คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : Chapter 42 :: Doubt
Chapter 42
Doubt
สองขาเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องข้าง ๆ หลังจากตกลงกันแล้วว่าเขาจะอาสาเข้ามาคุยกับแบคฮยอนส่วนลู่หานจงอินจะจัดการเอง ยืนชั่งใจอยู่ราว ๆ สองนาทีร่างบางก็ยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ สองครั้ง ยืนให้ความเงียบทำงานอยู่ไม่นานนักแบคฮยอนก็เปิดประตูให้ คนตัวเล็กมองเพื่อนตัวสูงตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย เซฮุนยิ้มพร้อมกับชูหมอนสีขาวที่ถือมาด้วยให้ดูก่อนที่แบคฮยอนจะถอยออกเพื่อให้อีกคนเข้ามา
“นอนแล้วเหรอ ทำไมไม่จุดเทียนล่ะ?” เซฮุนเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วจุดเทียนก่อนจะหันมากอดหมอนใบโตเอาไว้แนบอกพร้อมกับมองไปยังเพื่อนตัวเล็กที่เดินไปนั่งกับขอบเตียง
“อือ”
“นอนเร็วจัง นี่เพิ่งจะหกโมงเอง”
“ฉันง่วงน่ะ” เซฮุนมองเพื่อนตัวเล็กที่หลุบสายตาลงมองพื้นห้องอย่างเหม่อลอย แสงเทียนสีส้มที่ให้ความสว่างภายในห้องกลับทำให้บยอนแบคฮยอนรู้สึกเคว้งมากกว่าที่เป็นอยู่ บางทีการจมอยู่กับความมืดโดยที่มองไม่เห็นอะไรมันก็คงดีกว่า เซฮุนหุบยิ้มลงพลางถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นคนตัวเล็กมีสีหน้าเศร้าหมอง “ฉันอยู่คนเดียวได้”
“...”
“ขอบใจที่เป็นห่วงนะ” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะดึงผ้านวมขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไป ร่างเล็กพลิกตัวหันหน้าเข้าหาผนังราวกับเป็นการบอกนัย ๆ ว่าเขาต้องการที่จะจบบทสนทนาเพียงเท่านี้
เซฮุนนั่งนิ่งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี เขาได้เพียงแค่มองแผ่นหลังบางของคนเป็นเพื่อนเท่านั้น ลึก ๆ คิดว่าแบคฮยอนคงเสียใจและอยากระบายความอัดอั้นออกมาบ้างกับการที่ปาร์คชานยอลหนีไป...แต่ดูเหมือนว่ามันจะผิดคาด
“ฉันจะเปิดหน้าต่างออกนิดนึงไว้ให้อากาศถ่ายเท ตกดึกอากาศหนาวแล้วนายใส่ถุงเท้านอนด้วยนะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“...”
“ฉันนอนอยู่โซฟาข้างล่าง ถ้านายเหงาก็ลงไปปลุกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ”
“...”
“ราตรีสวัสดิ์”
พอได้ยินเสียงประตูปิดลงเรียวขาก็ขดเข้าหาตัวแล้วคว้าหมอนที่ใครอีกคนเคยใช้หนุนนอนมากอดเอาไว้แนบอกพร้อมกับปิดเปลือกตาลง...ความเย็นของน้ำตาที่เคยหยดลงบนปลอกหมอนยังคงเหลืออยู่ หน้าอกข้างซ้ายเหมือนถูกบีบ มันเจ็บทุกครั้งที่ภาพของผู้ชายคนนั้นลอยเข้ามาในห้วงความคิด
‘กลางคืนหมอกลง ผมกลัวว่าคุณจะเป็นหวัดไปอีกคน’
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นน้ำตา แค่คิดว่าปาร์คชานยอลจากไปแล้วและจะไม่มีวันกลับมาอีกน้ำตามันก็ไหลออกมาอย่างง่ายดาย นี่เป็นอีกเรื่องที่บยอนแบคฮยอนไม่เคยเตรียมใจเอาไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่เรื่องความตายมันแล่นเข้ามาให้ได้คิดเขาก็มักจะหาอะไรทำเพื่อไล่มันออกไปจากหัวทุกที เพราะว่าเขาทำใจไม่ได้ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งปาร์คชานยอลอาจจะต้องตายจากเขาไป แต่วันนี้บยอนแบคฮยอนได้รู้แล้วว่าความตายมันไม่ใช่การลาจากที่น่าเศร้าที่สุด...
แต่มันคือการถูกทิ้งไว้อย่างไร้เยื่อใยแบบนี้ต่างหาก...
‘สิ่งที่ดูเผิน ๆ ตอนแรกอาจจะดูสวยงาม แต่ถ้าดูชัด ๆ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ก็เหมือนกับคนเราที่ต้องใช้เวลาศึกษากันและกันถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง’
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่มาพร้อมกับแววตาคู่นั้น...มือที่เคยสอดประสานกันเอาไว้ขับไล่ความหวาดกลัวออกไปจากเด็กที่ไม่มีความกล้าที่จะยืนด้วยขาของตัวเองอย่างเขา การแอบรักว่าเจ็บแล้ว...แต่การที่ได้รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญกับปาร์คชานยอลเลยสักนิดเดียวสิเจ็บยิ่งกว่า
ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจ็บปวดเพียงแค่นึกถึงรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น...
