คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #50 : Chapter 47 :: Hard Rain (Part 1)
Chapter 47
Hard Rain (Part 1)
“บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้กูยังตึ้บอยู่”
“เห็นไหมกูบอกแล้ว”
“คุณพูดประโยคนี้ครั้งที่แปดแล้วครับลู่หาน”
“พี่จะพูดจนกว่าจะครบล้านครั้งเลยล่ะครับน้องเด็กกรงหมา”
ความวุ่นวายบังเกิดภายในรถคันแรก ซึ่งคนที่ดูจะสะใจกับบทสนทนาในครั้งนี้ที่สุดคงไม่ใช่ใครนอกจากลู่หาน จงอินบังคับพวงมาลัยไปตามทิศทางแล้วปล่อยให้เพื่อนซี้พล่ามจนกว่าจะพอใจ
“เราจะกลับกันเลยเหรอครับจงอิน?”
“อย่าเพิ่งดิ ลองขับวนหาร้านอาวุธแถวนี้ก่อน” ลู่หานหันไปบอกคนที่กำลังขับรถอยู่ จงอินเคาะปลายนิ้วลงบนพวงมาลัยพลางใช้ความคิด
ครั้งนี้เขาเห็นด้วยกับลู่หานหลังจากได้เห็นชัดเต็มสองตาว่าอี้ฟานยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ตลอดระยะทางที่ขับรถกลับก็ทบทวนมาตลอดว่าควรเอายังไงกับเรื่องนี้ดี ในทีแรกลังเลอยู่ไม่น้อยเพราะใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมอี้ฟานถึงไม่หาทางหนีออกมา จากที่เห็นตรงนั้นก็ไม่ได้หนียากเย็นอะไรจะวิ่งหนีออกมาหน้าด้าน ๆ ก็ยังได้ถ้า ถูกมัดมือมัดเท้าไว้ก็ว่าไปอย่าง ถ้าจะคิดว่าที่อี้ฟานไม่ยอมหนีออกมาก็เพราะเป็นห่วงไอ้ยุนฮาที่เขาไม่รู้ว่าตายห่าไปแล้วหรือยัง จริงอยู่หมอนั่นเป็นคนดีมากแต่ก็ใช่ว่าจะยอมอยู่เสี่ยงเพื่อคนอื่นที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเปล่าวะ?
มันอดคิดไม่ได้ว่าอี้ฟานเต็มใจที่จะอยู่กับพวกมันโดยที่ไม่คิดหนี แต่เพราะไอ้ถุงดำที่มีปืนกับกระสุนจำนวนหนึ่งที่เก็บได้จากกองถังขยะนั่นแหละที่ทำให้ต้องหยิบยกเรื่องนี้มาโต้แย้งกันว่าทำไมหมอนั่นถึงได้ทำแบบนั้น?
“จงอินครับ ดูนั่น” ฝีเท้าเหยียบเบรกหลังจากหันไปตามปลายนิ้วของคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง รถคันที่สองหยุดตามรถคันแรกก่อนที่คนขับจะเพ่งมองทั้งสามคนที่ลงมาจากรถ
“ทำอะไรวะ” เทาเท้าคางกับพวงมาลัยพลางหรี่ตามอง
“ไม่รู้อ่ะ ลงไปดูกันเถอะ” แบคฮยอนว่าก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเดินลงจากรถ สองขาก้าวมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เพื่อนตัวบางแล้วเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าร้านที่เป็นสัญลักษณ์รูปปืน เกือบจะดีใจแล้วถ้าไม่หันไปเห็นชื่อร้านเสียก่อน
‘STARS BB GUN’
“แม่งเอ๊ย กูก็นึกว่าร้านขายปืน” ลู่หานขมวดคิ้วพลางขยับปากสบถ ไม่ใช่แค่เขาที่ผิดหวังแต่คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
“ก็ปืนไง แต่เป็นปืนเด็กเล่น”
“มึงคงไม่คิดจะเอาปืนกะโหลกนี่ไปสู้กับพวกมันหรอกนะ?” เทาเหล่มองจงอินที่ยืนทำหน้าคิดไม่ตกอยู่ ลู่หานเดินฝ่ากองหิมะไปหยุดอยู่หน้าร้านแล้วเอาข้อมือถูไอน้ำออกจากกระจกก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ
“กลับเถอะ” พอไม่มีหวังก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่อ แต่ยังเดินกลับไปไม่ถึงรถร่างหนาก็ต้องเดินถอยหลังเพราะถูกเพื่อนซี้ลากคอให้กลับไป
“เดี๋ยว ๆ ”
“อะไรของมึงวะ”
“แท่นแท๊น” ลู่หานผายมือไปทางหุ่นลองเสื้อในชุดลายพรางพร้อมสนับแขนสนับเข่าโม่งดำหมวกทหารครบเซ็ทที่ยืนอยู่หน้ากระจก ทุกคนมองไปยังคนขี้เล่นด้วยสายตาเดียวกัน
“แท่นเหี้ยไร” ร่างหนามองคนตรงหน้าที่ทำตัวเป็นไอ้ทุยทั้งที่เวลานี้ควรจะทำอะไรสักอย่างเช่นออกหาเสบียงต่อหรือไม่ก็ขับรถไปข้างหน้าเพื่อหาร้านปืนจริง ๆ ที่ไม่ใช่ร้านปืนของเล่นแบบนี้
“เอ้า ชุดลายพรางไงสัด”
“เออ กูไม่ได้ตาบอด” จงอินยืนกอดอกพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง ลู่หานกลอกตามองทุกคนที่กำลังมองมาราวกับว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้มันโคตรจะปัญญาอ่อนสิ้นดี
“นายคงไม่ได้คิดจะเข้าไปในร้านเพื่อเอาชุดนั้นมาใส่หรอกใช่ไหม?” แบคฮยอนหรี่ตามองคนที่กำลังยิ้มพอใจเมื่อถูกรู้ทัน
“ปิ๊งป่อง ถูกต้องแล้วครับหนูน้อย”
“มึงจะใส่ไปอวดผีที่ไหน” <- จงอิน
“นาทีนี้คงไม่มีใครเห็นว่ามึงเท่เพราะชุดทหารกิ๊กก๊อกแบบนั้นหรอกนะสัด” <- เทา
“ช่วยดูเวลาด้วยว่าตอนนี้มันใช่เวลาเล่นไหม” <- แบคฮยอน
“พ่อมึงเป็นตัวเอกเรื่อง saving private ryan เหรอ” <- จงอินอีกครั้ง
“...” <- ลู่หาน
ถึงกับพูดไม่ออกเพราะโดนรุมประณาม ร่างโปร่งเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเซฮุนเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขาพร้อมกับส่องเข้าไปข้างในร้าน
“ไหน ๆ ก็ได้แวะแล้ว ผมว่าน่าจะเข้าไปดูสักหน่อยนะครับ”
“หืม?”
“ข้างในร้านน่าจะมีพวกชุดป้องกันอยู่ ถ้าเกิดหกล้มหรือต้องสู้ระยะประชิดพวกสนับเข่าสนับศอกพวกนี้มันป้องกันการกระแทกได้” เซฮุนยังอธิบายไม่จบลู่หานก็ตรงดิ่งไปปลดล็อกประตูเสียแล้ว
ทุกสายตาหันไปมองไอ้คนสิบแปดมงกุฎอย่างอ่อนใจ พอมีคนเห็นดีเห็นงามด้วยแค่คนเดียวมันก็เริ่มสร้างงานสร้างอาชีพ จงอินเลิกคิ้วขึ้นมองหนึ่งเสียงที่สนับสนุนลู่หานเป็นเชิงขอคำตอบดี ๆ สำหรับการที่พวกเขาต้องมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระในตอนนี้
“...”
