”
“คุณ...” เซฮุนหยิบกระดาษขึ้นมาเพ่งดูอีกครั้งแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่ามันเป็นลายมือของเขาเอง จงอินไปเห็นมันได้ยังไงนะ? ร่างหนากดไหล่อีกคนให้นั่งลงบนเตียงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เซฮุนถอนหายใจหนัก ๆ กับของที่อยู่ในมือตอนนี้ มันน่าอายจริง ๆ ให้ตายเถอะ...
“ตอนไม่มีฉันน่ะ” เซฮุนเม้มริมฝีปากก่อนจะค่อย ๆ หันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย “เหงาหรือเปล่า?” ทำไมจงอินถึงได้ถามอะไรแบบนี้นะ ทั้งที่ทุกอย่างมันน่าจะเป็นคำตอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ร่างบางจ้องหน้าอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“พอหันไปแล้วไม่เห็นฉันอยู่ข้าง ๆ นายรู้สึกเคว้งเหมือนกันบ้างไหม?”
“...”
มาก...ที่สุดเลยล่ะ...
“คุณ...เก็บมันได้แค่อันเดียวเองเหรอครับ?” เซฮุนก้มลงมองกระดาษในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าภายใต้แสงเทียนที่จุดอยู่ตรงหัวเตียง “ผมพับตั้งหลายอัน...”
“งั้นเหรอ? แล้วฉันควรกลับไปที่นั่นเพื่อหามันให้ครบทุกอันหรือเปล่า?” เซฮุนยิ้มตาหยีเมื่อถูกจงอินยีหัวอย่างหมั่นเขี้ยว
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกมั้งครับ...ผมเขียนให้คุณใหม่ก็ได้”
“ที่ท่าเรือน่ะ เก่งเหมือนกันนะเรา”
“ชานยอลเล่าให้ฟังเหรอครับ?” เด็กหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายแล้วจงอินก็พยักหน้าเป็นคำตอบ
“อยากจะบ่นเหมือนกัน ถ้าฉันอยู่ตรงนั้นนายได้หูชาไปถึงปีหน้าแน่” จงอินมองคาดโทษเด็กน้อยที่เอาแต่ยิ้มอยู่ได้ เห็นแล้วก็หมั่นเขี้ยวขึ้นมานิด ๆ
“น่าเสียดายจังเลยนะครับที่คุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
“คิดว่าเท่มากเหรอถึงได้ไปเสี่ยงตายแทนคนอื่นแบบนั้นน่ะ” ร่างหนาเหล่มองคนข้าง ๆ ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้
“แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าตัวเองหล่อมากไหมที่ปล่อยให้คนอื่นลงเรือแล้วตัวเองได้แต่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกลับไปที่โรงเรียนน่ะ”
“แล้วหล่อไหมล่ะ? หล่อไหม?” จงอินเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะล็อคคอร่างบางที่กำลังหัวเราะพอใจให้เข้ามาใกล้ ๆ
“นาทีนั้นคงไม่มีใครหล่อเท่าคุณแล้วล่ะครับจงอิน...”
“ก็นั่นไง”
“แต่ไม่เอาแบบนั้นอีกแล้วนะ...” ร่างบางอมยิ้มแล้วจับท่อนแขนแกร่งเอาไว้ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเหมือนเดิม “พอไม่มีคุณคอยสั่งคอยบังคับแล้วชีวิตผมก็ดูยากขึ้นมายังไงก็ไม่รู้” เซฮุนหัวเราะแล้วก็ค่อย ๆ หันไปมองคนข้าง ๆ ที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
“ก็ชานยอลไม่เคยดุผมเลย ผมชินกับการที่มีคุณคอยบ่นมากกว่าน่ะครับ”
“พูดมาก...” จงอินยิ้มขำแล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบคนที่เอาแต่พูดไม่หยุดแถมยังทำร้ายเขาด้วยรอยยิ้มตาหยีแบบนั้นอีก มือหนาคว้าท้ายทอยร่างบางให้เข้ามาใกล้เพื่อรับรสจูบที่แนบแน่นยิ่งขึ้น เปลือกตาบางปิดลงในวินาทีถัดมาเพื่อรับจูบหวานจากคนที่เขาเฝ้ารอมานาน
CUT
TBC
(ดมยาดม) #โครงการกีฬาในร่มต้านภัยยาเสพย์ติด
ฉากพรีเมียมเข้าทวิต @_malinworld นะคะที่รัก ฉาก CUT อยู่ใน bio เลยจ้า
มลินเหนื่อยกับฉากนี้ มลิน Tried แต่ถ้าไม่มีมันก็เหมือนจะขาดอะไรไป มลินไม่ได้หื่น ทุกคนโปรดเข้าใจตามนี้...
แม่ยกลู่หมินกับแม่ยกไคฮุนแบ่งกันฟินไปนะคะ ขอโทษที่มาอัพช้ามาก O<- < #ฮาราคีรีตัวเองชดใช้ความผิด
ความคิดเห็น