ตั้งแต่บยอนแบคโฮจากไปเขาก็รู้สึกเคว้งคว้างมาตลอด ไม่มีกระจิตกระใจอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เพราะความรักความใส่ใจจากทุกคนที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่ามากแค่ไหน บยอนแบคฮยอนอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพี่ชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย อยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้
ถ้าเขาล้ม...แน่นอนว่าบยอนแบคโฮคือคนแรกที่จะยื่นมือลงมาช่วยฉุดรั้งให้ลุกขึ้นยืน แต่หลังจากที่พี่ชายของเขาจากไป...เขาก็ได้เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรอให้ใครสักคนหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ ซึ่งมันคงเป็นไปได้ยากสำหรับคนที่ใคร ๆ ต่างก็รังเกียจอย่างเขา
นิสัยตัดพ้อ พูดจาดูถูกตัวเองนี่แหละที่มันแก้ไม่หายแม้ว่าเซฮุนจะเคยบอกให้เขารักตัวเองให้มาก ๆ ก็ตาม แต่มันก็อดคิดไม่ได้เลยว่าสิ่งที่บยอนแบคฮยอนทำได้ดีที่สุดก็คือการเป็นภาระให้กับคนอื่น
แต่พอเงยหน้าขึ้น...เขากลับเห็นใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า ปาร์คชานยอลแค่ยิ้มให้โดยที่ไม่ยื่นมือลงมาพยุงให้เขาลุกขึ้น แต่ผู้ชายคนนั้นกลับสอนให้เขาลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะทุลักทุเลแต่สุดท้ายบยอนแบคฮยอนก็ลุกขึ้นเองจนได้
‘ทุกคนในโลกเป็นคนดีแต่อยู่ที่ว่าเขาเลือกจะปฏิบัติกับใคร แต่ที่แน่ ๆ พวกเขาไม่ได้เลวกับทุกคน มันต้องมีสักคนที่เขาอยากทำดีด้วย’
‘คุณกำลังจะสอนให้ผมมองโลกในแง่ดีเหรอ’
ปาร์คชานยอลสอนให้เขาเกลียดความงี่เง่าที่เหมือนเด็กไม่รู้จักโตในตัวเขา สอนให้เขารู้จักคำว่าเสียใจ สอนให้เขารักคนอื่นให้มากเหมือนที่รักตัวเองและสอน...ให้รู้จักคำว่าความรัก...
‘ถ้าผมเผลอหลับไป...ก็ช่วยปลุกผมโดยการบีบมือแน่น ๆ ทีนะครับแบคฮยอน’
จะต้องทำยังไงถ้าตื่นมาแล้วไม่เห็นผู้ชายคนนั้นนอนอยู่ข้าง ๆ จะต้องทำยังไง...ถ้ามองไปทางไหนแล้วก็พบเจอแต่เพียงความว่างเปล่า...นึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ยิ่งเจ็บ...มันอดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ปาร์คชานยอลแค่ดูแลตามที่พี่ชายของเขาขอร้องเอาไว้เท่านั้นใช่ไหม? แล้วจูบครั้งนั้นมันคืออะไร...วงแขนที่รั้งเขาเข้าไปกอดจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นได้อย่างชัดเจนนั่นอีกล่ะ...ทำไม...ทำไมชานยอลถึงได้ทิ้งเขาไปได้ลงคอ...ทุกอย่างที่เกิดขึ้น...มันไม่เคยมีความหมายสำหรับปาร์คชานยอลเลยใช่ไหม?
จริง ๆ แล้วบยอนแบคฮยอนก็คงไม่ต่างอะไรจากหมาตัวนั้น...ที่ปาร์คชานยอลอยากจะเข้ามาเล่นด้วยเมื่อไหร่ก็ได้...พอตายจากไปไม่นานก็ถูกลืม
สองหนุ่มที่นั่งวุ่นอยู่กับแผนที่จังหวัดและสมุดเล่มหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองใครอีกคนที่กำลังลงมาจากบันได เซฮุนเดินมานั่งบนโซฟาเดี่ยวพลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกอดหมอนแล้วเอนหลังพิงกับพนักโซฟา
“ไม่ได้เรื่องเหรอ?”
“ครับ แบคฮยอนแทบไม่คุยกับผมเลย”
“...” ลู่หานนิ่งไป นัยน์ตากลอกขึ้นมองเพดานแล้วก็เป็นห่วงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องเล็ก ลึก ๆ เขาก็รู้สึกผิดที่ทุกอย่างมันบานปลายมาถึงขนาดนี้ ที่ปาร์คชานยอลหนีไปคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คงเป็นเด็กคนนั้น แหงล่ะ...แบคฮยอนชอบหมอนั่นนี่นะ ถึงจงอินจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาก็เถอะ แต่จริง ๆ แล้วมันก็คือความผิดของเขาส่วนหนึ่งป่ะวะที่ไปหาเรื่องกวนส้นตีนมัน แต่ใครจะรู้ว่ามันจะใจน้อยเป็นตุ๊ดแบบนั้นล่ะ ลู่หานก้มหน้าลงพลางถอนหายใจก่อนที่จงอินกับเซฮุนจะมองมาที่เขา
“แบคฮยอนต้องการเวลา กูบอกแล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของมึง”
“ทุกคนก็ต้องการเวลา” ลู่หานเงยหน้าขึ้นแล้วมองหน้าเพื่อนซี้ที่กำลังจ้องเขาอยู่ “มึงก็รู้ว่าแบคฮยอนกำลังโกรธกู”
“น้องยังเด็ก สักวันก็คงเข้าใจเองนั่นแหละ”
“เข้าใจว่ากูเป็นคนทำให้ไอ้ชานยอลหนีไปน่ะเหรอ”
“แบคฮยอนอาจจะไม่ได้โกรธคุณก็ได้นะครับ”
“แล้วมึงจะทำไง? จากสภาพถ้าเข้าไปปลอบตอนนี้คงโดนตะเพิดออกมาเปล่า ๆ ” จงอินส่ายหน้าน้อย ๆ
“กูว่าคงไม่ตะเพิดหรอก เผลอ ๆ อาจจะปิดประตูใส่หน้าทันทีที่เห็นว่าเป็นกูก็ได้”
“ก็เด็กมันสนิทกับชานยอล แล้วก่อนหน้านี้มึงเสือกทะเลาะกัน น้องมันอาจจะมีอคติบ้างแต่เดี๋ยวก็เข้าใจเองนั่นแหละ เหมือนกับตอนเป็นเด็กมีคนบอกว่าห้ามแดกกองทรายนะแต่มึงก็แดกเพราะความไม่รู้ แต่พอโตขึ้น มึงรู้ว่าทรายแดกไม่ได้มึงก็ไม่แดกแค่นั้นแหละ”
“โหไอ้สัด หล่อจริง ๆ คำพูดคำจาเนี่ย” ลู่หานกัดฟันด่าแล้วยกขาขึ้นมาถีบเพื่อนซี้จนเซไปทางด้านข้าง
“ไม่เอาเรื่องนั่งเล่นขี้ตอนเด็กมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็ดีแค่ไหนละ แต่ก็ขอบใจที่ชมกูว่ะ” จงอินยิ้มขำแล้วหันไปหาร่างบางที่ทำหน้าคิดไม่ตกอยู่ “สรุปว่าคืนนี้ไม่ได้นอนกับแบคฮยอนแล้วใช่ไหม?”