“อันนั้นน่าจะเป็นของนำเข้าด้วยนะครับ...” เซฮุนยิ้มแห้ง ๆ พลางชี้ไปยังถุงมือที่หุ่นลองเสื้อก่อนที่เทากับแบคฮยอนจะตามลู่หานเข้าไปในร้าน ร่างบางเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงพลางช้อนตามองอีกคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับดีดหน้าผากเข้าเต็มแรงด้วยความหมั่นเขี้ยว เด็กหนุ่มลูบหน้าผากป้อย ๆ แล้วก็หันไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงประตูหน้าร้านที่รอเดินเข้าไปพร้อมกัน
“มีทั้งถุงมือแบบครึ่งนิ้วและแบบเต็มนิ้ว แต่กูว่าใส่เต็มนิ้วเถอะหนาวแบบนี้กลัวอัมพาตจะแดกมือเอา” ตอนนี้ลู่หานนั่งยอง ๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์พร้อมกับเอาถุงมือหลากสีหลากชนิดขึ้นมาวางไว้บนตู้กระจก ส่วนเทาเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยที่หลังร้านและแบคฮยอนที่กำลังเดินดูไปรอบ ๆ
“ทางนี้มีชุดหลายแบบเลย” ทุกคนหันไปมองน้องเล็กที่หยิบเสื้อจากราวมาทาบกับอกตัวเอง จงอินเดินไปหาแบคฮยอนแล้วจับคนตัวเล็กให้หมุนตัว
“ชอบสีนี้เหรอ”
“มันเหมาะกับผมไหม?” เด็กน้อยมองอย่างคาดหวัง ร่างหนาขมวดคิ้วมุ่นแล้วมองเสื้อตัวอื่น
“คุณพ่อพาลูกมาเลือกชุดในวันสุดสัปดาห์” จงอินหันควับเพราะประโยคลอย ๆ ของร่างบางลอยเข้าหู คนที่กำลังเลือกดูเสื้อเกราะหน่วย SWAT อยู่ค่อย ๆ หันกลับมาสบตากับอีกคนแล้วอมยิ้มน้อย ๆ
“พูดมาก”
“ยังไม่เท่าลู่หานกับเทาหรอกครับ”
“ให้คนอื่นเกินหน้าเกินตาไม่ได้เลยงั้นสิ?”
“หรือว่าคุณอยากให้ผมยืนอยู่เงียบ ๆ ล่ะ แบบนั้นผมทำได้นะ”
“ไม่อนุญาตให้ถาม”
“แต่ผมอยากฟังคำตอบนี่ครับ”
“งั้นก็อยากต่อไป”
แบคฮยอนมองคนสองคนที่โต้ตอบกันไปมาโดยไม่ทิ้งจังหวะ มีแต่เซฮุนเท่านั้นที่หลุดหัวเราะทุกครั้งที่จงอินสวนกลับ มือหนาผลักหัวร่างบางจนเซไปข้าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนตัวสูงของเขาก็ยังคงยิ้มตาหยีอยู่ดี
ทำไมเซฮุนถึงได้ดูมีความสุขขนาดนั้นล่ะ?
“ผมว่าใส่อันนี้ดีกว่าครับ”
“ไอ้ตัวนี้มันไม่เข้าท่าเหรอ”
“มันเหมาะกับคุณนะแต่ผมว่าถ้าจะใช้จริง ๆ ไม่สีดำก็สีขาวจะดีกว่า” แบคฮยอนยังคงมองคนสองคนที่เข้าสู่โลกส่วนตัว ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าอิจฉาแต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าสองคนนี้มันต่างออกไป
“สีขาว?” จงอินถามพลางก้มลงมองเสื้อลายพรางสีขาวดำก่อนที่เซฮุนจะเอาเสื้อลายพรางสีเขียวไปจากมือเขา
“ครับ ในสถานการณ์แบบนี้ลายพรางหิมะจะเหมาะที่สุด”
“โว้ว รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอเด็กกรงหมา?” ลู่หานยิ้มขณะลองสวมถุงมืออยู่หลังเคาน์เตอร์
“เพื่อนเคยเล่าให้ฟังน่ะครับ มันบอกว่าถ้าจะเลือกชุดลายพรางต้องเลือกให้ตรงกับสภาวะสิ่งแวดล้อมด้วย” เซฮุนชะเง้อหน้าไปดูเสื้อที่แขวนโชว์อยู่แล้วหันกลับมา “ลายพรางสีเขียวเอาไว้ใช้ตอนเดินป่า ลายพรางสีน้ำตาลเอาไว้ใช้ในทะเลทราย แล้วหิมะข้างนอกก็คงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าชุดลายพรางสีเทาแล้วล่ะครับ”
“เยดดดดด” ลู่หานกับเทาปรบมือแปะ ๆ เรียกความสนใจจากทั้งสามคนที่กำลังง่วนอยู่กับชุดลายพรางให้หันไปมอง เซฮุนปั้นหน้านิ่งพลางถูจมูกเบา ๆ แก้เขิน
“ผมรู้แค่นี้แหละครับ”
“ฉันเข้าใจมาตลอดว่าชุดลายพรางมันเหมือนกันหมด แต่ที่เห็นมีหลายสีก็เพราะว่าแบ่งตามหน่วยอะไรพวกนั้น” แบคฮยอนว่าแล้วเดินไปหยิบถุงมือมาลองใส่
“ชื่อก็บอกอยู่ว่าเสื้อลายพราง พรางก็คืออำพรางตัวไงคะหนูน้อย” ลู่หานหยิบเอาแว่นตากันกระสุนมาใส่แต่ก็แทบเสียหลักเพราะถูกแบคฮยอนเขวี้ยงถุงมือยางอัดหน้า
“มึงจะใส่เต็มยศเลยจริง ๆ เหรอวะ ถึงข้างนอกจะมีแต่พวกกัดคนแต่กูก็รู้สึกอายแทน” เทาเบ้หน้าถามคนที่กำลังขยับแว่นกันกระสุนแล้วเอาถือปืนบีบีกันขึ้นมาเล็งเป้าไปทั่ว
“ถ้าใส่ Gas mask จะเท่กว่านี้”
“ตอนนั้นใครจะมาฉีดแก๊สใส่เบ้าหน้ามึงเหรอครับห่า แว่นกันกระสุนที่ใส่อยู่ก็แค่กันลูกยางโง่ ๆ ได้เท่านั้นแหละ” จงอินเขวี้ยงเสื้อเวส ไซราส*สีดำไปแล้วลู่หานก็รับไว้ได้ทัน
“ว่าแต่จะบอกเรื่องนี้กับครูยังไงดีวะ เธอคงไม่เห็นด้วยแน่ถ้ากูบอกว่า ‘ครูครับเราบังเอิญไปเจอคุณอี้ฟานตัวเป็น ๆ มา แล้วผมกับคนอื่น ๆ จะฝ่าดงตีนไปช่วยเขาครู Agree ไหมครับ?’ ” ทุกคนหันไปฟังเทาพูด
“เรื่องครูสุดเอ็กซ์เอาไว้ก่อน ตอนนี้เราต้องรีบเก็บของ”
“แต่พอมาคิดดูแล้วมันก็ยากเหมือนกันนะครับที่จะเข้าไปช่วยคุณอี้ฟานออกมา” ทุกคนเงียบไปหลังจากที่เซฮุนพูดจบ มันคือปัญหาใหญ่ที่ต้องวางแผนกันดี ๆ และต่อให้วางแผนดีแล้วก็ใช่ว่าทุกอย่างจะลงตัว
“มันเป็นสถานที่ปิด ผับส่วนใหญ่น่าจะมีทางเข้าออกสองทางคือประตูหน้ากับประตูหลัง” จงอินอธิบาย “เราไม่รู้ว่าพวกมันมีกันกี่คน บอกเลยว่างานนี้เสี่ยงกว่าตอนค่ายนรกนั่นอีก”
“มีวิธีไล่พวกมันออกมาข้างนอกไหม? ถ้าแบบนั้นน่าจะเก็บได้ง่ายหน่อย”
“มี จุดไฟเผาไง” ร่างหนาเว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจก่อนจะหันไปมองเพื่อนซี้ที่กำลังทำหน้าหวาด ๆ อยู่ “ซึ่งหมายความว่าต้องมีผู้กล้าหนึ่งคนที่ต้องลอบเข้าไปในนั้นโดยที่ไม่ให้ถูกจับได้”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง” แบคฮยอนถาม
“นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องปรึกษากัน” จงอินถอนหายใจแล้วกอดคอเพื่อนซี้ให้ออกมา ทิ้งเด็กสิบแปดทั้งสามคนให้ยืนงงอยู่ตรงนั้น “บอกตามตรงเลยนะว่ากูเห็นด้วยกับเรื่องที่จะเข้าไปช่วยอี้ฟาน แต่มึงลองเอาทุกอย่างมาหักลบกันแล้วดูว่าผลลัพธ์ที่ออกมามันคุ้มไหม?” จงอินกระซิบ ลู่หานหลุบสายตาลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
“ยังไงวะ”
“ไอ้ห่า ที่ยืนอยู่ข้างหลังมึงตอนนี้ก็อายุสิบแปดทั้งนั้น แล้วพวกมันที่อยู่ในผับเป็นใครบ้าง กูลองเดาแบบโง่ ๆ เลยนะว่าถ้าเกิดการถูกยิงตายเป็นเรื่องหลอกตางั้นก็แสดงว่าไอ้ห่าที่เป็นคนยิงวันนั้นก็คือคนที่อี้ฟานอยู่ด้วยตอนนี้”
“แล้วถ้าเดาแบบฉลาด ๆ อ่ะ”
“บางทีกลุ่มที่อยู่ด้วยในตอนนี้อาจจะเป็นคนดีก็ได้”
“โลกสวยสัด ๆ ไอ้พวกนั้นมันคงเป็นคนดีมากขนาดให้อี้ฟานเอาปืนมาซ่อนไว้กับกองขยะสินะถุ้ยยยยย”
“มันก็จริง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ป่ะวะขนาดตอนแรกที่คิดว่าอี้ฟานตายแล้วแต่ตอนนี้เป็นไง? มันยังเดินหล่อท่ามกลางหิมะสีขาวหน้าผับหรูใจกลางเมืองอยู่เลย”
“แล้วยังไง”
“ลองคิดดูนะ...พวกเราขนคนไปเตรียมบู๊แหลกแต่สุดท้ายข้างในนั้นมีแต่ผู้หญิงกับคนแก่อาศัยอยู่มึงจะทำยังไง?”
