คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : Chapter 38 :: What?
Chapter 38
What?
คนตัวเล็กเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผึ่งผ้าขนหนูไว้กับราวตาก เอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านออกเพื่อให้แสงสว่างในยามเช้าสาดส่องเข้ามาในตัวห้อง เวลาผ่านไปแล้วเกือบหนึ่งเดือน เมื่อวานทุกคนประชุมกันแล้วว่าวันนี้จะเริ่มออกเดินทางกันหลังจากลู่หานเดินเหินเองได้ มองไปยังเตียงกว้างที่มีใครอีกคนนอนคว่ำอยู่ตรงนั้นแล้วก็ยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น
แบคฮยอนเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วคุกเข่าลง ศอกทั้งสองข้างเท้าไว้กับฟูกนุ่มพลางเท้าคางมองใบหน้าหล่อได้รูปที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา ปกติจะเป็นชานยอลที่ตื่นก่อนเขา การจ้องหน้าคนที่แอบชอบตอนหลับนี่มองยังไงก็ไม่เบื่อจริง ๆ บยอนแบคฮยอนเพิ่งรู้ข้อดีของการตื่นเร็วก็วันนี้แหละ
เอื้อมมือไปใกล้ ๆ หวังจะแตะแก้มของคนที่หลับอยู่แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ ๆ มือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ เปลือกตาหนาค่อย ๆ ลืมขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังมีท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ แล้วก็นึกขำในใจ
“อ...อรุณสวัสดิ์ครับ...”
“อรุณสวัสดิ์”
“...”
“ตื่นเช้านะครับวันนี้” เสียบแหบพร่าของคนที่เพิ่งตื่นทำให้เด็กน้อยรู้สึกเขินยิ่งกว่าเก่า ผมเผ้าที่ชี้ฟูอีกทั้งยังเปลือยท่อนบนแบบนั้นอีก แบคฮยอนหลุบสายตาลงมองมือตัวเองที่ยังคงถูกกุมเอาไว้ด้วยมือของคนตัวโตกว่าแล้วก็ทำตัวไม่ถูก
“ไม่เช้าหรอกครับ...คุณน่ะตื่นช้าเอง”
“เหรอครับ นี่กี่โมงแล้ว?”
“หกโมง” ร่างสูงยิ้มขำแล้วพลิกตัวนอนหงาย แบคฮยอนต้องปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างปฏิเสธไม่ได้เมื่อชานยอลยังคงกุมมือเขาไว้อย่างนั้น เด็กน้อยนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงพลางมองคนตัวสูงที่ทำท่าเหมือนจะหลับต่อ
“เมื่อคืนดื่มเยอะเหรอครับ”
“ครับ ผมเล่นเกมแพ้เลยต้องดื่มน่ะ” มือแกร่งนวดขมับตัวเองเมื่อนึกย้อนไปถึงเมื่อคืน จงอินอ้างว่าดื่มนิด ๆ หน่อย ๆ พอให้อุ่นเครื่อง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะอุ่นไปทำไม? สุดท้ายเลยต้องจำใจนั่งดื่มและคนที่ไปไวที่สุดก็คือหวงจื่อเทา
“ไม่หนาวเหรอครับ” แบคฮยอนก้มหน้าลงเมื่อสายตามันพาหันไปมองท่อนบนที่เปลือยเปล่าของร่างสูง จะว่าไปแล้วนี่ก็เริ่มอากาศเย็นลงเรื่อย ๆ ยิ่งตกกลางคืนคงไม่ต้องพูดถึง ชานยอลลืมตาขึ้นมองคนตัวเล็กที่ก้ม ๆ เงย ๆ เห็นแบบนี้แล้วก็อยากแกล้งขึ้นมา
“ดื่มเหล้าแล้วมันร้อนน่ะ แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ”
“ผมหยิบเสื้อให้” แบคฮยอนทำท่าจะชักมือกลับแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออีกคนยังคงจับมือเขาเอาไว้
“ไม่เป็นไร” ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นนั่งจนคนตัวเล็กต้องเอนหลังไปเล็กน้อยเมื่อใบหน้าของเขาทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากเกินไปแล้ว “ไม่สบายเหรอครับ หน้าแดงเชียว” ไม่พูดอย่างเดียว มือแกร่งโอบใบหน้าคนตัวเล็กเอาไว้ก่อนจะเอาหน้าผากแนบกับหน้าผากอีกคน
แบคฮยอนนั่งตัวเกร็งหลับตาปี๋ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขากับชานยอลพักอยู่ห้องเดียวกันเรียกได้ว่าเป็นแค่รูมเมทเท่านั้นไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านี้ เตียงที่นอนอยู่ก็แค่สิ่งของที่ใช้ร่วมกัน ชานยอลไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเขาเลยสักครั้งตั้งแต่นอนตักที่เกาะเชจู
ใช่ว่าบยอนแบคฮยอนจะเป็นเด็กทะลึ่งหรอกนะ...แต่ในเมื่อเขาเคยจูบกับชานยอลแล้วมันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรกับเขาบ้างหรือเปล่า ทั้งที่นอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน แต่ปาร์คชานยอลกลับไม่มีท่าทีอะไรเลยสักอย่าง
“ที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้...” เด็กน้อยช้อนตามองอีกคนที่ยังคงทาบหน้าผากอยู่ “เขาเรียกว่าเมาค้างเหรอครับ...” ชานยอลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยกับความไร้เดียงสาของแบคฮยอน “แสดงว่าคุณเมาอยู่ใช่ไหมครับ?”
“ผมดูเหมือนคนเมาเหรอ?”
“ไม่รู้สิ ปกติคุณไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา”
“แล้วมันแย่หรือเปล่าหื้ม?” แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแน่นแล้วส่ายหน้าเบา ๆ
“พอเมาแล้วคุณดูน่ารักขึ้นตั้งเยอะ” คำพูดคำจาไร้เดียงสาของคนตัวเล็กทำให้ร่างสูงหลุดขำออกมา ชานยอลยีหัวแบคฮยอนเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยวแล้วจ้องหน้า
“แสดงว่าตอนปกติผมไม่น่ารัก?”