“ครับ เขาคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”
“อืม” ขานตอบในลำคอแล้วหันกลับมาหาเพื่อนคนข้าง ๆ “...”
“อะไรครับ มองกูแบบนี้คืออะไร”
“...” จงอินไม่ได้ตอบคำถามในทันที ร่างหนาเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้นแล้วก็นึกขึ้นได้ถึงบทสนทนาก่อนหน้าที่จงอินมันบอกให้เขาไปนอนห้องมันเพราะเซฮุนจะไปนอนกับแบคฮยอน...อ้อ...รู้ละ
“เออ เดี๋ยวกูนอนโซฟาเองแล้วกัน”
“ไม่เป็นไรครับลู่หาน เดี๋ยวผมนอนตรงนี้เอง”
“เหย...จะดีเหรอวะเพื่อน” ถามอีกอย่างแต่การกระทำสวนทางกัน จงอินหยิบหมอนที่วางอยู่บนตักเซฮุนมาวางไว้บนหน้าขาคนเป็นเพื่อนแล้วตบปุ ๆ ให้อย่างดิบดี “นี่มันคือการเสียสละของพระเอกชัด ๆ ”
เสียสละพ่อง
ลู่หานกลอกตามองเซฮุนที่ดูจะรู้สึกผิดกับการที่เขาต้องมานอนโซฟาแทนที่จะได้นอนคุยเรื่องปัญหาชีวิตกับไอ้ห่าจงอินในคืนนี้ เรื่องที่นอนมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับลู่หานหรอกแต่ถ้าจะให้ดันทุรังไปอ้อนตีนขอนอนกับมินซอกเหมือนกับทุกคืนเขาก็ไม่กล้า เพราะครั้งล่าสุดแววตาที่มินซอกมองเขามันก็ไม่ต่างจากแบคฮยอนเลยสักนิดเดียว
เด็กสองคนนั้นอายุเท่ากัน ความคิดความอ่านอาจจะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลู่หานผู้นี้ขอนอนห่อเหี่ยวอยู่คนเดียวเสียจะดีกว่า จริงอยู่ที่เขาเป็นคนหน้าด้านและมีความพยายามสูง แต่ความพยายามมันจะมีความหมายก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายเห็นค่าของมันไม่ใช่เหรอวะ?
และดูเหมือนว่ามินซอกจะยังมองไม่เห็นซะด้วยสิ...
“ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ?”
“มานั่งนี่สิ” จงอินขยับที่นั่งให้เมื่อเห็นเซฮุนกำลังชะเง้อหน้ามองแผนที่บนโต๊ะ ลู่หานขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่ถูกเบียดให้ไปนั่งชิดสุดขอบโซฟา เซฮุนยิ้มแล้วลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ อีกคน “กำลังวางแผนชีวิตในช่วงฤดูหนาวกันอยู่น่ะ”
“อ๋อ” เซฮุนรับสมุดที่จงอินยื่นให้มาวางไว้บนตักแล้วเปิดอ่านทีละหน้า ลายเส้นไก่เขี่ยบ่งบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้คงห่างหายกับการเขียนหนังสือมานานพอสมควร ร่างบางลอบยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนว่ากำลังรอฟังความเห็นจากเขาอยู่
“นายว่าไง?”
“ผมเห็นด้วยนะครับ เพราะช่วงหน้าหนาวคงหาเสบียงลำบาก ถ้าออกไปหาของมาตุนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็คงดี”
“ใช่ ช่วงนี้เราจะออกล่าสัตว์กันแล้วงดกินรามยอนสำเร็จรูป อาหารกระป๋องไปจนกว่าหิมะแรกจะมาถึง” จงอินพูดแล้วลู่หานก็แบมือเพื่อขอสมุดกับปากกาจากอีกคน “มึงเขียนร้านอุปกรณ์ก่อสร้างลงไปด้วยนะ เราต้องมีพลั่วเอาไว้ตักกองหิมะออก” จงอินชี้นิ้วลงไปบนกระดาษ
“แถวนี้จะมีโรงงานขายรถตักหิมะป่ะวะ?” ลู่หานขมวดคิ้วถาม “เพราะถ้าหิมะตกรถคงใช้ไม่ได้แน่”
“แล้วยังไง มึงจะขับรถตักหิมะนำทางแล้วให้พวกกูขับตามงี้เหรอ”
“เออว่ะ” ลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลยว่าปัจจุบันนี้คงไม่มีหน่วยเทศบาลมาขับรถตักหิมะออกให้แน่ ๆ ลู่หานลูบคางทำหน้าครุ่นคิดแล้วก็หันไปขอความคิดเห็นจากอีกสองคน
“กูถึงได้บอกไงว่าเราต้องเก็บเสบียงมาตุนไว้ให้นานที่สุด เพราะถ้ารถใช้งานไม่ได้มันคงเป็นเรื่องยากถ้าเราจะต้องออกไปหาเสบียงไกล ๆ ”
“พอถึงตอนนั้นก็ตกปลาไม่ได้ด้วยครับ” เซฮุนเสริม
“ถ้าเป็นอย่างนั้นกูกับมึงคงต้องแยกกันออกหาเสบียงทุกวันแล้วล่ะ”
“ใช่ แต่มันมีปัญหาอย่างนึงที่ทำให้กูคิดไม่ตก” จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้าเกิดเราแยกกันไปหาเสบียงแล้วไปเจอคนอื่นล่ะ?”