“คนแก่เหี้ยไรเปิด Party Rock Anthem ลั่นผับ ไอ้สัดสมองครับสมอง” ลู่หานว่าพลางเอานิ้วชี้จิ้มขมับตัวเองขณะที่อีกคนสตั้นไปแล้ว
“เออว่ะ”
“ยังไงก็ต้องบวกอ่ะ งานนี้มี MVP”
“ที่พูดไปทั้งหมดคือกูจะหมายความว่าถ้าเกิดต้องสู้กันทางเราคงไม่ไหวแน่”
“ไม่ลองไม่รู้นี่หว่า”
“มึงต้องลองก่อนแล้วค่อยรู้เหรอไอ้ควาย” พูดพร้อมกับตบหัวไปทีนึง ลู่หานกุมหัวตัวเองแล้วหายใจฮึดฮัด “คิดดูดิว่าเราอาจจะต้องเสียใครไปก่อนที่จะช่วยอี้ฟานกับไอ้ยุนฮาออกมาได้”
“...”
“ถ้ามึงเสือกตายระหว่างทางกูจะไม่ว่าอะไรเลยเพราะมึงรั้นเอง แต่คนอื่น ๆ ล่ะมึงถามความสมัครใจเด็กสามคนนี้บ้างไหม?” จงอินหันหลังไปแล้วก็ต้องสะดุ้งถอยหลังเมื่อพบว่าเด็กสิบแปดทั้งสามแอบยืนฟังอยู่นานแล้ว
“ผมเห็นด้วยกับลู่หาน” <- แบคฮยอน
“ยังไงกูก็จะไปช่วยไอ้ยุนฮาออกมาให้ได้” <- เทา
“ถ้าเราวางแผนกันดี ๆ มันก็น่าลองเสี่ยงดูนะครับจงอิน” <- เซฮุน
“เห็นไหมล่ะ เห็นไหม” ลู่หานหัวเราะเยาะเย้ยคนเป็นเพื่อนที่ยืนหน้าแห้งอยู่ข้าง ๆ เปลือกตาหนาปิดลงพลางหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเด็กแสบทั้งสาม
“ให้มันได้อย่างนี้”
ในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ เด็กสาวที่ถูกปู้ยี้ปู้ยำครั้งแล้วครั้งเล่ากำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงหกฟุต นัยน์ตาคู่สวยจับจ้องไปยังบ้านประตูที่ปิดสนิทและคาดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็คงถูกเปิดออกโดยพวกคนเลว
แอ๊ด...
“!!!”
สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อประตูเปิดออกพร้อมกับร่างผู้ชายอ้วนท้วมที่แทรกตัวเข้ามาข้างในห้อง ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจก่อนจะดันประตูเข้าไปแล้วถอดเสื้อผ้าออกโดยไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า ใบหน้าเรียวส่ายพรืดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความหวาดกลัวแต่นั่นไม่ได้เรียกคะแนนสงสารให้กับผู้ชายเลว ๆ ที่มีคดีฆ่าข่มขืนห้อยคออยู่เลยสักนิดเดียว คุกเข่าลงบนเตียงแล้วคลานเข้าหา...เด็กสาวถอยหลังไปชนชิดหัวเตียงก่อนจะคว้าผ้าห่มปกปิดร่างกายแล้ววิ่งหนี
“กรี๊ดดด!!”
“มึงจะไปไหน?!” ร่างของเด็กสาวโดนรวบเอาไว้ก่อนจะหน้าหันไปอีกทางเพราะถูกตบอย่างแรง ผ้าห่มถูกกระชากออกโยนออกไปอย่างไม่ใยดีก่อนจะถูกผลักลงไปบนเตียง ชายร่างท้วมขึ้นคร่อมทับเด็กสาวก่อนจะหงายหลังตกลงเตียงเพราะถูกถีบออกไป
มนุษย์เราล้วนแต่มีขีดจำกัดของความอดทน...และตอนนี้ความอดทนของเธอได้หมดสิ้นไปแล้ว
เด็กสาวล้มลุกคลุกคลานไปหากองเสื้อผ้าของชายท้วมเมื่อเห็นอาวุธที่วางทับอยู่ พอคว้าไว้ได้ก็หันหน้าเข้าหาคนที่กำลังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์โทสะเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมโอนอ่อนแต่โดยดี สองมือกำเข้าหากันก่อนที่เสียงหักนิ้วจะตามมา โดนสั่งไว้ว่าให้ทะนุถนอมหน่อยเพราะต้องส่งต่ออีกหลายมือ ไอ้เขาเป็นพวกชอบใช้กำลังอยู่แล้วพอเป็นแบบนี้เห็นทีต้องบอกกับลูกพี่แล้วล่ะว่าอีนี่มันรนหาที่เอง
“ฤทธิ์เยอะนักนะ” ไม่พูดอย่างเดียว ชายร่างท้วมเข้ามาจิกหัวเด็กสาวให้ลุกขึ้นก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อถูกแทงเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว “อั่ก!”
ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องฆ่าใครและต่อให้จำเป็นจริง ๆ เธอก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะกล้าลงมือหรือเปล่า แต่ทุกอย่างมันกดดันให้เธอต้องทำแบบนี้ น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้มไม่ได้หยุดตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ร่างกายของเธอแทบแหลกไม่มีชิ้นดีเพราะพวกสารเลวที่ไม่เคยรู้จักคำว่าพอ
เด็กสาวดึงปลายมีดคมออกมาแล้วแทงซ้ำไปอีกครั้งก่อนจะออกแรงดันให้ชายร่างท้วมเซถอยหลังไปติดผนัง นัยน์ตาที่เบิกกว้างขณะจ้องมองมาทำให้ความกลัวเพิ่มขึ้นมากอีกเป็นทวีคูณเมื่อเพิ่งคิดได้ตอนนี้ว่าเธอได้พลาดทำเรื่องใหญ่หลวงลงไปแล้ว
“อึ่ก...”