“เปล่าครับเปล่า ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” แบคฮยอนรีบปฏิเสธเพราะกลัวคนตรงหน้าเข้าใจผิด ร่างสูงเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยราวกับต้องการให้คนตัวเล็กอธิบายต่อ “ตอนปกติคุณไม่แตะต้องตัวผมเลยนี่นา”
“หืม?”
“เปล่าครับ...” แบคฮยอนลดเสียงลงแล้วหันหลังทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกร่างสูงดึงให้ลงมานอนบนเตียงด้วยกัน หัวทุยซบลงกับท่อนแขนแกร่งก่อนจะเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองอีกคนที่กำลังยิ้มขณะมองเขา “ชานยอล?”
“ครับ?”
“คุณเมามากจริง ๆ นะ”
“หืม?”
“ผมจะทำยังไงดี ทุกคนเมาแล้วจะเป็นแบบนี้เหรอ?” แบคฮยอนพลิกตัวนอนคว่ำแล้วเอามือทาบแก้มคนตัวสูงทั้งที่คิ้วขมวดเข้าหากัน ชานยอลกลั้นขำจนตัวสั่นกับประโยคเมื่อครู่ ก็เพราะไร้เดียงสาแบบนี้ไง เขาถึงได้พยายามทะนุถนอมเด็กคนนี้ให้มากที่สุด บยอนแบคฮยอนจะรู้บ้างไหมว่าตอนตกดึกแล้วเจ้าตัวชอบละเมอเข้ามานอนกอดเขาแทบทุกคืนน่ะ
“นั่นสิ ผมควรทำยังไงดีล่ะ?”
“คุณอย่าดื่มอีกเลยนะ ถึงผมจะชอบเวลาคุณทำตัวน่ารักแบบนี้ก็เถอะ แต่มันไม่ใช่ตัวคุณเลย” แบคฮยอนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่น่าแปลกที่มันทำให้ร่างสูงอมยิ้มเพราะคำพูดเหล่านี้
“ตัวผมมันเป็นยังไงเหรอครับ ไหนบอกมาซิ?” ร่างสูงเอนหลังพิงกับหัวเตียงแล้วจ้องมองคนตัวเล็กที่ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าข้าง ๆ เขา
“คุณเป็นคนจริงจังกับทุกอย่าง”
“หมายความว่าที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้มันยังจริงจังไม่พอสินะครับ”
“ตอนนี้คุณขี้เล่น นิสัยเหมือนลู่หานเลย” แบคฮยอนขมวดคิ้วพลางขยับปากบ่นอุบอิบหากแต่คนถูกว่ากลับหัวเราะเมื่อถูกเปรียบเทียบกับใครอีกคน
“นิสัยแบบลู่หานน่ะฮ๊อตในหมู่สาว ๆ นะครับ”
“งั้นก็ยิ่งไม่ควรเหมือน”
“เหตุผลล่ะ?” คนตัวเล็กเงียบกริบเมื่อถูกสวนกลับ แบคฮยอนเม้มริมฝีปากพลางกลอกตามองไปข้าง ๆ ทำไมชานยอลถึงถามอะไรแบบนี้นะ เหตุผลมันก็มีอยู่แค่ข้อเดียวไม่ใช่หรือไง ก็หวง...แค่นั้นแหละ
“ผมจะไปขอยาแก้เมากับอี้ชิงมาให้นะ” พอตอบคำถามไม่ได้ก็เอาตัวรอดด้วยวิธีนี้เลยแล้วกัน แต่คราวนี้ยังไม่ทันได้ตั้งตัวลุกขึ้นยืนร่างของเขาก็ล้มลงไปทับแผงอกแกร่งซะแล้ว แบคฮยอนเบิกตาโพลงเมื่อตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อของคนตัวสูงที่นอนอยู่ใต้ร่างอย่างไม่ตั้งใจ
“มันมีด้วยเหรอครับยาแก้เมาน่ะ?” หัวใจเต้นเร็วแรงเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มาพร้อมกับภาพท่อนบนเปลือยเปล่า เด็กน้อยหน้าขึ้นสีระเรื่อกับปาร์คชานยอลในแบบที่เขาไม่เคยเห็น
“ผีเข้าคุณใช่ไหม...”
“หืม?”
“คุณต้องถูกผีเข้าแน่ ๆ เลย” แบคฮยอนงึมงำเบา ๆ พลางหลบสายตาหนีคนตัวสูงที่กำลังจะละลายเขาด้วยสายตา
“แล้วคุณกลัวผีหรือเปล่าครับ?”
“ไม่กลัว”
“ถ้าไม่กลัวมันก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าเกิดว่าผมจะปล่อยให้ผีตัวนี้สิงผมต่อไป...ใช่ไหมครับ?” ร่างสูงยิ้มขำพลางลูบหัวเด็กน้อยที่ทำหน้ามึนงงอยู่ ทำไมน่ารักแบบนี้นะ?