“...”
“ตอนนี้ฝั่งเรามีกี่คนที่ออกไปหาเสบียงได้ มีกู มึง เซฮุน ไอ้เทา...รู้สึกจะมีอยู่แค่นี้” ร่างหนาถอนหายใจเมื่อนึกถึงภัยมนุษย์ที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากจะสู้กับพวกผีดิบแล้วยังต้องคอยระวังตัวจากคนด้วยกันอีก
“มึงมองวิกฤติให้เป็นโอกาสดิ” จงอินหันไปมองหน้าเพื่อนซี้ที่ดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง “ไปหลายคนก็ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง แต่ยิ่งมีคนน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเอาตัวรอดง่ายเท่านั้น”
“...”
“มึงกับเด็กกรงหมาไปด้วยกันสองคน อย่างมากมึงก็แค่พยายามช่วยกันหนี ไม่ต้องห่วงว่ายังมีใครติดอยู่ข้างหลัง” ลู่หานวางปากกาลงแล้วหันมามองหน้าเพื่อนสนิท “เพราะถ้าจะให้มินซอกออกไปเสี่ยงข้างนอกกูก็คงไม่ยอมเหมือนกัน”
“...”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เพราะทุกอย่างมันกดดันให้พวกเขาต้องตัดสินใจแบบนี้และเขาก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ลู่หานพูด ครูคนนั้น จองอึนจี แบคฮยอน มินซอก ทั้งสี่คนต่างด้อยเรื่องการหลบหนีทั้งนั้น
“โอเค งั้นเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เราจะเริ่มไปที่นี่ก่อนแล้วขับวนรอบเป็นวงกลม ถ้าโชคดีเราอาจจะเจอร้านขายปืนก็ได้” จงอินวาดปากกาลงบนแผนที่ ลู่หานพยักหน้าเข้าใจแล้วทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน
“ตกลงตามนี้”
เช้าวันรุ่งขึ้น...
ความหนาวเย็นจากสภาพอากาศทำให้ใครหลายคนเลือกที่จะนอนซุกอยู่ใต้ผ้านวม แต่นั่นไม่ใช่ครูสาวคนสวยที่กำลังหอบตะกร้าผ้าออกมาวางไว้ข้างบ้านเพื่อเตรียมซักกับเด็กอีกคนที่กำลังเทผงซักฟอกลงในกะละมัง
“แยกผ้าสีด้วยนะจ้ะมินซอก ครูจะเข้าไปทำมื้อเช้าเดี๋ยวครูจะออกมาช่วยนะ”
“ได้ครับครู” เด็กน้อยยิ้มแล้วเดินไปแยกผ้าออกจากตะกร้าก่อนจะเอาผ้าขาวมาแช่ไว้ในกะละมังใบแรกแล้วหันไปซักผ้าสีก่อน ลมเย็นพัดผ่านทำให้สองแขนต้องกอดตัวเองเอาไว้ ยื่นมือไปรองน้ำจากก๊อกได้แค่วิเดียวก็ต้องชักกลับเมื่อทนความเย็นไม่ไหว
“เย็นเอาเรื่องนะเนี่ย...” พูดด้วยสีหน้าเนือย ๆ พลางยืนทำใจแค่ครึ่งนาทีก่อนจะไปเอาผ้ามาใส่ในกะละมังแล้วถลกขากางเกงขึ้น เด็กน้อยหลับตาปี๋เมื่อปลายเท้าจุ่มลงไปในกะละมัง ฟันบนล่างขบเข้าหากันพลางกำหมัดแน่นแล้วค่อย ๆ เหยียบผ้า
“เดี๋ยวก็ชินน่า...” ขยับปากพูดเบา ๆ แล้วถอนหายใจพรู ความเย็นของน้ำในกะละมังทำให้เขาอยากล้มเลิกการซักผ้าเสียเดี๋ยวนี้ เด็กน้อยขมวดคิ้วเมื่อจู่ ๆ เสียงน้ำที่เปิดทิ้งไว้ก็เงียบหายไป พอหันไปข้างหลังก็พบว่าน้ำหยุดไหลแล้ว
ก้าวขาออกมาหวังไปเช็คดูว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ ๆ น้ำถึงไม่ไหล แต่เป็นเพราะเท้ายังคงเต็มไปด้วยฟองของผงซักฟอกเลยทำให้เขาลื่นจนเกือบหงายหลังแต่ใครอีกคนเข้ามาคว้าตัวเอาไว้ได้ซะก่อน
ไม่รู้ว่าคิมมินซอกตัวเล็กเกินไปหรือว่าอะไรกันแน่ลู่หานถึงได้รวบตัวเขาเอาไว้ได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ใบหน้าหล่อที่มาพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้นทำให้เด็กน้อยรีบผละตัวออกมาทันทีที่ตั้งสติได้
“เหมือนในละครเลยเนอะ”
“...”