ยืนหอบหายใจหนักก่อนจะถอยหลังไปชิดกับผนังฝั่งตรงข้าม...เด็กสาวมองชายร่างท้วมที่กำลังค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นและสิ้นใจในเวลาถัดมา...
เงียบ...
มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้นที่โรยตัวอยู่โดยรอบ ฟันคมกัดริมฝีปากล่างจนเลือดห้อ สองขายันเข้าหาตัวแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก กลัว...กลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปไหน เธอไม่ได้อยากทำแบบนี้...ไม่ได้อยากทำเลย
“พี่คะ...ช่วยหนูด้วย...” ได้แต่พร่ำเพ้อถึงชายหนุ่มคนนั้นที่รับปากว่าจะมาช่วยออกไป เธอรออย่างมีความหวังมาตลอดแต่จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ ต้องรอไปจนกว่าเธอตายไปเลยหรือไงกัน?
หลายวันที่ผ่านมาร่างกายของเธอก็บอบช้ำจนไม่อยากทนมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เด็กสาวปล่อยโฮออกมาอย่างหนักเมื่อความเจ็บปวดทุกอย่างมันถาโถมเข้ามาเกินกว่าเด็กวัยสิบห้าจะรับได้ไหว พ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดก็ถูกฆ่าตาย ข้างนอกก็มีแต่พวกสารเลวอยู่เต็มไปหมด ไม่มีแล้ว...ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องทนอยู่ต่อไปอีก
“ฮือออ...”
นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงครางในลำคอจากศพที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กสาวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนทั้งที่ริมฝีปากสั่นเครือเพราะความกลัวก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเงยหน้าขึ้น...
แล้วอ้าปากกว้างขณะมองมาที่เธอ...
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหลังจากได้ยินอี้ฟานบอกเล่าถึงแผนการว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องหนีไปจากที่นี่ ได้ฟังเรื่องเด็กผู้หญิงที่ถูกจับมาทำเรื่องบัดสีและมันคือประเด็นหลักที่ทำให้อู๋อี้ฟานต้องพาพวกเขาหนีออกไปก่อนเวลากำหนดตามที่เคยวางแผนไว้ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอีกคนที่จัดการแต่งตัวภายนอกให้เขาเรียบร้อยแล้ว เสื้อแจคเกตกับกางเกงสีดำพร้อมหมวกโม่งที่ทำให้คังยุนฮาตีเนียนเป็นพวกเดียวกันกับมันได้
“ผมจะทวนแผนให้ฟังอีกครั้ง”
“ครับ”
“เราจะออกไปทางประตูหลัง คุณรีบไปให้ถึงหัวมุมถนนให้เร็วที่สุดแล้วรอผมอยู่ที่นั่น แต่ถ้าภายในสิบห้านาทีผมยังไม่ออกมาให้คุณหนีไปได้เลย” ร่างสูงสวมนาฬิกาข้อมือให้อีกคนแล้วถึงแขนเสื้อออกมาทับเอาไว้ “เข้าใจใช่ไหม?”
“ครับ...” ยุนฮาพยักหน้าแล้วอี้ฟานก็แง้มประตูออก สังเกตการณ์จนแน่ใจว่าไม่มีคนเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้แล้วก็ค่อย ๆ เปิดประตูก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกให้เด็กหนุ่มตามมา ร่างสูงก้มลงต่ำเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินผ่านไป พอพ้นระยะแล้วทั้งคู่ก็ไปหยุดอยู่ตรงประตูทางออกหลังร้าน
แอ๊ด...
เสียงประตูสนิมมาพร้อมกับกระแสลมหนาวที่ตีหน้าเข้าอย่างแรง ร่างสูงยกมือขึ้นป้องระดับใบหน้าแล้วก็จิ๊ปากอย่างหัวเสีย ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะเป็นเรื่องยากเมื่อพายุเข้าวันนี้
“ทางสะดวก” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังพยักหน้าแล้วดึงหมวกโม่งลงมาจนถึงคอ “เดี๋ยวผมจะรีบขึ้นไปช่วยผู้หญิงคนนั้น” อี้ฟานจับข้อมืออีกคนขึ้นมาแล้วกดปุ่มจับเวลาให้เสร็จสรรพก่อนจะดันไหล่ยุนฮาให้เดินออกไป
“ระวังตัวด้วยนะครับคุณอี้ฟาน”
“คุณก็เช่นกัน”
“ครับ” เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปตามตรอกแคบ ๆ พอเห็นว่าอีกคนออกไปได้แล้วร่างสูงก็กลับเข้าไปข้างใน ขายาวก้าวเข้ามาโดยไม่ทิ้งพิรุธให้ใครสงสัยหากแต่นัยน์ตาคมทั้งสองข้างกำลังกวาดมองทางหนีทีไล่อยู่ทุกย่างก้าว พวกมันยังคงใช้ชีวิตกันเหมือนเดิมคือเมามายแล้วก็นอน ที่เหลือก็แค่ให้คนที่อยู่ข้างในห้องออกมาแล้วหลังจากนั้นก็...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ!!!”
ร่างสูงเบิกตาโพลงเมื่อผู้หญิงคนนั้นเปิดประตูห้องออกมาอย่างแรง เธอมีเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเท่านั้นที่ใช้ปกคลุมร่างกายเอาไว้แต่ที่ทำให้ตกใจมันไม่ใช่แค่นี้ แต่มันคือชายร่างท้วมที่กำลังวิ่งไล่กัดเธออยู่ต่างหาก
“บ้าเอ๊ย!”
ร่างสูงวิ่งเข้าไปข้างในแต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหันเมื่อได้ยินเสียงปืนลั่นพร้อมกับชายร่างท้วมที่ตกลงมาจากบันไดหกขั้น เจ้าของลูกปืนเข้าไปกระชากแขนเด็กสาวที่เนื้อตัวมีแต่คราบเลือดให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลพร้อมกับมือข้างหนึ่งที่กำผ้าขนหนูตรงช่วงอกเอาไว้
“อย่า...ฮือ...”
“ไอ้ยูจินมันโดนแทงตายว่ะพี่!”
“ว่าไงนะ?!”
“มึงฆ่าเพื่อนกูงั้นเหรอ!”
“...!!!” เด็กสาวถูกตบหน้าอย่างแรง อี้ฟานกำหมัดแน่นเมื่อแผนที่วางเอาไว้มันล่มไม่เป็นท่า ขายาวก้าวไปได้เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นแล้วก็ต้องหยุดอยู่กับที่เพราะพวกมันลากเด็กผู้หญิงออกไปข้างนอก
“พี่คะ...” แม้ว่าจะไม่ออกเสียงแต่เขาก็อ่านริมฝีปากของเธอได้ ร่างที่ห่อด้วยผ้าขนหนูถูกกระชากลากดึงออกไปหน้าผับตามด้วยพวกสารเลวเป็นสิบที่ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรกันอยู่
“ผมขอโทษ...” ร่างสูงขบกรามแน่นแล้วค่อย ๆ เดินถอยหลัง มันจริงอย่างที่โดคยองซูพูดว่าเขาไม่ใช่ฮีโร่ที่จะจัดการกับพวกเหล่าร้ายได้ด้วยตัวคนเดียว เขาต้องทิ้งเธอไว้ที่นี่อย่างไม่เต็มใจนัก...
ประตูหลังถูกผลักออกอย่างแรง เขาจะช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ถึงจะเจ็บใจแต่ทางเลือกที่มีอยู่มันก็น้อยนิดเหลือเกิน ออกไปสัมผัสกับหิมะได้เพียงแค่สองก้าวร่างสูงก็ต้องยืนตัวเกร็งเมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นของโลหะที่จ่ออยู่ตรงท้ายทอย
“ผมเคยเตือนคุณแล้วนะอู๋อี้ฟาน”
โดคยองซู?
“ถ้าหนีไปคนเดียวแต่แรกก็รอดแล้ว...”
“งั้นนายก็ปล่อยฉันไปสิ”
“คุณไม่อยากให้ผมปล่อยหรอก” เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะทั้งที่ยังจ่อปืนไว้ที่เดิม “ข้างนอกมีคนปูพรมแดงรอคุณอยู่เป็นสิบ ๆ ผมจำลองเหตุการณ์ให้ฟังเอาไหม?”