“ผีไม่มีจริงสักหน่อย...” แบคฮยอนซบหน้าลงกับแผงอกแกร่งแก้เขิน คนขี้แกล้งอมยิ้มพอใจพลางเกลี่ยผมนุ่มของคนตัวเล็ก
ช่วงสายของวันนั้นหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ช่วยกันขนกระเป๋าข้าวของเครื่องใช้ไปเก็บที่รถแล้วกลับมารวมกันในล็อบบี้อีกครั้งเพื่อวางแผนการออกเดินทาง แผนที่แผ่นใหญ่ถูกกางออกพร้อมกับปากกาเมจิกสีแดงที่อยู่ในมือชานยอล
“เราจะหาที่พักกันที่ยังซันก่อน ถ้าที่นั่นไม่เวิร์คค่อยย้ายไปที่ชินจู” ชานยอลแตะปลายปากกาเมจิกลงบนแผนที่พลางเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ ที่ยืนล้อมวงอยู่
“เราควรหาที่อยู่กันแบบไหน บ้าน อพาร์ตเม้นต์หรือว่าโรงแรม? แต่ผมว่าคนสิบเอ็ดคนคงอยู่บ้านหลังเดียวกันไม่ได้แน่ ๆ ” เทาพูด
“ถ้าเป็นบ้านต้องเป็นทาวเฮาส์ที่อยู่ติดกันและเป็นเขตปลอดอันตราย”
“ต้องดูด้วยว่าละแวกนั้นมีแหล่งให้เก็บเสบียงได้แค่ไหน ถ้าเกิดเคลียร์หมู่บ้านซะดิบดีแต่ไม่มีของให้ปล้นก็เปล่าประโยชน์” ทุกคนพยักหน้ากับสิ่งที่จงอินพูด
“กูว่าหาที่ ๆ อยู่ใกล้แหล่งน้ำก็ดีนะ อย่างน้อยก็ตกปลาแดกได้” ลู่หานเสนอ
“เออ ของป่าอะไรพวกนั้นก็สำคัญเหมือนกัน จะพึ่งแค่พวกอาหารกระป๋องก็คงไม่ได้”
“งั้นผมขอสรุปเลยแล้วกัน คืนนี้เราจะพักกันที่ยังซันส่วนเรื่องเสบียงเรายังพอมีเหลืออยู่บ้าง แล้วค่อยออกไปสำรวจลาดเลาละแวกนั้นก่อน ถ้าเกิดไม่เข้าท่าเช้าวันต่อมาจะได้ย้ายไปชินจูต่อเลย”
“แล้วปืนล่ะครับ” ทุกคนหันไปมองเซฮุนที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ผมว่าปืนก็สำคัญนะ” เด็กหนุ่มพูดต่อ ทุกคนเงียบราวกับใช้ความคิด โดยเฉพาะกลุ่มของเขาที่เพิ่งผ่านพ้นเรื่องราวร้าย ๆ มา และมันไม่มีสิ่งใดที่จะค้ำประกันได้เลยว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก
“เซฮุนพูดถูก” จงอินวางปืนลงบนโต๊ะ “ไอ้นี่กับไรเฟิลของมินซอกมันช่วยชีวิตพวกนายทุกคนไม่ได้หรอกนะ”
“คาตาน่ากู” ลู่หานที่นั่งชันเข่าอยู่บนโซฟาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าขุ่นไม่พอใจ
“หาใหม่” พูดสั้น ๆ แล้วเก็บปืนเหน็บไว้กับหัวกางเกงก่อนจะดึงชายเสื้อขึ้นมาปิดไว้ “ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็อันตรายไปหมด ทั้งพวกกินคน ทั้งมนุษย์ด้วยกัน เพราะฉะนั้นจะไปไหนมาไหนช่วยบอกคนรอบข้างนิดนึง อย่าไปคนเดียวเด็ดขาด ฉันไม่อยากวิ่งตามหาใครอีก เหนื่อยจะเล่นหนังแขก”
“เพราะเราไม่มีเครื่องมือสื่อสาร มันคงยากที่จะตามหาหากว่ามีใครสักคนหายไป” ชานยอลเสริม “เราคงต้องกลับเข้าสู่วิถีชีวิตแบบใช้กฏระเบียบเป็นหลักกันอีกครั้งแล้วล่ะ”
ปั่ก ๆ
จงอินตบท้ายรถกระบะเป็นสัญญาณบอกให้ร่างสูงออกรถได้ รถคันแรกมีชานยอล แบคฮยอน อี้ชิง ส่วนรถคันที่สองที่เพิ่งออกตามไปติด ๆ มีเทา ปาร์คกาฮี จองอึนจีและคังยุนฮา ร่างหนาเดินไปเปิดประตูที่นั่งคนขับและวันนี้คนรับหน้าที่สารถีคือลู่หานที่เสี้ยนมือเสี้ยนตีนมานานจนระริกระรี้แทบทนไม่ไหว
เหล่มองคนข้าง ๆ ที่ผิวปากอารมณ์ดีพร้อมกับเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยแล้วก็หมั่นตีนแปลก ๆ พอหันไปมองข้างหลังก็เห็นเด็กหน้ามึนสองคนนั่งทำหน้านิ่งอยู่ เออ ก็ดีนะ สองคนนี้คงอยู่ด้วยกันได้เพราะมันคงไม่คุยอะไรกันเลย
“เปิดเพลงบ้าอะไร?”