“อรุณสวัสดิ์เปาจื่อ~” ลู่หานยิ้มกว้างขณะมองคนตัวเล็กที่กำลังกระชับแว่นก่อนจะปัดเผ้าผมให้เรียบร้อย
“มาทำอะไร”
“พี่เห็นนายซักผ้าอยู่ก็เลยเอาผ้ามาซักด้วย” มินซอกก็ก้มลงมองอีกคนที่กำลังก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นทีละชิ้นอย่างไม่เร่งรีบ
“ทำไมวันนี้ตื่นแต่เช้าล่ะ”
“พี่นอนไม่ค่อยหลับ ขามันเลยโซฟา โคตรเย็นตีนอ่ะบอกเลย...ในกะละมังนี้ของมินซอกหรือเปล่า พี่เอาลงไปเลยได้ไหม?” ลู่หานหันมาถาม คนตัวเล็กเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแบบขอไปที
“ไม่มีถุงเท้าหรือไง”
“มีสิ แต่ขามันเลยผ้าห่มยังไงก็หนาวอยู่ดี”
“ทำไมนอนโซฟาล่ะ”
“ก็...” ร่างโปร่งเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจแล้วทิ้งผ้าลงไปในกะละมังใบใหญ่ที่มีผ้าของมินซอกแช่ไว้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว “อี้ชิงนอนห้องนึง แบคฮยอนห้องนึง ไอ้จงอินกับเซฮุนนอนด้วยกัน พี่ก็เลยต้องนอนเป็นหมาเฝ้าบ้านอยู่ข้างล่างไง” ลู่หานหัวเราะกับตัวเองแล้วใช้มือกดผ้าลงไปในน้ำที่เต็มไปด้วยผงซักฟอก มินซอกที่กำลังพยายามหมุนวาล์วน้ำชำเลืองมองแผ่นหลังกว้างของคนตัวโตกว่าที่กำลังซักผ้าอย่างขะมักเขม้น พอได้ยินลู่หานพูดอย่างนั้นแล้วเขาก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ
ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมหมอนี่ถึงไม่มาง้องแง้งขอนอนด้วยเหมือนกับทุกคืน...
“แบคฮยอนก็โกรธพี่ อี้ชิงก็ด้วย ถึงจะไปขอโทษแล้วก็เถอะ แต่มีแค่นายคนเดียวนั่นแหละที่พี่กล้าหน้าด้านมาคุยด้วยทั้งที่รู้ว่าถูกโกรธอยู่...หืม?” ร่างโปร่งเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อถูกสะกิดหัวไหล่ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนตัวเล็กยื่นถังน้ำมาให้เขา
“น้ำไม่ไหล”
“อ้าว”
“ไปตักน้ำจากแม่น้ำมาให้หน่อย” เป็นประโยคขอร้องที่น่ารักที่สุดในโลกในสายตาของลู่หานแม้ว่าใบหน้ากลม ๆ ของมินซอกจะบูดบึ้งเย็นชาเหมือนกับทุกครั้งก็ตาม
“ได้เลย” ลู่หานอมยิ้มพลางรับถังน้ำมาถือเอาไว้ขณะมองอีกคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ ทั้งที่ยังปั้นหน้าเรียบเฉยอยู่ สองขาก้าวออกมาแล้วเดินข้ามถนนเพื่อตรงไปยังแม่น้ำใจกลางหมู่บ้าน ทั้งที่เด็กคนนั้นไม่ยิ้มให้เลยสักนิด แต่น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกดี
อาจเป็นเพราะว่ามินซอกไม่ได้ผลักไสไล่ให้เขาไปไหนอย่างที่คิดเอาไว้ล่ะมั้ง...
ใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการเดินเข้าเดินออกเพื่อตักน้ำเข้าบ้าน เห็นคนตัวเล็กกำลังขึ้นไปเหยียบผ้าในกะละมังแล้วก็ถอดรองเท้าก่อนจะขึ้นเข้าไปในกะละมังด้วยกัน มินซอกเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่กำลังจ้องหน้าเขาด้วยสายตาตามแบบผู้ชายกะล่อน คิ้วเรียวขมวดมุ่นพลางหลุบสายตาลงเมื่อสองมือปลาหมึกทาบทับอยู่บนเอวเขา
พอไม่ด่าแล้วก็ได้ใจแบบนี้ไงล่ะ...
“ดูละครมากไปหรือเปล่า?”
“เคยดูผ่าน ๆ แต่ไม่คิดว่าพอลองทำตามแล้วจะฟินขนาดนี้”
“ฟินบ้าบออะไร” มินซอกมองค้อนแล้วดันตัวอีกคนออกแต่กลับถูกรั้งเข้าไปกอดหน้าตาเฉย “นี่ลู่หาน!”
“การซักผ้าสองคนมันดีอย่างนี้นี่เอง” ร่างโปร่งยิ้มขำแล้วมองใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังแสดงถึงความไม่พอใจ
“ผมซักคนเดียวได้ คุณไม่มีธุระต้องไปทำแล้วหรือไง?”
“มีสิ ธุระของพี่ก็คือนายไง”
“...” เขาล่ะเกลียดจริง ๆ เวลาที่ลู่หานพูดจาหวานซึ้งแถมยังปั้นหน้าปั้นตายิ้มแบบนี้อีก มินซอกเบือนหน้าหลบพลางเอามือดันแผงอกอีกคนเอาไว้
“หนาวเนอะ”
“...”
“เมื่อคืนไม่มีคนคอยกวนใจ คงหลับสบายเลยอ่ะดิ”
“ก็รู้นี่” เพราะอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ทำให้มินซอกลืมความหนาวเย็นของน้ำที่กำลังแช่อยู่ ลู่หานกระชับกอดคนตัวเล็กแน่นขึ้นแล้วจูบกลุ่มผมเบา ๆ ให้หายคิดถึง “ถอยออกไปได้ไหม เดี๋ยวครูมาเห็น”
“ถ้าประตูเปิดออกพี่จะรีบปล่อยเลย” ลู่หานยิ้มแล้วก้มลงกดจมูกลงบนพวงแก้มยุ้ยซ้ำ ๆ แม้ว่าอีกคนจะเบี่ยงหน้าหลบก็ตาม
“นี่คุณ”
“พี่ขอโทษ” ลู่หานเป็นฝ่ายผละตัวออกมาเล็กน้อยแล้วโอบใบหน้ามินซอกเอาไว้ เด็กน้อยจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งแม้ว่าอีกคนจะกำลังแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดก็ตาม “พี่ผิดเองที่ใจร้อน ขอโทษที่เอาแต่ใจ ขอโทษที่ไม่ยอมฟังคนอื่น”
“...”