“...”
“คุณเดินตัวเบาออกไปจนถึงทางแยกข้างหน้าแล้วร่างของคุณก็กระเด็นไปติดกับผนังทางด้านขวาเพราะแรงอัดจากปืนกล Heckler & Koch MP7 ที่ยิงได้แปดร้อยห้าสิบนัดต่อนาทีภายในระยะสองร้อยเมตร ภาพสุดท้ายที่คุณเห็นคือไอ้เด็กคนนั้นถูกเป่าหัวด้วยปืนพกก่อนที่เปลือกตาของคุณจะปิดลง”
“...”
“พวกมันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณเป็นใคร...” เสียงของโดคยองซูประสานกับเสียงสายลมหนาวที่พัดมาราวกับพายุ ร่างสูงยืนนิ่งโดยที่ทำอะไรไม่ได้ทั้งที่ลึก ๆ ก็คิดมาตลอดว่าคงดูออกแต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมพวกมันถึงยังเก็บเขาเอาไว้ “ยกมือขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า”
“นายเป็นคนยังไงกันแน่?”
“...”
“ในทีแรกก็เหมือนจะช่วยแต่สุดท้ายนายก็ไม่ต่างอะไรจากคนพวกนั้น”
“ไม่ต่าง?”
“ใช่ กลัวตายจนขึ้นสมอง ยอมทำเรื่องผิด ๆ เพื่อการอยู่รอด”
“จะถือว่ามันคือคำชมแล้วกัน” คยองซูผลักคนตรงหน้าให้เดินต่อไปอย่างทุลักทุเลเพราะกองหิมะตามทาง
พอออกมาข้างนอกก็ต้องพบกับความเป็นจริงเมื่อพบว่าอีกคนที่เขาให้หนีไปก่อนถูกจับเอาไว้เสียแล้วพร้อมกับเด็กผู้หญิงที่ถูกล็อคคอเอาไว้ พวกมันทุกคนยืนรวมกันอยู่หน้าผับราวกับรอการมาของเขา รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าของแต่ละคนบ่งบอกได้ดีถึงความสะใจ
“บราโว่...แขกของเราได้เดินทางมาถึงแล้ว” ทุกคนปรบมือแปะ ๆ คนละครั้งสองครั้งก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพวกมัน
“ไอ้ลูกหมาคยองซูทำดีว่ะ”
“มา เดี๋ยวกูเล่นแม่งเอง”
“ผมจัดการได้” คยองซูเตะขาร่างสูงให้ล้มลงคุกเข่าทั้งที่ยังจ่อปืนอยู่ที่เดิมนั่นสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนเป็นอย่างมากกับการที่ไอ้ขี้แพ้ประจำกลุ่มได้แสดงฝีมือให้เห็นเป็นครั้งแรก
“มึงวางแผนมานานแค่ไหนแล้ว ไหนบอกกูมาซิ...หลี่...เจีย...เหิง?” ชายวัยกลางคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำกระตุกยิ้มมุมปากทั้งที่เอาปืนจ่อหัวคังยุนฮาเอาไว้
ทั้งหกคนในชุดลายพรางหิมะวิ่งเลียบมาตามทางแล้วหยุดอยู่ตรงหัวมุมเดิมที่เคยเห็นอี้ฟานออกมาทิ้งขยะ ในทีแรกอี้ชิงอาสาจะมาด้วยแต่ทุกคนลงความเห็นกันว่าให้หมอนั่นรอปฐมพยาบาลคนเจ็บอยู่ที่บ้านดีกว่า ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าในทีมได้มินซอกเพิ่มมาอีกคนเป็นมือไรเฟิลที่วางแผนไว้ว่าจะให้ขึ้นไปบนตึกแล้วจัดการพวกมันจากที่สูง
“คราวนี้มันหนักหนากว่าทุกครั้งที่เราเคยเจอเพราะฉะนั้นต้องระวังตัวกันให้มาก” พอเห็นเด็กทุกคนพยักหน้ารับแล้วจงอินก็ตบบ่าแบคฮยอนเบา ๆ ก่อนจะชะเง้อหน้าออกไปข้างนอก “ไอ้เหี้ย...” ร่างหนาหันกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทุกคนมองด้วยความสงสัยก่อนจะเป็นลู่หานที่ออกไปดูเองกับตา
“พ่อมึง!”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“งานหยาบแล้วกูบอกแค่นี้” ลู่หานกุมขมับ
“ดูเหมือนว่าแผนส่งไอ้ลู่หานเข้าไปเผาผับคงเป็นโมฆะเพราะตอนนี้พวกมันแห่ออกมากองอยู่ข้างนอกหมดแล้ว”
“งั้นก็ดีเลยดิ เป้านิ่ง ยิงจากตรงนี้ได้ง่าย ๆ ” เทาว่า
“มันไม่ง่ายก็ตรงที่พวกแม่งเอาปืนจ่อหัวอี้ฟานกับเพื่อนมึงไว้นี่แหละ” พอได้ยินจงอินพูดเทาก็เลิกคิ้วขึ้นสูง
“ว่าไงนะ?!” จงอินกับลู่หานคว้าท่อนแขนเด็กตัวสูงเอาไว้เมื่อเจ้าตัวทำท่าจะบุกเดี่ยวเข้าไปแบบไม่คิด
“ไอ้ห่าใจเย็นก่อนเหอะ”
“มันเอาปืนจ่อหัวเพื่อนกูทำไม กูต้องไปช่วยไอ้ยุนฮา”
“ถ้าออกไปตอนนี้แผนทุกอย่างก็จะเสียหมดนะ” เซฮุนพยายามเตือนสติ
“มันเสียตั้งแต่รู้ว่าพวกมันอยู่ข้างนอกกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ปล่อยกู!”
“ไอ้เหี้ยนี่ก็ดิ้นจั๊ง มึงช่วยดูหน่อยเถอะว่าในมือของมึงมีอะไรแล้วพวกมันมีอะไร” จงอินคว้าท้ายทอยอีกคนเอาไว้แล้วกระชากเข้ามาให้โผล่หน้าออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอก
“ไอ้ยุนฮา...”
“ถ้ามึงออกไปตอนนี้ไอ้ห่ายุนฮาเป็นไข้โป้งแน่”
“มินซอก ขอพี่ดูกระสุนหน่อย” คนตัวเล็กเปิดกระดุมเสื้อเวสไซราสแล้วล้วงเอากระสุนไรเฟิลออกมาให้ดู ลู่หานเก็บลูกตะกั่วสีทองใส่กลับเข้าไปที่เดิมแล้ววางมือลงบนหัวคนตรงหน้า “พี่เชื่อใจเรานะ”
“ระวังตัวด้วยล่ะ” มินซอกพูดทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย ลู่หานอมยิ้มแล้วช่วยอีกคนติดกระดุมเป็นขั้นตอนสุดท้าย
“ล่อแม่งให้หมดเลยนะ” หยิกแก้มยุ้ยเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินไปดูต้นทางให้ ลู่หานส่งสัญญาณมือบอกให้มินซอกวิ่งมาหลบอยู่หลังถังขยะแล้วใช้จังหวะทีเผลอวิ่งเข้าไปในตึกข้าง ๆ
ทุกสายตามองไปยังผู้คนมากมายที่ยืนอยู่หน้าผับโดยมีเชลยนั่งคุกเข่าอยู่สองคนพร้อมกับเด็กผู้หญิงอีกคนที่ถูกจับเอาไว้ข้างหลัง ไม่รู้ว่าสีหน้าของเธอซีดเผือดเพราะความหนาวหรืออะไรกันแน่ ลู่หานยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแล้วเก็บรายละเอียดอาวุธในมือของฝ่ายศัตรู
“เป็นไงบ้างวะ” จงอินถามเพื่อนซี้ที่หลบอยู่หลังถังขยะ
“เห็นทีว่าต้องใช้แผนบีแล้วว่ะ พวกมันมีปืนกลประมาณยี่สิบกระบอก ปืนพกอีกเจ็ด ไอ้สัดนั่นอาวุธเรา!” ลู่หานเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นชายวัยกลางคนโยนอาวุธของเขาที่ถูกยึดไปในค่ายนรกลงบนพื้นต่อหน้าอี้ฟาน
“ถ้าบุกตอนนี้มีแลกเลือดแน่” พอคำนวณแล้วก็ได้ผลลัพธ์ออกมาว่าพวกเขาไม่ควรเข้าไปเสี่ยง “แผนบีที่มึงว่านี่เป็นยังไงวะ?”