“อ้าว” คนที่กำลังดีดดิ้นกับทำนองเพลงถึงกับหันควับไปมองข้างหลัง มินซอกชี้นิ้วลงเป็นสัญญาณบอกให้ลู่หานเบาเสียงเพลงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ...ไอ้ลู่หานมันทำตามว่ะครับ
“ดุจังเลยนะเปาจื่อ”
“ขับรถไป”
“ก็ขับอยู่นี่ไง” คนทะเล้นพูดพร้อมกับมองหน้าคนตัวเล็กผ่านกระจกมองหลัง มินซอกถอนหายใจแล้วเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อตัดรำคาญ ตั้งแต่วันนั้นที่ลู่หานขอโอกาส เจ้าตัวก็เสนอหน้ามาหาเขาทุกวันจนบางคืนต้องยอมให้นอนด้วยเพราะลู่หานงอแงว่าเจ็บแผล ไม่อยากลงไปแถมยังทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายอีก
พักหลังถึงได้รู้ว่ามันเป็นแผนของคนเจ้าเล่ห์ พอแผลเริ่มดีขึ้นเขาก็ไม่ยอมให้ลู่หานเข้ามาในห้องอีก แต่ก็นะ...มันผิดที่เขาเองที่ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ปลดล็อคประตูเองได้แม้ว่าเขาจะล็อคไว้แน่นหนาก็ตาม
“เปาจื่อจ๋า~”
“อย่า...ทำเสียงอ้อล้อแบบนั้นกับผม”
“เออ มึงเป็นเหี้ยไรเนี่ย แดกหมามุ่ยมาเหรอ แลดูจะคันเหลือเกิน” คนที่นั่งฟังอยู่นานถึงกับทนไม่ไหว จงอินผลักหัวเพื่อนสนิทไปแรง ๆ ทีหนึ่งเพราะหมั่นไส้เต็มที ส่วนเซฮุนที่นั่งอยู่เบาะหลังได้แต่ยิ้มขำกับทั้งสามคนที่กำลังก่อความวุ่นวายในรถ
“แล้วมึงเสือกอะไรล่ะครับ” ลู่หานลอยหน้าลอยตาพูด เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือสะทกสะท้านอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น
“ก็ไม่ได้อยากเสือกหรอกถ้ามึงไม่ได้นั่งรถคันเดียวกันกับกูน่ะนะ”
“งั้นก็ลงเลยครับสหาย” ลู่หานผายมือไปทางด้านข้างแล้วก็ต้องหน้าคะมำอีกครั้งเพราะถูกตบหัว ร่างโปร่งดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองคาดโทษเพื่อนซี้ที่เอาแต่ลงไม้ลงมือกับเขา “สัดนี่”
“สาระแนจริง ๆ ” <- จงอิน
“เฮ้ยเด็กกรงหมา มาเก็บไอ้เชี่ยนี่ไปดิ๊” <- ลู่หาน
“ทำไมต้องเป็นผมล่ะครับ?” <- เซฮุน
“เก็บตัวเองก่อนดีไหม?” <- มินซอก
“เออ เด็กดาดฟ้าพูดถูก” <- จงอิน
“ผมไม่ได้พูดกับคุณ” <- มินซอก
“อ้าว ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับน้องหนู?” <- จงอิน
“ลุยมันเลย เปาจื่อสู้ ๆ ” <- ลู่หาน
“ดูถนนไปเถอะครับลู่หาน” <- เซฮุน
“ใช่ ตั้งใจขับรถหน่อยครับขี้ข้า” <- จงอิน
ภายในรถคันที่สามยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย กว่าจะสงบได้ก็ผ่านไปเกินครึ่งชั่วโมง ตอนนี้มินซอกกับเซฮุนหลับไปแล้ว ส่วนไอ้คนขับยังคงไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยง่าย ๆ แถมยังเปิดหน้าต่างลงแล้วพ่นควันบุหรี่อย่างสบายใจเฉิบอีก
“ไม่เปิดเพลงแล้วไง?”
“มึงอยากฟังอะไรก็เลือกเอาละกัน” ลู่หานโยนกล่องใส่ซีดีลงบนตักหนาแล้วอีกคนก็รูดซิปออกพร้อมกับเลือกดูแผ่น
“ตั้งแต่เด็กดาดฟ้ากลับมาดูมึงมีชีวิตชีวาขึ้นนะ”
“ก็พอ ๆ กับมึงตอนได้อยู่กับเด็กกรงหมาล่ะวะ”
คนเปิดคำถามถึงกับเถียงไม่ออกเมื่อเจอสวนกลับ ทั้งคู่หันไปหาเด็กทั้งสองคนที่นั่งหลับอยู่ข้างหลังก่อนจะหันมามองหน้ากัน ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องถามอะไรต่อ จงอินกลับไปนั่งเอนหลังพิงกับเบาะเหมือนเดิมแล้วชันขาขึ้นก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบบ้าง
‘จริงอยู่ที่โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และตั้งแต่เกิดเรื่องเรายังไม่เจอผู้หญิงเป็น ๆ สักคน กูเข้าใจว่ามึงกำลังอดอยากปากแห้ง ซึ่งกูก็อยู่ในสถานะนั้นเหมือนกัน แต่ว่ามึงครับ...’
‘ความอยากกับความรักมันไม่เหมือนกันหรอกนะ’
นึกแล้วก็ละอายใจอยู่ไม่น้อย จะว่าไปเหตุการณ์กลืนน้ำลายตัวเองมันก็เกิดขึ้นกับเขาไม่บ่อยนัก เท่าที่จำได้ก็มีเรื่องที่เขาเคยออกปากว่าจะไม่แทงบอลอีกตลอดชีวิตแต่สุดท้ายก็...
ตอนนี้ลู่หานมันก็คงด่าเขาอยู่ในใจสินะ แต่ก็อยากจะขอบคุณจริง ๆ ที่มันเลือกที่จะไม่หักหน้าเขาต่อหน้าเด็กสองคนนี้
รถทั้งสามคันจอดลงที่หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เศษใบไม้แห้งปลิวว่อนบ่งบอกได้ถึงความรกร้างในละแวกนี้ ลู่หานขับไปจอดเทียบรถคันแรกแล้วชานยอลก็เลื่อนกระจกลง
“เดี๋ยวฉันเข้าไปก่อน” จงอินบอกแล้วร่างสูงก็พยักหน้ารับ ลู่หานขับนำเข้าไปแล้วให้อีกสองคันขับตามมา ข้างทางมีพวกตัวกินคนยืนอยู่ประปรายแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะออกมาจัดการกับพวกมันทีหลัง
พอขับเข้าไปในหมู่บ้านกลุ่มแนวหน้าก็เปิดประตูลงจากรถพร้อมกับอาวุธในมือ จงอินหมุนไขควงแล้วเดินเข้าหาผีดิบคุณป้าที่มีสภาพไม่น่าดูสักเท่าไหร่ก่อนจะแทงเข้ากลางหน้าผากเธอโดยไม่ลังเลในขณะที่ลู่หานมีแค่มีดทำครัวโง่ ๆ หนึ่งเล่มที่ใช้เป็นอาวุธ ร่างโปร่งมองอาวุธในมือพลางกลอกตาขึ้นก่อนจะจามเข้าที่หัวตัวกินคนตรงหน้าจนแหวะออก
ไม่นานนักทุกคนก็กลับเข้าไปในรถและลู่หานก็ขับไปจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งก่อน จงอินชี้บอกพิกัดลู่หานเพื่อแบ่งหน้าที่กัน ทั้งคู่แยกกันเช็คบ้านทาวเฮาส์ที่อยู่ติดกันโดยที่มีชานยอล เทา และเซฮุนเดินตามเข้าไปติด ๆ ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีลู่หาน เซฮุน กับเทาก็เดินออกมาก่อน ทั้งสามคนยืนรออยู่หน้าบ้านอีกแค่ไม่กี่นาทีจงอินกับชานยอลก็เดินออกมา
“เคลียร์”
คืนนั้นทั้งสิบเอ็ดคนแยกบ้านกันอยู่ จงอิน ลู่หานอาสาออกไปขับสำรวจละแวกนี้โดยให้ชานยอลกับเทาอยู่ดูแลทุกคนที่นี่ ระหว่างที่รอคนอื่น ๆ ก็ช่วยกันทำความสะอาดบ้านและจัดแจงที่นอนสำหรับตัวเอง
“นายขึ้นไปนอนบนห้องแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะนอนตรงนี้เอง” เซฮุนบอกหลังจากวางกระเป๋าเป้ลงบนโซฟา
“ข้างบนมีสามห้อง”
“ใช่ ห้องหนึ่งเป็นของชานยอลกับแบคฮยอน อีกห้องหนึ่งก็ให้นายกับอี้ชิง ส่วนอีกห้องก็เป็นจงอินกับลู่หาน”
“ก็เลยเสียสละให้คนอื่น” มินซอกพูดพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ “นายลองนอนดูสิ” คนตัวเล็กมองไปยังโซฟาสีครีมตัวยาวและเซฮุนก็ทำตามอย่างว่าง่ายถึงจะงง ๆ อยู่ก็ตาม “คราวนี้ลุกขึ้นได้” ร่างบางมองตามคนตัวเล็กที่ลงไปนอนบนโซฟาและดูเหมือนว่ามันจะพอดีกับขนาดไซส์ของมินซอก
“ฉันนอนตรงนี้เอง”
“แต่...”