“พี่สำนึกผิดแล้ว”
“...”
“เปาจื่อหายโกรธพี่ได้ไหม?” พอได้ยินคำขอโทษแบบนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าใจอ่อนอยู่ไม่น้อย มินซอกเงียบ เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปจนกระทั่งลู่หานโน้มหน้าลงมาจูบหน้าผากของเขา “ดีกันนะ”
“...พูดบ้าอะไร?”
“พี่บอกว่ารักนะเปาจื่อ”
“นี่” มินซอกได้แต่จิ๊ปากเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าผู้ชายคนนี้ดี พอโดนรุกแบบนี้แล้วเขาก็ไปไม่เป็นทุกทีสิ ลู่หานยิ้มกว้างแล้วหอมแก้มคนตัวเล็กซ้ำ ๆ
“เฮ้ย ทำไรกันวะ?!” เสียงดังมาจากบ้านหลังข้าง ๆ ทำให้ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง ผู้ชายผิวสีแทนเปลือยท่อนบนกำลังนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ริมหน้าต่างพร้อมกับสูบบุหรี่ พอถูกเพื่อนซี้ทักทายยามเช้ามือปลาหมึกก็รั้งเอวคนตัวเล็กเข้ามาใกล้จนใบหน้าซบกับแผงอกแกร่ง มินซอกพยายามดันตัวออกแต่ลู่หานกลับออกแรงกอดเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น
“พอดีว่ากูกำลังทดลองใช้ชีวิตแบบคู่รักข้าวใหม่ปลามันอยู่ว่ะ”
ซ่า!!!
“โอ๊ย!!!!” เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อถูกสาดน้ำใส่จนแทบสำลัก ยุนฮาตะเกียกตะกายถอยหลังไปชิดกับผนังห้องพลางมองชายหนุ่มชุดดำทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“นอนกินบ้านกินเมืองไปแล้วมึงน่ะ”
“...”
“ลากมันออกไปหาลูกพี่ดิ๊เจียเหิง”
“อืม” ร่างสูงขานตอบในลำคอแล้วเดินเข้ามากระชากลากถูคังยุนฮาออกมาจากห้องเก็บของอับ ๆ ที่เต็มไปด้วยลังขวดเบียร์และโซดา
เสียงเพลงดังกระหึ่มออกมาจากรถคันเดิมพร้อมกับเสียงเฮฮาของพวกระยำที่กำลังเมามายกับของมึนเมา เด็กหนุ่มเดินออกมาอย่างทุลักทุเลเพราะขายังคงเจ็บจากบาดแผลอยู่ ร่างของเขาไถลลงไปกับพื้นจนต้องนิ่วหน้า พอลืมตาขึ้นก็เห็นผู้ชายคนเดิมที่คอยชี้นิ้วสั่งคนอื่น
“เมื่อคืนหลับสบายไหมไอ้หนู?” เป็นคำถามที่อยากจะตะโกนด่ากลับไปด้วยคำหยาบคายแต่ติดอยู่ที่ว่าอู๋อี้ฟานกำลังมองมาทางนี้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ยุนฮาไม่ตอบคำถาม เขาก้มหน้าลงมองพื้นเย็นที่กำลังนอนอยู่ในตอนนี้
“มึงเงยหน้าขึ้นมองลูกพี่ดิวะ!” ใบหน้าแหงนขึ้นเมื่อถูกจิกผม เด็กหนุ่มนิ่วหน้าพลางกัดฟันกรอดเมื่อถูกทารุณอย่างน่าสมเพช
“นี่คืออะไร?”
“...”
แทบพูดไม่ออกเมื่อเห็นเสื้อผ้าผู้หญิงที่ไอ้เลวหยิบออกมาจากลังเสื้อผ้าที่เขากับคนอื่น ๆ หามาได้ อี้ฟานเผลอกำหมัดแน่นลุ้นว่าเด็กคนนั้นจะตอบยังไง ยุนฮายังคงนั่งนิ่ง...ดวงตากลอกล่อกแล่กไปมาเพื่อคิดหาคำตอบที่จะใช้เอาตัวรอด ความกดดันมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นอับ ถ้าเกิดเขาพูดอะไรโง่ ๆ คงโดนพวกมันอัดจนน่วมแน่ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วมองไปยังเสื้อโค้ทตัวนั้น
“มันก็แค่เสื้อ...โอ๊ย!!!”
“กูไม่ได้ตาบอดที่จะได้ไม่รู้ว่านี่คือเสื้อ”
“...อึ่ก” ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดสินด้วยหมัดลุ่น ๆ ยุนฮายกมือขึ้นปาดเลือดออกจากริมฝีปากแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“แต่ที่กูอยากรู้ก็คือ...” ชายวัยกลางคนเดินมานั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับชูเสื้อโค้ทให้ดู “กลุ่มของมึงมีผู้หญิงด้วยใช่ไหม?”
“...”
“หืม?” น้ำเสียงกดลงต่ำพร้อมกับสายตาที่คาดคั้นหาคำตอบจากเขา รอยแผลเป็นบนใบหน้าของมันสร้างความหวาดกลัวให้กับเขามากยิ่งขึ้นอีก นัยน์ตาของเด็กหนุ่มสั่นเครือเพราะความหวาดกลัว ในหัวกำลังคิดหนทางเอาตัวรอดจากคำถามนี้จนสมองจนรวนไปหมด
“ไม่มี...” ยุนฮาพูดเสียงแผ่ว “กลุ่มของผมไม่มีผู้หญิงจริง ๆ ”
“...”