“แผนบีเหรอ จัดการไอ้เหี้ยที่หน้าเหมือนเสี่ยเลี้ยงเด็กไซด์ลายที่เอาปืนจ่อหัวไอ้ยุนฮาก่อนไง”
“ถ้าทำแบบนั้นมันต้องฆ่าอี้ฟานแน่” จงอินขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปมองเพื่อนซี้อีกครั้ง “ต้องให้มินซอกเก็บใครสักคนเพื่อเรียกความสนใจจากพวกมัน”
“งั้นแผนซี จัดการไอ้เตี้ยที่เอาปืนจ่อหัวอี้ฟานก่อน”
“ทุกคนย้ายไปอยู่ตามจุด แบคฮยอน...นายจำที่ฉันบอกได้ไหม?” จงอินวางมือลงบนไหล่คนตัวเล็กที่กำลังตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก เด็กน้อยกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ
“กฎเหล็กข้อแรกคือห้ามตาย” แบคฮยอนพูดแล้วรีบวิ่งไปตามจุดที่วางแผนกันเอาไว้
ตอนนี้เหลือเพียงแค่เด็กอีกสองคนที่ยังคงอยู่กับเขาในตอนนี้ จงอินมองอีกคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วติดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดให้ ควันสีขาวที่ลอยออกจากปากทุกครั้งที่หายใจเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีถึงสภาพอากาศในตอนนี้ นัยน์ตาคมจับจ้องคนที่กำลังฝืนยิ้มก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาเขี่ยปลายจมูกรั้นอีกคนเบา ๆ
“ยิ้มอะไร”
“ผมแค่จะบอกว่าคุณดูดีในชุดนี้น่ะครับ” เซฮุนหัวเราะแต่อีกคนกลับทำหน้านิ่งเฉย ริมฝีปากบางหุบยิ้มก่อนจะหลุบสายตาลง ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกราวกับว่าทั้งคู่รู้ดีอยู่แล้วแต่ถึงอย่างนั้น... “จริงอยู่ที่ผมถูกกัดแล้วไม่ตาย”
“โดนยิงก็ต้องไม่ตายเหมือนกัน กรุณาทำตามกฏเหล็กข้อที่หนึ่งด้วย”
“แล้วกฎเหล็กข้อที่สองล่ะครับ”
“ทำไมไม่รู้จักจำเวลาฉันพูด?” อดไม่ได้ที่ขยี้หัวแรง ๆ สักที เซฮุนยิ้มตาหยีแล้วจัดผมเผ้าให้เรียบร้อย
“พูดอีกครั้งเถอะครับผมอยากฟัง”
“...”
“อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นคนขี้ลืมเฉยเลย” ร่างบางเกาท้ายทอยก่อนจะช้อนตามองอีกคน จงอินเบนหน้าไปอีกทางแล้วล้วงซองบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ตัวนึงก่อนจะจุดไฟแช็ค
“ครั้งสุดท้ายแล้วนะที่ฉันจะพูด” ปล่อยควันสีหม่นให้ลอยขึ้นบนอากาศ คิ้วหนาขมวดมุ่นแล้วคีบมวนบุหรี่ไว้กลางนิ้วมือ “ไม่สิ ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย”
“...”
“ฉันจะพูดให้ฟังอีกครั้งแล้วนายก็ไม่ต้องจำมัน เพราะฉันจะตอบทุกครั้งถ้านายจำมันไม่ได้”
“...”
“กฎเหล็กข้อแรกคือห้ามตาย”
“ครับ”
“กฎข้อที่สองคือต้องมีสติ อย่าลนลาน”
“ครับ”
“กฎข้อที่สาม...”
“ครับ?” ร่างบางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จากที่ได้ฟังมารู้สึกว่ากฎจะมีแค่สองข้อไม่ใช่เหรอแล้ว...
“นายต้องกลับมาหาฉัน”
“...”
“เข้าใจแล้วก็ไปประจำตามจุดได้”
“ครับ...” เซฮุนเม้มริมฝีปากแล้วเดินไปหาเพื่อนตัวสูง ในตอนนี้สิ่งที่คิมจงอินทำได้ก็คือการมองตามแผ่นหลังของเด็กทั้งสองคนที่กำลังเดินไปเท่านั้น ทั้งที่ภายนอกดูใจเย็นที่สุดแต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้ในหัวของเขานั้นมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
กลัวว่าจะต้องเสียใครไป...
ถอนหายใจหนัก ๆ แล้วอัดควันเข้าปอดก่อนจะปล่อยให้มันลอยขึ้นบนอากาศ พอตั้งสติได้ก็ทิ้งบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปไม่ถึงครึ่งตัวลงพื้นโดยที่ไม่ต้องใช้เท้าบี้ให้มันดับ ตอนนี้ทุกคนประจำที่เรียบร้อยแล้วเหลือแต่มินซอกที่ไม่รู้ว่าขึ้นไปถึงดาดฟ้าหรือยัง ขายาวเดินไปหยุดอยู่ตรงหัวมุมแล้วโผล่หน้าออกไปเล็กน้อยก่อนจะสะดุดตากับเด็กสาวคนนั้นที่จู่ ๆ ก็คอพับไปทั้งที่ถูกล็อคคออยู่
“กูแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้ก็เพราะว่ากูรอดูอยู่ว่ามึงจะทำยังไงต่อ”
“...”
“จริง ๆ กูเป็นคนธรรมะธรรมโมมากนะ” ชายวัยกลางคนยิ้มมุมปาก “กูภาวนาทุกวัน...ขอให้ไอ้เหี้ยพวกนั้นรีบมาช่วยมึงสักที”
“...”
“แต่ดูเหมือนว่ากูจะผิดหวังว่ะ” เสียงหัวเราะตามมาจากพวกลิ่วล้อที่ยืนอยู่รอบข้าง ร่างสูงกัดฟันกรอดมองอีกฝ่ายที่กำลังมีความสุข พอลดระดับสายตาลงก็เห็นเด็กคนนั้นอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก เลือดที่กลบปากจนไหลลงมาตามคางอีกทั้งรอยช้ำบนใบหน้าทำให้เขารู้สึกผิดจับใจ
“ไอ้ห่านี่มันสารภาพแล้วว่ามึงเคยอยู่กลุ่มเดียวกับมัน”
“...”
“งั้นก็แสดงว่า...มึงสองคน...เป็นพวกเดียวกันสินะ?”
“ผมขอโทษครับคุณอี้ฟาน...ผมขอโทษ...”
“ว๊าว นี่คือชื่อมึงเหรอเจียเหิง?” ชายวัยกลางคนแค่นหัวเราะ “วันนั้นเพื่อนมึงฆ่าน้องกูไปต่อหน้าต่อตา แต่มึงคงไม่เข้าใจหรอกว่าไอ้ความรู้สึกของการสูญเสียมันเป็นยังไง”
“อย่า...”
“เพราะฉะนั้นเดี๋ยวกูจะแสดงให้มึงเห็นเป็นบุญตาเอง” ปลดเซฟตี้แล้วจ่อปืนลงกลางหัวเด็กหนุ่ม ร่างสูงเบิกตากว้างพร้อมกับรีบตะโกนห้าม
“ฉันไม่รู้จักเด็กคนนี้จริง ๆ ”
“หืม?”
“ฉันแค่สงสารเลยปล่อยมันไป สาบานได้เลยว่าฉันไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของมัน” ได้แต่อ้อนวอนเหมือนกับหมาจนตรอก เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งกับคำโกหกหน้าด้าน ๆ ที่ต่อให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อ
“จนถึงวินาทีนี้มึงก็ยังโกหกอยู่อีกสินะ”
“...”