“ฉันชอบอยู่คนเดียวน่ะ”
“...”
“เก็บกระเป๋าขึ้นไปได้แล้ว” มินซอกตัดบทเมื่อเห็นแบคฮยอนเดินเข้ามา เซฮุนยิ้มให้เพื่อนตัวเล็กอีกคนแล้วเดินขึ้นไปบนห้องเพราะเขาไม่ใช่คนที่ชอบจะบังคับใจคนสักเท่าไหร่ แบคฮยอนเดินไปนั่งข้าง ๆ คนตัวเล็กแล้วเม้มปากเพื่อรวบรวมความกล้า
“มินซอกนอนนี่เหรอ”
“อืม”
“จะว่าไปแล้วเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยเนอะ” เสียงของแบคฮยอนแผ่วลงติดจะกลัวหน่อย ๆ มินซอกถอดแว่นออกแล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มันก็คงใช่ เพราะฉันไม่คุยกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น”
“การคุยกับคนอื่นมันเกี่ยวกับเรื่องจำเป็นหรือไม่จำเป็นด้วยเหรอ”
“ใช่” คำตอบที่มาพร้อมกับน้ำเสียงหนักแน่นทำให้แบคฮยอนหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย “ถ้ารู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้หรือไม่อยากคุยมันก็ไม่จำเป็นที่ต้องเข้าไปสานสัมพันธ์...เหมือนอย่างฉันกับนายนี่ไง”
“ทำไมล่ะ”
“การที่ทุกคนอยู่ที่นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องรักกัน”
“...”
“เราแค่พบเจอชะตากรรมเดียวกัน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ไม่สิ นายอย่าคิดแบบนั้น”
“มีใครเคยบอกนายหรือเปล่าว่าอย่าห้ามความคิดคนอื่น?”
“...”
“นายมีมุมมองของนาย ฉันก็มีมุมมองของฉัน ในเมื่อฉันไม่รู้สึกถูกชะตากับนายนั่นก็หมายความว่าไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องฝืนเข้าไปพูดคุยหรือทำดีด้วย แค่อยู่ด้วยกัน หนีตายไปด้วยกันก็พอแล้ว”
“มินซอก...”
“เลิกฝืนสักทีเถอะ สีหน้าของนายมันกระอักกระอ่วนเต็มทีแล้วบยอนแบคฮยอน” มินซอกส่ายหน้าแล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่ถูกอีกคนดึงให้กลับไปนั่งลงที่เดิม
“ฉันไม่ได้ฝืน”
“...”
“ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนาย เพราะฉันรู้ว่านายเป็นคนยังไง”
“งั้นเหรอ?” มินซอกแค่นหัวเราะ คนตัวเล็กได้แต่คิดว่าหมอนี่เป็นใครถึงได้กล้าฟันธงว่าเขาเป็นคนแบบไหนอะไรยังไง? ลำพังแค่ชีวิตตัวเองยังวิเคราะห์ให้แตกฉานไม่ได้ยังจะพูดแบบนี้อีก
“นายคงคิดว่าฉันงี่เง่า เป็นแค่ลูกแหง่ที่เอาตัวรอดไม่ได้ใช่ไหม”
“ก็รู้ตัวนี่” มินซอกยิ้ม แบคฮยอนถอนหายใจเบา ๆ แล้วกุมมืออีกคนเอาไว้
“ฉันไม่ร้องไห้หรอกนะ”
“ถึงร้องฉันก็ไม่โอ๋หรอก”
“ฉันรู้”
“แล้วพูดทำไม”
“ก็แค่บอกให้รู้...” ประโยคนี้มาพร้อมกับน้ำใส ๆ ที่คลอกับเบ้าตาอีกทั้งริมฝีปากที่เบะลงเล็กน้อยเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นสุดชีวิตที่จะไม่ร้องไห้ มินซอกชะงักไปชั่ววินาที เขาล่ะเกลียดจริง ๆ กับการที่ต้องมาเห็นใครสักคนร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเขาเนี่ย...
“...”
“ไม่ร้อง...ไม่ร้อง...” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นแล้วเอาสองนิ้วบีบจมูกตัวเอง มินซอกได้แต่มองคนข้าง ๆ ด้วยสายตาหวาด ๆ บางทีบยอนแบคฮยอนควรทำตัวให้น่าเห็นใจมากกว่าที่จะทำตัวตลกแบบนี้ใส่เขานะ
“ไปนอนไป”
“นอนด้วย”
“ไม่ให้นอน”
“โซฟาตัวนั้นยังว่างนี่”
“ฉันจะเอาไว้วางของ”
“วางบนโต๊ะก็ได้ไม่ใช่เหรอ ให้ฉันนอนด้วยนะ”
“บอกว่าไม่ไง พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอบยอนแบคฮยอน?”
“รู้ แต่อยากนอนด้วย นอนคนเดียวข้างล่างไม่กลัวผีหรือไง” แบคฮยอนอ้างพร้อมกับทำหน้าเรียกร้องความสงสาร ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผลแม้คิมมินซอกจะทำหน้าไม่พอใจอยู่ก็ตาม
“เก็บเรื่องพรรค์นั้นไว้กลัวคนเดียวเถอะ”
“งั้นถ้าฉันบอกว่ากลัวผี มินซอกจะให้ฉันนอนด้วยใช่ไหม?” แบคฮยอนยิ้มทั้งที่น้ำตาคลอหน่วง มินซอกถอนหายใจหน่าย ๆ แล้วพยายามสะบัดมือออกแต่ก็ไม่เป็นผล “นะ”
“นะอะไรของนาย ไปห่าง ๆ เลยไป”
“ได้” แบคฮยอนเดินไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับชันเข่าขึ้นมาทั้งที่ยังมองเขาอยู่ มินซอกเบือนหน้าหลบรอยยิ้มของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างหัวเสีย
ทำไมถึงได้ช่างตื้อแบบนี้นะ...?
ผลลัพธ์ออกมาเป็นข่าวดีว่าพวกเขาคงได้ปักหลักอยู่ที่นี่ในช่วงฤดูหนาวที่ใกล้จะเข้ามาถึง นอกจากจะอยู่ใกล้แม่น้ำแล้วยังมีแหล่งให้ปล้นเสบียงอีกหลายแห่งแต่ว่าต้องเคลียร์เจ้าที่แถวนั้นสักหน่อย เช้าวันรุ่งขึ้นจงอิน ลู่หาน เทาและยุนฮาอาสาออกไปหาเสบียงกับเครื่องนุ่งห่ม ส่วนชานยอลอยู่ดูแลทุกคนที่นี่
เป้าหมายแรกคือร้านขายเสื้อผ้า ลู่หานรับหน้าที่ปลดล็อคประตูแล้วทุกคนก็เข้าไปเก็บของที่อยู่ข้างใน เสื้อสเวทเตอร์ ผ้าพันคอ เสื้อโค้ท กางเกงยีนส์หลากหลายขนาดทั้งของชายหญิงถูกยัดใส่กล่องกระดาษโดยที่ไม่เลือกสีและลวดลาย
“ครบยัง เรามีที่ ๆ ต้องไปกันต่อ” จงอินบอกแล้วคนอื่น ๆ ก็ยกลังกระดาษออกไปไว้ท้ายกระบะ เป้าหมายต่อไปคือการหาเสบียงในเมืองที่มีเพียงแค่ถนนสองเลนให้ขับผ่านเท่านั้น จงอิน เทาและยุนฮาช่วยกันดันรถที่จอดขวางทางออกเพื่อให้ลู่หานขับเข้ามาข้างใน
“ตรงนี้มีซุปเปอร์มาเก็ท ตรงนั้นมีมินิมาร์ท” ลู่หานชี้นิ้วบอก
“งั้นมึงกับกูไปซ้าย มึงกับมันไปขวา” จงอินบอกลู่หานก่อนจะหันไปพยักเพยิดหน้าบอกเทากับยุนฮาแล้วสองคนนั้นก็แยกตัวไป “ระวังตัวด้วยนะมึง”
“นอกจากหมาที่ปากมึงคงไม่มีอะไรกัดกูได้แล้วล่ะ” เทาบอกแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก สัดนี่ปากดี โดนลากไปแดกเมื่อไหร่กูจะใส่ชุดดำนั่งขำให้เหงือกสั่นเลยมึง
ลู่หานเดินนำเข้าไปก่อน จากเสียงครางฮือทำให้เขารู้ว่ามีเจ้าที่อยู่ในนั้นมากกว่าหนึ่ง ทั้งคู่หันมามองหน้ากันแล้วส่งซิกบอก ลู่หานแยกไปทางขวาส่วนเขาแยกไปทางซ้าย มีดทำครัวโง่ ๆ ได้ใช้การอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่พอใจในผลงานมันสักเท่าไหร่ ลู่หานหันไปทำหน้าเนือยใส่คนที่กำลังสลัดคราบเลือดออกจากไขควงแล้วชูอาวุธให้ดู
“กูอยากได้อะไรที่มันดีกว่านี้”
“เอาไรล่ะ? เครื่องบดหมูไหม”
“บดที่หน้า” จงอินหัวเราะแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปเก็บของ
“กูถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่ามา” ลู่หานตอบแล้วหยิบน้ำผลไม้กระป๋องขึ้นมาดูวันที่ “หมดอายุแล้วแต่กระป๋องยังอยู่ในสภาพดี...ไหนจัดดิ๊” พึมพำกับตัวเองแล้วเกี่ยวที่เปิดออกก่อนจะกระดกอึก ๆ ลงคอ
“มึงได้กับมินซอกยังวะ?”
พรวดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!
“ไม่ต้องตอบละ” จงอินกลั้นขำแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเป้ ลู่หานดึงคอเสื้อขึ้นมาเช็ดปากทั้งที่ยังสำลักอยู่ ร่างโปร่งมองเพื่อนซี้ด้วยสายตาคาดโทษกับคำถามที่เกือบฆ่าเขาให้ตายด้วยน้ำผลไม้หมดอายุ
“แล้วมึงล่ะได้กับเซฮุนหรือยัง?” เรื่องนี้เขาจะไม่ยอมเสียหน้าคนเดียวแน่ ลู่หานมองไปยังอีกคนที่เหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปข้างหลังอย่างกับพระเอกหนังเห็นแล้วก็หมั่นไส้อยู่เล็ก ๆ กับสายตาที่มองมาอย่างกับผู้ชนะน่ะ
“คิดว่าไงล่ะ?”