“พวกผมแค่หาเสื้อผ้าที่จะเอาไว้ใส่ในช่วงหน้าหนาว หยิบจับอะไรได้ก็เก็บมา...ไม่ทันดูหรอกว่าเป็นของผู้ชายหรือผู้หญิง...” น้ำตาไหลออกมาอย่างเหลืออด เขารู้สึกเวทนาตัวเองเหลือเกินที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าเขาบอกไป...ครูของเขากับอึนจีต้องเดือดร้อนแน่
“กูจะรู้ได้ยังไงว่ามึงไม่ได้โกหก”
“ถ้าผมโกหกผมก็โดนซ้อม ค...ใครจะไปอยากเจ็บตัว”
“...” ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบของไอ้เด็กเมื่อวานซืน เขาไม่ได้เชื่อไอ้เด็กนี่อย่างสนิทใจเพราะสายตาที่วอกแวกไปมาอย่างมีพิรุธ ชายวัยกลางคนลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์พลางจุดบุหรี่สูบ
“วันนี้มึงรอดตัวไป”
“...”
“แต่ถ้ากูจับได้เมื่อไหร่ว่ามึงโกหก...คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
“...”
ชายวัยกลางคนปัดมือเป็นเชิงบอกให้ร่างสูงลากคังยุนฮาออกไปให้พ้นสายตา อี้ฟานเข้าไปกระชากคอให้เด็กหนุ่มลุกขึ้น รอบข้างมีแต่เสียงบ่นระงมของเหล่านักโทษที่กำลังผิดหวังเมื่อไม่มีผู้หญิงอย่างที่คาดเอาไว้
ปัง...
ปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอน คังยุนฮายืนพิงกับผนังพลางหอบหายใจหนัก อี้ฟานหันไปมองเด็กหนุ่มข้าง ๆ แล้วก็เห็นสีหน้าซีดเผือดที่เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ สองขาพาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วค่อย ๆ ถลกขากางเกงอีกฝ่ายขึ้นเพื่อดูบาดแผล เลือดสีสดซึมออกมาจากผ้าที่มัดเอาไว้จนเขาทนดูเฉย ๆ ไม่ได้
“นั่งลง” เด็กหนุ่มค่อย ๆ ไถลตัวเองลงมานั่งลงบนพื้นตามที่อีกคนบอก อี้ฟานเดินออกไปข้างนอกเพียงแค่ครู่เดียวแล้วก็กลับมา มือแกร่งสอดเข้าไปในเสื้อตัวนอกเพื่อล้วงเอาอุปกรณ์ทำแผลที่แอบขโมยมาวางไว้บนพื้น
“ผมนึกว่าจะถูกฆ่าแล้ว...”
“ยังหรอก ตราบใดที่คุณไม่ทำให้มันโมโห”
“พวกมันเคยทำแบบนี้กับคุณหรือเปล่าครับ?”
“...” ร่างสูงไม่ได้ตอบคำถาม ยุนฮามองใบหน้าคมที่กำลังช่วยทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าใครจะเข้ามาเห็นเข้า
“ใช่ไหม?”
“อืม”
“...” ยุนฮาชะงักไปกับคำตอบสั้น ๆ ของอีกฝ่าย ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย...เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดของผู้ชายคนนี้ได้เลย “คุณทนได้ยังไง?”
“ถ้าไม่ทนผมก็ถูกฆ่าตาย”
“...”
“และผมหวังว่าคุณจะอดทนได้เหมือนกับผม”
“...”
“อย่าพยายามขยับตัวมาก ตอนเที่ยงผมจะเอาอาหารเข้ามาให้” พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน มองเด็กนักเรียนที่เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่ออยู่แค่ครู่เดียวเขาก็เปิดประตูออกไปข้างนอก
เสียงเพลงยังคงดังสร้างความน่ารำคาญอย่างต่อเนื่อง มองซ้ายขวาเพื่อดูลาดเลาแล้วแอบเข้าไปในห้องเก็บอาวุธเหมือนกับทุกวันหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ไฟแช็คถูกจุดขึ้นเพื่อให้ความสว่าง อาวุธจำนวนมากที่ปล้นมาได้วางกองเรียงรายอยู่บนโต๊ะยาวสี่เมตร
แน่นอนว่ามันมีอาวุธของพวกจงอินอยู่ด้วย...
นัยน์ตาคมกวาดมองแล้วล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อเอาถุงดำออกมาสะบัดออกแล้วซ้อนทับกันเป็นสองชั้นเพื่อเพิ่มความหนาให้กับถุง ปืนพกกับกระสุนปืนจำนวนหนึ่งคือเป้าหมายในวันนี้ ร่างสูงเก็บใส่ถุงดำพอประมาณเพราะถ้าขนไปเยอะถุงอาจจะขาดเสียก่อน
มันคงไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าเกิดเขาทำถุงขาดต่อหน้าพวกมันเป็นสิบ ความทรงจำตอนถูกฟาดด้วยเชือกเส้นหนาคือฝันร้ายที่ชาตินี้คงลืมไม่ลง สองมือรวบปากถุงแล้วมัดแน่นเป็นปมตายแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือปิดฝาไฟแช็คก่อนจะค่อย ๆ แง้มประตูออก
พอแน่ใจว่าทางสะดวกร่างสูงก็ก้าวออกมาอย่างช้า ๆ นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวังแล้วเดินเข้าไปข้างหลังผับเพื่อหยิบถุงขยะจำนวนหนึ่งออกมาถือรวมกับถุงดำที่มีปืนและกระสุนที่เขาขโมยมา
ถุงขยะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนละความสนใจจากเขา ร่างสูงออกไปข้างนอกแล้วเดินไปยังจุดทิ้งขยะที่อยู่ตรงหัวมุมสุด มือแกร่งดึงมีดออกมาจากสนับขาแล้วตรงเข้าไปแทงเข้าเบ้าตาตัวกินคนในครั้งเดียวแล้วชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
ตรงนี้คือที่ซ่อนอาวุธจุดที่สี่หลังจากที่เขาใช้เวลาคำนวณอยู่นานว่าจะต้องทำยังไงกับพวกระยำนี่ดี? ลำพังแค่เขาคนเดียวคงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการตัดกำลังพวกมันด้วยการขโมยอาวุธออกมาทิ้งข้างนอกทีละนิดแล้วตีเนียนทำเหมือนเอาขยะออกมาทิ้งเหมือนกับทุกวัน แต่การที่จะตัดกำลังพวกมันก็ต้องเป็นผลดีกับเขาด้วย การทิ้งอาวุธไว้เป็นจุดทำให้สะดวกต่อการหลบหนีถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเข้าสักวัน
วางถุงดำลงบนพื้นแล้วค่อย ๆ ฉีกถุงออกเล็กน้อยเพื่อเอาแม๊กกาซีนกับกระสุนจำนวนหนึ่งออกมา เสียงกระสุนกระทบกันสร้างความกดดันให้เขาต้องเร่งมือถ้าเกิดไม่อยากถูกถามโง่ ๆ ว่าหายหัวไปไหนตั้งนานสองนาน ยกมือซ้ายขึ้นเพื่อดูนาฬิกาก่อนจะกดจับเวลาก่อนจะยัดกระสุนปืนเข้าแม็กกาซีนทีละนัดด้วยความชำนาญจากประสบการณ์ที่ทำแบบนี้มาแล้วถึงสี่ครั้ง
กริ๊ก...