“ไปหาพระเจ้าซะไป” พูดเสียงเรียบก่อนจะเหนี่ยวไกใส่หัวเด็กหนุ่มนั่นสร้างความตกใจให้กับอู๋อี้ฟานและคนอื่น ๆ ที่หลบซ่อนเตรียมบุกอยู่ตามจุดเป็นอย่างมาก “แม่จ๋า หนูตายแล้ว~” ดัดเสียงให้เหมือนเด็กก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ยร่างสูงที่นั่งคุกเข่าอยู่ เลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาเต็มกองหิมะทั้งที่ดวงตายังมองมาที่เขา...มันช่างเป็นภาพที่เทือนใจจนเกินจะรับได้
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
เซฮุนปิดปากเทาเอาไว้ เด็กหนุ่มน้ำตาไหลอย่างเหลืออดเมื่อเห็นเพื่อนโดนยิงตายไปต่อหน้าต่อตา เทากำหมัดแน่นอยากจะวิ่งเข้าไปยิงพวกมันทุกคนแต่ก็ทำไม่ได้
ตัดมาทางมินซอกที่วิ่งกระหืดกระหอบมาจนถึงดาดฟ้าเพราะเจอพวกกัดคนขวางทางจนต้องเสียเวลาไปกับการจัดการมัน ยกปืนขึ้นเล็งไปที่คนกลุ่มนั้นแล้วก็ช็อกจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อพบว่าคังยุนฮานอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ
“...” พอเลื่อนลำกล้องไปอีกนิดก็ต้องขมวดคิ้ว ผ้าขนหนูที่ปกปิดเรือนร่างผู้หญิงที่ถูกล็อคคออยู่หลุดลงไปกองกับพื้นพร้อมกับรอยแผลที่อยู่ตรงช่วงเอว...
เธอถูกกัด...
“หมดเวลาของมึงแล้วไอ้หน้าหล่อ” ชายวัยกลางคนจ่อปืนไปที่กลางหัวอี้ฟานก่อนที่ใครอีกคนจะเดินมาขวางทางเอาไว้
“จะฆ่ามันน่ะง่ายนิดเดียว แต่ถ้าพี่เหนี่ยวไกอีกเสียงปืนจะทำให้พวกกินเนื้อมาที่นี่นะครับลูกพี่” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำกำลังจ้องจับผิดเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ติดสอยห้อยตามเขามาตั้งแต่แรกเริ่ม ที่ไอ้ลูกหมาคยองซูพูดก็มีเหตุผลแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับไอ้เด็กนี่ทำไมมันถึงได้ออกตัวปกป้องศัตรูทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน “จับมันไปทรมานให้สะใจแล้วค่อยฆ่าดีไหมครับพี่ แบบนั้นน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ” คยองซูพยายามใจดีสู้เสือ อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ในทีแรกเขาคิดว่าโดคยองซูเป็นเด็กที่พร้อมจะหักหลังคนได้ทุกเมื่อเพื่อเอาชีวิตรอดแต่ตอนนี้...
จังหวะนั้นเองที่เด็กสาวในสภาพเปลือยเปล่าค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมกับอ้าปากกว้าง ผู้ชายที่ยืนล็อกคอเธออยู่ข้างหลังยังคงให้ความสนใจกับการยิงหัวคนทรยศโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าจะกำลังจะถูกกัดภายในไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้...
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
ชายหนุ่มแหกปากร้องลั่นพร้อมกับผลักร่างเด็กสาวไปข้างหน้า ทุกคนต่างแตกตื่นตามเสียงร้อง เด็กสาวในสภาพเปลือยเปล่าที่ริมฝีปากเต็มไปด้วยคราบเลือดและเนื้อจำนวนหนึ่งที่หลุดออกมาจากแขนผู้ชายคนนั้น
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ทุกคนต่างหันมารัวกระสุนใส่เด็กสาวคนนั้นจนร่างของเธอชักกระตุกเพราะแรงอัด คยองซูหันเข้าหาคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วพยักหน้าบอกเป็นเชิงให้ลุกขึ้นและเตรียมหนีออกไปจากที่นี่
“นี่นายกำลังคิดอะไรอยู่โดคยองซู?!”
“ถ้าผมไม่เป็นคนพาคุณออกมาพวกมันต้องฆ่าคุณแน่ คุณเป็นหนี้ชีวิตผมกี่ครั้งแล้วอู๋อี้ฟาน...” เด็กหนุ่มพูดลอดไรฟันก่อนที่ทั้งคู่จะค่อย ๆ ถอยหลังออกไป
“หลี่เจียเหิง!” อี้ฟานคว้าตัวคนข้าง ๆ แล้วกระโดดหลบเข้ามุมก่อนที่กระสุนปืนจะยิงเฉียดทั้งคู่ไปได้แค่นิดเดียว ชายวัยกลางคนกัดฟันกรอดพร้อมกับก้าวขาไปข้างหน้าแต่เขาไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นก้าวสุดท้ายในชีวิตที่จะได้เดิน...
หลังจากกระสุนไรเฟิลไร้เสียงเจาะเข้ากลางหน้าผากเขาอย่างจัง...
“พี่!!!” ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์รีบเข้ามาดูอาการคนเป็นผู้นำด้วยความเป็นห่วง นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบด้านแล้วก็เห็นต้นเหตุที่อยู่บนดาดฟ้า มือหนากำหมัดแน่นแล้วรีบวิ่งเข้าไปในตึกเพื่อตรงดิ่งไปจัดการไอ้ระยำที่บังอาจยิงลูกพี่ของเขา
“มินซอก” ทางด้านลู่หานพอเห็นว่ามีคนกำลังเข้าไปในตึกที่คนตัวเล็กอยู่ชั้นบนสุดแล้วก็เป็นห่วง ร่างโปร่งเล็งปืนไปที่เป้าหมายแต่สุดท้ายก็ยิงพลาดจนต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย “กูไปช่วยมินซอกก่อนนะ!” หันไปบอกเพื่อนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้แล้วรีบตามไปติด ๆ
จงอินพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้คนที่เหลือเตรียมตัวเข้าปะทะ สองขาก้าวนำออกไปพร้อมกับยิงเปิดทางให้คนอื่น ๆ ตามเข้ามา แต่ที่ทำให้พวกมันแตกตื่นนั่นไม่ใช่กระสุนปืนพกที่เขายิง
แต่มันคือเพลิงไฟที่กำลังมอดไหม้คนพวกนั้นด้วยระเบิดขวดปริศนาต่างหาก...
เสียงฟ้าร้องที่มาพร้อมกับกระแสฝนท่ามกลางความหนาวเหน็บ ไฟที่เคยลุกโชนดับไปในไม่กี่วินาที ตอนนี้เขาไม่มีเวลาตามหาต้นเหตุของระเบิดขวดเพราะหน้าสถานที่บันเทิงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายของตัวกินคนที่มาจากการตายของพวกลิ่วล้อและพวกที่มาเพราะได้ยินเสียงปืน
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ
อี้ฟานออกไปมองตามเสียงแล้วก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นจงอินกับเทาที่ออกมาจากมุมตึกพร้อมกับยิงกราดไปยังพวกนักโทษใจทรามเหล่านั้น
“นั่น?”
“...ครอบครัวของฉันเอง” อี้ฟานยิ้มทั้งที่ไม่ละสายตาจากคนกลุ่มนั้น เขารั้งขากางเกงขึ้นก่อนจะดึงปืนที่เหน็บอยู่กับที่รัดขาช่วงข้อเท้าขึ้นมาแล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ด้วยแววตาจริงจัง
“ถึงเวลาที่นายต้องตัดสินใจแล้วโดคยองซู”
กระแสฝนที่ตกมาอย่างหนักทำให้หนาวสะท้านไปทั้งตัว ริมฝีปากบางสั่นเครือขณะจับจ้องไปยังเป้าหมายผ่านลำกล้องและอีกครั้งที่ปลายนิ้วเรียวเหนี่ยวไกระเบิดหัวมนุษย์ด้วยกัน ฝนที่ตกลงมาราวกับน้ำล้างบาป มินซอกขยับริมฝีปากสวดมนต์ภาวนาถึงพระเจ้าขอให้ท่านโปรดอภัยให้กับความผิดที่เขาฆ่าคนไปแล้วถึงเจ็ดคน มือเล็กดึงโบลเข้าหาตัวแล้วเล็งอีกครั้งแต่ยังไม่ทันเหนี่ยวไกร่างของเขาก็ถูกเหวี่ยงลงไปกับพื้นอย่างแรง
“...!!!”