“คิดว่ามึงมันเหี้ย มึงมันส้นตีนไงครับ” ลู่หานแค่นหัวเราะแล้วเก็บน้ำเปล่าใส่กระเป๋าเป้จนเต็ม นาทีนี้น้ำผลไม้หมดอายุคงไม่สำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว ลาก่อน
“รู้กันสองคนนะ”
“ต่อให้กูไม่บอกคนทั้งโลกก็รู้หมดแล้วล่ะ มึงสองคนเล่นตัวติดกันตลอดเวลาแบบนี้”
“แปลกตรงไหนวะ ก่อนหน้านี้กูกับมึงก็อยู่ด้วยกันตลอดเหมือนกัน”
“แต่กูก็ไม่เคยนอนกับมึงทุกคืนป่ะ อีกอย่าง...มึงไม่เคยมองกูด้วยสายตาลึกซึ้งแบบนั้น”
“กูไปทำแบบนั้นเมื่อไหร่ มั่วป่ะสัด”
“อ่อน” ลู่หานส่ายหน้าหน่าย ๆ กับความขี้กากของเพื่อนซี้
“แหม ใครจะไปเก่งอย่างมึง ทั้งตกท่อขาเดาะ โดนแทงยังไม่ตาย สงสัยชาติที่แล้วกรรมจะเยอะ”
“แมวยังมีเก้าชีวิต แล้วมึงดูกูครับ? กูเป็นใคร?”
“โจรกระจอกที่งัดประตูเป็น”
“แต่กูไม่แดกน้ำลายตัวเองนะ”
“...”
“เอื้ออออ...” ลู่หานยิ้มพอใจแล้วเดินออกไปข้างนอกแต่ก็ต้องหมอบลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงปืนลั่น
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ
“!!!”
ร่างโปร่งก้มต่ำไปหลบหลังรถคันหนึ่งก่อนจะหันไปมองจงอินที่นั่งยอง ๆ อยู่ในมินิมาร์ท ร่างหนาชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอกแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนใส่หมวกโม่งกำลังยิงกราดใส่รถคันที่เทากับยุนฮาหลบอยู่
“เกิดอะไรขึ้นวะ?!” ลู่หานขยับปากเบา ๆ ถามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เทาส่ายหน้ารัวเป็นเชิงบอกว่าไม่รู้พร้อมกับชี้ไปยังศัตรูที่กำลังเดินมาทางนี้ จงอินใช้จังหวะทีเผลอวิ่งออกไปหาลู่หานแต่ก็ยังมีคนเห็นอยู่ดี
“มีตรงนั้นอีกคนนึง!”
“เหี้ยแล้วมึง” ทั้งคู่มองหน้ากันพลางกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ “กูหนีมาตั้งไกลยังเสือกเจอพวกคนจันไรแบบไอ้พวกเปรตนั่นอีก” ลู่หานพึมพำเบา ๆ เมื่อนึกถึงค่ายนรกที่ทำให้เขาเจ็บแทบปางตาย ร่างโปร่งหมอบลงต่ำจนหน้าแนบกับพื้นซีเมนต์เพื่อดูว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แค่ไหนแล้ว
“พวกมันมีกันกี่คน?”
“เก้า มาเป็นเกิร์ลเจนเลยไอ้เหี้ย”
“พวกมันมีปืนทุกคน ถ้าวิ่งตอนนี้คือตายแน่ไม่ต้องสืบ” จงอินบอกแล้วลู่หานก็พยักหน้าทั้งที่ยังมองไปยังผู้บุกรุกอยู่
“เอาไงดีวะมึง”
“ต้องแยกกันแล้วว่ะ ขืนไปพร้อมกันแม่งยิงมั่ว ๆ ยังไงก็โดน”
“เออ แล้วเด็กหอกสองคนนั้นเอาไงวะ” ร่างหนาทำหน้าครุ่นคิดแล้วชี้มือบอกให้เทาวิ่งหนีไปอีกฝั่ง ตอนนี้ดูเหมือนว่าคังยุนฮาจะกำลังสติแตกจนเทาต้องหันไปเตือนสติ
“มึงไปซ้าย กูไปขวา แล้วไปเจอกันที่บ้านเลยโอเคนะ?”
“ทราบ” ลู่หานคลายเชือกรองเท้าแล้วผูกใหม่ให้แน่นหนา พอร่างกายใช้งานได้ก็เล่นกูเลยนะพวกมึง! “กูล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าแม่งเป็นใคร”
“จะเป็นใครไม่สำคัญหรอก ไปสัด!” จงอินตบหลังอีกฝ่ายปุ ๆ แล้วออกตัววิ่งไปทางขวาเพื่อล่อเป้ามาทางนี้จังหวะนั้นเทากับยุนฮาก็วิ่งไปอีกทางเช่นกัน ลู่หานก้มลงมองรองเท้าบูทหนังสีดำที่กำลังเดินมาทางนี้แล้วก็ค่อย ๆ อ้อมไปข้างหลังรถโดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงปืนกลสาดไปยังร่างหนาที่วิ่งก้มต่ำหนีออกไปจากตรงนี้ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงตะโกนบอกให้เปลี่ยนพิกัดไปยังเด็กสองคนที่วิ่งหนีไปอีกทาง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เสียงหวีดร้องของใครคนหนึ่งทำให้ลู่หานหยุดชะงัก ร่างโปร่งหมอบลงต่ำแล้วก็พบว่าคนที่ถูกยิงคือเด็กปากหมาคังยุนฮา กลุ่มผู้ร้ายรีบวิ่งเข้าไปเหยียบแผ่นหลังเด็กหนุ่มเอาไว้พร้อมกับเอาปืนจ่อหัว
“ชิบหายแล้วมึง...”
จะว่าห่วงไหมก็ห่วงแต่นาทีนี้เขาคงช่วยอะไรไม่ได้ ลำพังจะให้โชว์สดเข้าไปบวกกับพวกมันเก้าคนก็ใช่เรื่อง ลู่หานกัดฟันกรอดแล้ววิ่งหลบไปทางข้างหลังเพื่อหาทางอ้อมหนีออกไป
“ยังเหลือตรงนั้นอีกคนนึง!”