เสียงกดปิดนาฬิกาจับเวลาที่มาพร้อมกับตัวเลขที่น่าพึงพอใจ วันนี้เขาทำเวลาได้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ริมฝีปากหยักยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะคว้าถุงขยะรอบข้างมากลบทับถุงอาวุธเอาไว้
“...” สองขาก้าวไม่ออกเมื่อหันกลับไปแล้วก็พบกับใครคนหนึ่งกำลังยืนจ้องเขาอยู่ อาจเป็นเพราะขอบตาที่ดำคล้ำกับดวงตาที่โตกว่าใคร ๆ เลยทำให้เด็กคนนี้มีท่าทางน่ากลัวเหมือนกับคนโรคจิต
“ขยะที่เหลือ” โดคยองซูโยนถุงดำไปรวมกับกองขยะพลางมองใบหน้าของร่างสูงที่กำลังตื่นตระหนก
“ขอบใจ”
“ขอบใจ?” เด็กหนุ่มแทบจะหัวเราะออกมากับคำพูดโง่ ๆ ของผู้ชายที่เขาสังเกตพฤติกรรมมานาน หลี่เจียเหิงที่ดูนิ่งเฉยกับทุกเรื่องกำลังเหงื่อตกทั้งที่อากาศหนาวเย็นเพียงแค่ยืนสบตากับเขา
“...”
“...”
“นายต้องการอะไรหรือเปล่าโดคยองซู?”
“บอกไปแล้วคุณให้ผมได้ด้วยเหรอหลี่เจียเหิง?”
“...”
“คุณน่าจะเห็นสีหน้าตัวเองในตอนนี้นะ” เด็กหนุ่มมองไปยังกระจกบานใสของร้านตัดผมที่อยู่ข้าง ๆ ร่างสูงค่อย ๆ หันตามแล้วก็พบกับสภาพตัวเองในตอนนี้
มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ส่องกระจก...
ผู้ชายที่อยู่ในนั้นเหมือนอีกคนที่เขาไม่รู้จัก...
“ฉันก็แค่สงสัย...ว่าทำไมนายถึงไม่บอกพวกนั้นเรื่องของฉัน” ร่างสูงพูดเสียงเรียบ เด็กหนุ่มหลุบสายตาลงพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก “ก็เลยถามว่านายต้องการอะไรกันแน่”
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย” คยองซูเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายราวกับคนที่ถือไพ่เหนือกว่า “ผมก็แค่รอดูว่าคุณจะทำยังไงต่อไปก็เท่านั้น”
“...”
“จะทำอะไรก็ระวังหน่อยล่ะ ไอ้เด็กคนนั้นน่ะอย่าเข้าไปหาบ่อยนักถ้าไม่อยากถูกจับได้” คนตัวเล็กเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงพร้อมกับมองเข้าไปยังนัยน์ตาของอีกฝ่าย “พวกมันทำเหมือนไม่สนใจ...แต่ทุกอย่างที่คุณกำลังทำ...ไม่ว่าจะกิน เดิน หายใจ...ล้วนแต่อยู่ในสายตาของพวกมันทั้งนั้น”
“ทำไมนายถึงเตือนฉัน?”
“เพราะแววตาของคุณไม่เหมือนพวกมัน”
“...”
“เฮ้ย! พวกมึงทำอะไรกันอยู่วะ คิดจะอู้หรือไง?!” ทั้งคู่หันกลับไปที่ตรงประตูทางเข้าผับแล้วคยองซูก็โค้งหัวขอโทษขอโพยราวกับรู้สึกผิดเสียเต็มประดา อี้ฟานมองคนข้าง ๆ ที่มีท่าทีผิดไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิงแล้วก็เริ่มหวั่นใจ...ว่าเด็กคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ทันทีที่ประตูผับปิดลงคยองซูก็หันกลับไปมองคนข้าง ๆ พร้อมกับยิ้มมุมปาก
“อย่าเพิ่งโดนจับได้ล่ะ...ผมยังอยากดูละครเรื่องนี้ไปอีกสักพัก”
TBC
สวัสดีโดคยองซู (ลูบแขนตัวเอง)
[ช่วงเวลาขายของ Time]
ประกาศครั้งที่ 1 : โอนเงินค่าฟิคซอมบี้ได้ถึงวันที่ 10 มีนานี้นะคะที่รัก
ประกาศครั้งที่ 2 : สั่งเสื้อฟิคซอมบี้ได้ที่ลิงค์นี้เลยจ้า http://writer.dek-d.com/megacreep/story/viewlongc.php?id=1015157&chapter=35
ความคิดเห็น