ไรเฟิลกับแว่นสายตากระเด็นออกไปจนทำให้มองอะไรไม่เห็น สองมือปะป่ายไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝนเจิ่งนอง “อ่ะ!!” เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อถูกกระชากหัวให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะหน้าหันไปอีกทางเพราะถูกชก
“มึงเก่งมากใช่ไหมไอ้เด็กแว่น!”
“อึ่ก...” มินซอกจิกเล็บลงบนมืออีกคนที่กำคอเสื้อเขาเอาไว้ก่อนจะถูกชกอีกครั้งจนรู้สึกชาอีกทั้งความหนาวจากอุณหภูมิสภาพอากาศที่มาพร้อมกับฝนที่ตกลงมาซ้ำเติม
“มานี่!” ร่างเล็กถูกกระชากลากดึงให้ไปหยุดยืนอยู่ริมดาดฟ้า มือหนากดร่างท่อนบนของเขาให้โน้มตัวออกไปสัมผัสกับความหวาดเสียวของความสูงเบื้องหน้า สองมือยื้อรั้วซีเมนต์สูงถึงช่วงเอวเอาไว้เป็นหลักกันไม่ให้ตกลงไปข้างล่างแต่ดูเหมือนว่าแรงของคิมมินซอกจะสู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย
“กูให้เวลามึงสามสิบวิกับจินตนาการครั้งสุดท้าย” ริมฝีปากหยักแค่นยิ้มพร้อมกับกดร่างเด็กน้อยลงไปยิ่งกว่าเดิม ข้างล่างยังคงชลมุนวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง เสียงปืนที่ดังกรอกหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนบ้างประสานกับเสียงฟ้าร้องที่ดังมาเป็นระยะ
“อึ่ก...”
“ลาก่อนไอ้หนู”
มินซอกหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกว่ายื้อเอาไว้ไม่ไหวแล้ว แต่จู่ ๆ แรงดันก็หายไปเพราะใครอีกคนที่เข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทัน ร่างเล็กหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็เห็นภาพการต่อสู้ของคนสองคน มันพร่ามัวไปหมดเพราะระยะสายตาที่ไกลเกินไป
มินซอกรีบไปเก็บปืนที่ตอนนี้อยู่ใกล้ที่สุดในขณะที่ผู้ชายสองคนกำลังแลกหมัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สองมือที่กำลังถือไรเฟิลเอาไว้กำลังสั่นเพราะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร...เป้าหมายถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งการต่อสู้หยุดลงเมื่อใครคนหนึ่งเสียหลักถูกล็อกคอเอาไว้
“มินซอก!”
“ลู่หาน...?”
“รักเพื่อนเหลือเกินนะพวกมึงเนี่ย...” น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดพร้อมกับจ่อปืนอยู่ที่ขมับร่างโปร่ง ลู่หานกัดฟันกรอดพลางมองคนตัวเล็กที่กำลังหรี่ตามองทั้งที่ถือไรเฟิลไว้กับมือ...
มินซอกมองไม่เห็นเขาด้วยซ้ำ...
“เรามาเล่นเกมกันเถอะ”
“...”
“กูจะใบ้ให้มึงข้อนึงนะไอ้เด็กแว่น...ว่าตอนนี้กูกำลังเอาปืนจ่อหัวไอ้ห่านี่อยู่”
“...”
“ยิงเลยมินซอก!”
“ใช่ ยิงเลยสิ ขอแม่น ๆ นะโว้ย! ฮ่า ๆ ”
“ผ...ผมมองไม่เห็น!!”
“มินซอก!”
“ไม่!”
“พี่บอกให้ยิงไง!”
“ยิงเลยสิ! ยิง!”
“ยิงเดี๋ยวนี้มินซอก!”
“...”
‘น่ารำคาญ...ช่วยไปไกล ๆ ระยะสายตาผมได้ไหม?’
‘ไม่ได้’
‘ไปตายซะลู่หาน’
‘พี่มั่นใจว่าเปาจื่อต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งกับการตายของพี่แน่ เพราะงั้นคำขอนี้ถือว่าเป็นโมฆะ’
“ยิง!!!!” ลู่หานตะโกนลั่นพร้อมกับดึงมีดพกขึ้นมาแทงหน้าขาคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังอย่างแรงแล้วก้มหัวลง
ปัง!
“อึ่ก!”
ลู่หานยังคงอยู่ในท่าเดิมแต่วงแขนที่เคยล็อคคอเขาเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้กำลังค่อย ๆ คลายออกก่อนที่ร่างของคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังจะร่วงลงไป ร่างโปร่งหันไปมองคนที่นอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝน รอยกระสุนที่เจาะเข้ากลางโหนกแก้มเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้ว
“ลู่หาน...”
เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงที่กำลังสั่นเครือ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาปนกับน้ำฝน ร่างโปร่งก้มลงเก็บแว่นขึ้นมาแล้วมองไปยังคนตัวเล็ก “คุณยังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า...”
“...”
“ลู่หาน...” มินซอกตั้งปืนขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ร่างโปร่งดันปืนออกไปทางด้านข้างแล้วสวมแว่นให้กับคนที่กำลังร้องไห้อยู่
“พี่อยู่นี่”
“...”
“ขนาดไม่ใส่แว่นยังยิงแม่นขนาดนี้ แฟนใครเนี่ย” ลู่หานยิ้มแล้วหันไปมองศพที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างหลัง
“...”
“ดูทำหน้าสิ หนาวใช่ไหมล่ะ ฝนนี่ก็ตกไม่ดูเวล่ำเวลาเล้ย” ทำท่าจะถอดเสื้อเวสไซราสออกแต่ก็แทบเซถอยหลังเมื่อถูกมินซอกโผเข้ามากอด
ก้มลงมองอีกคนที่กำลังสะอื้นอย่างหนักพร้อมกับกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป ลู่หานยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลูบหัวปลอบใจคนตัวเล็กที่กำลังซบอยู่กับอกเขาพร้อมกับกอดตอบแน่น ๆ เช่นกัน
ให้รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อลู่หานยังคงอยู่ตรงนี้...
TBC
มาสวีทอะไรกันไม่ดูกาลเทศะเลย เอ๊...
ตอนแรกไคฮุนว่าจิกหมอนเขียนละมาเจอพี่ลู่โหมดละมุนแบบนี้ ถ้ามลินเป็นมินซอกก็จะไม่อดทนเหมือนกัน มีซึนแตกข่ะ พี่ลู่ก็เสี่ยวนะบางที เออ ให้เขามั่ง
พาร์ทนี้หน้าสั่นไปตาม ๆ กัน วุ่นวายมากโปรดแยกประสาทการอ่านให้ดีเพราะมันชลมุนไปหมดไงคะ แต่นี่ยังไม่จบนะยังมีก๊อกสอง โปรดตามต่อใน Chapter 48 : Hard Rain (Part 2) ค่า
เป็นไงบ้างคะสำหรับตอนนี้ มลินเขียนยาวมากกกกกกกกก (ชดเชยที่หายหนังหน้าไป 1 อาทิตย์) อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ ถ้าเขียนผิดพลาดตรงไหนคอมเมนท์บอกไว้ได้เลยนะคะ มลินจะได้แก้ค่ะ
หมายเหตุ: เสื้อเวส ไซราสก็คือเสื้อที่เอาไว้เก็บพวกกระสุนปืน ระเบิด ปืนอะไรพวกนี้อ่ะค่ะ เป็นเกราะอ่อนด้วย (แต่ที่พวกจงอินไปเอามานี่คือกันอะไรไม่ได้นะ พวกนางใส่เกราะกันกระสุนปืนบีบีกัน 555555555555)
ความคิดเห็น