“ห่าเอ๊ย...” ถอนหายใจหนัก ๆ แล้วกัดฟันวิ่งด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี เอี้ยวหันไปข้างหลังเห็นชายใส่หมวกโม่งวิ่งตามมาติด ๆ ถึงสองคน อีกทั้งข้างหน้ายังมีผีดิบยืนดักอยู่อีก ลู่หานดึงมีดโง่ ๆ ออกมาแล้วฟันหัวมันเพื่อให้พ้นทางก่อนจะหมอบลงต่ำเมื่อถูกโจมตีด้วยปืนอีกครั้ง
“ตามมันไป!”
นรก! อยากหันไปถามจริง ๆ ว่ากูไปฆ่าพ่อมึงเหรอทำไมถึงได้ตามจองล้างจองผลาญกูขนาดนี้?!
ร่างโปร่งหอบหายใจหนัก ข้างหน้าเป็นป่าทึบที่เขาคิดว่าน่าจะใช้อำพรางเอาตัวรอดได้ แต่หันกลับไปก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าไอ้โม่งดำมันยังคงไล่ตามมาติด ๆ ลู่หานล้มลุกคลุกคลานไปตามทาง แหวกต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...
“!!!!!”
ลู่หานถูกล็อคคอไว้ด้วยวงแขนแกร่งก่อนที่ร่างของเขาจะเดินถอยหลังไปทีละก้าว ร่างโปร่งนิ่วหน้าเจ็บพยายามจะต่อสู้กับใครอีกคนที่คิดจะเอาชีวิตเขาแต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะขนาดตัวของอีกฝ่าย ไอ้โม่งตัวสูงออกแรงหนักกว่าเดิมเมื่อเขาพยายามจะดึงหมวกนั้นออก ลมหายใจติดขัดเพราะช่วงคอถูกรัด...ชายหนุ่มได้แต่บอกกับตัวเองว่ารอดมาได้ถึงขนาดนี้แล้วยังไงเขาก็ไม่ยอมมาตายที่นี่แน่
ลู่หานกระชากหมวกโม่งออกมาอย่างแรงก่อนจะกระทุ้งศอกใส่เอวหนาจนวงแขนแกร่งคลายออกจากคอเขา ร่างโปร่งเซไปข้างหน้าพลางกำคอเสื้อตัวเองพร้อมกับโกยอากาศเข้าปอด พอหันกลับเข้าหาบุคคลปริศนาอีกครั้งแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อถูกฝ่ามือปิดริมฝีปากพร้อมกับมืออีกข้างที่กำคอเสื้อเขาเอาไว้
ใบหน้าหล่อได้รูปกับรอยแผลเป็นตรงโหนกแก้ม ผมสีดำขลับไถข้างจนไม่เหลือเค้าเดิม นัยน์ตาเรียวเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองก่อนที่มือแกร่งจะค่อย ๆ คลายออกเมื่อเจ้าของหมวกโม่งสีดำสื่อสารกับเขาด้วยสายตาเรียบร้อยแล้ว
“หาที่เกาะเอาไว้แน่น ๆ ”
พูดจบร่างของเขาก็ถูกคนตัวสูงผลักตกลงไปข้างล่าง ถึงจะยังอยู่ในอาการช็อกสุดขีดแต่เขาก็รีบคว้าจับสิ่งที่อยู่ใกล้มือที่สุดเอาไว้เพื่อไม่ให้ตกลงไปข้างล่างที่มีน้ำเชี่ยวพัดผ่าน เถาวัลย์คือสิ่งแรกที่เขาจับเอาไว้ได้ ลู่หานนิ่วหน้าเจ็บเพราะร่างของเขากระแทกกับหินก้อนใหญ่อย่างจัง พอเรียกสติขึ้นมาได้ก็เงยหน้าขึ้นไปข้างบน ชายหนุ่มร่างสูงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นหากแต่มีใครอีกคนเดินมาสมทบ ได้ยินบทสนทนาที่พูดถึงการไล่ล่าเขา
“มันตกลงไปข้างล่าง คงคอหักตายไปแล้ว”
“ไหนวะ?”
ลู่หานเบิกตากว้างแล้วเหวี่ยงตัวเองให้ไปทางด้านข้างพร้อมกับเกาะก้อนหินเอาไว้เพื่อให้ต้นไม้อำพรางร่างของเขา เห็นคนสองคนชะโงกหน้าลงมาดูผลงานแล้วชายวัยกลางคนก็ตบบ่าร่างสูงแทนคำชมเชย
ทุกอย่างในหัวตีกันไปหมด ใช่...ไม่ผิดแน่...ผู้ชายหมวกโม่งที่ไล่ล่าและคิดจะเอาชีวิตเขาน่ะ...จะว่าเป็นคนละคนก็ไม่ใช่เพราะถ้ามันคิดจะฆ่าเขาจริง ๆ แล้วประโยคคำเตือนเมื่อกี้มันคืออะไร?
ไม่ว่าไอ้หมอนั่นจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม...ยังไงเขาก็ต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกจงอินให้เร็วที่สุด...
บอกกับทุกคนให้รู้...ว่าอู๋อี้ฟานยังมีชีวิตอยู่...
TBC
กรี๊ดดดดดดดดด
#โครงการสงครามไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร
#YIFANComeBackStage
นั่นใครอ่ะ คนหน้าเหมือนหรือตัวจริง? ทำไมพี่อี้ฟานเปลี่ยนไป๋ เกิดอะไรขึ้น ต้องติดตามนะบอกเลย
[พื้นที่โฆษณา]
ที่รักคะ ปิดจองฟิคซอมบี้ซีซั่น 1 วันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้แล้วนะคะ ใครยังไม่จองให้รีบจองเลย เดี๋ยวพลาดนะตัวเอง ลิงค์ข้างล่างนี้นะ โอเค รู้เรื่อง
http://my.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=1015157&chapter=35
ความคิดเห็น